บทที่ 18 ทำไมนายถึงอยู่ไปทุกที่เลย!
บทที่ 18 ทำไมนายถึงอยู่ไปทุกที่เลย!
ที่ผ่านมาถังเฮิงข้องใจกับสิ่งที่ผู้คุ้มกันของตัวเองเคยพูดถึงฟางชิว แต่ในตอนนี้เขาเชื่อแล้ว!
เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว มีใครเคยเห็นคนที่สามารถรักษาอาการไหล่เคลื่อนได้เพียงแค่แตะเบา ๆ ไหมล่ะ?
“ลูกพี่ ลูกพี่ทำได้ยังไงกันน่ะ?” ถังเฮิงถาม
ฟางชิวไม่ตอบอะไร เขาเพียงตบไหล่ของถังเฮิงก่อนจะจากไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อมองตามแผ่นหลังของฟางชิว ความกลัวก็ถาโถมเข้ามาในใจของถังเฮิง
เขารู้สึกว่าตัวเองเสียเวลาชีวิตตลอดสิบแปดปีไปอย่างเปล่าประโยชน์ นอกจากความร่ำรวยของพ่อตัวเองแล้ว ตัวเขามันไม่มีอะไรดีสักอย่างเลย
“แต่ดูลูกพี่ฟางชิวสิ ทั้งมีพลัง ทั้งลึกลับ…”
“นี่แหละคือแนวทางที่ฉันจะใช้ชีวิตอยู่นับจากวันนี้ไป!”
ถ้าหากพ่อของถังเฮิงล่วงรู้ถึงสิ่งที่ลูกชายตัวเองกำลังคิดอยู่ละก็… จะต้องนึกอยากขอบคุณฟางชิวเป็นพัน ๆ รอบแน่นอน พ่อของถังเฮิงใช้วิธีทุกรูปแบบเพื่อให้ความรู้แก่ลูกชายตัวเอง โดยหวังว่าถังเฮิงจะประสบความสำเร็จเข้าสักวัน แต่ความพยายามทั้งหมดได้ถูกพิสูจน์โดยฟางชิวแล้วว่ามันช่างสูญเปล่า
ที่กล่าวไว้ว่าดอกไม้ที่เราเฝ้ามองไม่เคยเบ่งบาน แต่ต้นหลิวกลับเติบโตขึ้นมาแทนนั้นจริงอย่างยิ่ง
ฟางชิวกลับมาถึงห้องพักแล้วก็วิพากษ์วิจารณ์การกระทำที่เห็นแก่ตัวของรูมเมตทั้งสาม แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสามก็ตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความริษยา “ก็พวกฉันคิดว่านายไปกินมื้อกลางวันกับเทพธิดา… พวกเราพูดถูกไหมล่ะ?”
เห็นได้ชัดเลยว่าฟางชิวทิ้งพวกเขาไปหาหญิง!
“แล้วฉันเป็นคนประเภทที่เลือกสาว ๆ ก่อนเพื่อนงั้นเหรอ?” ฟางชิวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
รูมเมตทั้งสามของเขาพยักหน้าพร้อมกันทันที
“แล้วก็เป็นคนประเภทที่ทิ้งเพื่อนไปกินอาหารดี ๆ อยู่คนเดียวด้วย!”
ฟางชิวรู้สึกเศร้าใจมากที่ตัวเองถูกมองแบบนี้
เมื่อไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว ฟางชิวก็ปีนขึ้นไปบนเตียงของตัวเองเพื่อพักผ่อน
…
การฝึกทหารภาคบ่ายนั้นค่อนข้างง่าย เป็นเพียงทบทวนการซ้อมเดินสวนสนามของทหารทีละชั้นเรียน
ฟางชิวและผู้หญิงอีกคนหนึ่งถูกรับเลือกโดยครูฝึกให้เป็นผู้นำในการเดินสวนสนาม พวกเขารับผิดชอบในส่วนของการตะโกนออกคำสั่งและนำห้องสามเดินผ่านเวที
โดยทั่วไปแล้ว ผู้นำจะต้องเป็นคนที่ดูดีและนิสัยดี ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะต้องสามารถรักษาท่าทางของทหารโดยต้องยืนตัวตรงอย่างมีชีวิตชีวาและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
นั่นเป็นเพราะผู้นำมักจะได้รับความสนใจมากที่สุด
ผู้นำต้องดูชาญฉลาดและสามารถทำท่ามาตรฐานได้!
