ตอนที่ 445 ปณิธานอันแรงกล้าของหลินเฉียงเอ๋อร์
หลังได้ยินเช่นนั้นแล้วบุตรสาวคนโตตระกูลหลินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ข้าจะไปหาสหายเหล่านั้น แล้วถามพวกนางว่าอยากมาช่วยงานหรือไม่”
หลินเฉียงเอ๋อร์มีสหายในหมู่บ้านไม่มากนักหรอก เพราะเมื่อก่อนคนในหมู่บ้านรังเกียจคนต่างถิ่น กอปรกับหลินเว่ยเว่ยเป็นเด็กปัญญาอ่อนคนหนึ่ง พวกเด็กผู้หญิงในหมู่บ้านจึงไม่ยอมคบหากับคนบ้านตระกูลหลิน
สหายคนหนึ่งของหลินเฉียงเอ๋อร์ก็เป็นคนต่างถิ่นเหมือนกัน แซ่หวงนามว่าหยูถิง อายุเท่านางและหมั้นหมายกับเด็กหนุ่มในหมู่บ้านแล้วเช่นกัน วันแต่งงานก็ใกล้เคียงกับหลินเฉียงเอ๋อ ล้วนจัดขึ้นในฤดูหนาวของปีนี้
สหายอีกคนเป็นเหมือนหยาเอ๋อร์คือมีครอบครัวที่มารดาเป็นหญิงม่ายพร้อมบุตรพี่น้องอีกหนึ่งคู่ โชคดีที่มารดาได้ทำงานในโรงงานแปรรูปเมล็ดสน บุตรชายก็โตแล้วจึงสามารถขึ้นเขาไปเก็บเมล็ดสนและของป่าได้ คนในครอบครัวจึงมีชีวิตดีขึ้นเรื่อย ๆ เด็กสาวคนนี้มีนามว่าหลิวต้าฮวา นางเป็นคนขยัน เวลาเก็บผักป่าหรือเก็บผลไม้ป่าก็ไม่เคยอยู่รั้งท้ายแม้แต่ครั้งเดียว
ก่อนที่หลินเฉียงเอ๋อร์จะไปเรียนทอผ้ากับย่าหลิวก็แทบจะไปไหนมาไหนกับเด็กสาวสองคนนี้ทุกวัน บ้างก็เก็บฟืน บ้างก็ขุดผักป่าและซักผ้า ทั้งสามจึงสนิทสนมกันเหมือนพี่น้องแท้ ๆ
เมื่อหลินเฉียงเอ๋อร์เล่าถึงที่มาที่ไปของกิจการให้สองคนนี้ฟัง ไฉนเลยทั้งสองคนจะปฏิเสธ ? วันรุ่งขึ้น พ่อซัวถัวและซัวถัวก็เอาเครื่องปั่นไหมสองชุดมาส่ง เตาที่มุมฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือทั้งสองเตาของบ้านสกุลหลินก็ถูกจุดใช้งานอีกครั้ง เนื่องจากตอนที่เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว เตาที่ใช้ทำแยมผลไม้จะว่างงาน ตอนนี้พวกมันจึงมีประโยชน์ขึ้นมา
เด็กสาวทั้งสองเป็นคนฉลาด เรียนรู้ได้เร็วจึงทำงานได้อย่างรวดเร็วทันใจ หลินเฉียงเอ๋อร์และสหายยืนเรียงอยู่หน้าเตา แม้เหงื่อไหลเต็มศีรษะ แต่ก็ยังขยันขันแข็งสุด ๆ…นี่คือจุดเริ่มต้นของโรงงานทอผ้า ดังนั้นตัวนางก็ต้องเป็นเหมือนน้องสาวที่สร้างกิจการของตนเองขึ้นมาได้สำเร็จ !
