บทที่ 64 ตกตะลึงขั้นสุด!
บทที่ 64 ตกตะลึงขั้นสุด!
ฟางชิวแก้เหรียญทองแดงที่แขวนอยู่โดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็ลุกจากเตียงไปหยิบอีกเหรียญหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก ประกบเหรียญทั้งสองเข้าด้วยกันแล้วมัดให้แน่น ก่อนจะนำไปแขวนไว้อีกครั้ง
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วมานั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียง เมื่อเหรียญทองแดงสองเหรียญที่แขวนอยู่นิ่งสนิท ดวงตาที่หรี่ลงก็เบิกกว้างขึ้นทันที
ดวงตาของเขาสว่างวาบ
ไปทางซ้าย!
สายตาของเขาจับจ้องไปที่เหรียญทองแดง พลังจิตของฟางชิวเริ่มเคลื่อนไหวราวกับสายลม
เหรียญทองแดงทั้งสองเหรียญเกิดการสั่น แต่เป็นการสั่นที่เล็กน้อยจนน่าประหลาดใจ
หากเป็นเหรียญทองแดงแค่เหรียญเดียว เหรียญคงจะสั่นมากกว่านี้ แต่เหรียญทองแดงทั้งสองเหรียญที่อยู่เบื้องหน้าฟางชิวนั้น ราวกับว่าเป็นหนอนขี้เกียจที่ขี้กลัวไม่มีผิด สั่นได้อยู่ครู่เดียวก็หยุดสั่นแล้ว
ยาก
นี่มันยากมาก!
ฟางชิวแอบถอนหายใจทิ้งเบา ๆ
แม้ว่าเหรียญจะดูเหมือนเล็ก แต่เขาก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าการเพิ่มนี้จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
การเพิ่มน้ำหนักเป็นสองเท่านั้น ความยากก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเช่นกัน หรืออาจจะเป็นสามเท่า สี่เท่า หรือแม้แต่ห้าเท่าก็ได้
ไม่ต้องพูดถึงเหรียญทองแดง เขาคิดว่าแค่เพิ่มเส้นผมลงไปเส้นเดียวก็อาจจะทำให้ความยากลำบากพุ่งสูงขึ้นแล้ว
แน่นอนว่า เขาไม่หวั่นเกรงต่อความยากลำบากเล็กน้อยเช่นนี้
ยาก หมายความว่าเป็นไปได้
ฟางชิวยังคงพยายามต่อไปโดยที่ไม่มีการหยุดพักและไม่มีความลังเลอยู่เลย
ไปทางซ้าย!
ไปทางขวา!
ไปทางซ้าย!
…
ผ่านไปเนิ่นนาน
ด้วยความพยายามอย่างต่อเนื่องของฟางชิว เหรียญทองแดงที่ห้อยอยู่ทั้งสองเหรียญก็เริ่มขยับในที่สุด
แม้ว่ามันจะยังไม่ขยับมากเท่ากับเหรียญทองแดงแค่หนึ่งเหรียญ แต่มันก็ขยับแรงกว่าตอนแรกมาก
“ต้องอย่างนี้สิ” ฟางชิวยิ้มและพยักหน้าอย่างพอใจ
พรึ่บ!
ทันใดนั้น ไฟในห้องก็กะพริบและดับลง
ฟางชิวถอนหายใจออกออกมาเล็กน้อยแล้วล้มตัวนอน
ในความพยายามครั้งนี้ ชายหนุ่มพบว่านอกจากจะขยับเหรียญทองแดงสองเหรียญได้แล้ว เขายังเหนื่อยง่ายกว่าเดิมอีกด้วย
เมื่อครู่ฟางชิวรู้สึกราวกับว่าเส้นเอ็นในหัวของเขามันตึง ๆ และยังเหนื่อยล้าไปทั้งกายและใจ
“คิดถูกที่ฝึกวิธีใหม่ ฉันจะทำอีกวันหลังก็แล้วกัน…” ตอนที่ฟางชิวนอนอยู่บนเตียง เขาก็คลี่ยิ้มออกมา ก่อนที่จะปิดตาแล้วผล็อยหลับไป
อีกด้านหนึ่ง
ห้องประชุมในอาคารเรียน
ในช่วงเวลาห้าทุ่ม คณบดีของมหาวิทยาลัยทั้งหลายก็ได้มารวมตัวกัน แม้กระทั่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลในเครือที่หนึ่งและโรงพยาบาลในเครือที่สอง ต่างคนต่างก็มารวมตัวกันในห้องประชุมแห่งนี้
“ห้าทุ่มแล้ว ทำไมยังมีประชุมอีก”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“มีเรื่องอะไรกันเหรอ มีเหตุด่วนเกิดขึ้นหรือไง?”
“ไม่เคยได้ยินว่ามีนะ!”
“ฉันเคยบอกว่า การประชุมนี้ให้จัดขึ้นเดือนละครั้งไม่ใช่เหรอ แล้วก็เพิ่งจะประชุมไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเอง ถ้านี่เป็นการประชุมของคณบดี แล้วจะมีรองคณบดีไปทำไม”
ในห้องประชุมเกิดเสียงกระซิบเป็นระยะ ๆ แล้วพวกเขาก็ลอบมองจางซินหมิงที่นั่งถัดจากฉีไคเหวินด้วย
ปกติแล้วรองคณบดีจะไม่ได้เข้าร่วมการประชุมนี้
ถ้ามีรองอธิการบดีมาร่วมด้วยก็ควรมาทั้งหมดสิ ทำไมต้องให้มาแค่คนเดียว
“นี่เป็นเวลานอนแล้ว พวกเราเรียนแพทย์แผนจีนมานี่ ถ้าไม่ได้นอนเวลานี้มันจะไม่ดีต่อร่างกายจำไม่ได้กันหรือไง! หยินกับหยางจะไม่สมดุลกัน!”
“สรุปแล้วเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่?”
ในห้องประชุม
คณบดีของมหาวิทยาลัยคนอื่น ๆ กำลังถกเถียงเรื่องนี้กันอย่างเมามัน
มีเพียงฉีไคเหวิน คณบดีมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีน กับจางซินหมิง รองคณบดีที่นั่งอยู่ในห้องประชุมอย่างสงบนิ่ง
ทันใดนั้น รองอธิการบดีเฉินอินเซิงก็เดินเข้ามาในห้องประชุม
เป็นเหตุให้ภายในห้องประชุมเงียบลงทันที
ทุกคนมองไปที่เฉินอินเซิงด้วยความสงสัย
หลังจากที่เฉินอินเซิงนั่งลงแล้ว เขาก็กวาดตามองทุกคนที่อยู่รอบโต๊ะประชุมและกล่าวว่า “ท่านคณบดีไปอบรมสัมมนา ผมเลยมาเป็นประธานในการประชุมวันนี้”
“ลำบากทุกคนแล้วสำหรับการประชุมในครั้งนี้ นี่ก็ดึกมากแล้วแต่ยังเรียกให้พวกคุณมาที่นี่ ทุกคนคงจะสงสัยแล้วว่าทำไมถึงเรียกพวกคุณมาประชุมตอนดึก ๆ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็พากันพยักหน้าทันที
พวกเขาอยากรู้มากจริง ๆ
เฉินอินเซิงมองดูทุกคนแล้วยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “อันที่จริง ในวันนี้ที่เรียกทุกคนมา มีเพียงหัวข้อเดียวที่อยากให้ทราบ นั่นคือการฝึกงาน”
ฝึกงาน?
ฝึกงานอะไร?
ประโยคนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงในทันที
พวกเขาทั้งหมดรู้สึกมึนงง ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เฉินอินเซิงกำลังพูดออกมาแม้แต่น้อย
“ต่อไปผมจะให้ ฉีไคเหวิน คณบดีมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนแนะนำรายละเอียดให้แก่พวกคุณ” พูดจบเฉินอินเซิงก็หันไปมองฉีไคเหวินที่นั่งอยู่ทางซ้ายก่อนหน้านี้แล้ว
ท่ามกลางความสงสัยของทุกคน ฉีไคเหวินก็ยืนขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ ทุกคนรู้ดีว่านักศึกษาได้แค่นั่งเรียนในห้องเพื่อเรียนรู้การแพทย์แผนจีนทุกประเภท มีโอกาสน้อยมากที่จะได้ลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งทำให้นักศึกษามีความรู้มีความรู้ไม่ครบถ้วน พวกเขาไม่สามารถนำความรู้ที่มีไปใช้ได้เชี่ยวชาญ ในห้าปีนี้ ต่อให้ผลการเรียนจะดีแค่ไหนก็ยังตรวจโรคไม่ได้อยู่ดี หลังเรียนจบแล้วก็ทำได้แค่ฝึกงานไปเรื่อย ๆ เพื่อค่อย ๆ สะสมประสบการณ์จริง!”
“ห้าปีสำหรับปริญญาตรี บวกอีกหกปีสำหรับปริญญาโทและปริญญาเอก รวมทั้งหมดก็เป็นสิบเอ็ดปีแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถตรวจโรคให้คนไข้ได้ พวกคุณไม่คิดว่ามันน่าตลกเหรอที่เป็นแบบนั้น?”
เมื่อคณบดีท่านอื่นได้ยินแบบนั้นแล้ว พวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย
จากนั้น พวกเขาก็วิพากษ์วิจารณ์ความสามารถทางการแพทย์และการปฏิบัติจริงของนักศึกษาในปัจจุบัน
เรียนมาตั้งหลายปี แต่ก็ยังแย่กว่าพวกเขามาก!
“และในวันนี้ มีนักศึกษาคนหนึ่งได้ให้คำแนะนำแก่พวกเรา โดยขอให้มหาวิทยาลัยของเรายอมให้นักศึกษาฝึกงาน”
ฉีไคเหวินรีบอธิบายต่อ “อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ นักศึกษาจะฝึกงานยังไงน่ะหรือ”
“หนึ่งเลย มหาวิทยาลัยของเรามีอาจารย์ที่เกษียณอายุแล้วเป็นจำนวนมาก การทิ้งทักษะทางการแพทย์ของอาจารย์เฒ่าเหล่านี้ไว้ตามลำพังคงเป็นการสิ้นเปลืองไปอย่างเปล่าประโยชน์ และอาจารย์ที่เกษียณอายุแล้วทุกคนล้วนเป็นแพทย์แผนจีนที่สอนแพทย์แผนจีนทั้งนั้น พวกเขาทุกคนยังมีใจที่จะรักษาและช่วยชีวิตคนไข้”
“ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจไม่มีไฟแล้วก็ตาม แต่ฉันคิดว่ามีอาจารย์ที่เกษียณอายุแล้วหลายท่านก็ยังคงเต็มใจที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ทางการแพทย์ของพวกเขาให้กับนักศึกษาที่พวกเขาชื่นชอบ”
“แน่นอน อาจารย์ที่สนใจก็สามารถใช้โอกาสนี้ฝึกฝนเกลาฝีมือตนเองได้เช่นกัน”
“และเมื่อได้ฝึกงานแล้ว แรงจูงใจในตนเองของนักศึกษาก็จะถูกกระตุ้นโดยอัตโนมัติ นักศึกษาย่อมมีความปรารถนาที่จะเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในตัวอาจารย์ของพวกเราเองก็เช่นกัน เพราะท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครอยากให้ลูกศิษย์ที่พวกเขาสอนด้อยกว่าลูกศิษย์อาจารย์ท่านอื่นแน่นอน”
“ทุกคนลองคิดดูดี ๆ นะ”
“พอเริ่มเปิดให้ฝึกงานแล้ว นักศึกษาก็จะได้กำลังใจจากพวกเรา รูปแบบการเรียนในมหาวิทยาลัยจะเปลี่ยนไปทันที”
“ในตอนนั้น มันจะเป็นสถานการณ์ที่ดีอย่างแน่นอน การเรียนการสอนจะเข้าสู่ความรุ่งโรจน์และเฟื่องฟู!”
“แล้วพวกคุณก็ไม่ต้องกังวลว่าพรสวรรค์ด้านการแพทย์แผนจีนของนักศึกษาจะลดลงอีกต่อไป!”
…
ฉีไคเหวินกล่าวถึงประโยชน์ของการฝึกงานทั้งหมด และหลังจากนั้นเขาก็มองทุกคนด้วยรอยยิ้ม
“ถูกต้อง” จางซินหมิงลุกขึ้นยืนสนับสนุนแล้วพูดอย่างรวดเร็วว่า “เมื่อนักศึกษาตั้งใจเรียนอย่างหนัก ศักยภาพโดยรวมของมหาวิทยาลัยจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นอัตราการสำเร็จการศึกษาหรือคุณภาพของนักศึกษาก็ตาม มหาวิทยาลัยของเราก็จะแซงหน้ามหาวิทยาลัยการแพทย์ที่อื่น ๆ ไปอย่างแน่นอน!”
ได้ยินอย่างนี้แล้ว
นัยน์ตาของคณบดีทุกท่านก็เป็นประกายขึ้นทันที
พวกเขาเป็นคณบดี ทำไมพวกเขาจะไม่เข้าใจความหมายที่ฉีไคเหวินกับจางซินหมิงต้องการจะสื่อ
ถ้านักศึกษาตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่ อัตราการสำเร็จการศึกษาของมหาวิทยาลัยก็จะดีขึ้นและคุณภาพของนักศึกษาก็จะดีขึ้นด้วย หมายความว่าผลงานของพวกเขาก็จะได้รับการชื่นชม แล้วการเลื่อนตำแหน่งก็จะเกิดขึ้นในไม่ช้า
คิดดูแล้ว มันไม่ได้เลวร้ายเลย
การฝึกงานนี้ไม่ใช่แค่สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพหน้าที่การงานของเหล่าเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัยได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของนักศึกษาด้วย สำหรับนักศึกษาแล้วนับว่าเป็นตัวช่วยที่ดี!
มุมมองทุกคนที่มีต่อฉีไคเหวินกับจางซินหมิงก็เปลี่ยนไป
ความคิดที่ยอดเยี่ยมดังกล่าวทำให้พวกเขาคิดได้
ตราบใดที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง มันก็ถือว่าเป็นความสำเร็จในก้าวแรกอย่างแน่นอน!
“ใช้ได้นี่น่าเหล่าฉี คุณคิดวิธีดี ๆ แบบนี้ออกมาได้ยังไง ฉันเคยคิดจะปลุกความกระตือรือร้นของนักศึกษาเหมือนกัน ฉันคิดเรื่องนี้มาตั้งหลายเดือนก็ยังคิดไม่ออกเลย พอคณบดีฉีได้คิดวิธีแก้ปัญหานี้ออกมาได้แบบนี้ ฉันก็ไม่กังวลอีกต่อไปแล้ว” มีคณบดีท่านหนึ่งกล่าวออกมา
ในเวลานี้ คณบดีท่านนั้นก็เห็นด้วยกับการฝึกงานอย่างรวดเร็ว และก็คิดต่อไปว่าควรจะการดำเนินการฝึกงานให้ไวที่สุดอย่างไรดี
เมื่อรู้พร้อมกันอย่างนี้ ทีนี้ก็เหลือแค่รอดูว่ามหาวิทยาลัยไหนจะทำได้ดีและทำได้เร็วกว่ากัน!
คนอื่น ๆ ก็พากันพยักหน้าตาม พวกเขาเห็นด้วยกับเรื่องนี้
นี่เป็นข้อเสนอที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
ข้อเสนอนี้ไม่ขัดขวางพวกเขาและยังช่วยพวกเขาสามารถประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แถมยังดีต่อมหาวิทยาลัยอีกด้วย ทำไมจะไม่เห็นด้วยล่ะ!
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฉีไคเหวินก็คลี่ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้คิดเรื่องนี้ขึ้นมาเอง”
“แล้วใครเป็นคนคิดเรื่องนี้ออกมาล่ะ?” ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ
บางคนถึงกับมองไปที่จางซินหมิง เพราะนึกว่าเขาเป็นคนต้นคิดเรื่องการฝึกงานออกมา
“เป็นนักศึกษา” ฉีไคเหวินตอบ
นักศึกษา?!
ทุกคนตกตะลึง
ความคิดที่ยอดเยี่ยมนี้ นักศึกษาเป็นคนคิดขึ้นมา?
เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นเรื่องจริงก็น่าอายแล้ว
เหล่าคณบดีคิดวิธีนี้ไม่ออก แต่นักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งกลับคิดออก แล้วจะไม่ให้พวกเขารู้สึกขายหน้าได้อย่างไร
“นักศึกษา? เป็นหลี่ชิงสือเหรอ ใช่ประธานนักศึกษาของพวกคุณรึเปล่า?” คณบดีท่านหนึ่งถามด้วยความสงสัย
เขารู้แค่ว่ามีนักศึกษาที่มีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง คณบดีท่านอื่นก็เดาแบบนั้นเหมือนกัน
คนที่คิดไอเดียอันยอดเยี่ยมนี้ได้น่าจะเป็นนักศึกษาที่ค่อนข้างมีความสามารถ
และต้องเป็นคนที่เรียนมาสองสามปีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเสนอความคิดที่เฉียบคมแบบนี้ได้อย่างไร
น่าจะเป็นหลี่ชิงสือ เพราะเขาอยู่ปีสามแล้ว
ฉีไคเหวินส่ายหัวแล้วปฏิเสธว่า “ไม่ใช่หลี่ชิงสือ”
“ถ้างั้นก็เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สาม ปีที่สี่ หรือนักศึกษาปริญญาโทใช่ไหม?”
ตอนนี้ทุกคนอยากรู้จริง ๆ ว่าใครเป็นคนต้นคิดของเรื่อง
ไม่ใช่หลี่ชิงสือและไม่ใช่นักศึกษาปีสาม ปีสี่ แม้แต่นักศึกษาระดับปริญญาโทก็ไม่ใช่ แล้วจะเป็นใครได้?
ฉีไคเหวินส่ายหัวอีกครั้ง หัวเราะออกมาพร้อมกับเฉลยว่า “เป็นนักศึกษาใหม่ที่ชื่อฟางชิวของมหาวิทยาลัยของผมเอง”
นักศึกษาใหม่?
ปีหนึ่ง?
ห้องประชุมพลันเงียบกริบลงในทันใด
ดวงตาของทุกคนเบิกกว้าง มองไปที่ฉีไคเหวินด้วยความไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
นักศึกษาใหม่จะคิดวิธีดี ๆ อย่างนี้ได้อย่างไรกัน?
ผู้คนที่อยู่ในห้องประชุมนั้นล้วนแต่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
แม้จะอยู่ในตำแหน่งระดับสูง แต่พวกเขาก็คิดวิธีดี ๆ ไม่ออก ทว่าเด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยกลับคิดวิธีนี้ออกมาได้
อึ้ง! อึ้งหนักมาก!
อับอายขายขี้หน้าจริง ๆ!
ขณะนั้นเอง
“คุณกำลังพูดถึงใครนะ?”
จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งถามขึ้นมาอย่างตกใจ “ฟางชิวเหรอ?”
ทุกคนจึงเบนความสนใจไปที่ซูมู่ตง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลในเครือแห่งแรก
“ใช่ เป็นฟางชิว” ฉีไคเหวินพยักหน้ายืนยันในคำตอบ
“จริง ๆ แล้วเป็นเขางั้นเหรอ…” ได้ยินอย่างนั้น ซูมู่ตงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
เมื่อเห็นดังนั้น สายตาของทุกคนก็หักเหความสนใจมาที่ร่างของฉีไคเหวินทันที และแล้วทุกคนก็รู้สึกงงงวยมากกว่าเก่า
เป็นไปได้ไหมว่าผู้ชายที่เป็นนักศึกษาใหม่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับซูมู่ตง ผู้อำนวยการของโรงพยาบาล
ทุกคนต่างสงสัยไปในทางเดียวกัน
ซูมู่ตงเปิดปากอธิบายด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยวเล็กน้อย “ฉันได้คัดเลือกนักศึกษาที่ชื่อฟางชิวมาเป็นผู้ช่วยแพทย์ในแผนกกระดูกและข้อของโรงพยาบาลเป็นกรณีพิเศษ”
อะไรนะ?
ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมตกตะลึง รวมถึงฉีไคเหวินกับจางซินหมิงด้วย
พวกเขาตกตะลึงมากกว่าตอนที่รู้ว่านักศึกษาใหม่เป็นคนเสนอไอเดียการฝึกงานซะอีก