คุรุการแพทย์ – บทที่ 76 ความลับของไพ่นกกระจอก!

คุรุการแพทย์

บทที่ 76 ความลับของไพ่นกกระจอก!

บทที่ 76 ความลับของไพ่นกกระจอก!

“ครับ!” แม้ว่าฟางชิวจะงุนงง แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม และทำตามที่อีกฝ่ายสั่งให้ทำ

ขั้นแรกเขานำไพ่นกกระจอกออกจากกล่อง แล้วดูไพ่ทั้งหมดหนึ่งรอบ ก่อนที่จะเริ่มสัมผัสพวกมัน

สิบนาทีต่อมา

“หยุด!” สวีเมี่ยวหลินมองดูนาฬิกาจับเวลาบนโทรศัพท์มือถือตัวเอง เมื่อกดปุ่มหยุด แล้วตะโกนออกมาว่า “คว่ำไพ่นกกระจอกทั้งหมดลงแล้วสับไพ่อีกครั้ง”

ฟางชิวปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเชื่อฟัง

เขาคว่ำหน้าไพ่นกกระจอกทั้งหมดลง แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าสวีเมี่ยวหลินต้องการจะทำอะไร?

ทดสอบความจำหรือ?

แต่ว่าก็ดูไม่ค่อยเหมือนนะ!

เมื่อเห็นว่าไพ่นกกระจอกคว่ำเสร็จแล้ว สวีเมี่ยวหลินก็โบกมือให้ฟางชิวหยุด จากนั้นสุ่มดึงไพ่ออกมาหนึ่งตัวด้วยท่าทางช่ำชองไม่เบา เขาไม่ได้ดูไพ่ด้วยซ้ำ แค่แตะมันด้วยมือแล้วส่งให้ฟางชิว จากนั้นเขาก็เอ่ยว่า “ห้ามมอง หยิบมันออกมาแล้วบอกฉันว่านี่คือไพ่อะไร”

“ให้เวลาสองวินาที”

สวีเมี่ยวหลินยื่นไพ่ให้ฟางชิวแล้วเริ่มจับเวลาโดยที่ไม่ได้ให้ฟางชิวโอกาสแย้งหรือเตรียมตัวอะไรเลย

ฟางชิวรับไพ่นกกระจอกมาด้วยความสงสัย เมื่อเอื้อมมือออกไปจั่วไพ่ เขาก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสของผิวหน้าของไพ่นกกระจอกทันที

“หนึ่ง!” สวีเมี่ยวหลินเริ่มนับเวลา

“ห้าหมื่น” ก่อนที่สวีเมี่ยวหลินจะนับถึงสอง ฟางชิวก็ตอบออกมาเสียก่อน

สวีเมี่ยวหลินตกตะลึง

ฟางชิวพลิกไพ่จนเกิดเป็นเสียงดัง ‘พรึ่บ’ แล้วคำว่าห้าหมื่นก็สลักอยู่บนไพ่จริง ๆ!

“ดี มาต่อที่ตัวที่สองกัน!” สวีเมี่ยวหลินพยักหน้า จากนั้นหยิบไพ่สุ่มอีกตัวออกมาแล้วยื่นให้ฟางชิว

“หนึ่ง!”

“แปด!” ทันทีที่ฟางชิวรับไพ่ด้วยมือของเขา เขาก็ตอบกลับทันที

“มาอีกรอบ” สวีเมี่ยวหลินยังคงจั่วไพ่ในมือ ทว่ามุมปากของเขาก็เริ่มยกขึ้น

“เจ็ดเหรียญ!”

“เจ็ดหมื่น!”

“ห้าเชือก!”

“ลมตะวันออก!”

“รวย!”

สวีเมี่ยวหลินดึงไพ่มากกว่าหนึ่งโหลติดต่อกัน และฟางชิวก็ตอบถูกทั้งหมด โดยใช้ใช้เวลาน้อยกว่าสองวินาทีด้วยซ้ำ

ยิ่งทดสอบฟางชิวก็ยิ่งตอบไวมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าเขามองเห็นหน้าไพ่อย่างไรอย่างนั้น

สวีเมี่ยวหลินแค่ต้องการตรวจสอบขอบเขตความจำของชายหนุ่มเท่านั้น อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการทดสอบความจำในการสัมผัสว่าจะทำได้ดีแค่ไหน

แต่เขาคิดไม่ถึงว่ายิ่งทดสอบเท่าไร เขาก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นเท่านั้น

ฟางชิวร้ายกาจกว่าที่เขาคิด!

