ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี – ตอนที่ 62 เจรจาต่อรอง

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี

ตอนที่62 เจรจาต่อรอง

จ้าวเฉียนส่งข้อความหาหงซิ่วอีกครั้งผ่านWeChat ถ้าคุยกับตำรวจเสร็จแล้วให้โทรกลับมาหาเขาด้วย

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา หงซิ่วก็โทรหาจ้าวเฉียน

“ฮาโหล ประธานจ้าวมีอะไรให้รับใช้ค่ะ?”

“หงซิ่ว คุณไปตรวจสอบรายชื่อสตีมเมอร์ของสวอน, เฟยอวี่และหลงย่ามา ขอเป็นระดับแนวหน้าเท่านั้น แล้วขุดเอาข้อมูลสัญญาทั้งหมดของแต่ละคนออกมา ใครสัญญาใกล้จะหมดก็ฉกตัวมาเลย สตีมเมอร์สาวหรือหนุ่มก็ดี ดึงมาให้หมด แล้วแจ้งกับพวกเขาด้วยว่า ทางเรายินดีจ่ายค่าชดเชยของสัญญาที่เหลือให้เต็มจำนวน ขอเพียงพวกเขาเต็มใจย้ายมาอยู่กับเรา แต่คุณต้องระมัดระวังให้ดีในการร่างสัญญา กำหนดเงื่อนไขผลตอบแทนให้เหมาะสม โดยเฉพาะกับระยะเวลาสัญญาต้องมากกว่าห้าปี แต่ไม่เกินสิบปี”

หงซิ่วรู้สึกผวาในทันใด ค่าชดเชยสัญญาหรือก็คือค่าฉีกสัญญาที่เหลืออยู่ดังกล่าวของสตีมเมอร์ชั้นแนวหน้าของแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ย่อมไม่ถูกแน่นอน หากเอ่ยปากไปว่ายินดีจ่ายค่าชดเชยเต็มจำนวน อย่างน้อยต้องมีเม็ดเงินสำรองไม่น้อยกว่าพันล้านหยวนในการฉกตัวมา แล้วจ้าวเฉียนมีปัญญาจ่ายขนาดนั้นเลยนเหรอ?

“ประธานจ้าวค่ะ ราคาที่เราจำเป็นต้องรับภาระมีมากเกินไป สตีมเมอร์ระดับแนวหน้าของสามแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ สัญญาแต่ละฉบับมีมูลค่ากว่าหลายร้อยล้านหยวน เท่าที่คำนวณคราวๆทางเราต้องเตรียมเงินไม่น้อยกว่าหนึ่งพันล้านหยวน ซึ่งหักกลบกันแล้ว ดูยังไงก็ได้ไม่คุ้มเสีย”

“ดังนั้นผมจึงต้องการให้คุณไปตรวจสอบฐานความนิยมที่แท้จริงของสตีเมอร์แต่ละคนมาก่อน แล้วนำมาประเมินว่าใครบ้างที่สามารถทำกำไรได้ ใครที่คิดว่าซื้อตัวมาแล้วขาดทุนก็ปล่อยไป สิ่งที่เราต้องการคือข้อมูลฐานความนิยมที่มีตัวตนจริงๆ ไม่ใช่ส่วนที่มาจากทางแพลตฟอร์มปั้นขึ้นมา เพราะในส่วนนั้นมันไม่สามารถนำมาคำนวณจุดคุ้มทุนได้”

หงซิ่วรีบตอบกลับทันทีและขอให้จ้าวเฉียนมั่นใจในฝีมือเธอได้เลย เธอจะกลั่นกรองข้อมูลโดยละเอียด และส่งให้กับทีมวิเคราะห์ไปประเมินอีกครั้ง เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม

จ้าวเฉียนวางสายไปด้วยความพึงพอใจ

ถ้าเทียนซูวสามารถขึ้นเป็นหนึ่งในเจ้าตลาดของอุตสาหกรรมนี้ได้ ต่อให้ต้องจ่ายมากกว่าพันล้าน จ้าวเฉียนก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าแล้ว ตอนนี้เป็นยุคแห่งเศรษฐกิจดิจิตอล ตรายใดที่สามารถดึงฐานผู้ชมได้มาก มูลค่าของแพลตฟอร์มย่อมสูงขึ้นโดยธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องการปล่อยของ หรือขายหุ้นออกไปบางส่วนตามความต้องการ อย่าว่าแต่พันล้านเลย ต่อให้เป็นหลักหมื่นล้านยังได้มาอย่างง่ายดาย

อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา การถ่ายทำซีซั่นแรกของ《ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์》ก็เสร็จสิ้นลงในที่สุด อู๋ซินสามารถกลับมาไลฟ์สตีมได้ดังเดิม

“ฉันต้องขอโทษทุกคนด้วยน๊า ที่ห่างหายไปหน้าจอไปตั้งนานเป็นเดือน ตอนนี้การถ่ายทำทั้งหมดสิ้นสุดลงแล้ว จากนี้อยู่ในขั้นตอนตัดต่อและโปรโมตน่ะ ตอนนี้ฉันจะเฉลยให้ทุกคนหายสงสัยเองว่า เรื่องที่ฉันได้แสดงคือ… แต่ทุกคนช่วยกดไลค์กดแชร์กันก่อนนะคะ!”

ทันทีที่สิ้นเสียงของอู๋ซิน ภายในช่องสนทนาราวกับเขื่อนแทบแตก ทั้งยอดไลค์ยอดแชร์ทะยานสูงขึ้นในพริบตา

เธอหัวเราะคิกคักเปี่ยมล้นความสุขภายในใจ และประกาศอย่างเป็นทางการขึ้นว่า

“ซีรีย์ที่ฉันแสดงคือเรื่อง ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์! ซึ่งคาดว่าจะออกอากาศในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ในเวลานั้นทุกคนอย่างลืมช่วยกันสนับสนุนและติดตามด้วยนะคะ”

เมื่อบรรดาแฟนคลับได้ยินว่า อู๋ซินกำลังเล่นเรื่อง《ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์》ทุกคนรีบพิมพ์ 666[1] กันใหญ่ด้วยความตื่นอกตื่นเต้น แต่ละคนทราบกันดีว่า นิยายเรื่องนี้ได้รับความนิยมมหาศาลเพียงใด

“ไอดอลซินของเรากำลังจะโด่งดังแล้ว!”

“เธอจะกลายมาเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิงแล้ว!”

“นิยายสุดฮิตผนวกกับสตีมเมอร์หญิงสุดฮอต ซีรีย์เรื่องนี้ต้องได้รับความนิยมอย่างล้นหลามแน่นอน!”

อู๋ซินคลี่ยิ้มไม่หุบเพราะเธอมีความสุขอย่างมากในชีวิตตอนนี้ ถ้าเธอประสบความสำเร็จจากซีรีย์เรื่องนี้ เธอจะสามารถก้าวขึ้นสู่วงการบันเทิงได้อย่างแน่นอน

เห็นว่าอู๋ซินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขนาดนี้ จ้าวเฉียนจึงส่งของขวัญให้เธออีกชุดใหญ่

“พี่เฉียนมอบจรวดx1, x2 … x100”

อู๋ซินยิ้งฉีกยิ้มกว้างและเอ่ยขอบคุณทันที

“ขอบคุณพี่เฉียนมากสำหรับจรวดชุดพิเศษ อย่าลืมไปดูซีรีย์เรื่องใหม่ที่ฉันเล่นด้วยนะคะ”

จ้าวเฉียนไม่ได้พิมพ์ตอบใดๆกลับไป เพียงเฝ้าดูอู๋ซินพูดคุยกับช่องสนทนากับทุกคนอย่างเงียบงัน ทั้งยังแบ่งปันประสบการณ์ในกองถ่ายที่ไปพบเจอมาด้วยความสนุกสนาน

สามวันต่อมา หงซิ่วสรุปข้อมูลที่รวบรวมมาได้ทั้งหมดและส่งให้จ้าวเฉียนดู เนื้อหาภายในคือสตีมเมอร์ห้าอันดับแรกที่ได้รับความนิยมที่สุดในแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ทั้งสาม รายละเอียดทุกอย่างมีระบุไว้ชัดเจน

