บทที่ 142 ดูถูก!
บทที่ 142 ดูถูก!
“น่าเสียดาย ว่านซูเฉวียนต่อสู้มาสามครั้งติดกันเลยเสียพลังมากเกินไป ถ้าเขาได้ใช้กำลังเต็มที่ คงยากที่จะบอกว่าผลของการแข่งขันนี้จะออกมาเป็นยังไง”
“อีกฝ่ายให้เวลาเขาพักแล้ว แต่เขากลับไม่เห็นค่าซะงั้น”
“นั่นสิ!”
…
หลังจากได้ยินการวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชน ฟางชิวส่ายหน้าอย่างเงียบ ๆ
แม้ว่าจะมีปรมาจารย์หลายคนอยู่ที่นี่ แต่เหมือนว่าพวกเขาจะดูความแข็งแกร่งของคนบนสังเวียนไม่ออก
ในความเห็นของฟางชิว เหลียงหย่งเจี๋ยไม่ใช่คนใจดีเช่นนั้น
เหตุผลที่เขาพูดอย่างโอหังทันทีที่ขึ้นบนสังเวียนก็เพื่อสร้างความรำคาญให้กับว่านซูเฉวียนเท่านั้น ฟังดูแล้วเหมือนเขาเป็นคนใจกว้างจริง ๆ นั่นแหละ แต่แค่ห้านาทีจะทำอะไรได้?
เป็นไปได้หรือที่จะฟื้นตัวได้ในเวลาห้านาทีทั้งที่เสียพลังงานไปมากขนาดนั้น?
ผู้ฝึกยุทธ์มีกำลังภายในก็จริงแต่ก็ยากที่จะฟื้นฟูในเวลาอันสั้น
เหลียงหย่งเจี๋ยยั่วยุว่านซูเฉวียนเพื่อยกระดับตนเองให้ดูดี ในขณะเดียวกันก็ใช้ฝีมือเพื่อสร้างชื่อให้กับตนเองในแวดวงศิลปะการต่อสู้เจียงจิง
เล่ห์เหลี่ยมเเพรวพราวนี้ คนธรรมดาอาจเข้าถึงได้ยาก
แม้ว่าจะมองออกแล้ว แต่ฟางชิวก็ไม่ได้เอ่ยออกไป
ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ มีแต่จะดึงดูดความเป็นศัตรูมาสู่ตัวเอง
บนสังเวียน
ทั้งสองยังคงต่อสู้กันอย่างดุเดือด เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังเคลิบเคลิ้ม เหลียงหย่งเจี๋ยยิ้มออกมาโดยพลัน
มือขวาของเขากำหมัด ก่อนจะต่อยไปที่ศีรษะของว่านซูเฉวียนอย่างรุนแรง
ว่านซูเฉวียนรีบตั้งรับทันที แต่ในตอนนั้นเอง เหลียงหย่งเจี๋ยก็เปลี่ยนท่าโจมตีกะทันหัน ชายหนุ่มคลายกำปั้น ก่อนจะจับมือซ้ายของว่านซูเฉวียนที่ตั้งรับอยู่แล้วดึงลงมาอย่างแรง ตอนที่ร่างของว่านซูเฉวียนกำลังจะล้มลง เขาก็พลิกตัว หลบลูกเตะของเหลียงหย่งเจี๋ยอย่างหวุดหวิด
เหลียงหย่งเจี๋ยตั้งท่าหมัดนกกระเรียน ปรี่ไปทางด้านหลังของว่านซูเฉวียน
โครม!
ว่านซูเฉวียนไม่ทันตั้งตัวจึงล้มลงกระแทกกับพื้น
ภาพที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนที่เฝ้าดูการต่อสู้ล้วนตกตะลึง
“นี่คือหมัดกระเรียนของมวยสิงอี้?”
“สุดยอด!”
“เร็วมากจริง ๆ!”
“เหลียงหย่งเจี๋ยแข็งแกร่งมาก!”
ฝูงชนเอ่ยปากด้วยความชื่นชม
แต่ฟางชิวยังคงส่ายหน้าอย่างเงียบ ๆ
ถึงจะเป็นหมัดกระเรียนจริง ๆ แต่ก็ไม่ควรทำเช่นนั้น
หากไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้มากกว่านี้ กระบวนท่านี้อาจพังลงได้ง่าย ๆ
เดิมที การเคลื่อนไหวควรจะดึงร่างของศัตรูลงมา ก่อนจะม้วนตัวไปข้างหน้าแล้วทับหลังของศัตรูโดยใช้น้ำหนักของตัวเอง จากนั้นจึงค่อยออกกระบวนท่าต่อไป
หากทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ผู้โจมตีสามารถรักษาสถานการณ์ตั้งรับได้ตลอดเวลาโดยไม่ได้เปิดช่องให้ถูกโจมตี แต่เหลียงหย่งเจี๋ยเปลี่ยนกระบวนท่ากะทันหันจึงทำให้เกิดข้อบกพร่อง
ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากนัก เหลียงหย่งเจี๋ยทำเช่นนี้ก็เพื่อแสดงพลังของเขา
ในตอนที่ทุกคนกำลังตื่นตะลึง ว่านซูเฉวียนลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
เหลียงหย่งเจี๋ยหัวเราะเยาะ ก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีต่อในทันที
ว่านซูเฉวียนผู้ซึ่งร่างกายเหลือกำลังเพียงน้อยนิด ทั้งยังไม่สามารถตั้งรับได้ทันท่วงทีจึงล้มลงอีกครั้ง
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการต่อสู้ แต่หมัดและเท้าไม่มีตา เขาจึงหลีกเลี่ยงความบาดเจ็บไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น เพราะสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้า ว่านซูเฉวียนมีแนวโน้มที่จะได้รับบาดเจ็บมากกว่า
ชายหนุ่มล้มกระแทกพื้น
แต่แล้วก็ลุกขึ้นอีกครั้ง!
ว่านซูเฉวียนยังคงไม่ยอมแพ้!
เหลียงหย่งเจี๋ยเองก็เดินหน้าโจมตีไม่หยุดเช่นกัน
ภายในสามกระบวนท่า ร่างของว่านซูเฉวียนโดนกระแทกจนปลิวอีกครั้ง ครั้งนี้ร่างกายของเขาโดนแรงกระแทกโดยตรงจนต้องร้องแค่กออกมา เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บ
แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง!
เมื่อเห็นดังนั้น อารมณ์ของเหลียงหย่งเจี๋ยก็พลุ่งพล่าน
ก็แค่ประลองกันเท่านั้น ล้มลงไปสามครั้งแล้วทำไมถึงยังยืนขึ้นมาได้อีก?
นี่ถือว่าดูถูกเขา!
ความโกรธแผดเผาในใจของเหลียงหย่งเจี๋ย เขายังคงโจมตีต่อไปโดยที่ว่านซูเฉวียนไร้ซึ่งโอกาสตอบโต้
ทำให้เจ้าตัวล้มลงเป็นครั้งที่สี่
ลุกขึ้น สู้อีกครั้ง ลุกขึ้น สู้อีกครั้ง…
เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่ครั้ง
พอเห็นว่าว่านซูเฉวียนเริ่มกระอักเลือด ผู้คนโดยรอบก็ไม่อาจทนดูต่อไปได้ แต่เหลียงหย่งเจี๋ยยังคงไม่หยุด ในท้ายที่สุด หลังจากล้มลงอย่างนับครั้งไม่ถ้วน ว่านซูเฉวียนก็โดนเหลียงหย่งเจี๋ยต่อยด้วยหมัดอีกครั้ง
เขายังคงพยายามที่จะลุกขึ้นแต่ไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก
เหลียงหย่งเจี๋ยที่ในใจเต็มไปด้วยความโกรธยังคงเดินหน้าโจมตีต่อไป
ฝูงชนต่างโกรธเคืองที่เห็นแบบนั้น
“พอแล้ว! หยุดได้แล้ว ไม่รู้เหรอว่าห้ามทำให้คนอื่นบาดเจ็บ?!”
“ใช่ ต่อยเขาไปขนาดนั้นแล้ว ยังไม่คิดจะหยุดอีกเหรอ?”
“คนเขากระอักเลือดแล้ว ทำไมนายยังต้องลงมือกับเขาอีก”
“นี่คือการแข่งขัน ไม่ใช่การสู้สุดชีวิต!”
ฝูงชนพลันลุกฮือขึ้น
เหลียงหย่งเจี๋ยดูเหมือนจะไม่ได้ยิน เขารีบก้าวเข้าไปหาว่านซูเฉวียน ขณะที่กำลังจะลงมือ พิธีกรรีบขึ้นไปบนสังเวียนพร้อมกล่าว “การแข่งขันจบลงแล้ว เหลียงหย่งเจี๋ยจากมณฑลหลินเป็นผู้ชนะ!”
ได้ยินดังนั้น เหลียงหย่งเจี๋ยหยุดมือของเขาอย่างไม่เต็มใจ
ด้านล่างสังเวียน ฝูงชนต่างเดือดดาล แต่เหลียงหย่งเจี๋ยกลับทำแค่กวาดสายตามองด้วยสายตาหยิ่งยโส
แต่ไม่มีใครพูดอะไรไปมากกว่านี้ ผู้ประลองย่อมไม่เคยอวดคำ ทุกอย่างล้วนอยู่ที่หมัดและเท้า
ทุกคนต่างรู้ว่าเหลียงหย่งเจี๋ยผู้นี้แข็งแกร่งมากจนไม่มีใครในที่นี้สามารถเอาชนะเขาได้
เว้นแต่จะมีปรมาจารย์อยู่!
แต่ปรมาจารย์จะมาในที่ธรรมดา ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?
ไม่นานนัก ว่านซูเฉวียนก็ถูกพยุงตัวลงไปจากความช่วยเหลือของบริกรสองคน
ส่วนบนสังเวียน ริมฝีปากของเหลียงหย่งเจี๋ยถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม เขากวาดสายตามองฝูงชนรอบตัวด้วยความอวดดี
“คนต่อไป ใครจะขึ้นมา?”
หลังจากคำพูดที่เย่อหยิ่งถูกเอ่ยออกมา ฝูงชนที่อยู่ใต้สังเวียนก็ทำเพียงมองกันไปมา แต่ไร้ซึ่งผู้กล้าที่จะขึ้นไปบนสังเวียน
แม้ว่าทุกคนล้วนต้องการที่จะสอนบทเรียนให้เหลียงหย่งเจี๋ย แต่พวกเขาไม่มีความแข็งแกร่งขนาดนั้น
“หึ!”
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบ เหลียงหย่งเจี๋ยเอ่ยออกมาเสียงดังด้วยความโอหัง “วงการศิลปะการต่อสู้แห่งเจียงจิงไม่มีคนที่มีความสามารถแล้วหรือไง?”
ฝูงชนโกรธจัดจนไม่อาจควบคุมความโกรธในใจได้อีกต่อไป
น่าสมเพช!
พูดแบบนี้ดูถูกผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้แห่งเจียงจิงทุกคนเลยนี่หว่า
ในฐานะผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ ความอวดดีเป็นสิ่งที่ควรมี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เจอคนที่โอหังอวดดีมากขนาดนี้
อีกทั้งยังดูถูกคนทั้งมณฑล!
“ให้ตายเถอะ ถ้าฉันมีกำลังขนาดนั้น ฉันจะขึ้นไปบนสังเวียนแล้วฟาดมันให้แหลกคามือเอง”
“นั่นน่ะสิ ทำไมปรมาจารย์ถึงไม่ขึ้นไปบ้างล่ะ?”
“คนคนนี้ไม่เพียงพูดจายียวน แต่ยังดูถูกวงการของเรา เราจะนั่งดูอยู่เฉย ๆ อย่างนั้นเหรอ?”
ฝูงชนต่างโกรธเคืองคนบนสังเวียน
“ไม่ใช่ว่าปรมาจารย์ไม่อยากขึ้นไป แต่พวกเขาทำไม่ได้”
ชายชราผมสีขาว เคราสีขาว ทั้งยังมีจิตวิญญาณเปล่งประกายส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยคำ “ถ้าปรมาจารย์ขึ้นไปสอนบทเรียนให้เขาบนสังเวียนจริง ๆ แล้วข่าวแพร่ออกไปถึงมณฑลหลิน นั่นคงไม่ใช่เรื่องตลกนัก ผู้คนในมณฑลหลินคงหาว่าเรารังแกผู้ที่อ่อนแอ”
“แล้วเราควรปล่อยให้เขาหยิ่งผยองอย่างนั้นเหรอ?”
คนผู้หนึ่งเอ่ยถาม
ชายชราส่ายหน้าพลางถอนหายใจ ทุกคนต่างหมดหนทางเช่นกัน พวกเขารู้สึกเหมือนก้างปลาติดอยู่ในลำคอ อึดอัดไปหมด
บนสังเวียน
เหลียงหย่งเจี๋ยหัวเราะด้วยความเย้ยหยัน ทั้งยังดูถูกฝูงชนโดยรอบต่อไป
หลังจากกวาดสายตามองไปรอบ ๆ สายตาของเขาพลันจับจ้องไปยังร่างของฟางชิว เขาจ้องมองอยู่เป็นเวลานาน โดยเฉพาะสายตาของฟางชิว
ฟางชิวมองมาโดยไร้ซึ่งความโกรธเคือง ทว่ามีเพียงความดูถูกเหยียดหยาม
“น้องชาย ดูเหมือนว่านายจะดูถูกฉันมาก ถ้านายไม่ยอมรับ ทำไมไม่ขึ้นมาสู้กันล่ะ”
เหลียงหย่งเจี๋ยชี้ไปยังฟางชิวพร้อมเอ่ยยั่วยุ
ทุกสายตาล้วนจึงจับจ้องไปยังฟางชิว แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกงุนงง
ฉันดูถูกนายตอนไหนกัน?
คำพูดของเหลียงหย่งเจี๋ยเป็นเหมือนแสงไฟสวยงามที่ทำให้ฟางชิวเป็นศูนย์กลางความสนใจในทันที
ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ตกใจเช่นกัน เขาถอยห่างออกจากฟางชิวแล้วมองมาอย่างประหลาดใจ
“หืม?”
“ผู้ชายคนนี้ดูคุ้น ๆ ฉันว่าฉันเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน”
ในฝูงชนเต็มไปด้วยเสียงแห่งความสงสัยงุนงง
“ดูลึกลับจัง”
“นั่นสิ แต่งตัวแบบนี้เหมือนกลัวติดโรคติดต่อเลย”
“ทำไมต้องคลุมหัวด้วยล่ะ”
“ใส่ชุดกีฬาก็ดูดีนะ ดูแล้วน่าจะยังเด็กอยู่ใช่ไหม?”
ฝูงชนเริ่มถกเถียงกัน
“ใส่ชุดกีฬา ยังเด็กอยู่?”
ในตอนนั้นเอง
ชายหนุ่มที่ตะโกนก่อนหน้านี้พลันลุกขึ้นยืนราวกับว่าเขาคิดอะไรบางอย่างได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ ทันใดนั้นเขาก็ชี้ไปยังฟางชิวพร้อมเอ่ยเสียงดัง “ฉันจำได้แล้ว เขาเป็นคือคนขายขุมทรัพย์สมุนไพรคนนั้น!”
โอ้ว!
หลังจากเอ่ยออกมา ทุกคนก็ตกตะลึง
คนขายขุมทรัพย์สมุนไพรในงานประมูลครั้งล่าสุด?
ชายผู้ที่ผลักรถกระเด็นน่ะนะ?
ทุกคนลุกขึ้นพร้อมจ้องมองไปยังฟางชิวในทันที นัยน์ตาของทุกคนต่างเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ชายวัยกลางคนที่นั่งข้างฟางชิวก็ตกใจเช่นกัน เขามองฟางชิวด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ห่างออกไปไม่ไกลนัก
ทายาทเศรษฐีสองคนที่นั่งโต๊ะเดียวกับเหอเกาหมิงต่างตกตะลึงเช่นกัน
“เป็นเขา! ฉันจำได้ว่าเขาใส่ชุดเดียวกับตอนขายขุมทรัพย์สมุนไพรเลย!”
ชายหนุ่มคนต้นเรื่องตะโกนอีกครั้ง
ดวงตาของทุกคนเปล่งประกายขึ้นโดยพลัน
ส่วนฟางชิวพูดไม่ออก
ในเมื่อเขาเป็นที่รู้จัก เขาก็ไม่มีอะไรจะปฏิเสธ ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาอยู่แล้ว
ฟางชิวยืนขึ้นอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะคารวะทุกคนด้วยการกำปั้น
เขาทำแบบนี้ ยิ่งยืนยันว่าที่ชายคนนั้นพูดถูกต้อง
เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว ในดวงตาของทุกคนพลันมีแสงวาบ
เป็นเขาจริง ๆ!
“น้องชาย นายยังมีขุมทรัพย์สมุนไพรเหลืออยู่ไหม? ขายให้ฉันหน่อยสิ”
“ฉันด้วย เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหา มีของเท่าไหร่เอาเท่านั้น”
“น่าจะยังมีอยู่ใช่ไหม เอาออกมาประมูลเถอะ ที่นี่จะได้ครึกครื้นกว่านี้!”
หลายคนออกปากถาม
แต่ยังไม่ทันที่คำถามของพวกเขาจะหมดไป เสียงหัวเราะกลับดังมาจากรอบ ๆ ตัวพวกเขา
“คิดว่าขุดขุมทรัพย์สมุนไพรมันง่ายนักรึไง?”
“นั่นสิ ได้มาต้นนึงก็ถือว่าเก่งแล้ว”
“ขายขุมทรัพย์สมุนไพรแค่ครั้งเดียวเอง จะเชื่อถือได้เหรอ?”
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของฝูงชน คนที่ต้องการซื้อขุมทรัพย์สมุนไพรก็พลันยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนก่อนจะรีบนั่งลง
ฟางชิวยักไหล่ให้พวกเขา ทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นอีกครั้ง
เหมือนเขาจะเห็นรอยริ้วสีแดงพาดผ่านใบหน้าของคนกลุ่มนั้น
ในขณะเดียวกัน หลังจากที่เหลียงหย่งเจี๋ยผู้ยั่วยุฟางชิวบนสังเวียนได้ยินว่าฟางชิวขายขุมทรัพย์สมุนไพร ในใจของเขาเกิดความกลัวขึ้นโดยพลัน เขาเริ่มมองฟางชิวจากหัวจรดเท้าด้วยความระมัดระวัง สายตาดูถูกเริ่มแปรเปลี่ยน
อีกด้าน
เสียงหัวเราะจากฝูงชนเริ่มเงียบลง หนึ่งในทายาทเศรษฐีที่นั่งโต๊ะเดียวกับเหอเกาหมิงลุกขึ้นคารวะฟางชิว ก่อนที่จะชี้ไปยังเหลียงหย่งเจี๋ยที่อยู่บนสังเวียนพร้อมเอ่ยคำ “ผู้อาวุโส ถ้าเอาชนะเขาได้ จะขอคารวะคุณด้วยเงินสองแสนหยวน!”
ฝูงชนตกตะลึงในตอนแรก แต่เพียงครู่เดียวก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงโห่ร้อง
สายตาของทุกคนยังคงจับจ้องไปที่ร่างของฟางชิว แต่สายตาไม่เหมือนเมื่อก่อน หากเป็นก่อนหน้านี้พวกเขาคงอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของฟางชิว แต่ตอนนี้ทุกคนล้วนสงสัยว่าฟางชิวกล้าที่จะตอบรับการต่อสู้หรือไม่
เสียงที่เย่อหยิ่งจองหองของเหลียงหย่งเจี๋ยยังคงดังก้องอยู่ในหู
ปรมาจารย์อาวุโสไม่ได้รับอนุญาตให้ลงสนาม จะจัดการเหลียงหย่งเจี๋ยที่ดูถูกแวดวงศิลปะการต่อสู้เจียงจิงก็ไม่ได้ ทุกคนหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
ชื่อเสียงของแวดวงศิลปะการต่อสู้แห่งเจียงจิงขึ้นอยู่กับชายสวมหน้ากากคนนี้แล้ว
พอบอกว่าการแข่งขันมีการเดิมพันด้วยเงินเพิ่มอีกสองแสนหยวน หากฟางชิวปฏิเสธก็เท่ากับยอมรับความอ่อนแอ
นี่ไม่เพียงแต่จะทำให้ฟางชิวเสียหน้า แต่ยังทำให้ชื่อเสียงของผู้ศิลปะการต่อสู้แห่งเจียงจิงเสียหน้าไปด้วย
ตอนนี้ฟางชิวย่อมถูกต้อนจนจนมุม ไม่แข่งขันไม่ได้ หากเขาไม่ขึ้นไป แล้วทำให้ผู้ศิลปะการต่อสู้แห่งเจียงจิงเสียหน้าอย่างแท้จริง เขาจะยังโลดแล่นในแวดวงนี้อีกได้อย่างไร?
หลังจากพิจารณาสถานการณ์อย่างชัดเจน ฟางชิวก็มองไปยังทายาทเศรษฐีด้วยใบหน้าเฉยชาและไร้ซึ่งคำเอ่ยใด จากนั้นก็คารวะให้กับฝูงชนหนึ่งครั้ง
ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาก้าวตรงไปยังสังเวียนทันที