บทที่ 138 ชำระหนี้!
บทที่ 138 ชำระหนี้!
ไม่นานเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น เจ้าของเสียงฝีเท้าก็คือชายหนุ่มรูปร่างดูดีเหมือนนักมวย สวมเสื้อฮู้ด มีผ้าโปร่งสีขาวพันนิ้วมือเอาไว้ ตอนนี้กำลังค่อย ๆ เดินลงบันไดมา
ฟางชิวพูดกับหัวหน้าคนงานโดยไม่ได้หันไปมองนักมวย “คุณมีเวลาสามสิบวินาที”
“แกควรจะรีบไสหัวออกไป ไม่งั้นจะไม่เกรงใจแล้วนะ!” ระหว่างกำลังพูด หัวหน้าคนงานก็ส่งสัญญาณให้ลูกน้องหลายสิบคนเข้าไปรุมล้อมฟางชิวเอาไว้
แต่ทว่า คนเหล่านั้นก็ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า หัวหน้าคนงานจึงโกรธจัด
ไอ้เวรพวกนี้ไร้ประโยชน์จริง ๆ!
“เหลืออีกสิบห้าวินาที!” ฟางชิวกล่าว
หัวหน้าคนงานออกคำสั่งอย่างโหดเหี้ยมกับนักมวยว่า “ไปจัดการมันซะ!”
พอพูดจบประโยค จู่ ๆ นักมวยที่กำลังยืนอยู่บนบันไดก็กระโดดหมุนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว มือที่เอื้อมมาดูราวกับเสือดาวที่กำลังล่าเหยื่อ เขาเงื้อกำปั้นขึ้น ก่อนจะพุ่งมาหาฟางชิวที่อยู่ห่างไปเกือบสามเมตร
“ฮึ่ม!” ฟางชิวแค่นเสียงอย่างไม่ใส่ใจ
ขณะที่หมัดของนักมวยกำลังจะมาโดนหน้าของฟางชิว ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นแล้วคว้ากำปั้นของนักมวยเอาไว้อย่างแม่นยำ โดยที่เขาไม่ได้เบี่ยงตัวหลบด้วยซ้ำ
เมื่อถูกฟางชิวหยุดหมัดเอาไว้ได้ แรงจากหมัดอันน่ากลัวของนักมวยก็หายไปอย่างน่าประหลาด
“คุณเหลือเวลาสิบวินาที” ฟางชิวเหวี่ยงมือขวาของคู่ต่อสู้ไปด้านข้างแล้วหันไปพูดกับหัวหน้าคนงาน
ชายหนุ่มโยนนักมวยออกไปไกลราวกับโยนลูกบอลยาง นักมวยคนนั้นล้มกระแทกพื้น และสลบไปในที่สุด
หัวหน้าคนงานรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เห็น เพราะเขาได้ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อพาชายหนุ่มผู้ที่สามารถทุบหัวมนุษย์ได้ด้วยทักษะมวยไทยมาจากตลาดมวยใต้ดิน
เขาเคยเห็นว่านักมวยคนนี้ใช้ทักษะมวยไทยเล่นงานชายร่างอ้วนที่มีน้ำหนักหนึ่งร้อยกิโลกรัมจนบาดเจ็บสาหัสได้
แต่ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้หนักไม่ถึง 75 กิโลกรัมด้วยซ้ำ แต่กลับรับมือกำปั้นของนักมวยได้ แถมยังจัดการนักมวยหนุ่มได้อย่างง่ายดายภายในไม่กี่วินาที?
ความจริงตรงหน้าเกินความคาดหมายของเขาไปมาก ทำให้เขาเชื่อไม่ลงว่าเหตุการณ์ทั้งหมดคือเรื่องจริง
ในขณะที่หัวหน้าคนงานกำลังตกตะลึง เวลาสิบวินาทีก็ผ่านไป
“หมดเวลา!” หลังจากที่ฟางชิวพูดออกไป เขาก็ไปปรากฏตัวต่อหน้าหัวหน้าคนงานทันที จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปบีบคอของหัวหน้าคนงาน แล้วยกหัวหน้าคนงานขึ้นพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ชำระหนี้มาได้แล้ว!”
ทันใดนั้น นักมวยที่สลบไปก็ลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วพุ่งเข้าใส่ฟางชิวจากทางด้านหลัง
ทว่าฟางชิวกลับเตะเท้าขวาไปที่แผ่นอกของนักมวยคนนั้นอย่างแรงราวกับว่ามีตาหลัง
ตึง!
นักมวยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด จากนั้นเขาก็กระเด็นออกไปไกล และไม่สามารถลุกขึ้นมาอีกได้เลย ครั้งนี้เขาสลบไปจริง ๆ
“พวกแกรีบเข้าไปจัดการมันสิ” หัวหน้าคนงานกระวนกระวาย เขาตะโกนใส่ลูกน้องหลายสิบคนของเขาอย่างโกรธจัด
แต่กลายเป็นว่าลูกน้องของหัวหน้าคนงานไม่มีใครยอมขยับเลย
พวกเขารู้ดีว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเป็นสัตว์ประหลาด เพราะเคยสู้ด้วยเมื่อไม่นานนี้ ตอนนี้ก็เลยไม่มีใครกล้าสู้กับฟางชิวอีก การเข้าไปต่อสู้กับฟางชิวจะไม่เหมือนกับการฆ่าตัวตายหรอกหรือ
เมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว หัวหน้าคนงานจึงทำได้แค่ร้องตะโกนออกมาด้วยความกลัว
กร๊อบ!
ทันใดนั้น หัวหน้าคนงานก็ได้ยินเสียงกระดูกหัก
ก่อนที่หัวหน้าคนงานจะทันได้คิดอะไร ฟางชิวก็จับมือซ้ายของเขา แล้วคลายแขนขวาที่หักไปแล้วของเขาลง
“อา อา…” หัวหน้าคนงานเริ่มหวาดกลัวมากกว่าเดิม
“เดี๋ยวจะเป็นขาขวาของคุณ คุณมีเวลาสามวินาที” ฟางชิวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ร่างกายของหัวหน้าคนงานสั่นสะท้านไม่หยุด
“ช้าเกินไปแล้ว” สามวินาทีผ่านไป เขาก็จับขาขวาของหัวหน้าคนงานด้วยมือซ้าย ก่อนจะดึงลงมาอย่างแรง ทำให้กระดูกขาของหัวหน้าคนงานหลุดออก
หัวหน้าคนงานเจ็บปวดอย่างสุดจะพรรณนา
“ฉันจะคืน…” หัวหน้าคนงานทนไม่ได้อีกต่อไป เพราะเขาไม่เคยเห็นชายที่โหดร้ายเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต
ชายคนนี้กล้าหักทั้งแขนและขาของเขา!
หัวหน้าคนงานพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ฉันจะใช้หนี้ให้ทั้งหมดเลย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟางชิวก็เหวี่ยงแขนของเขาลง ทำให้หัวหน้าคนงานกระเด็นไปที่บนโซฟาทันที จากนั้นฟางชิวก็เดินไปนั่งที่โซฟา ยืนค้ำตัวหัวหน้าคนงานเอาไว้
“อา…” หัวหน้าคนงานร้องโหยหวนออกมาอย่างเจ็บปวด
“คุณมีเวลาหนึ่งนาที” ฟางชิวกล่าว
ประโยคที่เหมือนคำสาปล่าวิญญาณนี้ ทำให้หัวหน้าคนงานรู้สึกกลัวเข้าไส้
“ฉันจะจ่ายคืนให้ แต่คุณต้องบอกฉันมาก่อนว่าฉันเป็นหนี้ใครฉันจะจ่ายหนี้คืนได้ยังไง ถ้าคุณไม่บอกฉันว่าฉันเป็นหนี้ใคร” หัวหน้าคนงานเอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก
“ก็อาคารที่ยังสร้างไม่เสร็จนั่นไง!” ฟางชิวตะคอกตอบกลับไป
“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันเข้าใจแล้ว” หัวหน้าคนงานรีบหันหน้ากลับมาทันที แล้วพูดกับสาวใช้ด้วยสีหน้าซีดเผือดว่า “ไปที่ห้องของฉัน ไปเอาสมุดบัญชีกับเงินสดมา แล้วเอาเงินของฉันออกมาให้หมดเลย”
สาวใช้รีบขึ้นไปชั้นบนด้วยความตื่นตระหนก ไม่นานเธอก็นำสมุดบัญชีลงมา
ตามบันทึกในสมุดบัญชี หัวหน้าคนงานได้ให้เงินกับฟางชิวในจำนวนที่ถูกต้อง
หลังจากที่ฟางชิวได้รับเงินสดมาแล้ว เขาก็ลุกขึ้นเพื่อเตรียมจากไป แต่เดินไปได้แค่ก้าวเดียว เขาก็หยุดแล้วหันกลับไปมองหัวหน้าคนงาน “อย่าไปยุ่งกับคนงานพวกนั้นอีก ไม่งั้นก็อย่ามาโทษฉันที่ไม่ได้เตือนก่อนก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มพูดจบก็ใช้มือขวาทุบโต๊ะน้ำชา เป็นเหตุให้โต๊ะน้ำชาสุดหรูที่ทำจากหินอ่อนแตกกระจายไปทั่วพื้น
พอเห็นแบบนั้นแล้ว หัวหน้าคนงานก็ขวัญหนีดีฝ่อ “ไม่กล้า ฉันไม่กล้าหรอก ฉัน ฉันสัญญา!”
จริง ๆ แล้วฟางชิวจะรักษาแขนกับขาของหัวหน้าคนงานให้ แต่หัวหน้าคนงานคนนี้น่ากลัวเกินกว่าจะช่วยชีวิตเขาไว้ ฉะนั้น ชายหนุ่มจึงปล่อยให้หัวหน้าคนงานทรมานต่อไป!
เมื่อฟางชิวเดินออกจากวิลล่าแล้ว เขาก็ถือกระเป๋าเดินทางที่เต็มไปด้วยเงินสดเดินไปที่อาคารที่ยังสร้างไม่เสร็จทันที
ฟางชิวกลับมาที่อาคารที่ยังสร้างไม่เสร็จอีกครั้ง ทำให้เขาพบว่าเปลวไฟก็ยังคงริบหรี่ท่ามกลางสายลมเหมือนเช่นเคย
ถัดจากกองไฟก็เป็นเว่ยตงที่ยังคงนั่งอยู่ที่พื้นไม่ได้ลุกไปไหน เขาจ้องมองไปที่กองไฟด้วยดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวา แม้ว่าหยาดน้ำตาบนใบหน้าของเขาจะแห้งไปแล้ว แต่ดวงตาก็ยังคงแดงก่ำอยู่
บนใบหน้าของฟางชิวไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมา เขาแค่รู้สึกหดหู่ใจนิดหน่อย
ฟางชิวก้าวเท้าไปเบา ๆ แล้วไปหยุดตรงหน้าของเว่ยตง
“ไปหาอะไรกิน แล้วค่อยไปหาที่นอนดี ๆ เถอะ” ขณะที่ฟางชิวพูด เขาก็วางกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเงินไว้ข้างหน้าเว่ยตง แล้วพูดเสริมว่า “นี่คือเงินเดือนที่หัวหน้าคนงานเป็นหนี้คุณ ผมไปเอามาคืนให้คุณแล้ว ส่วนที่เหลือก็เป็นเงินเดือนของเพื่อนร่วมงานของคุณ คืนนี้คุณไปพักผ่อนให้เพียงพอเถอะ แล้วค่อยแจกจ่ายเงินในวันพรุ่งนี้”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ฟางชิวพูด เว่ยตงก็ตัวสั่นเทา เขามองไปที่กระเป๋าเดินทางที่อยู่ข้างหน้า จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองไปที่ฟางชิว แต่แล้วจู่ ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาที่แห้งเหือด
“ขอบคุณ!” เว่ยตงกล่าวคำขอบคุณผ่านลำคอที่แห้งผากของเขา
“ขอบคุณมาก ๆ เลยนะ!” เว่ยตงร้องไห้อย่างขมขื่น แต่ก็มีประกายความหวังเปล่งออกมาจากดวงตา รวมถึงรอยยิ้มที่สดใสด้วย ทำให้ตอนนี้เขาหัวเราะทั้งน้ำตา
แม้ว่าเว่ยตงจะเคยเป็นคนเลวมาก่อน แต่เวลาทำงานเขาก็ควรได้รับค่าจ้าง ดังนั้น เขาจึงไม่จำเป็นต้องยอมโดนกดขี่และดำเนินชีวิตด้วยความยากลำบากมากนัก เพราะตอนนี้เขาเป็นคนดีแล้ว
จิตวิญญาณของเขายังคงอยู่ที่เดิม และความเย่อหยิ่งของเขาก็ยังคงอยู่ที่เดิมเหมือนกัน เพียงแต่ว่า เว่ยตงเต็มใจที่จะทำความดีและช่วยเหลือคนยากจน ถึงเขาจะถูกต้อนให้จนมุมแบบนี้ก็ไม่ได้ทำชั่วอีก
เมื่อมองไปที่เว่ยตง ฟางชิวก็เงียบไป เพราะเขาได้ยินแต่คำว่า ‘ขอบคุณ’
“ไปเถอะ” หลังจากนั้นไม่นาน ฟางชิวก็ถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “ดูแลตัวเองด้วย ถ้าคุณสบายดีและมีสุขภาพแข็งแรง นักเรียนที่คุณช่วยสนับสนุนทางการเงินก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พวกเขายังมีหนทางอีกยาวไกล คุณก็เหมือนกัน” หลังจากที่ฟางชิวพูดอย่างนั้น เขาก็หันหลังเตรียมที่จะจากไป
“ไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้น” เมื่อเห็นว่าฟางชิวกำลังจะจากไป เว่ยตงก็กล่าวออกมาทั้งน้ำตาว่า “ในนามของเพื่อนร่วมงานของฉัน รวมถึงเด็ก ๆ ยากจนที่อาศัยอยู่บนภูเขา ฉันขอขอบคุณแทนพวกเขาด้วยนะ”
ฟางชิวคลี่ยิ้มออกมา เพราะเห็นได้ชัดว่าเว่ยตงเข้าใจทุกอย่าง จากนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณ…” ลับหลังของฟางชิว เว่ยตงก็ยังพยายามตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง
ในเช้าวันถัดมา
ตู๊ด!
หลังจากที่ฟางชิวกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว เขาก็กลับหอพัก แต่จู่ ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
เป็นสายจากเหอเกาหมิง
“ฮัลโหล?” ฟางชิวรับสายโทรศัพท์ด้วยความงงงวย
“[ฮ่า ๆๆ…]”
ฟางชิวได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นของเหอเกาหมิงจากปลายสาย จากนั้นเหอเกาหมิงก็พูดว่า “[ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่วจริง ๆ ก่อนที่ฉันจะลงมือ ก็มีคนชิ่งตัดหน้าไปก่อนแล้ว]”
“หา?” ฟางชิวรู้สึกสับสน
“[เว่ยตงไง!]”
เหอเกาหมิงหัวเราะออกมาดัง ๆ แล้วพูดว่า “[เช้านี้ฉันกำลังจะไปช่วยเขา แต่ฉันหาเขาไม่เจอ ฉันก็เลยใช้ความสามารถพิเศษตามประสาคนจากสำนักงานนักสืบต้าหยินตรวจสอบดู ลองทายซิว่าฉันเจออะไร]”
“[เมื่อคืนนี้มีคนไปเอาค่าจ้างคืนให้เว่ยตงแล้ว และไม่ใช่แค่ของเว่ยตงเท่านั้น แต่ค่าจ้างคนงานคนอื่น ๆ ด้วย เช้าวันนี้เว่ยตงก็เลยไปที่ธนาคารเพื่อโอนเงินค่าจ้างไปให้เพื่อนร่วมงานของเขา]”
เหอเกาหมิงไม่ได้คิดว่าคนที่ช่วยเว่ยตงจะเป็นฟางชิว เพราะฟางชิวดูเหมือนนักศึกษาที่เรียบร้อยและดูไม่น่าจะเป็นคนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว ฟางชิวก็พยักหน้าพร้อมกับยิ้มออกมา เขาเชื่อมั่นในตัวเว่ยตง และเว่ยตงก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังจริง ๆ
“จริงเหรอ? งั้นก็ดีแล้ว” ฟางชิวแสร้งทำเป็นประหลาดใจ
“[มีอีกอย่างหนึ่ง]” เหอเกาหมิงกล่าวต่อ “[หลังจากที่เว่ยตงโอนเงินค่าจ้างให้กับเพื่อนร่วมงานของเขาแล้ว เขาก็บริจาคเงินสองหมื่นแปดพันหยวนทันที ทั้งที่เขามีแค่สามหมื่นหยวนเหลืออยู่ในมือแท้ ๆ เขาบริจาคเป็นทุนการศึกษาให้กับนักเรียนยากจนบนภูเขาห่างไกลน่ะ]”
พูดคุยไปสักพัก เหอเกาหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ชายคนนี้แสนดีจริง ๆ!
ฟางชิวแอบพยักหน้าเห็นด้วย แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย เพราะดูเหมือนว่าเว่ยตงจะฟังสิ่งที่เขาพูดเมื่อคืนนี้ ไม่อย่างนั้นเว่ยตงคงจะบริจาคเงินทั้งหมดให้กับเด็ก ๆ แน่ ๆ
เว่ยตงเหลือเงินสองพันหยวนเอาไว้ใช้สำหรับตัวเขาเอง เพราะเขาน่าจะคิดได้แล้วว่าถ้าเขาแข็งแรงและสุขสบายดี นักเรียนยากไร้บนภูเขาห่างไกลก็จะมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นไปด้วย
“พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉันก็มีเรื่องจะขอร้องสักหน่อย” ฟางชิวกล่าว
“[อะไรเหรอ?]” เหอเกาหมิงถามด้วยความสงสัย เพราะเขาก็ถือว่ายังเป็นหนี้ฟางชิวอยู่
“ฉันจะเอาเงินสามแสนหยวนไปฝากไว้กับเว่ยตง อยากให้นายช่วยติดตามการเคลื่อนไหวของเงินก้อนนี้” ฟางชิวกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“[หา?]” เหอเกาหมิงตกใจ ถามขึ้นทันทีว่า “[สรุปแล้วนายเป็นทายาทเศรษฐีเหรอ?]”
ฟางชิวคลี่ยิ้มเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามของเหอเกาหมิง
“[เงินสามแสนก็เยอะอยู่นะ]” เหอเกาหมิงลังเล “[แต่ช่างเถอะ ฉันไม่ได้อยากเกลี้ยกล่อมอะไรแล้ว เพราะยังไงซะ ถ้าเงินอยู่ในมือของเว่ยตงแล้ว มันก็จะถูกนำไปใช้เพื่อการทำความดีอยู่แล้ว แถมฉันก็ยังเป็นหนี้นายอยู่ ไม่ต้องกังวลก็แล้วกัน เรื่องนี้ฉันจะช่วยดูเอง]”
“ขอบใจมาก” ฟางชิวตอบ
“[พวกเราเป็นเพื่อนกัน ไม่ต้องมาขอบคุณฉันหรอก!]” เหอเกาหมิงหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นเขาก็ลดเสียงลงกระทันหัน แล้วถามเบา ๆ ว่า “[คืนนี้ว่างไหม]”
“ทำไม?” ฟางชิวถาม
“[มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ฉันแค่คิดว่านายน่าจะมีเงิน ส่วนฉันรสนิยมดี ก็เลยอยากทำธุรกิจหาเงินด้วยกัน สนใจไหม]” เหอเกาหมิงเอ่ยถาม
“หาเงิน?” ฟางชิวผงะเล็กน้อยและถามว่า “จากอะไรล่ะ”
“[ฮิ ๆ…]” เหอเกาหมิงหัวเราะอย่างมีเลศนัยและพูดว่า “[บอกฉันมาก่อนสิว่าคืนนี้นายว่างหรือไม่ว่าง สำหรับวิธีหาเงิน นายจะรู้เองเมื่อถึงเวลา ยังไงฉันก็ไม่โกงแน่นอน]”