หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง – ตอนที่ 464 จะหักขาเจ้าเป็นสามท่อน

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 464 จะหักขาเจ้าเป็นสามท่อน

“บัณฑิตน้อย ! ดูสิ ดูนี่เร็วเข้า ! นี่คืออะไร ! ” หลินเว่ยเว่ยวิ่งออกมาจากป่าผืนเล็ก ๆ ราวกับกวางน้อยที่กำลังมีความสุขและตื่นเต้นดีใจอย่างไร้ความกังวล รอยยิ้มบนใบหน้าของนางเจิดจรัสยิ่งกว่าแสงของดวงอาทิตย์บนท้องนภา

เขาจึงเดินเข้าไปหานางแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าช่วยซับเหงื่อให้ “เข้าไปเสียนาน ข้าก็นึกว่าเจ้าเป็นอะไร ! ถ้ายังไม่ออกมาอีก ข้าจะเข้าไปตามหาเจ้าแล้ว”

หลินเว่ยเว่ยยิ้มยิงฟันขาวสะอาดพลางยกกระต่ายที่ดิ้นอยู่ในมือขึ้นมา “ข้าไล่ตามเจ้าตัวนี้ไป ! อากาศร้อนแบบนี้เก็บเนื้อสดได้ไม่นาน โชคดีที่ข้าโยนก้อนหินไปโดนหัวของมันจนสลบ ประเดี๋ยวข้าจะป้อนน้ำแล้วมัดขาของมันไว้ คืนนี้จะทำของอร่อยให้พวกเจ้ากิน ! ”

หลินจื่อเหยียนและเผิงหยูเหยี่ยนเดินเข้ามา พอเห็นกระต่ายป่าตัวอวบอ้วนแล้วหลินจื่อเหยียนจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตัวอ้วนมาก ! พวกเรามีลาภปากแล้ว ! พี่รอง ทำเนื้อกระต่ายผัดเผ็ดเถิด กินเผ็ดจะได้เจริญอาหาร ! ”

หลินเว่ยเว่ยได้ยินน้องชายพูดแบบนั้นก็มองค้อนทันที “ไม่ได้ ! ก่อนสอบพวกเจ้าต้องเลี่ยงอาหารเผ็ด จะได้ไม่แสบท้องและส่งผลเสียต่อการทำข้อสอบ ! คืนนี้เราจะกิน…กระต่ายนึ่งในน้ำซอส ! ”

“นึ่ง ? กระต่ายมีกลิ่นสาบ หากนำไปนึ่งจะอร่อยหรือ ? ” หลินจื่อเหยียนเผยสีหน้าสงสัยออกมา

หลินเว่ยเว่ยพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเคยกินของไม่อร่อยจากฝีมือพี่รองตั้งแต่เมื่อใด ? หากเจ้ากังวลเรื่องกลิ่นสาบ คืนนี้เจ้าก็ไม่ต้องกิน ! ”

หลินจื่อเหยียนรีบพูดอย่างลนลาน “พี่รอง ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรตั้งคำถามต่อฝีมือการทำอาหารของท่าน ต่อไปนี้ข้าจะเป็นเหมือนน้องสี่ที่เป็นผู้สนับสนุนตัวยงของท่าน ไม่ตั้งคำถามอะไรทั้งสิ้น ! ”

หลินเว่ยเว่ยมองค้อนเขาอีกหนึ่งปราด นางนำกระต่ายกลับไปไว้บนรถม้าและเริ่มแบ่งส่วนอาหารแห้ง เนื่องจากวันนี้อากาศร้อน แถมพวกหลินจื่อเหยียนยังตั้งเป้าไว้แล้วว่ามื้อเย็นจะกินเนื้อกระต่าย ดังนั้นระหว่างนี้จึงกินของแห้งรองท้องไปก่อน

รอจนกระทั่งพวกเขาบอกว่าจะออกเดินทางแล้ว ใบหน้าของโอวหยางชิงจึงเคลือบไปด้วยความสงสัย “น้องเจียง ยามนี้เป็นช่วงอาทิตย์ขึ้นกลางศีรษะ ไม่เหมาะที่จะเดินทางต่อ ข้าคิดว่าเราแวะพักดื่มน้ำและรอสักประเดี๋ยวค่อยออกเดินทางดีกว่า ? ”

แต่แล้วคนรับใช้ของเขาก็โน้มตัวมากระซิบข้างหูว่า “คุณชาย บ่าวได้ยินคนขับรถม้าของพวกเขาบอกว่าบนรถม้ามีอ่างเก็บความเย็นขอรับ…”

โอวหยางชิงได้ยินแบบนั้นก็ถึงขั้นพูดไม่ออก

ต้องเป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่งแค่ไหนกันเชียวถึงจะใช้อ่างเก็บความเย็นแม้กระทั่งตอนออกเดินทางรอนแรมมาไกลเช่นนี้ ! ไม่สิ พวกเขาออกเดินทางมาสองวันแล้วไม่ใช่หรือ ? ต่อให้นำน้ำแข็งมามากแค่ไหนก็ต้องละลายเป็นน้ำไปหมดแล้วสิ แต่นี่…ในถังน้ำแข็งมีผลไม้แช่เย็นก็เต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็งจริง ๆ พวกเขาทำได้อย่างไร ?

โอวหยางชิงจึงหันไปส่งสายตาให้บ่าวของตนซึ่งก็สามารถเข้าใจได้ทันที จึงรีบวิ่งไปหาหลินจื่อเหยียนที่คิดว่าเป็นคนพูดง่ายที่สุดแล้ว “คุณชายหลิน ข้าน้อยขอปรึกษากับท่านหน่อยได้หรือไม่ ? ท่านคิดว่า…พอจะแบ่งขายน้ำแข็งให้พวกข้าน้อยบ้างได้หรือเปล่าขอรับ ? ”

หลินจื่อเหยียนหันไปมองโอวหยางชิงด้วยความเห็นใจ…ไอหยา อากาศร้อนขนาดนี้แต่ไม่เตรียมน้ำแข็งมาด้วย ไม่กลัวว่าจะกลายเป็นปลาตากแห้งหรอกหรือ !

บ่าวรับใช้ของโอวหยางชิงรู้ความหมายได้จากแววตาของเขาจึงรีบกล่าวว่า “อันที่จริงตอนที่พวกเราออกเดินทาง ก็ได้เตรียมถังน้ำแข็งมาด้วยแล้วขอรับ แต่มันละลายไปตั้งแต่เมื่อวาน ข้าน้อยยังแปลกใจว่าเหตุใตพวกท่านถึงได้เก็บรักษาน้ำแข็งไว้ได้นานขนาดนี้ จนป่านนี้ก็ยังไม่ละลายอีกหรือขอรับ ? ”

ในที่สุดคนซื่อ ๆ อย่างหลินจื่อเหยียนก็รู้จักฉลาดกับเขาเสียที เขาจึงส่ายนิ้วชี้ไปทางบ่าวคนนั้นพลางพูดว่า “ไปยกอ่างเก็บความเย็นของเจ้ามา ประเดี๋ยวข้าจะแบ่งน้ำแข็งให้ ! ”

บ่าวของโอวหยางชิงยกอ่างมารับน้ำแข็งที่หลินจื่อเหยียนแบ่งให้ หลังจากกล่าวขอบคุณไม่ขาดปากแล้วก็ยกอ่างน้ำแข็งกลับไปยังรถม้า โอวหยางชิงเห็นอีกฝ่ายไปที่แม่น้ำเพื่อตักน้ำใส่อ่างแล้วยกขึ้นรถม้าไปด้วย หรือว่าน้ำอ่างนั้น…ใช้แค่สำหรับไว้เช็ดหน้าเช็ดตาล้างเหงื่อ ?

รถม้าเคลื่อนตัวโอนเอนออกไป แม้ว่าในรถม้าจะมีอ่างเก็บความเย็น แต่หลังจากที่ออกเดินทางติดต่อกันเป็นเวลาหลายชั่วยามแล้วซัวถัวกับเหลยหยู่คนขับรถม้าของหลินเว่ยเว่ยยังดีหน่อย พวกเขามีผ้าที่ห่อน้ำแข็งไว้คอยประคบเย็นระหว่างทาง นอกจากนี้ยังมีน้ำแข็งใสเย็นชื่นใจให้กิน เรียกว่าคนลำบากก็มีแต่คนขับรถม้าของโอวหยางชิงกระมัง เนื่องจากพวกเขาออกเดินทางตอนอาทิตย์ขึ้นกลางศีรษะ ทั้งยังโดนแดดเผาตลอดการเดินทาง พอมาถึงเมืองเหอโจวแล้ว เขาก็หมดสติไปเพราะลมแดดทันที

โชคดีที่โอวหยางชิงไม่ใช่คนใจร้ายต่อบ่าวรับใช้ เขารีบส่งตัวบ่าวไปโรงหมอเพื่อรับยา จึงไม่มีใครเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต

กระทั่งยามตะวันโพล้เพล้ พวกหลินเว่ยเว่ยเดินทางมาถึงตัวเมืองเหอโจว ที่หน้าประตูเมืองนั้นมีเงาร่างแสนคุ้นเคยกำลังยืนอยู่ข้างรถม้าเพื่อรอรับนาง เขากำลังชะเง้อคอมองจากระยะไกล จนกระทั่งเห็นว่าคนขับรถม้าคือซัวถัว ใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มอบอุ่นพลางเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาต้อนรับอย่างรวดเร็ว

หลินเว่ยเว่ยเห็นเขาแล้วจึงกระโดดลงจากรถม้า “คุณชายหนิง ไม่ได้พบกันเสียนานเลย”

เมื่อหนิงตงเซิ่งเห็นว่ามือของนางว่างเปล่า เขาจึงรีบยื่นพัดไปใกล้มือนาง “ออกเดินทางกันมาหลายวัน ในที่สุดพวกท่านก็มาถึง จะว่าไปแล้วสองวันนี้อากาศร้อนมาก ระหว่างทางคงลำบากแย่เลย ! ”

เจียงโม่หานที่ลงจากรถม้าตามหลังมาก็รับพัดที่อีกฝ่ายยื่นให้ จากนั้นก็คลี่พัดให้หลินเว่ยเว่ยที่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยังพอไหว ความจริงไม่ได้ลำบากขนาดนั้นหรอก”

หนิงตงเซิ่งเหลือบมองเจียงโม่หาน หลังจากที่ทั้งสองพยักหน้าทักทายกันแล้ว เขาจึงกล่าวต่อ “ขึ้นรถม้าเถิด ข้าจะพาพวกท่านไปดูบ้านที่เช่าไว้ ดูว่าพอใจหรือไม่”

โอวหยางชิงมองไปยังคนกลุ่มนี้ด้วยใจที่สับสน ‘ดูพวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาสามัญ รถม้าก็ทั่วไป ไม่ได้หรูหราอะไร อีกทั้งผู้รับหน้าที่ขับรถม้ายังดูธรรมดามาก คล้ายไม่ใช่ผู้มีประสบการณ์โดยตรง ตอนแรกข้าก็นึกว่าพวกเขาจะมีฐานะดีกว่าครอบครัวยากจนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตอนแรกคิดว่าจะเหมือนกับข้า ที่พอมาถึงเมืองเหอโจวแล้วก็รีบไปหาที่พักทันที ตอนแรกข้ายังอยากจะชวนให้ไปหาที่พักด้วยกัน แต่ใครจะคาดคิดว่าเมื่อพวกเขามาถึงเมืองเหอโจวก็มีคนมาต้อนรับ แถมยังเช่าที่พักไว้ให้ล่วงหน้าและดูจากเครื่องแต่งกายของอีกฝ่ายแล้วย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ! ’

ตอนแรกนึกว่าจะเป็นผ้าขี้ริ้ว ที่ไหนได้ นี่คือผ้าขี้ริ้วห่อทอง !

“พี่โอวหยาง คงต้องแยกกันเพียงเท่านี้ แล้วพบกันใหม่ ! ” แค่หลินจื่อเหยียนคิดได้ว่าคืนนี้จะได้นอนหลับอย่างสบายและกินของอร่อย เขาก็อารมณ์ดีขึ้นเป็นกอง ก่อนที่จะขึ้นรถม้าเขายังไม่วายกล่าวอำลาเพื่อนร่วมเดินทางที่เพิ่งรู้จักกันผู้นี้

อีกฝ่ายมีที่พักแล้ว โอวหยางชิงจะชวนไปหาที่พักได้อย่างไร ? สุดท้ายจึงทำได้เพียงฝืนยิ้มแล้วหันไปโค้งคำนับพลางกล่าวอำลาเจียงโม่หาน “พี่เผิง น้องเจียง น้องชายหลิน ไว้พบกันคราวหน้า…”

หลินเว่ยเว่ย “…”

ข้ายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ แต่เจ้ากล่าวอำลาแค่บุรุษสามคน แถมยังจ้องว่าที่สามีของข้าตาเป็นมันขนาดนี้เพื่อสิ่งใด ? ต้องมีความผิดปกติ มันจะต้องมีปัญหาแน่นอน ! เจ้าเด็กแซ่โอวหยางผู้นี้คงจะเป็น ‘พวกตัดแขนเสื้อ’ กระมัง ? เฮอะ ! ไอ้เด็กน้อย สายตาเจ้าไม่เลวนี่ แต่บัณฑิตน้อยของข้ามีเจ้าของแล้ว หากเจ้ากล้าแทะโลมเขาอีก ข้าจะหักขาเจ้าเป็นสามท่อนเลยคอยดู !

“พี่โม่หาน รีบขึ้นรถม้าเถิด…พวกเราเร่งเดินทางมาสองวันติด ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยคิดแผนการได้จึงเดินนวยนาดไปกอดแขนเจียงโม่หานพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสนหวานและออดอ้อน

หลินจื่อเหยียนถึงขั้นมองพี่สาวด้วยแววตาตกตะลึงระคนตกใจ…โอ้ สวรรค์ ! พี่รองของข้าไม่ได้ถูกปิศาจสาวตนใดสิงร่างใช่หรือไม่ ?

ตอนนี้เจียงโม่หานควบคุมอารมณ์และการแสดงออกทางสีหน้าได้ดีมาก เพราะก่อนหน้านี้เขาต้องรับมือกับเด็กน้อยที่ชอบแทะโลมและแกล้งกันเป็นประจำ ดังนั้นเขาจึงคลี่ยิ้มให้นางแล้วใช้ท่าไม้ตายลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยนพลางกล่าวว่า “ได้ ! คงลำบากเจ้าแล้ว พอไปถึงบ้านเช่าก็ดื่มน้ำแล้วพักผ่อนให้ดี เจ้าคงเหนื่อยแย่แล้วกระมัง ? ”

หลินเว่ยเว่ยหันไปขยิบตาใส่เขาอย่างทะเล้น…บัณฑิตน้อย ฝีมือการแสดงของเจ้าไม่เลว ! จากนั้นนางก็หันไปยักคิ้วใส่โอวหยางชิงอย่างท้าทาย ไม่เห็นหรือ ? แบบนี้เขาเรียกว่าคู่หมั้นรักใคร่กันดี ! หมดธุระของเจ้าแล้ว รีบถอยไปเลยไป๊ !

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

Status: Ongoing
นักศึกษาเรียนดีจากวิทยาลัยเกษตรทะลุมิติมาเป็นเด็กสาวชาวนาผู้โง่เขลาและมีนิสัยป่าเถื่อน บิดาก็ตาย มารดาก็อ่อนแอ น้องชายดันมาตีตัวออกห่าง ส่วนพี่สาวก็มักจะคิดว่าเธอเป็นภาระเสมอ แต่โชคดีที่เธอมีมิติน้ำพุวิญญาณอยู่ในมือ เธอทั้งกลายเป็นนักล่าหมูป่า ทำให้ฝูงหมาป่าตกใจ ใช้น้ำพุวิญญาณมาปลูกพืชพันธุ์จนได้ผลผลิตดีงาม ทำสวนก็ได้ผลผลิตดี เลี้ยงสัตว์ก็เติบโต ไหนจะเสน่ห์ปลายจวักอีก เด็กโง่เขลาคนนี้นี่แหละจะนำพาทั้งครอบครัวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเอง ! ทว่าบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานจอมหยิ่งคนข้างบ้านเนี่ย คิดว่าตัวเองหล่อแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง ? คิดว่าเป็นขุนนางแล้วใครจะทำอะไรไม่ได้หรือ ? สุดท้ายก็ถูกเด็กโง่คนนี้กำราบไม่ใช่หรือไง ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท