บทที่ 170 ฟางชิวอาจไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ได้!
บทที่ 170 ฟางชิวอาจไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ได้!
ผู้ที่ฟางชิวสามารถไว้วางใจได้คืออาจารย์ของเขาเท่านั้น
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ทุกคนยกเว้นเฉินอินเซิงก็ต่างก็ตกตะลึง
สวีเมี่ยวหลิน?!
ฟางชิวเป็นลูกศิษย์ของสวีเมี่ยวหลินอย่างนั้นหรือ?
สวีเมี่ยวหลิน แพทย์แผนจีนผู้ยิ่งใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่หลายปีน่ะหรือ?
หลายคนต้องการเป็นลูกศิษย์ของสวีเมี่ยวหลิน แต่ก็ล้มเหลวกันทุกคน ทว่าฟางชิวกลับทำสำเร็จ
เจียงเหมี่ยวอวี๋อึ้งไปทันที เพราะเธอไม่คาดคิดว่าฟางชิวจะเป็นลูกศิษย์ของคนที่เธอใฝ่ฝันถึง
ฉีไคเหวินเนื้อตัวสั่นเทา เขาคิดไม่ถึงว่าฟางชิวจะเป็นลูกศิษย์ของศิษย์น้องเขา เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ในที่สุดฉีไคเหวินก็เข้าใจสิ่งที่ศิษย์น้องของเขาพูดว่า ฟางชิวจะนำโชคลาภมาให้เขา
แต่นี่ไม่ใช่เวลาตกตะลึง ฉีไคเหวินรีบสั่งให้จูเปิ่นเจิ้งทำตามที่ฟางชิวบอก เพราะคนที่สามารถช่วยฟางชิวได้จริง ๆ ในตอนนี้ก็คือ สวีเมี่ยวหลิน
จูเปิ่นเจิ้งไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย เขากดโทรออกทันทีที่พบหมายเลขโทรศัพท์ของสวีเมี่ยวหลิน แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดที่ฟางชิวอาหารเป็นพิษให้สวีเมี่ยวหลินฟัง
“[รอฉันก่อน!]”
สวีเมี่ยวหลินบอกว่าจะรีบเข้าไปที่มหาวิทยาลัยทันที
จูเปิ่นเจิ้งยังคงรู้สึกกังวล
ส่วนเหล่าตัวแทนคนอื่น ๆ ต่างก็ต้องการถามฟางชิวว่า เจอสวีเมี่ยวหลินได้อย่างไร และขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ได้อย่างไร แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เจ็บปวดของฟางชิวแล้ว พวกเขาก็ปัดความปรารถนาของพวกเขาทิ้งไปและพยายามไม่ไปรบกวนฟางชิว
ประมาณสิบนาทีต่อมา
สวีเมี่ยวหลินรีบมาที่มหาวิทยาลัยอย่างลนลาน แล้วมุ่งหน้ามาที่โรงอาหารชั่วคราวทันที
พอสวีเมี่ยวหลินเข้ามา ทุกคนก็งุนงง
ทำไมบรรณารักษ์ถึงรีบร้อนมาที่นี่?
สวีเมี่ยวหลินรีบตรงไปที่ด้านข้างของฟางชิวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นก็จับมือฟางชิวเพื่อเริ่มจับชีพจร
“อาจารย์…” ฟางชิวกล่าว
“ไม่ต้องพูด!” สวีเมี่ยวหลินกล่าวพลางขมวดคิ้ว
เมื่อได้ยินการสนทนาของพวกเขาสองคน เหล่าตัวแทนคนอื่น ๆ ก็ประหลาดใจทันที
เขาคือสวีเมี่ยวหลินหรือ?
บรรณารักษ์คนนี้คือสวีเมี่ยวหลินคนนั้นน่ะนะ?
ไม่มีใครคาดคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย
สวีเมี่ยวหลินเป็นหนึ่งในแพทย์ห้าสิบอันดับแรกของประเทศ เขาเป็นผู้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการแพทย์แผนจีนและได้รับการยกย่องว่าเป็นอนาคตของวงการแพทย์แผนจีน แต่ตอนนี้เขาก็เป็นบรรณารักษ์หรอกหรือ?
สายตาของเหล่าตัวแทนนักศึกษาต่างจับจ้องไปที่สวีเมี่ยวหลิน
บุคคลที่นักศึกษามากมายใฝ่ฝันอยากจะเป็นลูกศิษย์นั้น พวกเขาได้เจอหน้าอยู่ทุกวัน แต่กลับไม่รู้ตัวเลย พอรู้ความจริงแล้ว พวกเขาจะทำใจให้เชื่อได้อย่างไร
หนึ่งนาทีต่อมา
หลังจากจับชีพจรและวินิจฉัยอาการบางส่วนของฟางชิวแล้ว สวีเมี่ยวหลินก็ขมวดคิ้วและพูดขึ้นมาว่า “อาหารเป็นพิษ พิษได้แพร่กระจายไปทั่วแล้ว กระจายไปลึกมากด้วย”
เขาหาปากกากับกระดาษแผ่นหนึ่งแล้วเขียนใบสั่งยาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ให้จูเปิ่นเจิ้งไปรับยามา
ในเวลานี้ จูเปิ่นเจิ้งก็ไม่กล้าที่จะลังเลแต่อย่างใด เขารับใบสั่งยามาแล้วรีบออกไปอย่างรวดเร็ว
“นอนลง” สวีเมี่ยวหลินพูดพลางหยิบเข็มเงินออกมาจากกระเป๋าแพทย์ เขาตั้งใจจะใช้การฝังเข็มเพื่อช่วยฟางชิวและทุเลาพิษที่แพร่กระจาย
ประมาณสิบนาทีต่อมา หลังจากเสร็จสิ้นการฝังเข็มแล้ว สวีเมี่ยวหลินก็ดึงเข็มออก
สีหน้าของฟางชิวจึงดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังปวดท้องอยู่นิด ๆ
“เป็นยังไงบ้าง? เขาเข้าร่วมการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ได้ไหมครับ” เฉินอินเซิงเอ่ยถามทันที
ตอนที่เฉินอินเซิงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองอธิการบดี สวีเมี่ยวหลินก็หลบซ่อนตัวไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเจอตัวสวีเมี่ยวหลินมาก่อน และต่อให้เขาจะได้ยินชื่อของสวีเมี่ยวหลินเป็นครั้งคราว แต่เขาก็จำไม่ได้อยู่ดี
“ตอนนี้คุณยังมีอารมณ์มาพูดคุยเรื่องการแข่งขันอีกเหรอ?” เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินอินเซิงแล้ว สวีเมี่ยวหลินก็ระเบิดโทสะ “ชีวิตของคนมีค่ามากที่สุด แต่ผู้นำอย่างคุณกำลังทำอะไรอยู่? คุณไม่สามารถแม้แต่จะปกป้องนักศึกษาได้ด้วยซ้ำ”
เฉินอินเซิงชะงักหลังโดนต่อว่า หลายปีมานี้ ไม่มีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้เลย
ฉีไคเหวินก็ตกใจเช่นกัน เขารีบไปเกลี้ยกล่อมสวีเมี่ยวหลิน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นศิษย์น้องของเขาโกรธสุด ๆ แบบนี้
แต่สุดท้าย ฉีไคเหวินก็ไม่กล้าที่จะหยุดอีกฝ่าย จากนั้นเขาจึงดึงเฉินอินเซิงออกไปด้านข้างแทนเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับสวีเมี่ยวหลินที่กำลังโกรธ จากนั้นเขาก็อธิบายเรื่องราวให้เฉินอินเซิงฟังอย่างระมัดระวัง
ยิ่งฉีไคเหวินอธิบายมากเท่าไร เฉินอินเซิงก็ยิ่งอึ้งมากขึ้นเท่านั้น
เขาได้แต่มองสวีเมี่ยวหลินตอนตรวจร่างกายให้ตัวแทนนักศึกษาคนอื่น ๆ ด้วยสายตาคาดไม่ถึง
แพทย์ระดับปรมาจารย์?
เฉินอินเซิงรู้สึกมึนงง ไม่รู้เลยว่าคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีนสูงเช่นนี้จะมาเป็นบรรณารักษ์ในมหาวิทยาลัย
หลังจากการตรวจร่างกายแล้ว สวีเมี่ยวหลินก็โล่งใจที่คนอื่น ๆ ไม่ได้รับพิษ
แต่นี่มันไม่ถูกต้อง!
ในวินาทีถัดมา จู่ ๆ สวีเมี่ยวหลินก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นเขาก็แค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา
ทำไมถึงมีแค่ฟางชิวคนเดียวเท่านั้นที่ถูกวางยา แต่คนอื่น ๆ ไม่โดน?
จุดประสงค์ชัดเจนมากเลยนี่!
“คนทำตั้งใจทำแค่ฟางชิว!” สวีเมี่ยวหลินพูดด้วยน้ำเสียงโกรธจัด
มีคนบังอาจทำร้ายศิษย์ของเขา! มันเป็นใครกัน
เฉินอินเซิงเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นเหตุให้สีหน้าของเขาดูแย่ลง แต่เขาก็สั่งอย่างรวดเร็วว่า “ไปตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด! ฉันจะดูว่าใครมันกล้าทำร้ายนักศึกษาของฉัน!”
ฉีไคเหวินพยักหน้า สีหน้าพลันถมึงทึงเช่นกัน
เพราะหากฟางชิวไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเจียงจิงก็จะไม่ได้อันดับสูง และเขาจะเป็นคนแรกที่โดนตำหนิ ดังนั้นเขาจึงต้องไปจัดการตรวจสอบอย่างละเอียดทันที!
“ยามาแล้วครับ” ในเวลานี้ จูเปิ่นเจิ้งก็ถือชามยาจีนที่ต้มแล้ววิ่งเข้ามา “อุณหภูมิกำลังพอดีเลย”
สวีเมี่ยวหลินรับยาจีนมาและให้ฟางชิวดื่มอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ฟางชิวดื่มยา เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าอาการปวดท้องทุเลาลงมาก แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกว่าตนมีอาการท้องเสียร่วมด้วย
แม้ว่ายาจีนจะได้ผล แต่ฟางชิวก็รู้ดีว่าสารพิษในร่างกายของเขายังคงมีอยู่และกำจัดออกไปได้ยาก
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะสืบสวนเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน” เฉินอินเซิงเดินไปหาสวีเมี่ยวหลินด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมแล้วถามออกมาว่า “อาการของฟางชิวเป็นอย่างไรบ้าง?”
สวีเมี่ยวหลินส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฉันเกรงว่าเขาจะเข้าร่วมการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ไม่ได้”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เฉินอินเซิงก็ตกใจมาก
อะไรนะ?
ไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้?
ฉีไคเหวินที่กลับมาจากการตรวจสอบอาหารวมถึงเจียงเหมี่ยวอวี๋และคนอื่น ๆ ได้ยินก็เปลี่ยนสีหน้าทันที
“พิษชนิดนี้คืออะไรเหรอครับ? มันรักษายากขนาดนั้นเลยเหรอ?” จูเปิ่นเจิ้งเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ
“ดูจากอาการฟางชิวแล้ว ร่างกายคงขับพิษออกทั้งหมดได้หลังจากที่กินยาไปสามรอบ แต่กว่าจะครบสามรอบก็คงเป็นพรุ่งนี้ตอนบ่าย” สวีเมี่ยวหลินอธิบายพร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วย
“พิษชนิดนี้รุนแรงมาก โชคดีที่ยาของฉันสามารถกระตุ้นให้เขาขับพิษออกมาได้ ฉันรับประกันว่าเขาจะไม่ได้รับอันตรายจากพิษ เพื่อกำจัดพิษให้หมดเขาต้องกินยาให้ครบสามครั้ง และเขาอาจจะหายดีอย่างเร็วที่สุดในวันพรุ่งนี้ตอนบ่าย ระหว่างนี้เขาอาจจะมีอาการปวดท้องเป็นครั้งคราวเท่านั้น”
“มีวิธีอื่นอีกไหม?” เฉินอินเซิงถาม
สวีเมี่ยวหลินส่ายหัวแล้วพูดว่า “พิษได้เข้าสู่กระแสเลือดแล้ว การเอาออกด้วยวิธีอื่นนั้นยากมาก แต่โชคดีที่พิษไม่ได้เข้าไปลึกมาก ไม่อย่างนั้นจะต้องใช้เวลาในการรักษาเขาอย่างน้อยสามวัน”
เมื่อได้ยินว่าฟางชิวได้รับการรักษาอย่างทันเวลา คนอื่น ๆ ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ฟางชิวที่นอนอยู่บนโต๊ะลืมตาขึ้น เขารู้สึกว่าอาการของตนดีขึ้นมาก แต่ใบหน้าก็ยังซีดอยู่
“ผมจะเข้าร่วมการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ครับ!” ฟางชิวพูดกับเฉินอินเซิง
เพราะฟางชิวรู้ว่าพิษนี้มุ่งเป้ามาที่เขาโดยเฉพาะ คนที่ใส่ยาพิษในอาหารของเขาในเวลาแบบนี้ แสดงว่ามันกำลังพยายามขัดขวางไม่ให้เขาเข้าร่วมการแข่งขันอย่างแน่นอน
แล้วเขาจะปล่อยให้คนเลวมันสมใจได้อย่างไร! แม้ว่าเขาจะเจ็บ แต่เขาก็จะขอมีส่วนร่วมในการแข่งขันด้วย!
“นายเป็นแบบนี้แล้ว ไม่ต้องฝืนก็ได้นะ?” เจียงเหมี่ยวอวี๋ขมวดคิ้วและมองไปที่ฟางชิวด้วยความเป็นห่วง
ฟางชิวยิ้มออกมา และก็พูดด้วยพลังเต็มเปี่ยมว่า “มีคนไม่ต้องการให้ฉันเข้าร่วมการแข่งขัน แล้วฉันจะให้เขาสมใจอยากได้ยังไง? ฉันจะเข้าร่วมการแข่งขันในวันพรุ่งนี้แน่นอน ฉันต้องไปเอาคืน!”
เมื่อได้ยินคำพูดของฟางชิวแล้ว เหล่าตัวแทนทุกคนก็เงียบไป พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมา และไม่รู้ว่าควรจะเกลี้ยกล่อมไม่ให้ฟางชิวลงแข่งหรือสนันสนุนการตัดสินใจของฟางชิวดี?
เอาเข้าจริงจะพูดอะไรออกมาในตอนนี้ก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น
“เอ็งนี่มัน…” สวีเมี่ยวหลินกลอกตาใส่ฟางชิว
ฟางชิวคลี่ยิ้มพร้อมกับลุกยืนขึ้นอย่างอ่อนแรง เขาพูดกับสวีเมี่ยวหลินว่า “ขอบคุณครับอาจารย์สวี”
“ชีวิตเป็นของเธอ เธอเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าควรจะใช้ชีวิตอย่างไร” เมื่อมองไปที่ฟางชิว สวีเมี่ยวหลินก็ยืนขึ้นและพูดว่า “ในเมื่อเธอต้องการจะไปแข่ง ถ้างั้นก็เอาผลคะแนนดี ๆ กลับมาฝากฉันก็แล้วกัน”
“ครับ!” ฟางชิวพยักหน้า
“ไม่ต้องพูดแล้ว กลับไปพักผ่อนกันเถอะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็โทรหาพวกเรา เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันจะให้คนต้มยาให้อีก” ฉีไคเหวินเอ่ย
ฟางชิวจึงพยักหน้าขอโทษทุกคน หลังจากจูเปิ่นเจิ้งเข้ามาช่วยประคองเขา ฟางชิวก็กล่าวลาสวีเมี่ยวหลินและคนอื่น ๆ จากนั้นพวกเขาสองคนก็กลับไปพักผ่อนที่หอพัก
เหล่าตัวแทนคนอื่น ๆ ก็กลับไปที่หอพักตัวเองด้วยอารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ในใจ
ส่วนฉีไคเหวินก็ไม่ยอมให้สวีเมี่ยวหลินรีบจากไปแต่อย่างใด
แล้วเมื่อฟางชิวกลับไปถึงหอพักของมหาวิทยาลัย ซุนฮ่าวกับโจวเสี่ยวเทียนที่เห็นว่าฟางชิวกลับมาพร้อมกับจูเปิ่นเจิ้งในสภาพไร้เรี่ยวแรงก็ตกใจมาก
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เจ้าห้าเป็นอะไรไป” ทั้งสองคนรีบไปที่หน้าประตูเพื่อถามไถ่อาการฟางชิว
“อย่าเพิ่งถาม รีบมาช่วยฉันเร็วเข้า พาเจ้าห้าไปพักผ่อนก่อน” จูเปิ่นเจิ้งกล่าว
เมื่อได้ยินดังนั้น ซุนฮ่าวกับโจวเสี่ยวเทียนก็รีบช่วยพยุงฟางชิวนอนลงบนเตียงทันที
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าห้า” ซุนฮ่าวถามอย่างเป็นกังวล “ตอนเที่ยงเจ้าห้าก็ยังดี ๆ อยู่เลยนี่น่า แต่ทำไมตอนนี้เขาถึงเป็นแบบนี้ล่ะ”
“ใช่แล้ว พวกเราอุตส่าห์วางแผนที่จะฉลองให้แท้ ๆ!” โจวเสี่ยวเทียนกล่าวอย่างร้อนรน
“เจ้าห้าถูกวางยา” จูเปิ่นเจิ้งเหลือบมองฟางชิว ถอนหายใจออกมาพรูหนึ่งแล้วพูดว่า “มีคนวางยาในอาหารของเขา”
“อะไรนะ?!” ซุนฮ่าวตะเบ็งเสียง ตวาดอย่างโมโหว่า “ใครกันที่กล้าวางยาเจ้าห้า? ไอ้***!”
“ไอ้เวรนั่นเป็นใครวะ” โจวเสี่ยวเทียนก็โกรธเช่นกัน เขาตะโกนขึ้นมาทันทีว่า “บอกฉันมา ฉันจะไปฉีกอกมัน!”
“เงียบก่อน!”
จูเปิ่นเจิ้งรีบมองไปยังฟางชิวที่นอนบนเตียง เพื่อพยายามที่จะไม่รบกวนการพักผ่อนของชายหนุ่ม เขาจึงหันไปกระซิบกับรูมเมตทั้งสองคนว่า “ตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่รองอธิการบดีบอกว่าเขาจะส่งคนไปตรวจสอบและสอบสวนว่าใครเป็นคนวางยาเจ้าห้า”
“แม่ง! คนกล้าที่ทำร้ายเจ้าห้าวอนหาเรื่องตายแล้ว!” ซุนฮ่าวลดระดับเสียงลง แต่ก็ยังคงเอ่ยอย่างมีโทสะ
“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้าฉันหามันเจอ ฉันจะเอาอิฐทุบมันแน่นอน!” โจวเสี่ยวเทียนตะโกนด้วยความโกรธเคือง
“เอาล่ะ ๆ เงียบเสียงกันหน่อย” จูเปิ่นเจิ้งก็รู้สึกโกรธและไม่พอใจเช่นกัน “หยุดพูดได้แล้ว เจ้าห้าเพิ่งกินยามา ให้เขาพักผ่อนก่อน”
ซุนฮ่าวกับโจวเสี่ยวเทียนต่างก็พยักหน้าเข้าใจ แต่พวกเขาก็ยังไม่วายขบฟันตัวเองด้วยความโกรธ ทว่าพวกเขาก็ทำได้เพียงกดความโกรธและความกังวลของตนเอาไว้
เมื่อภายในหอพักเงียบสงบลง ฟางชิวที่นอนบนเตียงแอบคิดอย่างเงียบ ๆ คนเดียว ระหว่างที่ใช้พลังปราณขับพิษออกจากร่างกาย
‘ใครเป็นคนวางยากันนะ?’
ฟางชิวพยายามนึกถึงคนที่เป็นไปได้ ถึงจะนึกถึงผู้ต้องสงสัยบางคน แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี เพราะไม่น่าจะมีใครที่เกลียดเขามากจนถึงขั้นกล้าวางยาเพื่อดึงให้เขาออกจากแข่งขัน
ใครเป็นคนทำกันแน่?