นักพรตเต๋าร่างเตี้ยกุมแก้มบวมเป่งของเขาพลางบ่นว่า “ก็แค่ล้อเล่นเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดเท่านั้น เสี่ยวจิ่ว เหตุไฉนเจ้าถึงก้าวร้าวหยาบคายเช่นนี้ ศิษย์พี่คนนี้ยากลำบากเพียงใดในการดูแลเจ้า ข้าเลี้ยงเจ้าให้เป็นคนเซ่อแล้วก็ขี้โมโห… แค่กๆ! พวกเรากลับมาพูดคุยธุระของเราดีกว่า”
นักพรตเต๋าร่างเตี้ยผู้นี้มีนามว่าจิ่วอู เมื่อยามที่ปรมาจารย์หว่างฉิงยอมรับจิ่วจิ่วเป็นศิษย์ เขาได้เริ่มเข้าปิดด่านบำเพ็ญเพียรเป็นประจำตลอดทั้งปี จิ่วอูจึงเป็นผู้ที่ดูแลนางมาอย่างแท้จริง
แม้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน แต่ความรู้สึกของพวกเขานั้นเป็นเช่นบิดาและบุตรสาว พวกเขาคุ้นเคยกับการล้อเล่นกันเช่นนี้เป็นปกติ
เมื่อเห็นว่าจิ่วจิ่วกำลังจะระเบิดโทสะบ้าคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง จิ่วอูพลันกลอกตาแล้วรีบเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาอย่างรวดเร็ว โดยชี้ไปที่คนสองสามคนที่อยู่ข้างหลังเขาแล้วเอ่ยถามนางเร็วรี่เป็นชุดๆ ไม่หยุดทันที
“อาจารย์ของพวกเขาล้วนอยู่ที่นี่ ผู้ใดหายไปบ้าง พวกเขาไปที่ใดกัน และเจ้าติดกับดักอยู่ที่นี่มานานเพียงใดแล้ว”
สีหน้าของจิ่วจิ่วมืดมนฉับพลัน นางก้มศีรษะคารวะให้กับคนสองสามคนที่ยืนอยู่ข้างหลังของเขา ชั่วครู่นั้นนางไม่รู้ว่าจะเอ่ยเยี่ยงไร จึงได้แต่กัดริมฝีปากเงียบๆ แล้วก้มศีรษะลง
หลิวเยี่ยนเอ๋อร์และหวางฉีเผยท่าทีปิติยินดีแล้วบินออกมาจากมุมทางด้านหลัง ก่อนจะรีบโค้งคารวะพลางเรียกขานว่า “ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ลุง ท่านอาจารย์อา”
ในบรรดาเซียนผู้ทรงพลังที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของนักพรตเต๋าจิ่วอูนั้น มีเจียงจิ่งซานที่มาจากยอดเขาพิชิตสวรรค์ซึ่งเป็นเซียนเสิ่น นางเป็นอาจารย์ของโหย่วฉินเสวียนหย่า และยังเป็นศิษย์ของปรมาจารย์เจ้าสำนักตู้เซียนคนปัจจุบัน
มีปรมาจารย์หลินฉีจากยอดเขาพิชิตสวรรค์ เขาเป็นเซียนเสิ่นและเป็นอาจารย์ของหยวนชิง
ยังมีเซียนรุ่นเดียวกับจิ่วจิ่วอีกสองคนที่มาจากยอดเขาตู้หลินและยอดเขาเสี่ยวหลิง ซึ่งในเวลานี้พวกเขาได้พบศิษย์รักของพวกเขาแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องอธิบายตัวตนของพวกเขาเพิ่มเติม
สายตาของจิ่วจิ่วตกลงบนร่างนักพรตผมขาวที่ยืนตรงท้ายสุดของกลุ่ม
เขาคือนักพรตเต๋าชราฉีหยวน จากยอดเขาหยกน้อย ผู้เป็นอาจารย์ของหลี่ฉางโซ่ว
ยามนี้นักพรตเต๋าชราผู้นี้ดูซีดเซียวห่อเหี่ยว จิ่วจิ่วไม่กล้าสบตาเขาโดยตรงไปชั่วขณะ…
นางก้มศีรษะลงพลางถอนหายใจ ภายในใจนางย่อมรู้ดีว่าศิษย์หลี่ฉางโซ่วผู้นี้เป็นลูกศิษย์คนสำคัญอย่างยิ่งของนักพรตเต๋าชราผู้นี้ เขามีความคาดหวังและความภาคภูมิใจกับหลี่ฉางโซ่วผู้นี้มากมายเพียงใด
จิ่วจิ่วกล่าวเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่ฉีหยวน ครั้งสุดท้ายที่ข้าเห็นฉางโซ่ว เขากำลังมุ่งหน้าไปทางเหนือ ส่วนหยวนชิงและเสวียนหย่ามุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ พร้อมกับแม่ทัพที่มาจากตระกูลของเสวียนหย่านาม อวี่เหวินหลิง และหากข้าคิดไม่ผิด นี่คือแผนทำร้ายเสวียนหย่า”
“อ้อ” ฉีหยวนพลางฝืนยิ้มขื่น แล้วประสานมือโค้งคารวะให้จิ่วจิ่วอย่างซาบซึ้งขณะกล่าวว่า “ชีวิตและความตายล้วนมีชะตาลิขิต ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการออกเดินทางหาประสบการณ์ ท่านทั้งหลาย บัดนี้ข้ายังไม่ได้บรรลุสู่เซียน จึงยากสำหรับข้าที่จะทำการสิ่งใดในดินแดนเทวะอุดรนี้ได้ ขอร้อง…โปรดเมตตาช่วยข้าค้นหาที่อยู่ของศิษย์ข้าด้วย ยอดเขาหยกน้อยจะถือเป็นพระคุณอย่างยิ่ง!”
จิ่วอูรีบกล่าวขึ้นมาทันทีว่า “พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไยต้องมากพิธี ขอศิษย์น้องฉีหยวนโปรดวางใจ พวกเราจะแยกกันออกเป็นสองกลุ่มเพื่อตามหาศิษย์ที่หายไป จิ่วจิ่วและข้าจะมุ่งหน้าไปทางเหนือกับเจ้า…ศิษย์น้องหญิงจิ่วจงรวบรวมสติของเจ้าให้มั่น! และทำใจให้สงบ! พวกเราค่อยพูดถึงเรื่องการลงโทษหลังจากที่พบพวกเขาแล้ว! เซียนหยวนทั้งสองคนนี้กำลังป้องกันค่ายกลอยู่ด้านนอก ข้าพบพวกเขากำลังง่วนอยู่กับการแก้ไขค่ายกลไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในคนร้ายที่วางแผนเล่นงานเจ้า มิสู้จับพวกเขาทั้งสองมาทรมานระหว่างทางเพื่อรีดเค้นหาข้อมูล พวกเราคงจะได้อะไรจากพวกเขาบ้างแน่ๆ !…ไปเถอะ ออกเดินทางกันก่อนเถิด!”
เจียงจิ่งซานและหลินฉีต่างก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ทั้งหมดอย่างไร้ข้อกังขาใด ๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนวิตกกังวลอย่างยิ่ง
ขณะที่นักพรตเต๋าร่างเตี้ยจิ่วอูสะบัดแขนเสื้อของเขา เซียนหยวนที่หมดสติทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นข้างเขาด้วยพลังเคลื่อนย้ายก่อนจะโยนหนึ่งในนั้นไปให้หลินฉี
พวกเขาไม่เอ่ยวาจาอื่นใดมากนัก ในเวลานี้ภารกิจที่สำคัญที่สุดคือการค้นหาและช่วยเหลือบรรดาศิษย์ที่หายไปเท่านั้น
พวกเขาตกลงที่จะกำหนดความถี่ในการส่งข้อความถึงกันและกัน รวมถึงกำหนดพื้นที่สำหรับแต่ละกลุ่มในการค้นหา สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม
กลุ่มแรก อาจารย์ของหวางฉีจะพาหวางฉีและหลิวเยี่ยนเอ๋อร์ ไปหาข่าวในเมืองด้านนอก
กลุ่มที่สอง อาจารย์ของหลิวเยี่ยนเอ๋อร์ เจียงจิ่งซานและหลินฉี จะเดินทางค้นหาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือด้วยกัน
ส่วนจิ่วอู ฉีหยวน และจิ่วจิ่วจะมุ่งหน้าสำรวจไปทางเหนือ
โดยไม่รั้งรอ เหล่าเซียนจากสำนักตู้เซียนได้เริ่มออกเดินทางเพื่อค้นหาบรรดาศิษย์ของพวกเขา
ในขณะเดียวกันมีบุรุษรูปงามผู้ไม่ขอให้เอ่ยนามกำลังซ่อนตัวอยู่ภายในถ้ำที่เพิ่งขุดขึ้นใหม่ ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางเหนือนับพันลี้ เขาเริ่มก่อกองไฟพลางถือม้วนตำราไม้ไผ่เอาไว้ในมือขณะที่รอความช่วยเหลืออันทรงพลังที่จะมาถึง โดยไม่หวาดหวั่นแต่อย่างใด ไม่เพียงแต่จะไม่ตื่นตระหนก ทว่ากลับยังรู้สึกอุ่นสบายเล็กน้อย
โหย่วฉินเสวียนหย่านั่งอยู่ด้านในสุดของถ้ำ นางหลับตานั่งขัดสมาธิเพื่อปรับลมปราณ หลังจากผ่านไปสักระยะหนึ่งนางจึงลืมตาขึ้นเพื่อมองดูเงาร่างที่อยู่ตรงปากทางเข้าถ้ำ
ทุกครั้งที่นางอยากเริ่มสนทนากับเขา นางจะสัมผัสได้เสมอว่า หลี่ฉางโซ่วไม่ปรารถนาจะพูดคุยกับผู้ใดในเวลานี้
หลังจากที่สังหารหยวนชิงแล้ว โหย่วฉินเสวียนหย่าก็หมดสติไปเป็นเวลาสามวัน ครั้นตื่นขึ้นเมื่อราวหกชั่วยามก่อน นางก็พบว่าบาดแผลของนางเกือบจะหายดีแล้ว…ทว่า…ยังเจ็บหนังศีรษะอยู่เล็กน้อยเท่านั้น
“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว พวกเราจะรออยู่ที่นี่ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“อื้ม” หลี่ฉางโซ่วตอบอย่างสบายๆ ไม่มีพิธีรีตองว่า “ภายในรัศมีสามร้อยลี้นี้ ข้าได้ทิ้งเครื่องหมายลับเฉพาะของสำนักตู้เซียนของเราเอาไว้หลายแห่ง และยังสร้างค่ายกลเพื่อปกปิดร่องรอยของเราเอาไว้นอกถ้ำแห่งนี้อีกด้วย สถานที่แห่งนี้น่าจะยังคงปลอดภัยในเวลานี้…
ตามที่เจ้ากล่าวมา หยวนชิงและพวกของเขายังมีผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นๆ อีก พวกเราอาจตกไปอยู่ในมือของพวกเขาอย่างง่ายดายหากมุ่งไปทางใต้ เมื่อนับจำนวนวันที่ผ่านไปแล้ว ไม่ว่าอาจารย์อาจิ่วจิ่วจะรอดหรือไม่ ทางสำนักก็น่าจะส่งเซียนอาวุโสต่างๆ มาช่วยเราซึ่งน่าจะเข้ามาในดินแดนเทวะอุดรแล้ว”
หลี่ฉางโซ่วชะงักไปชั่วขณะแล้วเงยหน้ามองไปที่โหย่วฉินเสวียนหย่าพลางกล่าวว่า “หากเจ้ายังกังวลอยู่ เราก็เดินทางอ้อมต่อไปได้ราวสามพันลี้ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกอีกฝ่ายจับได้”
“ข้า…ไม่ได้กังวล…” โหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวเสียงกระซิบพร้อมกับเงยหน้ามองไปที่หลี่ฉางโซ่ว ยามนี้พวกเขาทั้งสองต่างก็มองสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง
โหย่วฉินเสวียนหย่าเคยคิดเสมอมาว่านางเป็นคนซื่อตรงและตรงไปตรงมา จะไม่ทำสิ่งที่สร้างความละอายใจและทำร้ายจิตสำนึกของนาง ทว่าในเวลานี้ ด้วยเหตุผลกลใดไม่อาจรู้ได้ นางกลับไม่อาจสบตาหลี่ฉางโซ่วได้จนต้องก้มศีรษะลงและเสมองไปทางอื่น
นางรู้สึกว่าส่วนลึกของหัวใจนางว่างเปล่าเล็กน้อย ราวกับมีอุ้งเท้าแมวน้อยมาสะกิดเกาหัวใจของนางเบาๆ
นางจึงไม่สบายใจและไม่มั่นใจเล็กน้อย
น่าจะเป็นเพราะข้าได้รับการช่วยเหลือจากศิษย์พี่ผู้นี้มาถึงสองครั้งแล้ว
เมื่อคิดเช่นนั้นโหย่วฉินเสวียนหย่าจึงเห็นว่าควรหาทางตอบแทนความช่วยเหลือของเขาบ้าง แม้เวลานี้นางจะยังคงได้รับความคุ้มครองจากศิษย์พี่ฉางโซ่ว
“ศิษย์พี่ ท่านมีสิ่งใดให้ข้าช่วยท่านได้บ้างหรือไม่เจ้าคะ” นางถามเสียงเบาอ่อนโยน
ทว่าหลี่ฉางโซ่วกล่าวตอบอย่างเป็นกันเองว่า “อืม อย่าปล่อยปราณสัมผัสรับรู้ของเจ้าออกไปง่ายๆ โดยไร้เหตุผลสิ”
“เจ้าค่ะ” โหย่วฉินเสวียนหย่าตอบกลับอย่างเคร่งขรึมและรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยอยู่ในใจ
ดูเหมือนว่านางจะกลายเป็นภาระของเขา
เปรี๊ยะ!
ในขณะนั้นเสียงแตกจากกองไฟและเปลวไฟก็อ่อนเบาลงเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วหยิบเศษไม้แห้งสีเทาชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขาแล้ววางลงไปในกองไฟเพื่อทำให้เปลวไฟลุกโชนแรงขึ้น
ในเวลานี้เองโหย่วฉินเสวียนหย่าพลันตระหนักได้ว่าเปลวไฟนั้นค่อนข้างแปลกประหลาด ไม่เพียงแต่ไม่มีควัน แต่มันยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมาอีกด้วย
“ศิษย์พี่ กองไฟนี้มีอันใดพิเศษหรือไม่เจ้าคะ”
หลี่ฉางโซ่วเหลือบมองกองไฟแล้วกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ไม้นี้เป็นไม้ที่ไม่นับว่ามีค่านัก ได้มาจากต้นสนเหมันต์ปราณอุดรที่ปลูกทางตอนใต้ของทะเลอุดร ไม้สนนี้ไม่ใช่รากวิญญาณ แต่เป็นเพียงต้นสนธรรมดาในสมัยโบราณซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือต้านทานความหนาวเย็น สามารถเติบโตในฤดูหนาวได้ หลังจากที่ดินแดนเทวะอุดรถูกปกคลุมไปด้วยไอพิษ ไม้สนนี้ก็เกือบจะสูญพันธุ์ไป แต่ในที่สุดมันก็กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง…
นับตั้งแต่นั้นมาต้นสนเหมันต์ปราณอุดรนี้ก็มีลักษณะพิเศษบางอย่าง มันไม่กลัวไอพิษ แถมยังแผ่กลิ่นอายพลังบางอย่างออกมาซึ่งจะขับไล่แมลงและสัตว์พิษได้ ส่วนกองไฟเล็กๆ นี้ก็ช่วยให้เราปลอดจากพิษภายในรัศมีสามร้อยจั้งได้ ว่ากันว่าต้นสนนี้มักจะพบเห็นได้ทั่วไปในสถานที่ที่ชนเผ่าเวทรวมตัวกันอยู่ในปัจจุบัน ทว่าต้นสนนี้ไม่คุ้มกับศิลาวิญญาณไม่กี่ก้อน และมีเพียงไม่กี่คนที่รู้วิธีใช้งานมัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้โหย่วฉินเสวียนหย่ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดวงตาของนางจ้องมองหลี่ฉางโซ่วขณะกล่าวกระซิบว่า “ศิษย์พี่รอบรู้จริงๆ…”
“มีบันทึกนี้อยู่ในตำราโบราณที่สำนัก” หลี่ฉางโซ่วกล่าวตอบอย่างสงบนิ่งแล้วอ่านตำราต่อไป เผยท่าทีให้เห็นว่าเขาไม่ประสงค์จะสนทนาใดๆ อีก
โหย่วฉินเสวียนหย่าเม้มปากพลางครุ่นคิดบางอย่างในใจ
และหลังจากนั้นสักพักหนึ่ง…
“ศิษย์พี่พบสมุนไพรที่กำลังมองหาหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าโชคดีที่ได้พบมัน” หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้ม เขารู้สึกรื่นรมย์ยิ่งนักขณะที่คิดถึงมัน
โหย่วฉินเสวียนหย่าไม่อยากให้การสนทนาจบลง จึงถามต่อไปอีกว่า “ดูเหมือนว่าศิษย์พี่จะเตรียมพร้อมอย่างมากสำหรับการเดินทางในครั้งนี้”
“ใช่แล้ว” หลี่ฉางโซ่วตอบอย่างสบายๆ เป็นกันเอง “ข้าเตรียมตัวสำหรับการเดินทางมาที่ดินแดนเทวะอุดรตั้งแต่เมื่อสิบห้าปีก่อน ในแต่ละวัน ข้าได้รวบรวมสิ่งต่างๆ ที่ใช้ต้านพิษและป้องกันพิษเอาไว้มากมาย”
สิบห้าปี?
