คุรุการแพทย์ – บทที่ 142 ดูถูก!

คุรุการแพทย์

บทที่ 142 ดูถูก!

บทที่ 142 ดูถูก!

“น่าเสียดาย ว่านซูเฉวียนต่อสู้มาสามครั้งติดกันเลยเสียพลังมากเกินไป ถ้าเขาได้ใช้กำลังเต็มที่ คงยากที่จะบอกว่าผลของการแข่งขันนี้จะออกมาเป็นยังไง”

“อีกฝ่ายให้เวลาเขาพักแล้ว แต่เขากลับไม่เห็นค่าซะงั้น”

“นั่นสิ!”

หลังจากได้ยินการวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชน ฟางชิวส่ายหน้าอย่างเงียบ ๆ

แม้ว่าจะมีปรมาจารย์หลายคนอยู่ที่นี่ แต่เหมือนว่าพวกเขาจะดูความแข็งแกร่งของคนบนสังเวียนไม่ออก

ในความเห็นของฟางชิว เหลียงหย่งเจี๋ยไม่ใช่คนใจดีเช่นนั้น

เหตุผลที่เขาพูดอย่างโอหังทันทีที่ขึ้นบนสังเวียนก็เพื่อสร้างความรำคาญให้กับว่านซูเฉวียนเท่านั้น ฟังดูแล้วเหมือนเขาเป็นคนใจกว้างจริง ๆ นั่นแหละ แต่แค่ห้านาทีจะทำอะไรได้?

เป็นไปได้หรือที่จะฟื้นตัวได้ในเวลาห้านาทีทั้งที่เสียพลังงานไปมากขนาดนั้น?

ผู้ฝึกยุทธ์มีกำลังภายในก็จริงแต่ก็ยากที่จะฟื้นฟูในเวลาอันสั้น

เหลียงหย่งเจี๋ยยั่วยุว่านซูเฉวียนเพื่อยกระดับตนเองให้ดูดี ในขณะเดียวกันก็ใช้ฝีมือเพื่อสร้างชื่อให้กับตนเองในแวดวงศิลปะการต่อสู้เจียงจิง

เล่ห์เหลี่ยมเเพรวพราวนี้ คนธรรมดาอาจเข้าถึงได้ยาก

แม้ว่าจะมองออกแล้ว แต่ฟางชิวก็ไม่ได้เอ่ยออกไป

ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ มีแต่จะดึงดูดความเป็นศัตรูมาสู่ตัวเอง

บนสังเวียน

ทั้งสองยังคงต่อสู้กันอย่างดุเดือด เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังเคลิบเคลิ้ม เหลียงหย่งเจี๋ยยิ้มออกมาโดยพลัน

มือขวาของเขากำหมัด ก่อนจะต่อยไปที่ศีรษะของว่านซูเฉวียนอย่างรุนแรง

ว่านซูเฉวียนรีบตั้งรับทันที แต่ในตอนนั้นเอง เหลียงหย่งเจี๋ยก็เปลี่ยนท่าโจมตีกะทันหัน ชายหนุ่มคลายกำปั้น ก่อนจะจับมือซ้ายของว่านซูเฉวียนที่ตั้งรับอยู่แล้วดึงลงมาอย่างแรง ตอนที่ร่างของว่านซูเฉวียนกำลังจะล้มลง เขาก็พลิกตัว หลบลูกเตะของเหลียงหย่งเจี๋ยอย่างหวุดหวิด

เหลียงหย่งเจี๋ยตั้งท่าหมัดนกกระเรียน ปรี่ไปทางด้านหลังของว่านซูเฉวียน

โครม!

ว่านซูเฉวียนไม่ทันตั้งตัวจึงล้มลงกระแทกกับพื้น

ภาพที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนที่เฝ้าดูการต่อสู้ล้วนตกตะลึง

“นี่คือหมัดกระเรียนของมวยสิงอี้?”

“สุดยอด!”

“เร็วมากจริง ๆ!”

“เหลียงหย่งเจี๋ยแข็งแกร่งมาก!”

ฝูงชนเอ่ยปากด้วยความชื่นชม

แต่ฟางชิวยังคงส่ายหน้าอย่างเงียบ ๆ

ถึงจะเป็นหมัดกระเรียนจริง ๆ แต่ก็ไม่ควรทำเช่นนั้น

หากไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้มากกว่านี้ กระบวนท่านี้อาจพังลงได้ง่าย ๆ

เดิมที การเคลื่อนไหวควรจะดึงร่างของศัตรูลงมา ก่อนจะม้วนตัวไปข้างหน้าแล้วทับหลังของศัตรูโดยใช้น้ำหนักของตัวเอง จากนั้นจึงค่อยออกกระบวนท่าต่อไป

หากทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ผู้โจมตีสามารถรักษาสถานการณ์ตั้งรับได้ตลอดเวลาโดยไม่ได้เปิดช่องให้ถูกโจมตี แต่เหลียงหย่งเจี๋ยเปลี่ยนกระบวนท่ากะทันหันจึงทำให้เกิดข้อบกพร่อง

ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากนัก เหลียงหย่งเจี๋ยทำเช่นนี้ก็เพื่อแสดงพลังของเขา

ในตอนที่ทุกคนกำลังตื่นตะลึง ว่านซูเฉวียนลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

เหลียงหย่งเจี๋ยหัวเราะเยาะ ก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีต่อในทันที

ว่านซูเฉวียนผู้ซึ่งร่างกายเหลือกำลังเพียงน้อยนิด ทั้งยังไม่สามารถตั้งรับได้ทันท่วงทีจึงล้มลงอีกครั้ง

ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการต่อสู้ แต่หมัดและเท้าไม่มีตา เขาจึงหลีกเลี่ยงความบาดเจ็บไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น เพราะสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้า ว่านซูเฉวียนมีแนวโน้มที่จะได้รับบาดเจ็บมากกว่า

ชายหนุ่มล้มกระแทกพื้น

แต่แล้วก็ลุกขึ้นอีกครั้ง!

ว่านซูเฉวียนยังคงไม่ยอมแพ้!

เหลียงหย่งเจี๋ยเองก็เดินหน้าโจมตีไม่หยุดเช่นกัน

ภายในสามกระบวนท่า ร่างของว่านซูเฉวียนโดนกระแทกจนปลิวอีกครั้ง ครั้งนี้ร่างกายของเขาโดนแรงกระแทกโดยตรงจนต้องร้องแค่กออกมา เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บ

แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง!

เมื่อเห็นดังนั้น อารมณ์ของเหลียงหย่งเจี๋ยก็พลุ่งพล่าน

ก็แค่ประลองกันเท่านั้น ล้มลงไปสามครั้งแล้วทำไมถึงยังยืนขึ้นมาได้อีก?

นี่ถือว่าดูถูกเขา!

ความโกรธแผดเผาในใจของเหลียงหย่งเจี๋ย เขายังคงโจมตีต่อไปโดยที่ว่านซูเฉวียนไร้ซึ่งโอกาสตอบโต้

ทำให้เจ้าตัวล้มลงเป็นครั้งที่สี่

ลุกขึ้น สู้อีกครั้ง ลุกขึ้น สู้อีกครั้ง…

เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่ครั้ง

พอเห็นว่าว่านซูเฉวียนเริ่มกระอักเลือด ผู้คนโดยรอบก็ไม่อาจทนดูต่อไปได้ แต่เหลียงหย่งเจี๋ยยังคงไม่หยุด ในท้ายที่สุด หลังจากล้มลงอย่างนับครั้งไม่ถ้วน ว่านซูเฉวียนก็โดนเหลียงหย่งเจี๋ยต่อยด้วยหมัดอีกครั้ง

เขายังคงพยายามที่จะลุกขึ้นแต่ไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก

เหลียงหย่งเจี๋ยที่ในใจเต็มไปด้วยความโกรธยังคงเดินหน้าโจมตีต่อไป

ฝูงชนต่างโกรธเคืองที่เห็นแบบนั้น

“พอแล้ว! หยุดได้แล้ว ไม่รู้เหรอว่าห้ามทำให้คนอื่นบาดเจ็บ?!”

