บทที่ 53 เดี๋ยวจะช่วยกู้หน้าให้นายเอง
บทที่ 53 เดี๋ยวจะช่วยกู้หน้าให้นายเอง
ฟางชิวเดินไปที่หน้าห้องเพื่อส่งกระดาษทำแบบทดสอบ เฉียวมู่รับกระดาษมาดูทันที
เฉียวมู่ไม่สามารถระงับความอยากรู้อยากเห็นของเขาได้อีกต่อไป เขาจึงเหลือบมองอย่างรวดเร็วแล้วหัวเราะออกมา
ฟางชิวทำเสร็จแล้วจริง ๆ!
ภายในครึ่งชั่วโมงก็ทำได้ถึงขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เขียนเร็วเท่านั้น แต่ยังมีองค์ความรู้ที่สุดยอดอีกด้วย!
เฉียวมู่เงยหน้ามองเห็นกลุ่มนักศึกษา พยายามหักห้ามใจที่จะไม่ตรวจคำตอบของฟางชิว เขาเอ่ยกับนักศึกษาด้านล่างว่า “ถ้าทำไม่ได้ ก็ส่งกระดาษคำตอบมาเถอะ ฉันไม่กดดันพวกเธอแล้ว”
ทันทีที่ประโยคนี้ดังออกมา
ทุกคนก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกแล้วรีบลุกขึ้นไปส่งกระดาษคำตอบ
ขณะส่งกระดาษคำตอบ เหล่านักศึกษาก็พบว่ากระดาษของทุกคนต่างว่างเปล่าและขาวไปทั้งหน้า
แบบทดสอบปรนัยและอัตนัยทั้งหมด พวกเขาได้ตอบเท่าที่ตอบได้แล้ว แต่มันก็ยังเป็นคำตอบที่ไม่ชัดเจนอยู่ดี
เฉียวมู่รวบรวมเอกสารทดสอบไว้ในมือ วางของฟางชิวไว้ด้านบนสุด จากนั้นพูดกับนักศึกษาว่า “รู้ไหมว่าทำไมพวกเธอถึงถูกทดสอบ?”
เหล่านักศึกษาต่างก็งุนงง
ไม่ใช่เพราะอยากรู้ระดับความรู้พวกเราหรอกเหรอ?
ยังมีวัตถุประสงค์อื่นอีกเหรอ?
“เฮ้อ!”
เฉียวมู่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ทุกปีเมื่อมีนักศึกษาใหม่เข้ามาในมหาวิทยาลัย เราจะจัดการแข่งขันความรู้ด้านการแพทย์แผนจีนสำหรับนักศึกษาใหม่ งานจะจัดขึ้นหนึ่งเดือนหลังจากที่นักศึกษาใหม่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัย”
“จุดประสงค์ง่ายมาก นี่ก็เพื่อทดสอบระดับความรู้ของน้องใหม่ จะได้กระตุ้นให้ตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่เพื่อที่จะเอาชนะการแข่งขันได้”
“พวกเธอรู้ไหมว่าครั้งที่แล้วมหาวิทยาลัยของพวกเราอยู่อันดับที่เท่าไหร่ในการแข่งขัน”
อันดับไหนล่ะ?
ทุกคนมองไปที่เฉียวมู่อย่างสงสัย
“อันดับที่สอง นับจากอันดับสุดท้ายขึ้นมา!” เฉียวมู่ยิ้มอย่างขมขื่น
นักศึกษาทุกคนต่างรู้สึกอาย มหาวิทยาลัยของพวกเราทำได้แย่มากเลยไม่ใช่หรือนั่น?
“สถานที่แข่งขันจัดในมหาวิทยาลัยของเรา พวกเธอนึกภาพออกไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าพวกเธอยังชนะเป็นอันดับที่สองนับจากอันดับสุดท้ายในการแข่งขันอีก”
จะเกิดอะไรขึ้น?
ทุกคนเริ่มคิดตาม
ร่างกายพลันสั่นสะท้านขึ้นมาทันที
ถ้ายังเป็นอันดับสองรองจากสุดท้ายจริง ๆ
พวกเขาก็จะเป็นรุ่นที่ขายหน้ามากที่สุดน่ะสิ!
คงจะถูกคนในมหาวิทยาลัยหัวเราะเยาะ แถมยังกลายเป็นชั้นเรียนที่น่าอับอายที่สุด!
หลังจากนี้ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะถูกหัวเราะเยาะโดยนักศึกษาชั้นเดียวกันจากอีกเก้ามหาวิทยาลัย!
เมื่อคิดได้แล้วทุกคนก็รู้สึกคิดหนัก
“นักศึกษาใหม่ทุกคนจะต้องเข้าสอบเพื่อหาข้อสรุปว่าอยู่ในระดับไหน จากนั้นก็ฝึกฝนทำข้อสอบตามพื้นฐานของแต่ละคน จะได้เตรียมตัวให้พร้อม” เฉียวมู่กล่าว
“แต่ถ้าพวกเราเตรียมตัวพร้อมเต็มที่แล้ว มหาวิทยาลัยอื่นก็เหมือนกันใช่ไหม?”
เพื่อนร่วมชั้นรีบยกมือขึ้นเพื่อตอบคำถามนี้
“มหาวิทยาลัยอื่นก็เตรียมตัวเหมือนกันครับผม!”
เฉียวมู่พยักหน้าและกล่าวว่า “ดังนั้นพวกเธอถึงต้องเตรียมตัวให้ดีไง!”
“ฉันจะบอกกฎเลยก็แล้วกัน แต่ละมหาวิทยาลัยจะส่งตัวแทนเข้าร่วมเก้าคน แต่ทุกคนไม่ใช่ทีมเดียวกัน ทุกคนเป็นคู่แข่งเหมือนกัน สุดท้ายจะมีการตัดสินว่าใครเป็นผู้ชนะ ฉะนั้น การจัดอันดับมหาวิทยาลัยก็ขึ้นอยู่กับนักศึกษาทั้งเก้าแล้ว”
“วันที่แข่งขันคือวันเสาร์และอาทิตย์ในอีกสี่สัปดาห์ที่จะถึงนี้! จะแข่งทั้งหมดสองวัน!”
“ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันหรือไม่ ฉันหวังว่าพวกเธอทุกคนจะตั้งใจเรียนในเดือนนี้ ตัวแทนเก้าคนอาจจะมีเหตุฉุกละหุก พวกเธอสามารถเปลี่ยนตัวกับพวกเขาได้ สามสัปดาห์หน้าจะมีการทดสอบอีกครั้ง ดังนั้นนักศึกษาทุกคน ตั้งใจเรียนเพื่อมหาวิทยาลัยและเพื่อศักดิ์ศรีของพวกเธอด้วย!”
“ในเมื่อทุกคนผ่านการสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว พวกเธอยินดีที่จะถูกเปรียบเทียบกับนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่นไหม?”
“พวกเธอยินดีที่จะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเหรอ”
“หรือพวกเธอเต็มใจที่จะถูกโค่นศักดิ์ศรี อับอายขายหน้าให้กับมหาวิทยาลัยทั้งเก้า!”
“ไม่ครับ/ค่ะ!” ทั้งคลาสเรียนตะโกนพร้อมกัน
พลังเสียงช่างน่าตกใจจริง ๆ!
คำพูดของเฉียวมู่จุดประกายความกระตือรือร้นของทุกคนในการแข่งขันออกมา
ดวงตาของทุกคนเลยเปล่งประกายด้วยความเร่าร้อนไม่รู้จบ!
ทุกคนต่างเริ่มเรียนพร้อมกัน บางทีตนเองอาจเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้!
จะมีอะไรอีกที่จะยิ่งใหญ่เกรียงไกรกว่าการเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัย! นี่เป็นการเรียนเพื่อศักดิ์ศรีจริง ๆ เลยเว้ย!
หลายคนมองฟางชิวด้วยสายตาที่ไม่พอใจ
หมอนี่แข็งแกร่งมาก แต่รู้ว่าแข็งแกร่งขนาดนี้ก็ดีเหมือนกัน!
ส่วนฟางชิวนั้น เขาตั้งตารอคอยสายตาแบบนี้มานานแล้ว ยิ่งมีสายตาแบบนี้มากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น
แสดงว่าพวกเขาต้องอยากเรียนรู้อะไรอีกมาก ยิ่งเรียนมากก็ยิ่งเก่งขึ้น พื้นฐานทางการแพทย์ของพวกเขาก็จะดีขึ้น ทีนี้ก็จะยิ่งดีกับผู้ป่วย!
เมื่อเห็นสายตาของทุกคนแล้ว เฉียวมู่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจแล้วกล่าวว่า “ดีมาก! ไปเรียนต่อกันเถอะ!”
ทุกคนหยิบหนังสือขึ้นมา ดีดตัวนั่งตรงทันที
การแสดงออกของพวกเขาจริงจังกว่าที่เคย
เฉียวมู่กระตุ้นด้วยปณิธานอันแรงกล้าของนักศึกษาได้อย่างเยี่ยมยอด
พวกเขาได้ยินคำพูดที่เฉียบคมมากมายก่อนจบคลาส
สาระความรู้ต่าง ๆ ที่เฉียวมู่ถ่ายทอดออกมาก็ละเอียดมาก
เหล่านักศึกษาต่างตั้งใจฟังเฉียวมู่บรรยายอย่างกระตือรือร้น
นี่คือปรากฏการณ์ที่ดีที่สุด
และเป็นปรากฏการณ์ที่สวยงามที่สุดอีกด้วย
ฟางชิวยิ้ม มองทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้าเขาอย่างมีความสุข
ความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ของทุกคนยังคงดำเนินต่อในชั้นเรียนถัดไป ซึ่งทำให้อาจารย์แพทย์และอาจารย์ที่สอนแพทย์จีนโบราณที่เพิ่งเข้ามาในห้องเรียนก็ตกใจ
พวกอาจารย์นึกว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเสียอีก?
แต่สุดท้ายก็พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ทุกคนแค่เพิ่งได้แรงผลักดันเลยกระตือรือร้นก็เท่านั้น
ในชั้นเรียนนี้ ต่างคนต่างอยากยกระดับความรู้ตนเองกันทั้งนั้น
ในเวลาเดียวกัน
หลังจบการสอนเฉียวมู่ก็กลับไปที่สำนักงานทันที
หลังจากเหลือบมองกระดาษคำตอบอื่น ๆ อย่างรวดเร็วแล้ว เขาก็รีบคว้ากระดาษคำตอบของฟางชิวออกมาอ่านอย่างตั้งใจ
อ่านในช่วงแรกก็ยังไม่มีอะไรน่าไม่ตกใจ
แต่พออ่านไปสักพักก็เกิดความแปลกใจขึ้นมา
ความตื่นเต้นในดวงตาของเฉียวมู่ฉายออกมาชัดเจน
เขาอ่านต่อไปอีกสามนาที มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีก อ่านจบเฉียวมู่ก็หยิบกระดาษคำตอบของฟางชิวแล้วรีบออกจากสำนักงานไปทันที
ปัง!
ประตูสำนักงานของฉีไคเหวินที่เป็นคณบดีมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนถูกเฉียวมู่ผลักออกอย่างแรง
ฉีไคเหวินที่กำลังดื่มชาอยู่ตกใจไม่น้อย
ดีที่เขาไม่ได้ถูกชาลวกตัวเอง
“อยากถามอาจารย์เฉียวจริงว่าลืมเคาะประตูหรือเปล่า”
“ขออภัยท่านคณบดี ผมตื่นเต้นมากไปหน่อย” เฉียวมู่ขอโทษอย่างรวดเร็วก่อนจะส่งกระดาษคำตอบให้ฉีไคเหวิน
“นี่คือ?” ฉีไคเหวินหยิบกระดาษคำตอบขึ้นมาดูด้วยความสงสัย
“นี่เป็นกระดาษคำตอบของนักศึกษาที่ผมเคยพูดถึง ฟางชิวไงครับ”
“โอ้ ทดสอบแล้วเหรอ เป็นอย่างไรบ้าง เหมือนว่าจะตอบถูกทุกคำถามนะ” ฉีไคเหวินพลิกกระดาษคำตอบแล้วกล่าวออกมา
“เขาตอบถูกหมดเลยครับ!” เฉียวมู่ตอบ
“ถูกหมด… ถูกหมดเลยเรอะ!”
ฉีไคเหวินมองไปที่เฉียวมู่ด้วยความประหลาดใจแล้วเบือนสายตามาตรวจกระดาษคำตอบอย่างระมัดระวัง เขาสุ่มเพิ่มอ่านคำถามสองสามข้อ แล้วพบว่าคำตอบนั้นถูกต้องจริง ๆ
“ที่สำคัญคือเขาใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง คำถามตั้งมากมายแต่ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น!” เฉียวมู่อธิบายเพิ่ม
“นึกไม่ออกเลยว่าต้องเชี่ยวชาญความรู้พื้นฐานของแพทย์แผนจีนมากแค่ไหนถึงทำได้ภายในสามสิบนาทีแบบนี้!”
เฉียวมู่กล่าวอย่างตื่นเต้น
“เก่งขนาดนั้นเลย?” ฉีไคเหวินเริ่มสนใจกับชื่อบนกระดาษคำตอบจริง ๆ
คำตอบถูกต้องไม่พอ ยังทำเร็วอีก คนที่ทำได้ต้องมีความรู้ในระดับสูงเท่านั้น!
“ให้เขาเป็นหนึ่งในตัวแทนสามสิบคนก่อน ค่อยมาดูกันว่าเขาจะเข้ารอบเก้าคนได้ไหม” ฉีไคเหวินตัดสินใจในที่สุด
เฉียวมู่พยักหน้า แต่ก็ค่อนข้างรู้สึกผิดหวังอยู่ลึก ๆ
เขารู้สึกว่าความฉลาดของฟางชิวมากพอที่จะเป็นตัวแทนเก้าคนได้ทันที
คณบดียังระมัดระวังตัวมากเกินไป!
…
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว
คาบเรียนแรกของช่วงบ่ายเริ่มต้นขึ้น
เป็นครั้งแรกที่นักศึกษาห้องสามและฟางชิวได้เข้าเรียนวิชาพละตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมา
วิชานี้เป็นการเรียนบาสเกตบอล
ปีแรกจะต่างจากปีสอง วิชาพลศึกษาเป็นวิชาบังคับในปีแรก พวกเขาจะต้องเข้าเรียนอย่างจริงจัง
พวกเขาเรียนรวมตั้งแต่สัปดาห์ที่สองแล้ว
ฟางชิวยืนอยู่ในแถวเดียวกับเพื่อนร่วมชั้นของเขาในสนามบาสเกตบอล
กลุ่มคนที่ถือลูกฟุตบอลและสวมชุดฟุตบอลที่เดินเข้ามาหาพวกเขานั้นมีหลี่ชิงสือ อยู่ด้วย
เจ้าตัวก็เห็นเขาแล้ว สีหน้าพลันมืดทะมึนลงทันที ฟางชิวมองหลี่ชิงสือเดินข้ามสนามบาสเกตบอลไปที่สนามฟุตบอลกับเพื่อนร่วมชั้นเงียบ ๆ
ชายหนุ่มยังคงเหมือนกับนักศึกษาคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ในคลาสเรียนเพื่อรอให้อาจารย์มาสอน
อาจารย์พละแนะนำตัวเสร็จก็เริ่มนับจำนวนนักศึกษา
“หนึ่ง! สอง! สาม… สามสิบ!”
จากนั้นก็เช็กชื่อต่อ
หลังจากพูดถึงข้อควรระวังแล้ว อาจารย์ก็ให้นักศึกษาไปรับลูกบาสเกตบอลมา
หลังจากส่งลูกบาสเกตบอลไปแล้วสามสิบลูก ทุกคนก็ดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ในที่สุดก็เล่นบาสแล้ว!
และแล้วความเพ้อฝันของพวกเขาก็หายไปอย่างรวดเร็ว
เพราะอาจารย์เริ่มสอนตั้งแต่ทักษะบาสเกตบอล
ลากยาวไปถึงวิธีชู้ตลูกบาส ควรยืนอย่างไรขณะชู้ต…
ทุกคนที่เรียนอยู่รู้สึกหดหู่ใจมาก ๆ นี่ยังต้องสอนอีกเหรอ? มีคนไม่เคยเล่นตอนมัธยมด้วยหรือ?
พออาจารย์สอนไปได้สักพัก ก็พบว่ายังมีนักศึกษาที่ไม่เข้าใจกฎกติกาในการเล่นอยู่…
อาจารย์บาสเกตบอลเลยยังคงสอนต่อไป
ณ ที่สนามฟุตบอล นักศึกษาที่ดูแข็งแรงชี้ไปที่ฟางชิวที่ยืนในสนามบาสเกตบอลแล้วถามหลี่ชิงสือที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “นั่นใช่ฟางชิวที่ทำให้นายขายหน้าหรือเปล่า”
หลี่ชิงสือพยักหน้าอย่างผิดหวัง
ให้มายอมรับว่าอ่อนในสายตาเพื่อนนี่มันหงุดหงิดจริง ๆ เลย
“ดูแล้วก็ไม่เห็นจะเก่งเท่าไหร่เลยนี่?” นักศึกษาคนนั้นลูบคางตนเอง สีหน้าดูครุ่นคิด
“อยากลองสู้กับมันไหมล่ะ” หลี่ชิงสือถามอย่างโกรธเคือง
“อย่าเลย! พรสวรรค์คือสิ่งที่ฉันไม่มี โม้ยังไม่ได้เลย ถ้าให้โม้เรื่องวิ่งละก็ยังพอไหว เพราะการวิ่งคือเป้าหมายของฉัน!”