โหย่วฉินเสวียนหย่ากะพริบตาแล้วถามว่า “แล้ว…เกิดอันใดขึ้นกับอวี่เหวินหลิงและโจรชั่วร้ายเหล่านั้นเจ้าคะ”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวตอบว่า “พวกเขาล้วนสิ้นชีพไปพร้อมกับอสรพิษคลื่นครามสามตาที่กำลังจะบรรลุเซียน นับว่าพวกเราโชคดีมากที่หนีรอดมาได้ พิษของเจ้าอสรพิษตัวนั้นร้ายแรงถึงตายทีเดียว”
“อืม” โหย่วฉินเสวียนหย่าถอนหายใจ “โจรชั่วร้ายเยี่ยงนี้ย่อมไม่จบลงด้วยดีแน่นอน แต่ข้าไม่คาดคิดว่าผลกรรมจะตามมารวดเร็วเพียงนี้”
หลี่ฉางโซ่วจึงฉวยประโยชน์จากสถานการณ์นี้แล้วกล่าวว่า “อืม…ตัวอันตราย…แค่กๆ…ศิษย์น้องหญิงโหย่วฉิน ข้ามีเรื่องอยากขอถามเจ้าสักหน่อย”
“เชิญศิษย์พี่พูดมาได้เลยเจ้าค่ะ!”
โหย่วฉินเสวียนหย่าเริงร่าขึ้นมาทันที ดวงตาของนางเปล่งประกายสว่างเจิดจ้าขณะจ้องมองหลี่ฉางโซ่วอย่างกระตือรือร้นพลางกล่าวว่า “เสวียนหย่าจะยอมสละแม้กระทั่งชีวิตเพื่อตอบแทนความเมตตาของศิษย์พี่ที่ช่วยชีวิตข้าเจ้าค่ะ!”
“ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอก สถานการณ์ไม่ได้ซับซ้อนมากนัก” หลี่ฉางโซ่วกล่าวพลางแย้มยิ้ม “การเดินทางครั้งนี้แปลกประหลาดและมีเรื่องราวพลิกผันมากมายนัก เมื่อกลับไปที่สำนัก ทั้งบรรดาอาจารย์และผู้อาวุโสของเราจะต้องสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมแน่นอน ข้าไม่อยากมีปัญหาและเป็นที่สนใจมากเกินไป อีกทั้งยังไม่อยากให้ตัวเองตกไปอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากเช่นกัน เช่นนั้น จึงไม่อยากให้ศิษย์น้องหญิงเอ่ยถึงเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้ายามเมื่อเจ้ารายงานเหตุการณ์ให้ท่านอาจารย์และผู้อาวุโส ขอบเขตพลังของข้าไม่สูงนัก และมีเพียงสิ่งเดียวที่ข้ามั่นใจคือเวทหลีกลี้ปฐพีซ่อนกายของข้าเท่านั้น ซึ่งอาจทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะข้าด้วยเหตุนี้”
“ศิษย์พี่…” สีหน้าท่าทางของโหย่วฉินเสวียนหย่าเปลี่ยนไปทันทีขณะที่รู้สึกว่ามีสายฟ้าฟาดลงตรงหัวใจของนาง
หลี่ฉางโซ่วช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่คิดถึงผลตอบแทนใดๆ และยังหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง เขาทุ่มเทสุดจิตสุดใจในการแสวงหาความเป็นอมตะและยังเป็นสุภาพบุรุษถ่อมตน
ทันใดนั้นในใจของโหย่วฉินเสวียนหย่าพลันเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนปนเปกัน ในขณะที่ดวงตาของนางก็ดูฉ่ำชุ่มนุ่มนวลราวสายน้ำด้วยความซาบซึ้งใจยิ่งนัก
ศิษย์พี่ฉางโซ่วช่างเป็นสุภาพบุรุษยิ่ง ข้าไม่อาจเข้าถึงความเอื้ออาทรอันอบอุ่นเยี่ยงนี้ได้จริงๆ และแม้แต่หยวนชิง ก็ไม่อาจเปรียบเทียบด้วยได้
โหย่วฉินเสวียนหย่า ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ที่รายล้อมเจ้าล้วนเป็นคนตื้นเขินและหยิ่งยโส เจ้าจึงคิดว่าทุกคนในรุ่นเดียวกันล้วนเป็นเฉกเช่นกัน โดยหารู้ไม่ว่ามีคนแตกต่างเช่นนี้ดำรงอยู่ หากข้าสามารถเป็นสหายสนิทของศิษย์พี่ฉางโซ่วได้ เช่นนั้น การเดินทางครั้งนี้ย่อมไม่สูญเปล่าแล้ว…
“ศิษย์พี่ โปรดวางใจ” โหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแน่วแน่ เพื่อให้เขามั่นใจ “เสวียนหย่าเข้าใจและจะปฏิบัติตามเจ้าค่ะ”
หลี่ฉางโซ่วกะพริบตาปริบๆ สตรีผู้นี้เข้าใจจริงๆ หรือ
เขารู้สึกแปลกๆ อยู่เสมอว่านางยังไม่หายดีจากพิษเท่าใดนัก
ช่างมันเถิด ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น เมื่อกลับไปแล้วข้าก็จะไม่ออกจากยอดเขาหยกน้อยอีก ต่อให้มีปัญหาวุ่นวายที่เกิดจากเหตุการณ์นี้ แต่มันก็น่าจะสงบลงได้ภายในไม่กี่เดือน
เขาจึงทำได้เพียงหลีกเลี่ยงกรรมโดยการเก็บตัวเงียบๆ เท่านั้น
ตราบใดที่ไม่มีอันใดผิดพลาดหลังจากการเดินทางครั้งนี้ ก็ย่อมนับได้ว่าการเดินทางไปยังดินแดนเทวะอุดรของข้านั้นจบลงด้วยความสุข
ทันใดนั้นสีหน้าของหลี่ฉางโซ่วพลันเปลี่ยนไปทันที เส้นใยไหมแมงมุมสามหัวพลจักษ์อันทรงพลังซึ่งเขาวางเอาไว้นอกถ้ำได้จับภาพหนึ่งได้อย่างกะทันหัน
มีเงาร่างสองสามสายพุ่งทะยานไปในอากาศจากที่อยู่ห่างออกไปไกลหลายร้อยลี้อย่างรวดเร็ว ซึ่งคนที่อยู่ด้านนอกสุดของกลุ่มคือผู้ที่สวมชุดผ้าป่านและมีรูปร่างผอมเพรียว
แม้ว่าอีกฝ่ายจะบินเร็วเกินไปจนเขาไม่อาจมองเห็นใบหน้าและระบุลักษณะของนางได้อย่างชัดเจน ทว่าหากดูจากความรัดกุมของเสื้อคลุมผ้าป่านสั้นและความโค้งมนอันน่าทึ่งที่ปรากฏขึ้นเมื่อยามต้องสายลมพัดพาปะทะร่างของนางนั้น…จิ่วจิ่ว!
“เตรียมตัวให้พร้อม พวกเขาอยู่ที่นี่”
หลี่ฉางโซ่วพลันหัวเราะอย่างร่าเริง เมื่อสามารถยกหินก้อนหนึ่งออกจากอกได้ บัดนี้หัวใจของเขาก็สงบลงได้ในที่สุด
…………………………………………………………………………………………………………………