ตอนที่ 160 : อําพันขาว
ร้านขายสัตว์อสูรหายากนั้นมีขนาดใหญ่มาก และมีกรงทรงสี่เหลี่ยมถูกวางซ้อนไว้ทั้งด้านซ้ายและขวา มีทั้งสัตว์ขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีรูปร่างและสีสันที่ต่างกัน
ถึงแม้ว่ามันจะมีสัตว์อยู่เป็นจํานวนมาก ทว่าร้านนี้กลับไม่มีกลิ่นเหม็นเลยแม้แต่น้อย มีแค่กลิ่นยาแปลกๆรอยฟันอยู่เท่านั้น
โรแลนด์คิดว่ากลิ่นยาพวกนี้น่าจะเป็นตัวกลบกลิ่นเหม็นของเหล่าสัตว์
ยิ่งไปกว่านั้นกรงนั้นสะอาดมาก เดาได้เลยว่าต้องมีคนคอยดูแลพวกมันอยู่เกือบตลอดเวลา
เมื่อโรแลนด์เข้ามาในร้านค้า เขาก็พบกับสัตว์หายากแปลกๆมากมาย
กระต่ายที่มีเขายาว, กิ้งก่าที่มีเพลิงลุกอยู่กลางหน้าผาก, นกหกขาที่ดูคล้ายกับตุ่นปากเป็ด และอื่นๆ
วิเวียนชี้ไปยังเหล่าสัตว์หายากภายในร้านค้าและพูดว่า ท่านรองท่านสามารถเลือกตัวที่ท่านชอบได้เลย ข้าจะมอบมันให้กับท่าน
คนที่ดูแลร้านค้าอยู่สังเกตุเห็นวิเวียนเลยเดินมาอยู่ข้างๆเพื่อรอรับคําสั่งจากเธอ
โรแลนด์เดินไปรอบๆร้านค้า เขานั้นไม่สนใจว่าสัตว์เลี้ยงที่เขาทําสัญญาด้วยจะเป็นตัวอะไร เขาเพียงแค่อยากหาสัตว์เวทย์ที่ยังไม่มีผู้เล่นภายในฟอรั่มทําสัญญาด้วยก็เท่านั้น เพื่อจะได้ศึกษาความสามารถและสกิลของมัน
เธอช่วยฉันเลือกหน่อยได้ไหม
โรแลนด์มองไปรอบๆและพบว่ามันมีสัตว์แปลกๆอยู่หลายประเภทและเกือบทั้งหมดเป็นตัวที่ยังไม่มีผู้เล่นในฟอรั่มเคยทําสัญญาด้วยมาก่อน ผู้ใช้เวทย์มีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่จะทําสัญญากับสัตว์เวทย์ ดังนั้นเขาเลือกตัวไหนมันก็เหมือนๆกัน
เขาคิดว่ามันไม่สําคัญว่าจะเป็นตัวไหน
ทว่าวิเวียนกลับไม่เห็นเช่นนั้น การทําสัญญากับสัตว์เวทย์ค่อนข้างสําคัญ อย่างน้อยมันก็สําคัญต่อเหล่า NPC นักเวทย์แบบเธอ
ประเภทของสัตว์เวทย์ที่พวกเขาเลือก ประเภทของความสามารถที่สัตว์เวทย์ตัวนั้นมี พวกเขามักจะไม่เปิดเผยออกมาให้คนนอกรู้
ทว่าโรแลนด์กลับปล่อยให้สิ่งที่สําคัญขนาดนี้ให้วิเวียนเป็นคนตัดสินใจ
นั่นหมายความว่าอย่างไร?
หมายความว่าเขานั้นเชื่อใจเธอมาก
ดวงตาของวิเวียนเปียกชื้นขึ้นมากระทันหัน ทันใดนั้นเธอก็คิดเรื่องสําคัญออกมาได้และจับมือของโรแลนด์ไปยังทิศทางหนึ่งอีกครั้ง สัตว์หายากเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ธรรมดา ไปที่บ้านของข้าเถอะ ข้าจะมอบอําพันขาวให้แก่ท่าน
อําพันขาว?
วิเวียนพาเขาเดินไปตามถนนจนมาถึงคฤหาสน์มันไม่ได้ไกลมากนักใช้เวลาเดินเพียงแค่สามสิบนาทีเท่านั้น
บ้านของวิเวียนอยู่ในเขตพื้นที่ของคนร่ํารวยในทางตอนเหนือของเมือง ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีขนาดที่ใหญ่โตนัก แต่มันก็ยังคงเป็นคฤหาสน์ที่ดูหรูหรา
ทางเข้าของคฤหาสน์แห่งนี้ถูกเฝ้าระวังไว้ด้วยทหารยามซึ่งมีรูปร่างทางกายภาพค่อนข้างดี เมื่อพวกเขาเห็นวิเวียนพวกเขาก็เปิดประตูและทําความเคารพทันที จากนั้นพวกเขาก็มองไปที่โรแลนด์ซึ่งถูกวิเวียนดึงแขนไว้ด้วยท่าทีที่ตื่นตกใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านหญิงพาผู้ชายเข้าบ้าน
จากนั้นพวกเขาก็เข้าไปยังคฤหาสน์ ชายชราที่ดูเหมือนเป็นพ่อบ้านออกมาทักทายทั้งสองด้วยรอยยิ้ม ท่านหญิงอย่าฝืนตัวท่านมากเกินไปล่ะ ขอยินดีต้อนรับท่านโรแลนด์ด้วย
โรแลนด์มึนงงไปในทันที เขายังไม่ทันได้แนะนําตัวด้วยซ้ํา ทว่าอีกฝ่ายกลับรู้ตัวตนของเขาแล้วงั้นเหรอ?
ราวกับอ่านใจของโรแลนด์ได้ พ่อบ้านพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง หากท่านหญิงพาเพื่อนชายเข้าบ้านคนๆนั้น ต้องเป็นท่านโรแลนด์อย่างแน่นอน
หม…เมื่อคิดถึงกุญแจห้องที่อยู่ในกระเป๋ามิติ โรแลนด์ก็เข้าใจเหตุผลได้ทันที
แก้มของวิเวียนแดง เธอหันไปหาพ่อบ้านและถามว่า ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าไปไหนงั้นเหรอ?
พวกท่านทั้งสองไปที่ฟาร์มเพาะเลี้ยง
แล้วพี่ชายคนโตและพี่ชายคนรองของข้าล่ะ?
พวกท่านทั้งสองออกไปล่าสัตว์
วิเวียนรู้สึกโล่งอกขึ้นทันทีพร้อมกล่าวว่า นําไวน์ผลไม้ไปให้ที่ห้องของข้าด้วยและขอเป็นรสผลไม้สีเขียว
หลังจากเป็น เลขา ของโรแลนด์มากว่าครึ่งปี วิเวียนเองก็รู้แล้วว่าโรแลนด์นั้นชอบไวน์ผลไม้แบบไหนมากที่สุด
เธอพาโรแลนด์มายังชั้นสี่ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นของดอกแพร์
ห้องถูกตกแต่งให้เหมาะกับผู้หญิง โทนสีของมันเป็นสีชมพูอ่อน
โรแลนด์รู้สึกตื่นตัวเล็กน้อยเพราะถึงยังไงนี่ก็เป็นห้องของผู้หญิง
แต่วิเวียนนั้นดูเหมือนจะไม่ได้คิดมาก เธอนําสัตว์สีขาวตัวน้อยออกมาจากเตียงงสีชมพูซีดและวางมันตรงหน้าโรแลนด์ ราวกับกําลังมอบสมบัติให้แก่เขา
นี่คืออําพันขาว!
มันเป็นสัตว์ขนาดเล็กที่โรแลนด์ไม่เคยเห็นมาก่อน มันมีขนาดเท่ากับแมวที่โตเต็มวัย มีขนสีขาวบริสุทธิ์ ขนราวกับหิมะหนาดูงดงามเป็นอย่างมาก มันดูราวกับลูกหมา แต่กลับมีหูยาวคล้ายกระต่าย นอกจากนี้หูมันยังลู่ลงอยู่ทั้งสองข้างของหัว
มันมีหางยาวเหมือนกับสุนัขจิ้งจอก
มันทั้งดูน่ารักและงดงามมาก
โรแลนด์มองไปที่มันพักหนึ่งและถามว่า นี่เป็นสัตว์เลี้ยงของเธอใช่ไหม?
ใช่ค่ะ วิเวียนพยักหน้ารับ อําพันขาวนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตหายากที่อยู่ภายในป่าเอลฟ์มีความสามารถที่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการรักษา, การสลับตําแหน่ง และความสามารถในการเรียกเถาวัลย์ขึ้นมา
โรแลนด์พูดขึ้นด้วยท่าที่ตกตะลึง เจ้านี่ถูกจัดอยู่ในหมวดของสัตว์อสูรไม่ใช่เหรอ?
ใช่ค่ะ อําพันขาวถูกนํามาที่นี่โดยพ่อของข้าเพื่อให้เป็นเพื่อนกับข้าในตอนเด็กและเมื่อข้าโตขึ้น เขาต้องการให้ข้าทําสัญญากับมัน
โรแลนด์ส่ายหัว ฉันไม่สามารถรับมันไว้ได้
ข้าต้องการให้ท่านทําสัญญากันมัน ท่าทางของวิเวียนดูเหมือนกําลังขอร้อง อําพันขาวมีอายุมากแล้ว หากมันไม่กลายเป็นสัตว์เวทย์ภายในสองถึงสามปีมันจะตาย ทว่ามันไม่มีทางเลยที่ข้าจะเป็นนักเวทย์ชั้นแนวหน้าได้ด้วยเวลาเท่านั้น
เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ ดวงตาของมันงดงามมาก เป็นสีทองซีดเหมือนกับอําพันที่ไร้ที่ติ ไม่น่าแปลกใจว่าทําไมมันถึงมีชื่อเรียกว่าอําพันขาว
วิเวียนยิ้มอย่างขมขึ้นเมื่อเธอพูดจบ
โรแลนด์เข้าใจสิ่งที่วิเวียนต้องการจะสื่อ
หลังจากที่สัตว์กลายมาเป็นสัตว์เวทย์ อายุขัยของมันก็จะถูกยึดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ ในทฤษฎีเท่านั้น อายุขัยของพวกมันขึ้นอยู่กับชีวิตของเจ้านาย
หากเจ้านายตาย พวกมันเองก็จะตายตามไปด้วย
แน่นอนว่าพวกมันก็สามารถถูกฆ่าโดยศัตรูได้
ดังนั้นมันจึงเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้นที่ว่ามันจะมีอายุขัยไม่จํากัด เพราะถึงยังไงเหล่านักเวทย์ก็ล้วนแล้วแต่มีวันตายเช่นกัน
ยกเว้นก็แต่อัจฉริยะนักเวทย์มิตราที่ได้กลายเป็นเทพไป
หากโรแลนด์ทําสัญญากับอําพันขาว มันก็จะสามารถมีชีวิตต่อไปได้
โรแลนด์มองเข้าไปที่ใบหน้าของวิเวียน คําขอร้องอ้อนวอนแสดงให้เห็นอยู่บนใบหน้าของเธอ
ก็ได้ โรแลนด์ตกลงด้วยน้ําเสียงเรียบเฉย
สําหรับเขาแล้วเขาสามารถทําพันธะสัญญากับสัตว์เวทย์ตัวไหนก็ได้ และความจริงที่ว่ามันได้ช่วยเหลือวิเวียนก็นับเป็นสิ่งที่ดี
ถ้าอย่างงั้นได้โปรดรอข้าสักครู่
โรแลนด์หยิบหนังสืออัญเชิญสัตว์เลี้ยงเวทย์ออกมา และนั่งลงที่เก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังเขา และเริ่มศึกษาแบบจําลองเวทย์ในหนังสือ
เวทย์อัญเชิญสัตว์เลี้ยงเวทย์นั้นเป็นเวทย์ระดับสอง และโดยปกติจะแนะนําให้เริ่มเรียนรู้หลังจากเลเวลห้าเป็นต้นไปหรือระดับแนวหน้า เพราะถึงอย่างไรการทําสัญญากับสัตว์อสูรนั้นอันตรายเป็นอย่างมากและหากไม่ระมัดระวังตัวให้ดีพลังเวทย์อาจจะตีกลับได้ ถ้าหากผลตีกลับไม่รุนแรงนักก็อาจจะแค่นอนพักไปในช่วงสั้นๆ ทว่า หากผลตึกลับรุนแรงก็อาจจะทําให้คนๆหนึ่งหัวระเบิดได้
ทว่ามันไม่ใช่ปัญหาของโรแลนด์ในฐานะผู้เล่นเขาไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้นความรู้ของเขาก็ไม่ได้เลวร้ายนัก ความยากของเวทย์นี้ไม่น่าจะยากเท่าความสามารถทางภาษา ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกัน และที่สําคัญกว่านั้น โรแลนด์ได้ศึกษาเวทย์อยู่ตลอดเวลา เขานั้นค่อนข้างเข้าใจวิธีการทํางานของมัน
ไม่ว่าใครก็สามารถคืบหน้าได้หากพยายามมากพอ และแบบจําลองเวทย์ส่วนใหญ่นั้นสามารถตรวจสอบได้
หลังจากโรแลนด์นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องวิเวียนเกือบชั่วโมง เขาก็ยืนขึ้น
มาเริ่มกันเถอะ
วิเวียนวางสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอลงบนพรมขนสัตว์
สิ่งมีชีวิตตัวน้อยนั้นตกใจทันทีเมื่อต้องออกจากอ้อมกอดที่อบอุ่นของเธอและมองขึ้นไปรอบๆ
โรแลนด์คุกเข่าลงและนํามือขวาของเขาแตะไว้บนหน้าผากอยู่พักหนึ่งก่อนจะดึงวุ่นโปร่งแสงสีฟ้าออกมา
จากนั้นสิ่งที่อยู่ในมือของเขาก็กลายเป็นของขนาดเท่าลูกปิงปอง
ตอนที่ 159 : ไม่พบเจอแม้แต่น้อย
ในท้ายของ
หล่าพ่อมดจํานวนมาก รวมถึงพวกนักบวชต่างต้องการเรียนรู้อย่างเขา และต้องการทําสัญญากับหนอนแมลงวันเช่นกัน
เหล่าผู้เล่นพวกนี้มีพรสวรรค์ที่ค่อนข้างธรรมดา และถึงแม้ว่าพวกเขาจะยอดเยี่ยมมากกว่าเหล่า NPC ทั้งหมดในระดับเดียวกัน ทว่าพวกเขาก็ยังเป็นผู้เล่นระดับล่างถึงกลางเท่านั้น
พวกเราไม่มีความสามารถในการต่อสู้ทั้งยังไม่มีพรสวรรค์ แต่พวกเราสามารถมอบความรังเกียจให้ผู้อื่นจนตายได้
เยี่ยมไปเลย เยี่ยมไปเลย เรามาสร้างกลุ่มกันเถอะ
มันไม่ใช่ชัยชนะก็จริง แต่มาสร้างความขยะแขยงให้พวกผู้เล่นระดับสูงที่ดูถูกพวกเรากันเถอะ
ยี่สี่ นั่นน่าสนใจแหะ ขอร่วมวงด้วยคน
โรแลนด์ขมวดคิ้วทันทีเมื่อเขาอ่าน เจ้าพวกผู้เล่นพวกนี้ที่ชํานาญในการสร้างปัญหากําลังรวมตัวกัน ในอนาคตเกมนี้จะต้องโกลาหลอย่างแน่นอน
จริงๆแล้วสัญชาติญาณของเขานั้นถูกต้อง อุจจาระบินได้ การต่อสู้สไตล์นี้จะกลายเป็นที่นิยม และถูกเกลียดโดยเหล่าผู้เล่นหญิงทั้งหมดและจุดเริ่มต้นของการรังเกียจผู้เล่นชายทั้งหมดก็เริ่มต้นตั้งแต่ตรงนี้
สไตล์การเล่นนี้คือการสร้างความน่าขยะแขยง โดยอย่างแรกนั้นเป็นความน่าขยะแขยงทางกายภาพ และมันก็จะกลายเป็นความรังเกียจในจิตใจ
ในช่วงกลางหรือช่วงท้าย นักเวทย์เองก็เข้าร่วมกับพวกเขาเช่นกัน การทําการทดลองอย่างหนักในเรื่องแปลกๆทําให้พวกเขามีความผิดปกติในจิตใจ ไม่เพียงแต่ผู้เล่นจะหวาดกลัวพวกเขาเท่านั้น เหล่า NPC ต่างก็ไม่ต้องการจะยั่วยุเจ้าพวกนี้
โรแลนด์ปิดกระทู้ที่ค่อนข้างน่าสนใจนลงและหากระทู้ใหม่อ่าน
สามชั่วโมงผ่านไป เขาก็อ่านกระทู้เกี่ยวกับสัตว์เวทย์จนหมด
ประสบการณ์ของผู้เล่นรวมกันนั้นมากกว่าของอัลโด้หลายเท่า
อย่างแรกคืออัตราความสําเร็จในการทําสัญญานั้นขึ้นอยู่กับขนาดของสัตว์
อย่างเฟลีนนั้นก็เพียงแค่ทําสัญญากับแมวดําธรรมดาๆจึงไม่ยากนัก แต่การทําสัญญากับเสือวัยโตเต็มวัยนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ ผู้เล่นคนหนึ่งยอมหัวระเบิดถึงสามครั้งเพื่อพิสูจน์แล้ว
ในท้ายที่สุดเขาก็ขโมยลูกเสือที่ยังไม่หย่านมและทําสัญญาได้สําเร็จ
หลังจากสัตว์ทําสัญญาและกลายเป็นสัตว์เวทย์แล้ว มันจะมีความฉลาดเพิ่มขึ้นราวๆกับหมูป่าอายุแปดปีหรือมากกว่านั้น ด้วยความฉลาดระดับนี้เมื่อมันมีอายุถึงสิบสองปี สัตว์เวทย์จะสามารถสื่อสารกับเจ้าของผ่านทางโทรจิตได้
เหล่าสัตว์เวทย์นั้นไม่ได้ภักดีกับเจ้านายร้อยเปอร์เซน ทั้งสองฝ่ายนั้นต้องก้าวเข้าหากัน
ทว่าสุนัขนั้นจะซื่อสัตว์เป็นอย่างมาก ส่วนเฟจีน(แมว)นั้น…ก็อย่างที่ทุกคนรู้นั่นแหละ
พวกนกส่วนใหญ่นั้นน่ารําคาญ มันจะโทรจิตหาเจ้าของเกือบทุกนาทีตลอดทั้งวัน เพื่อร้องให้ฟังหรือยั่วยุเจ้านายของมัน แต่จริงๆแล้วมันค่อนข้างภักดีเลยทีเดียว
นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทําไมสัตว์เวทย์ถึงค่อนข้างมีประโยชน์ในการสอดแนม เพราะมันสามารถสื่อสารทางจิต และรายงานสิ่งที่มันเห็นให้เจ้านายฟังได้ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างกันก็ตาม
ดเหมือนว่าหุ่นสอดแนมของโรแลนด์จะไร้ประโยชน์เสียแล้ว
ทว่ามันก็ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะสัตว์เวทย์นั้นมีเพียงแค่ตัวเดียว ทว่าหุ่นเวทย์สามารถร่ายออกมาที่ละห้าตัวพรเอมกัน ในอนาคตอาจจะถึงสิบตัว
สําหรับใครที่เข้าใจความสําคัญของข้อมูลจะไม่บ่นที่มีช่องทางการรับรู้ที่มาก
การได้รับประโยชน์มากมายจากสัตว์เวทย์ ดังนั้นการรีบทําสัญญากับสัตว์เวทย์น่าจะดีที่สุด
โรแลนด์ลิสต์รายชื่อของเหล่าสัตว์ที่เขารู้ พร้อมเขียนจุดแข็งและจุดอ่อนอธิบายเอาไว้ และสร้างตารางออกมาและหลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งและลุกขึ้น
เขาเดินไปยังชั้นสองและชนเข้ากับวิเวียนที่กําลังจะออกไปข้างนอก
หญิงสาวเปลี่ยนชุดคลุมเวทย์ของเธอเป็นชุดกระโปรงยาวสีขาวผมของเธอปล่อยลงและมัดหางม้าเอาไว้ ทั้งยังมีผมหน้าม้าปิดหน้าของเธอเอาไว้ ให้ความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่และน่ารัก
เมื่อเธอเห็นโรแลนด์ดวงตาของเธอก็เบิกกว้าขึ้นเธอเดินเข้ามาและถามว่า ท่านรองท่านวางแผนจะออกไปข้างนอกเช่นกันอย่างงั้นเหรอค่ะ?
โรแลนด์พยักหน้า
ข้าเองก็กําลังจะออกไปซื้อของบางอย่างเหมือนกัน ทําไมท่านไม่ไปด้วยกันกับข้าล่ะ? วิเวียนถามอย่าง คาดหวัง
เมื่องมองไปที่ดวงตาสดใสของหญิงสาว โรแลนด์ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ลง เขาเลยพยักหน้าออกมา
วิเวียนนั้นยิ้มอย่างมีความสุขและเดินไปอยู่ข้างๆโรแลนด์
เมื่อเธอเข้ามาใกลโรแลนด์ก็เหมือนได้กลิ่นหอมอ่อนๆราวกับกลิ่นของไข่มุก
ทั้งสองออกจากหอคอยแวทย์และเดินไปตามท้องถนน
แม้ชุดของวิเวียนจะไม่ดูเด่นสะดุดตา ทว่าชุดผ้าซาตินสีขาวไม่ใช่สิ่งที่สามัญชนสามารถมีไว้ใส่ได้ และด้วยชุดคลุมเวทย์ของโรแลนด์ ถึงแม้ว่าทั้งสองจะเดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยฝูงชน แต่ไม่มีใครกล้าเหยียบเข้าไปใกลรัศมี 1 เมตรรอบตัวพวกเขาเลย
วิเวียนมองไปที่ใบหน้าด้านข้างของโรแลนด์ ขณะเดินอยู่เธอก็ถามขึ้นมา รองประธาน คราวนี้ท่านมีแผนจะทําอะไรงั้นเหรอค่ะ?
ฉันกําลังมองหาสัตว์เพื่อทําสัญญาเป็นสัตว์เวทย์อยู่ เลยว่าจะไปดูที่ตลาดสัตว์สักหน่อย
ดวงตาของวิเวียนเป็นประกายขึ้น เยี่ยมไปเลย ท่านต้องการให้ข้าช่วยแนะนําไหม?
โรแลนด์พยักหน้า แน่นอนช่วยเลือกให้หน่อยละกันนะ
ดวงตาของวิเวียนโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวเธอมีความสุขเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินโรแลนพูดเช่นนี้
ทั้งสองมายังตลาดค้าสัตว์ มันมีสัตว์ที่มีเอกลักษณ์อยู่สองถึงสามชนิดให้ผู้ซื้อได้เลือก บางคนเลือกพวกมันไปเป็นสัตว์เลี้ยง ในขณะที่บางส่วนมาที่นี่ด้วยความตั้งใจว่าจะมีเนื้อสัตว์อะไรอร่อยๆหรือเปล่า
กรงไม้และกรงเหล็กตั้งอยู่บริเวณสองข้างของถนน ในแต่ละกรงมีสัตว์ป่าถูกขังอยู่ภายใน
หมาและแมวนั้นค่อนข้างธรรมดา แต่มันยังมีพวกนก, งูตัวยาว, รวมถึงสัตว์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวต่างๆ
อย่างเช่น แมงมุมหลากสีสัน หรือกบที่มีสีสดใส
สัตว์ส่วนมากในที่นี้ โรแลนด์เห็นมีผู้เล่นบางคนเคยทําสัญญากับพวกมันมาแล้วจากในฟอรั่ม
เขานั้นต้องการสิ่งที่พิเศษ ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนหรือพบเห็นได้ยากเพื่อมาทําสัญญากับเขา
แน่นอนว่ามันต้องอยู่ในเกณฑ์ปกติเมื่อเทียบกับพวกหนอนแมลงวัน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เลือกมันแน่ๆ
ตลาดสัตว์มีกลิ่นที่ไม่ค่อยดีนัก มันมีกลิ่นของมูลสัตว์กลิ่นของฉีภายในกรงขังและรวมถึงพวกกลิ่นของขนสัตว์และร่างกายของสัตว์ผสมปนเปกันไปหมด
นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทําไมที่นี่ถึงมีกลิ่นที่แย่มาก
วิเวียนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาสองผืน ผืนแรกยื่นให้โรแลนด์และอีกผืนสําหรับตัวเอง
พวกเขาสองคนมองเข้าไปในกรงที่อยู่สองข้างทางช้าๆ และสังเกตุสัตว์ที่อยู่ภายใน
หลังจากผ่านไปสักพักวิเวียนก็ถามออกมาว่า รองประธาน ท่านต้องการสัตว์เลี้ยงประเภทไหนเหรอค่ะ?
บางอย่างที่หายาก โรแลนด์ตอบกลับมา
จริงๆแล้วเขาแค่มีความคิดที่อยากจะลองอะไรใหม่ๆ ในความคิดของเขาความสามารถของสัตว์เวทย์นั้นค่อนข้างหลากหลาย เหล่าผู้เล่นในฟอรั่มต่างพยายามค้นหาสิ่งแปลกๆ และใช้โอกาสเพียงครั้งเดียว เพื่อทําสัญญากับสัตว์เวทย์และมอบข้อมูลให้กับผู้เล่นคนอื่นๆในภายหลัง
โรแลนด์เองก็รู้สึกว่าเขาควรเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างลิสต์ความสามารถของสัตว์เวทย์
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทําไมเขาถึงมาที่ตลาดสัตว์
วิเวียนเมื่อได้ยินเธอก็กล่าวว่า งั้นคงไม่มีประโยชน์ที่จะหาจากที่นี่ สัตว์ที่อยู่ที่นี่นั้นล้วนแล้วแต่ธรรมดาทั้งสิ้น หากท่านต้องการสัตว์ที่หายาก ท่านจะต้องไปยังร้านค้าเฉพาะทางที่เปิดรับเฉพาะขุนนางเท่านั้นซึ่งมีสัตว์หายากถูกวางขายอยู่
มันอยู่ที่ไหนงั้นเหรอ?
มีร้านขายสัตว์อสูรหายากอยู่เพียงร้านเดียวในเมืองนี้มันอยู่สุดถนนไป
วิเวียนใช้มือข้างหนึ่งปิดจมูกของเธอด้วยผ้าเช็ดหน้า และอีกมือหนึ่งก็จับมือโรแลนด์และดึงเข้าไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ
ท่านควรบอกข้าให้เร็วกว่านี้ วิเวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม ร้านค้านั่นถูกดูแลโดยตระกูลของข้าเอง
โรแลนด์มีนงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า ตระกูลของวิเวียนนั้นเป็นตระกูลขุนนางเล็กๆ ดังนั้นการที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ตอนที่ 158 : การโต้กลับที่รุนแรง
ธอมองไปที่โรแลนด์พร้อมเบิกตากว้าง รองประธานท่านกําลังจะทํา
หลังจากพูดจบ วิเวียนก็เข้าใจบาสัญญากับสัตว์เวทย์อย่างนั้นเหรอค่ะ?
โรแลนด์พยักหน้า
เยี่ยมไปเลยค่ะ วิเวียนแสดงความยินดีกับโรแลนด์ นักเวทย์ที่มีสัตว์เลี้ยงเวทย์จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
โรแลนด์หยิบหนังสือเกี่ยวกับเวทย์อัญเชิญสัตว์เลี้ยงออกมาจากกระเป๋ามิติพร้อมวางลงบนโต๊ะและพูดว่า สนใจที่จะอ่านมันไหม?
ไม่ค่ะ วิเวียนส่ายหัวออกมา มันจําเป็นที่จะต้องอยู่ในระดับแนวหน้าก่อนถึงจะสามารถเรียนเวทย์นี้ได้มันยังเร็วไปสําหรับข้า
เมื่อพูดจบวิเวียนก็ออกจากห้องวิจัยไปทันที โรแลนด์มองไปที่หลังของเธอที่กําลังเดินจากไปตั้งแต่วิเวียนจะให้กุญแจเขามาเมื่อสองสามวันก่อนเขาก็มักจะมองไปที่เธอโดยไม่รู้ตัว
อย่างเช่นตอนนี้ โรแลนด์กําลังรู้สึกดึงดูดเมื่อเห็นสะโพกของเธอที่อยู่ภายใต้ชุดคลุมเวทย์ขณะที่เธอกําลังเดิน
ไม่ ฉันไม่ควรคิดมากขนาดนั้น…โรแลนด์เปิดหนังสืออัญเชิญสัตว์เวทย์ขึ้นมาและอ่านมันอย่างช้าๆ
เสน่ห์ของความรู้นั้นมากมายกว่าผู้หญิงเป็นไหนๆภายในเวลาไม่ถึงนาที่โรแลนด์ก็ตกอยู่ในทะเลแห่งความรู้
ผู้ใช้เวทย์ทุกคนสามารถทําสัญญากับสัตว์เวทย์ได้ทว่าในบรรดาคนาที่มีความสําเร็จมากที่สุดก็คือนักเวทย์
ไม่ว่าจะเป็นพ่อมดหรือนักบวชก็สามารถอัญเชิญสัตว์เวทย์ได้โดยขึ้นอยู่กับดวง
โอกาสของพ่อมดในการอัญเชิญสัตว์เวทย์ขึ้นอยู่กับสายเลือดของพวกเขาพูดอีกแบบก็คือพ่อมดสายเลือดมังกรขาวมีโอกาสจะสามารถได้เวทย์บทนี้มากกว่าสายเลือดอื่นๆ
สําหรับนักบวช…เวทย์ของพวกเขานั้นถูกมอบให้โดยเหล่าเทพดังนั้นเวทย์ที่พวกเขาสามารถเรียนได้ก็ขึ้นอยู่กับประสงค์ของเทพ
มีเพียงแค่นักเวทย์เท่านั้นที่ไม่มีข้อจํากัดใดๆแต่ปัญหามันอยู่ที่…มันเป็นเวทย์กึ่งระดับสามมีเพียงนักเวทย์ชั้นแนวหน้าเท่านั้นที่สามารถเรียนรู้มันได้และมันก็ค่อนข้างยาก
แม้ว่ามันจะไม่ยากเท่าเวทย์พยากรณ์แต่มันก็ไม่ห่างจากกันนัก
โรแลนด์ไม่ได้รีบร้อนดูแบบจําลองเวทย์ เขาแค่อ่านและดูสิ่งที่อัลโด้เขียนไปเรื่อยๆ
อัลโด้นั้นได้ทําสัญญากับสัตว์เลี้ยงเวทย์แมวดํา…แฟลีนมีความสามารถในการหายตัวและมีความสามารถในการคลายการล่องหนของศัตรูสกิลทั้งคู่ล้วนยอดเยี่ยมในการลอบโจมตีแม้ว่ามันจะไม่เก่งในการต่อสู้แนวหน้าแต่มันก็เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วเสียที่มันมีแรงน้อยไปหน่อย
จากนั้นก็เนื้อหาก็เริ่มเกี่ยวกับจุดแข็งของสัตว์เวทย์ตัวอื่นๆราวกับว่าเขาคิดจะส่งต่อหนังสือที่เต็มไปด้วยข้อมูลเชิงลึกนี้ให้แก่คนอื่นอยู่แล้วเขาเลยมีคําบอกเล่าต่างๆอยู่มาก
สุนัขมีความสามารถในการตามรอยที่ดีมากและมีความอดทนสูงทว่ากลับมีความสามารถในการต่อสู้ต่ํากว่าเฟอื่นเสียอีก
เหล่านกต่างมีวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยมและสกิลอื่นๆนั้นขึ้นอยู่กับสายพันธุ์บ้างก็มีความฉลาด,รวดเร็ว,ล่อลวงหรืออื่นๆ
กระต่ายนั้นโดยทั่วไปจะไม่ค่อยเป็นที่แนะนําสักเท่าไหร่เพราะพวกมันไม่มีความสามารถในการต่อสู้และสิ่งที่มันทําได้นั้นเฟจีนเองก็สามารถทําได้เช่นกัน
และเหล่าสัตว์เวทย์ที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักก็มีหมูและค้างคาว
เมื่อทําสัญญากับหมูป่าตั้งแต่เด็กและให้มันโตขึ้นหมูป่านั้นจะค่อนข้างฉลาดเลยทีเดียวฉลาดยิ่งกว่าเฟลีนหรือสนับเสียอีกมีความสามารถในการตามรอยไม่แพ้พวกสุนัข และความสามารถในการต่อสู้นั้นแข็งแกร่งมากมีหนังที่หนาและมีพลังกายที่น่าทึ่ง และสิ่งที่ยอดเยี่ยมกว่านั้นก็คือมันเลี้ยงง่ายมากมนุษย์กินอะไรมันก็สามารถกินได้แบบนั้น
สําหรับค้างคาวนั้นยิ่งพิเศษขึ้นไปอีกหลังจากทําสัญญาแล้วผู้ทําสัญญาจะได้รับความสามารถในการมองเห็นตอนกลางคืนและค้างคาวยังมีความสามารถในการแจ้งเตือน, การล่องหน,การคลายการล่องหนที่ยอดเยี่ยมอีกด้วยทว่ามันค่อนข้างอ่อนแอในการต่อสู้และยิ่งไม่ว่านั้นไม่ว่าจะเลี้ยงเจ้าค้างคาวมายังไงเลือดของเจ้านายก็จะเป็นสิ่งที่มันโปรดปรานมากที่สุด…นักเวทย์จํานวนมากที่ทําสัญญากับค้างคาวจะตายจากโรคระบาด
หลังจากโรแลนด์อ่านจบเขาก็ปิดหนังสือลง
ถ้าหากเขายังไม่ได้เริ่มวิจัยหุ่นเวทย์บางที่สัตว์เวทย์ที่เขาเลือกอาจจะเป็นเฟลีนหรือสุนัขอย่างไรก็ตามพวกมันทั้งคู่มีความสามารถในการจัดการกับศัตรูที่ล่องหนได้อย่างง่ายดาย
ทว่าตอนนี้เขาได้ทําหุ่นเวทย์เป็นที่เรียบร้อยแล้วดังนั้นการเลือกเฟลีนหรือสุนัขจะกลายเป็นเสียเปล่าเล็กน้อ
นก, หมูป่า และค้างคาว ก็อยู่ในการตัดสินใจของเขาเช่นกัน
แต่แทนที่จะรีบร้อน เขาเลือกเปิดฟอรั่มและไปยังหัวข้อของพ่อมด
ในเมื่อผู้ใช้เวทย์ทั้งหมดสามารถทําสัญญากับสัตว์เวทย์ได้ดังนั้นอาจจะมีพ่อมดบางคนได้สกิลนี้ไปแล้วจากการเลื่อนระดับ
เขาใช้ตัวช่วยการค้นหาและพิมพ์ว่า สัตว์เวทย์ เป็นคําค้นหาและพบเข้ากับสองถึงสามกระทู้
หนึ่งในนั้นมีผู้เล่นที่ชื่อกริฟฟินด์ซึ่งข้อความที่เขาเขียนเรียกความสนใจของโรแลนด์ได้เป็นอย่างดี
ตัวละครปีศาจ, และสัตว์เวทย์
ผู้เล่นคนนี้นั้นเป็นพ่อมดปีศาจ เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ใช่แค่สามารถทําสัญญากับสัตว์เวทย์ได้เท่านั้นแต่ยังสามารถอัญเชิญปีศาจมาเป็นผู้ช่วยได้อีกด้วย
สัตว์เวทย์ที่กริฟฟินเลือกจะทําสัญญาด้วยนั่นคือแกะเขายาว…แน่นอนว่าอัลโด้นั้นเป็นนักเวทย์ที่ดีทว่าในเรื่องของความรอบรู้นั้นเขายังเทียบไม่ได้กับเหล่าผู้เล่น
แกะเขายาวนั้นเป็นแกะประเภทพิเศษเหมือนกับยูนิคอร์นที่สวยงามเพียงแค่มันงดงามน้อยกว่ายูนิคอร์นจริงๆเล็กน้อย
เมื่อเจ้าสิ่งมีชีวิตนี้กลายเป็นสัตว์เวทย์ไม่เพียงแค่สามารถขี่หลังได้มันยังต่อสู้ได้ค่อนข้างดีอีกด้วยและมันเกิดมาพร้อมกับความสามารถของเวทย์แสงแบบพิเศษ
จากนั้นปีศาจที่เขาทําสัญญาด้วยก็คือเซเบอรัสไม่ใช่ซัคคิวบัสที่พ่อมดชายทั้งหลายต่างเฟ้นหา
เขาเขียนกระทู้ด้วยถ้อยคําที่สุภาพและแสดงความมั่นใจและเชื่อถือในพลังของแกะเขายาวและเซเบอรัสเห็นได้ชัดว่าคํากล่าวของเขาแสดงถึงความรักในสัตว์เวทย์และปีศาจของเขา
เขานั้นเป็นเจ้านายที่ดี
จากนั้นโรแลนด์ก็ไปดูกระทู้อื่นๆของเหล่าพ่อมดที่โพสต์เกี่ยวกับสัตว์เวทย์และก็ได้พบว่าผู้เล่นพวกนี้ค่อนข้างมีพรสวรรค์
อัลโด้นั้นกล่าวไว้ว่าหมูป่ามีพรสวรรค์มากแต่มีผู้เล่นบางคนได้พยายามทดลองมาก่อนแล้วและมันก็ยอดเยี่ยมจริงๆมันมีทั้งการพุ่งโจมตี,การขวิดและการใช้เขี้ยวโจมตีและยังมีหนังที่หนาราวกับเป็นตัวแทนของพวกนักรบ
ม้าศึกเองก็ถูกทําสัญญาเป็นสัตว์เวทย์เช่นกันจริงๆแล้วม้าศึกไม่ได้มีความอึดมากนัก แต่หลังจากมันกลายเป็นสัตว์เวทย์ไม่เพียงแค่ความเร็วของมันที่เพิ่มขึ้นความอึดของมันก็แข็งแกร่งขึ้นมากเช่นกันทําให้พวกมันนั้นยอดเยี่ยมในการเดินทางเป็นอย่างมาก
สําหรับพวกเป็ด,ไก่,ห่านและสัตว์จําพวกนี้ก็ยังมีผู้เล่นทําสัญญากับพวกมันเช่นกัน และมีที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นมีกระทั่งผู้เล่นที่ทําสัญญากับหนอนแมลงวันจากห้องส้วมและนํามันมาเป็นสัตว์เวทย์
จากนั้นมันก็กลายมาเป็นฝันร้ายของเหล่าผู้เล่นโดยเฉพาะผู้เล่นระยะประชิด
เพราะหลังจากหนอนแมลงวันกลายมาเป็นสัตว์เวทย์มันก็โตขึ้นและตัวใหญ่กว่าสองเมตรภายในสามอาทิตย์
ทว่ามันก็นับว่าธรรมดาเพราะสิ่งที่น่าขยะแขยงยิ่งกว่านั้นคือมันจะพ่นอุจจาระออกมาระหว่างต่อสู้สิ่งที่มันกินเข้าไปจะไม่ถูกย่อยและขับออกทว่ามันจะเก็บอุจจาระไว้ในถุงกระเพราะของมันแทน และจะพ่นออกมาก็ต่อเมื่อจําเป็น
นอกจากนี้มันยังติดไฟได้อีกด้วยเพราะก๊าซมีเทนที่อยู่ในอุจจาระเมื่อพ่นอุจจาระออกมามันสามารถติดไฟได้อย่างรวดเร็วจากเวทมนตร์พลังทําลายของมันนั้นน่าเหลือเชื่อ
ชื่อของเทคนิคนี้ถูกเรียกด้วยว่า อุจจาระเพลิง
ผู้เล่นรายนี้ได้โพสต์วิดีโอของการต่อสู้ของเจ้าหนอนแมลงวันนี้ไว้ในกระทู้
เจ้าหนอนอ้วนสีขาวที่พ่นสิ่งปฏิกูลสีเหลืองและขาวออกมาใส่ผู้เล่นหญิงและสาดใส่เธอไปทั่วทั้งร่าง
ผู้เล่นหญิงคนนั้นหมดสติไปในทันทีดวงตาของเธอว่างเปล่าและพลังชีวิตของเธอก็ลดลงเรื่อยๆภายในเวลาไม่ถึงสิบวินาทีเธอก็ตายลงทันที
แก้มของโรแลนด์กระตุกอย่างต่อเนื่องถึงแม้ว่าจะเห็นมันผ่านหน้าจอเขาก็รู้สึกราวกับว่ากลิ่นเหม็นโชยมาอยู่รอบตัวเขา
ตอนที่ 157 : ผลประโยชน์ชิ้นใหม่
โรแลนด์ไม่คิดว่าอัลโด้จะรู้จักเจ้านี้จริงๆ
โดยสัตย์จริง เขายังสงสัยอยู่เลยในตอนแรกว่านี่มันเป็นเพียงเส้นขยุกขยิกของศิลปินที่ได้แรงบรรดาลใจสักคนหรือเปล่า
ค่ายกลเวทย์? โรแลนด์มันงงไปทันที เขาอ่านหนังสือหลายเล่มแล้วภายในหอคอยเวทย์แต่เขายังไม่เคยเจอหนังสือสักเล่มที่กล่าวถึงมัน
อัลโด้หัวเราะออกมาอย่างชั่วร้ายและกล่าวว่า เจ้าคิดว่าสิ่งที่ขุนนางผูกขาดความรู้เอาไว้มีเพียงแบบจําลองเวทย์งั้นเหรอ? มันยังมีอย่างอื่นอีก
โรแลนด์นั่งลงมีแววตาอยากรู้ปรากฎบนใบหน้าของเขา
การสะกดและการสร้างคัมภีร์ เจ้าน่าจะไม่เคยเห็นสองสิ่งนี้ในหนังสือมาก่อน!
โรแลนด์พยักหน้า
ทั้งสองเทคนิคนั้นเป็นคลาสรองของนักเวทย์ และพวกมันยากที่จะเรียนรู้ แต่สิ่งที่เป็นความลับที่แท้จริงก็คือค่ายกลเวทย์
โรแลนด์ขมวดคิ้ว ค่ายกลเวทย์…คืออะไรกันแน่? มันไม่ใช่ของธรรมดา มันเป็นหนึ่งในเทคนิคขั้นสูงที่สามารถเรียนรู้ได้เมื่อเข้าใจทฤษฎีเวทย์ขั้นสูง อัลโด้มีสีหน้าเคลิบเคลิ้ม เมื่อเจ้าสามารถเรียนค่ายกลเวทย์ได้นั่นหมายความว่าเจ้าเข้าใกล้สู่นักเวทย์ระดับตํานานแล้วและมีสิ่งหนึ่งของค่ายกลเวทย์ที่ดีมากกว่าการสําเร็จทฤษฎีเวทย์ขั้นสูงคือ มันอเนกประสงค์และสามารถทําได้หลากหลายอย่างมาก
โรแลนด์พูดขึ้น นายช่วยยกตัวอย่างหน่อยได้ไหม? ข้างใต้ของพระราชวังในฟาเลียนนั้นมีค่ายกลเวทย์ขนาดใหญ่ซึ่งสามารถเรียกใช้ได้เมื่อเกิดสงคราม มันจะช่วยสร้างอาณาเขตเวทย์ที่ครอบคลุมทั้งเมืองมีคนเคยกล่าวไว้ว่ามันสามารถต้านทานการโจมตีเต็มกําลังของกึ่งเทพได้ถึงสองคน อัลโด้มองไปยังเพดานด้วยท่าที่หลงไหล ค่ายกลเวทย์นั้นถูกสร้างขึ้นจากกึ่งเทพดัลแคนเจ้ารู้ถึงความสําเร็จในอดีตของท่านดัลแคนไหม?
โรแลนด์ส่ายหน้า
ท่านด้ลแคนนั้นคืออัจฉริยะของโลกเวทมนตร์ เขาสร้างเวทย์มากเป็นจํานวนมากไม่ว่าจะเป็นมิซไซส์เวทย์,หมัดสายฟ้า, คลื่นกระแทกยักษ์, สาดกรด, และอื่นๆอีกมาก สามารถพูดได้เลยว่าเวทย์อย่างน้อยสามบทที่พวกเราใช้อยู่ในตอนนี้คือผลงานของเขา
โรแลนด์อ้าปากค้างด้วยท่าทางประหลาดใจ
อัลโด้ยืนขึ้นและพูดต่อว่า จริงๆแล้วที่เหล่านักเวทย์เคารพเขาไม่ใช่เพราะเวทย์ที่เขาใช้นั้นรุนแรง ทว่าเพราะเขานั้นชํานาญในการสะกด, การสร้างคัมภีร์ และค่ายกลเวทย์
โรแลนด์มองไปที่อัลโด้ นั่นหมายความว่าคุณรู้จักค่ายกลเวทย์ใช่ไหมประธาน?
อย่าไปพูดถึงค่ายกลเวทย์เลย แค่การสะกดข้ายังไม่รู้เลยว่ามันเป็นยังไง ข้านั้นมันเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งที่ไม่สามารถธรรมดาไปได้มากกว่านี้อีกแล้วข้าไม่สามารถก้าวหน้าได้มากกว่านี้อีกต่อไปแล้ว
โรแลนด์ถามอย่างสงสัย แล้วฉันจะสามารถเรียนมันได้จากที่ไหนงั้นเหรอ สาขาใหญ่งั้นเหรอ?
หอคอยเวทย์ไง!
หอคอยเวทย์ในเมืองอื่น?
ไม่ใช่หอคอยเวทย์แบบนั้น แต่หมายถึงองค์กรลับต่างหาก อัลโด้อธิบายออกมา กลุ่มนักเวทย์ที่ทรงพลังด้านการกระตุ้นมารวมตัวกันและสร้างองค์กรลับขึ้นมาซึ่งถูกเรียกว่าหอคอยเวทย์สีแดงจากนั้นก็มีนักเวทย์ประเภทอื่นๆตามมาเรื่อยๆและสร้างของแบบหอคอยเวทย์สีขาว, หอคอยเวทย์สีเทา,หอคอยเวทย์สีเหลืองและอื่นๆตามมาอีกมาก
โรแลนด์หัวเราะออกมา ชื่อองค์กรแล้วตามด้วยแค่สิ่งั้นเหรอ? ดูสิ้นคิดชะมัด
อัลโด้เองก็ยักไหล่อย่างเห็นด้วย หอคอยเวทย์พวกนี้ต่างซ่อนตัวและจะออกมาเชิญคนเข้าร่วมก็ต่อเมื่อคนๆนั่นแข็งแกร่งมากพอพวกเขาจะส่งคนออกมาเพื่อสํารวจและเมื่อพวกเขาคิดว่าคนๆนั้นมีความสามารถเพียงพอพวกเขาก็จะปรากฎตัวออกมา
ลึกลับขนาดนั้นเลย?
อัลโด้รู้สึกมีความสุขที่ได้ส่งมอบความรู้ของเขาให้กับคนอื่น ถึงแม้ว่าพวกสาขาหลักของฮอลเลวิลจะมีอํานาจและดูแข็งแกร่งทว่าพวกเขาก็เปรียบได้ราวกับเด็กน้อยเมื่อเทียบกับหอคอยเวทย์จริงๆ
โรแลนด์ถอนหายใจ ดูเหมือนว่าฉันต้องหาเวลาเรียนเวทย์สะกดแล้วสินะ
ก่อนหน้านั้นเจ้าจําเป็นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการอัญเชิญสัตว์เวทย์เสียก่อน
หะ? ทําไมถึงต้องเป็นตอนนี้ละ?
หลังจากมาถึงระดับแนวหน้านักเวทย์สามารถทําพันธะสัญญากับสัตว์เพื่อให้มันกลายเป็นสัตว์เวทย์ได้ อัลโด้หันไปอีกทางพร้อมดึงหนังสือออกมาจากชั้นหนังสือของเขา และยื่นมันให้กับโรแลนด์ นี่คือเคล็บลัดในการร่ายเวทย์ของข้าและมันรวมถึงแบบจําลองของการอัญเชิญสัตว์เวทย์ รับมันไว้สิ
โรแลนด์รับหนังสือมาพร้อมมองไปที่อัลโด้แบบเงียบๆจากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า ประธานนายจะออกจากที่นี่งั้นเหรอ?
อัลโด้ตัวแข็งไปชั่วขณะพร้อมยิ้มออกมาอย่างขมขึ้น เจ้ารู้ด้วยงั้นเหรอ?
แค่เดาน่ะ
อัลโด้ถอนหายในออกมาและนั่งหลังพิงเก้าอี้ก่อนจะพูดออกมาว่า เจ้านั้นได้ทําหลายสิ่งเหลือเกินในสองสามวันที่ผ่านมานี้ ถึงกระทั่งฆ่าจอห์นทิ้ง ข้านั้นประทับใจจริงๆ
มันทําให้นายเกิดปัญหาขึ้นงั้นเหรอ?
อัลโด้โบกมือปฏิเสธ ไม่ใช่แบบนั้น ข้าแค่เห็นว่าพวกเจ้าทําสิ่งต่างๆอย่างบ้าระห่ําแล้วข้าก็เหมือนได้ปลุกบางสิ่งขึ้นมาข้านั้นยังอายุน้อยอยู่เลยและยังมีเวลาในชีวิตอีกมาก ดังนั้นทําไมข้าถึงต้องเสียเวลาในชีวิตให้กับเจ้าพวกสาขาใหญ่นั่นด้วยข้าแค่ไปประเทศอื่นก็ได้ไม่ใช่เหรอ?นักเวทย์นั้นต่างเป็นบุคคลหายากในทุกๆที่และต่อให้ข้าไปได้ไม่สวยนักแต่มันก็ดีกว่าถูกทําให้เป็นหนูโดยพวกสาขาใหญ่นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าในอีกไม่กี่วันข้าจะจากไปอย่างลับๆ
โรแลนด์เงียบไปพักหนึ่งก่อนยิ้มออกมา ฉันไม่ได้ยินอะไรเลยแม้แต่น้อย
อัลโด้หัวเราะและตบบ่าของโรแลนด์ เจ้านั้นเป็นเด็กที่ยอดเยี่ยมไม่เพียงแค่พรสวรรค์เท่านั้นแต่การควบคุมอารมณ์ของเจ้าก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันในอนาคตเจ้าจะกลายเป็นคนมีอิทธิพลอย่างแน่นอน
ลืมเรื่องที่จะกลายเป็นคนมีอิทธิพลไปก่อนเถอะ ฉันนั้นสนใจเพียงแค่เวทมนตร์เท่านั้นในตอนนี้ โรแลนด์มองไปรอบๆ เมื่อนายรู้จักเวทย์อัญเชิญสัตว์เลี้ยง แล้วสัตว์เลี้ยงของนายไปไหนซะละประธาน?
มันจากไปแล้ว มันถูกฆ่าโดยคนจากสาขาใหญ่ ดวงตาของอัลโด้เต็มไปด้วยประกายของความเกลียดชังและความแค้น นักเวทย์แต่ละคนสามารถทําสัญญาได้กับสัตว์เลี้ยงเพียงตัวเดียวเท่านั้นในชั่วชีวิตเจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าหมายถึงยังไง
โรแลนด์ถอนหายใจ มันเหมือนกับฆ่าคนในครอบครัวไปสินะ
นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมความโกรธแค้นของข้ากับสาขาใหญ่ถึงไม่มีวันหายไป อัลโด้หัวเราะแห้งๆ
โรแลนด์ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะพูดอะไร ถ้าเขาพูดให้กําลังใจมันก็จะเหมือนทําให้อัลโด้เป็นคนอ่อนแอ แต่ถ้าหากเขาไม่พูดเขาก็จะดูเป็นคนเลือดเย็น
ทว่าท่าทางของอัลโด้ก็กลับมาเป็นปกติ เขาโบกมือเพื่อเปลี่ยนเรื่อง เอาเถอะ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ…ตั้งแต่นี้ต่อไปหอคอยเวทย์คงต้องฝากให้เจ้าดูแลด้วย วิเวียนเองก็เป็นผู้หญิงที่ดีทําตามสิ่งที่เจ้าคิดว่าเหมาะสมเถอะ
โรแลนด์นั้นยังคงมีคําถามอีกมาที่ต้องการจะถาม ทว่าเห็นได้ชัดว่าอัลโด้ไม่อยากจะพูดอะไรอีก
หลังจากบอกลาโรแลนด์ก็กลับมายังหอคอยเวทย์พร้อมกับหนังสือเวทย์อัญเชิญสัตว์เลี้ยง
เมื่อเขานั่งลง วิเวียนก็นําน้ําผลไม้สดมาเสิร์ฟทันที รองประธานท่านออกไปข้างนอกมาเสียนานท่านคงกระหายน้ํา
โรแลนด์มองไปที่วิเวียนและถามว่า เธอเคยได้ยินเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเวทย์บ้างไหม?
วิเวียนพยักหน้าออกมา ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับพวกมันมาก่อน ทว่ามีคนกล่าวไว้ว่ามีเพียงนักเวทย์ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถทําสัญญากับสัตว์เวทย์ได้
ถ้าหากเธอต้องการทําสัญญากับสัตว์เวทย์เธอจะทําสัญญากับตัวอะไร?
แน่นอนว่าต้องเป็นยนิคอร์น ดวงตาของวิเวียนเป็นประกาย ข้าได้ยินมาว่ามันเป็นตัวแทนของหญิงบริสุทย์
โรแลนด์มีใบหน้าที่สิ้นหวังทันที
แม้ว่าเขาจะมีความรู้เกี่ยวกับโลกของเวทมนตร์ไม่มากนัก ทว่าเขาก็รู้ดีว่ายูนิคอร์นนั้นหายากและจะปรากฎตัวขึ้นที่ดินแดนของพวกเอลฟ์เท่านั้น
การที่วิเวียนต้องการทําสัญญากับยูนิคอร์น แสดงว่าในใจของวิเวียนนั้นยังไร้เดียงสาอยู่เลยทีเดียว
ตอนที่ 156 : แปลกๆ
ตรงกลางหน้าจอนั้นเป็นภาพวาด แต่เขาสัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่แค่ภาพวาดธรรมดาๆ
แบบจําลองเวทย์ก่อนหน้าที่โรแลนด์เคยเห็นผ่านตาและเรียนรู้ทุกจุดและทุกบรรทัด แต่ทว่าแบบจําลองเวทย์นี้เป็นรูปแบบสี่เหลี่ยม
มันเป็นบล็อกสี่เหลี่ยมยาวเรียงต่อกัน และมีสีเขียวที่ดูสับสนและวุ่นวาย ทว่ามันก็เป็นรูปแบบที่เป็นเอกลักษา
มันราวกับเป็นการวาดภาพแอบสแตกและวินเทจ
โรแลนด์พบว่าตัวเขานั้นไม่เข้าใจมันแม้แต่น้อย
หรือนี่จะเป็นภาพเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม? แต่ว่ามันก็ไม่ดูคล้ายกับอะไรเลย
หลังจากมองอยู่ระยะหนึ่งเขาก็ส่งข้อความหาโอนีล ฉันไม่เข้าใจมันเหมือนกัน ฉันขอทําสําเนาไว้ได้ไหม?เมื่อฉันเข้าเกมฉันจะถามอัลโด้เกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อเขาจะรู้อะไรบ้าง
เอาตามที่นายสะดวกเลย
หลักจากพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับโอนีลเสร็จ ทั้งคู่ก็ออฟไลน์ทันที
ในขณะเดียวกันโรแลนด์ก็ไปช่วยที่บ้านทํางานบ้าน และพอตกเย็นเขาก็ขอยืมที่บุหรี่ของพ่อหลังจากทําความสะอาดมันเสร็จแล้วเขาก็นําธูปหอมเข้าไปใส่และเริ่มจุดไฟ
หลังจากนั้นเขาก็นั่งลงขัดสมาธิและทําสมาธิ
บางทีอาจจะเป็นเพราะธูปหอม ทําให้การทําสมาธิของเขาเป็นไปได้ด้วยดีมาก และหลังจากนั้นเขาก็ปวดขาและรีบลืมตาขึ้นทันที เขาพบว่าตอนนี้มันเที่ยงคืนแล้ว
เชี่ย***! โรแลนด์กระโดดลงจากเตียงของเขา พร้อมเปลี่ยนไปใส่ชุดนอนและเข้าไปนอนลงบนแคปซูลเกม
อาจจะเป็นเพราะการทําสมาธินั้นเป็นไปได้ด้วยดีเกินไปดังนั้นท่าให้เขานอนไม่หลับ เขาใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการกลิ้งไปกลิ้งมาในแคปซูลเกมก่อนที่เขาจะสามารถหลับลงได้
เมื่อเขาเข้าเกม เขาก็เห็นวิเวียนอยู่ภายในห้องวิจัยของเขาและมองมาทางเขาราวกับเห็นผีและจากนั้นท่าทางของเธอก็เริ่มสงบลง
โรแลนด์ลองคํานวนดูว่าเขานั้นไม่ได้เข้าเกมมาสามชั่วโมง นั่นหมายความว่ามันผ่านไปเก้าชั่วโมงแล้วหลังจากครั้งสุดท้ายที่เวลาหยุดลง
ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เป็นเวลากว่าเก้าชั่วโมงแล้วที่เขาไม่ได้อยู่ในหอคอยเวทย์
ไม่แปลกใจว่าทําไมวิเวียนถึงมีท่าทีแบบนั้น
โรแลนด์ยิ้มด้วยท่าทางขอโทษขอโพย นี่ฉันทําให้เธอกลัวรึเปล่า?
วิเวียนพยักหน้ารัวๆ รองประธานจู่ๆท่านก็หายตัวไปและไม่มีใครเห็นท่านเลยในเวลาหลายชั่วโมงเหล่าทหารยามต่างก็บอกว่าท่านนั้นไม่ได้ออกจากหอคอยเวทย์ไปท่านทําให้พวกเรารู้สึกกลัวพวกเรามองหาท่านในทุกๆที่ทว่าก็ไม่เจอตัวท่านเลยพวกเราคิดว่าบางที่ท่านอาจจะถูกกลืนกินไปโดยมิติบางอย่างเพราะถึงอย่างไร ท่านนั้นก็ฝึกเวทย์มิติอยู่
ทันใดนั้นเองใบหน้าที่งดงามของวิเวียนก็ซีดลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเธอหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ฉันแค่กลับไปมิติของฉันน่ะ ทันใดนั้นโรแลนด์ก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย โอ้ใช่ฉันพึ่งปรากฏตัวขึ้นมาใช่ไหม?ตอนฉันปรากฏตัวเป็นยังไงบ้าง?
วิเวียนคิดเล็กน้อยก่อนพูดขึ้นว่า มันเป็นกลุ่มก้อนสีเขียวซึ่งปรากฏออกมาจากที่ไหนสักแห่งและมันก็กลายมาเป็นท่าน
หม…นี่เป็นเอฟเฟคเวลาล็อคอินเข้าเกมสินะ
วิเวียนมองไปยังโรแลนด์จากนั้นก็วางมือของเธอลงบนโต๊ะพร้อมกล่าวว่า รองประธานครั้งหน้าหากท่านจะต้องกลับไปยังมิติของท่านเป็นเวลานานได้โปรดบอกข้าก่อนอย่าได้ทําให้ข้าเป็นกังวล
หลังจากมองไปที่ท่าทาง ดุดัน ของวิเวียน โรแลนด์ก็มองเข้าไปที่คอเสื้อของเธออีกครั้งจากนั้นก็นิ่งค้างไปสองวิ
เนื่องจากมันเป็นส่วนที่น่ารักของผู้หญิง วิเวียนก็สะดุ้งไปทันที ใบหน้าของเธอแดงฉ่า จากนั้นเธอก็ยืนตัวตรงทันทีพร้อมมองโรแลนด์อย่างโกรธเคืองและเดินออกจากห้องวิจัยไปทันที
โรแลนด์ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนเดินออกจากหอคอยเวทย์ไป
เหล่าทหารยามที่เฝ้าหอคอยก็โล่งใจขึ้นทันที
พวกเขานั้นกลัวจริงๆว่ารองประธานจะหายตัวไป
โรแลนด์มาถึงที่ท่าเรือและพบเข้ากับฮอร์กที่อยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่สุด
ในตอนนี้ลิงค์และเจ็ทเองก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
พวกเขาทักทายโรแลนด์เมื่อเห็นเขามาถึง ฮอร์กก็พูดออกมาทันที นายมาสายชั่วโมงนึงนะ
โทษที่มีปัญหานิดหน่อยเลยทําให้ฉันเข้าเกมชํานิดหน่อยกว่าจะได้เข้าเกมก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว โรแลนด์พบเก้าอี้และนั่งลงจากนั้นก็ถามว่า ทําไมจู่ๆนายถึงเรียกประชุมกันละ?
ฮอร์กเองก็นั่งลงเช่นกันพร้อมมองไปรอบๆและพูดว่า พวกเราต้องพูดคุยเกี่ยวกับทิศทางของเดลพอลต่อจากนี้พวกเราทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้เล่นดังนั้นเป็นธรรมดาที่พวกเราควรจะเป็นพันธมิตรกันและมีบางอย่างที่พวกเราต้องคุยกันก่อนไม่อย่างนั้นมันอาจจะเกิดปัญหาเรื่องมีผลประโยชน์ทับซ้อนกันได้
พวกนายคุยกันแค่สามคนก็ได้ไม่ใช่เหรอ? โรแลนด์โบกมือของเขา ฉันไม่ได้มีกองกําลังอะไรสักหน่อย
ฮอร์กหัวเราะออกมา นายคิดว่าตัวเองไม่มีกองกําลังงั้นเหรอ? หอคอยเวทย์ไงกองกําลังของนายฉันได้ยินว่าตอนนี้อัลโด้ไม่ทําเชี่ยอะไรเลย และนายมีหน้าที่ควบคุมดูแลหอคอยเวทย์ทั้งหมด
อีกสองคนก็หัวเราะออกมาเบาๆ
โรแลนด์ขมวดคิ้ว
เพราะถึงยังไงหอคอยเวทย์นั้นมีอิทธิพลมาก ฮอร์กกล่าวอย่างจริงจัง ฉันต้องการบางสิ่งในเดลพอลฉันต้องการทําความฝันของฉันบางอย่างที่ไม่สามารถทําในโลกจริงได้ให้สําเร็จดังนั้นฉันหวังสิ่งต่างๆมากขึ้นและพวกเราเหล่าผู้เล่นล้วนแล้วแต่สร้างปัญหากันเองดังนั้นฉันคิดว่าต้องทําให้มันถูกต้องเสียก่อนฉันเลยอยากทําให้ทุกอย่างชัดเจนไปเลย
คิดจะแบ่งกองกําลังกันเร็วขนาดนี้เลยหรอ?
โรแลนด์มองไปทางฮอร์ก พร้อมยิ้มออกมาฝืนๆ เขารู้ดีว่านี่เป็นเรื่องปกติ มันมีสิ่งที่น่าสนใจ และสิ่งที่ น่าสนใจ ภายในเดลพอลนั้นค่อนข้างยอดเยี่ยม
ไม่ว่าฮอร์ก, ลิงค์ หรือเจ็ท ต่างมีความต้องการเป็นของตัวเอง
โรแลนด์เองก็มีความต้องการเช่นกัน เขาต้องการเพียงแค่เหรียญทองและไม่ต้องการมันอย่างรีบร้อนอะไร
ดูเหมือนพวกนายจะตกลงกันไว้ก่อนแล้วสินะ โรแลนด์ส่ายหัวออกมา ฉันยังคงมีเงื่อนไขเหมือนเดิมคือฉันจะรับส่วนแบ่งจากภาษีของเมืองเอาไว้และสําหรับพื้นที่หรือองค์กรอื่นๆฉันจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวแน่นอนว่าหอคอยเวทย์นั้นจะยังคงเป็นเหมือนแต่ก่อน และฉันหวังว่าไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นพวกนายจะไม่มาสร้างปัญหาให้หอคอยเวทย์
คําพูดนี้ราวกับจะเป็นสัญญาระหว่างพวกเขาทั้งสี่
ฮอร์กถอนหายใจ ในเมื่อนายไม่มีข้อโต้แย้ง ดังนั้นถือว่าตกลงนะ
โรแลนด์ยืนขึ้นพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม ฉันมีเรื่องอื่นที่ต้องทํางั้นขอตัวก่อน
เมื่อมองโรแลนด์จากไป ลิงค์ก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย เมื่อวานนี้พวกเราทั้งสี่ต่างร่วมรบเคียงข้างกันอยู่เลยแล้วทําไมวันนี้มันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้
มันช่วยไม่ได้ พวกเรานั้นต้องทําหน้าที่แทนทั้งกิลด์ ฮอร์กเองก็มีความเจ็บปวดอยู่บนใบหน้าเช่นกัน หัวหน้ากิลด์ของพวกเราตั้งจะย้ายทั้งกิลด์มาอยู่ที่นี่ ดังนั้นพวกเราจําเป็นต้องสร้างอาณาเขตของพวกเราไว้
เจ็ทยืนขึ้นพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม งั้นฉันเองก็ขอตัวนะ หวังว่าจะเป็นเพื่อกับพวกนายไปได้ตลอดและหวังว่าพวกเราจะไม่ต้องเจอกันในสนามรบ
ฮอร์กและลิงค์ทั้งคู่ต่างพยักหน้า
โรแลนด์เดินออกจากท่าเรือและเดินไปตามถนน ราวกับสูญเสียบางสิ่งไป
เขาเข้าใจว่าทําไมฮอร์ก ลิงค์ หรือกระทั่งเจ็ทถึงมีความคิดแบบนั้น แต่การที่เข้าใจไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้สึกแย่
เมื่อวานพวกเขายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่เลยสนิทกับเหมือนปมเชือก และตอนนี้เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างตั้งท่าและสงสัยกันและกันเพียงเพราะผลประโยชน์
ผลประโยชน์เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถอดใจไว้ได้ โรแลนด์เองก็เช่นกัน
โรแลนด์เดินช้ๆไปยังคฤหาสน์ของอัลโด้
หลังจากเห็นอัลโด้ โรแลนด์ก็วางแบบจําลองเวทย์อันใหม่ที่เขาได้รับมาลงบนหน้าของอัลโด้ ประธานนายรู้รึเปล่าว่านี่มันคืออะไร?
อัลโด้มองมันสักพักและพูดออกมาด้วยท่าที่แปลกประหลาด เจ้าได้สิ่งนี้มาจากไหนกัน
นายรู้จักงั้นเหรอ? โรแลนด์รู้สึกยินดีทันที
อัลโด้พยักหน้า มันคือค่ายกลเวทย์!
ตอนที่ 155 : เคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว
โรแลนด์นั้นเงียบมาก เขายืนอยู่ในท่าเตรียมพร้อม มือทั้งสองจับดาบดาบเอาไว้ขณะที่ส่วนของปลายดาบนั้นพาดไปที่ไหล่ซ้ายของเขา
นั่นเป็นเพราะดาบเหมียวเยาวมาก และมันค่อนข้างเงอะงะหากถือมันด้วยมือเดียว ทั้งยังเป็นไปไม่ได้ที่จะพาดไว้ที่เอว ยิ่งกว่านั้นมันยิ่งยากที่จะนําออกมาใช้หากแบกมันไว้ที่หลัง
เพราะเหตุนั้นดาบเหมียวเด็จึงมันพาดอยู่ที่บ่าตลอดเวลา ซึ่งช่วยทําให้มันง่ายต่อการแบก และการเคลื่อนไหวในการฟาดฟันด้วยดาบเหมียวเต๋าส่วนมากมักจะเริ่มจากท่าทางแบบนี้ก่อนเสมอ
ดาบไม้ของลี่หลินยังคงฟาดกระทบพื้นไปอย่างต่อเนื่อง เสียงกลายเป็นรุนแรงมากขึ้นๆเรื่อยๆเมื่อยามที่ลี่หลินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งซีฉากหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเขาห่างจากโรแลนด์เพียงแค่สามเมตร ดาบไม้ก็ฟาดลงบนพื้นคอนกรีตที่รุนแรงหนักกว่าเดิม และใช้แรงผลักนั้นช่วยส่งเขาไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็ฟาดดาบที่อยู่ในมือขวาของเขาลง
ความรวดเร็วของการจู่โจมนี้รวดเร็วมาก ราวกันสายฟ้า
ทว่าการตอบสนองของโรแลนด์นั้นเร็วกว่า ตอนที่ลี่หลินฟาดดาบยาวมาที่เขา เขาก็ได้หลบไปก่อนแล้ว
เขาก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว ขณะที่ปักดาบลงด้วยแรงจากข้อมือของเขา
โรแลนด์ถอยออกมาอย่างรวดเร็ว ดาบของหลินจึงฟาดฟันได้เพียงอากาศเท่านั้น ต่อที่ลี่หลินจะถอนดาบกลับมาได้ ดาบเหมียวเดําของโรแลนด์ก็ฟาดไปที่ไหล่ของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ดาบเด้งขึ้นพร้อมเกิดเสียงกระแทก นี่เป็นผลจากการที่โรแลนด์ออมแรงของเขาเอาไว้
หยุด!
ในด้านข้างสนามฉีเฉาช่ตะโกนออกมา โรแลนด์ชนะ
ลี่หลินนําเครื่องป้องกันออกจากนั้นก็จับไปที่ไหล่ของเขาด้วยความงุนงง ถึงแม้ว่าเขาจะสวมเครื่องป้องกันอยู่และโรแลนด์ก็ได้ออมแรงเอาไว้ แต่ไหล่ของเขาก็ยังรู้สึกปวดอยู่ดีจากการกระแทก
เขาถามออกมาอย่างประหลาดใจ ไหงนายถึงมีการตอบสนองที่เร็วขนาดนั้นว่ะ?
โรแลนด์ยิ้ม บางที่อาจจะเพราะฉันมีพรสวรรค์ก็ได้
ลี่หลินเดาะลิ้นและไม่พูดอะไรอีกผู้เชี่ยวชาญนักล้วนแล้วแต่พูดจริงหรือเท็จปนไปปนมา ถึงแม้ว่าลี่หลินจะไม่ได้ฝึกกับอาวุธจริงๆมาก่อน แต่เขาก็ฝึกดาบของกองทัพมานานเกือบครึ่งปีแล้วในเกม เขาฝึกสู่เกือบจะพันครั้งด้วยซ้ําถ้านับจากทั้งหมด การตายของเขาเกินยี่สิบครั้งไปแล้ว และเพราะการตายไปหลายครั้งทําให้เขาสูญเสียค่าประสบการณ์ทําให้ตอนนี้เขายังไม่เลเวล 5 เลยด้วยซ้ํา
หลังจากผ่านการต่อสู้มามากมายเขาก็เข้าใกล้ขีดจํากัดในการต่อสู้ระยะประชิดของเขา และถึงแม้ว่าเขาจะเลื่อนระดับขึ้นหรือเรียนความสามารถพิเศษต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ช่วยเพิ่มค่าตัวเลขมากกว่าทักษะจริงๆ ของเขา
เมื่อพบกับผู้เล่นที่มีอุปกรณ์คล้ายคลึงกันและอยู่ในระดับเดียวกัน เขาอาจจะเสียเปรียบเป็นอย่างมากหากศัตรูมีทักษะที่ดีกว่าเขา
ด้วยความคิดนั้นในหัวเขาเลยใช้เวลาออฟไลน์มาเพื่อฝึกใช้อาวุธจริง
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เหมาะกับเทคนิคนี้นัก ทว่าเขาน่าจะฝึกการมองเห็นได้เป็นอย่างดี
การตอบสนองของโรแลนด์เมื่อครู่นั้นรวดเร็วมาก และทันทีที่เขายกแขนขึ้นมาเพื่อโจมตี โรแลนด์ก็ได้ถอยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มันแทบจะเกิดขึ้นพร้อมกัน
ไม่อย่างนั้นดาบของเขาคงไม่พลาดง่ายดายขนาดนี้
คนที่เร็วกว่าจะตอบสนองได้เร็วกว่า? ลี่หลินรู้สึกไม่ยุติธรรมเล็กๆภายในใจ เขานั่งลงพิงกับเสาคอนกรีตข้างๆเขา คนธรรมดาจะมีชีวิตรอดได้ไวหากพวกมีพรสวรรค์อย่างนายเก่งถึงขนาดนี้
โรแลนด์หัวเราะออกมาพร้อมถอดชุดป้องกันออก แต่นายมีเงินไง
เมื่อลี่หลินได้ยินเขากระทั่งดูหงุดหงิดกว่าเดิมอีก เขาพูดอย่างหงุดหงิดว่า พูดตรงๆนะ นั่นมันบทพูดของพวกเจ้าถิ่นตัวประกอบไม่ใช่เหรอ เมื่อเจอพวกอัจฉริยะและจะรังแกพวกเขา? ไม่สําคัญว่าแกจะเก่งมาจากไหน ฉันแค่ต้องพูดออกไปว่าฉันมีเงิน เขาก็จะดูแลฉันอย่างดี นี่แหละชีวิตในโลก…
ฉีเฉาชู่หัวเราะพร้อมเดินเข้ามาและพูดว่า เท่าที่เห็นพื้นฐานนายต่ํามาก ไม่สามารถเคลื่อนไหวในขณะถือดาบด้วยซ้ํา งั้นเราคงต้องเริ่มฝึกกันตั้งแต่ต้น
ลี่หลินขัดใจเล็กน้อย
เมื่อลี่หลินอยู่ภายใต้การสอนของฉีเฉาชู่ เขาก็เริ่มตั้งแต่เรียนการเคลื่อนไหวพื้นฐานก่อนในขณะที่โรแลนด์นั้นเริ่มฝึกตามปกติ
เมื่อถึงตอนเที่ยงโรแลนด์กําลังจะกลับมาซีฉากดึงเข้าไว้พร้อมถามว่า การฝึกเต๋าแห่งการหมุนเวียนพลังชีวิตเป็นยังไงบ้าง?
โรแลนด์ส่ายหัวออกมา ไม่คืบหน้านัก
มันเป็นความจริงเขาไม่ก้าวหน้านัก ในปัจจุบันเขาใช้เวลากว่าชั่วโมงก่อนเข้าเริ่มเกมเพื่อฝึกนั่งสมาธิ
แต่เขาไม่ได้รู้สึกถึงปาฏิหารย์ใดๆเลยในตอนนี้ ไม่รู้สึกด้วยซ้ําว่าพลังฉีก่อตัวรึยัง
ถ้าหากเขาต้องบอกถึงความก้าวหน้าก็คงมีแค่เขาไม่ปวดขาขณะนั่งขัดสมาธิแล้วและดูเหมือนเขาจะเริ่มชินกับมันแล้ว
ไม่จําเป็นต้องรีบหรอก นายพึ่งฝึกมันได้เดือนเดียวเท่านั้น ฉันใช้เวลาฝึกเกือบปีกว่าจะสัมผัสได้ถึงพลังฉี ซีฉามองมาที่เขาก่อนจะยัดอะไรบางอย่างเข้ามือของเขา นี่เป็นธูปหอมที่มีฤทธิ์ช่วยสงบใจฉันมักจะจุดมันเมื่อ มีปัญหาในการฝึกฉี ลองเอาไปดูก็ได้
ธูปหอมมันแพงมากไม่ใช้เหรอ? โรแลนด์เห็นธูปหอมถูกห่อไว้ด้วยผ้าเช็ดหน้าซึ่งมีเนื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ และจับสบายอย่างมากมันไม่ใช่ของที่ท่าจากโรงงานเหมือนจะเป็นของทํามือเสียมากกว่า เดี๋ยวฉันจ่ายเงินให้
ทําไมพวกผู้ชายที่โตแล้วถึงชอบคิดมากกันนัก! มันไม่แพงสักหน่อย ซีฉาพูดออกมาเสียงนุ่มจากนั้นก็หันและเดินออกไปทันที
ขอบคุณนะ โรแลนด์โบกมือให้กับซีฉา
ทันใดนั้นเอง ลี่หลินก็เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม ผู้หญิงคนนี้เป็นไงบ้าง?
เยี่ยมมากเลยหละ ทั้งเป็นแม่บ้านแม่เรือนและถึงจะดูเย็นชา แต่จริงๆแล้วเธอเป็นคนแข็งนอกอ่อนในจริงๆ แล้วเธอเป็นคนดีมากหากเป็นคนที่เธอสนิทหรือรู้จัก
โรแลนด์คิดและแสดงความเห็นออกมา
นั่นเหมาะจะเป็นภรรยาเลยที่เดียว ลี่หลินหัวเราะออกมาจากนั้นก็ถามว่า นายอยากให้ฉันไปส่งไหม
ไม่เป็นไร ฉันเอาจักรยานมาด้วย โรแลนด์โบกมือปฏิเสธ
เอางั้นก็ได้ งั้นฉันขอตัวก่อน
พวกเขาแยกกันที่หน้าสโมสรดาบและรถสปอร์ตสีแดงก็ขับออกไป
ในขณะที่โรแลนด์ขี่จักรยานอย่างช้าๆกลับบ้าน
หลังจากมื้อเที่ยงโรแลนด์ก็เริ่มท่องฟอรั่มเหมือนปกติ จากนั้นเขาก็พบผู้รวบรวมข้อมูลโอนีลส่งข้อความส่วนตัวมาหาเขา บอกว่าให้เขาเข้าไปดูในแชทให้เร็วที่สุด เมื่อเห็นข้อความเขาก็คิดว่าน่าจะมีเรื่องสําคัญบางอย่าง
จากนั้นเมื่อโรแลนด์เปิดกลุ่มแชทขึ้นมา โอนีลนั้นออนไลน์อยู่แล้ว และเมื่อเขาเห็นโรแลนด์ออนไลน์เขาก็รับส่งข้อความมาทันที
เมื่อวานมีผู้เล่นพบภาพวาดแปลกๆขายอยู่ในตลาดมืดภายในเมืองหลวงมันดูคล้ายกับแบ่งจําลองเวทย์มาก เขาส่งมาให้ฉันดูสามส่วนแล้วฉันเองก็คิดว่ามันน่าจะใช่ ฉันเลยยอมจ่ายเงินซื้อมันมา
แล้วทําไมละ? โรแลนด์ถาม
ฉันไม่เข้าใจมันน่ะสิ!!!!!!
โอนีลาเครื่องหมายตกใจจํานวนมาก
จากนั้นเขาก็พูดต่อ
แบบจําลองเวทย์ที่พวกเราพบมากว่าหกเดือนนั้นล้วนแล้วแต่มีที่มาเหมือนกัน ทว่าแบบจําลองเวทย์อันนี้ไม่เหมือนกับแบบจําลองเวทย์ในระบบที่พวกเราเรียน
เวทย์ของเอล์ฟ? โรแลนด์ถาม
เป็นไปได้
โรแลนด์คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามออกมาว่า ฉันขอดูหน่อยได้ไหม?
ได้เลย ถ้าหากนายพบอะไรบางอย่างฝากบอกฉันด้วยละกัน
โรแลนด์ตอบกลับไป ไม่มีปัญหา
ไม่นานนักก็มีเมลถูกส่งมา
โรแลนด์เปิดไฟล์ที่แนบมาซึ่งมันเป็นภาพวาดแปลกๆอยู่ตรงกลางจอคอมพิวเตอร์
ตอนที่ 154 : มาสู้กับฉัน!
ลี่หลินเดินเข้ามาหาโรแลนด์พร้อมพูดด้วยท่าที่ประหลาดใจ โรแลนด์ ไหงนายมาอยู่ที่นี่เนี่ย?
โรแลนด์มองไปที่หัวของหลิน พร้อมกระบนจมูกและพูดว่า เดี๋ยวเรื่องนั้นค่อยว่ากัน เกิดอะไรขึ้นกับหัวนายกันน่ะ ไหงมันถึงเป็นสีน้ําเงิน?
ตอนนี้หัวของลี่หลินเป็นสีน้ําเงิน ทําให้ดูประหลาดมากๆ
สีแดงและสีน้ําเงินมันคู่กันดีไง ลี่หลินยิ้มออกมาก่อนหน้าฉันเจอสาวคนหนึ่งเธอย้อมผมสีแดง ดังนั้นฉันเลยย้อมผมสีน้ําเงิน
โรแลนด์ถึงกับหมดคําพูด เจอที่ไนซ์คลับอีกแล้วสินะ? ใช่ หลินตอบโดยไม่สนใจ ก็เหมือนที่นายรู้นั่นแหละ ฉันมักจะไปที่แบบนั้นอยู่เสมอ แต่ช่วงนี้นายน่าจะเล่นเกมอยู่ไม่ใช่เหรอ ไหงนายถึงไปไนซ์คลับได้อีกละ? ฉันแค่ไปดื่มนิดหน่อย แล้วก็นั่งมองดูรอบๆ และก็กลับบ้านก่อน 4 ทุ่ม
โรแลนด์ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ สี่ทุ่มไนซ์คลัยยังไม่ถือว่าเปิดดีเลยด้วยซ้ํา แต่เจ้าหมอนก็ยังอุตส่าห์จะได้สาวอีกนะ?
ตอนนั้นเองลี่หลินก็มองไปที่โรแลนด์ที่อยู่ในชุดไม้ไผ่ นายเองก็ฝึกดาบที่นึ่งั้นเหรอ? นายคือคนที่โค้ชบอกว่าพรสวรรค์ใช่ไหม? ฉันเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวของที่นี่ ส่วนเรื่องที่ฉันมีพรสวรรค์หรือไม่ก็อีกเรื่อง
โอ้! ลี่หลินพยักหน้าและพูดกับฉีเฉาช โค้ชฉันขอจ่ายค่าเรียนเลยละกัน
ฉีเฉาชู่มองไปมาระหว่างลี่หลินและโรแลนด์อยู่ระยะหนึ่งก่อนจะถามว่า พวกนายรู้จักกันสินะ แต่ยังไงก็เถอะจะไม่คิดดูสักหน่อยเหรอ? เพราะถึงยังไงมันก็ตั้งสามหมื่นหยวน ถ้าจ่ายแล้วฉันไม่คืนเงินนะ น้องชายฉันเรียนอยู่ที่นี่ พวกนายน่าจะสอนได้เยี่ยมระดับหนึ่ง ลี่หลินหยิบโทรศัพท์ของเขาออกมา
งั้นก็รับเลย! ฉีเฉาชู่ยกนิ้วโป้งให้เขาและตะโกนกลับเข้าไปในครัว น้องสาวออกมาเก็บเงินหน่อย
ไม่นานนัก ซีฉาก็เดินออกมาจากครัว
เธอนั้นสวมท่าทีที่เย็นชา และท่าทางของเธอก็ดูเย็นชามากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นหัวสีน้ําเงินของลี่หลิน
ทว่าดวงตาของลี่หลินเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะมองไปยังซีฉาด้วยความสนใจ
ซีฉาแสดง QR Code ของเธอด้วยท่าที่เฉยชาและหลังจากลี่หลินแสกนมันเสร็จแล้ว เธอก็เดินเข้าไปหาโรแลนด์และดึงเสื้อของเขาเบาๆ มาช่วยฉันหน่อยส์ ฉันย้ายของบางอย่างเองไม่ไหว ได้เลย โรแลนด์ตอบตกลงโดยไม่คิดอะไรมาก
ทั้งสองก็เดินออกไป
ทว่าเมื่อหลินมองไปยังซีฉาที่ดึงเสื้อของโรแลนด์ เขาก็ครุ่นคิดขึ้นมาทันที ความสนใจในดวงตาของเขาหายไปอย่างรวดเร็วและหายไปจนไร้ร่องรอย
เขาหัวเราะออกมาเบาๆและพึมพัมออกมา ฉันไม่คิดเลยว่าเจ้าเด็กโรแลนด์จะหาสาวได้ในที่แบบนี้
จากนั้นเขาก็หันไปถามฉีเฉาชู่ โค้ช โรแลนด์มาเรียนที่นี่นานรึยัง? ประมาณสี่เดือนแล้ว
ฉีเฉาสู่สงสัยว่าทําไมลี่หลินถึงถามคําถามนี้กับเขา เมื่อคิดว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนกัน เขาเลยคิดว่ามันไม่เสียหายที่จะพูด
เจ้าหมอนั่นเก็บความลับได้ดีจริงๆ เจ้าหมอนี่เรียนที่นี่เพราะเจอสาวสวยแน่ๆ ลี่หลินพึมพัมออกมา
ฉีเฉาช่เขาก็เข้าใจนิดหน่อย เขาอยากจะบอกว่าสองคนนั้นยังไม่ใช่แฟนกันสักหน่อย ทว่าเมื่อคิดถึงน้องสาวของเขาที่แอบชอบโรแลนด์ เขาก็อดทนเอาไว้เพราะกลัวจะพูดบางอย่างที่จะทําลายความสัมพันธ์ของพวกเขาลง
ไม่นานนัก โรแลนด์ก็เดินออกมาจากภายในครัว
เมื่อหลินมองมาทางเขา เขาก็ยิ้มพูดขึ้นมาว่า ทําไมไม่ใช้เวลากับสาวงามให้มากกว่านี้อีกหน่อยละ?
หือ? โรแลนด์มีนงงไปพักหนึ่ง เขารู้ว่าลี่หลินเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปเขาจึงพูดแก่ไปว่า ซีฉากับฉันเป็น แค่เพื่อนกันเท่านั้น ตบตาต่อไปเถอะ หลินมองตรงเข้ามาที่น่าของเขา นายหลอกฉันไม่ได้หรอก
โรแลนด์ถอนหายใจเบาๆ และถามกลับว่า ทําไมจู่ๆนายถึงอยากเรียนดาบ? ฉันได้เรียนแค่เพลงดาบกองทัพภายในเกมเท่านั้น แล้วตอนนี้มันก็ติดคอขวดแล้ว ลี่หลินพูดออกมาอย่างสิ้นหวัง เพราะผู้เชี่ยวชาญที่เป็นคนเถื่อนต่างถูกดูถูกภายในเกม ฉันต้องการเรียนเพลงดาบที่ดีกว่านี้แต่ก็ไม่มีใครสอนฉันเลย ฉันเลยคิดว่าจะมาเรียนในโลกจริงแทน เลยจบลงที่ต่อสู้กับพวกนักเรียนที่ฝึกดาบแต่พวกนั้นโคตรกากฉันเลยไปบอกกับเจ้าของสโมสรซึ่งเมื่อได้ยินก็ไม่พอใจและเข้าสู่กับฉัน สุดท้ายฉันก็จัดการทั้งหมดลงได้รวมถึงพวกผู้ฝึกสอนด้วย
โรแลนด์หัวเราะจนน้ําตาไหลออกมา นายไม่ได้ลดนิสัยใจร้อนลงเลยนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะสร้างปัญหาสักหน่อย ลี่หลินพูดออกมาอย่างดุร้าย พวกนั้นมันโง่และพวกนั้นกลับไม่ยอมรับฟังมันเองนี่หว่า พวกนั้นต้องการจะจัดการฉันเพื่อพิสูจน์ว่าฉันพูดผิดแล้วฉันจะไม่โกรธได้ยังไง?
ในตอนนี้ฉีเฉาสู่ก็พูดขัดขึ้นมา นายเองก็เล่นเกมเสมือนจริงใช่ไหม ไม่แปลกใจว่าทําไมการเคลื่อนไหวของนายถึงดูคล่องแคล่วและดุร้ายนัก แต่รากฐานนายไม่ดีนัก จริงอยู่ที่นายมีประสบการณ์การต่อสู้และการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง แต่รากฐานของนายนั้นแย่มาก ฉันกําลังสงสัยอยู่เลยว่าทําไม…เป็นแบบนี้เองสิ้นะ
โรแลนด์กระพริบตา งั้นนายกับพี่ฉีก็สู้กันเมื่อวานสินะ?
ลี่หลินรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขาโม้เกี่ยวกับสโมสรดาบนี่มาก แน่นอนว่าฉันต้องลองสักหน่อย
โรแลนด์ยิ้มออกมา นายแพ้ใช่ไหมละ? ฉันแพ้แต่ไม่ได้แพ้ขาดรอยสักหน่อย หลินแก้ตัว
ฉีเฉาชู่หัวเราะออกมาจากด้านข้างอย่างเป็นสุข นั่นเป็นเพราะฉันออมมือให้ต่างหาก ฉันกลัวว่าหากเอาจริงเกินไปนายจะอายและเปลี่ยนเป็นความโกรธจนไม่มาเรียนที่นี่ ตอนนี้นายจ่ายค่าเรียนแล้ว ฉันจะเล่าความจริงให้ฟังก็ได้ จริงๆแล้ว…
เขาพูดจบประโยคและยกนิ้วของเขาขึ้นมา (1)
ฉันไม่เชื่อหรอก หลินตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ มาสู่กันอีกรอบสิ ถ้าเป็นฉันนั่นจะเป็นการรังแกนายเกินไป ฉีเฉาชู่มีท่าทางปลาตายเหมือนอย่างเคย โรแลนด์สามารถแสดงให้นายเห็นได้ ถ้าหากนายไม่เชื่อฉัน! เข้ามาลองกันหน่อย หลินตะโกนใส่โรแลนด์ ฉันจะสู้เป็นตายมาไม่ต่ํากว่าร้อยครั้งในเกม ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะจัดการนักเวทย์ในการต่อสู้ระยะประชิดไม่ได้
จากนั้นลี่หลินก็ไปยังห้องเก็บของเพื่อนําเครื่องป้องกันและดาบยาวออกมา
ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นสโมสรเหมียวเต๋า แต่มันก็ยังคงมีอาวุธไม้ชนิดอื่นๆอยู่เป็นจำนวนมาก
ทั้งสองยืนอยู่กันคนละฝั่งของสนาม
ฉีเฉาชู่ตะโกนอย่างอ่อนแรงจากทางด้านข้างเริ่ม
มันทีที่เขาพูดจบ ลี่หลินมีท่าทางดุดันขึ้นมาทันทีและกวัดแกว่างดาบไปตามแนวทะแยง และทําซ้ําไปเรื่อยๆ ทําให้ดาบไม้กระแทกเข้ากับพื้นปูนซีเมนต์หลากหลายครั้งและเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ในตอนนั้นเองซีฉาเองก็เดินเข้ามาหาฉีเฉาชู่ เธอขมวดคิ้วและพูดว่า เป็นวิธีการต่อสู้ที่ดูน่ารําคาญชะมัด นั่นเป็นเพลงดาบของพวกคนเถื่อนทางตะวันตก (2) ซึ่งเน้นไปที่การแสดงความแข็งแกร่งและการโจมตีที่รุนแรง ถึงแม้ว่ามันจะดูหยาบกระด้าง แต่เมื่อดูจากความสามารถทางกายของนักดาบแล้ว มันก็นับได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่ใช้ได้ ดาบหนักซึ่งฟาดฟันลงมาด้วยความรุนแรง…คนที่ไม่มีโล่ไม่กล้าที่จะตอบโต้มันทําได้เพียง แค่หลบมันเท่านั้น
ซีฉารู้สึกไม่ยินดีนักเมื่อได้ยินมัน พี่หมายความว่าโรแลนด์จะเจอปัญหางั้นเหรอ? จะเป็นไปได้ไงเพราะลี่ หลินนั้นไม่ใช่คนเถื่อนทางตะวันตกด้วยซ้ำ ต่อให้มีความสามารถทางกายที่ดี แต่โรแลนด์เองก็ไม่แพ้กันดังนั้น จึงไม่มีข้อได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างพวกเขา แต่หลังจากโรแลนด์ได้ฝึกที่นี่มาเป็นระยะเวลานาน และฉันได้ประลองกับเขา เขานั้นสามารถต่อสู้ได้จริงแล้วในตอนนี้
ซีฉาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ลี่หลินนั้นเข้ามาใกล้เรื่อยๆเสียงของดาบที่กระทบกับพื้นก็ดังขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน เขาขยับร่างกายส่วนบนสอดคล้องกับการฟาดฟันดาบแต่ละครั้ง
เมื่อรวมเข้ากับท่าทางที่ดูดุร้ายของเขา ทําให้เขาดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก
ตอนที่ 153 : ครุ่นคิด
ทําไมกันล่ะ?
โรแลนด์ต้องการจะถามออกมา ทว่าเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเด็กน้อยทั้งสองคนนั้นเป็นเพียงสามัญชน ทว่านักเวทย์ฝึกหัดทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นเชื้อสายของตระกูลขุนนางซึ่งมันก็เป็นปัญหาเดิมๆของขุนนางกับสามัญชน
โดยปกติพวกเขาต่างเป็นคนกลุ่มเล็กๆที่กลมเกลียวกัน ทว่าหลังจากมีคนนอกสองคนที่มีสถานะต่างกันเข้ามา เป็นธรรมดาที่นักเวทย์ฝึกหัดคนอื่นๆจะไม่ชอบใจนัก
คนอื่นๆรังแกพวกเขาหรือเปล่าล่ะ?
วิเวียนส่ายหัวออกมา มันยังไม่เกิดขึ้น เพราะถึงอย่างไรก็ตามสองคนนั้นถูกพามาที่นี่โดยท่าน ท่านรองประธาน
ตอนนี้มันดึกมากแล้ว เขาคิดไปครู่หนึ่งแต่ก็ยังพูดออกมาอยู่ดี ไปเรียกเด็กสองคนนั้นมาหน่อยสิ หากพวกเขาหลับอยู่ก็ปลุกพวกเขามาซะ
วิเวียนดูแปลกใจเล็กน้อย แต่เธอก็เดินลงบันไดไปตามคําสั่ง
ไม่นานนักเด็กน้อยทั้งสองก็มาถึง
เด็กชายและเด็กสาวสองเล็กน้อยขยตาและมองมาที่โรแลนด์อย่างกังวล พวกเขากังวลว่าพวกเขาทําอะไรให้รองประธานหงุดหงิดหรือเปล่าซึ่งทําให้เขาต้องปลุกพวกเขาขึ้นมาบ่น
พวกเธอคงมีเวลาแย่ๆที่นี่ในช่วงนี้สินะ คนอื่นๆดูเหมือนจะไม่ชอบพวกเธอนัก
เมื่อได้ยินคําพูดของโรแลนด์ เด็กทั้งสองก็มีดวงตาที่เศร้าหมองลงทันที ทว่ามันกลับแฝงไปด้วยความดื้อรั้น
โรแลนด์หัวเราะออกมาเบาๆ นั่นมันสําคัญหรอกนะ ไม่ใช่มันเป็นธรรมดาอยู่แล้วงั้นเหรอที่ขุนนางต่างดูถูกสามัญชน? และตอนนี้พวกเธออยู่ที่นี่ พยายามศึกษาให้ดีและไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับคนอื่นๆมากนัก อย่างน้อยด้วยตัวตนของฉันพวกเขาคงไม่กล้ารังแกพวกเธอและพวกเธอก็จะไม่ได้รับผลกระทบในการเรียนใดๆ ทว่าสิ่งที่สําคัญที่สุดก็ยังคงขึ้นอยู่กับตัวพวกเธอเอง ต่อให้พวกเธอเป็นสามัญชน แต่เมื่อพวกเธอสามารถกลายเป็นนักเวทย์แท้จริงในอนาคตได้ ใครจะกล้าดูถูกพวกเธอกัน ใครจะกล้ากล่าวอ้างเกี่ยวกับชนชั้นกัน?
พรสวรรค์ของพวกเธอนั้นไม่แย่นัก ตราบใดที่พวกเธอพยายามอย่างหนัก พวกเธอจะสามารถกลายเป็นนักเวทย์แท้จริงได้
เมื่อได้ยินคําพูด เด็กน้อยทั้งสองก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ทั้งสองมองไปยังโรแลนด์ด้วยสีหน้าน่าเอ็นดู ใบหน้าของพวกเขาแดงและดวงตาเป็นประกาย
เอาละ ไปพักผ่อนเถอะ
เด็กน้อยทั้งสองคนก้มหัวเล็กน้อยก่อนจากไปอย่างมีชีวิตชีวา และหลังจากที่พวกเขาลงบันไดไปแล้วนั้นยังมีเสียงหัวเราะของพวกเขาดังแว่วขึ้นมาด้านบน
วิเวียนปิดปากของเธอและหาวออกมาเบาๆ จากนั้นก็ถามด้วยท่าทางที่อยากรู้ว่า ทั้งสองคนนั้นมีพรสวรรค์จริงๆงั้นเหรอค่ะ?
พวกเขาใช้ได้เลยทีเดียว
แท้จริงแล้วพวกสวรรค์ของพวกเขานั้นค่อนข้างธรรมดา แต่ที่พวกเขาได้เปรียบคือพวกเขานั้นยังเด็กและเชื่อฟังคําสั่งเป็นอย่างดีตราบใดที่พวกเขาได้รับการสอนอย่างระมัดระวัง และเด็กน้อยทั้งสองไม่ขึ้นเกียจและ พยายามอย่างหนักด้วยความมุ่งมั่น โรแลนด์รู้สึกได้ว่าคงไม่ยากนักหากเด็กทั้งสองจะกลายเป็นนักเวทย์ที่แท้จริงก่อนจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่
ถ้าอย่างนั้นท่านคิดว่าพรสวรรค์ของข้าอยู่ระดับไหนกัน?
เมื่อวิเวียนพูดขึ้นมาจ่ๆเธอก็กล้ารุกขึ้นมาทันที เธอเอนตัวลงและวางมือไว้บนโต๊ะของโรแลนด์ เสื้อคลุมเวทย์ในบริเวณคอของเธอนั้นเปิดกว้างขึ้นเล็กน้อยจากนั้นมันก็ร่วงต่ําลงตามแรงดึงดูด
เมื่อโรแลนด์มองไปทางนั้น เขาก็ได้เห็นสิ่งที่เขาไม่ควรจะเห็น
ถึงแม้ว่าเขาจะตกใจครู่หนึ่ง โรแลนด์ก็พูดขึ้นอย่างใจเย็น เป็นพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมมากและยากที่จะพบเห็น
วิเวียนยืนตรงขึ้นอีกครั้ง จู่ๆเธอก็รู้สึกอายขึ้นมา ทว่าเธอก็ยืดอกขึ้นมาเล็กน้อยและดูเหมือนจะภูมิใจกับสิ่งที่ได้ยินเป็นอย่างมาก
แสงจันทร์สาดส่องเข้ามายังตัวของวิเวียน ละอองฝุ่นเมื่อถูกส่องแสงโดยแสงจันทร์ทําให้มันดูราวกับดวงดาวที่ล่องลอยอยู่เต็มท้องฟ้า ผู้ที่อยู่รอบความงดงามนี้คือหญิงสาวที่กล้าหาญมีเกรียติ และดูเขินอายเธอนั้น ราวกับเป็นภูติแห่งแสงจันทร์ที่ปรากฏกายขึ้นมา
ดวงตาของวิเวียนใสราวกับเธอวางสิ่งหนึ่งไว้บนโต๊ะจากนั้นก็กล่าวว่า ท่านสามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อที่ท่านต้องการ
หลังจากพูดจบเธอก็เดินออกไปจากห้องวิจัยทันที เธออุทาน เย้ ออกมาเบาๆ เธอลูบใบหน้าของเธอราวกับว่ามันกําลังสุกงอม จากนั้นก็รีบลงบันไดไปด้วยอาการตื่นตระหนก
บนโต๊ะมีกุญแจไม้สีเหลืองซีดถูกทิ้งเอาไว้
โรแลนด์มองไปยังกุญแจ คิดอยู่ครู่หนึ่ง ในท้ายที่สุดเขาก็เก็บกุญแจดอกนี้ไว้ในกระเป๋ามิติ
จากนั้นเขาก็ไปยังห้องทดลองเวทย์และทําการทดลองหลายสิ่งเพื่อสงบสติอารมณ์จากอาการกระวนกระวายใจของเขา
ในยามเช้ามืดเวลาก็ถูกหยุดลงอีกครั้ง โรแลนด์ลุกขึ้นออกจากแคปซูลเสมือนจริงและหลังจากอาบน้ําเสร็จ เขาก็ทําเหมือนอย่างเคยคือเปิดคอมพิวเตอร์และเข้าไปในฟอรัมของเกม
ถึงแม้ว่ามันจะสามารถอ่านฟอรั่มภายในเกมได้แล้ว แต่เวลาในเกมนั้นสําคัญกว่ามาก ทั้งต้องจัดการปัญหาของหอคอยเวทย์, สอนเหล่านักเวทย์ฝึกหัด และทําการทดลองเวทย์มากมาย เขาไม่มีเวลาให้เสียแม้แต่วิเดียว
ก่อนที่จะถึงเวลาเช้าเขาไม่มีสิ่งอื่นที่ดีกว่านี้ให้ทําดังนั้นเขาเลยใช้ช่วงเวลานี้ในการอ่านกระทู้ต่างๆภายในฟอรั่ม
เจ็ทนั้นได้โพสต์เกี่ยวกับการทําสัญญาของพวกเขากับเหล่าขุนนางเป็นวีดีโอ ในตอนนี้ในบอร์ดสนทนาทั่วไปต่างมีแต่การพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเดลพอน
กลุ่มผู้เล่นจํานวนมากต่างเริ่มวิเคราะห์ถึงวิธีการที่พวกเขาใช้ต่อสู้ และผลประโยชน์ที่ได้รับหลังจากนั้น
โรแลนด์คลึกเข้าไปยังกระทู้หนึ่งซึ่งได้การกดถูกใจจํานวนมากที่สุด
ผลกระทบของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดลพอนกับเหล่าขุนนางของฮอลเลวิล และอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้เล่นในอนาคต
ผู้โพสต์กระทู้นี้คือผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลโอนีลที่โรแลนด์รู้จัก
กระทู้นี้มีรายละเอียดและข้อมูลมากมายทั้งมีการอ้างอิงจากประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นเพื่อวิเคราะห์เหตุการณ์ในครั้งนี้ ในท้ายที่สุดก็ได้บทสรุปออกมาสองประการ
ท่าทีที่โหดร้าย, อ่อนแอ และการประณีประนอมของเหล่าชนชั้นสูงและนายทุนทั้งหลายถูกเปิดโปงออกมาอย่างชัดเจน
การที่มีพลังในการต่อสู้ระดับสูงถือว่ามีบทบาทสําคัญเป็นอย่างมากภายในสงคราม
โพสต์นี้อธิบายอย่างชัดเจนถึงเหตุการณ์ที่เดลพอล ในแง่ที่เข้าใจได้ง่ายโดยให้รายละเอียดเชิงตรรกะเกี่ยวกับจะเกิดผลกระทบอะไรขึ้นในอนาคตจากการกระทําของพวกเขา
โรแลนด์เองก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยหลังอ่านจบ ไม่ใช่ว่านี่มันดูจะมากไปหน่อยเหรอ?
ทว่าหลังจากกลับมาคิด เขาก็รู้ว่าทําไมโอนีลถึงได้ทํางานเกี่ยวกับข้อมูลทั้งๆที่เขาจบเพียงแค่ปริญญาตรีเท่านั้น
หลังจากอ่านฟอรั่มต่ออีกพักหนึ่ง โรแลนด์ก็ขี่จักรยานและไปยังสโมสรดาบ
เขากินอาหารเช้าแสนอร่อยที่ทําโดยซีฉาและพูดคุยกับสองพี่น้อง
เมื่อเขากําลังจะกินเสร็จ ฉีเฉาก็พูดขึ้นมาทันทีว่า เออใช่เหมือนจะมีนักเรียนอีกคนมาที่นี่เมื่อวานนี้ตอนบ่าย ฉันคิดว่าวันนี้เขาอาจจะมาเพื่อจ่ายค่าเรียน เมื่อเขามาถึงนายช่วยฉันสร้างความน่าประทับใจในตัวฉันให้หน่อยได้ไหม ด้วยวิธีนี้จะทําให้เขายิ่งอยากเรียนที่นี้ เข้าใจไหม?
ได้เลย โรแลนด์พยักหน้าตอบรับ
พวกเขาสามคนนั้นต่างสนิทกันมากแล้ว หากบอกว่าพวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็ไม่ใช่คําพูดที่เกินเลยแม้ แต่น้อยนอกจากนี้โรแลนด์ยังได้กินอาหารเช้าแสงอร่อยฝีมือของซีฉาในทุกๆวันไม่ว่าใครก็ตามที่ได้รับของขวัญมาก็ถือว่าขายอิสรภาพของตัวเองทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าไม่อยากทําก็ตามเขาจําเป็นต้องช่วย
หลังจากทานข้าวเช้าจนหมดแล้ว โรแลนด์ก็ต้องการที่จะล้างจานที่เขากิน ทว่าซีฉากลับหยิบจานทั้งหมดไปก่อนแล้ว
จากนั้นโรแลนด์ก็เดินไปยังสนามฝึกขนาดใหญ่ และหลังจากเขาสวมชุดป้องกันแล้วเขาก็เห็นรถสปอร์ตคันหรูสีแดงจอดอยู่หน้าสโมสรดาบ
ฉีเฉาฟุตบไปที่บ่าของโรแลนด์ เศรษฐีใหญ่มาแล้ว! ทําตัวให้มีชีวิตชีวาเร็วเข้า
ทว่าโรแลนด์กลับหรีตาลง รถคันนี้ดูคุ้นๆชอบกล
ฉีเฉาช่มองไปที่เขาด้วยความสับสน
จากนั้นประตูรถสปอร์ตก็ถูกเปิดออกและมีชายคนหนึ่งเดินออกมา
โรแลนด์อดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากของเขาขึ้นไรฟระนั่น นั่นลี่หลินไม่ใช่เหรอ? เขามาทําอะไรที่นี่กันแน่?
ลี่หลินนั้นมองไปยังสโมสรดาบ และเมื่อเห็นโรแลนด์เขาเองก็ตกใจไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 152 : การเมืองที่แสนสกปรก
เมื่อมองไปยังท่าทางสิ้นหวังของโรแลนด์ ขุนนางอีกฝั่งก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
มันไม่ได้ทําให้ท่าทีของพวกเขาที่มีต่อโรแลนด์นั้นเปลี่ยนแปลงไป บุตรทองคําคนอื่นๆแม้จะดูสุขุมแต่ด้วยในฐานะของนักรบและนักบวชซึ่งอุทิศตนแก่พระเจ้า พวกเขาไม่ได้ฉลาดมากนักแต่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่ เหรอ?
เพราะถึงอย่างไรคนที่พวกเขาให้คุณค่าและหวั่นเกรงมากที่สุดก็ยังคงเป็นโรแลนด์อยู่ดี
นักเวทย์หนุ่มคนนี้ดูเหมือนเป็นเพียงนักเวทย์ชั้นแนวหน้าเท่านั้น ทว่าในความเป็นจริงแล้วเขาอาจจะเป็นอาร์คเมจ
หญิงชรานามว่าแคโรน มองไปยังโรแลนด์พร้อมพูดด้วยน้ําเสียงยานๆราวกับเป็นลักษณะเฉพาะตัวของคนสูงวัย ใช่แล้ว พวกข้านั้นเป็นญาติห่างๆของตระกูลจอห์น พวกคุณคิดว่ายังไงกันบ้างละคุณผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย?
ถ้าหากพวกคุณนั้นเกี่ยวดองกัน ฉันสงสัยว่าทําไมคุณถึงสามารถนั่งลงและสนทนากับพวกเราอย่างสงบสุขแทนที่จะวางแผนแก้แค้นให้เจ้าเมืองกันล่ะ?
ไม่เพียงแค่โรแลนด์เท่านั้นที่สงสัยในเรื่องนี้ คนอื่นๆเองก็สงสัยเช่นกัน
เพราะจอห์นเป็นคนเปิดศึก ทั้งพวกคุณยังไม่ฆ่าล้างตระกูลพวกเขา ตระกุลจอห์นยังคงเป็นเจ้าเมืองนี้เฉกเช่นเดิมพวกเขาแค่เสียคนและผลประโยชน์ไปบางส่วนเท่านั้น
อย่างนั้นเองสินะ…ตราบใดที่ผู้สืบสายเลือดของตระกูลจอห์นยังไม่ตกอยู่ในอันตรายก็ยังคงสามารถเจรจากันได้
ในความเป็นจริงแล้ว นี่เองก็เป็นเหตุผลว่าทําไมเรื่องที่เกิดขึ้นภายในเมืองมอลลี่ถึงไม่ได้ทําให้ขุนนางเคลื่อนไหวกันมากนัก
มือของทุกคนไม่ได้ขาวสะอาด ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าเบทเทลเจ้าเมืองมอลลี่เป็นชายชั่วที่ล่อลวงบุตรีทองคําและโยนเธอให้พบกับความตายหลังจากเขาใช้งานเธอเสร็จแล้ว!
ไม่ว่าใครที่มีอํานาจต่างก็จะไม่ปล่อยเขาไปโดยง่าย
และเผอิญว่าบุตรทองคํามีอํานาจมากพอ
พวกเขาสังหารจอห์นและทหารของเขาเกือบทั้งหมด ทว่าพวกเขาไม่ได้สังหารสายเลือดของจอห์น
ถึงจะเกิดเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้น…สถานะของเจ้าเมืองตอนนี้ก็ตกอยู่ในมือของตระกูลจอห์นอยู่ดี
การยับยั้งชั่งใจเช่นนี้เปรียบได้ดั่งกับลักษณะนิสัยของขุนนางที่จะไม่สู้กันจนแตกหัก
ทุกคนสามารถต่อสู้เพื่อผลประโยชนน์ของตนได้และแม้ว่าจะมีใครในตระกูลตายลงไปแต่พวกเขาห้ามทําเกินขอบเขตโดยการทําลายเชื้อสายของอีกฝ่ายทิ้งโดยเด็ดขาด
ถ้าหากมีใครกล้าทําเช่นนั้น เขาจะโดนดูถูกโดยเหล่าขุนนางตระกูลอื่นๆ และจากนั้นตระกูลของเขาต้องถูกฆ่าทิ้งทั้งชั่วโคตรและจะไม่มีใครเข้าข้างเขาแม้แต่คนเดียว
เมื่อเห็นท่าทางของโรแลนด์ที่เข้าใจคําพูดของเธอ หญิงชราก็ยิ้มและพูดว่า ต่อจากนี้พวกเรามาเริ่มพูดถึง เรื่องที่น่าสนใจอย่างเช่น…เหมืองบางแห่งนอกเมืองว่าคุณต้องการจะทําอะไรกับพวกมัน?ถ้าหากคุณไม่สะดวก ที่จะดูแลมัน พวกเราตระกูลกาเวียนสามารถจัดการให้คุณได้ตราบใดที่คุณจ่ายค่าดําเนินการให้แก่พวกเรา
โรแลนด์หัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ต้องรีบร้อนนักหรอก เรามาพูดสิ่งที่สําคัญกว่านั้นกันดีกว่า
เหล่าขุนนางต่างแสดงท่าที่ตกตะลึงออกมา หญิงชราเองก็ดูสงสัยเล็กน้อยเช่นกันและกล่าวว่า โปรดพูดมาเถอะ
มอบตําแหน่งนายท่าให้พวกเราเป็นไง? โรแลนด์ยิ้มและกล่าวว่า ฉันไม่สนว่าใครจะทําหน้าที่อยู่ในตอนนี้แต่ตําแหน่งนั้นต้องเป็นของพวกเราบุตรทองคํา
ทําไมล่ะ? หญิงชราส่ายหน้า ท่าทางของเธอดูสับสนเป็นอย่างมาก พวกเรามีเหตุผลเป็นของตัวเองซึ่งไม่สามารถพูดออกมาได้
ขุนนางทั้งห้าเริ่มคิดเกี่ยวกับข้อตกลงและมองไปยังคนอื่นๆ
โรแลนด์รีบเติมพื้นเข้าไปในกองเพลิงทันทีและพูดว่า ถ้าหากพวกเราได้ตําแหน่งนั่นมา พวกเราจะยอมวางมือจากผลประโยชน์บางอย่างเป็นไง
ทั้งห้าคนที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามต่างตกตะลึก หญิงชราใช้พัดสีฟ้าปิดปากของตัวเธอไว้ คิ้วของเธอขมวดเป็นปมและกล่าวว่าพวกเราจะได้ผลประโยชน์มากขนาดไหนงั้นเหรอ? อาทิเช่น…เหมืองพวกเราสามารถปล่อยมือ และมอบมันให้พวกคุณได้ …
การเจรจาเป็นไปอย่างราบลื่นกว่าที่คิด ลิงค์นั้นได้ตําแหน่งนายท่ามา, ท่าเรือของฮอร์กนั้นก็กําลังจะได้เปิดธุรกิจอย่างเป็นทางการแล้ว และเขายังได้ท่าเรือเก่ามาอีกด้วย
เจ็ทมีสิทธิ์ในการเข้าถึงสิทธิเศษต่างๆซึ่งเกี่ยวข้องกับศาสนาภายในเมืองเดลพอน
สําหรับโรแลนด์ เขาต้องการเพียงเงินเท่านั้น…ดังนั้นภาษีสามส่วนในทุกๆเดือนของเมืองจะถูกส่งมอบให้กับโรแลนด์
ที่สําคัญกว่านั้นพวกเขาจะเป็นตัวแทนของเจ้าเมืองเพื่อประกาศว่าจอห์นนั้นเสียชีวิตเนื่องจากอาการป่วยแทนที่จะเป็นเสียชีวิตจากอาวุธ
แน่นอนว่าหลังจากนั้นเหล่าเจ้าภาพและแขกจะเริ่มกินอาหารและดื่มฉลองกันอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นโรแลนด์และคนอื่นๆก็ออกจากโถงงานเลี้ยงไป
กลุ่มของขุนนางและพ่อค้ายังคงรออยู่ที่ประตู และเมื่อพวกเขาเห็นโรแลนด์และคนอื่นๆเดินออกมาพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรออกไปและเพียงแค่หลบทางให้พวกเขาทั้งสี่จากไปเท่านั้น
หลังจากพวกเขาทั้งสี่จากไป หญิงชราก็เดินออกมา
ขุนนางต่างมองไปที่เธออย่างวิตกกังวล
หลังจากมองไปโดยรอบ หญิงชราก็พูดออกมาเบาๆ การเจรจาเรียบร้อยแล้ว ในวันพรุ่งนี้ทุกสิ่งจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเช่นเดิม
เหล่าขุนนางต่างรู้สึกยินดี ทว่าพวกเขาเป็นสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีชนชั้นสูงพวกเขาจึงไม่ตะโกนดีใจออกมาเหมือนพวกชนชั้นต่ํา พวกเขาทําเพียงแค่ปรบมือเท่านั้น
และ…เสียงปรบมือโดยรอบก็ดังราวกับมีฟ้าผ่าลงมา
โรแลนด์และคนที่เหลือต่างเดินออกจากคฤหาสน์
ฮอร์กเดินอยู่ด้านหน้าพวกเขา ขณะที่กําลังเดินอยู่จู่ๆเขาก็หัวเราะออกมาราวกับหมดแรงและพูดว่า พวกนั้นค่อนข้างเป็นคู่เจรจาที่ดีจริงๆ ทว่าพวกเขาก็ดูไม่หวั่นเกรงในพลังของพวกเราแม้แต่น้อย ถ้าหากพวกเราเป็นสามัญชนบางทีพวกเขาอาจจะจับกุมพวกเราในข้อหากบฎไปแล้ว
คืนนี้แสงจันทร์ค่อนข้างงดงาม และโรแลนด์เองก็ค่อนข้างอารมณ์ดีเช่นกัน เขายิ้มอย่างโล่งอกและพูดว่า อย่ากังวลกับเรื่องพวกนั้นนักเลย เป็นธรรมดาที่จะต้องศึกษาความแข็งแกร่ง, รูปลักษณ์และตระกูลถ้าหาก มีหญิงหน้าตาอัปลักษณ์อยู่ตรงหน้าและยอมให้นายขอเธอแต่งงานได้นายจะยอมไหม? และถ้าหากเป็นสาวงามนายอาจจะนั่งลงและพูดคุยกับเธอก็ได้ มันก็เหมือนกัน พวกเรานั้นมีพลังอํานาจเป็นธรรมดาที่พวกเราจะสามารถทําให้พวกเขานั่งลงและพูดคุยกับเราได้อย่าคิดถึงเรื่องพวกนี้มากเกินไปเลยพักสักหน่อยเถอะมันไม่ดีสําหรับตัวนาย
ฮอร์กถอนหายใจ ก็จริง ความยุติธรรมที่ปราศจากพลังก็นับว่าสูญเปล่า
ในตอนนั้นเองลิงค์ที่อยู่ด้านข้างก็ถามขึ้นมาอย่างกระทันหันว่า โรแลนด์นายพอใจจริงๆงั้นเหรอกับแค่เหรียญทองพวกนั้น? มันจะไม่ดีกว่าเหรอถ้านายสร้างกองกําลังส่วนตัวของตัวเองขึ้นมาน่ะ? นั่นเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานมากเกินไป เวทมนตร์เป็นทักษะที่ลึกซึ้งมากและฉันไม่มีเวลามากพอที่จะจัดการองค์กรและสิ่งต่างๆเช่นนั้น โรแลนด์ถอนหายใจ นอกจากนี้ฉันเห็นอัตชีวประวัติของนักเวทย์และประโยคแรกในหน้าแรกกล่าวว่าคนยากจนไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นนักเวทย์ระดับสูง นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันต้องหาเงินให้มากขึ้นก่อนเพื่อวางรากฐานสําหรับอนาคตของ ‘การใช้จ่ายเงินเหมือนกับน้ํา จะไม่ดีกว่าเหรอหากนายแค่ย้ายไปเป็นพ่อมด… ฮอร์กหันหลังและหัวเราะออกมาตอนนี้เขากําลังเดินถอยหลังอยู่ จากนั้นเขาก็ตกใจขึ้นมาทันที เฮ้แล้วเจ็ทไปไหนล่ะนั่น?
โรแลนด์พูดออกมาอย่างธรรมดาว่า เขาขึ้นรถม้าไปกับขุนนางสาวที่มีหุ่นเหมือนกับน้ําเต้าไปแล้ว
ดวงตาของฮอร์กมองไปเบื้องหลังและเห็นรถม้ากําลังตรงเข้าไปยังคฤหาสน์
หมอนั่นมีดวงกับผู้หญิงชะมัด ฮอร์กกัดปากของเขา น่าอิจฉาจริงๆ
ลิงค์มองไปยังเขาด้วยสายตาที่แปลกประหลาด
ฮอร์กลูบแขนของตัวเองโดยไม่รู้ตัว แปลกจริงทําไมจู่ฉันถึงรู้สึกหนาวขึ้นมาได้เนี่ย?
โรแลนด์หัวเราะออกมา
พวกเขาทั้งสามแยกจากกันตรงทางแยกบนถนนและโรแลนด์ก็กลับไปยังหอคอยเวทย์
วิเวียนนั่งพักอยู่ในห้องวิจัยของเขา และเมื่อเขาได้ยินเสียงเปิดประตู เธอก็รีบยืนขึ้นด้วยท่าทางมีความสุขทันที รองประธานในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที่ ข้าได้เตรียมซุปเพื่อทําให้ร่างกายของท่านอุ่นขึ้นไว้แล้วรอข้าอู่นมันสักครู่ข้าจะนํามันมาให้ท่าน
โรแลนด์ต้องการจะปฏิเสธแต่เมื่อคิดถึงความหวังดีของเธอ เขาเลยไม่ได้พูดอะไรออกมา
ไม่นานนัก วิเวียนก็กลับมาพร้อมกับน้ํานมข้าวที่มีกลิ่นหอมมาก
โรแลนด์หยิบมันขึ้นมาพร้อมดื่มมันลงไป เขาถามขึ้นว่า แล้วเด็กใหม่สองคนนั้นเป็นไงบ้าง พวกเขาก้าวร้าวรึเปล่า? พวกเขาทั้งเชื่อฟังและขยันขันแข็งเป็นอย่างมาก วิเวียนลังเลยเล็กน้อย ทว่าดูเหมือนคนอื่นๆจะไม่ชื่นชอบพวกเขานัก
ตอนที่ 151 : ผลประโยชน์
เดลพอลเคยมีชีวิตชีวามากกว่านี้ ทว่าตอนนี้มันกลับเงียบเหงามาก
ยังคงมีพ่อค้าหาบเร่อยู่ตามถนน ทว่าพวกเขาก็ไม่กล้าส่งเสียงดัง และต่อให้มีการซื้อขายเกิดขึ้นพวกเขาก็จะระวังคําพูดและลดเสียงพูดลง เพราะถึงอย่างไรก็ตามยังคงมีคราบเลือดสีดําอยู่เต็มถนนและมีกองทัพขอทานอยู่นอกเมืองซึ่งกําลังขุดหลุมฝังศพตลอดทั้งคืนและยังมีศพทหารอยู่อีกเล็กน้อยที่ยังไม่ถูกฝัง
มีการเปลี่ยนแปลงทหารที่เฝ้ากําแพงอยู่ ทําให้ผู้ที่เข้าออกเมืองต่างไม่คุ้นชิน
ในอดีต ถ้าหากพวกเขานําของเถื่อนมาด้วยพวกเขาเพียงแค่จ่ายเงินเล็กน้อยเพื่อผ่านเข้าไปทว่าตอนนี้พวกเขาไม่รู้ว่าอารมณ์ของพวกบุตรทองคําจะเป็นแบบไหน พวกเขาเลยทําได้แค่รอจนกว่าจะได้ข้อสรุป
ต่อให้มันจะดูหละหลวมหรือเข้มงวดเกินไปหน่อย แต่อย่างน้อยของเพียงมันมีมาตราการ
สิ่งที่พวกเขากลัวคือความวุ่นวายจากการที่มันไม่มีมาตราการและจะทําให้พวกเขาเสียหาย
นอกจากนี้พวกเขาได้ยินกันมาว่าคืนนี้บุตรทองคําจะมีการจัดงานเลี้ยงเพื่อชวนเหล่าขุนนางมาเจรจาเกี่ยวกับกฎและผลประโยชน์ต่างๆ
เกือบจะทุกคนรอให้งานเลี้ยงนี้เกิดขึ้นและรอข่าวหลังจากงานเลี้ยงจบลง
การรอคอยเป็นสิ่งที่ทรมาณ เหล่าขุนนาง, พ่อค้าที่ร่ํารวย และเหล่าทหารรับจ้างทั้งหลายต่างเห็นตรงกันว่าวันนี้เป็นหนึ่งในวันที่ยากลําบากมากที่สุด
แต่ไม่ว่ายากลําบากเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครตาย เวลาจะช่วยเยียวยาสิ่งต่างๆที่ละน้อย
ในตอนเย็นเมืองทั้งเมืองกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เหล่าขุนนางที่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงต่างอยู่ที่บ้านและรอเวลา พวกเขารอจนกระทั่งมีดจากนั้นก็ควงภรรยาหรือคนรักไปยังคฤหาสน์ของอัลโด้
เหล่าขุนนางยศต่ําและพ่อค้าที่ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานต่างก็ออกจากคฤหาสน์ของพวกเขาเช่นกัน
พวกเขารวมตัวกันในโรงเตี้ยม โรงแรม และพื้นที่อื่นๆใกล้กับคฤหาสน์ของอัลโด้ นั่งรอข่าวและมองไปยังที่เดียวกัน
บางคนถึงกับต้องสู้กันเพื่อแย่งที่นั่งด้วยซ้ํา
ภายในคฤหาสน์มีบรรยาศที่ดูตึงเครียด อัลโด้นําตะเกียงเวทย์ทรงที่เหลี่ยมที่ให้แสงภายในหอคอยเวทย์ออกมาและแขวนมันไว้ทั่วคฤหาสน์ของเขา เขาขอยืมพ่อครัวชั้นยอดจากหลายตระกูลขุนนางที่คุ้นเคยกับเขาเพื่อมาช่วยงาน และยังมีพ่อบ้านที่คอยช่วยจัดตารางเวลาและจัดเตรียมงานทั้งหมด
เนื่องจากตะเกียงเวทย์จํานวนมากทําให้มันส่องแสงราวกับเป็นตอนกลางวัน
คฤหาสน์เริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อแขกเริ่มมาถึง พวกเขาแยกกันออกเป็นกลุ่มเล็กๆ และเริ่มพูดคุยถึงหัวข้อที่น่าสนใจ
กลุ่มพ่อบ้านหลากหลายคนต่างพยายามบอกความบันเทิงให้แก่แขก อัลโด้ยืนอยู่ตรงระเบียงพร้อมมองไปยังฝูงคนที่อยู่ด้านล่าง
คนรับใช้สาวที่เขาชื่นชอบมากที่สุดเข้ามาใกล้เขาและพูดว่า ข้าไม่เคยเห็นท่านมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลย
นั่นเพราะคฤหาสน์ของข้าไม่เคยเต็มไปด้วยคนจํานวนมากแบบนี้มาก่อน อัลโด้มีสีหน้าอิ่มเอมแม้จะมีความบิดเบี้ยวอยู่เล็กๆ ทว่าในที่สุดเขาก็เป็นปล่อยวางเรื่องพวกนั้นได้เสียที ครั้งหนึ่งข้าเคยคุกเข่าต่อหน้าผู้หญิงคนนั้น ข้าไม่มีเกรียติในฐานะนักเวทย์อีกต่อไป ทว่าตอนนี้ข้าได้มันคืนมากแล้วถึงแม้ว่าข้าจะได้รับมันมาจากคนอื่นแม้ว่ามันจะเป็นภาพลวงตาทว่ามันก็ทําให้ข้ามีความสุข
คนรับใช้สาวมองไปยังอัลโด้ด้วยความสงสาร เธอรู้ดีเกี่ยวกับนายท่านของเธอ ถึงแม้ว่าเขาจะดูขี้เล่นแต่ภายในของเขานั้นเต็มไปด้วยความกดดัน
เหล่าสาวใช้ภายในคฤหาสน์ต่างมีการต่อสู้ชิงดีชิงเด่นกันทั้งแบบเปิดเผยและแบบลับๆทว่าพวกเธอทั้งหมดต่างก็เคารพอัลโด้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้แบบเปิดเผยหรือการต่อสู้กันแบบลับๆพวกเธอก็พยายามเก็บเป็นความลับเพื่อไม่ให้เขารําคาญหรือทําให้เขารู้ตัว
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นอัลโด้ที่ช่วยพวกเธอมาจากตลาดค้าทาส ซึ่งไม่มีทั้งความยุติธรรมและไร้ซึ่งที่อยู่อาศัย
คนรับใช้สาวหวนรําลึกถึงอดีต ทว่าเธอก็สังเกตุได้ว่าเสียงด้านล่างนั้นเงียบลง เสียงของการพูดคุยกันนั้นหายไปทําให้เธอได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความสุขของอัลโด้
พวกเขามาแล้ว
ชายทั้งสี่เดินเข้ามายังคฤหาสน์ แม้จะอยู่ในชุดที่ดูธรรมดาแต่พวกเขานั้นโดดเด่นมาก
ไม่ว่าจะเป็นฮอร์กที่มีร่างกายหนาและน่ากลัวราวกับออร์ค ทั่วร่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ลิงค์เองก็ดูแข็งแกร่งมากทว่ากลับให้ความรู้สึกที่ดูซับซ้อนเจ็ทที่ดูลึกลับและดูราวกับเป็นพวกหากินกับศาสนา หรือโรแลนด์ที่ดู ฉลาดหลักแหลมและสงบนิ่ง
ท่าทางและรูปลักษณ์ของเขาต่างจากคนที่นี่โดยสิ้นเชิง
เมื่อพวกเขาเข้ามายังคฤหาสน์เกือบทุกคนต่างหยุดพูดคุยกันและมองไปที่พวกเขา
โรแลนด์, ฮอร์ก และลิงค์ต่างชินกับสถานการณ์เล่นใหญ่แบบนี้แล้ว พวกเขาเลยเดินอย่างเป็นธรรมชาติ
ทว่าเจ็ทนั้นมีความวิตกกังวลอยู่นิดหน่อย แต่เขาก็พยายามดึงหน้าตั้งและไม่ทําให้ตัวเองขายหน้า
เมื่อพวกเขาเข้ามายังคฤหาสน์ โรแลนด์ก็สังเกตุเห็นอัลโดที่เข้ามาทักทายเขาด้วยอ้อมกอดและรอยยิ้มจากนั้นก็หันไปทักทายฮอร์ก,ลิงค์และเจ็ท
จากนั้นอัลโด้ก็พาพวกเขาทั้งสี่ไปยังโถงจัดงานเลี้ยง
ปรากฎว่าคนบริเวณหน้าทางเข้านั้นหนาแน่นอย่างมาก ทว่าเมื่ออัลโด้ทําหน้าที่ต้อนรับแทนพ่อบ้านทั้งสองคนทางเดินก็ถูกเปิดออกเข้าไปยังส่วนกลางกลุ่มฝูงชนต่างถอยกันออกไปไม่มีใครต้องการจะขวางทางบุตรทองคําทั้งสี่คน
เมื่อเข้ามายังลานจัดเลี้ยง โรแลนด์ก็พบว่าด้านในสว่างกว่าด้านนอกเสียอีก
และในโต๊ะยาวกลางลานจัดเลี้ยงมีคนห้าคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อพวกเขาเห็นโรแลนด์และคนที่เหลือพวกเขาก็ยืนขึ้นทันที
อัลโด้พาโรแลนด์และคนที่เหลือไปยังทางนั้น
ทั้งสองฝ่ายต่างนั่งอยู่กันคนละฝั่งของโต๊ะยาว
ในขณะที่อัลโด้นั้นยืนอยู่ตรงเก้าอี้ของประธาน กระแอมออกมาเบาๆ เรียกสายตาของคนทั้งหมดไปยังเขาและกล่าวว่า พวกเขาทั้งสี่คนต่างเป็นคนคุ้นเคยของพวกท่านอยู่แล้วทั้งยังเป็นแขกหลักในงานนี้ดังนั้นข้าจะไม่แนะนําตัวตนของพวกเขา ส่วนผู้มีเกรียติทั้งสี่ โรแลนด์, ฮอร์ก, ลิงค์และเจ็ท ให้ข้าได้แนะนําสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่เป็นคนสําคัญภายในเมืองเดลพอลแก่พวกท่าน
ในบรรดาห้าคนนั้นมีหญิงชราคนหนึ่งที่ได้ยินคําพูดของอัลโด ก็ได้ใช้พัดขนนกปิดครึ่งล่างของใบหน้าของเธอเบาๆ เปลือกตาที่เที่ยวย่นของเธอสามารถยิ้มได้ในรูปของดวงจันทร์เสี้ยวซึ่งมันทําให้เห็นว่าเมื่อเธอยังสาวเธอนั้นต้องงดงามเป็นอย่างมาก
จากนั้นอัลโด้ก็สร้างความอึดอัดใจให้พวกเขาในทันที
ในฐานะขุนนางพวกเขาก็ต้องยอมรับฉายาที่อัลโด้มอบให้พวกเขา
ในขณะที่โรแลนด์ ใช้ความคิดของเขาเพื่อวิเคราะห์คําพูดออกมา
ทั้งห้าคนเป็นขุนนางและแต่ละคนยังผูกขาดธุรกิจเครื่องเหล็กของเมือง ธุรกิจธัญพืช ธุรกิจหนังสัตว์ธุรกิจอัญมณีและธุรกิจเครื่องเทศ
โรแลนด์มองไปยังพวกเขาทั้งหมดและพิจารณาออกมาครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดออกมาอย่างมีวาทศิลป์ พวกคุณทั้งหมดเกี่ยวข้องกับตระกูลของเจ้าเมืองจอห์นใช่หรือไม่?
ยอดเยี่ยมมากที่คุณรับรู้เรื่องพวกนี้ได้ หญิงชรานําพัดออกจากใบหน้าของเธอ อย่างที่คิดไว้เลยว่าคุณนักเวทย์มีความฉลาดหลักแหลมและไหวพริบที่ดีจริง
โรแลนด์ถอนหายใจ มันไม่ใช่เรื่องที่น่าชมเชย สิ่งที่พวกคุณควบคุมไว้นั้นต่างมีความสําคัญอย่างยิ่งถ้าหากฉันเป็นเจ้าเมือง ฉันเองก็คงไม่ปล่อยมันให้คนนอกดูแลแน่ๆ ฉันจําเป็นต้องมีคนของตัวเองเพื่อจัดการมันเพื่อให้ตัวเองสบายใจ มันเป็นตรรกะง่ายๆเพื่อนของข้าเองก็น่าจะดูออกเช่นกัน
เมื่อเขาพูดจบท่าทางของฮอร์กก็ดูเหมือนเดิม ทว่าเจ็ทและลิงค์กลับมีท่าทางกระอักกระอ่วน
การแสดงออกของพวกเขาอยู่ในสายตาของทั้งห้าที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม ภายในดวงตาของพวกเขามีอารมณ์หยอกล้อเล็กๆทว่าก็ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนนัก
โรแลนด์หันหน้าไปยังลิงค์และเจ็ท พร้อมทั้งพูดไม่ออก
ต่อให้พวกนายไม่รู้หรือไม่เข้าใจ ก็อย่าทําท่าทางกระอักกระอ่วนแบบนั้นขึ้นมาบนหน้าสิโว้ย
ตอนที่ 140 : แกล้งโง่
คนเราสามารถหากินด้วยความหล่อได้หรือไม่?
แน่นอนว่าได้! โรแลนด์มีตัวอย่างที่แสนชัดเจนอยู่ใกล้กับตัวเขา ตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว ชัคนั้นสอนให้เขารู้ถึงหลายสิ่งเมื่อผู้ชายหล่อเพียงพอ แค่เรื่องการได้รับการดูแลเป็นพิเศษเมื่อเจอกันก็กินขาดแล้ว
สําหรับการทําเรื่องผิดพลาด น้อยครั้งนักที่ชักจะโดนลงโทษ เมื่อเขาทําสิ่งดีๆเขาจะถูกเชิดชูนมาและสําหรับผู้หญิง…สําหรับชัคในเรื่องนี้ถือว่าเป็นปัญหาพอสมควร การออกไปเดทกับผู้หญิงและผู้หญิงเหล่านั้นจะคอยจ่ายทุกสิ่งให้ กระทั่งตอนนี้เขาแต่งงานแล้ว แต่เขานั้นไม่ต้องทํางานด้วยซ้ําตราบใดที่เขา “ทําการบ้าน” ในทุกเย็น
โรแลนด์เคยอิจฉาและสงสัยมาก่อนว่าทําไมเขาไม่เกิดมาเป็นคนหล่อ
จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่ามีคนบนโลกนี้ไม่มากนักที่จะได้รับพรมาเหมือนกับชัค และ ขนาดตอนที่อยู่ในเกมชิคยังมีแรงดึงดูดจนเหนือชั้นกว่ามนุษย์ธรรมดาไปแล้ว
ถ้าหากตอนนี้มีโอกาสที่จะได้เป็นหนุ่มหล่ออยู่ตรงหน้า เขาจะคว้ามันไว้ไหม?
แน่นอนเขาจะคว้ามันมาอยู่แล้ว….คนที่สามารถอยู่เฉยๆแล้วมีกินมีใช้นั้นน่าอิจฉาจะตาย
ถึงแม้ว่าเขาจะกลายเป็นหนุ่มหล่อ แต่เขาก็คงเทียบชั้นกับชคไม่ได้อยู่ดี ไม่มีใครไม่ยินดีหรอกหากสวยหรือหล่อขึ้น
นอกจากนี้ยิ่งไม่ต้องผ่านการผ่าตัดปรับเปลี่ยนใบหน้าแล้วด้วย
โรแลนด์เปิดไฟภายในห้องของเขา และเริ่มนั่งขัดสมาธิ ปิดตาทั้งสองข้างและดําดิ่งเข้าสู่สมาธิ
อย่างไรก็ตาม ภายในบันทึกสิ่งพื้นฐานที่จําเป็นต่อการเรียนรู้นั่นคือการสงบจิต
แสงลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา และหลังจากนั้นสิบนาที โรแลนด์ลืมตาขึ้น เขามีสีหน้าทิ้งตึงจากนั้นก็เริ่มใช้มือทั้งสองข้างจับขาของเขาให้เหยียดตรง
เท้าของเขาปวด ปวดจนแทบจะขยับไม่ได้
เขาตีไปที่ขาของตัวเองอย่างรุนแรงเพื่อบรรเทาอาการ ในขณะที่มีสีหน้าทิ้งตึงด้วยความหงุดหงิด
สําหรับคนที่ไม่เคยนั่งขัดสมาธิมาก่อน ท่านี้ทําให้เลือดไหลเวียนไปที่ขาได้แย่มาก
เขาพักอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งขาของเขาไม่ปวดแล้ว เขาเริ่มปิดตาและทําสมาธิอีกครั้ง
ทว่าครั้งนี้สั้นกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก
เขาตีไปที่ขาของเขาอีกครั้งพร้อมยิ้มอย่างขมขื่น
จากนั้นเขาก็ลุกออกจากเตียงและเดินไปโดยรอบ
เมื่อขาของเขาหายปวดแล้ว เขานั่งลงตรงหน้าคอมพิวเตอร์และเปิดเว็บไซค์เพื่ออหาข้อมูลเกี่ยวกับการทําสมาธิโดยไม่ต้องปวดเท้า
คําตอบส่วนใหญ่มักจะคล้ายคลึงกันคือ…แค่ทําซ้ําไปเรื่อยๆจนหาย
หลักจากค้นหาผ่านฟอรั่มพักหนึ่ง โรแลนด์ก็เข้าเกมเหมือนกับทุกวัน
ทุกครั้งที่โรแลนด์เข้ามาภายในเกมเขาก็สัมผัสได้ถึงองค์ประกอบเวทย์ในอากาศซึ่งทําให้เขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก
และตอนนี้เขาพยายามจะทดลองมันในโลกจริง
ในโลกจริงนั้นทําให้เขารู้สึกว่างเปล่าและไม่สบายใจเล็กน้อย
เขาไปยังห้องทดลองเวทย์และเริ่มศึกษาเวทย์หุ่นเชิดรูปแบบพัฒนาต่อ
ไม่นานนักวิเวียนก็เข้ามา เธอวางจดหมายเชิญไว้ตรงหน้าโรแลนด์พร้อมกล่าวว่า “ท่านจอห์นส่งนี้มาให้ท่านค่ะ”
โรแลนด์มองไปยังจดหมายเชิญและเริ่มอ่านมัน มันมีเนื้อหาว่าต้องการชวนโรแลนด์และบุตรทองคําที่เหลืออีกสามคนไปยังงานเลี้ยงภายในปราสาทอีกครั้งและมันยังเป็นความลับเหมือนครั้งก่อนทว่าครั้งนี้จะมีจอห์นคนพ่อเข้าร่วมด้วย
ฮี ในที่สุดก็เคลื่อนไหวสินะ?
จอห์นคนพ่อนั้นดูเหมือนยังไม่ได้สนใจที่เหล่าผู้เล่นนักตอนที่เขาพึ่งกลับมาถึง ทว่าตอนนี้ราวกับว่าเขาทนไม่ไหวอีกต่อไป
มันเป็นเรื่องดีที่จะได้เจออีกฝ่าย โรแลนด์นั้นต้องการรู้เช่นกันว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไง!
ในตอนเย็น โรแลนด์และคนอื่นๆมายังงานเลี้ยงภายในปราสาท
คนที่มาต้อนรับพวกเขานั้นยังคงเป็นจอห์นคนลูก
หลังจากไม่ได้เจอกันมาพักหนึ่ง จอห์นยังคงหล่อเหลาเหมือนเช่นเคย เมื่อเขาเห็นโรแลนด์เขาก็ทักทายพร้อมกล่าวว่า “ในที่สุดพวกเจ้าทั้งสี่ก็มาถึง ข้ารอเจ้ามานานแล้ว โปรดตามข้ามา”
เขาอาสาพาโรแลนด์และพรรคพวกเข้าไปยังลานจัดงานเลี้ยงของปราสาทด้วยตัวของเขาเอง
เทียนเล่นหนาจํานวนมากถูกวางไว้เพื่อต้อนรับแขกสี่ทั้งสี่คน เทียนพวกนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์เวทย์ซึ่งทําให้มันอยู่ได้ยาวนานและสว่างมากกว่าปกติทั้งยังไม่ทิ้งกลิ่นและควันดําไว้ มันเป็นของที่หรูหราและมีราคาแพงเป็นอย่างมาก ตระกูลขุนนางเล็กๆเองยังไม่กล้าใช้มันด้วยซ้ํา
แม้ว่ามันจะเป็นของที่สามารถหาซื้อได้ แต่การใช้ของล้ําค่าเช่นนี้โดยไม่สอดคล้องกับสถานะของตนอาจจะทําให้ขุนนางคนอื่นเยาะเย้ยออกมาได้ว่าไม่รู้ที่ของตัวเอง
มันเป็นกฎที่ไม่มีใครพูดออกมา
โรแลนด์และพรรคพวกไม่ได้สังเกตุถึงสิ่งนี้ ตอนที่พวกเขาเข้ามาพวกเขาแค่คิดว่าเทียนดูสว่างกว่าปกติเท่านั้น สว่างจนเทียบได้กับหลอดไฟ LED
พวกเขาแค่มองดูและละสายตาไปจากมันไปทันที
ท่าทีของพวกเขาถูกสังเกตุโดยจอห์น
จอห์นคนพ่อนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะเป็นเจ้าภาพ และเมื่อเขาเห็นโรแลนด์และพรรคพวกเขาไม่ได้ลุก ขึ้นยืนแต่อย่างใด เขาทําเพียงยกแก้วขึ้นและพูดว่า “ในที่สุดพวกเจ้าทั้งสี่ก็มาถึง”
เมื่อแขกมาถึงเจ้าภาพไม่ลุกขึ้นยืนต้อนรับ มันเป็นการบ่งบอกว่าผู้มาเยือนนั้นไม่มีค่าพอให้เขาลุกขึ้นยืนต้อนรับ
นี่เป็นกิริยาที่ไม่สุภาพนัก
ถึงแม้ว่าโรแลนด์และพรรคพวกจะไม่เข้าใจถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ของการกระทํานี้แต่มัน “ดูไร้มารยาท” ในเรื่องที่ทั้งสองโลกทํากัน ดังนั้นโรแลนด์และคนอื่นๆจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย
แต่พวกเขาก็เลือกจะไปยังที่นั่งของพวกเขาและนั่งลง
การแสดงออกเช่นนี้ก็ถือว่าไม่ดีนัก พวกเขาจะถูกมองว่าเป็นพวกปาเถื่อนที่นั่งลงโดยเจ้าภาพไม่ได้กล่าวให้นั่งลงก่อน มันเป็นการดูถูกเจ้าภาพเป็นอย่างมาก แต่ก็มีข้อแม้สําหรับผู้ที่สนิทกันมากๆ
มันมีความหมายเหมือนกันในทั้งสองโลก จอห์นทั้งสองคนต่างตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นพวกเขานั่งลง
ทั้งพ่อและลูกต่างเก็บซ่อนอารมณ์ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ใบหน้าของพวกเขายังคงไปด้วยความสุภาพและรอยยิ้มที่อ่อนโยน
เมื่อพวกเขานั่งลง โรแลนด์ก็มองไปยังจอห์นคนพ่อ
จอห์นคนพ่อนั้นดูคล้ายกับคนลูกมาก ทว่ากลับดูสุขุมและแข็งแกร่งกว่า
โรแลนด์มองไปยังฝั่งตรงข้ามพักหนึ่งและยิ้มออกมา “ท่านนายกเชิญพวกเรามาที่นี่ แต่กลับแค่นั่งลงและจ้องมองพวกเราโดยไม่พูดอะไรออกมา เพื่ออะไรกัน?”
“ข้าแค่สงสัยว่าข้าควรเริ่มพูดกับเจ้ายังไงดี” จอห์นคนพ่อหัวเราะออกมาเสียงดัง เขา มองไปยังทั้งสามคนก่อนจะกลับมาจ้องหน้าโรแลนด์ “อย่างไรก็ตามสิ่งที่ข้าจะพูดนั้นมันจะดูรุนแรงนิดหน่อย”
“ถ้าหากมันรุนแรงถ้าอย่างนั้นโปรดอย่าพูดมันออกมาเลย ท่านนายก” โรแลนด์โบกมือปฏิเสธ “มันไม่ใช่แค่ทําลายความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งสองเท่านั้น ทว่าพวกเรานั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับลูกของคุณ ถ้าเราเกิดขัดแย้งกับคุณขึ้นมา จอห์นจะรู้สึกลําบากใจที่เป็นคนกลางฝั่งหนึ่งก็เพื่อนสนิทฝั่งหนึ่งก็สายเลือด มันทําให้เขาต้องเจ็บปวด
เมื่อได้ยินโรแลนด์พูด จอห์นคนลูกก็ทําหน้าตาน่ารังเกียจนราวกับกินแมลงวันเข้าไป
เขาไม่นึกเลยว่าโรแลนด์จะไร้ยางอายถึงเพียงนี้
ไร้ยางอายอย่างมากถึงกล้าพูดอะไรอย่างนั้นออกมาได้
จอห์นคนพ่อยิ้มอย่างปกติ เขามีประสบการณ์และความรู้มากพอสมควร เขาเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
เขาหัวเราะเบาๆและกล่าวว่า “อย่างไรก็ตามต่อให้มันเป็นคําพูดที่ดูรุนแรงและบังคับกันและต่อให้พวกเราต้องขัดแย้งกัน ข้าก็จําเป็นต้องพูดมันเป็นเรื่องสําคัญ”
โรแลนด์ถอนหายใจออกมา “ในเมื่อคุณว่าอย่างงั้น โปรดพูดออกมาเถอะ”
“เรามาสนทนาระหว่างทานกันไปด้วยไหม?”
“ไม่ละ มาจัดการธุระของเราให้เสร็จก่อนดีกว่า” โรแลนด์โบกมือของเขาและพูดว่า “ฉันไม่มีอารมณ์ที่จะกินจนกว่าจะได้ยินเรื่องหลักที่เราจะสนทนากัน”
ในขณะเดียวกัน ฮอร์ก, ลิงค์ และเจ็ท พวกเขานั้นจ้องมองไปที่อาหารอย่างหิวโหย เมื่อได้ยินสิ่งที่โรแลนด์พูด พวกเขาก็ยิ้มและพยายามข่มความกระหายของตัวเองลง
ตอนที่ 139 : เริ่มเป็นหนุ่มหล่อตั้งแต่วันนี้?
จินเหวินเหวินพาโรแลนด์ออกห่างมาจากสโมสรดาบ
ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ดอกหอมหมื่นลี้เริ่มเบ่งบาน กลิ่นหอมอ่อนโยนกระจายไปทั่ว
เสื้อขาว, กางเกงยีนรัดรูป, ทรงผมสั้นเท่าติ่งหู และรอยเส้นเลือด ลักษณะของสาวทอมแบบนี้ทําให้บางคนถึงกับตกตะลึงไปได้
แต่ว่าโรแลนด์นั้นชอบผู้หญิงแบบธรรมดามากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้ยินเรื่องที่ซีฉาเล่ายิ่งทําให้เขาไม่ชอบเธอมากขึ้นไปอีก ดังนั้นในสายตาเขาเธอจึงไม่ใช่คนที่ดูโดดเด่น
“นายสามารถแอบได้ดีจริงๆ” จินเหวินเหวินคาบบุหรี่สําหรับผู้หญิงพร้อมจุดมันอย่างชํานาญเธอพ่นควันออกมาก่อนจะพูดต่อว่า “ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่านายจะต้องทําให้ฉันต้องตามไปถึงที่นั่น”
โรแลนด์หัวเราะออกมา “แต่ก็ยังมาอยู่ดีไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ว่าเธอก็บากหน้ามาถึงที่นี่หรอกเหรอ?”
เมื่อได้ยินจินเหวินเหวินก็ขมวดคิ้วอย่างรุนแรง “ดูเหมือนนายอยากจะบ่นฉันสินะ?”
“พูดให้ถูกสิ คุณจิน ลองคิดดูถ้ามีไอ้โรคจิตแอบตามคุณทุกวันและพยายามสืบว่าคุณอยู่ที่ไหนคุณจะรู้สึกยังไงกัน?”
คําพูดพวกนี้กําลังใส่ความว่าเธอนั้นเป็นสต๊อกเกอร์และเช่นเดียวด่าว่าเธอนั้นเป็นไอ้โรคจิต จินเหวินเหวินโกรธขึ้นมาทันทีจนบุหรี่ที่เธอถือเอาไว้ในมือเกือบจะหล่นลงมา เธอใช้เวลาสักพักเพื่อระงับความโกรธแขะพูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อนายดูเหมือนไม่อยากจะพูดกับฉันขนาดนั้นฉันจะพูดตรงๆละนะ”
โรแลนด์เลิกคิ้วขึ้น ท่าทางของเขาราวกับบอกว่า “ถ้าเธอมีอะไรจะพูดก็พูดออกมาสิ”
จินเหวินเหวินสูดลมหายใจเข้าลึก “นายต้องมีแคปซูลเสมือนจริงอยู่ที่บ้านสินะ”
“ไม่” โรแลนด์ส่ายหัวออกมา
“อย่าทําเหมือนฉันโง่ไปหน่อยเลย” จินเหวินเหวินยิ้มเยาะออกมา “ฉันสังเกตุมานานแล้วว่านายเริ่มพัฒนาจิตสังหารมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนครั้งแรกที่ฉันเจอนาย นายนั้นบริสุทธิ์และขาวสะอาดไม่ต่างจากเด็กทารก แต่ตอนนี้น่ากลับมีบรรยากาศเหมือนฆาตกร และมันยังรุนแรงอีกมาก มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดขึ้นเมื่อนายฆ่าคนไปคนสองคน มันจะเกิดก็ต่อเมื่อนายฆ่าไปคนไปเป็นจํานวนมากเท่านั้น”
โรแลนด์หัวเราะออกมา “ถ้าหากฉันฆ่าคนจํานวนมากขนาดนั้นจริง ฉันคงโดนจับโด ยตํารวจไปแล้วละเธอคิดว่าตํารวจตอนนี้โง่มากนักเหรอ?”
“ใช่ มันเห็นได้ชัดว่านายฆ่าคนไปหลายคนแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นหมายความว่ามันมีทางอื่นอีกเหรอนอกจากเกิดขึ้นที่โลกเสมือนจริง?” จินเหวินเหวินเดินเข้ามาหาโรแลนด์พร้อมพูดอย่างจริงจัง “เพียงแค่ภายในเกมนั่นเท่านั้น ที่นายสามารถฆ่าคนได้โดยไม่โดนจับ”
โรแลนด์หาวออกมา และมองจินเหวินเหวินที่เดินเข้ามาใกล้เขาจากนั้นก็พูดว่า “นั่นเป็นแค่ข้อสัญนิฐานของคุณเองนี่ ฉันไม่มีมันสักหน่อย”
“มันไม่สําคัญหรอกนะต่อให้นายบอกว่าไม่มีตราบเท่าที่ฉันรู้ว่ามันมี” จินเหวินเหวินยิ้มอย่างชั่วร้าย “พูดตามตรงการปล่อยให้แคปซูลเสมือนจริงอยู่ในมือนายมันเสียเปล่า มอบมันให้ผู้ฝึกศิล ปะการต่อสู้ดีกว่าน่า”
“ทําไมคุณถึงบอกว่ามันเปล่าประโยชน์ละ?”
“แคปซูลเสมือนจริงนั้นควรอยู่ในมือผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ มันไม่ควรตกอยู่ในมือของคนธรรมดาอย่างนาย”
“โรแลนด์หัวเราะออกมาเบาๆ “นี่มันยุคไหนแล้ว ยังมีคนคิดมาตัวเองสูงส่งอยู่อีกรึไง? คุณลืมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเฉินเชิงที่เรียนตอนมัธยมต้นแล้วอย่างงั้นเหรอ? อย่าบอกนะว่าคุณออกมาต่อยมวยโดยยังเรียนมัธยมยังไม่จบน่ะ”
“นาย!” จินเหวินเหวินโยนบุหรี่ของเธอลงพื้นและเหยียบมันลงด้วยความโกรธอย่างรุนแรงขาของเธอนั้นยาวและเหยียดตรง “ฉันจะไม่อยากจะพูดหรือยุ่งกับนายนักหรอกนะ ครึ่งล้านขายแคปซูลเสมือนจริงให้ฉันซะ”
โรแลนด์ส่ายหัวออกมา “ฉันไม่มี”
“อย่าแกล้งโง่ไปเลย อย่าว่าฉันละกันหากฉันเล่นตุกติกหากนายทําให้ฉันโกรธ”
โรแลนด์กลับยิ้มมากกว่าเดิมเสียอีกเมื่อได้ยินแบบนั้น “ตอนนี้การสู้กันผิดกฎหมายอา ญาทั้งยังร้ายแรงมันเป็นจุดเด่นอยู่เสมอ ทว่าหากคุณกล้าจะทําร้ายฉันจริงๆ ในฐานะพลเมืองดีเชื่อฉันเถอะฉันแจ้งความแน่”
มันต่างจากทศวรรตหรือสิบยี่สิบปีก่อนแล้ว การขู่กันไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไปแล้ว
จินเหวินเหวินสูดลมหายใจเข้าลึก “ได้เลยนายชนะ ถ้างั้นฉันจะขึ้นราคาให้อีกครั้งแล้ว หนึ่งล้านเป็นไง”
“ฉันบอกว่าฉันไม่ที่ไง มันไม่เกี่ยวกับเงินสักหน่อย” โรแลนด์มองเธอด้วยท่าทางล้อเลียน “คุณไม่เข้าใจงั้นเหรอถึงเรื่องที่ฉันพูดหรือคุณหูหนวกกันแน่?”
จินเหวินเหวินเกือบจะบ้า
เธอพูดออกมาอย่างเกลียดชัง “โอเค! นายทําได้ดีจริงๆเจ้าสารเลว”
จากนั้นเธอก็หมุนตัวจากไป
โรแลนด์กลับมายังลานฝึกและเห็นซีฉากับฉีเฉาชูยืนรอเขาอยู่
ทันทีที่ฉีเฉาชูเห็นเขา เขาก็หัวเราะออกมา “ฉันเห็นจินเหวินเหวินโกรธจัดจนหนีไป ท่าทางเธอเหมือนกับกิน**มา ตอนที่ฉันเลิกกับเธอ เธอยังไม่มีท่าทางน่าเกลียดขนาดนี้เลยด้วยซ้ําเยี่ยมมาก!”
หลังจากนั้นเขากระทั่งตบไหล่โรแลนด์อย่างตื่นเต้น
ในขณะที่ซีฉานั้นถามออกมา “เธอพูดอะไรกับคุณกันแน่?”
“เธอกล่าวว่าฉันมีแคปซูลเสมือนจริงและเธอต้องการให้ฉันขายมันให้กับเธอในราคาล้านหยวน แต่ฉันบอกไปว่าฉันไม่มีและเธอก็ไม่เชื่อและมีท่าที่โกรธจนวิ่งหนีไป” โรแลนด์พูดอย่างสบายๆ
ทว่าสองคนที่เหลือนั้นต่างไม่มีใครเชื่อ พวกเขารู้จักจินเหวินเหวินดีกว่าใคร และถ้าหากง่ายอย่างที่โรแลนด์พูด จินเหวินเหวินก็คงไม่โมโหขนาดนั้นหรอก โรแลนด์ต้องทําอะไรสักอย่างให้เธอโกรธแน่ๆ
“เธอยังไม่ยอมแพ้ที่จะสู้ในศึกชิงแชมป์หญิงอีกรึไงเนี่ย” ฉีเฉาชูเศร้าไปราวกับรําลึกความหลัง
ซีฉานั้นมือไข้วไปด้านหลังและมองอยู่ในระยะไกล
“ พวกนายเองก็ฝึกศิลปะการต่อสู้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ พวกนายไม่สงสัยงั้นเหรอว่าฉันมีรึเปล่า?” โรแลนด์ถามอย่างสงสัย
ฉีเฉาชู้ตอบด้วยท่าที่เหมือนเช่นเคย “มีแล้วไม่มีต่างกันตรงไหน? นายจะบอกพวกเรา เมื่อนายอยากจะบอกและถ้านายไม่พูดอะไรพวกเราก็ไม่อยากจะรู้ มันไม่มีประโยชน์ที่จะทํามันรังแต่จะทําให้ความสัมพันธ์ของพวกเราด่างพล้อยลง”
ซีฉามองไปที่โรแลนด์ ดวงตาคู่นั้นของเธอราวกับหยดน้ําในฤดูใบไม้ร่วง
โรแลนด์ถอนหายใจ “จริงๆแล้วฉันมีมันนั่นแหละ”
ในเมื่อพวกเขาเริ่มสนิทกันแล้วมันไม่มีความจําเป็นที่ต้องโกหก
ฉีเฉาชูหัวเราะเบาๆและทําท่าทางโล่งใจ
ในขณะที่ซีฉาเอามือไขว้หลังและถือสมุดเล่มเก่าๆเอาไว้ในมือ “นี่คือประสบการณ์ในการฝึกเต๋แห่งการหมุนเวียนพลังชีวิตของฉันเอง นายเอามันไปได้เลยถ้าอ่านจบค่อยคืนฉัน”
โรแลนด์รับมันมา สมุดนี้ยังมีไออุ่นๆจากมือหญิงสาวอยู่ โรแลนด์ผงะไปเล็กน้อยก่อนพูดอย่างสุภาพว่า “ขอบคุณ”
ซีฉายิ้มขึ้นมาอีกครั้งซึ่งไม่บ่อยนักที่เธอจะทําอย่างนี้ “ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก”
ในตอนเที่ยงโรแลนด์กลับมายังบ้าน และหลังจากกินข้าวกับที่บ้านเขาก็นอนลงบนเตียงพร้อมเริ่มอ่านสมุดของซีฉา
คําแรกหลังจากที่เขาเห็นคือเต๋แห่งการหมุนเวียนพลังชีวิตโดยมันเขียนด้วยลายมือที่งดงามและเป็นระเบียบ
โรแลนด์เริ่มไล่เปิดทีละหน้า สมุดนี้ถูกเขียนโดยลายมือของซีฉา มีการวาดเกี่ยวกับร่องรอยการหมุนเวียนพลังชีวิต เส้นทางการเดินของพลังชี และความคิดเห็นของเธอ
หลังจากอ่านอย่างตั้งใจ โรแลนด์ได้รับรู้ว่ามันมีข้อมูลเชิงลึกและประสบการณ์ของเธอสําคัญๆอยู่
ในฐานะผู้หญิง ซีฉาให้ความสําคัญเรื่องความขาวของเธอเกินไป
เกือบทั้งหมดที่เธอเน้นไว้มักจะเป็นเกี่ยวกับเรื่องการทําให้ผิวขาวได้นานขึ้นหรือผอมขึ้นอะไรจําพวกนี้
และยังมีเทคนิคลับทําให้ผมดําสลวย
ของพวกนี้ไร้ค่างั้นเหรอ?
ไม่มันมีประโยชน์มาก
แต่สําหรับโรแลนด์นั้นเขาต้องการที่จะเห็นข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาพลังจิต
ไม่ใช่ของพวกนี้
หรือเขาต้องฝึกตัวเองให้กลายเป็นหนุ่มหล่อ?
หมมันก็ดูเหมือนไม่ใช่ความคิดที่แย่นะ
ด้วยความคิดเช่นนี้จู่ๆก็มีบางสิ่งวาบเข้ามาในความคิดของโรแลนด์
BEE Chensheng เฉินเฉิง คนที่สถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์ และได้ครองราชแค่ 6 เดือน
ตอนที่ 138 : ซีฉาในเมื่อก่อน และซีฉาในตอนนี้
โรแลนด์ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าฉีเฉาขู่จะมีความหลังแบบนั้น
จากมุมมองของคนภายนอก ถ้าหากเรื่องที่ซีฉาพูดเป็นความจริงจินเหวินเหวินก็ทําเกินไปจริงๆ
จากมุมมองของคนใน ในสายตาของคนที่เคยพบเจอทั้งหมดมาก่อนโรแลนด์เองก็ค่อนข้า งเชื่อถือคําพูดของซีฉา
ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้ชื่นชอบจินเหวินเหวินนัก ทว่าตอนนี้มันติดลบไปแล้ว
เขานั้นเลิกสนใจสองคนข้างนอกและตั้งใจกินอาหารเช้าเขานั้นไม่สนใจเรื่องข่าวฉาวของคนรู้ จักนัก
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เขาก็หันไปคุยกับซีฉาที่กําลังกินกัดก๋วยเตี๋ยวคําเล็กๆอยู่ว่า “อาหารเช้าที่เธอทํานี่อร่อยขึ้นเรื่อยๆเลยนะ”
ริมฝีปากของซีฉาเผยอขึ้นเล็กน้อยทว่าเธอก็ไม่ได้ยิ้มออกมาเธอแค่พูดอย่างหงุดหงิด “กินไปเถอะน่า ไม่ต้องยอให้เสียเวลาหรอก!”
แม้มันจะเป็นคําพูดที่ดูรําคาญ แต่โรแลนด์ไม่รู้สึกถึงน้ําเสียงที่ดูหงุดหงิดจากคําพูดนั้น
และหลังจากอยู่ร่วมกันกว่าสองสามเดือน โนแลนด์ก็รู้ว่าซีฉานั้นเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน
บุคลิกเยือกเย็นนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเธอเท่านั้น
เขาช่วยเธอล้างจาน ก่อนจะพูดออกมาว่า “ครั้งก่อนพี่ฉีบอกว่าเขาต้องการให้เธอสอนฉันเกี่ยวกับเทคนิคบางอย่างมันคืออะไรงั้นเหรอ?”
“เต๋ของการหมุนเวียนพลังชีวิต เป็นชี่กงที่บ่มเพาะเกี่ยวกับภายใน”ซีฉาหันหน้ามามองเขา “ถึงแม้ว่าใครจะสามารถฝึกได้ก็จริง แต่สําหรับตระกูลฉีผู้ฝึกส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง”
ฮืม..เมื่อได้ยินเช่นนี้โรแลนด์ก็หมดความสนใจทันที
ตลอดเวลาโรแลนด์คิดหาวิธีฝึกพลังจิตในโลกแห่งความเป็นจริงเขามองหาข้อมูลมากมายและ พบเข้ากับบางกระทู้และได้พูดคุยกับชาวเน็ตที่สนใจเรื่องนี้เช่นกัน ของอย่างการบ่มเพาะเซน, โยกง และอื่นๆอีกมาถูกลิสต์ขึ้นมาโดยชาวเน็ตทว่าเขารู้สึกเสมอว่าพวกนี้เป็นแค่ของปลอม
เมื่อคิดๆดูแล้ว คนรอบตัวเขาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็มีแต่ตระกูลฉีอย่างไรก็ตามตระกูลนี้ก็ฝึกศิลปะการต่อสู้กันมาอย่างยาวนานก็ต้องมีความรู้เรื่องนี้บ้างเป็นธรรมดา
ครั้งที่แล้วเขานั้นปฏิเสธความหวังดีฉีเฉาไป และถ้าเขากลับมาถามมันก็คงดูแปลกๆยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่ คนเราก็มักจะหยอกล้อกันแรงมากขึ้นเท่านั้น
นี่จึงเหตุผลว่าทําไมเขานั้นถึงเลือกจะมาถามซีฉาแทนเมื่อเขาได้ยินว่ามันเป็นแค่การฝึก จิตใจธรรมดาๆเท่านั้นเขาก็หมดความสนใจในทันทีแต่เขาก็เข้าใจได้เพราะถึงยังไงเกี่ยวกับการฝึกชี่กงนี้มันก็หายไปกว่า 20 ปีแล้ว
“แม้ว่ามันจะธรรมดา แต่มันก็มีประโยชน์”เมื่อเห็นโรแลนด์หมดความสนใจซีฉาก็อธิบายด้วยท่าทางจริงจัง“แต่ก่อนฉันไม่ได้หน้าตาแบบนี้นะ”
ยืม?
เธอไม่ได้หน้าตาแบบนี้หมายความว่าไง? การฝึกชีกงคือพลังแห่งการศัลยกรรมรีไง ความสา มารถที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างภายนอกได้?
แม้โคตรน่าขนลุก!
เมื่อเห็นท่าทางของโรแลนด์เริ่มแปลกมากขึ้นเรื่อยๆซีฉาขมวกคิ้วบางๆของเธอเล็กน้อยพร้อมเช็ดมือและกล่าวว่า“ช่วยฉันล้างจานพวกนี้หน่อยฉันมีบางอย่างจะแสดงให้นายเห็น”
จากนั้นซีฉาก็เดินจากไป
โรแลนด์แปลกใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เก็บโต๊ะและเริ่มล้างจาน
ซีฉาตั้งใจทําอาหารเช้าให้เขาอย่างเต็มที่ตลอดสามเดือนที่ผ่านมานี้ดังนั้นจะเป็นอะไรไปหากเขาช่วยเธอล้างจานสักครั้ง!
จากนั้นหลักจากเขาทําความสะอาดจานเสร็จ ซีฉาก็กลับมาอีกครั้งคราวนี้เธอมาพร้อมกับอัลบั้มรูปภายในมือ
“มานี่สิ” ซีฉาเรียกโรแลนด์จากนั้นวางรูปลงบนโต๊ะและเริ่มเปิดแบบสุ่มๆ“นี่คือฉันสมัย ก่อน”
มีรูปมากมายภายในอัลบั้มและเกือบทั้งหมดเป็นรูปของสาวน้อย
เพียงแค่มองโรแลนด์ก็จําได้ทันทีว่าสาวน้อยนี้คือซีฉา ทว่าไม่เหมือนซีฉาคนปัจจุบัน เด็กสาวในรูปนั้นผอมและผิวเหลืองทั้งผมยังบาง เธอดูค่อนข้างธรรมดาและถึงขั้นต่ํากว่ามาตราฐานด้วยซ้ํา
ทว่าซีฉาในตอนนี้ผิวของเธอขาวราวกับเจ้าหญิง ริมฝีปากของเธอแดงและฟันของเธอขาวสวย และมีรูปร่างที่ดึงดูดใจอย่างมาก
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “อีกนิดก็จะผอม อีกหน่อยก็อ้วน” ซึ่งรูปร่างแบบนี้เหมาะกับชาวตะวันออกมาก
ถึงแม้ว่าหน้าตาเธอจะเปลี่ยนไปไม่เยอะ แต่ก็พบว่าซีฉานั้นมีเสน่ห์ขึ้นมากๆ
อารมณ์ของเธอก็เยี่ยมยอดเช่นเดียวกัน ราวกับดอกฟ้าที่แสนเย็นชา
หูของซีฉาแดงขึ้นเล็กน้อยทว่าเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมื่อเลื่อนไปเรื่อยๆ โรแลนด์ก็พบกับรูปของซีฉาอยู่ในโรงเรียน เขารู้สึกคุ้นเคยในทันที “หม…. ดูเหมือนว่าฉันเคยเห็นที่นี่มาก่อนนะ เดี๋ยวก่อนนะ นี่มันตึกของโรงเรียนลําดับที่สิบเอ็ดเธอเองก็เรียนที่นี่เหมือนกันเหรอ?”
ซีฉาพยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“เธอน่าจะเป็นรุ่นน้องฉันสินะ” โรแลนด์รู้สึกยินดีเล็กน้อย “ฉันมาจากปี 01 แล้วเธอละ?”
“ปี 02!”
ซีฉาสังเกตุไปที่โรแลนด์พักหนึ่งจากนั้นก็มีท่าทีเสียใจเล็กน้อย โรแลนด์ดูเหมือนจะจําเธอในสมัยก่อนไม่ได้ เธอจงใจเอาอัลบั้มมาให้เขาดู
โรแลนด์ไม่ได้คิดอะไรมากนัก เขาเพียงแค่มองรูปในอัลบั้มไปเรื่อยๆจนกระทั่งพบว่าซีฉาใน สมัยเรียนนั้นอยู่ในจําพวกที่ไม่น่าจดจํานัก
“เธอหมายถึง เธอฝึกฝนตําแห่งการหมุนเวียนพลังชีวิตแล้วเธอก็กลายมาเป็นคนสวยเหมือนทุกวันนี้เหรอ?”
ซีฉาพยักหน้า “ฉันจะสวยไม่สวยก็อีกเรื่อง แต่ภายในของฉันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงก่อนและเริ่มเปลี่ยนแปลงจากภายนอกฉันเริ่มฝึกเต๋แห่งการหมุนเวียนพลังชีวิตตอนเริ่มเข้ามหาลัย”
ทว่าโรแลนด์กลับมีคําถาม “เธอมั่นใจได้ไงว่ามันเป็นผลจากการฝึกฝนเต๋? บางทีอาจจะเป็นเพราะเธอเริ่มดูแลตัวเองตามปกติก็ได้? ผู้หญิงเปลี่ยนแปลงตัวเองถึงสิบแปดครั้งก่อนจะกลายเป็นผู้ใหญ่เธอเองก็น่าจะเคยได้ยินมันมาก่อน”
“ในตอนฉันเรียนอยู่ปีสี่ฉันยุ่งอยู่กับการฝึกงานและงานเอกสารในช่วงเทอมสอง ดังนั้นฉันเลยไม่ได้ฝึกมันไปพักหนึ่ง” ซีฉามีท่าทีหวาดกลัวเล็กน้อย “ภายในเวลาสามเดือนฉันเกือบจะกลายมาเป็นแบบเดิมทั้งผิวเหลืองและตัวแห้ง และหลังจากฉันกลับมาเริ่มฝึกมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ”
เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเองสินะ
หลังจากได้ยินเรื่องพวกนี้ โรแลนด์ก็สนใจมันเล็กน้อย
เทคนิคที่สามารถพัฒนาร่างกายได้มันน่าจะเป็นบางสิ่งที่พิเศษ
“เดี๋ยวฉันจะมอบสมุดบันทึกเกี่ยวกับการทดลองของฉันให้”
เมื่อซีฉาพูดจบก็มีเสียงเคาะเบาๆดังมาจากทางหน้าต่าง
ทั้งสองหันไปและพบว่ามันคือจินเหวินเหวิน
ดวงตาของเธอดูดุร้ายเมื่อมองมาที่โรแลนด์ผ่านทางหน้าต่าง “ฉันเห็นแล้วนะว่า นายกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ออกมาคุยกันได้รึยัง?”
คิ้วของซีฉาขมวดขึ้นเธอต้องการจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
ทว่าครั้งนี้โรแลนด์นั้นเร็วกว่า “เอาละ มาคุยกันเถอะ”
เขาพูดพร้อมเดินออกจากห้องครัวไป
ในขณะที่อีกด้านหนึ่งซีฉาดูไม่พอใจนักที่เขาออกไปกับจินเหวินเหวิน จากนั้นเธอก็เดินออกไปเช่นกันแต่แทนที่จะตามทั้งสองคนไปเธอกลับไปยังหน้าประตูทางเข้าสโมสรดาบและเจอกับพี่ของเธอ “ทําไมพี่ถึงปล่อยให้จินเหวินเหวินเข้าไปและไปยุ่งวุ่นวายกับโรแลนด์กัน”
ฉีเฉาชูหัวเราะออกมาเบาๆ “เหมือนกับเธอไม่รู้ว่าจินเหวินเหวินเป็นคนยังไง ความขี้ซื้อของเธอเป็นปัญหา ปล่อยให้เธอคุยกับโรแลนด์ไปเถอะ ปัญหาจะได้คลี่คลายสักที ไม่อย่างงั้นเธอก็คงมานี่ตลอด ไม่ต้องพูดถึงโรแลนด์หรอกพวกเราก็คงทนไม่ไหวเหมือนกัน”
“แต่ถ้าโรแลนด์ถูกเธอรังแก…”
“อย่ากังวลไปเลย โรแลนด์หมอนั่นมีจิตสังหารมากกว่าบุคลิกที่ดูใจเย็นนั่นอีก” ฉีเฉา+พูดออกมาอย่างดูหมิ่น “นอกจากนี้โรแลนด์ยังเป็นคนที่ดีใจแข็งในตอนแรกพบ ขณะที่จินเหวินเหวินนั้นมีนิสัยก้าวร้าวและรุนแรง แค่คําพูดของเธอไม่หวนกลับมาทําร้ายตัวเธอเองระหว่างพยายามกลั่นแกล้งโรแลนด์ก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
ตอนที่ 137 : ละครน้ําเน่า
จอห์นคนลูกนั้นคิดมาเสมอว่าบุตรทองคําไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเขา ทว่าบ่อยครั้งเขาคิดว่า เป็นเพียงเพราะทัศนคติไม่ตรงกัน
เขาไม่เคยคิดว่าพวกบุตรทองคําจะเป็นพวกเจ้าเล่ห์ขนาดนี้มาก่อน
มันก็จริงว่าพวกสามัญชนควรถูกดูแลและเอาใจใส่ให้มากกว่านี้อีกหน่อย ทว่ามันก็มีขีดจํากัดของมัน ถ้าหากสามัญชนถูกรังแกแล้วบุตรทองคําสังหารขุนนางที่เป็นคนทํามัน นั่นก็ดูเหมือนจะเกินไปหน่อย
โดยแต่เดิมแล้วเขาคิดว่าพวกบุตรทองคําใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อจัดการพวกเขา
ทว่าคําพูดของท่านพ่อก็ได้เปิดหน้าต่างบานใหม่ให้แก่เขา
บุตรทองคํานั้นเปรียบพวกเขาราวกับคนธรรมดา
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทําไมเขาถึงรู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติเสมอ
มีเหงื่อซึมออกมาจากหน้าผากของเขา
เมื่อจอห์นคนพ่อเห็นท่าทางของลูกชาย เขาก็กล่าวออกมาว่า “สิ่งที่น่าประทับใจในการกระทําของบุตรทองคําในครั้งนี้นั้นคือการทําอย่างไร้ที่ติ พวกเขาอ้างตัวว่าเป็นกลุ่มต่อต้านดวงตาสีเทา และทําเสมือนว่าพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คนที่มีแผนการนี้น่าจะเป็นคนที่สามารถอ่านสถานการณ์ และรับรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาต้องทําคือการเก็บตัวเงียบจนกว่าพวกเขาจะมีพลังพอที่จะโค่นอํานาจของเหล่าขุนนางได้ทั้งหมด”
“พวกเขาคงไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้นจริงๆใช่ไหม?” จอห์นคนลูกรู้สึกว่านี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อย
“อย่าดูถูกศัตรูและอย่าตราตรึงชัยชนะของเข้าไว้ที่ความโง่เขลาของพวกเขา” จอห์นคนพ่อยิ้มออกมา “เจ้าเชิญสี่คนนั้นมาที่ทว่ากลับไม่เป็นไปตามแผนใช่ไหม?”
จอห์นคนลูกพยักหน้าออกมา
“ถ้าอย่างนั้นจงเชิญพวกเขามาอีกครั้ง ภายใต้นามของข้า” จอห์นหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าต้องการเห็นบุตรทองคําทั้งสี่ด้วยตาของข้าเองและต่องการรู้ว่าพวกเขานั้นอยู่ระดับไหน”
ณ หอคอยเวทย์ โรแลนด์ใช้เวลาตลอดทั้งวันเพื่อสร้างหุ่นเวทย์สอดแนมและคิดจะทดลองมัน เมื่อเกมกลับมาเปิดอีกครั้ง
เขานั้นลุกขึ้นจากแคปซูลเสมือนจริงและเข้าไปยังฟอรั่มเหมือนอย่างเคยก่อนจะมุ่งหน้าไปสโมสรดาบ
เมื่อเขาลงจากจักรยานสาธารณะ เขาเห็นฉีเฉาชูเอนกายพิงประตูทางเข้าอยู่ ดวงตาปลาตายคู่นั้นเปิดออกมาครึ่งหนึ่งพร้อมคาบบุหรี่ในปาก ทําตัวราวกับผู้เชี่ยวชาญด้านความเหงา
“พี่ชายฉี มายืนอะไรอยู่ตรงนี้ไม่กินข้าวเช้าเหรอ?”
หลังจากพบกันกว่าสองเดือน โรแลนด์, ฉีเฉาชู และซีฉานั้นก็กลายเป็นคุ้นเคยกันมากขึ้น ฉีเฉาชูแก่กว่าโรแลนด์สามปีทั้งยังเป็นอาจารย์ของเขา โรแลนด์จึงเรียกเขาว่าพี่ชายฉี
ฉีเฉาชูชี้ไปยังสนามฝึกและกล่าวว่า “ดูเอาสิว่าใครมา”
เมื่อโรแลนด์มองไปทางนั้นเขาก็เห็นจินเหวินเหวินกําลังคุยอยู่กับซีฉา
ท่าทางของจินเหวินเหวินดูมีความสุข และเหมือนกําลังยิ้มออกมา ทว่าท่าทางของซีฉานั้นกลับเย็นชาและดูหงุดหงิด
“เธอมาทําอะไรที่นี่กัน?” โรแลนด์รู้สึกถึงปัญหา “ไม่ใช่ว่าพี่บอกเองเหรอว่าเธอไม่กล้ามาที่นี่?”
“ก็เธอกล้าขึ้นมา ฉันจะทําไงได้?” ฉีเฉาชูสะบัดแขน “ฉันเปิดธุรกิจจะให้ไล่คนออกโดยไม่มีเหตุผลก็ไม่ได้”
“ถ้างั้นวันนี้ผมขอกลับบ้านก่อนก็แล้วกัน” โรแลนด์พูดขึ้นและกําลังหันหลังกลับไป
“เปล่าประโยชน์น่าถ้าเธอมาที่นี่เพื่อเจอนาย ถ้าเธอไม่ได้ตัวนายละก็เธอจะไม่มีวันจากไปหรอก วันนี้มารอ, วันพรุ่งนี้ก็มารอ…ต่อให้ฉันไม่ให้เธอเข้ามาเธอก็คงรออยู่หน้าประตูอยู่ดี” ฉีเฉาชูถอนหายใจอย่างหมดหนทาง “เป็นไปได้เหรอที่นายจะไม่มาที่นราเลย? ทําไมนายไม่ไปเจอเธอ พูดกับเธอ แล้วปล่อยให้เธอยอมแพ้ไปเองละ”
โรแลนด์คิดเกี่ยวกับคําพูดนั้นและคิดว่านั่นน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว
ขณะที่ทั้งสองกําลังคุยกันอยู่ จินเหวินเหวินก็เห็นโรแลนด์และยิ้มออกมาอย่างยินดี
ในขณะเดียวกันเธอก็เดินเข้ามาหาเขา
“นายนี่เก่งที่จะซ่อนตัวจริงๆ” จินเหวินเหวินเดินเข้ามาหาโรแลนด์และพูดด้วยรอยยิ้ม “ถึงขั้นบังคับให้ฉันต้องมาที่นี่จนได้”
โรแลนด์กําลังจะพูด
“พูดก็พูดเถอะนะถ้าที่นี่ไม่ถูกสุขอนามัยนัก เธอก็ไม่ต้องมาก็ได้ถ้าเธอไม่ชอบใจ” ฉีเฉาชูพูดออกมาอย่างสุขุมและถือบุหรี่และเปาควันออกมา
จินเหวินเหวินหันหน้าไปหาเขาพร้อมขมวดคิ้ว “ดูนายสิ สามปีแต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ฉันกําลังคุยกับคนอื่นอยู่ทําไมต้องมาขัดด้วย?”
“ฉันมีชีวิตที่ดีอยู่แล้วทําไมต้องเปลี่ยนด้วยละ?” ฉีเฉาขู่ยิ้มเยาะออกมา “ที่นี่เป็นที่ของฉัน โรแลนด์เองก็เป็นนักเรียนของฉัน ฉันมีหน้าที่ต้องปกป้องเขาจากผู้หญิงที่มากปัญหา”
“โอ้ ตอนนี้เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบแล้วเหรอ ทําไมตอนเมื่อก่อนถึงไม่มีมันสักหน่อยล่ะ?”
“มันไม่ใช่ลูกของฉัน ทําไมฉันต้องอยากเลี้ยงดูมันด้วย!” ฉีเฉาขู่ยิ้มออกมา
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ โรแลนด์ก็อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ มีข้อมูลมากมายในคําพูดของฉีเฉาชูและนั้นเริ่มจินตนาการไปถึงละครน้ําเน่าตอนแปดโมงเช้า
“ไอ้ชั่ว” จินเหวินเหวินตะโกนออกมา “ถ้านายไม่อยากจะรับผิดชอบก็แค่พูดออกมาอย่าใช้เด็กเป็นข้ออ้าง”
“ตรวจสอบ DNA ถึงสามครั้ง และผลก็ออกมาทั้งสามครั้งว่าไม่ใช่ลูกของฉัน”
จินเหวินเหวินหันหน้าที่ดูหม่นหมองของเธอและจ้องมองไปยังฉีเฉาชูอย่างดุร้าย จากนั้นเธอก็หันกลับมามองโรแลนด์ “ไปกับฉันหน่อย ฉันมีบางอย่างที่ต้องการพูดกับนาย”
ขณะที่โรแลนด์กําลังจะอ้าปากพูดอีกครั้ง
ตอนนั้นเองซีฉาซึ่งเดินเข้ามาก็พูดขึ้นว่า “โรแลนด์ไปกินอาหารเช้ากัน”
จินเหวินเหวินหันหน้าไปมองซีฉา “พวกเธอสองพี่น้องร่วมมือกันเพื่อรังแกฉันรึไง?”
ซีฉาหันไปมองเธออย่างเย็นชา “ถ้าหากคุณมีธุระก็รอจนกว่าโรแลนด์จะกินอาหารเช้าเสร็จก่อน ปัญหาโรคกะเพราะจะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายมาก หากอดอาหารเช้านานเกินไป”
เมื่อมีเหตุผลรองรับ ทําให้จินเหวินเหวินหงุดหงิดยิ่งขึ้นเธอมองไปยังซีฉาด้วยความรําคาญ
ทว่าซีฉานั้นไม่สนใจเธอและหันไปมองโรแลนด์ น้ําเสียงของเธอดูเหมือนคําสั่งอยู่กรายๆ “นายรออะไรอยู่ละ ไปเร็วไปกินอาหารเช้ากันก่อนที่มันจะเย็นกัน”
โรแลนด์ยิ้มออกมา “เอาสิ”
จากนั้นเขาก็ตามซีฉาไปเพื่อกินอาหารเช้า
จินเหวินเหวินถอยหลังกลับไปพร้อมมองซีฉาด้วยแววตาดุร้าย
โรแลนด์นั่งอยู่ภายในครัวและกินอาหารเช้าของเขาขณะมองไปยังสองคนที่อยู่ด้านนอกผ่านทางหน้าต่าง
จินเหวินเหวินมองไปที่ฉีเฉาชู
และฉีเฉาชูกําลังพิงประตู พร้อมสูบบุหรี่ราคาถูก และปล่อยควันออกมา โดยไม่สนใจจินเหวินเหวิน เขาดูทั้งผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติ
โรแลนด์นั้นค่อนข้างสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขาทั้งคู่
ซีฉาที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับโรแลนด์มองเขาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “พี่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจินเหวินเหวินมาก่อน เมื่อสามปีที่แล้วตอนที่พวกเขากําลังคุยเรื่องแต่งงานกัน จินเหวินเหวินก็ตั้งท้องและพี่ชายก็มีความสุขมาก ทว่าเพื่อของเขามาบอกว่าเขาเห็นจินเหวินเหวินโรงแรมกับผู้ชายอยู่บ่อยครั้งและบอกให้พี่ลองคิดทบทวนดูอีกที เขาและเพื่อนคนนั้นมีความสัมพันธ์ชนิดที่ว่าตัดกันไม่ขาด ดังนั้นเขาไม่น่าจะพูดเรื่องไร้สาระออกมา พี่ชายเลยพาจินเหวินเหวินไปตรวจ DNA ตอนแรกจินเหวินเหวินนั้นไม่ยอมและต่อว่าว่าพี่ไม่เชื่อใจเธอ แต่เขาก็ยังดื้อดึงที่จะทําหลังจากการตรวจสามครั้ง ผลตรวจก็ถูกส่งมาว่าไม่ใช่ลูกของพี่”
“จากนั้นพวกเขาก็เลิกกันและจินเหวินเหวินก็แท้งลูก”
ซีฉาพูดออกมาเหมือนเป็นเรื่องธรรมา ทว่าในความคิดของโรแลนด์นั้นกําลังฉายหนังดราม่าเรื่องยาวอยู่
ไม่แปลกใจเลยว่าฉีเฉาชูถึงมีท่าทีไร้ชีวิตชีวาแบบนั้นหลังจากผ่านเรื่องราวพวกนี้มา
“ดังนั้นเธอเลยเกลียดฉินเหวินเหวินมากสินะ?”
“เธอเป็นปีศาจของพี่” ซีฉาแสดงท่าที่โกรธแค้นที่ยากจะเห็น “ตั้งแต่เรื่องราวตอนนั้น เพลงดาบของพี่ก็ไม่เคยพัฒนาอีกเลย”
ตอนที่ 136 : ทุกชีวิตล้วนเท่าเทียม
สาวใช้ของอัลโด้นั้นมีคุณภาพเฉลี่ยเหนือกว่าพวกผู้มีอิทธิพลทั้งหมดภายในเดลพอน ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าสาวใช้พวกนี้ต่างซื่อสัตย์ต่อเขาเป็นอย่างมาก
ในตอนนั้นเองอัลโด้ก็โอบกอดสาวใช้ด้านซ้ายและขวา และหนึ่งในสาวใช้ทั้งสองนั้นกําลังป้อนไวน์เขาอยู่ส่วนอีกคนกําลังป้อนผลไม้ให้แก่เขา
อัลโด้ยังคงมีท่าทางที่ซีดเซียว ราวกับติดอยู่ระหว่างความเป็นความตายเหมือนก่อนหน้านี้ เมื่อเขาเห็นโรแลนด์มีท่าทีวิตกกังวลเล็กน้อย เขาพูดออกมาอย่างช้าๆว่า “อย่าพึ่งไปเร่งรีบในการเรียนเวทย์คลายการล่องหนเลย เวทย์พรระดับเล็กไม่เพียงแต่มีราคาแพงทว่ามันเป็นถึงเวทย์ระดับสี่ เจ้ายังไม่สามารถเรียนรู้มันได้หรอก ส่วนเวทย์ละอองฝุ่นเจ้านั้นสามารถเรียนรู้มันได้ ทว่าคีย์เมียร์นั้นเป็นชายที่หยิ่งยโส และเป็นขุนนางสายเลือกบริสุทธิ์และไม่ต้อนรับเหล่าสามัญชนหรือขุนนางใหม่ ข้าคิดว่าบุตรทองคําเช่นเจ้าก็คงไม่ต่างกัน”
เมื่อได้ยิน โรแลนด์ก็ล้มเลิกความคิดในการคลายเวทย์ล่องหนทันที
“ข้าไม่รู้ว่าทําไมเจ้าถึงดูรีบร้อนนัก ทว่าเจ้าที่เป็นบุตรทองคํานั้นไม่กลัวความตายใช่ไหม?” อัลโด้ยิ้มออกมาอย่างหยอกล้อ
โรแลนด์ยักไหล่ลงและออกจากคฤหาสน์ของอัลโด้ไป
จริงๆแล้วก็เป็นอย่างที่อัลโด้พูด โรแลนด์เองก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับพวกโจร
ทว่าโรแลนด์รู้สึกว่าคนที่เป็นภัยกับเขามากที่สุดนั้นไม่ใช่นักทําลายเวทย์ ทว่ากลับเป็นผู้เชี่ยวชาญจําพวกโจร, นักฆ่า, ผู้รับจ้างวานฆ่า ซึ่งสามารถล่องหนได้
ถึงแม้ว่าทุกคนนั้นจะเป็นผู้เล่น แต่สําหรับกลุ่มของผู้เล่นนั้นคนที่มีจํานวนมากมักจะเป็นฝ่ายถูกโดยไม่คํานึงถึงเรื่องราวที่แท้จริง ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าพวกเขาจะทําอะไรบ้าง มันไม่ใช่แค่การประลองกันระหว่างผู้เล่น ดังนั้นโรแลนด์จึงคิดว่าอีกไม่นานการต่อสู้จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนที่ไม่พอใจพวกที่ได้รับความสนใจจากสังคม
ตอนนี้โรแลนด์ถูกพิจารณาให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่โดดเด่นมากที่สุดโดยรู้จักกันในฐานะนักเวทย์อันดับหนึ่ง
ในตอนนี้ก็มีคนเปิดเผยตัวออกมาแล้วว่าต้องการเล็งเป้าหมายมายังเขาผ่านทางฟอรั่มและพวกที่ไม่ออกพูดอีก…เอาเถอะ เขาไม่รู้ว่ามีกี่คนกันแน่ที่ต้องการใช้เขาเป็นแท่นเหยียบเพื่อยืนอยู่บนจุดสูงสุด
นี่เป็นเหตุผลสําคัญที่โรแลนด์รู้สึกว่าตัวเขาต้องระมัดระวังมากขึ้น
กลับมาที่หอคอยเวทย์ วิเวียนนั้นดูค่อนข้างมีความสุขที่เห็นเขา เธออบขนม เสิร์ฟไวน์ผลไม้ และนวดหลังและไหล่ให้เขา
จากนั้นวิเวียนก็นั่งลงและเริ่มพูดคุยกับโรแลนด์
เธอพูดเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้าที่เกิดขึ้นกับหอคอยเวทย์ เกี่ยวกับเรื่องตลกๆของเด็กใหม่ทั้งสองนั้น และเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ครอบครัวของคลาอัสมาเพื่อรับศพเขา
“ พ่อของคลาอัสผมหงอกไปทั่วทั้งหัว คลาอัสเป็นความหวังเดียวของครอบครัว ทว่า…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ท่าทางที่มีความสุขของวิเวียนก็เปลี่ยนเป็นเศร้าหมองเล็กน้อย
“เธอคิดว่าฉันไม่มีเหตุผลใช่ไหมละ?” วิเวียนถามขึ้นขณะสังเกตุท่าทีของวิเวียน
คลาอัสเคยเป็นขุนนาง วิเวียนเองก็เป็นขุนนาง ยกเว้นเด็กใหม่สองคนนั่น สมาชิกที่เหลือล้วนแล้วแต่เคยเป็นสมาชิกของตระกูลขุนนางที่ล่มสลายทั้งหมด ครอบครัวของพวกเขานั้นปฏิเสธที่จะยอมรับมัน ดังนั้นการเป็นนักเวทย์จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะก้าวหน้าขึ้น
ขุนนางต่างมีความหยิ่งทระนงในตัว และถึงแม้ว่าโรแลนด์จะไม่ได้ติดต่อกับพวกเขามากนัก แต่เขาก็สามารถบอกได้ว่าพวกเขาไม่ได้ใจดีกับสามัญชนมากนัก
มีหลายคนด้วยซ้ําที่คิดว่าการกระทําของคลาอัสไม่ถูกต้อง ทว่าการฆ่าเขาเป็นเรื่องที่รุนแรงเกินไปหน่อย
วิเวียนส่ายหน้าออกมา “ไม่มีใครรู้ได้ ทว่าข้านั้นไม่คิดอย่างงั้น ข้าคิดว่าท่านเป็นคนที่เสียใจที่สุดในเรื่องนี้ด้วยซ้ํา ท่านรอง”
เมื่อเธอพูดจบ ดวงตาของหญิงสาวก็ปรากฏร่องรอยของหยดน้ําตา
วิเวียนเดินออกไปจากห้อง
โรแลนด์เริ่มกินอาหารและนั่งพักในห้องวิจัยของเขา
ก่อนที่เขาจะรู้ตัว เขาก็เล่นเกมนี้มากว่าครึ่งปีแล้ว
เขาใช้เวลาอยู่ในหอคอยเวทย์แห่งนี้มากว่า 4 เดือนแล้ว
พูดให้ถูกที่แห่งนี้เหมือนจะกลายเป็นบ้านหลังใหม่ของเขาแล้ว
เขารู้สึกสงบเป็นอย่างมากเมื่อนั่งอยู่ในห้องวิจัยของเขา
หลังจากพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง โรแลนด์ก็เริ่มพัฒนาเวทย์หุ่นเชิดต่อ
ในเมื่อเขาไม่สามารถเรียนเวทย์คลายการล่องหนได้ในตอนนี้ เขาเลยเลือกที่จะทําให้หุ่นเชิดของเขาสามารถคลายเวทย์ล่องหนได้
เขานั้นเริ่มทํามันทันที ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ได้แต่เอามือไปเกยไว้กับโต๊ะ เขารู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก
แล้วอะไรคือหลักการของเวทย์ล่องหนกัน?
การสามารถล่องหน? หรือการบิดเบือนภาพ? เปลี่ยนร่างกายตัวเองให้โปร่งใสด้วยการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพ?
ฮืม..โรแลนด์ใช้ระบบกิลด์ติดต่อไปหาเพื่อนสนิทของเขาฮัสเซอเร็ตในทันที
โรแลนด์: หลักการของการล่องหนของโจรคืออะไรงั้นเหรอ?
ฮัสเซอเร็ต: ฉันจะไปรู้ได้ไง? ฉันก็แค่ใช้มันได้เท่านั้นเอง
โรแลนด์: นายควรเรียนรู้เกี่ยวกับมันหน่อยนะ
ฮัสเซอเร็ต: ออกไปซะ! นายกําลังมอบเวลาที่ยากลําบากให้แก่ฉัน
โรแลนด์: ถ้างั้น…นายมาหาฉันสิให้ฉันได้ศึกษานายหน่อย?
ฮัสเซอเร็ต: !!!
ลี่หลินะ !!
ชัค: (ตกตะลึง) โรแลนด์ นายเริ่มมีรสนิยมแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
โรแลนด์หมดคําพูดไปในทันที เขาทิ้งสติ๊กเกอร์หน้าผิดหวังเอาไว้ในแชทกิลด์และยอมแพ้ในความคิดในการสร้างหุ่นเวทย์ที่ต่อต้านเวทย์ล่องหนในตอนนี้
ทว่านี่ถือเป็นตัวเปิดจินตนาการของเขา ถ้าหากเขาไม่สามารถสร้างหุ่นเชิดที่ต่อต้านเวทย์ล่องหน เขาก็สามารถสร้างหุ่นประเภทสอดแนมก่อนก็ได้เช่นกัน
ลดขนาดตัว, เพิ่มระยะการรับรู้, เพิ่มความเร็ว และอื่นๆ
เมื่อคิดได้โรแลนด์เลยเริ่มที่จะมีแรงกระตุ้นอีกครั้ง
การสร้างหุ่นยนต์ขนาดใหญ่และหุ่นเชิดเป็นสิ่งที่อยู่ในสายเลือดของผู้ชายทุกคน
โรแลนด์อุทิศทั้งหัวใจของเขาไปกับการสร้างหุ่นเชิดตัวนี้
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เพราะข่าวในโลกนี้แพร่กระจายกันช้ามาก ดังนั้นมันเลยต้องใช้เวลากว่าสิบวันก่อนที่นายกของเมืองจอห์นจะได้ข่าวเกี่ยวกับชายชุดดําสังหารนายกของเมืองมอลลี่เบทเทล
แสงแดดจากภายนอกหน้าต่างนั้นอบอุ่นเป็นอย่างมาก ทว่าจอห์นกลับหนาวสั่นเล็กน้อย
จอห์นคนลูกซึ่งไปยังเมืองอื่นเมื่อสองวันก่อน เพื่อค้นหาบุตรีทองคําและกําลังจัดการกับสัมภาระของเขาอยู่นั้นรู้สึกมึนงงเล็กน้อย เมื่อพ่อของเขาเรียกให้เขาไปยังห้องทํางาน
“ลองอ่านมันดูสิ” กระดาษแผ่นหนึ่งถูกโยนไว้ตรงหน้าจอห์นคนลูก
หลังจากอ่านจบจอห์นคนลูกก็คิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “มันน่าจะเป็นฝีมือของบุตรทองคํา กลุ่มคนหลายสิบคนที่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญ กองกําลังขนาดนี้เจ้าเมืองธรรมดาไม่สามารถมีมันได้ ไม่เพียงแต่พวกเรา ขนาดราชวงค์ยังไม่สามารถทําได้ด้วยซ้ํา”
จอห์นคนพ่อพยักหน้า “แต่พวกเรานั้นได้แค่ประเมินหลักฐานเท่านั้น โดยไม่มีวิธีพิสูจน์ว่าพวกมันเป็นคนทํา ดังนั้นพวกเราจึงไม่มีวิธีเอาผิดพวกมันได้”
“บุตรทองคําพวกนี้เจ้าเล่ห์เสียจริง” จอห์นคนลูกพูดอย่างหงุดหงิด “กล้าจะทําเรื่องที่ร้ายแรงขนาดนี้แต่ก็ยังหาวิธีปกปิดความจริง ข้าควรเรียกพวกมันว่าขึ้นขลาดหรือควรบอกว่าพวกมันช่างกล้าหาญและมีไหวพริบดี”
จอห์นคนลูกสับสนกับเรื่องพวกนี้เล็กน้อย
“ไม่สําคัญว่าเมืองมอลลี่นั้นจะเล็กขนาดไหน ทว่าเบทเทลก็ยังถือว่าเป็นนายกอยู่ดี นี่มันหมายความบุตรทองคําไม่เห็นพวกเราอยู่ในฐานะขุนนางเลย” จอห์นคนพ่อตบโต๊ะอย่างแรก “ในสายตาของพวกมัน ไม่มีความแตกต่างเลยแม้แต่น้อยระหว่างสามัญชนและขุนนาง เหมือนกับว่า พวกเรานั้นแค่มีเงินมากกว่าและมีกองกําลังมากกว่า ในสายตาของพวกมันพวกเราอาจจะเป็นแค่กลุ่มผู้มีอิทธิพลเท่านั้น”
จอห์นคนลูกเมื่อได้ยินดังนั้นก็ตัวสั่นออกมาเล็กน้อย
ตอนที่ 135 : ความกดดันเล็กน้อย
ฉันไม่ใช่บอสลับสักหน่อย ทําไมถึงเล็งเป้ามาที่ฉันกันด้วย?
เขาคิดอย่างนั้นและคลึกเข้าไปในกระทู้เพื่ออ่านมัน
ผู้โพสต์ได้บอกว่าเขาพบอาชีพลับนักทําลายเวทย์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษเพื่อตอบโต้กับผู้ใช้เวทมนตร์โดยเฉพาะ
ตราบใดที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ใช้เวทมนตร์หรือพลังเวทย์ ต่างก็จะพบกับโชคร้ายเมื่อเจอกับพวกเขา
และในหมู่ผู้ใช้เวทย์นั้น นักเวทย์น่าจะเป็นอาชีพที่แข็งแกร่งที่สุด ทว่าหลังจากผ่านไปสักระยะ เขานั้นรู้สึกเหมือนกับวีรบุรุษที่เรียนเพลงดาบสังหารมังกร ทว่ากลับไม่มีมังกรให้สังหาร เพราะถึงยังไงนักเวทย์ก็น้อยและลดลงเรื่อยๆ
การจัดการพวกพ่อมดและนักบวชก็ไม่สนุกเท่าไหร่ มีเพียงการได้จัดการนักเวทย์เท่านั้นที่จะทําให้เขาตื่นเต้นขึ้นมาได้
อย่างไรก็ตามนอกจากการได้เปรียบสําหรับผู้เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์ นักทําลายเวทย์นั้นค่อนข้างอ่อนแอในการเผชิญหน้ากับนักรบและผู้เชี่ยวชาญด้านความเร็ว
ดังนั้นนักเวทย์จะแข็งแกร่งหรือไม่และจะมีจํานวนมากขนาดไหน คําถามเหล่านั้นสะท้อนถึงการมีตัวตนของเหล่าผู้ทําลายเวทย์
เมื่อตอนที่เขารู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถทําอะไรที่สําคัญได้อีกในอนาคต โรแลนด์ก็ปรากฏตัวขึ้นมา
เขามีความสุขเป็นอย่างมาก เขานั้นต้องการให้โรแลนด์แข็งแกร่งมากขึ้น ด้วยวิธีนี้จะทําให้เขารู้สึกประสบความสําเร็จมากยิ่งขึ้นเมื่อสามารถจัดการนักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเซิร์ฟเวอร์ได้
ในขณะเดียวกัน เขาก็หวังว่าจะมีนักเวทย์ที่แข็งแกร่งปรากฏตัวมากยิ่งขึ้นเพื่อให้เหล่านักทําลายเวทย์มีความสําคัญและแข็งแกร่งมากขึ้นในอนาคต
เมื่อตอนที่โรแลนด์เริ่มมีชื่อเสียง เขาก็เริ่มติดตามโรแลนด์ราวกับสโตกเกอร์
และตลอดเวลามานี้เขานั้นรู้สึกว่าเขาเหนือกว่าโรแลนด์มาโดยตลอด โดยเชื่อว่าเขานั้นจะได้เปรียบเหนือนักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุด
จนกระทั่งสองวันก่อน เขาเห็นโรแลนด์พังกําแพงเมืองลงด้วยบอลเพลิงขนาดใหญ่ผ่านทางไลฟ์สตรีม
ความรู้สึกที่เหนือกว่าของเขานั้นหายไปทันที
“เขานั้นมีอาชีพที่ได้เปรียบเป็นอย่างมาก ทว่าความได้เปรียบนั่นสามารถหายไปได้ในทันที ความต้านทานเวทย์ของนักทําลายเวทย์อย่างพวกเรานั้นสูงเป็นอย่างมาก แต่มันก็มีข้อจํากัดอยู่ บอลเพลิงนั่นไม่ต้องเอ่ยถึงฉันเลย แม้แต่อาจารย์ของฉันก็ไม่สามารถต้านทานมันได้ด้วยซ้ํา นักเวทย์ทั่วไปค่อนข้างอ่อนแอ หลายคนในพวกเขาไม่สามารถร่ายบอลเพลิงนรกได้ด้วยซ้ํา ทว่าคนแข็งแกร่งอย่างโรแลนด์นั้นราวกับบอสภายในเกม”
หลังจากกล่าวชมเชยโรแลนด์ ผู้โพสต์ก็เขียนต่อไปว่า “พวกเราเหล่านักทําลายเวทย์สามารถขัดขวางเวทย์ในระยะที่กําหนดได้ และสามารถเพิ่มระดับความยากในการร่ายเวทย์ได้หนึ่งถึงสองระดับ แต่การขัดขวางนั้นไร้ความหมายกับระดับการควบคุมเวทย์ของโรแลนด์ ฉันพูดเรื่องพวกนี้เพื่อจะบอกว่าโรแลนด์นั้นไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน เขาเองก็มีจุดอ่อนเช่นกัน”
“อย่างแรกคือ การร่ายอย่างเต็มกําลังนั้นต้องใช้เวลาในการ “รวบรวม” พลังเวทย์เพื่อให้มีพลังโจมตีเพียงพอ”
“เวทมนตร์ที่สามารถพังกําแพงเมืองได้นั้นต้องใช้เวลาสิบสามวิในการเตรียมการ ซึ่งมันในศึกการต่อสู้นั้น พวกเรามีเวลามากมายที่จะโจมตีเขา”
“ถ้าหากเขานั้นอยู่ภายใต้การป้องกันที่แน่นหนา มันสําคัญที่จะต้องมีมือชนูประเภทซุ่มยิงจากระยะ 200-300 เมตร เพื่อโจมตีเขาจากระยะไกล และโจมตีเข้าที่ดวงตาของเขา”
“ถ้าโชคดี ก็อาจจะฆ่าเขาได้โดยตรง และถ้าหากโชคไม่ดีนัก อย่างน้อยก็สามารถขัดขวางการร่ายเวทย์ของเขาได้”
“เมื่อเวทมนตร์ที่ใช้เวลานานในการร่ายถูกขัดขวางลง พวกเขาจะต้องเปลี่ยนมาใช้เวทย์ที่มีความรุนแรงลดน้อยลงอย่างแน่นอน”
“เวทย์นั้นก็ยังคงมีความรุนแรงอยู่มาก ทว่าก็ไม่รุนแรงเท่าที่สามารถเปากําแพงเมืองทิ้งได้ และหากได้สวมใส่อุปกรณ์ที่ต่อต้านเวทย์ มันก็จะช่ายลดพลังทําลายของเวทมนตร์ได้อย่างมาก”
“นี่คือเหตุที่ฉันคิดว่าการจะจัดการกับผู้เล่นบอสอย่างโรแลนด์ พวกนายต้องมีคนอย่างน้อยห้าคน และจําเป็นต้องมีคนโจมตีระยะไกลและนักเวทย์หรือนักทําลายเวทย์ที่เชี่ยวชาญด้านมิติ เพราะถึงอย่างไรครั้งล่าสุดฉันเห็นโรแลนด์อัปโหลดแบบจําลองเวทย์ของเวทย์เคลื่อนย้าย หรือจะให้พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเขานั้นมีเวทย์มิติแล้ว และมันจะสามารถทําให้เขาสามารถวางแผนเพื่อหนีพวกเราได้ ดังนั้นต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านมิติเพื่อป้องกันผลของเวทย์มิติ”
นักเวทย์ที่ไม่มีเวทย์มิตินั้นก็ไม่ต่างอะไรจากคนไร้ความสามารถ
“นี่เป็นเพียงแค่ความเห็นของฉันในฐานะนักทําลายเวทย์เท่านั้น ทว่าท้ายที่สุดแล้วฉันอยากจะถามทางทีมผู้พัฒนาว่าพวกเขาทําให้นักเวทย์แข็งแกร่งถึงขนาดนี้เป็นตามความตั้งใจของพวกคุณอยู่แล้วเหรอ? ไม่ใช่อาชีพต่างๆควรสมดุลกันหรอก? ถึงแม้ว่าฉันเองจะเป็นนักทําลายเวทย์ ทว่า ฉันก็ไม่สามารถรับมือเขาได้ ดังนั้นผู้เล่นคนอื่นจะเอาชนะเขาได้ยังไง?”
จากนั้นผู้เล่นต่างออกมาตอบโต้ในกระทู้นี้
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆเลยว่าทําไมผู้เล่นนักเวทย์ถึงต้องมีการวิเคราะห์สกิลเหมือนบอสด้วย? เขาไม่ใช่ซานเต่สักหน่อย”
“คนนี้เรียกว่าดุร้ายกว่าซานจี๋เต๋อีก นายไม่ได้ดูเขาพังกําแพงเมืองเมื่อวันก่อนเหรอ เขานั้นเป็นพระเจ้า”
“สิบสามวิในการร่ายเวทย์บทเดียวมันก็เหมือนปืนใหญ่กระจกนั่นแหละ เมื่อเขากลายเป็นเป้าหมาย เขาก็กลายเป็นขยะเรียบร้อยแล้ว”
“อย่าลืมว่าตอนนี้โรแลนด์ระดับห้าเพียงเท่านั้นเขายังน่ากลัวขนาดนี้ ถ้าหากนายปล่อยให้เขาไปถึงระดับสิบละก็ บางทีเขาอาจจะสามารถเรียกฝนดาวตกออกมาจากที่ไหนสักแห่งก็ได้?”
“เท่าที่ฉันนึกออก เหมือนนักเวทย์จะมีเวทย์ล่องหนอยู่นะเป็นสกิลที่คล้ายๆกับของพวกโจร”
“เวทย์ของนักเวทย์มันเป็นสิ่งที่นายไม่สามารถจินตนาการได้หรอก ไม่มีอะไรที่พวกเขาทําไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการล่องหน, การเสริมพลัง หรือการอัญเชิญ ล้วนแล้วแต่สามารถทําได้ ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะเรียนมันหรือไม่
“ฉันคิดว่าตอนแรกเขานั้นได้เปรียบ และฉันไม่เชื่อว่าเขานั้นอยู่ระดับเดียวกับนักเวทย์ที่แกร่งที่สุดไปได้ตลอด พวกคนรวยพวกนี้เพียงแค่มองดูโรแลนด์อย่างเดียวและทําตัวเหนือกว่าเขา”
“โทษทีนะ ประธานหวงก็เป็นคนรวยและมี 250 IQ ทว่าเขานั้นเป็นนักรบ”
“เฮ้ พูดกันตามสบายเลย แต่อย่าดึงฉันเข้าไปยุ่งด้วย”
ทันใดนั้นชื่อสีทองที่เป็นตัวแทนของความร่ํารวยปรากฏขึ้นมาภายในกระทู้หัวข้อทั้งหมดก็ถูกบ่ายเบี่ยงไปในทันที
“ประธานหวงได้ปรากฏตัวแล้ว นี่คุณก็มาเรียกกระแสกระทู้นี้เหมือนกันงั้นเหรอ”
“ประธานหวงคุณสามารถมอบนาฬิกา Apple ที่คุณไม่ต้องการให้ฉันได้ไหม?”
โรแลนด์ปิดฟอรั่ม เขารู้สึกปวดหัวเนื่องจากตอนนี้เขากลายมาเป็นเป้าหมายของพวกโง่เง่านั่น
ทว่าเมื่อเขาคิดถึงมัน เขาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเป็นแบบนี้
เกมนี้ไม่ได้มีการห้ามการต่อสู้กันระหว่างผู้เล่น ในอีกความหมายคือในอนาคตการต่อสู้กันแบบกลุ่มหรือการต่อสู้ระหว่างกิลด์นั้นจะเกิดขึ้น เป็นไปไม่ได้เลยที่ F6 จะสามารถต้านทานสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อวันหนึ่งพวกเขานั้นขัดแย้งกับกิลด์อื่น
เขาอาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีพลังทําลายล้างที่รุนแรงที่สุดในตอนนี้
ซึ่งนั่นเป็นอุปสรรคในการต่อสู้ระหว่างกิลด์
เพราะเหตุนั้นเป็นธรรมดาที่กิลด์ทั้งหลายจะจัดการเขาก่อน
ดูเหมือนว่าเขานั้นต้องระวังตัวมากขึ้นในอนาคต บางทีอาจจะมีผู้เล่นนักฆ่าพยายามเข้ามาจู่โจมเขา
ตราบใดเท่าที่เขาเก็บความลับเกี่ยวกับเรื่องระดับของเขา อุปสรรคของเขาก็คงลดลงมาก
ด้วยความคิดในหัว โรแลนด์ก็เลยถามผู้เล่นนักเวทย์นักเวทย์ภายในกลุ่มแชท ทว่าทุกคนต่างก็ตอบกลับกันมาเป็นเสียงเดียวกัน ว่าพวกเขานั้นไม่เคยพบเวทย์ป้องกันการล่องหนมาก่อน
สี่วันต่อมาโรแลนด์ก็กลับไปยังหอคอยเวทย์ เขานั้นไม่ได้พักเลยแม้แต่น้อยทว่าพุ่งไปหาอัลโด้ทันที
เมื่อได้ยินความตั้งใจของโรแลนด์ อัลโด้ก็ยิ้มออกมา “มันมีเวทย์ที่ช่วยป้องกันการล่องหนอยู่มากมาย ทว่ามีเพียงสองเวทย์ที่ได้ผลชัดเจน อย่างแรกคือพื้นฐานที่สุดเวทย์ละอองฝุ่นส่วนอีกอย่างคือเวทย์พรระดับเล็ก เพียงแค่ขอพรว่า “ข้าต้องการมองเห็น” และร่ายออกมาตามเงื่อนไข”
โรแลนด์ถามออกมาอย่างเร่งรีบ “แล้วฉันจะสามารถเรียนมันได้จากที่ไหน?”
เขานั้นได้อ่านหนังสือภายในห้องสมุดของหอคอยเวทย์ทั้งหมดแล้ว และรับรู้ว่าไม่มีเวทย์สองบทนี้ถูกบันทึกไว้
“เวทย์ละอองฝุ่นนั้นเป็นเวทย์แปรสภาพเจ้าขอเรียนรู้มันได้กับนักเวทย์ที่ชื่อว่าคีเมียร์ที่เมืองหลวง ส่วนเวทย์พรระดับเล็กเจ้าสามารถเรียนรู้ได้จากโบสถ์แห่งโชคชะตาและบริจาคเงิน”
“ฉันต้องจ่ายเงินอย่างน้อยเท่าไหร่?” โรแลนด์ถามออกมา เขาจําได้ว่ามีโบสถ์ของเทพธิดาแห่งโชคชะตาอยู่ภายในเมืองนี้
“อย่างต่ําสี่สิบเหรียญทอง” อัลโด้ยิ้ม
แพงขนาดนั้นเชียว! โรแลนด์รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที เขาคิดว่าตัวเองรวยระดับหนึ่ง ทว่าเหรียญทองในกระเป๋ามิติของเขายังไม่เพียงพอในการเรียนเวทย์บทเดียวด้วยซ้ํา
ซานจ์เต = ผู้เล่นเกม WoW มีชื่อเสียงจากการฆ่าพันธมิตรภายในเกม
250 IQ = ไอ้โง่
ตอนที่ 134 : กล้าหาญ
อัญมณีสีฟ้าขนาดแตกต่างกันไปมีมูลค่ากว่า 90 เหรียญทอง และหลังจากประเมินราคาคร่าวๆจากโจรทั้งหกและเมื่อรวมกับหกสิบเหรียญทอง พวกเขาก็มีเงินรวมอยู่ที่ราวๆ 150 เหรียญทองจากปราสาท
ถ้าแปลงนี้เป็นเงินหยวนมันจะมีค่ามากกว่าสองล้านหยวน
เงินจํานวนนี้อาจจะไม่ได้มากนัก ทว่าผู้เล่นเกือบทั้งหมดต่างรู้สึกว่านี่เป็นเงินจํานวนมาก
เงินนั้นเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับกําลังในการซื้อและค่าความต้องการของเงินในสังคม
อย่างเช่นในช่วงปี 70 และปี 80 ในประเทศจีน เนื้อหมูมีราคาเพียงแค่ 60-70 เซ็นต์เพียงเท่านั้นแต่ก็ยังมีคนจํานวนน้อยอยู่ดีที่สามารถกินเนื้อหมูได้ เพราะในเวลานั้นการกินเนื้อหมูถือเป็นเรื่องที่หรูหรา ลองจินตนาการดูสิว่าหากมีเงินสองล้านหยวนในปี 70-80 ในช่วงที่เนื้อหมูมีราคาต่ํากว่าหยวนเสียอีก
ภายในโลกแห่งเกมนี้ราคาของและกําลังซื้อของคนบนโลกใบนี้ต่ํายิ่งกว่าตอนปี 70 และปี 80 ของจีนเสียอีก ขนมปังขาวและน้ําผึ้งถือเป็นอาหารที่หรูหรามีราคาเพียงแค่สองเหรียญทองแดงซึ่งนั่นฟังดูราคาถูกมา ทว่าไม่ใช่กับสามัญชนที่ไม่กล้าแม้แต่จะกินมันตามอําเภอใจ สองเหรียญทองแดงนั้นสามารถเลี้ยงดูครอบครัวธรรมดาได้นับสิบวัน
แล้วพวกเขาจะกล้ากินมันตามอําเภอใจได้ยังไง?
