ตอนที่ 330 ในช่วงเวลาสำคัญ หน้าต้องหนา
หลังจากเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว วัตถุดิบในการผลิตสินค้าก็ขาดแคลน กระทะที่เคยใช้ทำแยมและผลไม้ในโถกระเบื้องเคลือบจึงว่างงาน ตอนนี้กลายเป็นตัวเลือกในการต้มเกี๊ยวอย่างดีที่สุด กระทะหนึ่งต้มเกี๊ยวไส้หมูผักกาดขาว อีกกระทะต้มเกี๊ยวไส้หมูกุยช่าย อีกกระทะ…
เกี๊ยวไส้หมูผักกาดขาว บ้านตระกูลหลินกินแค่ไม่กี่ชิ้น ลู่เหวินจวินที่ตักให้ตนจนเต็มชามจึงหันไปมองคนโน้นทีคนนั้นที ก่อนจะถามด้วยความงุนงงว่า “เหตุใดพวกท่านกินกันน้อยเช่นนี้ ? ”
เจ้าหนูน้อยยิ้มให้เขา “ท่านโง่หรือไร ! หากตอนนี้กินจนอิ่มแล้วพอเกี๊ยวไส้อื่น ๆ สุก ท่านจะยังเหลือท้องไว้กินอีกหรือไม่ ? ข้ากำลังรอเกี๊ยวไส้กุ้งอยู่ มันจะต้องอร่อยมากแน่นอน ! ”
ลู่เหวินจวินพยักหน้าด้วยความเข้าใจ จากนั้นก็นำเกี๊ยวที่ตักมาแล้วยัดใส่มือชิงเฟิง “ใช่ ใช่ ! ต้องเก็บท้องไว้กินของอย่างอื่น เลือกอันที่ตนชอบแล้วกินเยอะ ๆ หน่อย ! ”
เขาลองชิมไส้หมูผักกาดขาว…อร่อย ! ถ้าไม่ใช่เพราะไส้หมูกุยช่ายกระทะต่อไปต้มเสร็จแล้ว เขาคงหยุดมือไม่ได้ !
“นี่คือผักกุยช่าย ! คาดไม่ถึงว่าในฤดูกาลนี้ก็ยังมีผักกุยช่ายขายด้วย…” ลู่เหวินจวินคีบขึ้นมากินหนึ่งชิ้นแล้วกินต่ออีกชิ้น…พอไม่ทันระวัง เขาก็กินเกี๊ยวไส้หมูกุยช่ายไป 5-6 ชิ้นแล้ว
หลังคีบเกี๊ยวขึ้นมากินหนึ่งชิ้นแล้ว เจ้าหนูน้อยก็โบกมือเรียกเขาอย่างมีลับลมคมใน “ไป ข้าจะพาท่านไปดูฐานลับของบ้านเรา ! ”
ผู้ดูแลจางเห็นคุณชายเดินจับมือบุตรชายคนเล็กของตระกูลหลินไปพร้อมท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ จากนั้นก็เข้าไปยังห้องปีกตะวันตกราวกับโจร เขาจำได้ว่าที่นั่นเป็นห้องนอนของบุตรสาวคนรองตระกูลหลิน…หากคุณชายเข้าไปคงไม่ค่อยดีกระมัง
เขาเพิ่งวางถ้วยในมือและกำลังจะลุกขึ้นไปเตือนคุณชายรองก็ได้ยินเสียงคุณชายเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้ ! ผักกาดขาวสวยมาก ! ปวยเล้งก็สดมากเหมือนกัน ! นี่คือต้นกระเทียมใช่หรือไม่ ? หืม ? ที่ตัดไปพวกนี้คือกุยช่ายใช่หรือเปล่า ? ”
ผู้ดูแลจางอดไม่ได้ที่จะเดินตามเข้าไปดู ทันใดนั้นเขาก็พบว่าบนเตียงเตากลายเป็นแปลงผักเล็ก ๆ ผักแต่ละชนิดมีสีเขียวชอุ่มและเติบโตได้เป็นอย่างดี ! บุตรสาวคนรองตระกูลหลินมีความพยายามมาก…พอกลับไปแล้ว เขาก็จะให้คนงานที่ไร่ในเมืองหลวงก่อเตียงเพื่อปลูกขึ้นมาบ้าง โต๊ะอาหารในฤดูหนาวของพวกนายท่านจะได้มีผักใบเขียวบ้างเช่นกัน !
พอเดินออกมาจากห้องปีกตะวันตกแล้ว ผู้ดูแลจางก็เหลือบมองของในมือคุณชายรองและพบว่าอีกฝ่ายเด็ดผักกาดหอมออกมาแล้วยัดใส่ปากทันที เขาจึงอดไม่ได้ที่จะยกมือกุมหน้าผาก…ท่านไม่เห็นว่าตนเองเป็นคนนอกจริงหรือ !
หลินเว่ยเว่ยเห็นคุณชายลู่กำลังทำตัวราวกับกระต่ายที่ออกจากโพรงมาพร้อมการกัดกินผักกาดหอม นางจึงคลี่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “คุณชายลู่ หากช่วงสองวันนี้ยังไม่คิดจะเดินทางกลับ คืนนี้ก็อยู่พักที่บ้านเราก่อนแล้วพรุ่งนี้ข้าจะทำเนื้อย่างกระทะร้อนให้ท่านกิน หมูสามชั้นที่ย่างจนมันไหลเยิ้ม ทาด้วยซอสปิ้งย่างรสเผ็ดร้อน ก่อนทานก็ใช้ผักกาดหอมห่อ รสชาติเช่นนั้นเป็นสิ่งที่เยี่ยมยิ่งกว่าเยี่ยมเชียวล่ะ ! ”
แม้จะไม่รู้ว่า ‘เยี่ยมยิ่งกว่าเยี่ยม’ เป็นความรู้สึกอย่างไร แต่ลู่เหวินจวินก็ยังโดนอาหารเลิศรสที่นางบรรยายถึงล่อลวงได้อยู่ดี เขาพยักหน้ารัว ๆ “ยังไม่กลับ ช่วงสองสามวันนี้เราจะอยู่พักที่เขตเริ่นอัน ! ”
ผู้ดูแลจางถึงขั้นพูดไม่ออก พวกเราตกลงกันแล้วว่าพรุ่งนี้พักผ่อนอีกวัน จากนั้นวันมะรืนก็จะกลับไม่ใช่หรือ ? คุณชายรองหนอคุณชายรอง ท่านใจง่ายเช่นนี้ ไม่เหมาะแก่การทำการค้าเลย !
บ่าวรับใช้ตระกูลลู่ที่ตามมาด้วยก็คาดไม่ถึงว่าจะมีเกี๊ยวในส่วนของพวกตนด้วย ทั้งแปดคนได้เกี๊ยวชามใหญ่คนละชาม ซี่โครงตุ๋นมันฝรั่งวุ้นเส้นและแป้งทอดก็หยิบได้ตามใจชอบ ! ของกินแบบนี้แม้จะอยู่ในเมืองหลวงก็ยังเคยเห็นน้อยมาก ! แต่ละคนจึงกินจนพุงกาง !
คนตระกูลหลินและลู่เหวินจวินชิมเกี๊ยวแต่ละไส้ในจำนวนไส้ละไม่กี่ชิ้น เจ้าหนูน้อยชอบเกี๊ยวไส้กุ้งมากที่สุด แม้จะกินจนท้องกลายเป็นคางคกน้อยแล้ว เขาก็ยังทำใจหยุดมือไม่ลง
หลินเว่ยเว่ยจึงเข้าไปพูดกับเขาว่า “พรุ่งนี้ข้าจะทำเกี๊ยวไส้กุ้งใส่น้ำซุปให้เจ้ากิน ! ” เจ้าหนูน้อยถึงได้ยอมหยุดมือ
นอกจากไส้กุ้งแล้ว ลู่เหวินจวินยังชอบกินไส้เนื้อแกะอีกด้วย เนื่องจากไส้เนื้อแกะที่หลินเว่ยเว่ยปรุงนั้นไม่เลี่ยนแม้แต่น้อย แถมวัตถุดิบยังให้รสสัมผัสสดใหม่มาก ! ไส้หมูเห็ดหอมก็กินเข้าไปไม่น้อย
ทันใดนั้นเจ้าหนูน้อยก็เหมือนจะคิดบางอย่างออกจึงหันไปมองทางพี่สาวคนโต “ว่าที่พี่เขยใหญ่ไม่มีลาภปาก ! บ้านเขาจะต้องไม่มีเกี๊ยวไส้หลากหลายเหมือนบ้านเราแน่นอน ! ”
“ใครบอกว่าคู่หมั้นของพี่ใหญ่ไม่มีลาภปาก ? แม้เขาจะไม่อยู่ แต่นางก็ยังคิดถึงเขาจึงเก็บเกี๊ยวทุกไส้ซ่อนไว้แล้ว…” หลินเว่ยเว่ยแกล้งหยอกเย้าพี่สาวคนโต
บุตรสาวคนโตตระกูลหลินที่ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในบ้านก็มีสีหน้าแดงระเรื่อทันที “ใครบอกว่าข้าแอบซ่อน ? ข้าเห็นว่าห่อไว้เยอะย่อมกินไม่หมด จึงเอาไปวางตากไว้ข้างนอก ! ไม่ได้…เก็บไว้ให้ใครเสียหน่อย ! ”
หลินเว่ยเว่ยคลี่ยิ้ม “ท่านไม่ต้องอธิบายหรอก อธิบายไปก็เหมือนหาข้ออ้าง อธิบายไปก็เหมือนปิดบังความจริง หากข้าทำของอร่อยแล้วบัณฑิตน้อยไม่อยู่บ้าน ข้าก็จะคิดถึงเขาแล้วเก็บไว้ให้หนึ่งชุด หรือไม่ก็รอให้เขากลับมาแล้วค่อยทำให้เขาใหม่โดยเฉพาะ คู่หมั้นตนเอง เป็นใครก็ต้องรักอยู่แล้ว มีสิ่งใดน่าอายกันเล่า ? ”
พอคนตระกูลหลินและนางเฝิงได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ส่วนเจียงโม่หานยังมีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม ทว่าปกปิดรอยยิ้มแสนอบอุ่นในแววตาไม่อยู่ หลังจากบุตรสาวคนโตไม่ค่อยเขินอายสักเท่าไรแล้ว จึงถลึงตาใส่หลินเว่ยเว่ย “คิดว่าคนอื่นหน้าหนาเหมือนเจ้าหมดหรือ ! ”
“ถ้าหน้าบางแล้วคู่หมั้นที่ดีถึงเพียงนี้จะมาตกอยู่ในกำมือข้าได้อย่างไร ? ” หลินเว่ยเว่ยขยับเข้าหาบัณฑิตหนุ่มและฉีกยิ้มอย่างประจบใส่เขา
เจียงโม่หานส่ายหน้า ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่ต้องวางกิริยาให้ต่ำถึงเพียงนี้หรอก ลืมแล้วหรือว่าข้าเป็นคนเสนอตัวขอเจ้าแต่งงานก่อน ! ”
“นั่นก็เพราะข้าชอบมาให้เจ้าเห็นหน้า ชอบเข้าใกล้และทำให้เจ้าเห็นข้อดีของข้า เจ้าถึงหลงเสน่ห์ข้าได้อย่างไรเล่า บัณฑิตน้อย บอกข้ามาตามตรงว่าหากข้าเป็นเหมือนเด็กสาวในหมู่บ้านที่พอเห็นเจ้าก็เขินอายจนพูดสิ่งใดไม่ออก ได้แต่แอบมองอยู่ห่าง ๆ ไม่กล้าเข้ามาเล่นด้วย เจ้าจะยังชอบข้าหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยคิดมาโดยตลอดว่าหากไม่ใช่เพราะตนเริ่มรุกก่อน ด้วยนิสัยเย็นชาราวกับธารน้ำแข็งพันปีของบัณฑิตน้อยแล้วนางจะคว้าห่านฟ้ามาครองได้อย่างไร ?
เจียงโม่หานครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่ประมาณสองอึดใจ ท้ายที่สุดเขาก็ส่ายศีรษะตามคาด หลินเว่ยเว่ยจึงพยักหน้าด้วยความภาคภูมิใจ ( มีสิ่งใดให้น่าภูมิใจ ? ) “สรุปได้ว่าในช่วงเวลาสำคัญ หน้าต้องหนาถึงจะดี ! ”
พอลู่เหวินจวินได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้างและอ้าปากค้างทันที สตรีทางเหนือแข็งแกร่งเช่นนี้หมดเลยหรือ ?
ผู้อื่นนั้นเขาไม่รู้หรอก แต่ถ้าหลินเว่ยเว่ยไม่แกร่งล่ะก็จะรับตัวเขาที่ตกมาจากตัวอาคารสูงได้อย่างไร ? จะช่วยชีวิตเขาเป็นครั้งที่สองได้หรือ ? แม้แต่เขายังเคยคิด ไม่ว่าสถานการณ์จะแปลกประหลาดเพียงใด หากปรากฏขึ้นกับตัวหลินกู่เหนียงแล้ว มันก็จะไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป !
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ลู่เหวินจวินที่ตัดสินใจจะอยู่ต่อก็ไล่ชิงเฟิงและผู้ดูแลจางกลับเข้าเขตเริ่นอัน “พวกเจ้ากินอิ่มแล้วก็รีบกลับไปเถอะ สินค้าของเรายังอยู่ที่ท่าเรือ อย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นเด็ดขาด ! ”
บัดนี้ตรงท่าเรือเขตเริ่นอันก็เพราะอาหารบรรเทาทุกข์จึงทำให้มีทหารจากราชสำนักมาคุ้มกันอย่างแน่นหนา มันจึงเป็นสถานที่ปลอดภัยยิ่งนัก แล้วจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นได้อย่างไร ?
ผู้ดูแลจางบ่นในใจว่าคุณชายรองเห็นของกินก็เดินหนีไม่ได้แล้ว ทว่าสุดท้ายผู้ดูแลจางก็ยังทำตามคำสั่งคือพาลูกน้องไม่กี่คนออกมาจากบ้านตระกูลหลิน
ชิงเฟิงยังพยายามจนถึงที่สุด “คุณชาย ให้บ่าวอยู่ต่อเถิดขอรับ ตอนกลางคืนท่านจะได้มีคนชงชา คนรินน้ำให้…อยู่ที่บ้านตระกูลหลินนี้ อย่างไรก็รบกวนให้เจ้าของบ้านยกน้ำมาล้างเท้าให้ท่านไม่ได้ ใช่หรือไม่ขอรับ ? ”