นักศึกษาคนนั้นมองไปที่หลี่ชิงสือแล้วถามว่า “อยากให้ฉันสอนบทเรียนให้มันไหม”
หลี่ชิงสือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว เขารู้ว่าบทเรียนที่จะสั่งสอนฟางชิวได้ก็คือ ต้องหาสถานที่ที่ไม่มีใครอยู่แล้วค่อยจัดการอัดเขาต่างหาก
ทุกคนตรงนี้เล่นฟุตบอลเป็น มีเรี่ยวแรงพอตัว
การออกกำลังกายก็สำคัญเหมือนกัน
ฉะนั้นให้ไปอัดฟางชิวน่ะ พวกเขาทำได้แน่
“เดี๋ยวฉันช่วยเอาไหม” เมื่อเห็นว่าหลี่ชิงสือปฏิเสธ นักศึกษาคนนั้นก็ยิ้มแล้วถามอีกครั้ง
“นายคิดจะทำอะไร” หลี่ชิงสือถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ตรงนี้ไม่ไกลจากสนามบาส ตรงกลางก็ไม่มีสิ่งกีดขวางอะไร จะเตะลูกบอลไปตรงไหนก็ได้นี่” นักศึกษาคนนั้นพูดไปยิ้มไป
ดวงตาของหลี่ชิงสือเป็นประกายทันที เขาตบไหล่อีกฝ่าย ยิ้มร่าออกมา “เกาเฟย ไม่ได้เห็นนายเตะลูกบอลนานแล้ว ไม่รู้ว่ายังเตะเข้าเป้าอยู่ไหม”
“รอดูได้เลย!” เกาเฟยยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ
ที่สนามบาส
ในที่สุดอาจารย์พละก็สอนจนเสร็จ เขาอนุญาตให้นักศึกษาฝึกกันเอง
นักศึกษาทั้งสามคนเหมือนนกออกจากกรง เริ่มสนุกกับการเล่นบาสเกตบอลในทีมของตัวเอง แต่ก็ไม่ลืมที่จะเว้นพื้นที่ครึ่งสนามให้กับสาว ๆ โดยเฉพาะ
ฟางชิวเข้าร่วมทีมด้วย ทำให้มีผู้เล่นทั้งหมดสิบคน
ตอนแรกชายหนุ่มไม่ได้เคลื่อนไหวมากนัก เขาส่งลูกให้เพื่อนร่วมทีมเสียมากกว่า
สำหรับเพื่อนร่วมทีมแล้ว ฟางชิวเป็นเหมือนผู้ช่วยของพระเจ้า
เพราะฟางชิวส่งบอลให้เพื่อนร่วมทีมลงเป้าเป๊ะ ๆ ทุกรอบ
เพื่อนร่วมทีมเลยทำคะแนนได้ง่าย ๆ
ถ้าลูกบาสส่งมาให้ฟางชิวถี่ ชายหนุ่มก็ส่งออกไปถี่เช่นกัน
อาจารย์พละที่เบื่อกับการดูการฝึกของทีมอื่น ก็เบือนสายตามาสังเกตสถานการณ์ในสนามโดยรอบ
เขาเดินเอื่อย ๆ ไปที่สนาม และสังเกตเหล่านักศึกษาอย่างละเอียด
ในไม่ช้าก็สังเกตเห็นฟางชิว
ตอนนี้ลูกบาสกำลังกลิ้งไปนอกสนาม
ฟางชิวเดินไปหยิบลูกบาสขึ้นมา หยุดยืนอยู่ข้างสนามเพื่อส่งลูกบาสต่อให้เพื่อนร่วมทีม และแล้วก็มีบางอย่างซัดตรงมาที่ใบหน้าของฟางชิวอย่างรวดเร็ว
“อ๊ะ! ระวัง!” เหล่านักศึกษาร้องอุทานออกมาทันที