เก่งกว่าเขาเสียอีก!

ตอนที่อาจารย์ขอให้เขาทำในตอนนั้น เขายังตื่นตระหนกและตอบผิดไปหนึ่งครั้ง แต่เด็กคนนี้ไม่เพียงตอบถูก แต่ยังใช้เวลาน้อยกว่าอีก!

นี่มันสัตว์ประหลาดแล้ว!

สวีเมี่ยวหลินแอบถอนหายใจเบา ๆ

ในความคิดของเขา เขาคิดว่าคะแนนของตัวเองในตอนนั้นอยู่ในระดับสูงแล้ว อย่างน้อยก็ดีกว่ารุ่นพี่อย่างฉีไคเหวินมาก เพราะเขาตอบผิดแค่ครั้งเดียวในตอนแรก แต่ฉีไคเหวินที่เรียนมาหนึ่งปีแล้ว แต่ก็ยังตอบผิดสองในสาม

หากเปรียบเทียบกับฟางชิว ตัวเขาเองเทียบไม่ติด ส่วนรุ่นพี่ของเขานั้นถือว่าเหยาะแหยะไปเลย!

พอมาคิดดูแล้ว น่าขายหน้าแทนฉีไคเหวินจริง ๆ!

ในอนาคตถ้าเขาไม่มีเงินละก็ เขาจะเอาเรื่องรุ่นพี่ตอนยังหนุ่มไปแบล็กเมล!

ไม่อ่อนข้อให้ฟางชิวดีไหม?

รุ่นพี่จะได้อับอายไปมากกว่านี้!

มาดูกันซิว่า คณบดีของทุกคนอ่อนด๋อยขนาดไหน!

“ดีมาก” สวีเมี่ยวหลินหยุดจั่วไพ่บนมือ เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจแล้วกล่าวว่า “นี่เป็นคลาสแรกของเธอ จุดประสงค์หลักของคลาสนี้ก็เพื่อฝึกประสาทสัมผัสที่มือ เพราะการสัมผัสเป็นสิ่งสำคัญมากในการวัดชีพจร”

“การวัดชีพจรต้องใช้ความรู้ที่ลึกซึ้ง สัมผัสจึงต้องเฉียบแหลม ยามที่ไม่มีคนไข้นั้น การเล่นไพ่นกกระจอกก็ถือว่าช่วยฝึกมือได้เป็นอย่างดี”

นี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาที่ให้ฟางชิวสัมผัสไพ่นกกระจอก ดูเหมือนเป็นการทดสอบ แต่จริง ๆ แล้วคือการฝึกประสาทสัมผัส

ไม่ใช่ว่าสอนไม่สำเร็จ แต่ยังไม่ทันสอน เด็กคนนี้ก็ทำได้แล้ว

ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับอาจารย์ที่ต้องรับมือกับลูกศิษย์ที่เก่งเหมือนสัตว์ประหลาดอย่างนี้

เข้าใจแล้ว!

จุดประสงค์คือสิ่งนี้นี่เอง!

ฟางชิวพยักหน้าเมื่อได้รับการอธิบาย จากนั้นเขาก็ถามด้วยความสงสัย “อาจารย์สวี ไม่ใช่ว่าวันนี้ต้องทดสอบเหรอครับ?”

“เธอผ่านแล้ว” สวีเมี่ยวหลินพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อวานนี้ ตอนที่เธอบอกว่าแค่ต้องการเรียน ไม่ได้ต้องการหาเงิน เธอก็ผ่านการทดสอบแล้ว ฉะนั้น นี่เป็นคลาสเรียนแรก แต่แค่คลาสแรกฉันก็รู้แล้ว ประสาทสัมผัสมือของเธอก็ไม่เลวเลยนะ!”

ฟางชิวยิ้มเล็กน้อย

เพราะประสาทสัมผัสมือของเขานั้น เหนือกว่าคำว่าดีเสียอีก!

