หลินเว่ยเว่ยส่ายศีรษะเบา ๆ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ห้องแถวตรงท่าเรือราคาไม่ถูกก็จริง ทว่าก็มีคนผ่านไปผ่านมาตลอด หมายความว่าเราจะมีลูกค้าแวะเวียนมาเสมอ ! ท่านแม่ลองคิดสิเจ้าคะ ถ้าเป็นท่านที่ต้องนั่งเรืออยู่เหนือผิวน้ำนานแรมเดือน พอมาถึงท่าเรือแล้วต้องทำตัวให้ผ่อนคลายโดยการซื้อของประจำท้องถิ่นหรือหาของกินอร่อยใช่หรือไม่ ! ถ้าเราซื้อห้องแถวไว้แล้วปรับปรุงมันอีกหน่อยก็สามารถนำมาเปิดเป็นร้านค้าได้ ! ”
เมื่อเห็นว่านางหวงยังตัดสินใจไม่ได้ นางจึงอธิบายเสริม “ท่านแม่เจ้าคะ ฝีมือการทำอาหารของท่านเป็นที่ยอมรับของหมู่บ้านฉือหลี่โกว เมื่อรวมกับอาหารพิเศษจากฝีมือข้า ถ้าเปิดร้านอาหารยังต้องกังวลเรื่องลูกค้าอีกหรือ ? ผลไม้อบแห้ง เนื้อแผ่น แยมผลไม้ของพวกเรา…แล้วก็ยังมีเมล็ดสน เฮเซลนัทหรือเมล็ดต้นเจินและถั่วอื่น ๆ ในฤดูใบไม้ร่วง เหล่านี้ไม่ใช่ของประจำท้องถิ่นหรือ ? บัณฑิตน้อย เจ้ามีความเห็นอย่างไร ? ”
หลินเว่ยเว่ยรู้ว่ามารดามีนิสัยลังเลตัดสินใจไม่เด็ดขาด แต่บัณฑิตหนุ่มอ่านตำราเยอะ มีความรู้กว้างขวาง น่าจะมองเห็นโอกาสทางการค้ากระมัง ?
เจียงโม่หานจ้องนางแล้วแอบบ่นพึมพำในใจว่าเด็กตัวแสบย้อนเวลากลับชาติมาเกิดเหมือนเขาจริงหรือไม่ จะเป็นอย่างที่นางกล่าวจริงหรือ นางเห็นแค่โอกาสทางการค้าที่ท่าเรือเช่นนั้นหรือ ?
“มองข้าด้วยเหตุใด ? หรือจู่ ๆ ก็คิดว่าข้าแข็งแกร่งและมีความสามารถมาก ? ” หลินเว่ยเว่ยลูบไล้ใบหน้าด้วยความหลงตัวเองพร้อมยักคิ้วไปด้วย
เจียงโม่หานเงียบไปสักพัก ก่อนจะย้อนถาม “เจ้าอยากเปิดร้านอาหาร แถมยังอยากขายของประจำท้องถิ่น เจ้าอยากเปลี่ยนฐานะเป็นพ่อค้าหรืออย่างไร ? แล้วจื่อเหยียนของบ้านเจ้าจะทำเช่นไร ? ”
หลินเว่ยเว่ยตกตะลึงทันที…จริงสิ พ่อค้าในสมัยโบราณมีฐานะต่ำต้อย มีบางราชวงศ์ไม่อนุญาตให้บุตรหลานของพ่อค้าสอบเป็นขุนนาง !
นางลูบใบหน้าน้อย ๆ ของตนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงรำคาญเล็กน้อย “แม้จะซื้อห้องแถวมาปรับปรุงใหม่แล้วเราก็ยังสามารถปล่อยเช่าได้ ! รายได้หนึ่งห้องต่อปีก็หลายสิบตำลึง เอาเงินไปวางไว้กับบ้านและที่ดินไม่มีทางลดลงอยู่แล้ว ! ”
หลังได้ใกล้ชิดและสังเกตอีกฝ่ายตลอดช่วงหลายวันมานี้ เหมือนว่าเด็กตัวเหม็นไม่ได้เจ้าเล่ห์เพทุบายและเสแสร้งทำเป็นคนดี แต่ถ้าความเรียบง่ายและสดใสนั้นเป็นสิ่งที่นางเสแสร้งขึ้นมา เขาก็คงไม่ตกอยู่ในเงื้อมมือนางอยู่แล้ว เด็กคนนี้คงรู้สึกว่าการซื้อไว้จะสร้างกำไรให้ แต่ไม่รู้ถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้…
เจียงโม่หานหันมามองนางแล้วแสดงความคิดเห็นออกมา “แม้จะไม่ปล่อยเช่าให้คนอื่นทำเป็นร้านค้าก็ยังสามารถปล่อยเช่าเป็นโกดังเก็บสินค้าได้ ตอนนี้ทางเหนือประสบภัยแล้งโดยเฉพาะตะวันตกเฉียงเหนือที่ระดับน้ำของแม่น้ำเหลียงเหอลดลงมาก เรือที่ล่องไปทางตะวันตกจึงจำเป็นต้องขนถ่ายสินค้าออกบางส่วน…เมื่อถึงเวลานั้นโกดังที่ทำไว้เช่าให้เก็บสินค้าก็จะเป็นที่ต้องการแน่นอน ! ”
ดวงตาของหลินเว่ยเว่ยเป็นประกายราวกับดวงดาวที่สว่างบนท้องนภา นางอดยกมือขึ้นไม่ได้เพราะคิดจะตบบ่าของเจียงโม่หาน เมื่อเห็นเช่นนั้นเจียงโม่หานก็ตกใจจนหน้าถอดสีแล้วรีบเบี่ยงตัวหลบจนเกือบลงไปนั่งกับพื้น
หลินเว่ยเว่ยจึงต้องเข้าไปช่วยประคองพลางยิ้มจนตาแทบปิด “ไม่ต้องกลัว ข้าออมแรงแล้ว ไม่ตีเจ้าจนเจ็บปางตายหรอกน่า ! สมแล้วที่เป็นบัณฑิต ความรู้ช่างแตกต่างจากคนปกติเสียจริง เป็นอย่างไรบ้าง ? ห้องแถวแปดห้อง บัณฑิตน้อยไม่คิดจะซื้อไว้สักห้องสองห้องหรือ ? ”
ตอนแรกเริ่มเจ้าของห้องแถวคิดจะขายทั้งแปดห้องพร้อมกันโดยไม่แบ่งขาย ทว่าพอเวลาผ่านไปก็ไม่มีผู้ใดมาถามไถ่จนเห็นว่าขายไม่ออกจริง ๆ เขาจึงยอมแบ่งขาย ด้านเงิน 300 ตำลึงที่เจียงโม่หานขอยืมมาจากเฝิงชิวฟานก็เพื่อรอเจ้าของปล่อยขายห้องแถวในอีกครึ่งเดือนข้างหน้าและตัดสินใจซื้อไว้สองห้อง
เจียงโม่หานมองหลินเว่ยเว่ย จากนั้นก็หันไปมองนางหวงเพราะเรื่องการซื้อขายหลายร้อยตำลึง นางหวงกลับจะให้เด็กน้อยคนหนึ่งเป็นคนตัดสินใจหรือ ?
เขาจึงอดพูดตักเตือนไม่ได้ “เช่นนั้นก็เรียกจื่อเหยียนมาปรึกษาสักหน่อยดีหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยแสดงท่าทีฉุกคิด “ใช่ ใช่ ใช่ ! หัวหน้าครอบครัวของเราในอนาคต การซื้อบ้านเป็นเรื่องใหญ่ เขาจะไม่มาเข้าร่วมได้อย่างไร ? ท่านแม่เจ้าคะ ข้าลืมไปเลย ท่านเองก็ไม่เตือนข้าบ้าง”
ในช่วงสองเดือนนี้ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ หลินเว่ยเว่ยก็เป็นคนตัดสินใจมาโดยตลอด นางหวงจึงเคยชินไปเสียแล้ว “จื่อเหยียนยังเด็ก ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก เจ้าตัดสินใจเองเถิด”
“ได้ที่ไหนเล่า ? ต้าฮว๋าอายุสิบสามแล้ว ถือเป็นหนุ่มน้อยแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปตระกูลเราต้องพึ่งพาเขา เรื่องซื้อบ้านก็ใหญ่ถึงเพียงนี้ เขาจะไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็นได้อย่างไร ? ”
หลินเว่ยเว่ยยืนกรานที่จะเรียกหลินจื่อเหยียนที่กำลังศึกษาตำรามาที่นี่ เจ้าหนูน้อยก็เดินตามพี่รองไปด้วย
ตอนที่หลินจื่อเหยียนมาถึง บนนิ้วของเขายังมีกลิ่นของน้ำหมึกติดอยู่ หลังฟังหลินเว่ยเว่ยอธิบายสาเหตุเสร็จแล้ว เขาก็เกาศีรษะพลางกล่าวว่า “เรื่องนี้พี่รองตัดสินใจเลยก็ได้นี่ ! ”
หลินเว่ยเว่ยกดตัวเขาให้นั่งกับเก้าอี้ “ตามใบทะเบียนบ้านมีเจ้าเป็นหัวหน้าครอบครัว ดังนั้นเจ้าต้องเป็นคนตัดสินใจเรื่องใหญ่ในบ้าน ว่ามาเถิด หัวหน้าครอบครัว เราจะซื้อห้องแถวนี้หรือไม่ ? ”
หลินจื่อเหยียนถามด้วยน้ำเสียงลังเล “ห้องแถวตรงท่าเรือน่าจะมีราคาแพงใช่หรือไม่ ? ”
“ก็ไม่ถือว่าแพง ห้องแถวแปดห้องราคา 1,000 ตำลึง ! ” น้ำเสียงของหลินเว่ยเว่ยเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ว่าอย่างไรนะ ? 1,000 ตำลึงยังบอกไม่แพงอีกหรือ ? ” หลินจื่อเหยียนแทบกระโดดออกจากเก้าอี้ “บ้านเรามีเงินเยอะถึงเพียงนั้นที่ไหนเล่า ? ”
นางหวงนับมือเงียบ ๆ เงินที่ขายผลไม้อบแห้งล้วนถูกเปลี่ยนเป็นข้าวสารและถูกเก็บซ่อนไว้ในห้องใต้ดินของบ้าน ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเงินขายเนื้อแผ่นและผลไม้อบแห้ง ถ้าหักจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็มีเหลืออยู่ประมาณหกร้อยถึงเจ็ดร้อยตำลึงน่าจะได้
ที่แท้บ้านของตนก็มีเงินเยอะเพียงนี้เชียวหรือ ? หากไม่นับก็คงไม่รู้ พอนับแล้วก็มีความสุขขึ้นมาทันที ทว่า ผ่านไปไม่นานคิ้วของนางหวงก็ตกลงอีกครา…มันยังห่างจาก 1,000 ตำลึงไม่น้อยเลย !
หลินเว่ยเว่ยกดให้น้องชายนั่งลงอีกครา “เรื่องเงินเจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ประเดี๋ยวพี่สาวของเจ้าจัดการเอง”
เจ้าหนูน้อยยกมือขึ้นเพื่อบอกให้รู้ว่าเขายังมีตัวตนอยู่ “ถ้าไม่พอก็เอากระต่ายบ้านเราไปขายได้ ! ”
“เจ้าทำใจได้หรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยลูบเส้นผมอันอ่อนนุ่มของเจ้าหนูน้อย
เจ้าหนูน้อยกำหมัดแน่นพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เลี้ยงกระต่ายไว้เพื่อหาเงิน ทำให้บ้านเรามีชีวิตที่ดีขึ้น ตอนนี้เป็นเวลาต้องใช้เงิน ถ้าไม่ขายตอนนี้แล้วจะขายตอนไหน ? ”
“เป้าหมายของเจ้าไม่ได้จะเลี้ยงจนเต็มคอกกระต่ายหรือไร ? ถ้าเอาไปขายมันจะบรรลุเป้าหมายเจ้าเมื่อใดเล่า ? ” หลินเว่ยเว่ยแกล้งหยอก
แต่เจ้าหนูน้อยกล่าวโดยไม่ลังเล “เป้าหมายยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าคือทำเงินก้อนโตเพื่อให้ท่านแม่ พี่รอง พี่สามและพี่ใหญ่ได้มีชีวิตดีขึ้น ! หลังจากขายกระต่ายน้อย แม่กระต่ายก็ยังคลอดใหม่และเลี้ยงใหม่ได้ แน่นอนว่ามีเงินต้องใช้บนคมมีด1! ทว่าบัดนี้การซื้อบ้านของพี่รองสำคัญที่สุด ! ”
หลังจากที่หลินเว่ยเว่ยได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะร้องไห้ทันที “เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นซื้อบ้านให้ข้าเล่า ? ซื้อให้พวกเจ้าต่างหาก ! บัณฑิตน้อย เจ้าคิดจะซื้อกี่ห้อง ? สองห้องหรือ ? เช่นนั้นก็เหลือหกห้อง ให้ต้าฮว๋าสามห้อง น้องเล็กอีกสามห้อง ! ”
“แล้วพี่รองเล่า ? ไม่มีของพี่รองหรือ ? ” เจ้าหนูน้อยทำตากลมโตแล้วพูดอย่างไม่เห็นด้วย
นางเฝิงคิดว่าน่าสนุกจึงแกล้งหยอกเจ้าหนูน้อยว่า “พี่รองเป็นสตรี ต่อไปต้องออกเรือน ใครก็พูดกันว่าสตรีที่แต่งออกไปก็เหมือนน้ำที่โดนสาดออกไป หากยกบ้านให้นางก็เหมือนยกประโยชน์ให้คนนอกไม่ใช่หรือ ? ”
“คนนอก ? พี่รองไม่ใช่คนนอกเสียหน่อย ! ” เจ้าหนูน้อยรีบแย้งแล้วเข้าไปกอดแขนหลินเว่ยเว่ยพร้อมดวงตาเปียกชื้น ฮือฮือฮือ เขาไม่ให้พี่รองไปไหนทั้งนั้น พี่รองจะต้องไม่ออกเรือนแน่นอน !
1 มีเงินต้องใช้บนคมมีด มาจากสำนวนเต็มที่ว่า มีเงินต้องใช้บนคมมีด ไม่อาจใช้บนสันมีด หมายความว่า ต้องใช้เงินด้วยความระมัดระวังเหมือนอยู่บนคมมีด
ตอนต่อไป