บทที่ 72 เจอสวีเมี่ยวหลินแล้ว!
บทที่ 72 เจอสวีเมี่ยวหลินแล้ว!
“ใครนะ?”
“ก็เพื่อนร่วมชั้นที่ป่วยเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้ายคนนั้นไง!”
“เดี๋ยว กลับมาได้ยังไงอะ ไม่ใช่ว่าเธอควรจะอยู่ในโรงพยาบาลเหรอ?”
“ฉันได้ยินมาว่าอาการป่วยหายดีแล้ว เธอเลยจะกลับมาเรียน!”
“เฮ้ย จริงเปล่าเนี่ย มะเร็งกระเพาะอาหารรักษาหายไวขนาดนี้เลยเหรอ ใช้วิธีอะไรรักษาอะ เคมีบำบัดหรือว่าผ่าตัด”
“ไม่รู้สิ ได้ยินว่าเพิ่งตรวจเจอมะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้าย เปิดบริจาคไปเมื่อสองวันก่อนเอง จะรักษาให้หายได้เร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน น่าทึ่งมากใช่ไหมล่ะ”
“ใช่แล้ว ถึงจะรักษาหายไวแต่ก็ยังไม่ถือว่าไวมาก อยากรู้จังว่ารักษาที่ไหน”
“เธอโชคดีแล้วล่ะ ฉันหวังว่าฉันจะใช้โอกาสนี้เรียนรู้ทักษะการแพทย์เพื่อช่วยชีวิตผู้คนให้ได้มากขึ้น”
ในชั่วพริบตา ข่าวก็แพร่ไปทั่วโรงอาหารและกระจายไปทั่วมหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว
ในโรงอาหารอันคึกคัก นักศึกษานั่งอัดแน่นกันจนเต็มโต๊ะอาหารสองฝั่ง ทุกคนต่างกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
หากมองจากระยะไกล จะพบว่าสีหน้าของผู้คนส่วนใหญ่มีความประหลาดใจปรากฏออกมา
แม้ว่าจะมีวิธีรักษาโรคระยะสุดท้ายอยู่จริง ทุกคนที่เป็นนักศึกษาแพทย์ก็รู้กันว่าการรักษาโรคมะเร็งนั้นยากเพียงใด
เพื่อนร่วมชั้นโม่อี้ฉีหายป่วยแล้ว?
เมื่อได้ยินการสนทนาของทุกคน ฟางชิวก็แอบประหลาดใจ แต่ก็คลี่ยิ้มออกมาในที่สุด
หายป่วยก็ดีแล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการรักษา แต่จะมีอะไรดีไปกว่าการที่คน ๆ หนึ่งจะหายป่วยล่ะ!
“สุดท้ายแล้วรักษากันยังไง?” เพื่อนร่วมชั้นที่นั่งโต๊ะถัดไปเอ่ยถามคนที่แจ้งข่าว
จูเปิ่นเจิ้ง โจวเสี่ยวเทียนและซุนฮ่าวต่างเงี่ยหูฟังการสนทนารอบตัวในขณะกำลังกินข้าวไปด้วย
พวกเขาก็สงสัยเหมือนกันว่าเพื่อนร่วมชั้นที่พวกเขาบริจาคเงินให้นั้นได้รับการรักษาอย่างไร
นี่มันเร็วเกินไปหรือเปล่า?
พวกเขาได้ยินมาว่าโม่อี้ฉีเพิ่งจะตรวจเจอโรคไปเดือนเดียวเองนะ แต่ตอนนี้รักษาหายดีแล้วหรือ?
หลังจากสอบถามข่าวจากเพื่อนร่วมชั้นหลายคนซ้ำแล้วซ้ำเล่า นักศึกษาที่เป็นคนแจ้งข่าวให้เพื่อน ๆ ฟังก็ลดเสียงลง แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า “ว่ากันว่าเธอได้รับการช่วยเหลือจากแพทย์แผนจีนของมหาวิทยาลัยเรา!”
“มหาวิทยาลัยของเราจริงดิ? มีคนเก่งแบบนี้ในมหาวิทยาลัยด้วยเหรอ”
“บ้าเอ๊ย ถ้าเป็นเรื่องจริง ทีนี้ถ้าใครกล้าบอกว่ายาจีนไม่ดีอีก ฉันจะไปตบหน้ามัน!”
“ขอร้องล่ะ ช่วยบอกฉันทีว่าอาจารย์หรือศาสตราจารย์คนไหนเป็นคนรักษาโรคนี้ให้โม่อี้ฉี” เพื่อนร่วมชั้นที่กำลังกินข้าวที่โต๊ะข้าง ๆ ก็พากันตื่นเต้นมากกับข้อมูลที่เพิ่งได้รู้ จากนั้นก็กลับไปซุบซิบกันต่อ
“เห็นบอกว่าตอนรักษา หมอใส่หน้ากากอนามัยด้วย แต่ดูจากร่างกายและรูปร่างแล้ว เขาน่าจะเป็นชายวัยกลางคน เขามีจดหมายแนะนำตัวจากมหาวิทยาลัยแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นใครจะกล้าปล่อยให้รักษาโม่อี้ฉีล่ะ”
เมื่อพูดประโยคนั้น นักศึกษาที่เป็นคนแจ้งข่าวก็หยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดต่อว่า “ไม่มีใครคิดว่าบุคคลลึกลับที่ไม่แม้แต่จะเปิดเผยตัวตนอย่างเขาจะรักษาโรคของโม่อี้ฉีได้”
เมื่อได้ยินแบบนั้น นักศึกษากลุ่มนั้นก็ตกตะลึงไป จากนั้นก็พากันส่ายหัวเบา ๆ
ตอนพวกเขาได้ยินว่าหมอใส่หน้ากากอนามัยระหว่างที่รักษาก็นึกว่าเป็นชายลึกลับซะอีก แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นแค่ชายวัยกลางคนแทนซะงั้น
เพราะคนที่รักษาโม่อี้ฉีเป็นชายวัยกลางคน ดังนั้นเขาจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชายลึกลับเลย
“แล้วหมอคนนั้นชื่ออะไร รู้ไหม” นักศึกษาคนหนึ่งถามด้วยความสงสัยขึ้นมา
ทุกคนจึงจ้องไปที่นักศึกษาคนที่ถามทันที
“ไม่รู้สิ” ผู้แจ้งเบาะแสยิ้มแหย ๆ แล้วพูดต่อว่า “ถ้าฉันรู้ ฉันคงจะไปฝึกงานกับเขาแล้ว เธอล่ะ?”
“ไม่ใช่ว่าเป็นอาจารย์สวีเมี่ยวหลินในตำนานเหรอ?” ทันใดนั้น เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยก็พูดโพล่งขึ้นมา
ทุกคนจึงตกใจทันที แต่ก็รู้สึกว่ามันก็เป็นไปได้เหมือนกัน
เพราะคนที่เก่งรอบด้านก็มีเพียงแค่เขาคนเดียวล่ะมั้ง?
สวีเมี่ยวหลิน?
ทันใดนั้น ก็เกิดแสงสว่างวาบในดวงตาของฟางชิวทันที
ในเมื่อได้ข้อมูลเพิ่มขึ้นมาแล้ว ฟางชิวจึงไม่อาจปล่อยให้ข้อมูลพวกนั้นเสียเปล่า เขาต้องหาโอกาสถามอาจารย์เฉียวมู่ว่าจดหมายแนะนำตัวที่ทางมหาวิทยาลัยออกให้นั้น ออกให้ใคร หรือไม่ก็ไปถามโม่อี้ฉีว่าใครเป็นคนรักษาให้ แบบนี้ถึงจะหาได้ง่ายขึ้น
ไม่ว่าอย่างไร คน ๆ นี้ก็เป็นคนที่เขาต้องตามหา!
“จะเป็นอาจารย์สวีเมี่ยวหลินจริง ๆ เหรอ?” ซุนฮ่าวกดเสียงต่ำแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย
“มีความเป็นไปได้มาก เพราะมีแค่อาจารย์ของฉันกับตาแก่คนนี้เท่านั้นแหละที่ร้ายกาจที่สุด!” โจวเสี่ยวเทียนตอบด้วยท่าทางมั่นใจ
ซุนฮ่าวมองโจวเสี่ยวเทียนอย่างดูถูกแล้วแย้งว่า “นายยังไม่เคยเจอชายลึกลับเลยนะ แต่นายก็เพ้อไปแล้วว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของพวกเขา เขาจะรู้เรอะว่านายเป็นใคร”
“สหาย พวกเราเข้ากันไม่ได้แล้ว!” โจวเสี่ยวเทียนพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่พอใจ
“รีบกินข้าวกันเถอะ บ่ายนี้ยังมีเรียนอีก กินเสร็จจะได้รีบไปพักผ่อน” ฟางชิวพูดตัดบทขึ้นมา
เมื่อได้ยินดังนั้นทั้งสองคนก็รีบกินข้าว
พวกเขากินข้าวเสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เดินออกจากโรงอาหารแล้วกลับไปที่หอเพื่อนอนกลางวัน
ตอนบ่าย
หลังเลิกเรียน ฟางชิวก็ถือหนังสือที่เขายืมมาไปคืนที่ห้องสมุด แต่พอเขามาถึงจุดให้บริการยืมหนังสือ เขาก็ต้องหยุดชะงักไป
ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจทันทีที่พบว่าบรรณารักษ์คนเดิมกลับมาทำงานแล้ว และยังนั่งอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อย
ฉับพลันภายในหัวของฟางชิวก็มีภาพนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวต่าง ๆ เข้าด้วยกันแล้ว เขาก็ถึงบางอ้อ
หากสวีเมี่ยวหลินเป็นผู้เชี่ยวชาญการแพทย์แผนจีนในระดับสูงที่ซ่อนตัวอยู่ในมหาวิทยาลัย
เขาก็คงเป็นบรรณารักษ์ที่มีความทรงจำอันน่าทึ่งเช่นกัน
บรรณารักษ์ลึกลับคนนี้หายตัวไปสองสามวันอย่างไร้ร่องรอย แต่พอมีข่าวว่าโม่อี้ฉีหายจากโรคแล้ว วันนี้ก็กลับมาทันที อีกทั้งยังดูเหนื่อยเหมือนคนหมดแรงอีกด้วย
และที่สำคัญเลยก็คือ ก่อนที่บรรณารักษ์คนนี้จะหายตัวไป ฟางชิวเป็นคนบอกให้บรรณารักษ์ฟังว่าโม่อี้ฉีป่วยเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
แล้ววันรุ่งขึ้นของวันถัดมา เขาก็ขอลากิจแล้ว!
เมื่อนำเรื่องราวทั้งหมดนี้มาเชื่อมต่อกัน ดวงตาของฟางชิวก็สว่างขึ้นทันที!
บรรณารักษ์ลึกลับคนนี้ก็คือ สวีเมี่ยวหลิน!
ฟางชิวไม่ลังเลใจอีกต่อไป เขาก้าวไปที่โต๊ะทันที สายตาของเขาจับจ้องบรรณารักษ์แบบไม่วางตา
บรรณารักษ์คนนั้นนรู้สึกสับสนกับสายตาของฟางชิว
มีอะไรผิดปกติหรือ?
“คุณคืออาจารย์สวีเมี่ยวหลินใช่ไหมครับ” แล้วฟางชิวก็ยังพูดต่ออีกว่า “โรคของโม่อี้ฉีหายขาดก็เพราะคุณเป็นคนรักษาให้เธอ แล้วที่คุณหายตัวไปสองสามวันนี้ก็เพื่อไปรักษาให้เธอใช่ไหมครับ”
หลังจากพูดจบ ฟางชิวก็จ้องมองใบหน้าของบรรณารักษ์ในระยะใกล้ เพราะเขาไม่ต้องการพลาดเบาะแสใด ๆ แม้จะเป็นเบาะแสเพียงเล็กน้อยก็ตาม
บรรณารักษ์อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะวางหนังสือในมือลงแล้วพูดว่า “ไอเดียเรื่องฝึกงานไม่เลวเลยนะ”
ตู้ม!
ร่างกายของฟางชิวแข็งทื่อ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ยอมรับแล้ว!
บรรณารักษ์ยอมรับแล้ว!