“ไพ่นกกระจอกชุดนี้ เธอเอาไปเถอะ” จากนั้นสวีเมี่ยวหลินก็พูดต่อว่า “เอาไปเล่นกับรูมเมตก็ได้ สิ่งนี้มันดีต่อมือของเธอ ส่วนการเล่นเพื่อการพนัน ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าทำ”

“โอเค ขอบคุณครับอาจารย์!” ฟางชิวพยักหน้าแล้วหยิบไพ่นกกระจอกใส่ลงกล่องไพ่

ในเวลาเดียวกัน สวีเมี่ยวหลินก็เอื้อมมือไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“กลับไปอ่านเองเถอะ หนังสือแต่ละเล่มในรายการนี้ควรอ่านสามสิบรอบ แล้วคัมภีร์เน่ยจิงก็ควรอ่านอย่างน้อยร้อยรอบ”

ในขณะที่พูด สวีเมี่ยวหลินก็ได้ส่งรายชื่อหนังสือให้กับฟางชิวแล้วพูดเสริมว่า “ถ้ามีอะไรที่เธอไม่เข้าใจในอนาคต เธอก็สามารถมาหาฉันได้ตลอดเวลา ถ้าฉันรู้ฉันจะให้คำแนะนำแก่เธอ แต่ถ้าไม่รู้ พวกเราค่อยมาหารือกันอีกที”

“สำหรับการอบรมสั่งสอนเธอ อ่านหนังสือให้เสร็จก่อน แล้วเอาเงินสามแสนหยวนมาจ่ายตอนไหนค่อยว่ากัน”

“ขอบคุณครับอาจารย์สวี!” ฟางชิวขอบคุณเขาด้วยความเคารพ ชายหนุ่มหยิบรายชื่อหนังสือที่สวีเมี่ยวหลินให้ขึ้นมาเปิดดูเดี๋ยวนั้นเลย

เมื่อเปิดดูแล้ว จากบนลงล่าง เขาก็พบว่ามีรายชื่อหนังสือมากมาย

‘คัมภีร์เน่ยจิง

คัมภีร์เสินหนงเปิ๋นเฉ่าจิง

ตำราโรคไข้

คัมภีร์หนานจิง

ตำราจินคุ่ยเอี้ยวเลี่ย

คัมภีร์ผิงหูม่ายเสวีย

ตำราซื่อเซิ่งซินหยวน

ตำราเส้นชีพจร

ตำราเจินจิ่วเจี่ยอี่จิง

ตำราเวินปิ้งเถียวเปี้ยน

หลักการแพทย์ต้องอ่าน

ตำรายาเปิ่นเฉ่ากังมู่

ตำราจูปิ้งหยวนโฮ่วลุ่น

ตำราอี้เสวียนจงจงซานซีลู่

ตำราเป้ยจี๋เซียนจินเอี้ยวฟาง

ตำราสมุนไพรโจ่วโฮ่วไป่ฟาง

คัมภีร์ซู่เวิ่นจื้อเจินเอี้ยวต้าลุ่น

คัมภีร์หลินเจิ้งจื่อหนานอีอั้น

บทเพลงทังโถวซ่ง

ตำราสรรพคุณทางยา’

รวมเป็นยี่สิบเล่ม!

“การอ่านคือการอ่าน อย่าละทิ้งการเรียน เธอต้องได้คะแนนดีในการสอบด้วยเข้าใจไหม” สวีเมี่ยวหลินเอ่ยเตือน

“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณอาจารย์สวีที่ชี้แนะ!” ฟางชิวโค้งคำนับและขอบคุณสวีเมี่ยวหลิน ตอนนี้เขารู้สึกขอบคุณมาก

แม้ว่าสวีเมี่ยวหลินจะยังไม่อยู่ในจุดที่สามารถแนะนำเขาได้ แต่มันก็ยังดีกว่าการอ่านหนังสือด้วยตัวเองอยู่ดี

วันนี้บทเรียนแรกที่สวีเมี่ยวหลินสอนนั้นแตกต่างจากอาจารย์ท่านอื่นมาก ถ้าฟางชิวไม่มีความสามารถ เขาคงจะไม่กล้าทำข้อตกลงแบบนี้

ส่วนเงินสามแสนนั้น เขาต้องรีบหามา ยิ่งรวบรวมได้เร็วเท่าไร เขาก็ยิ่งเรียนรู้จากสวีเมี่ยวหลินได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น

ฟางชิววางไพ่นกกระจอกลงบนโต๊ะก่อนที่จะรีบกลับไปที่จุดบริการยืมหนังสืออย่างรวดเร็ว เมื่อเขาหาหนังสือทั้งหมดยี่สิบเล่มจนครบแล้ว เขาก็กล่าวลาสวีเมี่ยวหลิน พร้อมกับถือหนังสือและไพ่นกกระจอกออกจากห้องสมุด

ทันทีที่ฟางชิวเข้าไปในหอพัก กล่องไพ่นกกระจอกของเขาก็ได้รับความสนใจจากเหล่ารูมเมตทันที พวกเขาไม่ได้ดูหนังสือด้วยซ้ำ พวกเขาเห็นแต่ตัวหนังสือใหญ่ ๆ ว่า ‘ไพ่นกกระจอก’

“ดีนี่!” โจวเสี่ยวเทียนหยิบกล่องไพ่นกกระจอกจากมือของฟางชิว แล้วเปิดดูมัน จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า “เจ้าห้า นายไม่ยอมเลี้ยงข้าว เพราะเอาเงินไปซื้อไพ่นกกระจอกใช่ไหม นี่เป็นตัวอย่างไม่ดีนะทุกคน อย่าลอกเลียนแบบล่ะ!”

ทันทีที่ได้ยินคำว่าไพ่นกกระจอก ซุนฮ่าวกับโจวเสี่ยวเทียนก็พากันมองฟางชิวด้วยความประหลาดใจ

“มีคนให้มา” ฟางชิวตอบแบบหมดคำจะพูด “พวกนายไม่เห็นหนังสือในมือของฉันเหรอ! เป็นพี่เป็นน้องประสาอะไร ทำไมไม่ช่วยถือหนังสือเลย?”

ทว่ารูมเมตทั้งสามคนก็แกล้งทำเป็นคนหูหนวก แล้วเริ่มเล่นไพ่นกกระจอกทันที

ฟางชิววางหนังสือลงบนโต๊ะอย่างช่วยไม่ได้

“เล่นกันสี่คนไหมล่ะ?” ซุนฮ่าวที่กำลังสับไพ่นกกระจอกเอ่ยถามขึ้นมา “เดิมพันเท่าไหร่ดี?”

“เดิมพันจนกว่านายจะเป็นผีหัวโต*[1]” แล้วฟางชิวก็เดินเข้าไปอธิบายว่า “ไพ่นกกระจอกชุดนี้ไม่ได้เอาไว้พนัน แต่เอาไว้ฝึกประสาทสัมผัสที่มือ นักศึกษาแพทย์อย่างพวกเราต้องใช้ประสาทสัมผัสมือสูงมาก เพราะมันมีประโยชน์ในการตรวจจับชีพจร ตอนนี้ไม่มีคนไข้ก็สามารถใช้สิ่งนี้เพื่อฝึกฝนเท่านั้น”

ทุกคนอึ้ง “..”

“อะไรนะ?”

โจวเสี่ยวเทียนมองไพ่นกกระจอกในมือด้วยความประหลาดใจแล้วถามว่า “ฝึกไพ่นกกระจอกเพื่อสัมผัสชีพจรเนี่ยนะ ตลกแล้ว มันจะฝึกได้ยังไง?”

ซุนฮ่าวกับโจวเสี่ยวเทียนต่างก็มองฟางชิวอย่างสงสัยเช่นกัน

ไพ่นกกระจอกเกี่ยวข้องกับแพทย์แผนจีนด้วยเหรอ!

แล้วมาเกี่ยวข้องกันได้อย่างไรล่ะนี่!

“มันง่ายมาก จั่วไพ่สิ” ฟางชิวอธิบายว่า “ถ้าเคยเล่นไพ่นกกระจอกมาก่อนก็น่าจะง่ายกว่า แต่ถ้าไม่เคยเล่นมาก่อนก็ต้องใช้เวลาในการจดจำไพ่ทั้งหมด จากนั้นก็คว่ำไพ่ทั้งหมดลง แล้วค่อยเริ่มเดาว่ามันคือสัญลักษณ์อะไร”

“แบบนี้เองเหรอ!” รูมเมตทั้งสามดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่ฟางชิวพูด พวกเขาเริ่มสนใจขึ้นมาแล้ว

ทั้งสามคนรู้สึกไม่คุ้นเคยกับไพ่นกกระจอกเลย แม้ว่าพวกเขาจะเคยเล่นมาก่อน แต่เป็นการเล่นแบบมั่ว ๆ เท่านั้น

พวกเขาเลยยังฝึกไม่ได้ในตอนนี้

ขณะเล่นไพ่นกกระจอกนั้น ทั้งสามคนก็ใช้นิ้วแตะไพ่และเริ่มท่องหน้าไพ่

ในการจำไพ่ทั้งหมด พวกเขาใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมง

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

ทั้งสามคนก็เริ่มต้นการฝึก ไพ่ที่จำง่ายอย่างเช่น ไพ่สามเชือก หนึ่งเหรียญ สองเหรียญ และสีขาว แล้วก็ไพ่ที่จำได้ยากอีกสองสามตัว พวกเขาล้วนทายได้ถูกต้อง

“ยากมาก!” โจวเสี่ยวเทียนพูดด้วยตัวหน้าเศร้าสร้อย หลังจากจั่วไพ่มากกว่าหนึ่งโหล เขาก็ทายถูกไปแค่สองตัวเท่านั้น

“เส้นทางสู่การเรียนแพทย์ยังอีกยาวไกลยิ่งนัก” จูเปิ่นเจิ้งกล่าว

ซุนฮ่าวก็พยักหน้าสนับสนุนอย่างจริงจัง

“นี่” ฟางชิวหัวเราะพร้อมกับก้าวไปข้างหน้า จากนั้นเขาก็สุ่มดึงไพ่ออกมา แล้วสัมผัสมันด้วยมือก่อนจะพูดว่า “เดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะให้พวกนายเห็นเองว่าอะไรคือความแตกต่าง!”

“เจ็ดหมื่น”

พรึ่บ!

เสียงพลิกไพ่บนโต๊ะดังขึ้น

และมันก็เป็นเจ็ดหมื่นจริง ๆ!

ทั้งสามคนตกตะลึง

หลังจากจำไพ่มาครึ่งชั่วโมง พวกเขาทั้งสามคนเข้าใจดีว่าหน้าไพ่นกกระจอกที่ยากที่สุดในการจำนั้น คือไพ่หมื่นกับไพ่ลม

ต่างจากเหรียญกับเชือก เพราะหมวดนี้สัมผัสดูก็รู้แล้ว

ไพ่หมื่นกับลมมีลวดลายที่ละเอียด การสัมผัสจึงค่อนข้างซับซ้อน จากไพ่สองหมวดนี้ ถ้าทายยากที่สุดก็คงเป็นหน้าไพ่หมื่นแล้ว

หมื่นเป็นตัวอักษรจีนดั้งเดิม ทำให้มีความซับซ้อนสับสน นอกจากนี้ ยังเป็นตัวเลขดั้งเดิมที่ทำให้ยากกว่าเดิมอีก

ถึงจะเป็นหมื่นแต่ก็ยากจะรู้ว่าเป็นหมื่นไหน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ็ดหมื่นกับเก้าหมื่น ไพ่สองตัวนี้เกือบจะเหมือนกันเพราะทั้งคู่มีขีดอยู่ทางด้านขวา ลวดลายตรงกลางก็ค่อนข้างคล้ายกันอีก ดังนั้นหากไม่เก่งจริงก็คงจะแยกแยะได้ยากว่าตัวไหนเป็นตัวไหนกันแน่

ทั้งสามคนจึงตกใจกับเรื่องนี้

เพราะฟางชิวใช้เวลาน้อยเกินไป เกือบจะใช้เวลาแค่วินาทีเดียวเท่านั้น แล้วไพ่ตัวนั้นก็เป็นเจ็ดหมื่นจริง ๆ

ความแข็งแกร่งแบบนี้ คงมีเพียงสัตว์ประหลาดเท่านั้นที่ทำได้

เมื่อเห็นทั้งสามคนตกตะลึง ฟางชิวก็ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจแล้วกลับไปอ่านหนังสือต่อ

“ฉันว่านะ เจ้าห้ามันต้องเคยเล่นพนันก่อนที่จะเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยแน่ ๆ!” เมื่อมองไปที่แผ่นหลังอันสง่างามของฟางชิวแล้ว โจวเสี่ยวเทียนก็พูดด้วยความอิจฉาออกมา “ไม่ต้องหนีหรอก เพราะมันเป็นเรื่องจริง!”

ซุนฮ่าวกับโจวเสี่ยวเทียนพยักหน้าเห็นด้วย

เพราะถูกกระตุ้นจากฟางชิว รูมเมตทั้งสามคนก็เลยตั้งใจมากกว่าเดิม

“เจ็ดเชือก!”

“ไอ้บ้า ทำไมมีแปดล่ะ!”

“ห้าหมื่น!”

“สี่หมื่น…”

ทั้งสามคนเล่นกันจนไฟถูกปิดลง ส่วนฟางชิวนั่งอ่านหนังสือทั้งยี่สิบเล่มที่เขายืมมาอย่างเมามัน

เล่มแรก ‘คัมภีร์เน่ยจิง’ เขาต้องอ่านร้อยรอบ!

แม้ว่าสวีเมี่ยวหลินจะไม่รู้ว่าฟางชิวจะอ่านครบร้อยครั้งไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความจำอันแข็งแกร่งของเขาแล้ว

แต่ในเมื่ออีกฝ่ายบอกให้อ่านร้อยครั้ง เขาก็ต้องอ่านร้อยครั้ง

เพราะมันจะได้ไม่เสียเปรียบทั้งสองฝ่าย!

เขาเชื่อว่าสวีเมี่ยวหลินไม่ได้ให้ทำไปอย่างไร้จุดหมาย

คืนนั้นเงียบสงบตลอดคืน พอตีสาม ฟางชิวก็ลุกขึ้น กระโดดลงจากชั้นบนอาคาร และไปฝึกซ้อมที่ทะเลสาบ

ตอนผ่านภูเขาเหยาหวังไปครึ่งทาง ฟางชิวก็จงใจหยุดสังเกตเฉินชงที่กำลังฝึกอยู่บนภูเขา

ครูฝึกทหารหลี่จีไม่มานานแล้ว และดูเหมือนว่าจะจากไปจริง ๆ

ฟางชิวยืนอยู่บนหลังต้นไม้ มองดูเฉินชงที่กำลังฝึกฝนอยู่พลางพยักหน้าเล็กน้อย

“พัฒนาขึ้นแล้วนี่”

ฟางชิวมองแค่เฉินชงแวบเดียวก็รู้สึกได้แล้วว่ามีอะไรแปลกไป

[1] ผีหัวโต หมายถึง ล้อเล่นหรือสาปแช่ง มักใช้ในภาษาเซี่ยงไฮ้และกวางตุ้ง ภาษาเซี่ยงไฮ้ หมายถึง คนหรือสิ่งของที่โชคร้าย เช่น ฉันเจอผีหัวโต ส่วนภาษากวางตุ้ง หมายถึง คนรวย

คุรุการแพทย์

คุรุการแพทย์

Status: Ongoing
เขาตั้งใจจะมาศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาผู้มีพระคุณแท้ ๆ แต่ไหงชีวิตถึงได้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด แบบนี้ความคิดที่จะเรียนแบบเงียบ ๆ ไม่แสดงฝีมือจะเป็นจริงไหมเนี่ย?ฟางชิว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหมาด ๆ นักศึกษาน้องใหม่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเจ้าห้าแห่งห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วฟางชิวนั้นซุกซ่อนอีกตัวตนหนึ่งเอาไว้ภายใต้หน้ากาก… เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ! แต่เพื่อชีวิตปกติสุขในมหาวิทยาลัย และเป้าหมายสำคัญของชีวิตอย่างการรักษาผู้มีพระคุณ! ฟางชิวคนนี้จึงพยายามไม่เป็นที่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องใช้พลังช่วยเหลือผู้คนทุกทีไปซิน่า! แล้วไหนจะเทพธิดามหาลัยที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตอีก! แบบนี้ชีวิตปกติสุขที่เขาคาดหวังเอาไว้จะพังทลายลงหรือไม่ ฟางชิวจะจัดการเรื่องวุ่นวายและใช้พลังช่วยชีวิตผู้คนในคราบนักศึกษาไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร มาร่วมปลดล็อคสกิลพระเอกเทพไปด้วยกันกับคุรุการแพทย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท