บุตรชายคนรองของผู้ใหญ่บ้านใช้ไม้วาดบนพื้น “เมล็ดสน 500 ชั่ง หากกระจายไป 30 ครัวเรือนก็ได้สิบกว่าชั่ง แต่ละบ้านออกเมล็ดสนสิบกว่าชั่งก็ได้เงินกลับมา 400 อีแปะแล้ว…แน่นอนว่าการสร้างโรงงานคือตัวเลือกที่ดีใช่หรือไม่ ? ”
ผู้ใหญ่บ้านตาโตทันที “จะคิดแค่นี้ไม่ได้ ! ต้องคิดค่าวัตถุดิบอื่นด้วย! แล้วก็ 500 ชั่งต่อวัน ตระกูลหนิงก็ไม่แน่ว่าจะขายหมด ถ้าขายไม่ออกแม้แต่อีแปะเดียวก็เอาคืนมาไม่ได้แล้วยังต้องจ่ายค่าวัตถุดิบอื่น ๆ อีก พวกเจ้าลองคิดตามนะ ถ้าต้องการความมั่นคงให้ขายเมล็ดสนออกไปตรง ๆ ก็สิ้นเรื่อง ความหมายของข้าคือ…เราไม่เคยทำโรงงานมาก่อนจึงไร้ประสบการณ์ ดังนั้นต้องคิดให้รอบคอบหน่อย ! ”
ชาวบ้าน 38 ครัวเรือนเริ่มกลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง คนที่มีอายุหน่อยก็คิดว่าสถานการณ์ในยามนี้ไม่อาจทนทรมานต่อได้อีก ดังนั้นควรระวังไว้ก่อนก็ดี ส่วนพวกหนุ่มสาวก็คิดอยากหาเงินก้อนโต แน่นอนว่าพวกเขาสนับสนุนให้สร้างโรงงานประจำหมู่บ้าน…ระหว่างนั้นจึงไม่อาจสรุปผลได้ !
ผู้ใหญ่บ้านมีสีหน้าเศร้าสร้อย เขาเบนสายตาไปทางหลินเว่ยเว่ย
หลินเว่ยเว่ยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “เอาเช่นนี้แล้วกัน ! ความเสี่ยงในปีแรกข้าจะช่วยรับไว้ให้เอง ข้าจะรับซื้อเมล็ดสนของทุกบ้านในราคา 15 อีแปะต่อ 1 ชั่ง แล้วเรามาสร้างโรงงานแปรรูปให้เสร็จก่อน ถ้าปีนี้ทำเงินได้ ปีหน้าข้าจะคืนโรงงานให้หมู่บ้าน แต่ว่าเงินลงทุนก่อนหน้านั้นเมื่อถึงเวลาต้องหักจากรายได้ของโรงงาน ! ”
พอผู้ใหญ่บ้านได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารัว ๆ “แน่นอน แน่นอนอยู่แล้ว ! ”
ไม่ว่ากลุ่มคนหัวโบราณหรือคนรุ่นใหม่ล้วนพอใจ ! พวกเขาใช้สายตาซาบซึ้งมองหลินเว่ยเว่ย เวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าพวกตนผลักความเสี่ยงทั้งหมดไว้ที่ตัวเด็กสาวคนหนึ่ง ดังนั้นในดวงตาจึงแฝงไปด้วยความละอาย พวกเขาทำสิ่งใดไม่ได้เพราะล้วนยากจน !
ผู้ใหญ่บ้านตื่นเต้นจนน้ำตาแทบไหล ถ้าหลินเว่ยเว่ยเป็นผู้ชายแล้ว เขาจะต้องเข้าไปจับมือนางไว้แน่น ๆ แน่นอน ! เขาไม่รู้ว่าได้กล่าวขอบคุณนางไปกี่ครั้งแล้ว หลังผู้ใหญ่บ้านใจเย็นลงก็กล่าวกับหลินเว่ยเว่ยว่า “นางหนูรอง ! ถ้ามีสิ่งใดให้พวกเราทำ เจ้าบอกมาได้เลย ใครกล้าไม่ทำตามแม้แต่น้อย ปู่ผู้ใหญ่บ้านของเจ้าจะด่าจนมันเงยหน้าไม่ขึ้นเอง ! พวกเราควรทำเช่นไรเจ้ากล่าวมาได้เลย ! ”
ไม่ต้องให้หลินเว่ยเว่ยได้ออกปาก วันรุ่งขึ้นผู้ใหญ่บ้านก็สั่งเหล่าชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านให้ซ่อมแซมบ้านตระกูลฝาง จากนั้นก็ต่อเติมเพิงไม้เพิ่มอีกหลังแล้วสร้างเตา 5 เตาไว้ด้านใน
ส่วนกลุ่มคนที่ขึ้นไปเก็บลูกสน แม้ขาดสมาชิกไม่กี่คนก็ไม่ได้ส่งผลอันใดจึงขึ้นเขาไปสามวันติด จากนั้นก็พักผ่อนหนึ่งวัน เมล็ดสนในห้องใต้ดินหรือในบ้านของแต่ละหลังจึงกองสูงเรื่อย ๆ ใบหน้าของชาวฉือหลี่โกวก็มีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน…
ส่วนคนที่อยู่สร้างเตาก็พยายามทำงานล่วงเวลาให้มากที่สุด แม้แต่ชาวบ้านที่กลับมาจากการขึ้นเขาก็มาช่วยทำงานด้วยเพราะถ้าโรงงานของตระกูลหลินเริ่มเร็วเท่าไร เมล็ดสนที่พวกตนกักตุนไว้ก็จะเปลี่ยนเป็นเงินเร็วขึ้นเท่านั้น
ในระหว่างนั้นบ้านตระกูลหลินก็เกิดเหตุการณ์ฉากเล็ก ๆ ขึ้น คือ…หลานชายของนางหวงมาอยู่กับนางแล้ว ! หึ แท้จริงนางหวงมีญาติที่ไหนเล่า สุดท้ายก็เพราะต้องการปกปิดตัวตนแท้จริงของหลีชิงต่อหน้าสาธารณะชนต่างหาก
“คิ้วเจ้าหนาไป คนจะมองออกได้ง่าย ไม่ได้การ ต้องแก้ไขหน่อย ! ”
หลีชิงมองหลินเว่ยเว่ยด้วยความหวาดกลัว นางถือมีดคมกริบกวัดแกว่งไปมาตรงหน้าแล้ว เขากลัวว่านางจะมือลื่นจนทำให้เขาเสียโฉม ! แม้ว่าผู้ชายไม่ให้ความสำคัญต่อรูปโฉมภายนอก…พอเหลือบมองเจียงโม่หานแล้ว…อย่างน้อยหน้าตาดีก็ช่วยดึงดูดสตรีได้ เขายังไม่ได้แต่งงาน ถ้าเสียโฉมแล้วแต่งภรรยาไม่ได้จะทำอย่างไร ?
“เสี่ยวเว่ย ข้าทำเอง ข้าทำเองดีกว่า…” หลีชิงลงมือราวกับสายฟ้าฟาด หลังแย่งมีดมาจากมือหลินเว่ยเว่ยได้แล้ว เขาจึงถอนหายใจได้อย่างโล่งอก !
หลินเว่ยเว่ยยังหยิบที่ถอนขนตอนฆ่าหมูเสร็จแล้วขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าทนหน่อยนะ ข้ารับรองได้เลยว่าอีกประเดี๋ยวเจ้าต้องมีคิ้วคมเหมือนกระบี่ ! คิ้วคม แววตาสดใส พอถึงเวลานั้น ‘ญาติผู้พี่’ จะต้องเป็นจุดสนใจของสาวน้อยแน่นอน ! ”
“เป็นจุดสนใจยิ่งกว่าบัณฑิตน้อยของบ้านเจ้าหรือไม่ ? ” หลีชิงโดนบังคับให้มานั่งตรงมุมหนึ่งของเตียงเตาปูน ขณะหลับตาลงเขาก็เผยสีหน้าของการยอมรับชะตากรรมที่กำลังจะโดนเชือดออกมา
เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัยระหว่างทั้งสองคน เจียงโม่หานจึงมาอยู่ที่นี่ด้วย
“บ้านข้า ? เจ้าหมายถึงจื่อเหยียนหรือ ? เด็กนั่นยังขนไม่ขึ้นเลย จะมาเทียบกับหนุ่มอย่างเจ้าได้อย่างไร ? เจ้าต้องโดดเด่นกว่าอยู่แล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยนำผ้าร้อนมาปิดคิ้วอีกฝ่ายไว้แล้วเริ่ม…ถอนขน !
“โอ๊ย ! ช้าหน่อย ช้าหน่อย ไม่ใช่คิ้วเจ้าจึงกล้าถอนสินะ ลงมือหนักเหลือเกิน ! ” หลีชิงเจ็บจนกัดฟัน มาถึงขั้นนี้แล้วก็ยังไม่ลืมที่จะหันมาขยิบตาให้หลินเว่ยเว่ย “ข้าหมายถึงใคร เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ ? ”
“เจ้าหมายถึงบัณฑิตน้อยรูปงามหรือ ! ” หลินเว่ยเว่ยตั้งใจมองหลีชิงพักหนึ่งแล้วส่ายศีรษะอย่างต่อเนื่อง “คนละระดับกัน เทียบกันไม่ได้เลย ! บัณฑิตน้อยคือนัมเบอร์วันในใจข้าตลอดกาล”
“นามเบอวาน ? นามเบอวานอันใดหรือ ? ” ไม่เพียงหลีชิงเท่านั้น เพราะแม้แต่บัณฑิตหนุ่มก็ละสายตาจากตำราแล้วหันมามองนาง…ปากของเด็กตัวแสบนี้พ่นคำประหลาดออกมาอีกแล้ว !
“ก็คือที่หนึ่งในใจตลอดกาล ผู้ใดก็เทียบไม่ได้ทั้งนั้น ! แต่เจ้าเข้าใจผิดเพราะเขาไม่ใช่คนบ้านข้า ทว่าเป็นคนตระกูลเจียง ! เป็นของบ้านน้าเฝิง ! ” หลินเว่ยเว่ยเห็นเจียงโม่หานหันมามองจึงรีบเน้นเสียงทันที ไม่อย่างนั้นเขาต้องเข้าใจผิดว่านางกำลังแสดงบทบาทชิปเปอร์ที่ ‘ชง’ เขาให้ตัวนางแน่นอน !
เจียงโม่หานละสายตาจากนางแล้วกลับมามองตำราอีกครั้ง…เด็กตัวแสบยังมีรสนิยมดีเหมือนเดิม !
“ยังมีผิวพรรณของเจ้าด้วย ไม่ได้ ! ชาวบ้านผู้ยากไร้บ้านใดมีผิวขาวใสเช่นนี้บ้าง ? ” เมื่อปรับรูปคิ้วเสร็จแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็เริ่มลงมือตรงใบหน้าของหลีชิงต่อ !
“ช้าก่อน ? ผิวของข้ายังเรียกว่าขาวอีกหรือ ? ” หลีชิงมองไปที่ใบหน้าของนาง…เจ้าเองก็เป็นบุตรสาวชาวนาไม่ใช่หรือไร ? ผิวเช่นเจ้าต่างหากถึงจะเรียกว่าขาวผิดปกติ
หลินเว่ยเว่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องมองข้าหรอก ผิวของข้าเรียกว่าสวยจากธรรมชาติ ยากจะเปลี่ยนได้ ! คนบ้านข้าผิวดีตามธรรมชาติกันหมด ! ”
“หลานชายก็เหมือนน้า ผิวข้าก็ดีเหมือนท่านน้าไม่ได้หรือ ? ” หลีชิงคัดค้าน
“ไม่ได้ ! ถ้าเปิดภาพเหมือนของเจ้าออกมา สีผิวนี้จะต้องน่าสงสัยแน่นอน ! พี่หลี พวกเจ้าท่องยุทธภพ ไม่ได้เตรียมของไว้สำหรับปลอมตัวหรือ ? ถ้าไม่ใช้ตอนนี้แล้วจะเอาไว้ใช้ตอนไหน ? ” หลินเว่ยเว่ยนึกถึงรองพื้นต่าง ๆ ในยุคอนาคตอันไกลโพ้น
ทันใดนั้นหลีชิงก็หยิบตลับเล็ก ๆ บางอย่างออกมาจากกระเป๋าแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทำใจไม่ได้สักเท่าไร “อันนี้คือแป้งเปลี่ยนโฉมที่ข้าได้มา เอาไว้ช่วยชีวิตในยามวิกฤติ…”
“เจ้าโดนไล่ต้อนจนเหมือนสุนัขและทางการยิ่งต้องการตัว นั่นยังไม่เรียกว่าวิกฤติอีกหรือ ? เอาออกมาใช้เถิด ! ” หลินเว่ยเว่ยได้ทราบประโยชน์จากหลีชิงว่าแป้งนี้สามารถปรับระดับสีได้ นางจึงเริ่มทามันบนใบหน้าของเขา
ว่าไปแล้วของสิ่งนี้มีประโยชน์มาก ! หลังทาลงไปแล้วผิวสีข้าวสาลีอ่อน ๆ ของหลีชิงก็เปลี่ยนเป็นเหมือนระฆังทองแดงโบราณ ผิวหน้าดูหยาบกร้านทันที หลังแปลงโฉมเสร็จแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็มองซ้ายแลขวาและผสมสีให้เข้มกว่าเดิม จากนั้นก็เพิ่มฝ้าลงไปบนใบหน้าของหลีชิง
“เรียบร้อย ! ตอนนี้แม้ว่าท่านแม่ของเจ้าจะมายืนอยู่ตรงหน้า นางก็จำเจ้าไม่ได้แน่นอน ! ” หลินเว่ยเว่ยมองผงแป้งที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งแล้วก็เก็บเข้ากระเป๋าอกเสื้อของตน
ตอนต่อไป