รังไหมชุดแรกถูกนำมาสาวไหมเสร็จสิ้นภายในสามวัน ของพวกนี้ล้วนเป็นไหมดิบ จากรังไหมสู่เส้นไหมแล้วยังต้องผ่านการปั่นไหม ม้วนให้เป็นก้อน บิดเป็นเกลียว สางเป็นเส้น ตัดตามความยาวที่ต้องการ จากนั้นก็นำมาทำเส้นไหมยืน แล้วท้ายที่สุดจึงนำไปทอผ้าอีกที…
หลินเฉียงเอ๋อร์นั่งอยู่หน้าเครื่องทอผ้า นางเริ่มทอผ้าไหมด้วยความกระตือรือร้น แต่ในใจกำลังกังวลอย่างหนัก นางเข้าใจดีว่าในทุกสายงานไม่มีความง่าย! ผ่านไปอีกสองวัน นางนั่งอยู่หน้าเครื่องทอผ้าชนิดไม่หลับไม่นอน จนในที่สุดก็ได้ผ้าไหมสีขาวนวลออกมาหนึ่งผืน
เมื่อนำไปส่องมองภายใต้แสงอาทิตย์ ผ้าไหมจะดูเปล่งประกายอย่างน่าหลงใหล นางใช้มือลูบเบา ๆ ก็พบว่าทั้งเนียนทั้งลื่นมือ…นี่คือผ้าไหมที่พวกเศรษฐีชอบสวมใส่ ! ตอนนี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยมือของนาง เรื่องนี้ทำให้หลินเฉียงเอ๋อร์ทั้งประหลาดใจและภาคภูมิใจ !
“ยินดีด้วย ยินดีด้วย ! ” หลินเว่ยเว่ยแสดงความยินดีกับพี่สาว “ผ้าไหมผืนนี้ถ้านำไปขายในตลาดจะได้ราคา 7-8 ตำลึง สกุลเซวียรับซื้ออยู่ที่ 5 ตำลึง ผ้าทอที่เจ้าทำเมื่อก่อนผืนละไม่กี่ร้อยอีแปะ เรียกได้ว่าเศษผ้าไหมหนึ่งชิ้นยังมีราคามากกว่าผ้าฝ้ายธรรมดาหลายเท่า ! ”
หลินเฉียงเอ๋อร์ดีใจยิ่งกว่าอะไร นางยกมือลูบผ้าไหมครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่อยากผละมือหนีไปทางใด…นี่เป็นผ้าไหมผืนแรกที่นางทอออกมาจึงเป็นความทรงจำแสนล้ำค่า นางอยากจะเก็บมันไว้ตลอด รอให้อายุถึงวัยชราก็ยังจะชี้มายังผ้าไหมผืนนี้แล้วเล่าให้ลูกหลานฟังถึงเรื่องราวในอดีต…
หลังได้ฟังความคิดของพี่สาวแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็หลุดหัวเราะออกมาทันที “เหลวไหล หลายสิบปีต่อจากนี้ ผ้าไหมผืนนี้จะกลายสภาพเป็นแบบไหนแล้วก็ไม่รู้ ข้าคิดว่าเจ้าเอาไปขายแลกเงินดีกว่า จะได้ไม่เสียเงิน เวลาและวัตถุดิบ”
นางเฝิงเข้ามาลูบผ้าไหม ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “เทียบกับเส้นไหมจากหนอนไหมของทางใต้แล้ว ผ้าจากหนอนไหมพันธุ์นี้มีความหนากว่าพอสมควร สีก็ไม่เหมือนกัน…”
นางเฝิงเย็บปักถักร้อยเก่ง เมื่อก่อนเคยช่วยตัดเย็บเสื้อผ้า ผ้าเช็ดหน้าและของจำพวกกระเป๋าให้คุณหนูเป็นประจำ เวลานั้นในเรือนมีผ้าแพรหลากชนิด ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ขนมาจากทางใต้ พอคุณหนูออกเรือนไปแล้ว แม้ฐานะของครอบครัวท่านเขยจะเทียบกับสกุลเจียงไม่ได้ แต่ก็มีผ้าไหมให้คุณหนูใช้ไม่ขาด
น่าเสียดายที่ต่อมาเกิดสงครามขึ้น ท่านเขยตามสหายสนิทไปร่วมรบทั้งเหนือและใต้ สร้างผลงานให้บ้านเมืองอย่างมากมาย คุณหนูก็ไม่ยอมเป็นรองบุรุษจึงอ่านตำราพิชัยสงครามจนเข้าใจอย่างถ่องแท้ สามารถดำรงตำแหน่งกุนซือให้ท่านเขยได้และพอจะมีบารมีอยู่ในกองทัพเช่นกัน…จนกระทั่งเพื่อหลอกล่อทหารที่ไล่ตามฮองเฮาซึ่งตั้งครรภ์องค์รัชทายาทอยู่ในขณะนั้น คุณหนูก็ถึงขั้นต้องให้กำเนิดคุณชายน้อยท่ามกลางสนามรบและบังเกิดการพลัดพรากจากกัน…
ทว่านางเฝิงคิดไม่ตก เนื่องด้วยหลังจากสงครามครานั้นสงบ สหายสนิทของท่านเขยกลายเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน และหมินอ๋องผู้อยู่เหนือคนนับหมื่นแต่อยู่รองเพียงคนผู้เดียวก็มีนามเหมือนท่านเขยไม่ผิดเพี้ยน แล้วเหตุใดท่านเขยและคุณหนูจึงไม่มารับตัวคุณชายตามที่นัดหมายกันไว้ ? หรือว่า…หลังเกิดเหตุพลัดพรากจากตนแล้ว คุณหนูก็เผชิญเรื่องเลวร้ายเข้า ? ส่วนท่านเขยก็ไม่รู้ว่ายังมีเลือดเนื้อเชื้อไขแฝงกายอยู่ในโลกแห่งสามัญชน ?
ปิงเจี๋ย (นางเฝิง) ใช่ว่าไม่อยากพาคุณชายน้อยไปที่เมืองหลวงเพื่อให้พ่อลูกได้พบหน้า แต่เมื่อหลายปีก่อนก็เหมือนว่าพวกกบฏราชวงศ์ก่อนได้ล่วงรู้เรื่องที่บุตรชายของเทพสงครามหมินอ๋องหนีมาหลบซ่อนอยู่ที่แดนเหนือ มีครั้งหนึ่งที่นางไปยังตัวอำเภอแล้วเห็นว่ามีคนแอบถามถึงเด็กวัยเดียวกับคุณชายไปทั่ว นางจึงมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง ส่งผลให้ตอนแจ้งเกิดบุตรชาย นางจงใจรายงานให้เขามีอายุมากกว่าความจริง 1 ปี…ถูกต้อง ในความเป็นจริงแล้ว เจียงโม่หานมีอายุเท่ากับเสี่ยวเว่ย แต่ยังชอบทำตัวเป็นพี่ใหญ่ต่อหน้าหลินเว่ยเว่ย !
ตอนนี้นางกำลังฝากความหวังไว้ที่ตัวของหานเอ๋อร์ ขอแค่ในเดือนแปดที่จะมาเยือนนี้ เขาสามารถสอบผ่านเซียงซื่อ ปีหน้าก็จะมีเหตุผลให้ไปพบท่านเขยที่เมืองหลวงและพอถึงเวลานั้น ความจริงทุกอย่างคงกระจ่าง…
จู่ ๆ หลินเว่ยเว่ยก็ปรบมือ “ในเมื่อผ้าไหมผืนนี้มีคุณค่าทางใจมากขนาดนั้น พวกเราเอาไปที่โรงย้อมในตัวอำเภอเพื่อให้เขาช่วยย้อมผ้าเป็นสีแดงแล้วตัดเป็นชุดเจ้าสาวให้พี่ใหญ่ก็สิ้นเรื่อง ! งานแต่งงานของผู้หญิงถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต พี่ใหญ่ไร้พรสวรรค์ในการเย็บบชุดเจ้าสาว แต่ได้สวมใส่ผ้าไหมที่ทอขึ้นมาเองก็จะทำให้คุณค่าของผ้าไหมผืนนี้เพิ่มกว่าเดิมอีกไม่ใช่หรือ ? ”
หลินเฉียงเอ๋อร์ใจเต้นรัวทันที แต่นางกลับพูดด้วยความลังเล “แต่ว่า…ห่างจากวันแต่งแค่ครึ่งปีแล้วจะทันหรือ ? ”
“ทัน ! ” นางเฝิงช่วยพูด เพราะเรื่องชุดเจ้าสาวนี้นางมีสิทธิ์พูดมากที่สุด จำได้ดีว่าชุดเจ้าสาวของคุณหนูในปีนั้น นางก็เป็นหนึ่งในช่างที่ช่วยตัดเย็บ “เรื่องตัดเย็บชุดเจ้าสาวยกให้เป็นหน้าที่ของข้าแล้วกัน รับประกันได้เลยว่าวันงาน เจ้าจะกลายเป็นเจ้าสาวผู้งดงามที่สุดของที่สุด ! ”
หลินเฉียงเอ๋อร์รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันทีพลางมองนางเฝิงด้วยดวงตาเป็นประกาย “ถ้าเช่นนั้นก็…ขอรบกวนน้าเฝิงแล้ว ! ”
หนอนไหมพันธุ์ที่สกุลเซวียให้มาก็ได้สร้างรังไหมชุดที่สองออกมาแล้ว มีปริมาณมากกว่าชุดแรกตั้ง 1 เท่าตัว หลินเฉียงเอ๋อร์จึงยุ่งอยู่กับการทอผ้าไหม ส่วนงานเลี้ยงหนอนไหมก็ไม่ต้องลงมือทำเองเพราะได้จ้างสหายทั้งสองคนมาช่วยงาน
เมื่อเป็นเช่นนี้บ้านตระกูลหลินจึงไม่ได้มีบริเวณกว้างขวางอีกต่อไป หลินเว่ยเว่ยจึงซื้อบ้านของย่าเถียนเอาไว้ เนื่องจากเถียนฟู่กุยย้ายไปอยู่ในตัวอำเภอและซื้อบ้านอยู่ที่นั่น นอกจากนี้เขายังมีบ้านในเขตเริ่นอันอีก 1 หลัง จึงไม่คิดจะย้ายกลับมาอีก บ้านก็ปล่อยว่างไม่ได้ใช้งาน สุดท้ายก็ทำการกึ่งขายกึ่งยกให้ จัดการโอนบ้านให้แก่สกุลหลินเสร็จสรรพ
คนสกุลหลินช่วยกันทำความสะอาดบ้านหลังข้าง ๆ พวกนางใช้ที่นี่เป็นสถานที่เพาะพันธุ์หนอนไหม บริเวณห้องที่ใช้สำหรับสาวไหมและทอผ้าก็กว้างขวางพอใช้ได้ หลินเฉียงเอ๋อร์จึงพอใจมากและขยันขันแข็งในการทอผ้ายิ่งกว่าเดิม !
ช่วงนี้หลินเว่ยเว่ยกำลังยุ่งอยู่กับการจ้างคนมาแผ้วถางที่ดิน 100 หมู่บริเวณนอกตัวเขตเริ่นอันเพื่อปลูกข้าวโพดที่ดัดแปลงพันธุกรรมตามธรรมชาติ เพราะมีการเจริญเติบโตอยู่ในมิติน้ำพุวิญญาณ มันจึงมีคุณสมบัติทนแล้งและเติบโตง่ายกว่าเดิม ก่อนปลูกก็ทำการแช่เมล็ดพันธุ์ไว้ในน้ำพุวิญญาณจึงมีโอกาสรอดเข้าไปใหญ่