ถ้าหากผู้นำทำท่าทางการเดินสวนสนามผิดแม้แต่นิดเดียว มันจะต้องเป็นอะไรที่น่าอายมากแน่นอน!
แล้วความสามารถของฟางชิวนั้นก็เป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก จากประสบการณ์ของครูฝึกนั้น เป็นเรื่องยากมากที่จะพบทหารสักหนึ่งคนในหนึ่งกองร้อยที่สามารถทำท่ามาตรฐานได้
ดังนั้นเกียรติยศของการเป็นผู้นำจึงถูกมอบหมายให้ฟางชิว ซึ่งเป็นคนที่เก่งที่สุดในการฝึกทหาร
ห้องสามจะจัดขบวนพาเหรดหลังเริ่มพิธีไม่นาน หลังจากเดินขบวนพาเหรดสองครั้งแล้ว การฝึกซ้อมของพวกเขาก็จบลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกเขาก็เริ่มฝึกตามอัธยาศัย
เมื่อทุกคนซ้อมเสร็จหมดแล้ว ผู้หญิงที่เป็นตัวแทนของนักศึกษาที่เข้าฝึกทหารทั้งหมดก็ไปที่เวทีเพื่อซ้อมการพูดของตัวเอง
วินาทีที่ผู้หญิงคนนั้นเดินขึ้นไปบนเวที หนุ่ม ๆ ทั้งหลายก็เริ่มตะโกนพร้อมกับผิวปาก
เมื่อฟางชิวได้ยินเสียง เขาก็มองตามไป แล้วก็เห็นผู้หญิงเจ้าของเรือนร่างสวยงามยืนอยู่บนเวที
ผู้หญิงคนนั้นคือ เจียงเหมี่ยวอวี๋!
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบรรยากาศถึงดูวุ่นวายขนาดนี้
“ครูฝึกครับ หยุดพักกันก่อนเถอะ!” เหล่าบรรดาหนุ่ม ๆ ในห้องสามขอร้องครูฝึกของตัวเอง
เมื่อเห็นดังนั้น ครูฝึกเองก็ตระหนักแล้วว่าศักยภาพของห้องสามนั้นดีพอที่จะใช้คำว่า ‘ดีที่สุด’ แล้ว เขารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องฝึกอะไรเพิ่มต่อ ดังนั้นจึงตะโกน “เลิกแถว!”
“วู้วววว!!!!”
เหล่าหนุ่ม ๆ ทั้งหมดรีบวิ่งไปยังเวทีทันที
ซึ่งภาพนี้มันทำให้สาว ๆ อารมณ์เสียเป็นอย่างมาก
ฟางชิวเองก็ถูกรูมเมตทั้งสามคนลากไปที่หน้าเวทีเพื่อรอดูและฟังการซ้อมพูดของเจียงเหมี่ยวอวี๋
หญิงสาวถือสคริปต์อยู่ขณะที่ยืนอยู่หน้าเวที เธอหลับตาเพื่อจัดการอารมณ์ของตัวเอง จากนั้นก็ลืมตาขึ้นเพื่อเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ฉะฉานชัดเจน “ท่านข้าราชการดีเด่น ครูฝึก อาจารย์ และนักศึกษาทุกท่าน อรุณสวัสดิ์ค่ะทุก ๆ คน!”
“สวัสดี!”
“ดีมากเลย!”
เสียงร้องตะโกนเชียร์และชื่นชมเธอดังไปรอบ ๆ เวที
แต่เสียงเอะอะเหล่านั้นก็ไม่สามารถขัดขวางการพูดของเธอได้ “ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เป็นตัวแทนนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิงในการกล่าวสุนทรพจน์ ณ ที่แห่งนี้…”
“การฝึกทหารที่ยาวนานนับสิบวันกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว มองย้อนกลับไป พวกเราได้รู้จักกับครูฝึกทั้งหลายผู้ดุและเคร่งขรึมในเวลาฝึก แต่นอกเวลาฝึกล้วนเป็นมิตรกับเรา อีกทั้งเหล่าอาจารย์ของพวกเรายังสละเวลาในการปฏิบัติหน้าที่มาดูพวกเราระหว่างการฝึกอีกด้วย รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยที่บริหารจัดการมหาวิทยาลัยได้ดีและมุ่งมั่นพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์แบบอย่างต่อเนื่อง ทุกคนได้ทำงานหนักเพื่อการเติบโตของพวกเราเสมอมา…”
แม้คำพูดของเจียงเหมี่ยวอวี๋จะดูค่อนข้างเป็นทางการ แต่ผู้ชมทั้งหลายกลับรู้สึกมึนเมา
พวกเขาล้วนรู้สึกเช่นนั้นเมื่อได้มองเธอ…
นอกจากนี้ ผู้ชมที่นั่งอยู่ตรงหน้าเวทีต่างตอบสนองสุนทรพจน์ของเจียงเหมี่ยวอวี๋อย่างต่อเนื่อง เมื่อเธอหยุดพักหายใจ เสียงปรบมือจะดังขึ้นทันที เห็นแล้วดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร
หลังจากการกล่าวสุนทรพจน์จบลง เหล่าผู้ชมก็พากันปรบมือเกรียวกราวจนฝ่ามือแดงไปหมด
จะมีก็แต่ฟางชิวที่ไม่ได้คลั่งไคล้เธอเหมือนคนอื่น ๆ
“เจ้าห้า นายคิดยังไงถ้าหากพวกเราจะสร้างสายสัมพันธ์กับหอพักที่เทพธิดาเจียงเหมี่ยวอวี๋พักอยู่?” ซุนฮ่าวถามพลางถองใส่ฟางชิวด้วยความคึก
“ไม่น่าจะดีเท่าไหร่” ฟางชิวพูด
“เอาเถอะน่า! นายกับเจียงเหมี่ยวอวี๋รู้จักกันนี่ ถ้าหากพวกเราไม่ได้ใช้ประโยชน์จากตรงนี้เลย มันไม่เท่ากับว่าเสียเปล่างั้นเหรอ? ฉันรู้สึกได้ว่าสาว ๆ ในหอพักเธอเองก็ต้องสวยทุกคนแน่นอน”
ซุนฮ่าวหัวเราะ
ฟางชิวเองก็ถามกลับอีกฝ่ายเช่นกัน “แล้วนายรู้ได้ไงว่าสาว ๆ คนอื่นในหอพักเธอก็สวยน่ารักเหมือนกัน?”
ซุนฮ่าวมองฟางชิวอย่างท้าทายก่อนจะตอบ “ในงานปาร์ตี้รับน้องใหม่และวันไหว้พระจันทร์ ฉันเห็นเจียงเหมี่ยวอวี๋มากับเพื่อน ๆ สี่คน พวกเธอน่ารักทุกคนเลย”
เมื่อมองไปที่ซุนฮ่าวผู้ไร้ยางอาย ฟางชิวก็คิดในใจ ถ้าหากซุนฮ่าวใช้ความพยายามแบบนี้ในการเรียนเหมือนกับตอนศึกษาผู้หญิง เขาจะต้องกลายมาเป็นนักวิชาการแพทย์แผนจีนที่ยอดเยี่ยมแหง ๆ
ในขณะที่พวกเขาทั้งสองกำลังเถียงกันว่าควรที่จะหาทางพัฒนาความสัมพันธ์กับสาว ๆ ในหอพักของเจียงเหมี่ยวอวี๋หรือไม่ การซ้อมพูดสุนทรพจน์ของเทพธิดาเจียงก็จบลงแล้ว
“การฝึกทหารนั้นได้สอนให้พวกเรารู้จักความทรหดอดทนและการร่วมแรงร่วมใจกัน ดั่งที่มีคำกล่าวไว้ว่า ‘เรายอมเสียเลือดและหยาดเหงื่อดีกว่าน้ำตา เรายอมเสียเนื้อหนังมากกว่าเพื่อนพ้อง’ ในขณะเดียวกันมันก็สอนให้เรารู้สึกภูมิใจและสำนึกในเกียรติยศของการเป็นทหาร”
“สุดท้ายนี้ โปรดให้ฉันได้เป็นตัวแทนของนักศึกษาทุกคนที่ฝึกทหารเพื่อแสดงความเคารพและความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อเจ้าหน้าที่ ครูฝึก และอาจารย์ทุกท่านค่ะ!”
“ขอบคุณมากค่ะ!”
เจียงเหมี่ยวอวี๋ค้อมหัวให้กับผู้ชมที่มาดูเธอ
ไม่นานเสียงปรบมือก็ดังสนั่น
เจียงเหมี่ยวอวี๋ก้าวลงมาจากเวทีด้วยรอยยิ้มท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราว แต่แล้วจู่ ๆ ก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น!
เธอก้าวพลาดไปหนึ่งก้าว!
ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันร้องเสียงหลง
“ระวัง!”
แม้บันไดจะไม่สูงจากพื้นนัก แต่ถ้าหากเธอตกลงมาก็คงเจ็บไม่น้อย
ขณะที่เจียงเหมี่ยวอวี๋กำลังจะล้มลงถึงพื้น ฟางชิวก็พุ่งเข้าไปหาเธอราวกับเดอะแฟลช!
ก่อนที่ทุกคนจะทันเห็นเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น ฟางชิวก็เกือบมาถึงตัวบันไดแล้วรับเธอได้ทัน
เธอเลยรอดจากการหกล้มได้อย่างหวุดหวิด
“ฟู่ววว…”
ทุก ๆ คนต่างพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นี่นับว่าโชคดีจริง ๆ!
พวกเขาไม่มีเวลาคิดว่าฟางชิวไปถึงตัวเธอทันได้อย่างไร?
แต่ในจุดนี้ ก็มีบางคนที่ตาดีมองเห็นความเจ็บปวดในตัวเจียงเหมี่ยวอวี๋
“มีอะไรเหรอ?” ฟางชิวซึ่งยังคงประคองหญิงสาวอยู่ถามด้วยความกังวลใจ
“ฉันข้อเท้าแพลง…” เจียงเหมี่ยวอวี๋ตอบด้วยความเจ็บปวด
“งั้นนั่งลงก่อน!”
ฟางชิวรีบช่วยหญิงสาวให้นั่งลงบนขั้นบันได
“เท้าข้างไหน?”
เจียงเหมี่ยวอวี๋ชี้ไปที่เท้าขวาของตัวเองพลางกัดฟันและขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด
โดยไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ ฟางชิวม้วนขากางเกงข้างขวาของเจียงเหมี่ยวอวี๋ขึ้น แล้วก็เห็นรอยช้ำสีแดงขนาดใหญ่ที่ข้อเท้าขวา
ฟางชิวกดนิ้วลงบนรอยฟกช้ำอย่างแผ่วเบาแล้วถามเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ยังเจ็บอยู่ไหม?”
เจียงเหมี่ยวอวี๋กัดฟันของตัวเองหนักกว่าเดิมพลางมองที่เท้าขวา เธอพยักหน้าเบา ๆ แทนคำตอบพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลอ
ฟางชิวหน้านิ่วหน้า “ตอนนี้ อย่างแรกฉันจะถอดรองเท้าเธอออก ทนเจ็บหน่อยนะ…”
เจียงเหมี่ยวอวี๋พยักหน้าเบา ๆ แทนคำตอบราวกับหมดหนทาง เธอไม่ต่างจากกวางสาวที่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
ฟางชิวค่อย ๆ ถอดรองเท้าของเธอ การกระทำทั้งนุ่มนวลและอ่อนโยน
“บ้าจริง!”
“พระเจ้า! เธอบาดเจ็บ!!!”
กลุ่มคนที่อยู่รอบ ๆ ต่างส่งเสียงฮือฮากันทันที
มันหมายความว่าไง? เทพธิดาเจียงเหมี่ยวอวี๋บาดเจ็บเหรอ?
นี่ถือว่าเป็นโอกาสทองเลยใช่ไหมที่จะได้แสดงความกล้าหาญและความดีเพื่อช่วยเทพธิดาของพวกเขา!
