บทที่ 188 เพิ่งเคยวางยาเป็นครั้งแรก
บทที่ 188 เพิ่งเคยวางยาเป็นครั้งแรก
ตลอดทั้งเช้า มหาวิทยาลัยยังคงอยู่ในความสงบ
แม้ว่านักศึกษาบางคนจะเห็นหลักฐานการก่ออาชญากรรมของจางซินหมิงแล้ว แต่ก็ยังเป็นส่วนน้อย และเนื่องจากหลักฐานบนกระดานข่าวถูกกำจัดทิ้งอย่างรวดเร็ว ทำให้เรื่องดังกล่าวยังไม่แพร่กระจายไปทั่ว แม้แต่นักศึกษาที่ได้ยินข่าวยังแสดงท่าทีสงสัยและคิดว่าเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น
ในตอนนี้ เฉินอินเซิงกำลังนั่งอยู่ในสำนักงานและรอให้เจ้าหน้าที่ค้นหาว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว แต่หาอย่างไรก็ยังไม่พบ เขาจึงรู้สึกหงุดหงิดจนแทบหัวฟัดหัวเหวี่ยง
…
ช่วงพักเที่ยง
ฟางชิวเดินออกจากอาคารเรียนและเดินไปรอบ ๆ มหาวิทยาลัย จากนั้นกลับไปที่หอพัก
พอมาถึงเขาก็รีบเข้าเว็บบอร์ดมหาวิทยาลัยทันที แต่พบว่าทางมหาวิทยาลัยยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เลย
สิ่งนี้แสดงเห็นว่า ทางมหาวิทยาลัยไม่ได้สนใจคำเตือนของเขาเลยแม้แต่น้อย
“ฉันให้โอกาสคุณครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ถ้าไม่รักษามันไว้ ฉะนั้น คุณจะมาโทษฉันไม่ได้” ฟางชิวเค้นเสียงลอดไรฟัน
ชายหนุ่มนำหลักฐานต้นฉบับเกี่ยวกับอาชญากรรมของจางซินหมิงออกจากมหาวิทยาลัย และตรงไปยังใจกลางเมือง ซึ่งอยู่ห่างไกลจากมหาวิทยาลัยพอสมควร
จากนั้นก็สุ่มหาร้านถ่ายเอกสารแถวนั้น และให้เป็นรูปแบบของใบปลิว จากนั้นทำสำเนาออกมาหลายร้อยชุด ก่อนจะกลับไปที่มหาวิทยาลัยอีกครั้ง
ฟางชิวเปลี่ยนไปสวมสูทสีดำ ทำให้ในเวลากลางวันแสก ๆ แบบนี้ร่างของเขาเป็นเหมือนเงามืดทันที
ชายหนุ่มเดินไปรอบ ๆ มหาวิทยาลัย และถ้าเดินผ่านจุดที่มีนักศึกษาอยู่ เขาก็จะยื่นใบปลิวในมือให้
พอเขาเดินมาถึงโรงอาหารก็พบว่าเวลานี้มันเนืองแน่นได้ด้วยผู้คน เพราะเป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี
ฟางชิวจึงรีบเดินเข้าไปโดยไม่รีรอและเคลื่อนไหวราวกับภูตผีเช่นเดิม นักศึกษาที่กำลังกินข้าวอยู่ต่างมองมองเห็นเพียงเงา และเห็นแค่ใบปลิวปรากฏขึ้นที่มือ ข้างเท้า หรือบนโต๊ะเท่านั้น
โดยเฉพาะในพื้นที่แออัด ฟางชิวก็ได้โยนใบปลิวหลายสิบใบในคราวเดียว
เป็นเหตุให้นักศึกษาหลายคนงงงวย แต่ก็ยังหยิบใบปลิวขึ้นมาทีละใบ
และทำให้ทั้งมหาวิทยาลัยตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น
“รองคณบดีจางซินหมิง?”
“พระเจ้า นี่เป็นหลักฐานว่ารองคณบดีรับสินบนงั้นเหรอ?!”
“ใครเป็นคนทำใบปลิวพวกนี้?”
“ฉันได้ยินเรื่องนี้เมื่อเช้า นึกว่ามันเป็นแค่ข่าวลวง แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง แม่เจ้า!”
“หากเนื้อหาในใบปลิวนี้เป็นความจริง ตำแหน่งรองคณบดีของจางซินหมิงก็จบสิ้นแล้ว!”
“บางทีรองคณบดีจางอาจทำให้ใครบางคนขุ่นเคืองใจ แล้วไปขุดคุ้ยหลักฐานเหล่านี้ และเอามาเปิดเผยให้ทั้งมหาวิทยาลัยรับรู้!”
“แต่ว่ามันก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรานี่นา”
“มันก็ใช่ แต่มาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปดีกว่า”
“ป่านนี้พวกผู้บริหารของมหาวิทยาลัยคงจะนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้วมั้ง!”
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เพื่อนร่วมชั้นบางคนจะสุดยอดมาก ที่แท้พวกเขาก็ติดสินบนรองคณบดีนี่เอง!”
“นี่มันไร้ยางอายมากจริง ๆ พวกเราอุตส่าห์ตั้งใจเรียนอย่างหนักเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แต่ทางมหาวิทยาลัยก็ไม่เหลียวแลพวกเราเลย แม้แต่ทุนการศึกษาก็ยังถูกอาชญากรเหล่านี้แย่งไป”
“ถ้าเป็นความจริง จางซินหมิงจะยังมีคุณสมบัติเป็นรองคณบดีอีกเหรอ?”
“เขาจะมีสิทธิ์อะไรอีกล่ะ”
ภายในไม่กี่นาที หัวข้อสนทนานี้ก็เป็นประเด็นร้อน ทำให้นักศึกษาที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม
อีกด้านหนึ่ง
“พี่หลี่ พี่หลี่…”
ด้านข้างอาคารเรียนจะเป็นห้องของสมาคมนักศึกษา
หลี่ชิงสือที่กำลังจะไปกินข้าว จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นที่นอกประตู
“มีอะไร?” หลี่ชิงสือหันไปมองที่ประตูและพบว่ามีสมาชิกของสมาคมนักศึกษาคนหนึ่งวิ่งมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับใบปลิวในมือ
“เกิดเรื่องแล้ว… พี่ดูเองเถอะ”
เมื่อวิ่งไปถึงข้างตัวหลี่ชิงสือ นักศึกษาคนนั้นก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่งใบปลิวให้เจ้าตัว “ตอนนี้ใบปลิวนี้แพร่กระจายไปทั่วมหาวิทยาลัยแล้ว และนักศึกษาต่างถกเถียงเรื่องนี้กันอยู่”
“หา?” หลี่ชิงสือรับใบปลิวมาดู จากนั้นสีหน้าก็ซีดเซียวลงถนัดตา
“ฟู่…” หลี่ชิงสือหายใจเข้าลึก ๆ และรู้สึกว่าร่างกายอ่อนปวกเปียกไปหมด เขาได้แต่ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ เมื่อมองใบปลิวในมือก็ถอนหายใจออกมาด้วยท่าทางหดหู่
ลุงเขยของเขากำลังเจอปัญหาใหญ่แล้ว…
…
ในอาคารสำนักงานของผู้บริหาร
เวลานี้ข่าวใบปลิวลอยไปถึงหูเฉินอินเซิงแล้ว!
“อะไรนะ?!”
ปึก!
ในสำนักงาน เฉินอินเซิงกระแทกโต๊ะระบายความโกรธจัด ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างฉุนเฉียว
สิ่งที่เขากังวลมาตลอดทั้งเช้านี้ ในที่สุดมันก็เกิดขึ้นแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นรองอธิการบดีที่ดูแลทั้งมหาวิทยาลัย แต่ก็ยังรู้สึกไร้อำนาจอยู่ดี
ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้เลยในเวลานี้
เขารู้ว่าคนที่แจกใบปลิวต้องอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้แน่นอน แต่ไม่ว่าจะหาอย่างไรก็ยังหาไม่เจอ!
“มันเป็นใครกันแน่…?” เฉินอินเซิงตะโกนออกมาด้วยหน้าแดงก่ำ “ไปตรวจสอบสิ! ไปตรวจสอบอีกครั้ง! แล้วแจ้งผู้บริหารทุกคนที่มีตำแหน่งสูงว่ารองคณบดีให้มาประชุมเดี๋ยวนี้!”
ภายในเวลาอันสั้นก็มีการประชุมของผู้บริหารเกิดขึ้น และในการประชุมมีการตั้งกลุ่มสอบสวนอีกครั้ง พวกเขาเริ่มตรวจสอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับจางซินหมิงอย่างรวดเร็ว
เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง
ใบประกาศก็ถูกส่งไปทั่วมหาวิทยาลัยทันที โดยเน้นว่าจางซินหมิงจะถูกลงโทษอย่างรุนแรงสำหรับเรื่องนี้ และในขณะเดียวกันตำแหน่งทั้งหมดจะถูกพักเอาไว้ก่อน แล้วเขาจะต้องยอมรับการลงโทษทันที
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว ฟางชิวก็ไม่ได้กลับไปพักผ่อนที่หอพัก แต่เดินไปที่ห้องสมุดแทน
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังผ่านกระดานข่าว เขาก็เห็นใบประกาศบนอย่างชัดเจน
“ช่างเถอะ ฉันจะให้โอกาสตัวเอง และโอกาสพวกคุณเป็นครั้งสุดท้าย” เมื่อฟางชิวพึมพำจบ เขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเฉินอินเซิง
ในเวลานี้ เฉินอินเซิงเพิ่งจะกลับไปที่สำนักงานหลังการประชุม
“[นั่นใคร?]” หลังจากต่อสายติดแล้ว เฉินอินเซิงก็ถามด้วยน้ำเสียงโกรธจัด
“ท่านรองอธิการบดี ผมฟางชิวครับ” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ
“[มีอะไร?]” ปลายสายถามกลับอย่างเย็นชา
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ ผมแค่อยากจะถามท่านรองอธิการบดีว่า คุณพบคนที่วางยาผมระหว่างการแข่งขันน้องใหม่หรือยัง?” ฟางชิวถามอย่างใจเย็น
“[เธอเป็นบ้าหรือเปล่าเนี่ย?]” เฉินอินเซิงรู้สึกโกรธทันทีที่โดนถามแบบนั้น เขาจึงตะโกนใส่โทรศัพท์ “ฉันเคยบอกไปแล้วว่ายังหาไม่เจอก็คือไม่เจอ อย่าโทรหาเรื่องนี้อีก ถ้ามีเวลาว่างเยอะนักก็เอาเวลาไปตั้งใจเรียนหนังสือซะ!]” หลังจากคำรามใส่เป็นชุด เฉินอินเซิงก็กดวางสายไป
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แต่เฉินอินเซิงยังต้องการที่จะปกปิดความจริง?
ชายหนุ่มส่ายหัวระอา และเก็บโทรศัพท์มือถือใส่ในกระเป๋ากางเกงขณะที่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ
ฟางชิวรู้ดีว่าทางมหาวิทยาลัยตั้งใจที่จะปกปิดความจริงที่ว่าเขาถูกวางยาพิษ แต่การปิดบังแค่นั้นไม่สามารถหยุดเขาได้ และเขาจะจัดการกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง!
จากนั้นชายหนุ่มก็เดินเข้าไปในห้องสมุด และเดินตรงไปที่ห้องให้บริการยืมหนังสือ
สวีเมี่ยวหลินที่หันหลังให้กับฟางชิวกำลังง่วนอยู่กับการจัดเรียงหนังสือเล่มใหม่อยู่
“อาจารย์สวีครับ วันเสาร์นี้พวกเราจะไปตรวจโรคฟรีอีกไหมครับ?” ฟางชิวถาม
“ไปสิ” สวีเมี่ยวหลินหันกลับมามอง “ร่างกายของเธอดีขึ้นหรือยัง”
“ดีขึ้นแล้วครับ” ฟางชิวพยักหน้าตอบ
“หนุ่มน้อย! ครั้งนี้เธอไม่ได้ทำให้ฉันขายหน้า ในฐานะลูกศิษย์แล้ว แม้ว่าจะถูกวางยาพิษหรือแขนขาหักก็ตาม แต่เธอยังคว้าตำแหน่งอันดับหนึ่งมาได้” สวีเมี่ยวหลินเงยหน้าขึ้นมายิ้มอย่างภาคภูมิใจ
แท้จริงแล้ว การที่สวีเมี่ยวหลินกล่าวคำนั้นออกมาก็เพื่อยกย่องตัวเองด้วย
อย่างไรก็ตาม ฟางชิวจำได้แม่นว่าสวีเมี่ยวหลินอารมณ์เสียและประหม่าแค่ไหนตอนที่เห็นเขาอาการหนัก และครั้งหนึ่งเจ้าตัวก็เคยห้ามฟางชิวไม่ให้เข้าร่วมการแข่งขันต่อไป
เพราะถ้าหากฟางชิวได้รับบาดเจ็บสาหัสจริง ๆ สวีเมี่ยวหลินจะไม่อนุญาตให้เขาไปแข่งต่ออย่างแน่นอน
“เป็นเพราะอาจารย์สอนผมดีต่างหาก!” ฟางชิวหัวเราะเบา ๆ และชมเชยกลับอย่างจริงใจ
“ถือว่าเป็นคำเยินยอที่ดี” สวีเมี่ยวหลินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและกล่าวว่า “แต่ก็ยังมีจุดที่ต้องแก้ไขอยู่ ฉะนั้นพยายามต้องต่อไป”
ฟางชิว “…”
เขารู้สึกว่ามันไม่เหมือนคำชมเลย!
“ใช่แล้ว” ราวกับว่าสวีเมี่ยวหลินนึกอะไรบางอย่างที่สำคัญออกจึงเอ่ยเสียงเข้ม “จากผลการทดสอบของอาหาร ฉันพบว่าพิษนั่นน่าสนใจมาก เพราะไม่ใช่ยาพิษที่จะหาได้ตามตลาดทั่วไป คนที่ทำพิษชนิดนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ฉันชักอยากจะเจอหน้าคนทำซะจริง ๆ”
“ว่าไง รู้หรือยังว่าใครวางยาเธอ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฟางชิวก็มองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่ามีคนอยู่ไม่กี่คนจึงลดระดับเสียงลง และกระซิบที่ข้างหูอีกฝ่ายว่า “จางซินหมิงครับ”
“อะไรนะ?” สวีเมี่ยวหลินเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เขาขมวดคิ้วยุ่งขณะเอ่ยถามทันที “เธอมีหลักฐานหรือเปล่า”
“มีครับ” ฟางชิวพยักหน้ายืนยัน “ก่อนหน้านี้ทางมหาวิทยาลัยได้ตรวจสอบเขาแล้ว แต่เหล่าผู้บริหารของมหาวิทยาลัยต้องการปกปิดความจริง และผมก็ได้ถามท่านรองอธิการบดีหลายครั้ง แต่เขายืนยันหัวแข็งจะปฏิเสธให้ได้”
คนฟังขมวดคิ้วแน่นหลังจากได้ฟัง และแน่นิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง “แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อ”
“แจ้งตำรวจ!” ฟางชิวตอบด้วยน้ำเสียงอย่างเย็นชา และพูดออกมาตรง ๆ ว่า “เขาก่ออาชญากรรม! เขาต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม!”
“ดี” สวีเมี่ยวหลินพยักหน้าเบา ๆ “ฉันสนับสนุนเธอ คนที่ลงมือกับลูกศิษย์ฉันจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก”
“หรือก่อนจะโทรหาตำรวจ พวกเราไปที่บ้านของจางซินหมิงด้วยกันไหม”
เห็นได้ชัดว่าสวีเมี่ยวหลินยังคงสงสัยเกี่ยวกับยาพิษ และต้องการสอบถามจางซินหมิงตัวต่อตัว
“ไปทีบ้านเขาทำไมเหรอครับ” ลูกศิษย์ถามด้วยความสงสัย
“ฉันอยากเจอเขาน่ะ” สวีเมี่ยวหลินหัวเราะออกมาเบา ๆ
ชายหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัวกับจางซินหมิงในการค้นหาความจริง และเขาเองก็อยากรู้เกี่ยวกับพิษนั่นเช่นกัน
เพราะเป็นช่วงพักเที่ยง สวีเมี่ยวหลินจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ที่ห้องสมุด หลังจากปิดห้องสมุดแล้ว เขาก็พาฟางชิวไปที่บ้านของจางซินหมิงที่อยู่ในมหาวิทยาลัยทันที
เมื่อมาถึง พวกเขาก็กดกริ่งประตู
“พวกคุณมาแล้วเหรอ?” เมื่อประตูเปิดออก จางซินหมิงก็เห็นพวกเขาทั้งสองคนที่หน้าประตู แต่จางซินหมิงกลับดูสงบมากและไม่ประหม่าเลย ราวกับว่าเจอสหายเก่าอย่างไรอย่างนั้น
และคล้ายกับว่าจางซินหมิงรู้อยู่แล้วพวกเขาต้องมาที่นี่ จากนั้น จางซินหมิงก็ส่งสัญญาณให้เดินตามเข้ามา
ฟางชิวกับสวีเมี่ยวหลินมองหน้ากัน และค่อนข้างรู้สึกงงกับท่าทีของอีกฝ่าย
แต่เมื่อเข้ามาในห้องก็เห็นว่าก่อนที่พวกตนจะมา จางซินหมิงน่าจะกำลังจัดเรียงหนังสือในห้องอยู่ เพราะเต็มไปด้วยกองหนังสือเก่า ๆ มากมาย และมีกลิ่นอับอบอวลไปทั่วห้อง
“ขอโทษด้วย ฉันไม่ได้จัดการพวกมันมาระยะหนึ่งแล้ว มันเลยค่อนข้างรกนิดหน่อย” จางซินหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“คุณรู้ไหมว่าทางมหาวิทยาลัยทำอะไร” สวีเมี่ยวหลินเอ่ยถามขึ้นมา ในขณะที่เขากำลังมองดูห้องที่เต็มไปด้วยหนังสือเก่า ๆ
“อืม …รู้สิ” จางซินหมิงผงกศีรษะขณะพลิกหนังสือไปมา “ดังนั้น ฉันเลยต้องหาหนังสือดี ๆ สักเล่ม เพื่อที่จะได้สงบสติอารมณ์ตัวเอง”
“ทำไมคุณถึงวางยาผม” กระนั้นฟางชิวกลับเอ่ยถามออกไปตรง ๆ
“เธอรู้เรื่องนี้แล้วเหรอ” จางซินหมิงค่อย ๆ เงยหน้ามองผู้ถาม “เพราะว่าเธอเป็นเสี้ยนหนามที่ขวางทางฉันน่ะสิ!!”
เมื่อพูดถึงประโยคนี้ จางซินหมิงเอียงคอเล็กน้อยและถามด้วยความสงสัย “ฉันเป็นคนทำยาพิษนั่นเอง เธอรู้สึกอย่างไรบ้างตอนที่ถูกพิษน่ะ”
“คุณเป็นคนทำยาพิษจริง ๆ เหรอ?” สวีเมี่ยวหลินถามด้วยความตะลึง
“อืม” จางซินหมิงพยักหน้ายอมรับ “นี่เป็นครั้งแรกที่เคยวางยาใครสักคน ฉันยังสงสัยเกี่ยวกับผลลัพธ์อยู่เลย ไหนเล่าให้ฟังหน่อยสิ สรุปแล้วเป็นอย่างไรบ้าง” หลังจากที่จางซินหมิงพูด เขาก็หันไปมองฟางชิวด้วยความใคร่รู้