แม้ว่าบรรณารักษ์จะไม่ได้ตอบคำถามของฟางชิวตรง ๆ แต่ประโยคนั้นก็สามารถพูดได้ว่า บรรณารักษ์นั้นยอมรับว่าตนเองเป็นสวีเมี่ยวหลิน
เพราะคำตอบนั้นมันก็ชัดเจนอยู่ในตัวอยู่แล้ว
บรรณารักษ์ที่อยู่ตรงหน้าฟางชิวคือ สวีเมี่ยวหลิน
คนผู้นี้เคยเป็นดาวดวงใหม่ที่มีชื่อเสียงมากในวงการแพทย์แผนจีน เขาเคยได้รับการยอมรับจากวงการแพทย์แผนจีน แต่เพราะความผิดพลาดที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย เขาจึงหายตัวไป!
และเขาก็ยังเป็นอาจารย์ลึกลับที่ได้รับการแนะนำอยู่ในโพสต์สุดฮอตเว็บบอร์ดมหาวิทยาลัยอีกด้วย!
“มือดีมีเมตตา*[1] ป่าซิ่งเต็มฤดูใบไม้ผลิ*[2]”
ฟางชิวพูดขึ้นเบา ๆ ระหว่างที่กำลังมองหน้าสวีเมี่ยวหลิน
บางทีคนตรงหน้าเขาอาจสามารถรักษาชายชราได้?
เก่งทุกด้านและมีทักษะทางการแพทย์ที่คาดเดาไม่ได้ นี่เป็นคนล่าสุดที่เขาพอจะรู้จัก และเป็นคนที่อาจจะรักษาโรคของอาจารย์เขาได้
ฟางชิวไม่ได้พูดอะไรต่อ
ทันใดนั้น ก็มีประกายแวววาวเกิดขึ้นในดวงตาของเขา ทั่วทั้งร่างของเขาพลันหวาดผวา การหายใจเองก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน!
หากมีปรมาจารย์อยู่ที่นี่ เขาจะสังเกตเห็นความผิดปกติของลมหายใจฟางชิวแน่นอน เพราะนี่เป็นอาการหายใจของการบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง
ย้อนกลับไปในตอนนั้น เมื่อฟางชิวเข้าสู่การบ่มเพาะเป็นครั้งแรก เขาได้แอบตรวจสอบร่างกายของอาจารย์ตนมาแล้ว ทำให้เขาคุ้นเคยกับพลังปราณที่ปั่นป่วนในร่างของชายชราเป็นอย่างมาก
และนั่นคือสิ่งที่เขากำลังเลียนแบบอยู่ในตอนนี้
จุดประสงค์เพื่อให้สวีเมี่ยวหลินดูว่าเขาจะรักษามันได้ไหม!
“อาจารย์สวี” ฟางชิวก้าวไปข้างหน้าแล้วถามว่า “อาจารย์ช่วยตรวจโรคให้ผมได้ไหมครับ ผมอยากรู้ว่าโรคนี้จะรักษาให้หายขาดได้ไหม” หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ยื่นมือขวาออกมาวางบนเคาน์เตอร์
สวีเมี่ยวหลินก็เลยมองไปที่ฟางชิวด้วยความประหลาดใจ
ในการพบเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง เขารู้สึกว่านักศึกษาคนนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ไม่คิดว่าฟางชิวจะมีโรคซ่อนเร้นอยู่?
สวีเมี่ยวหลินไม่ได้ปฏิเสธการตรวจโรค เขาเอื้อมมือไปหาฟางชิวเพื่อตรวจสอบชีพจร
นี่มัน…
ทันทีที่เขาสัมผัสกับชีพจรของฟางชิว สวีเมี่ยวหลินก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงออกมา คิ้วขมวดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
“ส่งมือซ้ายของเธอมาให้ฉัน”
หลังจากตรวจชีพจรของมือขวาแล้ว สวีเมี่ยวหลินก็บอกกับฟางชิวว่า มือขวาเป็นประตูชีวิตของปอด ม้าม และกระเพาะอาหาร ส่วนมือซ้ายเป็นประตูของหัวใจ ตับ และไต
ฟางชิวเหยียดมือซ้ายออกมาทันที
สวีเมี่ยวหลินก็ยิ่งตกใจมากขึ้นกว่าเดิม เขาขมวดคิ้วราวกับว่ากำลังคิดไม่ตก
ผ่านไปหนึ่งนาที เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง
“ฉันไม่เคยเห็นอาการแบบเธอมาก่อนเลย ลมหายใจและชีพจรของเธอวุ่นวายมาก อวัยวะภายในก็ได้รับความเสียหาย แต่มีระดับแตกต่างกันไป มันไม่ใช่ความไม่สมดุลของหยินและหยาง แต่เป็นความเสียหายทางธรรมชาติ” พูดจบ สวีเมี่ยวหลินก็เหลือบมองฟางชิวด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้ง
เพราะอะไรกันแน่ถึงทำให้คน ๆ หนึ่งเจ็บปวดได้มากขนาดนี้
สิ่งที่ทำให้สวีเมี่ยวหลินประหลาดใจมากที่สุดคืออาการบาดเจ็บร้ายแรงนี้น่าจะทำให้ฟางชิวท้อแท้กับชีวิตไปตั้งนานแล้ว แต่ผู้ชายตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนคนไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรเลย นี่ทำให้เขารู้สึกทึ่งมาก
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอจะตั้งใจเรียนอย่างหนัก เป็นเพราะว่าเธอป่วยหนักนี่เอง!” เมื่อมองไปที่ฟางชิว สวีเมี่ยวหลินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความสงสาร
“อาจารย์รักษาโรคนี้ได้ไหมครับ” ฟางชิวรีบถาม เพราะคำถามนี้สำคัญมากสำหรับเขา
แม้ว่าฟางชิวจะจ้องมองมาอย่างคาดหวัง แต่สวีเมี่ยวหลินก็ส่ายหน้าปฏิเสธด้วยความลำบากใจ
“อาจารย์สวี อาจารย์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีน อาจารย์หมดหนทางรักษาโรคนี้แล้วเหรอครับ?” ฟางชิวรู้สึกอารมณ์เสียเป็นครั้งแรก สีหน้าของเขาทะมึนขึ้นทันตา
เมื่อเป็นเรื่องของญาติพี่น้องหรือคนใกล้ชิด ฟางชิวก็มักจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ และประโยคที่สวีเมี่ยวหลินปฏิเสธการรักษานั้น มันก็กระแทกเข้ากับหัวของเขาอย่างจัง
ที่ฟางชิวอารณ์เสียนั้น ไม่ได้เป็นเพราะรู้ว่าสวีเมี่ยวหลินรักษาโรคของอาจารย์เขาไม่ได้
แต่เป็นเพราะเขามองไม่เห็นความหวังต่างหาก!
เพราะในตอนนี้ ฟางชิวพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะเรียนแพทย์แผนจีน แล้วถ้าเขาต้องการที่จะเรียนรู้ให้ถึงระดับเดียวกันกับสวีเมี่ยวหลิน เขาก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน
ตอนนี้ หากระดับความรู้ของสวีเมี่ยวหลินไม่อาจรักษาอาจารย์ได้ นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาเรียนไปก็เท่านั้นหรอกหรือ
ไม่มีทางรักษาโรคของตาเฒ่าได้จริง ๆ หรือ?
“มหาวิทยาลัยทั่วไปไม่ค่อยได้ความรู้อะไรหรอก” สวีเมี่ยวหลินก็พูดอย่างขมขื่นอีกว่า “ถึงฉันจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการรักษาได้อย่างหลากหลายและครอบคลุม แต่เมื่อเทียบกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญจริง ๆ ในสายงานเดียวกันแล้วก็ยังห่างชั้นกับพวกเขาอีกมาก ฉันไม่พูดว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญในทุกวิชาหรอก เพราะมันเกินจริงไปหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้น ก็พอมีความหวังอยู่ใช่ไหมครับ อาจารย์พอจะรู้จักใครที่สามารถรักษาโรคนี้ได้บ้างไหมครับ” ฟางชิวเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
“มี!” สวีเมี่ยวหลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่ฟางชิวและพูดว่า “แต่ความหวังนี้มันจะริบหรี่หน่อยนะ สำหรับโรคของเธอนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพึ่งพาวิธีการรักษาทางแพทย์แผนจีนเพียงอย่างเดียว หากเธอต้องการรักษาจริง ๆ เธอต้องผสมผสานหลายวิธีเข้าด้วยกัน”
“แต่เท่าที่ฉันรู้ ในวงการแพทย์แผนจีนปัจจุบัน ยังไม่มีใครสามารถทำได้เลย”
“แม้ว่าฉันจะเก่งทุกด้านก็จริง แต่ฉันก็ยังทำไม่ได้เหมือนกัน”
“เว้นแต่ว่า…” พูดได้เท่านี้ สวีเมี่ยวหลินก็หยุดชั่วครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจออกมา ก่อนที่จะพูดต่อว่า “ถ้าพวกเรารวบรวมผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในการรักษาทุกประเภทจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนหลายแห่งเพื่อขอคำปรึกษาอย่างครอบคลุมได้ละก็ ก็อาจจะพอมีหนทางรักษา”
“แต่ว่ามันจะเป็นไปได้ยังไงกันล่ะ” สวีเมี่ยวหลินรีบปฏิเสธความคิดนี้ทิ้งทันที
“ทำไมถึงไม่ได้ล่ะครับ?” ลมหายใจของฟางชิวเปลี่ยนไปในทันที เมื่อเห็นความหวังตรงหน้า เขาจึงเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
“ผู้เชี่ยวชาญพวกนี้อยู่ที่ไหนครับ ต่อให้ผมต้องคุกเข่าที่พื้น ผมก็ต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญพวกนั้นมาให้ได้!” แล้วหัวใจที่แห้งเหี่ยวของฟางชิวก็ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเพราะความหวัง
ตราบใดที่ยังมีความหวัง เขาจะไม่มีวันยอมแพ้
ไม่ว่าเขาจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม ต่อให้ต้องทิ้งความฝัน เขาก็ต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้มารักษาชายชราให้ได้!
“พวกเขาอยู่ที่ไหนตอนนี้น่ะเรอะ ไม่มีใครรู้หรอก!” สวีเมี่ยวหลินพูดต่อ “บางคนกำลังเดินทางทั่วโลก ไร้ร่องรอยให้ตามตัว บางคนได้รับการคุ้มครองจากรัฐบาล และบางคนก็ได้กลายเป็นแพทย์ระดับสูงของรัฐบาล คล้ายกับหมอในสมัยโบราณนั่นแหละ แล้วเธอจะทำยังไงต่อไป ชิงคนมาด้วยดาบเหรอ แต่วิธีนี้ฉันยังมองไม่เห็นความเป็นไปได้เลย ผู้เชี่ยวชาญบางคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยซ้ำ”
“แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะมีลูกหลานสืบทอดก็ตาม”
“แต่ระดับของลูกหลานพวกเขานั้นยังเก่งไม่ได้ครึ่งของพวกเขาเลย” ขณะที่สวีเมี่ยวหลินกำลังอธิบาย ความสงสารก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเขาที่ใช้มองฟางชิวเป็นระยะ ๆ
สวีเมี่ยวหลินไม่รู้ว่าความจริงแล้วฟางชิวไม่ได้ป่วย
ในความเห็นของเขา นี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากที่นักศึกษาที่มีความสามารถเกี่ยวกับแพทย์แผนจีน กลับต้องมาทนทุกข์ทรมานจากโรคภัย!
หลังจากไตร่ตรองอยู่นาน ในที่สุดสวีเมี่ยวหลินก็ได้เปิดเผยความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการแพทย์แผนจีนออกมา
“แต่พวกเขาจะมาพบกันในทุก ๆ ห้าปี ปกติจะนั่งแลกเปลี่ยนความคิดกันเป็นเวลาสิบวัน”
[1] มือดีมีเมตตา หมายถึง แพทย์ที่มีความชำนาญสูงและมีความเมตตา
[2] ป่าซิ่งเต็มฤดูใบไม้ผลิ หมายถึง ยกย่องความเป็นเลิศทางการแพทย์ โดยซิ่ง หมายถึง แอปริคอต