จ้าวเฉียนคัดกรองเลือกสรรเหล่าสตีมเมอร์ที่มีรูปลักษณ์หน้าตาและบุคคลิกเป็นมิตรโดดเด่น ทั้งยังมีศักยภาพในการเป็นดาราเล็กน้อยที่ซ่อนอยู่ภายในตัว เขายังย้ำกับหงซิ่วอีกว่า ต่อให้ต้องจ่ายแปดร้อยหรือพันล้านต่อคนก็ไม่มีปัญหา ตราบเท่าที่สามารถดึงตัวพวกเขามาได้

หงซิ่วเร่งปฏิบัติตามสั่งทันทีและส่งคนไปติดต่อกับพวกสตีมเมอร์เหล่านั้นโดยเร็ว แน่นอนว่าคำถามแลกที่ทุกคนได้คือ พวกเขาเต็มใจย้ายสังกัดหรือไม่ ตอนนี้แพลตฟอร์มเทียนซูวมาแรงแซงทางโค้ง และทางบริษัทยินดีแบกรับความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างการฉีกสัญญากับสังกัดเก่าทั้งหมด พอได้ยินแบบนี้พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะเซ็นสัญญาในทันใด

หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน เหล่าสตีมเมอร์ตัวท็อปของแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ทั้งสามพร้อมใจกันย้ายสังกัดกันไปที่แพลตนฟอร์มเทียนซูว เหล่าสแฟนคลับของพวกเขาต่างก็ย้ายที่ดูตามในทันที ส่งผลให้ยอดผู้ชมในแพลตฟอร์มเทียนซูวพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง แซงหน้าแพลตฟอร์มหลงย่าในพริบตา ส่วนแพลตฟอร์มเฟยอวี่ไม่ต้องพูดถึง และปัจจุบันแพลตฟอร์มเทียนซูวขึ้นมาเป็นอันดับสอง ใกล้ตีคู่กับอันดับหนึ่งอย่างแพลตฟอร์มพี่ใหญ่อย่างสวอนแล้ว

เนื่องจากพวกเขาเสียฐานลูกค้าไปจำนวนมหาศาล จนพวกเขาต้องส่งคนไปเจรจากับหงซิ่วทันทีเป็นการด่วน

ผู้ที่รับผิดชอบของทางบริษัทเฟยอวี่คือหยางหมิง ซึ่งเขายังคงหัวเสียเหมือนเดิมและตะคอกด่าหงซิ่วโดยตรง

“คุณใช้วิธีสกปรกเกินไป! ยังมีความเป็นคนเหลืออยู่หรือเปล่าห่ะ?! กล้าดึงคนของพวกเราไปทั้งแบบนี้ได้ยังไง? คุณอยู่ในวงการนี่มานานแค่ไหนเชียว? ใครกันแน่ที่ทำให้คุณกล้าลงมือขนาดนี้? บอกผมมา!!”

มีจ้าวเฉียนคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง หงซิ่วไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวผู้ใด เธอเอ่ยตอบทันทีว่า

“ฉันมีเงินก็แค่นั้นแหละค่ะ แล้วพวกเขาเองก็เต็มใจที่จะย้ายสังกัดเปลี่ยนที่ทำงานใหม่กัน ฉะนั้นแล้วก็ไม่ถือเป็นเรื่องผิดอะไร แถทในอดีตพวกคุณเองก็เคยซื้อคนจากบริษัทอื่นมาไม่ใช่เหรอค่ะ? นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับการทำธุรกิจ แล้วทำไมนายน้อยหยางถึงดูร้อนใจนักค่ะ?”

หยางหมิงยังคงกรนด่าสาปแช่งเธอไม่หยุดหย่อน เวลาจะดุด่าคนอื่น เขาไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว

“กูไม่สนใจ! แต่มึงกล้าดึงคนของกูออกไปหน้าด้านๆ มึงไม่จบดีแน่!”

หงซิ่วระเบิดหัวเรนาะคิกคักและกล่าวตอบน้ำเสียงสุภาพว่า

“นายน้อยหยางเองก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ รู้จักควบคุมอารมณ์หน่อยก็ดี นี่เป็นการเจรจาธุรกิจกันทำไมพูดจาไม่มีหางเสียงเลย? ดิฉันรู้สึกเหมือนถูกทางคุฯคุกคามค่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ดิฉันอาจจะกลัวจนไม่เปิดโอกาสให้ความร่วมมือก็เป็นได้นะคะ?”

หยางหมิงเพิ่งได้สติ ยามนี้รู้สึกอับอายไม่น้อย เขาค่อยๆกลับไปนั่งที่เดิมพร้อมรีบสงบสติลงทันที

เฉินโหย่วฉี CEOของแพลตฟอร์มหลงย่า และเหลียงอวี้ CEOของแพลตฟอร์มสวอนเองก็อยู่ด้วยเช่นกัน พวกเขาต่างแสดงความคิดเห็นของตนออกไป ตราบเท่าที่แพลตฟอร์มเทียนซูวส่งบรรดาสตีมเมอร์เส้าหลักของแต่ละสังกัดกลับคืนมา พวกเขาก็ยินดีเพิกเฉยต่อเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ถ้าเทียนซูวยังคงยืนกรานที่จะรุกล้ำแบบนี้ พวกเขาจะรวมตัวกันไปฟ้องร้องต่อศาล

หงซิ่วคลี่ยิ้มบางกล่าวตอบไปว่า

“พวกคุณคิดว่าศาลจะทำอะไรได้เหรอค่ะ? ทางเราคัดเลือกบุคคลผู้มีความสามารถอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นกลับเป็นทางศาลมากกว่าที่ต้องปกป้องดิฉัน”

เฉินโหย่วฉีกล่าวตอบทันทีว่า

“ถ้าอย่างนั้นทางเราจะฟ้องสตีมเมอร์รายบุคคลเอง และจะตัดสินโทษไม่อนุญาตให้พวกเขาสามารถออกกล้องได้เป็นเวลาสามปี คุณเองก็เซ็นสัญญากับพวกเขาไปในราคาที่สูงมากจริงไหม? ถ้าคนพวกนี้หมดประสิทธิภาพในการทำกำไร ต่อให้เป็นคุณก็เลี้ยงไม่ไหวแน่นอน”

เหลียงอวี้พูดเสริมต่อว่า

“คงไม่มีแพลตฟอร์มไหนกล้าจ่ายเงินเป็นหลักพันล้านเพื่อเซ็นสัญญากับสตีมเมอร์ที่ไม่สามารถไลฟ์สตีมได้จริงไหม? ยอมคืนพวกเขากลับมาให้ทางเราดีกว่าครับ”

หงซิ่วยังคงไม่กลัวเกรงต่อคำขู่ของพวกเขาแม้สักนิด ตอบกลับน้ำเสียงเรียบกลับไปว่า

“ตราบใดที่ทางเราจ่ายค่าปรับเต็มจำนวน ศาลก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะสั่งห้ามไม่ให้พวกเขาออกกล้อง ทางพวกคุณสามารถเรียกร้องค่าเสียหายมาได้เลย โดยต้องอยู่ในพื้นฐานตามความจริงเท่านั้น มิฉะนั้นทางเราจะฟ้องพวกคุณกลับ ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือใด ทางเราจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยใดๆทั้งสิ้น”

สำหรับแพลตฟอร์ม ไลฟ์สตีมคือการสร้างคอนเทนค์ให้ผู้คนแห่แหนเข้ามารวมตัวกัน รายได้หลักของพวกเขาจริงๆมาจากเหล่าผู้สนับสนุนหรือสปอนเซอร์ที่เข้ามาลงทถุน ตราบใดที่มีฐานผู้ชมสูงจนโดดเด่น เม็ดเงินจำนวนมหาศาลจากเหล่าสปอนเซอร์ย่อมตามมาโดยธรรมชาติ แต่ในทางตรงข้าม ถ้าฐานผู้ชมไม่มี ก็ไม่มีใครอยากจะเข้ามาสนับสนุนแพลตฟอร์มเหล่านั้นเช่นกัน

แล้วคิดว่าการที่จู่ๆยอดคนดูก็หายวับไปกับตา ทางสปอนเซอร์จะว่าอย่างไร? โดยปกติแล้วการทำสัญญากับสปอนเซอร์ ทางแพลตฟอร์มจะต้องสามารถระบุจำนวนผู้ชมได้ เพื่อเป็นทางเลือกประกอบการตัดสินใจ ก่อนที่พวกสปอนเซอร์จะลงทุนด้วย และถ้าจุ่ๆยอดผู้ชมหายไปขนาดนี้ในชั่วข้ามคืน ทางแพลตฟอร์มเองจะต้องจ่ายค่าชดเชยเป็นมูลค่ามหาศาล

ดังนั้นทั้งสามแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่จึงแห่กันมาที่นี่เพื่อเจรจากับหงซิ่ว

[1]666 เป็นคำแสลงที่วัยรุ่นจีนนิยมใช้แปลได้ว่า ร้ายกาจ หรือ การชื่นชม

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี

Status: Ongoing
จ้าวเฉียน อายุ23ปี พนักงานกินเงินเดือนธรรมดา รายได้เดือนละแค่5,000หยวน ทุกคนในบริษัทต่างดูถูกดูแคลนเขา เพราะเจ้านี่ขี้เหนียวเหลือเกิน แม้แต่แฟนเก่ายังทนเขาไม่ไหว และหันมาแอบคบชู้กับผู้จัดการของเขาแทน จนเวลาผ่านไปเขาเพิ่งมารู้ความจริงอย่างไรก็ตาม ความจริงที่ชวนน่าตกตะลึงกว่าคือ ตัวตนที่ที่แท้จริงของเขาคือทายาทมหาเศรษฐี บุตรชายของจ้าวฝู บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่เมื่อห้าปีก่อน หลังจากที่ฉลองปาร์ตี้ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาก็ขับรถกลับทั้งๆที่อยู่ในอาการเมา จนแล้วจนรอด บังเอิญไปเฉี่ยวชนเข้ากับสาวน้อยคนหนึ่ง จนเธอได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ขาดสติหนัก เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้น ตะโกนโหวกเหวกโวยวายสร้างปัญหาไปทั่วสถานีตำรวจ ระหว่างนั้นเองก็มีมือดีที่ไหนไทม่ทราบแอบถ่ายคลิปเก็บไว้ได้ทัน พร้อมถูกอัปโหลดลงโซเชียลออนไลน์ ก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อฉกเถียงยกใหญ่ของผู้คนในเวลานั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็กระทบไปถึงชื่อเสียงขงอตระกูล จ้าวฝูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้อำนาจเงินตรา เพื่อไล่ลบคลิปวีดีโอเหล่านี้จนหมด ไม่ให้สืบสาวไปถึงตัวลูกชายของเขา คนเป็นพ่อใช้ไม้แข็งตัดขาดจ้าวเฉียน ไล่ไสส่งออกจากตระกูลจ้าว และให้จ้าวเฉียนหาเงินมาชดใช้ค่ารักษาสาวน้อยคนนั้นเป็นจำนวน 200,000หยวน เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจนี้ ถึงจะกลับเข้ามาในตระกูลอีกครั้งได้ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จ้าวเฉียนจำต้องทนกับความอัปยศนานาชนิด ทั้งยังต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัด จนในที่สุดเขาก็จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลจนควบตามที่กำหนดไว้ เขาได้ทุกอย่างคืนกลับมาอีกครั้ง และสิ่งแรกที่เขาต้องการคือ การแก้แค้นพวกที่เคยดูถูกเขา!“ประธานฟาง ฉันยินดีร่วมหุ้นกับบริษัทของคุณเป็นจำนวนเงิน3ล้านหยวน โดยมีเงื่อนไขว่า คุณไม่ได้รับอนญาตให้เปิดเผยสถานะที่แท้จริงของผม ไม่อย่างนั้นผมจะถอนทุนทั้งหมดออกทันที”“เข้าใจแล้วค่ะคุณจ้าว”“ฮิฮิ….ตราบใดที่เข้าใจแล้ว ก็ทำให้ได้ แล้วคุณรู้ไหมว่า ผู้จัดการหวัง เจ้านั้นมันต้องการขับไล่ผมออกจากบริษัท คิดว่าผมควรทำยังไงดี?”“ง่ายมากค่ะ! ฉันจะไล่เขาออกเดี๋ยวนี้!”“ไม่ ไม่… ผมยังเล่นกับเขาไม่จุใจเลย จะไล่ออกไปง่ายๆได้ยังไง?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท