ตอนที่ 245 มาเพื่อทำลาย
บัดนี้ทั้งสองครอบครัวได้ผ่านขั้นตอนการสู่ขอไปแล้ว นางหวงไม่มีสิ่งใดคัดค้าน นางเขียนวันตกฟากของบุตรสาวคนรองและยื่นให้ฝ่ายชาย ด้านเจียงโม่หานรับมาด้วยสีหน้าจริงจัง
คนในตระกูลหลินรับสินสอดไป จากนั้นก็เชิญแขกผู้มีเกียรติมาร่วมเฉลิมฉลอง บุตรสาวคนโตได้เรียนรู้วิธีการทำอาหารกับหลินเว่ยเว่ยไม่น้อย เวลานี้นางจึงกลายเป็นแม่ครัวใหญ่ไปโดยปริยาย
หลินเว่ยเว่ยแอบเข้ามาในห้องครัวแต่โดนป้ากุ้ยฮวากับแม่ซัวถัวไล่ออกไป “กลับไปอยู่ในห้องเดี๋ยวนี้ วันนี้เป็นวันมงคลของเจ้า ไม่ต้องเข้ามาในครัว ที่นี่เป็นของพวกเรา ! ”
รายการอาหารถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าหนึ่งวัน วัตถุดิบถูกตระเตรียมไว้เพียงพอ อาหารบางอย่างถูกรังสรรค์ไว้ในหม้อตุ๋นตั้งแต่เช้าตรู่ เวลานี้จึงส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลชวนน้ำลายไหลไปทั่วงาน เหล่าหญิงสูงวัยช่วยกันล้างช่วยกันหั่น ไม่นานอาหารก็พร้อมยกออกมาให้ทุกคนได้ลิ้มลอง !
เหล่าสหายของเจียงโม่หานฉลองอยู่ในห้องที่หลินจื่อเหยียนจัดเตรียมไว้ให้ เดิมทีเจียงโม่หานตั้งใจรับรองสหายที่บ้านของตน แต่ฝีมือการทำอาหารของนางเฝิง…มันยากที่จะบรรยายออกมาได้ นางหวงจึงเสนอให้ทั้งสองครอบครัวนั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน จะได้ครึกครื้นสนุกสนานยิ่งขึ้น !
สหายของเจียงโม่หานบ้างก็อาศัยอยู่ในเขตเริ่นอัน บ้างก็อาศัยอยู่ในเขตใกล้เคียง โดยปกติพวกเขามักชื่นชมในความสามารถของเจียงโม่หาน มักจะขอคำปรึกษาอย่างถ่อมตนอยู่แล้ว ในด้านนิสัยของสหายเหล่านี้จึงได้รับการยอมรับจากเจียงโม่หาน แต่มีใครบอกได้บ้างว่าเฝิงชิวฟานมาได้อย่างไร ? ไม่ใช่ว่ากลับบ้านที่อยู่นอกเมืองเหอโจวไปแล้วหรอกหรือ ?
ใบหน้าของเฝิงชิวฟานแต้มไปด้วยรอยยิ้ม แต่มองแล้วเหมือนกำลังสวมหน้ากากและไร้จิตวิญญาณ เขาเอ่ยด้วยความสนใจว่า “แม้ข้าจะไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่นและสงสัยว่าเหตุใดเจ้ายังกล้าเอ่ยปากขอยืมเงินข้า ! ที่แท้ก็เพื่อซื้อสินสอดทองหมั้นนี่เอง ! ดูท่าศิษย์น้องตัวดีจะชอบเด็กสาวผู้นั้นมาก ถึงได้ประโคมสินสอดมากมายถึงเพียงนี้ ! ”
เมิ่งจิ่งหงมองไปทางเจียงโม่หานอย่างกังวล อีกฝ่ายเป็นผู้มีพรสวรรค์ เรียนดี นิสัยดี ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือทะนงตนเกินไปและมักลำพองตน ว่าแต่ศิษย์พี่เฝิงเป็นอันใดไป ? วันนี้คือวันมงคลของสหายเจียงแท้ ๆ จะหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาให้ได้สิ่งใด ?
เผิงหยูเหยี่ยนก็ผงะไปชั่วขณะ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ศิษย์น้องเจียง สาวน้อยผู้นั้นทั้งเด็ดขาดและงดงามจึงทำให้เจ้าชมชอบ เชื่อได้เลยว่าอีกไม่นานจะต้องได้ดื่มสุรามงคลสมรสของพวกเจ้าแน่นอน”
หลิ่วจงเทียนจึงรีบเสริมว่า “ใช่ ใช่ ! ในตอนที่สหายเจียงแต่งงาน พวกเราต้องมาช่วยงานแน่นอน ! จะบุ๋นหรือบู๊ล้วนไม่เกินมือพวกเรา ไม่มีทางทำให้เจ้าพลาดฤกษ์ดีเด็ดขาด ! ”
พวกเขามักจะลอบมองสีหน้าของเจียงโม่หานอยู่เสมอ กลัวว่าจะรู้สึกไม่ดีและยิ่งเป็นกังวลว่าเจียงโม่หานจะไม่ช่วยเหลือเรื่องการเรียนอีก
ใบหน้าของเจียงโม่หานแต้มไปด้วยรอยยิ้มเบาบาง ก่อนจะพูดว่า “ว่าที่เจ้าสาวของข้าอายุยังน้อย หากจะแต่งงานก็คาดว่าต้องรออีกสองปี”
“อ้อ…ข้ารู้แล้ว แม่สาวน้อยผู้นั้นต้องโดดเด่นมากแน่ สหายเจียงถึงได้เป็นกังวลว่าจะมีผู้อื่นแย่งไป ดังนั้นจึงรีบจับจองตั้งแต่เนิน ๆ ใช่หรือไม่ ? ” เมิ่งจิ่งหงใช้ศอกกระทุ้งเล็กน้อย ก่อนจะขยิบตาให้อย่างเจ้าเล่ห์
เฝิงชิวฟานเอ่ยในสิ่งที่ไม่ควรเอ่ยออกมา “ข้าเคยเจอนางมาแล้ว คราที่แล้วข้ามาเยี่ยมศิษย์น้องเจียงและนางกำลังตัดฟืนจากภูเขาอยู่พอดี นางยังชี้บอกทางให้ข้าด้วย ! ศิษย์น้องเจียง เรี่ยวแรงของสาวน้อยผู้นั้นมากมายมหาศาล เจ้าจะรับไหวหรือไม่ ? ”
หัวคิ้วของทั้งสามคนขมวดเข้าหากันเล็กน้อย วันนี้เฝิงชิวฟานเป็นอันใด ? ถ้อยคำที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เช่นนี้ เหตุใดยังกล้านำมาเอ่ยในสถานการณ์นี้อีก ? จะไม่ให้ความเคารพกันเกินไปกระมัง ?
เมิ่งจิ่งหงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอีกครั้ง “สหายเจียง การสอบขุนนางเดือนแปดปีหน้า เจ้าเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว ? แค่ความสามารถของเจ้าการสอบซิ่วไฉย่อมไม่มีปัญหา ส่วนข้าก็ช่างเถิด สอบผ่านบัณฑิตถงเซิงได้ก็เพียงพอแล้ว ! ”
เจียงโม่หานรินชาให้เขาพลางกล่าวว่า “ข้าได้ ‘ตำราชุนชิว’1 มาใหม่เล่มหนึ่ง ในนั้นมีคำอธิบายถึงนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ผนวกกับความรู้บางส่วนของข้า หากสหายเมิ่งไม่รังเกียจก็หยิบไปอ่านได้ ! ”
“ไม่รังเกียจหรอก อาวุโสเซวียก็เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มากชื่อเสียงในเจียงหนานเมื่อครั้งอดีต ภาพวาดของท่านไม่เป็นสองรองใคร ในขณะที่กำลังศึกษาท่านได้แสดงความคิดเห็นในมุมมองส่วนตัว แต่ในตอนที่เจียงหนานกำลังเกิดสงครามกลับไม่มีข้อมูลของท่านหลงเหลือ…” ใบหน้าของเมิ่งจิ่งหงประหลาดใจนัก คาดไม่ถึงว่าจะยังได้รับการจดจำอย่างไม่น่าเชื่อ !
เผิงหยูเหยี่ยนและหลิ่วจงเทียนจึงแย่งกันพูดว่า “ศิษย์น้องเจียง สหายเจียง หากสหายเมิ่งอ่านจบแล้ว เราขออ่านต่อได้หรือไม่ ? ”
“ย่อมได้ ! ” เจียงโม่หานพยักหน้า จากนั้นก็มองไปทางเฝิงชิวฟานที่มีสีหน้าไม่ค่อยดี หากยังไม่มีผู้ใดสนใจครั้งแล้วครั้งเล่าก็คงคิดหารอยแยกของโต๊ะแล้วแทรกตัวหนีเสียเลย
เจียงโม่หานลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หยิบตั๋วเงินสองสามใบออกจากกล่องไม้แล้ววางลงเบื้องหน้าของเฝิงชิวฟาน “ในระหว่างที่ข้าได้รับบาดเจ็บต้องขอบคุณศิษย์พี่เฝิงที่ช่วยเหลือ นี่คือเงินจำนวน 350 ตำลึง 300 ตำลึงที่ข้ายืมท่านไป ส่วนอีก 50 ตำลึงคือดอกเบี้ย ศิษย์พี่เฝิงช่วยตรวจสอบด้วยเถิด ! ”
สีหน้าของเฝิงชิวฟานไม่สู้ดีนัก “ดอกเบี้ยอันใด ? เจ้าก็ทำเหมือนเป็นคนนอกเกินไป ! กระนั้นข้าจะรับเงินนี้ไว้ แต่ถ้าเจ้าเอ่ยถึงดอกเบี้ยนี้กับข้าอีก ข้าจะไม่ไว้หน้าเจ้าแล้ว ! ”
“เช่นนั้นต้องขอบคุณศิษย์พี่เฝิงเป็นอย่างสูง ! ” เจียงโม่หานรับเงินจำนวน 50 ตำลึงมาด้วยสีหน้านิ่งสงบ อย่างไรเป้าหมายของตนก็สำเร็จลุล่วงแล้ว เจ้าตบหน้าข้าจนบวมโดยกล่าวหาว่าข้าทำเป็นหน้าใหญ่ใจโตยืมเงินไปซื้อสินสอดทองหมั้น คราวนี้เป็นอย่างไรเล่า หน้าของเจ้าถูกตบคืนจนแสบไปแล้วกระมัง
เฝิงชิวฟานหยิบผลไม้อบแห้งขึ้นมาหนึ่งชิ้น ก่อนจะเอาเข้าปากเพื่อชิมรสชาติอย่างละเอียด “ศิษย์น้องเมิ่ง ศิษย์น้องหลิ่ว ลองชิมอาหารฝีมือมารดาศิษย์น้องเจียงสิ ! ไม่ต่างจากที่ร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ในเขตเริ่นอันเลย ! ”
มุมปากของเจียงโม่หานกระตุกยิ้มเบาบาง จากนั้นก็กล่าวอย่างนิ่งสงบว่า “แน่นอนอยู่แล้ว เพราะร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้มีสูตรที่สืบทอดมาอย่างยาวนานจากตระกูลเจียง ! ”
เมื่อเมิ่งจิ่งหงและหลิ่วจงเทียนได้ยิน สายตาของพวกเขาก็กวาดมองออกไป เมิ่งจิ่งหงเผยสีหน้าสนอกสนใจออกมา “ร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้นั้นที่บ้านข้าชอบกินมาก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสูตรลับของตระกูลเจียงเสียได้ ! ผลไม้อบแห้งนี้ข้าชอบกินมากเพราะคุ้มค่าและรสชาติไม่เสียดายเงิน ! ”
“ไอหยา ! ขนมชนิดนี้ไม่มีทางใช่ของร้านหนิงจี้กระมัง ? ไหนจะเนื้อแผ่นนี้อีก…อืม เนื้อกวางแผ่นคือสินค้าที่มีราคาแพงที่สุดของร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ ปกติแล้วมักจับจองไม่ทัน สหายเจียง หรือว่าเจ้ามีวิธีทำ ! ” หลิ่วจงเทียนหยิบเนื้อกวางแผ่นชิ้นหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็กินอย่างเอร็ดอร่อย
เผิงหยูเหยี่ยนหยิบขนมถั่วชิ้นหนึ่งและกินอย่างเอร็ดอร่อยเช่นกัน “ศิษย์น้องเจียง นี่คือขนมอะไร ดูเหมือนที่ร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้จะไม่มี ? คงไม่ได้มีสินค้าออกใหม่ใช่หรือไม่ ? ”
“นี่คือคุ้กกี้เมล็ดต้นเจิน เป็นสูตรใหม่ที่คิดค้นโดยว่าที่เจ้าสาวของข้า ลองชิมสิ เป็นอย่างไรบ้าง ? ” เจียงโม่หานไม่ได้สนใจเฝิงชิวฟาน เพราะหากไม่มีจี้หยกแล้วชาตินี้เขาก็เป็นได้แค่ตัวตลกในสายตาผู้อื่นเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเลย !
“กรอบและหอม หวานแต่ไม่เลี่ยน เมล็ดถั่วกรุบกรอบกำลังดี ตัวขนมก็ทำอย่างพิถีพิถัน…คาดไม่ถึงว่าจะเป็นฝีมือของสาวน้อยผู้นั้น ! ” สภาพแวดล้อมของเผิงหยูเหยี่ยนไม่เลวเลย ปกติจะไม่ค่อยมีงานให้ทำมากนัก เรื่องสำคัญเพียงอย่างเดียวคือปากท้อง ดูจากร่างกายที่มีน้ำมีนวลของเขาแล้วไม่ต้องบอกก็รู้ !
“คุ้กกี้บรรจุในโถกระเบื้องเคลือบ สามารถเก็บได้นานหลายเดือน ! เมื่อวานว่าที่เจ้าสาวของข้าทำไว้หลายชุด หากทุกคนไม่รังเกียจ…”
“ไม่รังเกียจ ไม่รังเกียจเลย ! ” เผิงหยูเหยี่ยนไม่รอให้อีกฝ่ายกล่าวจบก็ตอบรับอย่างอดใจไม่ไหว เมิ่งจิ่งหงและหลิ่วจงเทียนจึงมองไปทางเขาด้วยท่าทางที่ยากจะบรรยายออกมา
1 ตำราชุนชิว คือ บันทึกแห่งการเรียนรู้ก่อนราชวงศ์ฉิน