พวกเขารีบพากันเข้าไปเสนอตัวแก้ปัญหา
“ฉันจะไปที่ห้องพยาบาลเพื่อตามหมอนะ!” นักศึกษาคนหนึ่งวิ่งออกไปหลังจากพูดคำนั้น
“เดี๋ยวฉันจะไปซื้อน้ำเย็นนะ!”
จากนั้นนักศึกษาคนหนึ่งก็ยกมือขึ้น อีกทั้งยังวิ่งออกไปทันทีที่เสนอตัว
“ฉันจะไปที่ห้องพยาบาลเอาเปลหามนะ!”
“เดี๋ยวฉันจะไปแจ้งเจ้าหน้าที่!”
…
ตอนนี้เหล่าฝูงชนเป็นบ้ากันไปหมด ทุก ๆ คนต่างวิ่งออกไปเพื่อมองหาอะไรสักอย่างที่พอจะเป็นประโยชน์ในการช่วยเทพธิดาของพวกเขา
ในเวลาเดียวกัน หลี่ชิงสือที่มาตรวจตราการฝึกทหารในฐานะประธานสมาคมนักศึกษาก็เดินเข้ามาหาพวกเขาไกล ๆ เขาเห็นฝูงชนรวมตัวกันอยู่ตรงสนามกีฬา
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่านะ?”
หลี่ชิงสือรีบคว้าไหล่ของนักศึกษาคนหนึ่งแล้วถาม “โทษทีนะ เกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
“เจียงเหมี่ยวอวี๋ข้อเท้าแพลง! ฉันกำลังจะไปซื้อน้ำเย็นให้เธอ อย่าขวางทางฉันนะ!”
จากนั้นอีกฝ่ายก็สะบัดมือของหลี่ชิงสือ แล้วรีบวิ่งไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ตั้งอยู่ข้างนอกสนามกีฬา
“อะไรนะ?”
หลี่ชิงสือเปลี่ยนสีหน้า หัวใจของเขาถึงกับแทบจะหยุดเต้น
“เหมี่ยวอวี๋บาดเจ็บ!”
ชายหนุ่มรีบวิ่งไปยังเวทีทันที
ในขณะที่หลี่ชิงสือกำลังมุ่งหน้าไปข้างหน้า ฟางชิวก็กำลังถอดรองเท้าของเจียงเหมี่ยวอวี๋อย่างระมัดระวัง
“เหมี่ยวอวี๋ เป็นยังไงบ้าง? เจ็บไหม?”
หลี่ชิงสือเดินไปหาเจียงเหมี่ยวอวี๋ ก่อนจะก้มลงดูเธอแล้วถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ข้อเท้าแพลงน่ะ เจ็บนิดหน่อย”
ภายใต้ความเจ็บปวดนั้น คิ้วของเจียงเหมี่ยวอวี๋ที่ขมวดมุ่นอยู่ก็ไม่มีทีท่าจะผ่อนคลายลงเลย
“รอเดี๋ยวนะ ฉันจะหาทางช่วยเดี๋ยวนี้!”
ในขณะที่หลี่ชิงสือจะออกไปคุยโทรศัพท์ เขาก็เห็นฟางชิวอยู่ที่ข้างบันได สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มประธานสมาคมนักเรียนถึงกับคิ้วขมวด
“มันมาทำอะไรที่นี่?”
“เดี๋ยวฉันจะถอดถุงเท้าเธอนะ มันก็จะเจ็บนิดนึง หายใจเข้าลึก ๆ ล่ะ”
ฟางชิวมองเจียงเหมี่ยวอวี๋
หญิงสาวพยักหน้า
ภาพที่เห็นนี้ทำให้หลี่ชิงสือรู้สึกอิจฉาขึ้นมา ใบหน้าของเขาถึงกับบูดบึ้งทันที
‘ทำไมมันถึงอยู่ทุกที่เลยนะ?’
‘ทั้งอยู่งานปาร์ตี้ตอนไฟดับ!’
‘…ทั้งอยู่ที่นี่ตอนที่เจียงเหมี่ยวอวี๋ข้อเท้าแพลง!’
‘นี่นายเป็นผีหรือยังไง?! เป็นผีที่คอยตามหลอกหลอนฉันไปทั่วมหาวิทยาลัยน่ะ?!’
เมื่อเห็นฟางชิวกำลังเอื้อมมือไปที่เท้าของเจียงเหมี่ยวอวี๋ หลี่ชิงสือก็รู้สึกว่าเทพธิดาของเขากำลังถูกทำให้แปดเปื้อน มันเป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้!
“เฮ้ยนายน่ะ! หยุดเลย! ถ้านายเคลื่อนข้อเท้าเธอแล้วทำให้อาการหนักกว่าเดิมจะทำยังไง? อย่าคิดแต่จะช่วยอะไรแบบไม่มีทิศทางไปหน่อยเลย!”
หลี่ชิงสือออกคำสั่ง ทำเหมือนตัวเองเป็นข้าราชการที่น่านับถือ “อย่าขยับหรือทำอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดนั่นแหละ! รอตรงนี้ ฉันจะหาทางช่วยเอง!”
จากนั้น เขาก็รีบกดโทรศัพท์
“พวกเราห้ามขยับหรือทำอะไรงั้นเหรอ?”
ทุก ๆ คนรู้ดีว่าหลี่ชิงสือคือคนดังในมหาวิทยาลัย ในฐานะที่เขาเป็นถึงประธานสมาคมนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง ในสายตาของนักศึกษาคนอื่น ๆ เขาจึงเป็นที่นับหน้าถือตาระดับหนึ่งอยู่แล้ว
พวกเขาเชื่อในคำพูดที่มีน้ำหนักแบบนี้เสมอ
ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวหรือทำอะไรเลย
พวกเขามองมาที่ฟางชิวและคิดว่าชายหนุ่มน่าจะหยุด
แต่พวกเขาก็ต้องพบว่าฟางชิวไม่ได้ฟังคำสั่งของหลี่ชิงสือแต่อย่างใด เขายังคงถอดถุงเท้าของเจียงเหมี่ยวอวี๋ออก ท่าทางของเขานั้นนุ่มนวลมากราวกับต้องการไม่ให้กระทบต่อบริเวณที่เธอฟกช้ำ
“ฟู่ววว…”
ในที่สุด เมื่อถุงเท้าถูกถอดออกจนหมด ฟางชิวก็ถอนหายใจเบา ๆ
เจียงเหมี่ยวอวี๋มองไปที่ฟางชิวด้วยดวงตาเป็นประกาย
‘การกระทำของเขามันช่างอ่อนโยน ฉันแทบไม่เจ็บเลย’
‘เขาคงเป็นคนที่อ่อนโยนและระมัดระวังมาก…’
นี่เป็นความประทับใจครั้งที่สามที่ฟางชิวทิ้งไว้ให้เธอเห็น
ก่อนหน้านี้เธอรู้เพียงว่าฟางชิวเป็นคนที่มีความสามารถหลากหลาย แต่ไม่มีความโรแมนติก แต่ในตอนนี้ ‘อ่อนโยน’ และ ‘ระมัดระวัง’ ได้ถูกเติมเข้ามาแล้ว
“ถ้าจะรักษา ฉันต้องถอดรองเท้าและถุงเท้าด้านซ้ายของเธอด้วย” ฟางชิวเอ่ยพร้อมกับมองไปที่คนเจ็บ
“เธอรักษาได้ใช่ไหม?”
เจียงเหมี่ยวอวี๋จ้องไปที่ฟางชิวด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเธอก็ชะงักเพราะคิดถึงเหตุการณ์ที่เขารักษาเธอที่ห้องสมุด
ฟางชิวเองก็คิดเช่นเดียวกันกับเธอ ทั้งสองมองตาพร้อมกับยิ้มให้กัน
รอยยิ้มของคนทั้งคู่ทำให้นักศึกษาโดยรอบพากันงงงวย
“สองคนนี้จะต้องมีซัมติงอะไรกันแน่ ๆ!” ซุนฮ่าวพึมพำกับตัวเองท่ามกลางฝูงชน
ฟางชิวยื่นมือออกไปถอดรองเท้าและถุงเท้าซ้ายของเจียงเหมี่ยวอวี๋อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดต่อในทันที “ต่อไป ต้องขอโทษก่อนด้วยนะที่ฉันทำแบบนี้…”