ตอนที่ 507 ท่านชายเจ้าสำราญคิดวางอำนาจในเมืองหลวง
เจียงโม่หานถูกแบ่งให้ทำหน้าที่ผสมส่วนไข่แดงและไข่ขาว การผสมเนื้อเค้กเช่นนี้ก็ต้องใช้ ‘เทคนิค’ ไม่เบา เพราะเนื้อต้องเนียนสม่ำเสมอและไม่มีฟองอากาศ
ถ้วยเนื้อหยาบถูกทาด้วยน้ำมัน เทแป้งที่ผสมแล้วลงไป วางพักไว้หนึ่งเค่อเพื่อสลายฟองอากาศ เตาอบถูกทำให้ร้อนก่อนแล้วถึงจะวางถ้วยเค้กเข้าไป…งานของหลินเว่ยเว่ยสำคัญที่สุด นั่นก็คือการควบคุมไฟและอุณหภูมิในการอบ
ขนม 20 ถ้วยชุดแรกออกจากเตา…สำเร็จ! สีเหลืองทอง เนื้อนุ่มเบา กลิ่นหอมฟุ้ง พวกนางทำงานจนดึกดื่น สุดท้ายทำเค้กน้ำผึ้งออกมา 200 ชิ้น
ชิ้นที่ไม่สวยก็จะแบ่งกันกินเป็นของว่างยามดึก ยายเจิ้งและตาฉู่ก็ช่วยจนดึกเหมือนกัน สองสามีภรรยาจึงได้เค้กน้ำผึ้งไปคนละชิ้น เดิมทีหลินเว่ยเว่ยบอกว่าจะขายชิ้นละ 5 อีแปะ แต่ยายเจิ้งกลัวว่าจะขายไม่ออก แต่หลังได้ชิมแล้ว นางกลับเปลี่ยนความคิด งานวัดไม่ขาดแคลนคนมีเงิน ขอแค่รสชาติดีก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ออก !
วันต่อมา ฟ้าเพิ่งสางไม่นานพวกหลินเว่ยเว่ยก็เตรียมตัวจะออกจากบ้านแล้ว เค้กน้ำผึ้ง 200 ชิ้นถูกวางใส่ตะกร้าชั้นแล้วชั้นเล่าจนมีจำนวน 3 ตะกร้าเต็ม ๆ ซัวถัวยังยืมโต๊ะยาวมาจากเจ้าของบ้าน จากนั้นก็ใช้รถม้าขนมันไปที่งานวัด
หลินเว่ยเว่ยหลงเข้าใจผิดว่าพวกตนมาเช้ามากพอแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าในเวลานี้งานวัดจะมีพ่อค้าแม่ขายนำสินค้ามาวางบนแผงไปได้พอสมควร ของกิน ของใช้ ของเล่น…ละลานตาไปหมด ของที่ควรมีก็มีจนครบทุกชนิด
พวกนางเลือกตำแหน่งหนึ่ง กางโต๊ะยาวที่เตรียมมาแล้วนำเค้กน้ำผึ้งออกมาวางแสดงส่วนหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีพี่ชายคนขายถังหูลู่เข้ามาถามด้วยความสงสัย “เจ้านี่คือสิ่งใด ? ของกินอย่างนั้นหรือ ? ”
“เค้กน้ำผึ้ง ขนมแปลกใหม่ชนิดหนึ่ง ชิ้นละ 5 อีแปะ” หยาเอ๋อร์เห็นคนจำนวนมากหันมามองจึงรีบแนะนำสินค้า
“ว่าอย่างไรนะ ? ชิ้นเล็กแค่นี้ราคา 5 อีแปะ ? แพงเกินไปหน่อยกระมัง ? ห้าอีแปะใช้ซื้อซาลาเปาไส้หมูได้สองลูกเชียวนะ ! ” หลังจากพ่อค้าแม่ขายที่มุงดูอยู่รอบๆ ได้ยินราคาแล้วก็ส่ายหน้าและถอยออกไปทันที
ต่อจากนั้นพักหนึ่งก็มีคนเข้ามาถามเรื่อย ๆ แต่คนที่ควักเงินซื้อจริง ๆ กลับไม่มีสักคน หยาเอ๋อร์บ่นในใจ นางเริ่มพูดกับหลินเว่ยเว่ยด้วยความระมัดระวัง “ถ้าอย่างไร…เราขายชิ้นละ 4 อีแปะดีหรือไม่เจ้าคะ ? ”
หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “เค้กของพวกเราไม่ได้ทำมาเพื่อชาวบ้านธรรมดาเหล่านี้ แม้เจ้าจะขาย 4 อีแปะ พวกเขาก็ยังคิดว่าแพงอยู่ดี วางใจได้ ประเดี๋ยวก็มีลูกค้าเข้ามา ! ”
ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้น คนในงานวัดก็เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลานี้นกแก้วขนสวยตัวหนึ่งบินอยู่เหนือฝูงชน มันดึงดูดสายตาผู้คนไม่น้อย มันบินไปพลางตะโกนไปด้วย “เค้กน้ำผึ้ง เค้กน้ำผึ้งอร่อย ๆ ไม่หอมไม่หวานไม่คิดเงิน ! ”
“ว้าว ! นกพูดได้ ! นกตัวนี้บำเพ็ญเพียรจนบรรลุเป็นเซียนได้แล้วหรือ ? ”
“ท่านแม่ นกตัวนั้นสวยมากเลย แถมยังพูดได้ด้วย…มันพูดว่าอะไร ? เค้กน้ำผึ้ง ? อะไรกัน ? ไม่เคยได้ยินมาก่อน ! ”
“เค้กน้ำผึ้ง ? เจ้าเคยกินหรือเปล่า ? เดินไปดูกันเถิด…”
นกแก้วขนงามโฆษณาสินค้าร้านตัวเอง ทำให้ผู้คนมาที่แผงของพวกหลินเว่ยเว่ยด้วยความประหลาดใจ หงส์แดงกระพือปีกแล้วบินมาเกาะที่นิ้วของเจียงโม่หาน…มันก็อยากเกาะบนมือนายหญิงอยู่หรอก แต่นายหญิงไม่ยื่นมือออกมา !
หลินเว่ยเว่ยเอาเมล็ดสนให้เจียงโม่หาน หลังถูกป้อนไปสองเมล็ดแล้ว หงส์แดงก็ดูมีพละกำลังขึ้นมาทันที มันแหกปากตะโกนอีกครั้ง “เค้กน้ำผึ้ง ขายเค้กน้ำผึ้ง ไม่อร่อยไม่คิดเงิน ! ”
สตรีและสาวน้อยที่ตามนกแก้วห้าสีมาก็เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเจียงโม่หาน พวกนางล้วนหน้าแดงด้วยความเขินอายทันที แม้รีบก้มหน้าแต่ดวงตายังอดไม่ได้ที่จะช้อนมองเขา
“ท่านพี่ ข้าจะกินเค้กน้ำผึ้ง ! ” เด็กชายอายุ 10 ขวบคนหนึ่งดึงมือเด็กสาวที่กำลังแอบมองเจียงโม่หานอยู่
เด็กสาวคนนั้นถามเบา ๆ ด้วยใบหน้าเขินอาย “เค้กน้ำผึ้งนี้ขายชิ้นละเท่าไหร่ ? ”
“ชิ้นละ 5 อีแปะ ! ” หยาเอ๋อร์ตอบกลับ
มองจากการแต่งตัวของพี่น้องคู่นี้แล้ว อย่างน้อยน่าจะเป็นชนชั้นกลาง เด็กสาวคนนั้นครุ่นคิดแล้วหยิบเหรียญทองแดงออกมา 5 เหรียญ “ซื้อไปชิมหนึ่งชิ้นก่อน ถ้าอร่อยแล้วพวกเราค่อยกลับมาซื้อใหม่…”
หยาเอ๋อร์รีบหยิบกระดาษน้ำมันมาห่ออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยื่นให้เด็กชายข้าง ๆ เด็กสาว “ขอบคุณลูกค้ามาก ไว้แวะมาใหม่นะเจ้าคะ ! ”
เค้กน้ำผึ้งขายได้ไม่ยากและยังเป็นขนมแปลกใหม่ในเมืองหลวง มีบางครอบครัวที่ฐานะดีก็ซื้อไปชิมหนึ่งชิ้นก่อน แต่ผ่านไปไม่นานก็กลับมาซื้อเป็น 10 ชิ้น
เค้กน้ำผึ้งเนื้อนุ่มรสหวาน รสชาติดีมาก ๆ คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อล้วนเป็นลูกค้าเก่า หน้าแผงเล็ก ๆ มีลูกค้าเข้ามาเยือนไม่ขาดสาย หยาเอ๋อร์กับหลินเว่ยเว่ยจึงยุ่งจนหัวหมุน
พอนกแก้วในมือเจียงโม่หานเห็นแบบนั้นก็ตะโกนเรียกคนอย่างบ้าคลั่ง “เค้กน้ำผึ้ง เค้กน้ำผึ้งอร่อย ๆ ไม่หอมไม่หวานไม่คิดเงิน…”
ในฝูงชน ชายหนุ่มสองคนในชุดฮั่นฝูก็ถูกดึงดูดเพราะเจ้าตัวน้อยที่กำลังตะโกนอยู่เหมือนกัน
“หยูจวิ้นอ๋อง (ตำแหน่งรองจากอ๋อง) ท่านดูนกตัวนั้นสิ เหมือนนกแก้วที่องค์ชายเจ็ดเลี้ยงไว้หรือเปล่าขอรับ ? ” คนพูดคือคุณชายสามของตระกูลองครักษ์ แซ่หยาง นามว่า คุน
“นกแก้วขององค์ชายเจ็ดนั้นได้ยินว่ายกให้คนอื่นไปแล้ว คงไม่ใช่เจ้าตัวนี้หรอกกระมัง ? ” หากเอ่ยถึงหยูจวิ้นอ๋องแล้วก็มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องขององค์ชายเจ็ด ตัวเขาเคยขอยืมนกแก้วห้าสีจากองค์ชายเจ็ดมาเล่นสองสามวันแต่กลับโดนปฏิเสธ คาดไม่ถึงว่าองค์ชายเจ็ดจะยอมยกหงส์แดงให้คนอื่น !
หยางคุนไม่มั่นใจ “นกก็ดูเหมือนกันหมด บางทีอาจแค่ดูเหมือนก็ได้ ? นกตัวนั้นขององค์ชายเจ็ดเป็นเหมือนบรรพบุรุษ เห็นใครก็ชอบพูด ‘บังอาจ ! ’ ‘อยากตายหรือ ? ’ ‘ไม่เอาศีรษะแล้วใช่หรือไม่ ? ’ จะออกมาเรียกลูกค้าได้อย่างไรขอรับ ? ”
“จะใช่หรือเปล่า แค่ไปถามก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ ! ” หยูจวิ้นอ๋องสาวเท้าเข้ามา ถ้าไม่ใช่นกขององค์ชายเจ็ด เขาจะได้เอามาเล่นสักหน่อย !
หยูจวิ้นอ๋องมาถึงหน้าแผงขายเค้กน้ำผึ้งโดยมีหยางคุนรีบเดินตามมา
หยูจวิ้นอ๋องมองเจียงโม่หานตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จากนั้นก็เริ่มข่มขวัญอีกฝ่ายก่อน “เจ้าได้นกตัวนี้มาจากที่ใด ? เปิ่นจวิ้นหวางเห็นว่ามันเหมือนตัวที่หายไปจากจวน ! ”
ท่านชายเจ้าสำราญหยูจวิ้นอ๋อง ? ชาติก่อนเจ้าหมอนี่เป็นพวกชอบวางอำนาจอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ใช้อำนาจกดขี่ผู้คนและบีบบังคับคนอื่นบ่อยครั้ง จากสายตาที่ดูสนใจหงส์แดงก็บ่งบอกได้ทันทีว่าอยากเอานกแก้วไปเป็นของตน
เจียงโม่หานตอบกลับเบา ๆ “ในเมื่อท่านชายบอกว่านกตัวนี้เป็นสัตว์ที่ท่านเลี้ยงไว้ เช่นนั้นท่านเรียกมัน มันก็น่าจะขานรับจริงหรือไม่ ? ”
หยูจวิ้นอ๋องแค่นเสียงดัง ฮึ “ก็แค่สัตว์เดรัจฉานที่พูดได้ไม่กี่ประโยค เจ้าลองเรียกมัน ดูสิว่ามันจะตอบรับเจ้าหรือเปล่า ? ”
“เดรัจฉาน พูดถึงใคร ? ” นกน้อยถลึงตาเท่าเมล็ดถั่วเขียวของมันและมองหยูจวิ้นอ๋องอย่างไม่สบอารมณ์ คนที่ยืนอยู่ในเหตุการณ์ล้วนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ
“หงส์แดง อย่าเสียมารยาท ! ” เจียงโม่หานเบื่อจะสนทนากับหยูจวิ้นอ๋อง การเรียกชื่อนี้เท่ากับบ่งบอกถึงฐานะของเจ้านกน้อย หากหยูจวิ้นอ๋องฉลาดพอ ก็ควรรู้ว่าต้องถอยออกไป !
เจ้านกตัวนี้ก็ชื่อ ‘หงส์แดง’ เหมือนกันหรือ ? หยูจวิ้นอ๋องต่อสู้กับความคิดในใจอยู่พักหนึ่ง…บางทีอาจแค่ชื่อเหมือนกัน คนผู้นี้เป็นเพียงบัณฑิตยากจนถึงขั้นตกอับมาขายขนมในงานวัด แล้วองค์ชายเจ็ดจะรู้จักคนแบบนี้ได้อย่างไร แถมยังประทานเจ้าหงส์แดงให้ด้วย ?