น้องรองในอดีตไม่เพียงเป็นภาระของครอบครัวยังเป็นตัวถ่วงสำหรับการแต่งงานของนางด้วย…ส่วนน้องรองในเวลานี้ก็ทำให้นางไม่มีอะไรดีสักอย่าง…เด็กคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นดาวอัปมงคลของนาง !
ภายใต้เสียงสนทนาและเสียงหัวเราะ อาหารเย็นก็ถูกเตรียมจนเสร็จหมดแล้ว ตอนอาหารทุกจานถูกยกขึ้นโต๊ะ เจ้าหนูน้อยก็เข้าไปสูดดมกลิ่นอันหอมหวนหนึ่งครั้ง จากนั้นก็กล่าวด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้มว่า “อาหารเยอะแยะไปหมด ! ตอนปีใหม่ยังไม่มีอาหารดี ๆ เยอะเช่นนี้เลย ! ”
ถูกต้อง ! นางหวงมองอาหารเลิศรสที่วางเรียงเต็มโต๊ะ…หมูตุ๋นน้ำแดง ปลากระรอกทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน ไก่ป่าตุ๋นเห็ด เนื้อกวางจือหราน…มีอาหารจำนวนมากที่อย่าว่าแต่ไม่เคยกินเลย เพราะแม้แต่ได้ยินชื่อยังไม่เคยมาก่อนด้วยซ้ำ เมื่อก่อนตอนที่สามียังอยู่ เวลาฉลองเทศกาลจะมีเพียงเนื้อ 1 ชั่ง แค่นั้นคนในครอบครัวก็รู้สึกพอใจมากแล้ว…ท่านพี่ ท่านเห็นหรือไม่ ? ครอบครัวของเราอยู่ดีมีสุข ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก…
“นี่คือเทศกาลแรกที่ข้าได้ฉลองหลังตื่นขึ้นมา” หลินเว่ยเว่ยยกสุราองุ่นที่หมักเองขึ้นมา “กิจการผลไม้อบแห้งและเนื้อแผ่นของพวกเรากำลังเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเรื่อย ๆ ห้องแถวที่ท่าเรือก็ใกล้จะปรับปรุงเสร็จแล้ว ชีวิตของพวกเราจะดีขึ้นและในภายภาคหน้าจะดียิ่งกว่าเดิม เพื่อปัจจุบัน เพื่ออนาคต พวกเรามาร่วมดื่มฉลองด้วยกัน”
ทุกคนยกจอกสุราขึ้นพร้อมกัน ส่วนจอกในมือของเจ้าหนูน้อยเป็นน้ำผลไม้คั้นสดที่หลินเว่ยเว่ยทำให้ ต่อจากนั้นเสียงของเขาก็ดังขึ้นว่า “หมดจอก ! ”
นางเฝิงยกจอกสุราองุ่นอันหวานฉ่ำขึ้นมาพลางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “จอกนี้ ข้าขอดื่มเพื่อให้เกียรติต่อเสี่ยวเว่ย ! ”
“เมื่อสามเดือนก่อน หานเอ๋อร์โดนทำร้ายปางตาย งานปักของข้าถูกปฏิเสธ แถมข้ายังไม่มีความสามารถด้านอื่น ขณะมองว่าเราสองแม่ลูกต้องอ้าปากกินลมตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อประทังชีวิต…”
ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็หัวเราะขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “น้าเฝิง ท่านพูดผิดแล้ว ! เดือนห้าจะมีลมตะวันตกเฉียงเหนือได้อย่างไร ? ”
“จริงสิ ! ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเว่ยชักชวนข้ามาทำผลไม้อบแห้งด้วยกัน แม้แต่ลมตะวันตกเฉียงเหนือ พวกเราก็คงไร้ชีวิตอยู่ทันได้สัมผัสมัน! เสี่ยวเว่ยยังทำอาหารอร่อยให้พวกเรากินทุกวัน ดูสิ ร่างกายของข้ากับหานเอ๋อร์ดูดีขึ้นตั้งเยอะ ล้วนเป็นผลงานของเสี่ยวเว่ยทั้งสิ้น ! ”
ต่อจากนั้นนางเฝิงก็ก้มหน้ามองนางหวงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้อยคำหยอกล้อเมื่อครู่ข้าไม่ได้คิดจะล้อเล่นเลยนะ ข้าอยากให้นางมาเป็นลูกสาวของบ้านข้าจริง ! ”
“พี่รองเป็นคนบ้านเรา ! ใครก็อย่าคิดจะแย่ง ! ” ทันใดนั้นเจ้าหนูน้อยก็รีบวางตะเกียบแล้วเข้าไปกอดแขนพี่สาวคนรองไว้ทันทีเพราะกลัวว่าจะถูกคนอื่นแย่งไป !
นางเฝิงยิ้มอ่อน จากนั้นก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้เด็กน้อย “พี่สะใภ้ ดูแลบุตรไม่ใช่เรื่องง่าย ! แม้หานเอ๋อร์ใจสู้ ด้านการเรียนไม่ต้องให้ข้ากังวล แต่นิสัยเขาในเวลานั้น…ข้ากังวลว่าเขาจะยิ่งโดดเดี่ยวและทะนงในศักดิ์ศรีมากกว่าเดิม ยามต้องเผชิญกับปัญหาเขาจะพ่ายแพ้ได้ง่าย ! โชคดีที่เสี่ยวเว่ยช่วยขัดเกลานิสัยของเขา ตอนนี้จึงทำให้ข้าวางใจได้มาก ! ”
คิ้วของเจียงโม่หานกระตุกสองสามครั้ง การที่นิสัยของเขาเปลี่ยนไปเป็นเพราะเขาย้อนเวลากลับมาเกิดใหม่และได้เห็นสิ่งต่าง ๆ จนกระจ่างแล้วมิใช่หรือ ? เรื่องนี้จะเกี่ยวกับเด็กตัวเหม็นได้อย่างไร ?
“ชีวิตดี ๆ ของพวกเราล้วนเป็นเสี่ยวเว่ยมอบให้…”
ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็รีบลุกขึ้นยืนพร้อมถือจอกสุราไว้ในมือทั้งสองข้าง นางกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “น้าเฝิงอย่าพูดเช่นนี้เลย ! ชีวิตที่ดีของท่านเป็นสิ่งที่ท่านไขว่คว้าด้วยมือตนเอง แถมยังทำให้ข้าได้สุขสบายตามไปด้วย ถ้าไม่มีฝีมือการทำผลไม้อบแห้งของท่าน ผลไม้บนภูเขาก็คงต้องปล่อยให้เป็นอาหารนกต่อไป ! ”
“เสี่ยวเว่ย เจ้าเลิกผลักความดีความชอบมาให้ข้าเถิด ! ตัวเจ้าก็รู้ดีแก่ใจ ! เจ้าทำแยมผลไม้เป็น อบขนมอร่อยได้ แล้วผลไม้อบแห้งง่าย ๆ เจ้าจะทำไม่เป็นหรือ ? ไม่ต้องพูดแล้ว ทุกอย่างมากเกินกว่าจะกล่าวออกมาได้ ! ” นางเฝิงดื่มสุราในจอกอย่างอารมณ์ดีพลางเอ่ยปากชมว่า “สุราดี ! รสชาติกลมกล่อมกว่าสุราบรรณาการชั้นดีจากทางตะวันตกเสียอีก”
“ว้าว ! น้าเฝิงเคยดื่มสุราองุ่นที่เป็นเครื่องบรรณาการจากทางตะวันตกด้วยหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยทำหน้าตกใจ
แต่นางเฝิงโบกมือแล้วกล่าวว่า “ไหนเลยชาวบ้านอย่างพวกเราจะมีวาสนาได้ดื่มสุราบรรณาการ ? แค่ได้มองอยู่ไกล ๆ หรือได้กลิ่นก็ถือว่าดีมากแล้ว ! นี่เป็นวิธีชมว่าเจ้าหมักสุราองุ่นได้มีรสชาติดีมากต่างหาก ! ”
“แค่สุราองุ่นธรรมดา รอให้สุราองุ่นไม่กี่ไหในห้องใต้ดินหมักเสร็จเมื่อใด ข้ารับรองได้เลยว่ารสชาติจะดีกว่านี้ ! ” หลินเว่ยเว่ยดื่มสุราในจอก…นี่เป็นแค่สุราที่มีกลิ่นองุ่นเท่านั้น หากเทียบกับไวน์ของแท้แล้วยังห่างชั้นอีกมากโข !
นางเฝิงหัวเราะ ในเมื่อหลินเว่ยเว่ยไม่อยากรับชื่อเสียง นางก็ไม่คิดที่จะกล่าวต่อ “เช่นนั้นข้าจะรอดื่มสุราองุ่นในห้องใต้ดินของเจ้า ! อ้อใช่ แล้วสุราองุ่นนี้…เจ้าคิดจะหมักขายเองหรือจะขายสูตรออกไป ? ”
หลินเว่ยเว่ยคลี่ยิ้ม “ไม่รีบ รอให้ข้ารู้วิธีเก็บรักษาสุราองุ่นในระยะยาวแล้วค่อยเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกที ตอนนี้บ้านเราก็ไม่ได้ขาดเงิน…”
นางหวงพยักหน้า แค่นี้ร่างกายของบุตรีก็เหนื่อยล้าพอแล้ว นางไม่อยากให้บุตรสาวต้องมาเดินซ้ำรอยตน บุตรสาวคนรองทำงานยุ่งทุกวัน เงินที่หามาก็ใช้ไม่หมดไม่สิ้น พอลองคำนวณแล้วตอนนี้เงินที่อยู่ในมือก็น่าจะพอให้บุตรชายคนโตใช้ไปจนถึงการสอบครั้งหน้าเลยทีเดียว
เจียงโม่หานลองดื่มสุราองุ่นในจอกบ้าง วิธีการหมักสุราองุ่นนี้เหมือนสุราหมักที่แพร่หลายจากทางตะวันตกมาถึงที่ราบตอนกลางในอีก 30 ปีข้างหน้า โดยตระกูลหนิงใช้สุราองุ่นชั้นดีเบิกทางจนกลายเป็นมหาเศรษฐีของเมืองหลวง หรือว่า…เด็กตัวแสบจะเป็นคนตระกูลหนิง ? ไม่ถูกสิ แวดวงการค้าของตระกูลหนิงไม่เคยมีสตรีเข้าไปเกี่ยวข้อง…หรือว่าหลินเว่ยเว่ย…จะเป็นบุรุษกลับชาติมาเกิด ?
แต่นั่นก็ยิ่งไม่ถูกต้องเข้าไปใหญ่ บุรุษห่างไกลห้องครัวแล้วจะมีฝีมือการทำอาหารดีถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ไหนจะขนมแปลก ๆ เหล่านั้นอีก ที่มาของเด็กคนนี้ทำให้รู้สึกสับสนจนยากจะแยกแยะได้ !
แต่ไม่ว่านางจะมีที่มาอย่างไร มองจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว นางไม่มีทางส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อตระกูลเจียงและอนาคตของเขา รอดูต่อไปก็แล้วกัน ระหว่างอยู่ข้างเขาแล้ว นางก็ไม่มีทางเล่นลูกไม้อันใดได้แน่ !
ขณะมองทั้งสองครอบครัวเฉลิมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์อย่างมีความสุขร่วมกัน เจียงโม่หานก็เริ่มเหม่อลอย…เวลานี้ของชาติที่แล้วเขากำลังฝืนร่างกายอย่างหนัก หลังทำพิธีศพให้มารดาเสร็จแล้ว ตัวเขาก็ติดอยู่ในวังวนของโรคเรื้อรัง โดดเดี่ยวไร้สหายคอยเคียงข้าง ส่วนตระกูลหลินที่อยู่บ้านข้าง ๆ…ก็เพิ่งมีงานศพไป หลินจื่อเหยียนออกจากสำนักศึกษาและสามคนพี่น้องก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับชีวิตที่วุ่นวายต่อไป…
ท่ามกลางเมฆหมอกของมื้ออาหารจากตัวเขาและฉากการสนทนาพร้อมรอยยิ้มเคล้าเสียงหัวเราะจากคนอื่น มองแล้วช่างไม่เสมือนจริงเอาเสียเลย…สรุปว่าสิ่งที่เกิดในชาติที่แล้วเป็นเพียงความฝันหรือตอนนี้ต่างหากที่เป็นความฝัน ?
ทันใดนั้นเขาก็เห็นหลินเว่ยเว่ยตีศีรษะของตนแล้วเริ่มคีบอาหารทุกจานมาแยกเป็นจานเล็ก ๆ จากนั้นก็ตักน้ำแกงอีกถ้วยแล้วหยิบขนมไหว้พระจันทร์อีกสองสามชิ้นพร้อมยกออกไปข้างนอก
เจียงโม่หานยืนขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาแอบเดินตามหลังนางไปเงียบ ๆ ส่วนหลินเว่ยเว่ยก็ผลักประตูบ้านข้าง ๆ ออกแล้วเดินเข้าไปในห้องที่หลีชิงพักอยู่
หลีชิงกำลังนั่งพิงอยู่ที่หัวเตียง เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง “ถ้าไม่รู้มาก่อน ข้าคงคิดว่าเจ้ามีความแค้นต่อข้า คิดว่าหากข้าตายจะเป็นเรื่องง่ายเกินไป เลยจงใจช่วยออกมาจากฝูงหมาป่าเพื่อทรมานให้ข้าอดตาย ! ”
“ขอโทษ ! วันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ ข้าจึงตั้งใจทำอาหารฉลองในเทศกาลอย่างเดียว พอทำงานก็ลืมเจ้าเสียสนิท เจ้าคงหิวมากกระมัง ? มาดื่มน้ำแกงก่อนเถิด…” หลินเว่ยเว่ยวางถ้วยน้ำแกงและอาหารต่าง ๆ บนโต๊ะ แต่ในขณะที่จะหยิบอาหารมาให้อีกฝ่ายเพิ่ม ข้าวถ้วยหนึ่งก็ถูกยื่นมาที่ข้างมือของนางแล้ว
หลินเว่ยเว่ยมองบัณฑิตหนุ่มด้วยดวงตาโค้งมน ทันใดนั้นมุมปากของนางก็ยกยิ้มหวานหยด แต่ในขณะเดียวกันสายตาของหลีชิงกลับจ้องมาที่ร่างของนางราวกับว่าเขาเห็นใครบางคนซ้อนทับอยู่บนร่างของนาง…
ตอนต่อไป