บทที่ 129 สามหมื่นหยวนสำหรับนักสืบ!
บทที่ 129 สามหมื่นหยวนสำหรับนักสืบ!
“ก็ได้” ฟางชิวพยักหน้าเบา ๆ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงรับป้ายผ้าไหมมา
วินาทีต่อมา เสียงปรบมือก็ดังขึ้น บรรดาอดีตคนขับรถต่างก็ปรบมือกันอย่างครึกครื้น
ทางด้านของเฉาเจ๋อนั้น ชายหนุ่มเองก็ชื่นชมฟางชิวเช่นกัน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา และในเวลาเดียวกันเขาก็แอบหันไปมองหานเจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ
หานเจิ้นหงุดหงิดมาก ภาพตรงหน้ามันทำให้เขาอึดอัดไปหมดจนไม่อยากจะหันไปมอง จากนั้นเขาจึงหันหลังจากไปโดยที่ไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำเดียว
เขารู้ว่าวันนี้เขาแพ้แล้ว
ตอนนี้มีคะแนนมากกว่าฟางชิวหนึ่งคะแนนก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
คะแนนโหวตจะเทียบกับป้ายได้อย่างไรกันล่ะ?
หานเจิ้นทำงานในโรงพยาบาลทั้งสัปดาห์เพื่อให้ได้คะแนนโหวตมากกว่าฟางชิวทำงานหนึ่งวันต่อสัปดาห์
ไม่คาดคิดว่าฟางชิวจะได้รับป้ายนั่น!
ถึงจะเป็นแค่ป้ายผ้าไหม แต่มันก็เพียงพอที่จะบดขยี้เขาอย่างสมบูรณ์ได้
แล้วอย่างนี้ เขาจะเอาอะไรไปเทียบกับฟางชิวได้?
เขาแพ้แล้ว!
ไม่นาน ข่าวที่ฟางชิวใช้เวลาทำงานแค่ช่วงบ่าย แต่กลับได้คะแนนโหวตห้าสิบคะแนน ก็แพร่กระจายไปทั่วโรงพยาบาลราวกับพายุ
ทันทีที่ข่าวแพร่สะพัดออกไป ทุกคนในโรงพยาบาลต่างก็ตกใจทันที
แค่ทำงานตอนบ่ายวันเดียวก็ได้ห้าสิบคะแนนโหวตแล้ว?
สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องกฎของการจัดอันดับแพทย์ดีเด่น คะแนนโหวตห้าสิบคะแนนอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับคนในแวดวงของโรงพยาบาล พวกเขาย่อมรู้ดีว่ามันยากแค่ไหนที่จะได้คะแนนโหวตมา
หมอบางคนทำงานมาทั้งเดือนก็ยังไม่ได้คะแนนโหวตสูงเท่านี้เลย แต่ฟางชิวกลับทำได้ซะอย่างนั้น
แน่นอนว่า หลายคนไม่เชื่อข่าวลือที่ได้ยิน
“ห้าสิบคะแนนโหวต เป็นไปได้ยังไงกัน?”
“เป็นแค่ผู้ช่วยแพทย์ จะตรวจคนไข้ห้าสิบคนต่อวันได้ยังไง? แถมทำงานแค่ครึ่งวันอีก!”
“ถึงจะตรวจคนไข้ได้ห้าสิบคน แต่คนไข้ทุกคนก็ไม่ได้โหวตให้เขาหรอกใช่ไหม”
“ไม่งั้นก็เรื่องโกหกแล้ว!”
ปลอมแปลงคะแนนแบบนี้ทำลายชื่อเสียงโรงพยาบาลแน่ พวกเราต้องตรวจสอบเรื่องนี้กันนะ”
“ใช่แล้ว โรงพยาบาลต้องตรวจสอบเรื่องนี้สิ!”
เกิดความตื่นตะหนกไปทั่วทุกที่ในโรงพยาบาล พวกแพทย์ยังหนุ่มที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่างหงุดหงิดกับข่าวที่ได้ยินกันทั้งหมด
ทว่า จู่ ๆ ก็มีอีกข่าวหนึ่งแพร่ออกมา เป็นเหตุให้ทุกคนพากันปิดปากเงียบทันที ข่าวที่ว่าก็คือฟางชิวได้รับป้ายผ้าไหมจากคนไข้
เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้ว เหล่าแพทย์ยังหนุ่มก็พูดไม่ออก ภายในใจของพวกเขาต่างก็รู้สึกอิจฉาริษยา
ป้ายผ้าไหมถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว!
แม้ว่าพวกเขาจะทำงานหนักมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังไม่เคยได้รับป้ายเลยสักครั้ง
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ความสงสัยที่พวกเขามีต่อฟางชิวก็ค่อย ๆ จางหายไป แล้วความคิดเห็นหนึ่งก็เข้ามาแทนที่
ในเวลาเดียวกัน ทันทีที่เฉาเจ๋อรู้ข่าว เขาก็รายงานเรื่องที่ฟางชิวได้รับป้ายผ้าไหมให้เสิ่นชุนทราบ แล้วในตอนที่เขารายงานข่าว เขาก็เล่าอย่างตื่นเต้น
เมื่อเสิ่นชุนฟังรายงานของเฉาเจ๋าจบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมฟางชิว
ในห้องผู้อำนวยการประจำโรงพยาบาล
“หืม?” ซูมู่ตงที่กำลังอ่านเอกสารอยู่เงยหน้าขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินการรายงานจากแพทย์คนหนึ่ง เขาจ้องมองแพทย์คนนั้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้างก่อนจะถามว่า “มีคนไข้เอาป้ายมาให้ฟางชิว?”
“ใช่ครับ เมื่อกี้นี้เอง” แพทย์คนนั้นพยักหน้า
“ยอดเยี่ยม” ซูมู่ตงวางเอกสารในมือลง จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ฟางชิวเป็นวีรบุรุษในหมู่เยาวชนจริง ๆ คิดอยู่แล้วว่าเสิ่นชุนต้องดูคนไม่ผิด”
“หลังจากนี้ เหล่าแพทย์อาวุโสในโรงพยาบาลของพวกเราอาจต้องทำงานหนักขึ้น แพ้ให้กับเด็กที่ยังเรียนไม่จบอย่างนี้ น่าขายหน้าจริง ๆ ฮ่า ๆๆ!”
อีกด้านหนึ่ง ข่าวที่ฟางชิวใช้เวลาทำงานแค่ครึ่งวันแต่ได้คะแนนโหวตห้าสิบคะแนนกับป้ายผ้าไหมก็กระจายไปทั่วโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
ไม่มีใครสนใจเรื่องหานเจิ้นได้คะแนนโหวตมากกว่าฟางชิวหนึ่งคะแนนเลย
เมื่อเทียบกับการทำงานหนึ่งวันกับหนึ่งสัปดาห์แล้ว มันก็มีความแตกต่างกันแค่หนึ่งคะแนนเท่านั้น ผลออกมาอย่างนี้แล้วจะพูดอะไรได้อีก?
ยิ่งกว่านั้น ระหว่างคะแนนโหวตแพทย์ดีเด่นกับป้ายผ้าไหมแล้ว อย่างไรซะ ป้ายผ้าไหมก็เหนือกว่าอยู่ดี
ต่อให้มีคะแนนโหวตเท่าไรก็ตาม มันก็ไม่สามารถเทียบกับป้ายผ้าไหมได้เลย
แม้แต่แพทย์ที่ทำงานในโรงพยาบาลมาหลายปีและเคยได้รับคะแนนโหวตเป็นร้อยเป็นพันก็ยังไม่เคยได้รับป้ายผ้าไหมเลย
แล้วหานเจิ้นทำแบบฟางชิวได้ไหม?
เห็นได้ชัดว่าไม่ได้
เมื่อข่าวที่ชายหนุ่มได้รับป้ายผ้าไหมแพร่ออกไป ตอนนี้ทั้งโรงพยาบาลก็รู้แล้วว่า ในเวลานี้ได้มีอัจฉริยะเข้ามาในโรงพยาบาลแล้ว ซึ่งก็คือหมอเสี่ยวฟางจากแผนกกระดูกและข้อ!
ทางด้านของฟางชิวนั้น
ในขณะที่ทุกคนในโรงพยาบาลกำลังพูดถึงข่าวที่แพร่ออกมากันอย่างสนุกสาน ฟางชิวที่เป็นศูนย์กลางความสนใจของทุกคนก็ได้แอบออกจากโรงพยาบาลอย่างเงียบเชียบ
ชายหนุ่มเดินไปตามถนนพลางก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ ราวกับว่าเขากำลังค้นหาอะไรบางอย่างอยู่
“นักสืบต้าหยิน!” ฟางชิวชะงักฝีเท้าขณะอ่านคำแนะนำบนหน้าจอ จากนั้นเขาก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อสักครู่นี้ ฟางชิวใช้โทรศัพท์เพื่อค้นหาสำนักนักสืบ เพราะมีบางอย่างที่เขาต้องการจะหาให้เจอก่อน
ฟางชิวเดินไปที่ธนาคารที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยด้วยความเร็ว เขาถอนเงินออกมาห้าหมื่นหยวน จากนั้นก็ขึ้นรถแท็กซี่รีบไปที่สำนักงานนักสืบที่ชื่อ ‘ต้าหยิน’
สำนักงานนักสืบต้าหยินตั้งอยู่ในหมู่บ้านทางตอนเหนือของเมืองเจียงจิง
แม้ว่าที่นี่จะมีอาคารสูง แต่ก็ดูค่อนข้างเก่า อาคารพวกนี้ถูกสร้างขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว
อาจเป็นเพราะอาคารพวกนี้มีสภาพที่เก่าและทรุดโทรม ราคาบ้านที่นี่จึงค่อนข้างต่ำ ส่วนใหญ่แรงงานข้ามชาติในบริเวณใกล้เคียงจะมาเช่าบ้านที่นี่ ส่งผลให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาที่นี่เป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังมีร้านเสริมสวย ร้านอาหาร ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด และแผงขายผลไม้มากมายบนถนนในบริเวณใกล้เคียง
และแล้วฟางชิวก็ได้มาถึงอาคารแห่งหนึ่ง
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของสำนักงานนักสืบ จากนั้นเขาก็ก้าวเข้าไปในอาคาร
“ตึกสามชั้นสาม” อาจเป็นเพราะมันเป็นอาคารเก่า ก็เลยไม่มีลิฟต์ภายในอาคาร บันไดก็แคบมาก เป็นเหตุให้คนที่เข้ามารู้สึกอึดอัด
“ทำไมสำนักงานนักสืบถึงมาเปิดที่นี่กันนะ” ฟางชิวพึมพำกับตัวเอง ขณะที่กำลังเดินขึ้นบันได
สำนักงานนักสืบที่สามารถหาเจอได้บนอินเทอร์เน็ต แล้วได้รับรีวิวดี ๆ ย่อมต้องมีงานเข้ามาเรื่อย ๆ กำไรก็ต้องมีอยู่มาก
แต่ที่นี่ดูไม่ค่อยจะสามารถทำเงินได้เลย
แม้ว่าฟางชิวจะไม่ทราบสาเหตุ แต่ในไม่ช้าเขาก็เลิกพยายามหาคำตอบ เพราะเขามาถึงที่นี่แล้ว พิสูจน์ด้วยตาตนเองก็คงดีกว่า
ตอนที่ฟางชิวเดินมาถึงชั้นสาม เขาก็เห็นตัวอักษรสองตัวที่เขียนด้วยสีแดงสดบนผนังว่า ‘ต้าหยิน’
ตัวอักษรทั้งสองตัวนี้ดูโย้เย้เล็กน้อย ราวกับว่าคนเขียนไม่ได้ใช้แม่พิมพ์ตอนเขียนตัวอักษร
เพราะใช้สีมากเกินไป สีก็เลยไหลลงมาเป็นทางทำให้ผนังสีขาวแลดูน่ากลัว ราวกับตัวอักษรเหล่านี้ถูกเขียนด้วยเลือดเหมือนอย่างในภาพยนตร์สยองขวัญ หากมองถัดจากตัวอักษรไปก็จะพบลูกศรชี้ไปทางซ้าย
ฟางชิวเดินตรงไปยังตำแหน่งที่ลูกศรชี้ไปอย่างไม่ลังเล เขาเดินไปกี่ก้าวก็เห็นประตูบานหนึ่ง
มีป้ายชื่อถูกแขวนอยู่ที่ประตู เขียนเอาไว้ว่า ‘สำนักงานนักสืบต้าหยิน’
ก๊อก! ก๊อก!
ฟางชิวเคาะประตู
แอ๊ด…
จู่ ๆ ประตูก็เปิดออกเองด้วยเสียงอันแผ่วเบา ฟางชิวจึงก้าวเข้าไปในห้อง แล้วเขาก็พบว่าตรงหน้าโล่งมาก ไม่มีผ้าม่านหรือโซฟาอยู่ในห้องเลย แต่เมื่อมองเข้าไปก็เห็นว่ามีโต๊ะโบราณกับเก้าอี้ตั้งอยู่
มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาสวมชุดทันสมัย หูฟังที่ใส่อยู่ก็ดูทันสมัยเช่นกัน
“นายเป็นนักสืบเหรอ” ฟางชิวขมวดคิ้วแล้วถามออกไป เมื่อมองดูการตกแต่งที่ไม่เข้ากันภายในห้องแล้ว เขาก็รู้สึกสับสน เริ่มหมดความเชื่อถือสำนักงานแห่งนี้ขึ้นมา
เมื่อได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ก็เหลือบมองฟางชิวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แอบคิดกับตัวเองว่า มีเหยื่อหลงเข้ามาอีกรายแล้ว
“นั่งลงก่อนสิ” นักสืบหนุ่มถอดหูฟังแล้วบอกให้ฟางชิวนั่งลง
ฟางชิวนั่งลงโดยไม่ลังเล
“มีอะไรให้ฉันช่วยไหม” นักสือบหนุ่มยืดตัวขึ้นแล้วถามฟางชิว ระหว่างนั้นก็จ้องฟางชิวอย่างพิจารณาไปด้วย
“ฉันอยากให้นายตรวจสอบคน ๆ หนึ่ง เอาตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้เลย” ฟางชิวกล่าว
นี่มันงานใหญ่!
นักสืบหนุ่มรีบเอื้อมมือไปดันกระดาษกับปากกาบนโต๊ะให้ฟางชิวทันที
“กรุณาเขียนชื่อกับข้อมูลอื่น ๆ ด้วยครับ”
ฟางชิวหยิบปากกาขึ้นมา เขียนชื่อคนคนหนึ่งลงไป นั่นคือเว่ยตงที่อาศัยอยู่ใต้สะพานกว่างหมิงทางตะวันตกของเมือง
ใช่แล้ว ชื่อที่ฟางชิวเพิ่งเขียนลงไปนั้น เป็นชื่อของคนไข้รายสุดท้ายที่เขาเพิ่งรักษาไป
ฟางชิวเห็นชื่อของคนไข้ในใบลงทะเบียนจึงจำข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดเอาไว้
เมื่อชายหนุ่มเขียนเสร็จแล้ว เขาก็เลื่อนกระดาษกลับไปให้นักสืบหนุ่ม
นักสืบหนุ่มเหลือบมองอย่างรวดเร็วแล้วขมวดคิ้วทันที เพราะเมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ฟางชิวเพิ่งเขียนลงไป เว่ยตงคนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นคนจรจัด
สำหรับเขาแล้ว การตรวจสอบคนจรจัดนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่เพราะมันง่ายเกินไปเนี่ยแหละ เขาก็เลยรู้สึกสับสนนิดหน่อย
“นายต้องการตรวจสอบอะไรกันแน่” นักสืบหนุ่มถามอีกครั้ง เขาไม่ได้ถามความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับเป้าหมายว่าเป็นอะไรกัน แม้ว่าเขาจะสงสัย แต่เพราะเขาเป็นมืออาชีพ เรื่องบางอย่างเขาก็ไม่สามารถถามได้
แม้ว่าเขาจะจำเป็นต้องตรวจสอบมด เขาก็จะทำทันทีตราบเท่าใดที่เขาได้รับค่าจ้าง
แล้วสิ่งที่แย่ที่สุดที่เขาจะทำก็คือ การสงสัยถึงความคิดของลูกค้า
“ก็ข้อมูลพฤติกรรมทั้งหมดของชายคนนี้ตั้งแต่เกิดจนถึงวันที่นายจะแจ้งผลให้ฉันทราบ” ฟางชิวกล่าวอีกครั้ง
“สามหมื่นหยวน” ชายหนุ่มบอกราคากับฟางชิวอย่างตรงไปตรงมาและพูดว่า “สองหมื่นสำหรับค่ามัดจำ ส่วนที่เหลือค่อยจ่ายให้ฉันตอนที่นายได้รับข้อมูลแล้ว” จากนั้นเขาก็กล่าวเสริมว่า “ถ้านายคิดว่ามันแพงเกินไป นายก็ลองคิดดูว่ามันจะยากขนาดไหนในการรวบรวมข้อมูลมากมายขนาดนี้”
ฟางชิวพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะจำนวนค่าจ้างมันก็ใกล้เคียงกับที่เขาคาดเอาไว้
“แล้วจะใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะได้ข้อมูลทั้งหมด” ฟางชิวถาม
“สิบวัน” ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบออกมา
ปึก!
ฟางชิวหยิบเงินออกมาสามหมื่นหยวนจากห้าหมื่นหยวนที่เขาเพิ่งถอนออกมาจากธนาคาร ชายหนุ่มวางเงินลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เขียนหมายเลขโทรศัพท์ลงบนกระดาษ
“อีกสิบวันฉันจะกลับมาใหม่” หลังจากพูดจบประโยค ฟางชิวก็ลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมจะจากไป
นักสืบหนุ่มรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ฟางชิวเพิ่งทำทันที
แม่งเอ๊ย!
ลูกค้าคนนี้เป็นทายาทเศรษฐีเหรอวะเนี่ย?
เขารวยขนาดนี้เลยเรอะ?
นักสืบอึ้งจนตัวแข็งทื่อ!
“เดี๋ยวก่อน” ชายหนุ่มหยุดฟางชิวไว้แล้วถามว่า “พวกเราไม่ต้องเซ็นสัญญาอะไรเลยเหรอ? ฉันอาจจะเอาเงินของนายแล้วหนีไป หรือไม่ก็ปฏิเสธข้อตกลงทั้งหมดก็ได้”
“นายกล้าทำอย่างนั้นด้วยเหรอ?” ฟางชิวหยุดเดิน เขาหันกลับไปมองนับสืบหนุ่ม จากนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า “อีกอย่างหนึ่ง ยังไงซะนายก็หนีฉันไม่พ้นอยู่ดี!”
คำพูดข่มขู่ของฟางชิวทำให้นักสืบหนุ่มตกใจมาก
หลังจากที่ฟางชิวจากไปแล้ว นักสืบหนุ่มก็ตระหนักได้
“บัดซบ เมื่อกี้ฉันเพิ่งถูกคนรวยหน้าโง่ข่มขู่!” เขาพูดพลางส่ายหัว
ยอมรับว่าเขาแอบกลัวฟางชิวขึ้นมานิด ๆ
“เขาโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้เจอกับผู้ชายทำงานเก่งชื่อเสียงโด่งดังอย่างฉัน ไม่อย่างนั้นคงเสียเงินก้อนใหญ่เพราะเลินเล่อไปแล้ว!” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองแล้ววางเงินลง
โง่หรือเปล่า ไม่เซ็นสัญญาเนี่ยนะ?
แต่แน่นอนว่าไม่หรอก
ตั้งแต่วินาทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง ฟางชิวก็รู้ทันทีว่าชายหนุ่มที่เป็นนักสืบเป็นผู้ฝึกยุทธ์
ถ้านักสืบเป็นผู้ฝึกยุทธ์จริง ๆ แสดงว่านักสืบคนนั้นจะต้องมีทักษะอะไรบางอย่างแน่นอน
แต่ถ้าผู้ฝึกยุทธ์ต้องการที่จะหนีไปพร้อมกับเงินของเขาก็คงสนุก!
ฟางชิวออกจากสำนักงานนักสืบแล้วนั่งแท็กซี่กลับมหาวิทยาลัย
เหตุผลที่เขาพยายามอย่างยิ่งยวดในการหาสำนักงานนักสืบเพื่อตรวจสอบเว่ยตงนั้น ก็เพื่อค้นหาว่าสิ่งที่เว่ยตงพูดในตอนที่เขากำลังรักษานั้นเป็นความจริงหรือไม่
หากเป็นเรื่องจริง เงินในบัญชีของฟางชิวก็จะสามารถนำไปใช้ในทางที่เหมาะสมได้
สามหมื่นหยวนถือว่าเป็นเงินจำนวนมาก แต่ถ้าเอาไปบริจาคทั้งหมดก็ถือว่าคุ้มค่า