ตอนที่ 435 ซ้ายสุนัข ขวาเหยี่ยว
ในใจเจ้าหนูน้อยคือตำแหน่งของพี่โม่หานอยู่สูงกว่าท่านอาจารย์ที่สำนักศึกษา ถ้าพี่สามไม่ได้รับคำชี้แนะจากพี่โม่หานแล้วก็อาจสอบบัณฑิตถงเซิงไม่ติด ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงซิ่วไฉเลย ดังนั้นเรียนหนังสือกับพี่โม่หานย่อมไม่ผิดพลาดแน่นอน!
แม้แต่ตำราเรียนก็ไม่ได้หยิบมา ทว่าเจียงโม่หานยังสามารถอธิบาย ‘คัมภีร์สามอักษร’ ด้วยภาษาง่าย ๆ ให้ฟังและยังแทรกเรื่องเล่าสั้น ๆ ที่น่าสนใจเข้ามาด้วยเป็นครั้งคราว ฉิงจิ้งหยูที่ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วจึงถูกดึงดูดอย่างรวดเร็ว เขาเดินเข้ามานั่งฟังอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
น้ำเสียงของเจียงโม่หานเต็มไปด้วยแรงดึงดูด ความรู้และคำสอนของเขาฟังแล้วกระชับได้ใจความกว่าอาจารย์ที่สำนักศึกษา ทำให้คนฟังเข้าใจและซึมซับได้อย่างรวดเร็ว ฉิงจิ้งหยูนั่งฟังอย่างเพลิดเพลิน…
“กินข้าวได้แล้ว ! ” น้ำเสียงอันทรงพลังของหลินเว่ยเว่ยดังมาจากห้องครัวเป็นประจำทุกวัน เสียงสอนหนังสือก็เงียบลง เจียงโม่หานลุกออกจากศาลาพลางปัดเสื้อผ้า เจ้าหนูน้อยเก็บสมุดจดบันทึกแล้วโค้งตัวคารวะ ‘อาจารย์’
ฉิงจิ้งหยูก็โค้งคารวะเจียงโม่หานจากใจจริง หลังรอให้อีกฝ่ายเดินออกจากศาลาแล้ว เขาก็ดึงตัวเจ้าหนูน้อยเข้ามากระซิบถามเบา ๆ “เจียงอั้นโฉ่วมีแผนจะเปิดสำนักศึกษาบ้างหรือเปล่า ? ”
เจ้าหนูน้อยหันไปมองเขาด้วยความสงสัย “ประเดี๋ยวก็เข้าสู่เดือนแปด พี่โม่หานต้องไปสอบระดับเซียงซื่อ ถ้าสอบผ่านแล้ว ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็ต้องเดินทางไปสอบฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวง เขาจะเอาเวลาที่ไหนมาเปิดสำนักศึกษาเพื่อสอนคนอื่น ? ”
ฉิงจิ้งหยูค่อนข้างผิดหวัง “แบบนั้นเองหรือ…ข้ายังคิดอยู่เลยว่าถ้าเขาเปิดสำนักศึกษาก็จะขอให้ท่านพ่อย้ายข้ามาเรียนที่นี่ ! ข้าคิดว่าเจียงอั้นโฉ่วสอนเก่งกว่าอาจารย์ที่สำนักศึกษาของพวกเรา ! ”
เจ้าหนูน้อยหัวเราะคิกคัก “แน่นอนอยู่แล้ว ! พี่ชายของข้าก็ได้พี่โม่หานสอนมากับมือ พอสอบซิ่วไฉในครั้งนี้ผ่านจึงค่อยไปหาอาจารย์ ส่วนอาจารย์ของพวกพี่ชายก็ล้วนตกตะลึงกันทุกท่าน เนื่องด้วยพื้นฐานก่อนหน้านี้ของพี่สามเกรงว่าแค่ผ่านระดับเซี่ยนซื่อก็เกินคาดแล้ว พอได้เรียนกับพี่โม่หานนานกว่าครึ่งปีก็ถึงขั้นสอบติดซิ่วไฉ ! พี่โม่หานร้ายกาจมากใช่หรือเปล่า ? ”
หลินจื่อเหยียนที่เดินมาพร้อมตำราเล่มหนึ่งในมือก็ได้ยินคำพูดของน้องชายเข้าพอดี เขาจึงไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที “พี่ชายของเจ้าไม่ร้ายกาจเลยหรือ ? ข้าตั้งใจศึกษามานานกว่าครึ่งปีจึงได้พัฒนาขนาดนี้…ลองเปลี่ยนเป็นคนโง่สักคนไหมเล่า ? ”
เจ้าหนูน้อยแลบลิ้นใส่เขา “พี่โม่หานก็ไม่ได้ทำให้หนอนหนังสืออย่างว่าที่พี่เขยใหญ่สอบติดซิ่วไฉเหมือนกันหรอกหรือ ? อย่างไรพี่โม่หานก็ร้ายกาจ เปลี่ยนหินให้กลายเป็นหยกได้ ! ”
พี่สาวคนโตที่ยกเจี่ยวจือ (เกี๊ยวซ่า) ออกมาจากครัวก็ถลึงตาใส่เจ้าหนูน้อย “หมายความว่าอย่างไร ? เจ้าว่าใครเป็นหิน ? ”
เจ้าหนูน้อยทำหน้าทะเล้นพลางวางสมุดจดบันทึกลงแล้ววิ่งไปช่วยตักข้าวในครัว จากนั้นก็เข้าไปกระซิบข้างหูพี่รองว่า “พี่รอง ข้ายังไม่ทันว่าพี่เขยใหญ่ แต่พี่ใหญ่ของเราก็เข้ามาปกป้องแล้วล่ะ นี่ยังไม่ทันออกเรือนก็หันศอกออกด้านนอกแล้ว ! ”
หลินเว่ยเว่ยบีบแก้มซาลาเปาน้อย ๆ ของเขา ก่อนจะตักเต้าฮวยเค็มให้และพูดกำชับว่า “ระวังร้อน ไปเรียกสหายของเจ้ามากินข้าวเช้าด้วยกันสิ ! ”
ฉิงจิ้งหยูนำสมุดจดบันทึกของเจ้าหนูน้อยไปวางในห้อง เมื่อเห็นหลู่ซวนยังนอนหลับฝันหวาน เขาก็รีบเข้าไปปลุก “ตื่นได้แล้ว เราจะกินข้าวเช้ากันแล้ว ! ”
หลู่ซวนปัดมือเขาออกแล้วบ่นพึมพำ “ออกไป วันนี้วันหยุด ข้าขอนอนอีกหน่อย…”
เจ้าหนูน้อยเดินเข้ามาจากข้างนอกแล้วตะโกนใส่หูของหลู่ซวนว่า “ตื่นได้แล้ว ! ไปจับไก่ป่าบนเขากัน ! ”
“ไก่ป่า ! อยู่ที่ไหน ? ” หลู่ซวนรีบเด้งตัวลุกขึ้นมา ความง่วงจางหายไปในพริบตา
เจ้าหนูน้อยหัวเราะ “พี่รองบอกว่าพอกินข้าวเช้าเสร็จแล้วจะพาพวกเราขึ้นเขา ไม่แน่ว่าเราอาจพบเข้ากับเจ้าตัวนี้ก็ได้ ! ถ้าเจ้าอยากนอนต่อก็ไปกินข้าวแล้วค่อยกลับมานอน ส่วนข้ากับฉิงจิ้งหยูจะไปล่าสัตว์ด้วยกัน ! ”
“ไปสิ ! ไป ! ” หลู่ซวนรีบใส่เสื้อผ้าแล้วไปล้างหน้าแปรงฟันด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็นั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารอย่างเชื่อฟังแล้วเริ่มกินเจี่ยวจือกับเต้าฮวยเค็มคำโต
“อร่อย ! ฝีมือพี่รองหลินดีมากจริง ๆ ! ” เจี่ยวจือทั้งหอมทั้งกรอบ เต้าฮวยเค็มก็กินแล้วสดชื่นและมีรสชาติกลมกล่อม เจ้าอ้วนน้อยจึงหยุดกินไม่ได้
พอเจ้าหนูน้อยได้ยินแบบนั้นก็ดีใจยิ่งกว่าโดนชมเองเสียอีก “จริงไหมเล่า ? ข้าไม่ได้โกหกเจ้าใช่หรือเปล่า ? ก่อนหน้านี้เจ้ายังไม่เชื่อข้าอยู่เลย ! ”
หลู่ซวนหัวเราะแฮะแฮะ “นี่ไม่ใช่ ‘ตาเห็นเป็นจริง หูยินเป็นเท็จ1’ หรอกหรือ ! ข้าถือว่าได้มาเห็นความร้ายกาจของพี่รองหลินด้วยตาแล้ว ต่อไปข้าก็คือผู้ที่จะคอยปกป้องและติดตามพี่รองหลินของเรา ! ”
เจ้าหนูน้อยกินเต้าฮวยเค็มในน้ำแกงไก่หนึ่งคำแล้วหันไปขมวดคิ้วใส่เขา “ของเราที่ไหน ? นั่นคือพี่รองของข้า ! อย่ามาแย่งข้า ! ”
“เราสองคนเป็นอะไรกัน ? เป็นมือเป็นเท้า เป็นพี่น้องร่วมสาบาน ! ต่อไปเรื่องของเจ้าก็คือเรื่องของข้า พี่รองของเจ้าก็คือพี่รองของข้า ! ” หลู่ซวนทุบหน้าอกขณะพูด
หลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เจ้าหนูน้อยก็เข้าไปช่วยล้างจานอย่างขยันขันแข็ง หลู่ซวนและฉิงจิ้งหยูก็เข้าไปช่วยเหมือนกัน เด็กน้อยไม่กี่คนนี้ล้างจานเสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันมากะพริบตาใส่หลินเว่ยเว่ย ‘รอขึ้นเขาอยู่นะ ! ’ เจ้าหนูน้อยยังเดินไปหยิบธนูคันเล็กของตนมาด้วย…ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็เคยเรียนยิงธนู ! เขาแอบสาบานกับตัวเองว่าจะต้องล่าไก่ป่าสักตัวมาให้ได้ เจ้าอ้วนหลู่ซวนจะได้เปิดหูเปิดตา !
หลินเว่ยเว่ยพาทหารเด็กตัวน้อยเดินขึ้นเขา ขณะเดินนำหน้าแบบเปี่ยมพลังอยู่นั้น เจ้าหนูน้อยก็สอนให้สหายทั้งสองรู้จักผักป่าไปด้วย เขาให้ทุกคนสะพายกระบุงไม้ไผ่เอาไว้ เพราะหลังจากล่าสัตว์แล้วจะได้ถือโอกาสเกี่ยวหญ้ากลับไปให้เหล่ากระต่ายที่รัก
ทันใดนั้นอินทรีทองก็กระพือปีกแล้วบินโฉบลงมาจากท้องฟ้า หลู่ซวนกรีดร้องทันที “เหยี่ยว ! หลินจื่อถิง ระวังนกแก้วของบ้านเจ้าด้วย ! ”
แต่แล้วเขาก็ต้องอ้าปากค้างทันทีที่เห็นเหยี่ยวบินไปเกาะบนไหล่ของหลินเว่ยเว่ย พอหันไปมองเจ้าดำที่กำลังวิ่งอยู่ข้างหน้าอย่างมีความสุข เขาก็พึมพำออกมาว่า “ซ้ายสุนัข ขวาเหยี่ยว ! ”
“หลินจื่อถิง เหยี่ยวตัวนี้ก็เป็นของบ้านเจ้าหรือ ? ” หลู่ซวนคิดว่าบ้านของตนด้อยกว่าทันที อยู่ในเมืองแล้วมีประโยชน์อันใด ? ดูบ้านของหลินจื่อถิงสิ เลี้ยงสุนัขมีสายเลือดหมาป่ายังไม่พอ มีนกแก้วห้าสีที่พูดได้อีกหนึ่งตัว แล้วตอนนี้แม้แต่เหยี่ยวก็ยังเลี้ยงได้…ไม่พูดไม่ได้ว่าการมาเยือนในครั้งนี้ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาจริง ๆ !
เจ้าหนูน้อยทำสีหน้า ‘เจ้าช่างไม่ได้เรื่อง’ จากนั้นก็อธิบายว่า “นี่ไม่ใช่เหยี่ยว มันคืออินทรีทองจากทุ่งหญ้าที่สามารถล่าสัตว์ได้ ! การจับกระต่ายป่าก็เป็นงานถนัดของมัน ! พี่รอง ท่านลองให้ต้าจินแสดงฝีมือหน่อยสิ ! ”
อินทรีทองยังไม่ทัน ‘แสดงฝีมือ’ ฝ่ายเจ้าดำก็แทบทนรอไม่ไหว พอตัวมันเข้ามาในป่าก็เหมือนปลาได้น้ำ ‘พรึบ’ เห็นเพียงมันกระโดดหายเข้าไปในพุ่มไม้ ต่อจากนั้นไม่นานมันก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมกระต่ายป่าตัวอวบอ้วนในปาก
จากนั้นก็วางกระต่ายป่าที่ยังขยับขาได้บ้างไว้ข้างเท้าของนายน้อย เจ้าดำหันไปมองอินทรีทองด้วยแววตาหยิ่งผยอง…มาแข่งกันว่าใครจับกระต่ายป่าได้มากที่สุด ?
หลู่ซวนก้มไปเก็บกระต่ายป่าที่มีลมหายใจรวยริน จากนั้นก็เอาใส่กระบุงของตนแล้วเอื้อมมือหมายจะไปจับเจ้าดำ แต่ก็ต้องหยุดการกระทำเพราะสายตาแสนดุร้ายของมัน
ฮึ ! ศีรษะของข้า จะให้ใครจับมั่วซั่วได้อย่างไร ? เพิ่งจ้องเขม็งใส่หลู่ซวนเสร็จ มันก็ยื่นศีรษะไปที่มือของหลินเว่ยเว่ยแล้วเริ่มถูไถด้วยความภักดี จากนั้นก็หันไปแยกเขี้ยวใส่อินทรีทองบนไหล่ของนาง…ออกไปจากไหล่นายหญิง นางเป็นของข้า !
[i]
1 ตาเห็นเป็นจริง หูยินเป็นเท็จ หมายถึง สิ่งที่หูได้ยินอาจไม่ใช่เรื่องจริง ต้องเห็นด้วยตาจึงจะพิสูจน์ได้