“ใช่ ต่อยเขาไปขนาดนั้นแล้ว ยังไม่คิดจะหยุดอีกเหรอ?”

“คนเขากระอักเลือดแล้ว ทำไมนายยังต้องลงมือกับเขาอีก”

“นี่คือการแข่งขัน ไม่ใช่การสู้สุดชีวิต!”

ฝูงชนพลันลุกฮือขึ้น

เหลียงหย่งเจี๋ยดูเหมือนจะไม่ได้ยิน เขารีบก้าวเข้าไปหาว่านซูเฉวียน ขณะที่กำลังจะลงมือ พิธีกรรีบขึ้นไปบนสังเวียนพร้อมกล่าว “การแข่งขันจบลงแล้ว เหลียงหย่งเจี๋ยจากมณฑลหลินเป็นผู้ชนะ!”

ได้ยินดังนั้น เหลียงหย่งเจี๋ยหยุดมือของเขาอย่างไม่เต็มใจ

ด้านล่างสังเวียน ฝูงชนต่างเดือดดาล แต่เหลียงหย่งเจี๋ยกลับทำแค่กวาดสายตามองด้วยสายตาหยิ่งยโส

แต่ไม่มีใครพูดอะไรไปมากกว่านี้ ผู้ประลองย่อมไม่เคยอวดคำ ทุกอย่างล้วนอยู่ที่หมัดและเท้า

ทุกคนต่างรู้ว่าเหลียงหย่งเจี๋ยผู้นี้แข็งแกร่งมากจนไม่มีใครในที่นี้สามารถเอาชนะเขาได้

เว้นแต่จะมีปรมาจารย์อยู่!

แต่ปรมาจารย์จะมาในที่ธรรมดา ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?

ไม่นานนัก ว่านซูเฉวียนก็ถูกพยุงตัวลงไปจากความช่วยเหลือของบริกรสองคน

ส่วนบนสังเวียน ริมฝีปากของเหลียงหย่งเจี๋ยถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม เขากวาดสายตามองฝูงชนรอบตัวด้วยความอวดดี

“คนต่อไป ใครจะขึ้นมา?”

หลังจากคำพูดที่เย่อหยิ่งถูกเอ่ยออกมา ฝูงชนที่อยู่ใต้สังเวียนก็ทำเพียงมองกันไปมา แต่ไร้ซึ่งผู้กล้าที่จะขึ้นไปบนสังเวียน

แม้ว่าทุกคนล้วนต้องการที่จะสอนบทเรียนให้เหลียงหย่งเจี๋ย แต่พวกเขาไม่มีความแข็งแกร่งขนาดนั้น

“หึ!”

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบ เหลียงหย่งเจี๋ยเอ่ยออกมาเสียงดังด้วยความโอหัง “วงการศิลปะการต่อสู้แห่งเจียงจิงไม่มีคนที่มีความสามารถแล้วหรือไง?”

ฝูงชนโกรธจัดจนไม่อาจควบคุมความโกรธในใจได้อีกต่อไป

น่าสมเพช!

พูดแบบนี้ดูถูกผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้แห่งเจียงจิงทุกคนเลยนี่หว่า

ในฐานะผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ ความอวดดีเป็นสิ่งที่ควรมี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เจอคนที่โอหังอวดดีมากขนาดนี้

อีกทั้งยังดูถูกคนทั้งมณฑล!

“ให้ตายเถอะ ถ้าฉันมีกำลังขนาดนั้น ฉันจะขึ้นไปบนสังเวียนแล้วฟาดมันให้แหลกคามือเอง”

“นั่นน่ะสิ ทำไมปรมาจารย์ถึงไม่ขึ้นไปบ้างล่ะ?”

“คนคนนี้ไม่เพียงพูดจายียวน แต่ยังดูถูกวงการของเรา เราจะนั่งดูอยู่เฉย ๆ อย่างนั้นเหรอ?”

ฝูงชนต่างโกรธเคืองคนบนสังเวียน

“ไม่ใช่ว่าปรมาจารย์ไม่อยากขึ้นไป แต่พวกเขาทำไม่ได้”

ชายชราผมสีขาว เคราสีขาว ทั้งยังมีจิตวิญญาณเปล่งประกายส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยคำ “ถ้าปรมาจารย์ขึ้นไปสอนบทเรียนให้เขาบนสังเวียนจริง ๆ แล้วข่าวแพร่ออกไปถึงมณฑลหลิน นั่นคงไม่ใช่เรื่องตลกนัก ผู้คนในมณฑลหลินคงหาว่าเรารังแกผู้ที่อ่อนแอ”

“แล้วเราควรปล่อยให้เขาหยิ่งผยองอย่างนั้นเหรอ?”

คนผู้หนึ่งเอ่ยถาม

ชายชราส่ายหน้าพลางถอนหายใจ ทุกคนต่างหมดหนทางเช่นกัน พวกเขารู้สึกเหมือนก้างปลาติดอยู่ในลำคอ อึดอัดไปหมด

บนสังเวียน

เหลียงหย่งเจี๋ยหัวเราะด้วยความเย้ยหยัน ทั้งยังดูถูกฝูงชนโดยรอบต่อไป

หลังจากกวาดสายตามองไปรอบ ๆ สายตาของเขาพลันจับจ้องไปยังร่างของฟางชิว เขาจ้องมองอยู่เป็นเวลานาน โดยเฉพาะสายตาของฟางชิว

ฟางชิวมองมาโดยไร้ซึ่งความโกรธเคือง ทว่ามีเพียงความดูถูกเหยียดหยาม

“น้องชาย ดูเหมือนว่านายจะดูถูกฉันมาก ถ้านายไม่ยอมรับ ทำไมไม่ขึ้นมาสู้กันล่ะ”

เหลียงหย่งเจี๋ยชี้ไปยังฟางชิวพร้อมเอ่ยยั่วยุ

ทุกสายตาล้วนจึงจับจ้องไปยังฟางชิว แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกงุนงง

ฉันดูถูกนายตอนไหนกัน?

คำพูดของเหลียงหย่งเจี๋ยเป็นเหมือนแสงไฟสวยงามที่ทำให้ฟางชิวเป็นศูนย์กลางความสนใจในทันที

ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ตกใจเช่นกัน เขาถอยห่างออกจากฟางชิวแล้วมองมาอย่างประหลาดใจ

“หืม?”

“ผู้ชายคนนี้ดูคุ้น ๆ ฉันว่าฉันเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน”

ในฝูงชนเต็มไปด้วยเสียงแห่งความสงสัยงุนงง

“ดูลึกลับจัง”

“นั่นสิ แต่งตัวแบบนี้เหมือนกลัวติดโรคติดต่อเลย”

“ทำไมต้องคลุมหัวด้วยล่ะ”

“ใส่ชุดกีฬาก็ดูดีนะ ดูแล้วน่าจะยังเด็กอยู่ใช่ไหม?”

ฝูงชนเริ่มถกเถียงกัน

“ใส่ชุดกีฬา ยังเด็กอยู่?”

ในตอนนั้นเอง

ชายหนุ่มที่ตะโกนก่อนหน้านี้พลันลุกขึ้นยืนราวกับว่าเขาคิดอะไรบางอย่างได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ ทันใดนั้นเขาก็ชี้ไปยังฟางชิวพร้อมเอ่ยเสียงดัง “ฉันจำได้แล้ว เขาเป็นคือคนขายขุมทรัพย์สมุนไพรคนนั้น!”

โอ้ว!

หลังจากเอ่ยออกมา ทุกคนก็ตกตะลึง

คนขายขุมทรัพย์สมุนไพรในงานประมูลครั้งล่าสุด?

ชายผู้ที่ผลักรถกระเด็นน่ะนะ?

ทุกคนลุกขึ้นพร้อมจ้องมองไปยังฟางชิวในทันที นัยน์ตาของทุกคนต่างเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

ชายวัยกลางคนที่นั่งข้างฟางชิวก็ตกใจเช่นกัน เขามองฟางชิวด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

ห่างออกไปไม่ไกลนัก

ทายาทเศรษฐีสองคนที่นั่งโต๊ะเดียวกับเหอเกาหมิงต่างตกตะลึงเช่นกัน

“เป็นเขา! ฉันจำได้ว่าเขาใส่ชุดเดียวกับตอนขายขุมทรัพย์สมุนไพรเลย!”

ชายหนุ่มคนต้นเรื่องตะโกนอีกครั้ง

ดวงตาของทุกคนเปล่งประกายขึ้นโดยพลัน

ส่วนฟางชิวพูดไม่ออก

ในเมื่อเขาเป็นที่รู้จัก เขาก็ไม่มีอะไรจะปฏิเสธ ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาอยู่แล้ว

ฟางชิวยืนขึ้นอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะคารวะทุกคนด้วยการกำปั้น

เขาทำแบบนี้ ยิ่งยืนยันว่าที่ชายคนนั้นพูดถูกต้อง

เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว ในดวงตาของทุกคนพลันมีแสงวาบ

เป็นเขาจริง ๆ!

“น้องชาย นายยังมีขุมทรัพย์สมุนไพรเหลืออยู่ไหม? ขายให้ฉันหน่อยสิ”

“ฉันด้วย เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหา มีของเท่าไหร่เอาเท่านั้น”

“น่าจะยังมีอยู่ใช่ไหม เอาออกมาประมูลเถอะ ที่นี่จะได้ครึกครื้นกว่านี้!”

หลายคนออกปากถาม

แต่ยังไม่ทันที่คำถามของพวกเขาจะหมดไป เสียงหัวเราะกลับดังมาจากรอบ ๆ ตัวพวกเขา

“คิดว่าขุดขุมทรัพย์สมุนไพรมันง่ายนักรึไง?”

“นั่นสิ ได้มาต้นนึงก็ถือว่าเก่งแล้ว”

“ขายขุมทรัพย์สมุนไพรแค่ครั้งเดียวเอง จะเชื่อถือได้เหรอ?”

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของฝูงชน คนที่ต้องการซื้อขุมทรัพย์สมุนไพรก็พลันยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนก่อนจะรีบนั่งลง

ฟางชิวยักไหล่ให้พวกเขา ทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นอีกครั้ง

เหมือนเขาจะเห็นรอยริ้วสีแดงพาดผ่านใบหน้าของคนกลุ่มนั้น

ในขณะเดียวกัน หลังจากที่เหลียงหย่งเจี๋ยผู้ยั่วยุฟางชิวบนสังเวียนได้ยินว่าฟางชิวขายขุมทรัพย์สมุนไพร ในใจของเขาเกิดความกลัวขึ้นโดยพลัน เขาเริ่มมองฟางชิวจากหัวจรดเท้าด้วยความระมัดระวัง สายตาดูถูกเริ่มแปรเปลี่ยน

อีกด้าน

เสียงหัวเราะจากฝูงชนเริ่มเงียบลง หนึ่งในทายาทเศรษฐีที่นั่งโต๊ะเดียวกับเหอเกาหมิงลุกขึ้นคารวะฟางชิว ก่อนที่จะชี้ไปยังเหลียงหย่งเจี๋ยที่อยู่บนสังเวียนพร้อมเอ่ยคำ “ผู้อาวุโส ถ้าเอาชนะเขาได้ จะขอคารวะคุณด้วยเงินสองแสนหยวน!”

ฝูงชนตกตะลึงในตอนแรก แต่เพียงครู่เดียวก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงโห่ร้อง

สายตาของทุกคนยังคงจับจ้องไปที่ร่างของฟางชิว แต่สายตาไม่เหมือนเมื่อก่อน หากเป็นก่อนหน้านี้พวกเขาคงอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของฟางชิว แต่ตอนนี้ทุกคนล้วนสงสัยว่าฟางชิวกล้าที่จะตอบรับการต่อสู้หรือไม่

เสียงที่เย่อหยิ่งจองหองของเหลียงหย่งเจี๋ยยังคงดังก้องอยู่ในหู

ปรมาจารย์อาวุโสไม่ได้รับอนุญาตให้ลงสนาม จะจัดการเหลียงหย่งเจี๋ยที่ดูถูกแวดวงศิลปะการต่อสู้เจียงจิงก็ไม่ได้ ทุกคนหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย

ชื่อเสียงของแวดวงศิลปะการต่อสู้แห่งเจียงจิงขึ้นอยู่กับชายสวมหน้ากากคนนี้แล้ว

พอบอกว่าการแข่งขันมีการเดิมพันด้วยเงินเพิ่มอีกสองแสนหยวน หากฟางชิวปฏิเสธก็เท่ากับยอมรับความอ่อนแอ

นี่ไม่เพียงแต่จะทำให้ฟางชิวเสียหน้า แต่ยังทำให้ชื่อเสียงของผู้ศิลปะการต่อสู้แห่งเจียงจิงเสียหน้าไปด้วย

ตอนนี้ฟางชิวย่อมถูกต้อนจนจนมุม ไม่แข่งขันไม่ได้ หากเขาไม่ขึ้นไป แล้วทำให้ผู้ศิลปะการต่อสู้แห่งเจียงจิงเสียหน้าอย่างแท้จริง เขาจะยังโลดแล่นในแวดวงนี้อีกได้อย่างไร?

หลังจากพิจารณาสถานการณ์อย่างชัดเจน ฟางชิวก็มองไปยังทายาทเศรษฐีด้วยใบหน้าเฉยชาและไร้ซึ่งคำเอ่ยใด จากนั้นก็คารวะให้กับฝูงชนหนึ่งครั้ง

ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาก้าวตรงไปยังสังเวียนทันที

คุรุการแพทย์

คุรุการแพทย์

Status: Ongoing
เขาตั้งใจจะมาศึกษาวิชาแพทย์แผนจีนเพื่อรักษาผู้มีพระคุณแท้ ๆ แต่ไหงชีวิตถึงได้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด แบบนี้ความคิดที่จะเรียนแบบเงียบ ๆ ไม่แสดงฝีมือจะเป็นจริงไหมเนี่ย?ฟางชิว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหมาด ๆ นักศึกษาน้องใหม่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเจียงจิง แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเจ้าห้าแห่งห้องพักห้าศูนย์หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วฟางชิวนั้นซุกซ่อนอีกตัวตนหนึ่งเอาไว้ภายใต้หน้ากาก… เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือ! แต่เพื่อชีวิตปกติสุขในมหาวิทยาลัย และเป้าหมายสำคัญของชีวิตอย่างการรักษาผู้มีพระคุณ! ฟางชิวคนนี้จึงพยายามไม่เป็นที่สนใจ แต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ต้องใช้พลังช่วยเหลือผู้คนทุกทีไปซิน่า! แล้วไหนจะเทพธิดามหาลัยที่เข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตอีก! แบบนี้ชีวิตปกติสุขที่เขาคาดหวังเอาไว้จะพังทลายลงหรือไม่ ฟางชิวจะจัดการเรื่องวุ่นวายและใช้พลังช่วยชีวิตผู้คนในคราบนักศึกษาไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร มาร่วมปลดล็อคสกิลพระเอกเทพไปด้วยกันกับคุรุการแพทย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท