บทที่ 211 วิทยาศาสตร์เทียมของการแพทย์แผนจีน!
บทที่ 211 วิทยาศาสตร์เทียมของการแพทย์แผนจีน!
[กินให้มากหน่อย หลังจากนี้จะไม่มีโอกาสได้กินแล้ว! เจ้านักชิม!]
[ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าจู่ ๆ นายก็ฉลาดขึ้นนะ ใช้โอกาสสุดท้ายในการกินอาหารอร่อย ๆ เพราะหลังจากนี้ถ้าอยากกินก็อาจจะไม่มีขายอีกแล้ว]
[ดูหน้าขี้เหร่ ๆ นั่นสิ ยังจะกินเป็ดปักกิ่งอีก ไร้ยางอายเสียจริง!]
เห็นได้ชัดว่า… คนส่วนใหญ่บนเวยป๋อไม่ได้มาจากเมืองหลวง
ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่าฟางชิวกำลังโป้ปดตบตา
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปได้ยากที่ฟางชิวจะไม่ถูกเยาะเย้ยหรือดุด่า!
ถึงแม้ว่าทุกคนจะเยาะเย้ยเหยียดหยาม แต่ฟางชิวทำเพียงออกจากภัตตาคารฉวนจูเต๋อ ก่อนจะเรียกแท็กซี่
“ไปเทียนอันเหมิน!”
ฟางชิวเอ่ยบอกคนขับทันทีที่ขึ้นรถ
เทียนอันเหมิน
ตั้งอยู่ใจกลางปักกิ่ง ทางใต้สุดของพระราชวังต้องห้าม
เทียนอันเหมินคืออะไร?
มันคือสัญลักษณ์ประจำชาติจีนไงล่ะ!
เมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้วจะไม่ไปจัตุรัสเทียนอันเหมินได้อย่างไร?
สำหรับฟางชิว เขาอาจมีเพียงวันเดียวในการมาที่นี่ในครั้งนี้ ดังนั้นต้องยึดมั่นในสิ่งที่ควรทำ
เมื่อถึงจัตุรัสเทียนอันเหมินก็กวาดสายตามอง สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคืออาคารอันงดงาม ฝูงชนเดินขวักไขว่ อนุสาวรีย์วีรชนที่สร้างขึ้นในจัตุรัส รูปประธานเหมาแขวนอยู่บนประตูเทียนอันเหมิน ธงสีแดงฉานที่มีดาราห้าดวงปลิวไสวไปตามสายลม และคูน้ำอันกว้างขวางด้านหน้า
ฟางชิวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
ความรู้สึกพลันพรั่งพรูเข้ามาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนราวกับว่าตัวเขาเล็กมาก
…เล็กในโลกนี้ เล็กในจัตุรัสนี้ ทั้งยังเล็กกว่าบรรพบุรุษผู้พลีชีพ!
เวลาผ่านไปยาวนาน
“เฮ้อ…” ฟางชิวหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเดินไปยังอนุสาวรีย์วีรชน
มันเป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นโดยชาวจีนเพื่อระลึกถึงผู้พลีชีพเพื่อการปฏิวัติในประวัติศาสตร์สมัยใหม่
เมื่อมาถึงอนุสาวรีย์ ฟางชิวก็เงยหน้าขึ้นมองจารึกบนหินที่มีใจความว่า
‘สามปีก่อน วีรชนที่เสียชีวิตในสงครามปลดแอกประชาชนและการปฏิวัติจะคงอยู่ตลอดไป!’
‘สามสิบปีก่อน วีรชนที่เสียชีวิตในสงครามปลดแอกประชาชนและการปฏิวัติจะคงอยู่ตลอดไป’
‘และอีกครั้ง ย้อนกลับไปในปี 1840 วีรชนที่พลีชีพในการต่อสู้ที่ผ่านมาทั้งหมดเพื่อต่อต้านศัตรูทั้งภายในและภายนอก มุ่งมั่นเพื่อเอกราชของชาติ อิสรภาพ และความสุขของประชาชนจะคงอยู่ตลอดไป!’
เมื่อมองไปที่จารึกบนหิน ‘วีรชนในการต่อสู้ทั้งสามครั้งจะคงอยู่ตลอดไป’ อารมณ์สะเทือนใจพลันเกิดขึ้นกลางหัวใจของฟางชิว ดวงตาของเขาแดงขึ้นเล็กน้อย
ชายหนุ่มไม่สนใจฝูงชนที่หนาแน่นรอบตัว เขายืดตัวตรง หันหน้าไปทางอนุสาวรีย์ ก่อนจะทำความเคารพให้แก่บรรพบุรุษทั้งหลาย
พวกเขาสร้างประเทศจีนด้วยเลือดเนื้อ!
ถ้าไม่มีคนเหล่านี้ก็ไม่มีแผ่นดินจีนในวันนี้!
เมื่อเคารพเสร็จ ฟางชิวก็หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปอนุสาวรีย์วีรชน แล้วโพสต์บนเวยป๋อ
ในครั้งนี้เขาไม่ได้โพสต์ข้อความใด มีเพียงแค่รูปถ่าย
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงถูกเย้ยหยันมากมาย
[อะไร คิดว่าเปิดการ์ดรักชาติแล้วคนจะไม่ด่าเหรอ?]
[นายมีคุณสมบัติอะไรถึงมายืนหน้าอนุสาวรีย์วีรชนได้?]
[รักชาติมากไหม? ถ้ารักชาติจริง ๆ ทำไมต้องทำลายการแพทย์แผนจีนและสมบัติของชาติด้วยล่ะ?]
[ช่างน่าละอายที่กล้าบอกว่านายรักชาติ ในขณะที่นายกำลังทำสิ่งที่ทำลายชาติ!]
[ไอ้คนจิตใจไม่บริสุทธิ์!]
…
ฟางชิวอ่านคำด่าทอเหล่านั้น ก่อนจะส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มอันขมขื่น
แม้ว่าจะมีการด่าทอไม่น้อย แต่น่าประหลาดใจที่รูปภาพของเขาได้รับการกดไลก์หลายพันครั้งอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นโพสต์ที่มีจำนวนไลก์สูงสุดในเวยป๋อของเขาเสียด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าผู้คนยกย่องอนุสาวรีย์วีรชนไม่ใช่ฟางชิว
เวลาผ่านไปทีละเล็กทีละน้อยท่ามกลางความวุ่นวายใจของทุกคน
ขณะนี้เวลาบ่ายโมงครึ่ง
ชายรูปร่างผอม สวมชุดสูทสีเทา และสวมแว่นตาปรากฏกายขึ้นในห้องประชุมที่สาม บนชั้นที่ยี่สิบเอ็ดของอาคารจงเฟิง
เมื่อมองอย่างละเอียด จะเห็นว่าเขาเป็นชายใบหน้าเรียว หุ่นผอมบาง และตัดผมทรงสกินเฮด ทำให้เขาดูมีกำลังวังชาไม่น้อย
ชายผู้นี้คือหลี่เหวินป๋อ!
ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมไว้แล้วในห้องประชุม และทั้งสี่มุมห้องมีกล้องติดอยู่
ด้วยยังไม่ถึงเวลา
เมื่อหลี่เหวินป๋อนั่งลงแล้ว เขาก็เปิดแพลตฟอร์มถ่ายทอดสดด้วยแล็ปท็อปและทำการถ่ายทอดสดก่อน
เมื่อการถ่ายทอดสดเริ่มขึ้น
หลี่เหวินป๋อก็แชร์ลิงค์การถ่ายทอดสดไปยังเวยป๋อของเขา
ไม่นานนัก ผู้ชมนับหมื่นก็หลั่งไหลเข้ามาดูและจำนวนผู้ชมยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
“สวัสดีครับทุกคน ผมหลี่เหวินป๋อ”
หลี่เหวินป๋อนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ กระแอมไอเบา ๆ ก่อนจะมองไปยังหน้าจอการถ่ายทอดสดแล้วเอ่ยคำ “ตอนนี้ผมอยู่ที่อาคารจงเฟิง ทุกอย่างเกี่ยวกับการนัดหมายได้ถูกเตรียมไว้แล้ว ตอนนี้ผมกำลังรอให้นักศึกษาการแพทย์แผนจีนที่ชื่อฟางชิวเดินทางมา”
“ผมแน่ใจว่าทุกคนคงไม่ต่างจากผม แทบรอที่จะชกหน้าฟางชิวไม่ไหวแล้วใช่ไหม?”
ในขณะที่กำลังเอ่ย
หลี่เหวินป๋อพลันหยิบเครื่องดื่มแก้กระหายสองยี่ห้อที่แตกต่างกัน รวมถึงขวดนมออกมาจากกระเป๋าถือที่นำมาด้วยวางไว้ตรงหน้า
รู้ได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า …นมและเครื่องดื่มทั้งสองอย่างนี้ หลี่เหวินป๋อนำมาเพื่อการโฆษณา
เห็นได้ชัดว่าการโฆษณาในไลฟ์ต่างกับบนเวยป๋อ
ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้คือสงคราม มีผู้คนไม่น้อยที่ให้ความสนใจ อีกทั้งพวกเขายังต้องแข่งขันกับรายการทีวียอดนิยมในปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คนนับไม่ถ้วนที่ให้หลี่เหวินป๋อช่วยโฆษณา
หากแต่หลี่เหวินป๋อไม่มีตัวเลือกมากนัก อีกทั้งตัวเลือกที่เลือกก็ไม่จำเป็นต้องโฆษณาด้วยคำพูด เพียงแค่ต้องวางอยู่ในหน้าจอการถ่ายทอดสด
แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับการโฆษณาเพียงอย่างเดียว หลี่เหวินป๋อก็ได้รับเงินหลายล้านซึ่งเทียบเท่ากับเงินหนึ่งล้านที่เขาเดิมพันไป!
สำหรับหลี่เหวินป๋อแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการหาเงินช่างง่ายดายอย่างกับปอกกล้วยเข้าปาก ฮ่าฮ่า
เขาทำงานล่วงเวลาหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้ได้เงินเพียงหนึ่งหมื่นหยวนต่อเดือน และแม้ว่าจะไม่ได้ใช้เงินสักหยวน เขาก็ต้องใช้เวลาเก็บเงินเก้าปีเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินหนึ่งล้าน
แต่ในวันนี้… การรับโฆษณาเพียงเล็กน้อย แต่กลับสร้างรายได้มากกว่าล้านหยวนดั่งที่ใจหวัง!
เมื่อคิดถึงกองเงินที่ไหลเข้ากระเป๋าราวกับสายน้ำ หลี่เหวินป๋อรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจว่าการทำสงครามกับนักศึกษาแพทย์เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดในชีวิต!
เอาชนะวิทยาศาสตร์เทียมด้วยวิทยาศาสตร์!
ไม่นานนัก ฟางชิวก็จะมาถึง หลังจากได้ชกฟางชิวสักครั้งในสงครามครั้งนี้ ทั้งยังตบหน้าวงการแพทย์แผนจีนอย่างแรง …ชื่อเสียงของเขาจะต้องพุ่งสูงขึ้นเป็นแน่
และย่อมมีชื่อเสียงและโชคลาภตามมาด้วยเช่นกัน!
“เอาละ ผมจะเริ่มต้นด้วยการแนะนำกระบวนการสำหรับการออกอากาศนี้สักหน่อย”
เมื่อเห็นจำนวนผู้ชมในห้องถ่ายทอดสดเพิ่มขึ้น ซึ่งเกือบถึงหนึ่งแสนคน หัวใจของหลี่เหวินป๋อก็เต้นรัวเร็ว “ก่อนอื่น เราขอขอบคุณแพลตฟอร์มถ่ายทอดสดที่สนับสนุนการถ่ายทอดสดครั้งนี้ แพลตฟอร์มตี้อีจือเป็นแพลตฟอร์มการถ่ายทอดสดระดับเฟิสต์คลาสที่เป็นผู้นำเทรนด์การถ่ายทอดสดด้วยการถ่ายทอดสดแบบสามมิติ ซึ่งครอบคลุมสามร้อยหกสิบองศา นอกเหนือจากการถ่ายทดสดเกมและกีฬาแล้ว ยังมีกีฬาระดับโลกรวมไปถึงกิจกรรมอื่น ๆ ด้วย”
แน่นอนว่าคำกล่าวนี้ล้วนเป็นโฆษณาทั้งสิ้น…
เพื่อนำหลี่เหวินป๋อมาเพื่อถ่ายทอดสด แพลตฟอร์มนี้ใช้เงินไปมหาศาล รวมไปถึงการถ่ายทอดสดทั้งหมดล้วนถูกจัดขึ้นโดยพวกเขา
“คุณจะเห็นว่ามีปุ่มสลับการถ่ายทอดสดที่ด้านบนหน้าจอ การเปลี่ยนจอถ่ายทอดสดจะทำให้คุณเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในฉากและทุกรายละเอียดได้อย่างชัดเจน” หลังจากอ่านโฆษณาแล้วหลี่เหวินป๋อจึงเอ่ยต่อ “ในห้องประชุมที่กำลังจะเกิดสงครามขึ้นนี้ มีกล้องทั้งหมดสิบสองตัวติดตั้งอยู่ทำให้รับชมภาพการแข่งขันได้ทุกมุม ทุกคนไม่ต้องกังวลนะครับ”
“เอาละ”
หลี่เหวินป๋อเหลือบตาดูเวลา ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยังมีเวลาอีกสักพักก่อนที่สงครามนี้จะเริ่มขึ้น ฟางชิวยังไม่ปรากฏตัว ดังนั้นในเมื่อทุกคนกระตือรือร้นมาก ผมเลยจะแสดงความคิดเห็นต่อสิ่งที่เรียกว่าการแพทย์แผนจีนสักหน่อย”
เมื่อประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมา
เมื่อวิดีโอถ่ายทอดสดก็มีความคิดเห็นหลั่งไหลมาเป็นจำนวนมาก
มีทั้งเอ่ยเร่งรัด สาปแช่ง แต่หลี่เหวินป๋อหาได้สนใจ
เขากลับเปิดปากพูดกับตัวเองแทน “ผมก็เป็นคนจีนเหมือนกับทุกท่าน และคิดว่าการแพทย์แผนจีนเป็นสมบัติล้ำค่าที่สืบทอดในประเทศจีนมากว่าห้าพันปี แต่จะมีสักกี่คนที่คิดถึงความจริงว่าการแพทย์แผนจีนถือกำเนิดขึ้นเมื่อห้าพันปีก่อน หลังจากผ่านไปห้าพันปี ใครกล้าออกปากว่าการแพทย์แผนจีนพัฒนาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ? ใครกล้าเอ่ยว่าการแพทย์แผนจีนไม่ถดถอยบ้าง?”
“แม้แต่ปรมาจารย์ด้านการแพทย์แผนจีนในปัจจุบันยังไม่กล้าที่จะพูดแบบนั้น”
“เหตุที่ไม่กล้าพูดเช่นนั้นเพราะสืบทอดมาห้าพันปี ศาสตร์การแพทย์แผนจีนสูญหายไป และที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเศษเสี้ยวจากหนังสือที่กระจัดกระจายไปเพียงไม่กี่เล่ม”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้
หลี่เหวินป๋อก็หัวเราะอย่างเย้ยหยัน เมื่อเห็นว่าการถ่ายทอดสดกำลังร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงเอ่ยต่อทันที “ลองเปรียบเทียบดูว่าเมื่อห้าพันปีที่แล้ว การแพทย์แผนจีนและการหล่อโลหะเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในแผ่นดินจีน แล้ววันนี้ซึ่งคือห้าพันปีต่อมา การหล่อโลหะได้รับการปรับปรุง หากตอนนี้ยังใช้เทคโนโลยีจากห้าพันปีที่แล้วนั่นจะเรียกว่าโง่ แล้วการแพทย์แผนจีนที่ไม่ก้าวหน้าแต่กลับถดถอยและสูญหายเรียกว่าอะไร?”
“เอาบางอย่างจากห้าพันปีที่แล้วมาเปรียบเทียบกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่?”
“ก็เหมือนการเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง!”
“การแพทย์แผนจีนถูกตั้งคำถามและถูกปฏิเสธมาตั้งแต่สมัยโบราณ และผม หลี่เหวินป๋อไม่ใช่คนแรกที่ทำอย่างแน่นอน”
“ยกตัวอย่างสิบคนดังที่ต่อต้านการแพทย์แผนจีนอย่างรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์”
“คนแรก กัวโม่รั่ว!”
“กัวโม่รั่วยอมตายดีกว่าไปหาแพทย์แผนจีน เพราะรู้สึกว่าหากไม่ทำเช่นนั้น เขาจะรู้สึกผิดต่อการศึกษาที่เฝ้าเรียนมาทั้งชีวิต ทั้งยังพูดอย่างแน่วแน่ว่าแพทย์แผนจีนกับเขาไม่มีข้อข้องใจใด ๆ กระนั้นก็ไม่มีวันไปหาแพทย์แผนจีนไปจนวันตาย!”
“คนที่สอง เหยียนฟู่!”
“เขากล่าวว่าการแพทย์แผนจีนขาดการสังเกตเชิงปฏิบัติและการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ จัดว่าเป็นศาสตร์ทางฮวงจุ้ยหรือโหราศาสตร์ประเภทหนึ่ง”
“คนที่สาม เหลียงซู่หมิง”
“เขากล่าวว่าเมื่อคนจีนพูดว่ามียา แต่จะเชื่อถือได้อย่างไร แพทย์สิบคนมีวิธีรักษาที่แตกต่างกันถึงสิบแบบ ทั้งยังอาจแตกต่างกันมาก เนื่องจากไม่มีมาตรฐานในการรักษา แล้วเช่นนี้จะให้วางใจได้อย่างไร”
…
เขากล่าวไปเนิ่นนาน
หลี่เหวินป๋อสูดลมหายใจเข้าลึก “อย่างที่คนเหล่านี้ได้กล่าวไป ผมคิดว่าการแพทย์แผนจีนสืบทอดมาจากคาถา ไม่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ใดทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้เกิดจากการผสมผสานผู้คนที่พยายามลองทำจนถึงวันนี้ ขนาดแมวตาบอดยังรักษาได้ตั้งหลายโรคเลยนี่ครับ”
“มีผลข้างเคียงหรือเปล่า? ผมเองก็ไม่รู้!”
เพราะแพทย์แผนจีนไม่เคยเขียนเกี่ยวกับผลข้างเคียง จึงไม่มีผลข้างเคียงอย่างนั้นหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่ เพราะมันเป็นแค่วิทยาศาสตร์เทียมโดยที่ไม่มีการทดสอบยา”
…
เวลาผ่านไปจนถึงบ่ายโมงห้าสิบนาที
ตอนนั้นเองที่หลี่เหวินป๋อหยุดเอ่ย ก่อนจิบน้ำอึกใหญ่
“อีกสิบนาทีสินะ”
หลังจากดูเวลา หลี่เหวินป๋อก็เอ่ยว่า “ผมไม่รู้ว่าฟางชิวจะกล้ามาไหม แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะต้องมารอ อย่างไรเสียชั้นเรียนจบลงแล้ว ดังนั้นมาโพสต์เวยป๋อเพื่อเรียกฟางชิวออกมากันเถอะ”
เมื่อเอ่ยจบ หลี่เหวินป๋อก็เข้าสู่ระบบเวยป๋อในโทรศัพท์มือถือของเขา
[@แกมันก็งั้น ๆ แหละ นี่เจ้าฟางชิว กลัวเหรอถึงไม่ยอมมา นี่จะหมดเวลาแล้วยังไม่เห็นใครมาเลย?]
โพสต์ออกไป
ไม่นานนัก
การแจ้งเตือนของเวยป๋อพลันดังขึ้น
หลี่เหวินป๋อซึ่งอยู่ในการถ่ายทอดสดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะเปิดเวยป๋อต่อหน้าผู้ชมทุกคน…