ตอนที่ 256 ชอบเจ้าจึงรังแกเจ้า
เด็กน้อยเดินตามหลินเว่ยเว่ยไปติด ๆ และมีเด็กอีกจำนวนไม่น้อยยังหันกลับมามองเชือกของตนอย่างพะว้าพะวังจนเกือบสะดุดก้อนหิน
หลินเว่ยเว่ยพาเด็ก ๆ ไปยังพื้นที่เต็มไปด้วยหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ เด็กน้อยพุ่งตัวเข้าไปอย่างกระตือรือร้น ใช้พลั่วของตนและเคียวเล็ก ๆ เกี่ยวหญ้ากระต่ายอย่างมีความสุข หลินเว่ยเว่ยหันไปมองเจียงโม่หาน ก่อนจะคลี่ยิ้ม “ดูสิ ข้าเหมือนคนเลี้ยงแกะหรือไม่ ? ”
“เหมือน ! ” เจียงโม่หานหาที่นั่ง จากนั้นก็เปิดตำราในมือ “เหมือนสุนัขเลี้ยงแกะที่มีอำนาจตัวหนึ่ง ! ”
หลินเว่ยเว่ยโยนหญ้ากองหนึ่งไปทางเขา “เจ้าน่ะสิสุนัขเลี้ยงแกะ ! เจ้าเคยเห็นสุนัขเลี้ยงแกะที่ช่วยจ่าฝูงหมาป่าเลี้ยงลูกของมันหรือไม่ ? ”
“เคย ! ” เจียงโม่หานมุ่ยปากไปยังทิศทางของนาง “ก็มีหนึ่งตัวไม่ใช่หรือ ? ”
“บัณฑิตน้อย ! ข้าคิดว่าตอนนี้เจ้านิสัยเสียเกินไปแล้ว ! เจ้าชอบรังแกข้า ! ” หลินเว่ยเว่ยโยนลูกหมาป่าที่กำลังหลับพริ้มใส่อ้อมแขนของเจียงโม่หานด้วยความโกรธ
เจ้าดำตื่นตกใจจึงลืมตาที่มีสีดุจอัญมณี จากนั้นก็เบิกตากว้างมองเจียงโม่หานด้วยความโง่เขลา เห็นได้ชัดว่ามันเพิ่งจะหลับอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่นได้ไม่นาน แล้วเหตุใดภาพตรงหน้าจึงเปลี่ยนเป็นมนุษย์ที่ชอบทำหน้าตาน่าเกลียดเช่นนี้ได้ ?
เจียงโม่หานใช้สองนิ้วบีบท้ายทอยของเจ้าดำขึ้นมาและทำการตรวจสอบทั่วร่างกายของมันอีกครั้ง เมื่อพบว่าเจ้าลูกหมาป่าตัวนี้สะอาดสะอ้านจึงวางมันบนตักอย่างเบาใจ
เขาใช้นิ้วชี้จิ้มไปบนตัวที่นอนหงายเท้าชี้ฟ้าของมัน จากนั้นก็กดแล้วมองมันดิ้นพล่านเหมือนเต่าหงายท้อง ก่อนจะตอบกลับถ้อยคำเมื่อสักครู่ของหลินเว่ยเว่ยว่า “เพราะข้าชอบเจ้าจึงรังแกเจ้า ! ดูสิ นอกจากเจ้าแล้วข้าเคยรังแกผู้ใดอีก ? เจ้าน่าจะดีใจด้วยซ้ำ ! ”
เมื่อได้ยินดังนั้น นางจึงส่งเสียงฮึดฮัดออกมา “ใช่ ใช่ ! การทำให้เจ้าตาบอดมาชอบข้าได้ ข้ามีความสุขยิ่งนัก ! บัณฑิตน้อย เจ้าถือตำรานั้นทั้งวันแต่ไม่เคยเห็นอ่านเป็นจริงเป็นจังสักครั้ง การสอบในวันพรุ่งนี้เจ้าวางแผนไว้อย่างดีหรือตั้งใจจะปล่อยวางงั้นหรือ ? ”
“เดิมทีข้าตั้งใจจะปล่อยวาง รู้สึกว่าตนยังหนุ่ม เข้าร่วมการสอบช้าสักหน่อยคงไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้ข้ามีว่าที่ภรรยาแล้ว จึงรู้สึกมีภาระหนักอึ้งขึ้นมาทันใด ข้าจึงตัดสินใจลองอีกสักครั้ง ข้าจะสอบซิ่วไฉเพื่อเป็นเกียรติให้ว่าที่ภรรยา ! ” เจียงโม่หานยื่นมือออกไปจะช่วยนาง แต่โดนนางผลักไปตามเดิม…แรงอันน้อยนิดของเจ้า ทำงานนี้ไม่ไหวหรอก !
หลินเว่ยเว่ยยังจิกกัดต่อ “เช่นนั้นหรือ ! การเป็นว่าที่ภรรยาของเจ้าจะต้องมีความสุขมากแน่ เจ้าจงทะนุถนอมข้าไว้ให้ดีแล้วกัน”
“แน่นอน ในเมื่อข้าให้คำมั่นสัญญากับป้าหวงไปแล้วก็คงต้องดูแลเจ้าไปตลอดชีวิต ! ” เจียงโม่หานก้มหน้ามองเจ้าดำที่กำลังแทะนิ้วของตน จากนั้นก็เช็ดน้ำลายบนมือกับขนของมันด้วยท่าทางรังเกียจที่สุด พร้อมเอ่ยถ้อยคำหวานซึ้งด้วยน้ำเสียงเย็นชา นอกจากบัณฑิตหนุ่มแล้วก็ไม่มีผู้ใดทำได้อีก !
“เด็กๆ เรียบร้อยหรือยัง ? ” หลินเว่ยเว่ยตะโกนไปยังกลุ่มเด็กน้อยที่กำลังไล่จับตั๊กแตนและหนอนตามพุ่มหญ้า
“เรียบร้อย…แล้ว…” เด็ก ๆ ถือตะกร้าใบเล็กที่บรรจุหญ้าจนเต็มเดินเข้ามาอย่างกระตือรือร้น จากนั้นก็เริ่มรวมตัวกันอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาค่อย ๆ ย่างเท้าตามหลังหลินเว่ยเว่ยไปยังหุบเขาที่วางกับดักเอาไว้
เจ้าของเชือกเส้นหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้หุบเขาที่สุดคือถู่โต้ว เขาตะโกนเสียงแหลมสะเทือนแก้วหูออกมา “อ๊าก ข้าจับได้แล้ว ! จับกระต่ายตัวอ้วนได้แล้ว ! ฮ่าฮ่า คืนนี้เรามีกระต่ายกินกันแล้ว ! ”
เด็กคนอื่นรีบวางตะกร้าลงแล้ววิ่งไปยังเชือกของตน หลังจากนั้นเสียงร้องด้วยความดีใจก็ดังขึ้นเป็นระยะ “ข้าก็จับได้ ! ”
“ข้าก็ด้วย ! ”
“ของข้าเป็นไก่ป่าที่งดงามหนึ่งตัว หางก็ยาวมากด้วย ! ”
บ่วงเชือกที่วางไว้ล้วนดักจับเหยื่อได้แทบทุกเส้น เด็ก ๆ พากันดีใจยกใหญ่ นี่คือการล่าสัตว์ครั้งแรกของพวกตน ! หลินเว่ยเว่ยและหลินจื่อเหยียนช่วยมัดเหยื่อให้เด็ก ๆ จากนั้นก็วางลงในตะกร้าของพวกเขาอีกที
เจ้าหนูน้อยเช็ดน้ำตา ที่แท้ก็มีเพียงบ่วงเชือกของตนยังว่างเปล่า ! เสี่ยวร่างรีบเอาไก่ป่าในบ่วงเชือกของตนยัดใส่ตะกร้าของนายน้อย “คืนนี้เราก็มีไก่กินขอรับ”
“แต่ทุกคนจับเหยื่อได้หมด เหตุใดข้าจับไม่ได้เลย ? ” เจ้าหนูน้อยรู้สึกเสียใจ
หลินเว่ยเว่ยลูบไปบนศีรษะของเจ้าหนูน้อย “ชีวิตของเราจะสมความปรารถนาไปตลอดได้อย่างไร ? เจ้าเองก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับ เรียนรู้ความอยุติธรรมของชีวิต แต่เจ้าอย่ายอมจำนนต่อโชคชะตา ชีวิตเจ้าต้องกำหนดเอง ไม่ใช่รอฟ้าลิขิต ! ไปกันเถิด ข้าจะพาเจ้าไปเปลี่ยนโชคชะตาของตน ! ”
นางใช้เชือกมัดตะกร้าใบหนึ่งไว้กับไม้ จากนั้นก็โรยข้าวโพดที่ได้รับการพรมด้วยน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณลงไปบนดิน ส่วนตนก็ลากเจ้าหนูน้อยมาหมอบบนพุ่มหญ้าด้านหลัง ไม่นานก็มีแม่ไก่ป่าตัวหนึ่งพาลูกไก่ตัวน้อยกลุ่มหนึ่งเดินมายังทิศทางของพวกตน
แม่ไก่ป่ามองไปโดยรอบอย่างระมัดระวัง เจ้าหนูน้อยแทบจะกลั้นหายใจเลยทีเดียว แม่ไก่ป่าไม่สังเกตเห็นอันตรายนี้และทนต่อความเย้ายวนของข้าวโพดไม่ไหว จึงพาลูกของมันเข้ามาบริเวณใต้ตะกร้า จากนั้นก็จิกกินพลางเฝ้าระแวดระวังการเคลื่อนไหวโดยรอบ
เจ้าหนูน้อยตื่นเต้นจนอยากกระตุกเชือกแทบใจจะขาด แต่โดนพี่รองกดมือไว้เพื่อให้รออีกครู่ เมื่อถึงเวลาเหมาะสม หลินเว่ยเว่ยจึงพยักหน้าให้เขา เจ้าหนูน้อยรีบกระตุกเชือกอย่างรวดเร็วส่งผลให้ตะกร้าร่วงลงมาครอบแม่ไก่ป่าและลูกตัวน้อยของมันที่โลภกินอย่างแม่นยำ !
“เจ้าดูสิ เหยื่อของเจ้าในตอนนี้ไม่ได้เป็นเพียงไก่ป่าตัวใหญ่ ยังมีลูกไก่ตัวเล็กอีกไม่น้อยด้วย ดังนั้นจงจำไว้ ไม่ว่าประสบความพ่ายแพ้และความลำบากมากเพียงใด อย่าเพิ่งโทษตนเองและอย่าเพิ่งเสียใจ ทว่าให้คิดหาทางเอาชนะให้ได้ ! ” หลินเว่ยเว่ยมัดไก่ป่าไว้อย่างแน่นหนาและใส่ลงในตะกร้า จากนั้นก็ปิดฝาด้านบนแล้วให้เจ้าหนูน้อยแบกเอง
เจ้าหนูน้อยพยักหน้าพลางครุ่นคิดบางอย่าง
มุมปากของเจียงโม่หานกระตุกยิ้มเล็กน้อย เด็กน้อยคนนี้ นางก็ยังเป็นแค่เด็กแท้ ๆ แต่ยังรู้จักสั่งสอนผู้อื่น เชื่อได้เลยว่าต่อไปบุตรของพวกตนจะต้องมีความโดดเด่นเพราะมีมารดาที่ดี !
เขาและบุตรที่ให้กำเนิดจากนาง…อืม ต้องเฝ้ารออย่างมีความหวัง ! น่าเสียดายที่เด็กน้อยอายุยังน้อยเกินไป ไม่สิ ทั้งสองคนยังเด็กเหมือนกัน จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่จริง ๆ ก็คาดว่าต้องรอไปอีก 2 ปี !
“เจ้ายิ้มอันใด ? ” หลินเว่ยเว่ยแบกฟืน ก่อนจะหันไปมองบัณฑิตหนุ่มที่ยิ้มหน้าระรื่นครู่หนึ่ง นางอยากรู้ว่าเขากำลังคิดเรื่องใดอยู่ ?
เจียงโม่หานส่ายหน้าพลางยิ้มและกล่าวว่า “ไม่มีอันใด ! แค่รู้สึกว่าเวลาเดินช้าเหลือเกิน ! ”
แววตาของหลินเว่ยเว่ยเต็มไปด้วยความสงสัย เหตุใดจึงเป็นกังวลเช่นนี้ ? หรืออาจเพราะเขายังเด็กอยู่ เพราะเมื่อครั้งเยาว์วัยนางก็มักรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้ามาก เมื่อเติบโตขึ้นจึงได้ทอดถอนใจต่อความรวดเร็วของวันเวลา ชีวิตที่ไร้ค่าได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว…
ทางด้านหมู่บ้าน เมื่อถึงเวลากินอาหาร หลายครอบครัวก็ออกตามหาบุตรหลานของตน สุดท้ายก็มารวมตัวกันที่บ้านตระกูลหลิน เพราะเด็กของตนชอบมาเล่นกับเจ้าหนูน้อย
ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถามนางหวงว่า “วันนี้ตงเฉียงของเราไม่มาเล่นกับเอ้อร์ฮว๋าของเจ้าหรือ ? ”
“มาแล้วนี่ เห็นแบกตะกร้าออกไปด้วยกัน” นางหวงเริ่มร้อนใจเพราะปกติเวลานี้เด็ก ๆ ต้องกลับมาแล้ว ! เหตุใดวันนี้จึงไร้การเคลื่อนไหว ? คงไม่ได้พบอันตรายใช่หรือไม่ ?