นี่ถึงเป็นสาเหตุว่าทําไมเหรียญทองและอัญมณีในโลกนี้ต่างก็มีค่าเป็นจํานวนมาก
และเบทเทลนั้นเพียงเป็นเจ้าเมืองของเมืองขนาดเล็กเท่านั้น
เพราะกลุ่มหลักที่อยู่เบื้องหลังการจุดไฟเผาปราสาทและปล้นชิงทรัพย์คือโจรทั้งหกคน ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะได้รับส่วนแบ่งที่มากยิ่งขึ้น ดังนั้นพวกเขานําสิ่งของที่มีมูลค่าหกสิบเหรียญทองแบ่งออกมาและให้โจรไปแบ่งกันเอง
ส่วนอีกเก้าสิบเหรียญทองที่เหลือนั้นต่างแบ่งออกมาอย่างเท่าเทียมให้ผู้เล่นที่เหลือ
จริงๆแล้วจะได้เงินหรือไม่ก็ไม่สําคัญกับโรแลนด์ เพราะจํานวนนักเวทย์ในเมืองหลวงที่เริ่มเรียนความสามารถพิเศษของเขานั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในกระเป๋ามิติของเขาในตอนนี้มีเงินกว่าสามสิบเหรียญทองแล้ว เขานั้นไม่ขาดแคลนเงิน แต่ถ้าหากเขาไม่รับมันมาเขาคงแอบถูกตราหน้าอย่างลับๆว่าเป็นพวกไม่เข้าสังคม, อวดรวยและทําตัวติดลบกับคนอื่น ดังนั้นเขาจึงถืออัญมณีขาวเม็ดเล็กๆเพื่อเป็นรางวัลให้กับตัวเอง
จากนั้นเหล่าผู้เล่นต่างก็เริ่มดื่มกินและเริ่มคุยโม้โอ้อวดกันจากนั้นภายในสองวันก็เริ่มแยกย้ายจากกันไป
อาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดนั้นต่างถูกนํามาจากเมืองมอลลี่
ในตอนแรกชาวเมืองและเหล่าพ่อค้าต่างหวาดกลัวกลุ่มผู้เล่นที่บ้าคลั่งที่อยู่ภายนอกเมือง บุตรทองคําเหล่านี้ไม่จําเป็นต้องนอนและหลังจากที่พวกเขาเมาในกลางดึกก็มีการตีฆ้องและกลองส่งเสียงร้องโหยหวนและร้องเพลงแปลกๆอยู่ที่ด้านนอกเมือง นี่เป็นเป็นเรื่องราวอันแสนน่ากลัวที่เด็กได้ยินก็ต้องหยุดร้องไห้
แต่พวกเขาก็พบว่าพวกผู้เล่นเหล่านี้ต่างจ่ายค่าอาหารและสินค้าทั้งหมด และมักจะเป็นฝ่ายขอโทษก่อนหากพวกเขาเดินชนใครสักคนเข้า พวกเขาจึงเริ่มมีความกล้ามากขึ้น และเริ่มเข้าหาและนําเครื่องดื่มมาขายให้เหล่าผู้เล่น
บางคนถึงขนาดกล้ามากที่มาร่วมดื่มและกินฟรีด้วย
พวกผู้เล่นนั้นไม่ใส่ใจและยอมรินเครื่องดื่มและนําอาหารให้พวกเขา พวกเขานั้นใจกว้างมาก
แต่ต่อให้เป็นงานเลี้ยงที่ดีที่สุดก็ต้องมีวันเลิกรา โรแลนด์นั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มคนสุดท้ายที่กําลังจะจากไปในขณะที่เขากําลังจะจากไปกลุ่มทหารก็พาเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาหาเขา
เขาเป็นเด็กชายตัวเล็กๆที่ทั้งซูบผอมและดูขึ้นอาย ไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อยแม้จะออยู่ในชุดของขุนนางก็ตาม
ทว่าแม้ว่าจะเผชิญหน้ากับโรแลนด์เขาก็ยังคงใช้ท่าทางที่ดูมุ่งมั่นและพูดประโยคราวกับพวกเขานั้นอยู่ในสถานะที่เท่าเทียมกัน “คุณอาร์คเมจผู้ยิ่งใหญ่ ข้าคือญาติห่างๆของตระกูลเบทเทลในฐานะของทายาทของเมืองมอลลี่ตอนนี้ข้านั้นคือผู้ปกครองเมืองมอลลี่ ข้าคิดว่าข้าควรถามท่านถึงบางสิ่ง”
เด็กน้อยคนนี้รู้สึกกลัวอย่างแท้จริง เขาพูดด้วยอาการสั่นและดูเหมือนจะมีน้ําตาในดวงตากลมโต แต่เขาก็ยังคงมองตรงเข้าไปในดวงตาของโรแลนด์อย่างกล้าหาญโดยไม่มีการสั่นคลอน
โรแลนด์มองไปที่ทหารรอบๆตัวเขา ทหารเหล่านี้นั้นเป็นผู้ติดตามเบทเทลไปในวันนั้น พวกเขาคือกลุ่มคนที่ต้องการสู้ตายไปพร้อมกับเบทเทล
แต่เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับการจ้องมองของโรแลนด์ พวกเขาก็ต่างหันหน้าหนีโดยไม่รู้ตัว
โรแลนด์หันกลับมาและยิ้มให้เด็กน้อย “ถามต่อเถอะ”
น้ําเสียงของเด็กน้อยยังคงสั่นเครืออยู่ “ท่านบรรลุเป้าหมายในการล้างแค้นแล้ว ท่านจะกลับมาโจมตีเมืองมอลลีของพวกเราอีกในอนาคตหรือไม่?”
โรแลนด์ที่เห็นว่าเด็กน้อยนี้หวาดกลัวขนาดไหนเขาจึงถามไปด้วยความสงสัยเล็กๆว่า “แล้วนายจะทํายังไงหากพวกเรากลับมาอีกครั้ง?”
เมื่อโรแลนด์พูดขึ้น เหล่าผู้เล่นที่ยังเหลืออยู่อีกเล็กน้อยซึ่งยังไม่จากไปและบางส่วนก็มีหน้าที่กําจัดและผังขยะต่างก็เอียงหูเข้ามาฟังและตอนนั้นเองชายในชุดคลุมดําหลายคนก็ยืนขึ้นพร้อมกันดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยการข่มขู่
“ข้า” เมื่อเห็นจํานวนชายชุดดําที่อยู่ตรงฝากตรงข้ามของถนน เด็กชายตัวน้อยก็เสียงสั่นมากขึ้นกว่าเดิม ปากของเขาซีดลงและสั่นเครือ “ข้าคิดว่าการต่อสู้ การฆ่าฟัน…มันไม่ดีพวกเราสามารถหาทางออกทางอื่นได้ พวกเราสามารถมอบ…เหรียญทองจํานวนมากให้ทุกเดือน…ในฐานะเครื่องบรรณาการได้แต่ได้โปรด…ไว้ชีวิตของประชาชนของเมืองมอลลีด้วย!”
ทหารที่คอยอารักขาอยู่ข้างๆต่างกลืนน้ําลายออกมาและแสดงท่าที่ไม่สบายใจเป็นอย่างมากและต้องการนํามือเอื้อมไปจับดาบ ทว่าก็ไม่กล้าเนื่องจากกลัวชายชุดดําในฝั่งตรงข้ามไม่พอใจ
เด็กน้อยอายุไม่ถึงสิบปี ขณะที่เขามองไปยังโรแลนด์อย่างกล้าหาญ เขาก็พยายามข่มความกลัวของเขาไว้ โรแลนด์รู้สึกสงสารเด็กน้อยเลยเอื้อมมือหวังที่จะลูบหัวเด็กน้อยและปลอบเขา
เมื่อการลูบหัวสิ้นสุดลงเด็กน้อยก็ร้องออกมาเบาๆและปิดตาของเขาแน่น
ทว่าเขายังยืนตรงอยู่ที่เดิมและไม่ได้ถอยหลังกลับไป
ทหารหลายคนนํามือไปจับด้ามดาบ แต่ยังคงไม่ดึงมันออกมา
โรแลนด์ตบไปที่หัวของเด็กน้อยเบาๆ “ตําแหน่งนายกนั้นอาจจะยากไปสักนิด ถ้าหากนายทํามันได้ดีละก็ พวกเราจะไม่มาที่นี่อีกต่อไป”
หลังจากพูดจบโรแลนด์ก็จากไปในทันที
เหล่าผู้เล่นหลายคนต่างก็เข้ามาและลูบหัวเด็กชายและพูดว่า
“ทําหน้าที่ให้ดีล่ะ”
“ทําหน้าที่ให้ดีแล้วอย่าเป็นเหมือนรุ่นก่อนละ
“สู้เข้านะแล้วเป็นเจ้าเมืองที่ดีให้ได้”
จากนั้นกลุ่มผู้เล่นก็จากไป เสียงชมเชยของพวกเขาดังขึ้นจากในระยะไกล
“เด็กน้อยนั่นกล้าหาญมาก หากเป็นฉันนะฉันคงกลัวจนขี้แตกไปแล้ว”
“นั่นมันโครตน่าหยะแหยง ถ้าเป็นฉันอย่างมากก็คงแค่หมดสติแล้วน้ําลายฟูมปาก”
จากนั้นพวกเขาก็หัวเราะกันออกมา
เด็กชายที่ตัวสั่นอดไม่ได้ที่จะล้มลงไปกับพื้น ขณะที่มองดูพวกชายชุดดําที่ไม่ได้สวมหน้ากากจากไปจนกระทั่งไม่เห็นแม้แต่เงา
เขาปิดหน้าตัวเองพร้อมร้องไห้อย่างเงียบๆ “โคตรน่ากลัว พวกเขาทําให้ข้ากลัวจนแทบจะตายอยู่แล้ว”
เมื่อเขาพูดจบก็เกิดคราบน้ําที่ด้านล่างของเขา
เมื่อเห็นดังนั้นเด็กชายก็ร้องดังขึ้นด้วยความอับอาย
องครักษ์ของเขาคนหนึ่งนั่งยองๆพร้อมตบไปที่แผ่นหลังของเด็กน้อย “นายน้อยท่านกล้าหาญและยอดเยี่ยมมาก”
โรแลนด์กลับไปยังมอลลี่และพบเข้ากับคนขับรถม้าพร้อมสั่งให้เขาไปยังทางเดิมที่เขาเดินทางมา
เขาอยู่บนรถม้าได้ไม่นานก็ได้รับข้อความมาจากกิลด์ เบทต้า: พี่โรแลนด์ในฟอรั่มมีคนตั้งกระทู้ด้วยว่าจะต่อสู้กับพี่ยังไง!”
โรแลนด์งงไปทันที นี่เขาไปทําอะไรให้ใครโกรธหรือเปล่า?
เขาเปิดฟอรั่มขึ้นมาและพบเข้ากับกระทู้นั่น
เกี่ยวกับวิธีการจัดการนักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดโรแลนด์
คนโพสต์กระทู้นี้นั้นบอกว่าตัวเองเป็น “ผู้ทําลายเวทย์”
ตอนที่ 133 : ข้าไม่ใช่คนสุดท้าย
ทิวทัศน์เบื้องหน้าของเบทเทลบิดเบี้ยว ไม่มีเสียงจากโลกภายนอกส่งออกมาให้ได้ยิน หูของเขาเต็มไปด้วยเสียงหึง และร่างของเขาเอนเอียงไปมาสองครั้งกำลังจะล้มลง แต่เขาก็ได้ทหารของ เขาช่วยพยุงไว้
รอยยิ้มของทั้งห้าตรงหน้าเขาเหมือนปีศาจ
“เจ้าโจรที่น่ารังเกียจและไร้ยางอาย” เมื่อนึกถึงทรัพย์สินที่สะสมมาหลายชั่วอายุคนของตระกูลของเขาที่ถูกทำลายโดยคนทั้งห้านี้ เบทเทลรู้สึกว่าตัวเองอาเจียนเป็นเลือดอยู่ภายใน
ที่แย่ไปกว่านั้นคืออีกฝ่ายยังคงกินแตงโมของเขาและล้อเลียนเขา
เขารู้สึกได้ถึงเลือดที่พุ่งขึ้นมาอยู่บนหัวของเขาและกำลังจะระเบิดออก
องครักษ์ส่วนตัวของเขาตบไปที่หลังของเขาแรงๆและรีบพูดว่า “ท่านครับอย่าไปสนใจพวกมันอย่าไปสนใจพวกมัน สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆเข้าไปลึกๆ”
ด้วยความช่วยเหลือจากองครักษ์ส่วนตัวของเขา เบทเทลก็สามารถระงับอารมณ์ที่โกรธแค้นและขุ่นเคืองจนอยากจัดการอีกฝ่ายลงจนได้ เขาจ้องมองไปที่โจรทั้งห้าอย่างดุร้ายและตะโกนด้วยความโกรธว่า “ในเมื่อพวกแกทั้งเผาปราสาทของข้าและขโมยเงินของข้าไปแล้ว ทำไมพวกเจ้าไม่เข้ามาฆ่าข้าทิ้งเสียเลยละ? เข้ามาฆ่าข้าเสียสิ พวกแกทั้งห้าต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ มันง่ายอยู่แล้วนี่ที่จะฆ่าพวกเราที่เป็นคนธรรมดาใช่ไหมละ? มาเลย เข้ามาเลย!”
เมื่อสิ้นเสียงตะโกนอารมณ์ของเขาก็ปะทุขึ้นอีกครั้งใบหน้าของเขาแดงเหมือนกันลิง เส้นเลือดที่คอของเขาปูดออกมา ราวกับกระต่ายที่ถูกกดดันให้เจอทางตัน เขาตอบโต้อีกฝ่ายไปด้วยคำพูดราวกับต้องการจะตาย
พวกโจรทั้งห้าที่กินแตงโมกันอยู่หัวเราะและกล่าวออกมาว่า “นายต้องตายอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ด้วยเงื้อมมือของพวกเรา คนที่ฆ่านายกำลังจะมาถึงที่นี่แล้ว”
รูม่านตาของเบ็ตเทลแคบลง ”มันคือใครกัน?”
เขาพอเดาออกได้ว่าเป็นใคร ทว่าเขาก็ยังคงถามออกมา
“ตายยากซะจริงมาแล้วนั่นไง” หนึ่งในผู้เล่นชี้ไปทางด้านหลังที่อยู่ห่างออกไป
ตอนนั้นเองเบทเทลก็สังเกตุเห็นกลุ่มคนสวมหน้ากากและสวมชุดดำวิ่งมาจากทางถนนพวก เขานั้นรวดเร็วเป็นอย่างมากและหยุดยืนต่อหน้าเขาในเวลาอันสั้น
ในตอนนี้เบทเทลไม่มีความแข็งแกร่งเหลือพอที่จะวิ่งหนีอีกต่อไปแล้ว
ม้าของเขาเกือบจะตายแล้ว และเหล่าทหารของเขาต่างก็นั่งกันอยู่บนพื้นและหมดแรงที่จะลุกขึ้น
เมื่อคนเราเหนื่อยล้า ถ้าหากไม่ได้พัก เขาอาจจะเดินต่อไปได้อีกพักหนึ่ง ทว่าหากเขาได้นั่งลงแล้วเขาจะเหลือแรงเพียงเล็กน้อยที่จะลุกขึ้นแล้วเดินไปโดยรอบ เว้นแต่จะพักจนเพียงพอ
เขานั้นไม่สามารถลุกเดินได้ด้วยซ้ำแม้ว่าเขาจะอยากขนาดไหนก็ตาม นอกจากนี้เขาก็เตรียมใจไว้แล้ว
พวกทัพของชายชุดดำเข้ามาใกล้ พวกผู้เล่นโจรต่างก็กลับไปด้านหลังพร้อมหยิบชุดคลุมดำออกมาใส่และหาที่ยืนในกลุ่ม
จากนั้นเอลลี่ที่แต่งตัวอยู่ในชุดราตรีสีแดงก็เดินออกมาอย่างช้าๆจากกลุ่มของพวกชายชุดดำราวกับว่าคลื่นสีดำกระเพื่อมอยู่เมื่อมีดอกไม้สีแดงที่งดงามปรากฏออกมาบรรยากาศในตอนนี้ไม่สามารถอธิบายได้
“เจ้านั่นเอง” เบทเทลเห็นเอลลี่พร้อมยิ้มอย่างขมขื่น
เอลลี่หยุดยืนห่างจากเบลเทลไปสามเมตร มองไปยังเหล่าทหารที่ยืนอยู่หน้าเขาและพยายามที่จะปกป้องเขาและกล่าวว่า “ฉันและพรรคพวกของฉันสนใจเพียงแค่เบทเทลเท่านั้นดังนั้นได้โปรดถอยออกไปด้วย”
เหล่าทหารพวกนี้ต่างถูกฝึกแบบพิเศษให้เป็นองครักษ์ส่วนตัวโดยตระกูลของเบทเทลและมีความภักดีเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่ติดตามเบทเทลจนมาถึงที่นี่
“ฉันคิดว่าพวกนายแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น ฉันเลยจะยอมปล่อยพวกนายไป แต่พวกนายไม่ยินดีรับมันไว้สินะ” เอลลี่มองไปที่เหล่าทหาร จิตสังหารของเธอก่อตัวขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “แต่หลายปีมานี้เบทเทลทำเรื่องเลวร้ายมากมาย พวกนายเองก็ต้องยอมทำตามคำสั่งและ ทำสิ่งชั่วร้ายมากมายเช่นกันดังนั้นหลังจากคิดมาพักหนึ่ง มันก็น่าจะดีหากให้พวกนายไปนรกกับเบทเทลด้วย”
เหตุการณ์นี้ยังคงถูกไลฟ์สตรีมอยู่ ผู้เล่นภายในไลฟ์สตรีมต่างพากันแสดงอาการประหลาดใจออกมา “หืม… ท่าทางของเอลลี่เปลี่ยนไปนิดหน่อยนะ เธอฉลาดขึ้น”
เบทเทลมองไปยังทหารโดยรอบพร้อมยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและยืนขึ้น “เอ้อเอลลี่ มีหนึ่งสิ่งที่ข้ายังไม่เข้าใจ ในเมื่อเจ้ามีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้ากัน ถ้าหากเจ้าบอกข้าก่อน ข้าคงไม่ทำเรื่องพวกนั้นกับเจ้า”
“ไม่หรอกสุดท้ายพวกเราทั้งคู่ก็จะมาอยู่ที่จุดนี้อยู่ดีไม่ช้าก็เร็ว” เอลลี่ส่ายหัว “ฉันแค่หลงไปกับคำพูดสวยหรูของนายเท่านั้น มันจะทำให้ฉันใช้เวลามากขึ้นในการค้นพบสันดานที่แท้จริงของนาย พวกเราต้องแตกแยกกันอยู่ดี เพราะถึงยังไงทัศนคติของพวกเราก็ต่างกันมาก”
เบทเทลหัวเราะออกมาอย่างน่าสังเวช “เจ้าจะสังหารข้าด้วยตัวเจ้าเองงั้นเหรอ?”
เอลลี่พยักหน้า
“ช่างเป็นผู้หญิงที่โหดร้ายจังนะ” เบทเทลเดินออกมาจากทหารที่กำลังปกป้องเขาและกล่าวว่า “ข้าจะไปกับเจ้ายังพุ่มไม้ ได้โปรดให้เกรียติข้าเป็นครั้งสุดท้ายด้วย อย่าให้เหล่าลูกน้องที่ศรัทธาในตัวข้าต้องเห็นจุดจบที่น่าสังเวชของตัวข้า ปล่อยพวกเขาไป”
กลุ่มทหารนั้นต่างไม่ยอมรับคำพูดพวกนั้น พวกเขาต่างเหลือพละกำลังเพียงเล็กน้อย ทว่าพวกเขาก็จับดาบขึ้นมาเพื่อร่วมเป็นตายไปพร้อมกับเบทเทล
โรแลนด์ดีดนิ้วและรายการสะกดจิตแบบกลุ่มออกมาทันที
แสงสีเหลืองอ่อนกระจายไปยังเหล่าทหาร พวกเขาล้มลงที่ละคน
อัตราสำเร็จของการสะกดจิตโดยเฉพาะการสะกดจิตหมู่นั้นไม่สูงนัก
เหตุผลที่โรแลนด์สามารถทำให้ศัตรูทั้งหมดหลับไหลลงได้เพียงครั้งเดียวนั่นเป็นเพราะทหารเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เหนื่อยล้าและไม่มีพลังใจเหลือแล้ว
เบทเทลมองไปยังกลุ่มทหารที่หลับไหลและหัวเราะออกมาอย่างขมขึ้น จากนั้นเขาก็มองไปยังกลุ่มของผู้เล่นรอยยิ้มขมขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มแปลกประหลาด “พวกเจ้ากล้าจริงๆ พวกเจ้าได้ทำสิ่งที่เลวร้ายลงไปแล้วสำหรับผู้ปกครองคนอื่นๆพวกเจ้านั้นไม่ต่างไปจากปีศาจร้าย ข้าน่าจะเป็นผู้ปกครองคนแรกที่ตายด้วยน้ำมือของพวกเจ้าแต่ข้าจะไม่ใช่คนสุดท้ายสินะ วันหนึ่งพวกเจ้าจะต้องขัดแย้งกับขุนนางทั่วทั้งโลกข้าจะรอดูอยู่ในนรกว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะหรือพวกเจ้าจะถูกขับไล่ให้กลับไปยังโลกของตัวเอง”
เมื่อพูดจบ เขาก็จัดเสื้อผ้าของเขาและเดินไปยังพุ่มไม้ เอลลี่เดินตามเขาเข้าไป
เหล่าผู้เล่นต่างรออยู่ที่เดิม
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เอลลี่ที่มีเลือดอยู่เต็มใบหน้าและมีรอยเปื้อนสีดำแดงอยู่บนชุดราตรีของเธอก็เดินออกมา
ทว่าสิ่งเหล่านี้นั้นถูกเซนเซอร์ไว้ให้กลายเป็นพิกเซล
การแสดงออกของผู้เล่นค่อนข้างกระอักกระอ่วน
สาวสวยที่มีร่องรอยการเซนเซอร์สีขาวสองสามจุดบนใบหน้าของเธอนั้น ทำให้บรรยากาศที่หดหูหายไปในทันทีและขนาดยังเพิ่มความร่าเริงได้ด้วยซ้ำ
เอลลี่เดินเข้าไปหาผู้เล่นที่กำลังสตรีมอยู่และพูดว่า “เบทเทลถูกฆ่าแล้ว ฉันจะทำตามสัญญาและเลิกเล่นเกมนี้ ฉันจะขายแคปซูลเสมือนจริงนี้ สำหรับผู้ชมที่สนใจสามารถตามข่าวการประมูลที่จะจัดขึ้นได้โดยเว็บประมูลได้ มันน่าจะถูกขายในเร็วๆนี้”
ในตอนนั้นเองเหล่าผู้เช่นที่อยู่ในชุดดำก็แนะนำออกมาว่า “น้องสาวแค่ลบบัญชีแล้วเริ่มเล่นใหม่ก็ได้ เธอยังสามารถเปลี่ยนหน้าตาได้อยู่ จะไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นใคร นี่เป็นโอกาสหายากนะหากขายแคปซูลเสมือนจริงไปแล้วมันยากมากเลยนะที่ซื้อได้ใหม่”
เอลลี่ส่ายหัวออกมา “ฉันตัดสินใจแล้ว เกมนี้ไม่เหมาะกับผู้หญิงใสซื่ออย่างฉันหรอก”
แม้ว่าเอลลี่กำลังจะจากไปและโศกเศร้า ทว่ากลับไม่มีผู้เล่นคนไหนที่มีความรู้สึกเดียวกันกับเธอ พวกเขาขมวดคิ้วอย่างอึดอัด พวกเขาอยากจะหัวเราะออกมาแต่มันน่าอายมากในสถานการณ์เช่นนี้ ให้ตายสิเจ้าเซนเซอร์บนใบหน้าเธอนี่ทำลายบรรยากาศจริงๆ
ทันใดนั้นก็มีคนพูดแทรกขึ้นมาว่า “ถ้างั้นภารกิจของพวกเราก็เสร็จแล้วใช่ไหม แล้วพวกเราจะเอาไงหรือจะแยกย้ายกันเลย?”
“เดี๋ยวก่อนอย่าพึ่งรีบ” โจรกระโดดออกมาและหยิบของที่เขาขโมยออกมาจากกระเป๋ามิติและโยนมันลงบนพื้น “นี่คือสินสงครามฉันได้มันมาจากภายในปราสาท มาหารกันเถอะพวกทุกคนมีส่วนแบ่ง”
ผู้เล่นโจรที่เหลืออีกห้าคนต่างก็ออกมาเช่นกัน “นี่ด้วย”
จากนั้นกองเหรียญทอง, เหรียญเงิน และอัญมณีก็กองอยู่หน้าพวกเขาทุกคน
มันมีกว่าหกสิบเหรียญทอง เมื่อรวมมูลค่าของอัญมณีเข้าไปผู้เล่นแต่ละคนจะได้รับส่วนแบ่งกันอย่างน้อยก็คนละสามเหรียญทอง
พวกคนที่อยู่ในไลฟ์สตรีมต่างก็ “กินมะนาว” กันออกมาทันที
“เขี่ย ทำไมฉันถึงไม่ไปด้วยนะ? นั่นเงินโคตรเยอะ”
“แม้งโคตรเศร้าเลย ฉันน่าจะได้รับส่วนแบ่งด้วย ถ้าหากว่าโสเภณีไม่ได้ดูดพลังงานของฉันจนหมดระหว่างอยู่กลางทางละก็…”
“ชัดเจนแล้วว่าการเป็นฆาตกรและนักวางเพลิงเป็นหนทางสู่ความรวย”
ตอนที่ 132 : เบทเทลผู้ล้มลงกับไอ้โจรชั่ว
ย้อนกลับไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เบทเทลเร่งรีบไปยังปราสาทพร้อมทหารของเขา
ทว่าทันใดนั้นท้องฟ้าก็สว่างขึ้นและมืดลงอีกครั้ง
มันคือภาพลวงตา เมื่อพวกเขามองกลับไปมันก็มีแสงวาบเข้ามาซึ่งทำให้วิสัยทัศน์ของเขาสับสน
เบทเทลที่ขี่ม้าอยู่ตัวแข็งไปชั่วขณะ เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขานั้นได้ยินเสียงดังเหมือนฟ้าร้องขึ้นจากทางด้านหลัง
เขาแทบจะแตก
เบทเทลไม่ใช่คนขี่ม้าที่นัก แต่ม้าที่เขาขอยู่นั้นเต็มไปด้วยพละกำลังและความเข้มแข็ง เขาใช้เวลาไม่ถึงสองวิเพื่อทำให้ตัวเองใจเย็นลง จากนั้นเขาก็มองกลับไปดวงตาและปากของเขาก็กว้างขึ้น
“ดอกไม้ไฟ” ขนาดใหญ่บินเข้าโจมตีกำแพงมันปกคลุมไปทั่งท้องฟ้า ดอกไม้ไฟสีแดงและสีน้ำเงินที่หนาแน่นกระจายตัวออกเหมือนกับฝนในอากาศ ทำให้วิสัยทัศน์ของผู้คนต่างแย่ลงอีกครั้ง
เบทเทลมองดูดอกไม้ไฟพวกนี้ขณะอ้าปากกว้างดอกไม้ไฟนี้ตกลงมาจากท้องฟ้ามองพวกมันหายไปกลางอากาศและจากนั้นก็กลายเป็นหินก้อนสีดำเล็กๆตกลงมาราวกับฝนหิน
เสียงกรีดร้องของเด็กๆหลายคนภายในเมืองดังขึ้น แต่ผู้ใหญ่ก็ปิดปากพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองฝั่งของถนนมีเสียงบิดประตูและหน้าต่างอย่างเร่งรีบ
ในไม่ช้าเมืองก็เงียบลง
เบทเทลจ้องมองไปที่กำแพงที่พังทลายในระยะไกลอย่างโง่เขลาใบหน้าของเขาซีดเผือด
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็มองไปที่เวดที่กำลังตกตะลึงไม่แพ้กัน “อาร์ค อาร์คเมจ?”
เนื่องจากเหล่านักเวทย์นั้นล้วนแล้วแต่มีสถานะที่สูงส่ง เหล่าปรมจารย์นักเวทย์นั้นต่างได้รับชื่อเรียกว่าอาร์คเมจ
เมื่อเวตได้ยินคำพูดของเบทเทลเขาก็กลับมามีสติอีกครั้งและกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “รีบหนีไปซะเบทเทลนี่ไม่ใช้สิ่งที่ตระกูลเวตจะเข้าแทรกแซงได้อีกต่อไปแล้ว”
ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้ควบม้าถอยห่างออกจากกองทหารและยืนอยู่ในด้านข้างของถนน ดูเหมือนว่าเขาจะหันหลังและหนีไปเนื่องจากท่าทางผิดปกติของเบทเทล
เบทเทลนั้นยิ้มอย่างสิ้นหวังเขาไม่พูดอะไรออกมา เพียงแค่โบกมือและจากไปอย่างรวดเร็วพร้อมทหารของเขา เขานั้นไม่ได้ตรงไปที่ปราสาท แต่วิ่งไปยังทางประตูทางออก
ในฐานะขุนนางเบทเทลรู้ดีว่าครั้งนี้นั้นเข้ายั่วยุศัตรูผิดคน เขาไม่รู้เลยว่าเอลลี่ที่โง่เง่ามีดีแค่สกิลในการสนับสนุนและเสริมความแข็งแกร่งจะมีอำนาจที่น่ากลัวขนาดนี้อยู่เบื้องหลัง
ทำไมเธอถึงไม่บอกเขา? ถ้าเขารู้เขาคงยังใช้ประโยชน์จากเอลลี่อยู่ แต่เขาคงไม่ปฏิบัติต่อเธอราวกับเครื่องมือที่ใช้แล้วทิ้ง เขาจะดูแลเธอในฐานะภรรยาในอนาคตของนายกจริงๆ แม้ว่าเธอจะไม่มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง ความสามารถในการสนับสุนนและเสริมความแข็งแกร่งก็เพียงพอแล้วที่ทำให้กองทัพแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
ความเสียใจนี้เป็นเหมือนงูพิษที่กัดกินหัวใจเขา
ถ้าเขาได้รับโอกาสเขาจะดูแลเอลลี่เหมือนกับเธออยู่ในสรวงสวรรค์
แต่มันก็สายเกินไปแล้ว
ประตูพังไปแล้วปราสาทเองก็ถูกไฟไหม้และตอนนี้เขาทำได้เพียงหนีไปบ้านย่าของเขาและหวังว่าปูและย่าจะให้ที่พักพิงแก่เขา
เพราะถึงอย่างไรบู่ของเขานั้นก็มีศักดิ์เป็นเอิร์ลซึ่งมีกองกำลังที่แข็งแกร่งกว่ามาก กระทั่งบุตรทองคำยังต้องช่างน้ำหนักในตัวเลือกของพวกเขา
ด้วยความคิดเช่นนั้นเบทเทลถึงออกไปทางประตูตะวันออกโดยไม่ลังเล
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาออกจากเมืองและเดินออกไปตามถนนพร้อมกับทหารของเขา เขาก็พบกับคนทั้งห้าที่ตามมาจากทางด้านหลัง เมื่อดูจากท่าทางการเคลื่อนไหว, รูปร่าง และการเดิน ก็สามารถบอกได้ว่าพวกเขาน่าจะเป็นโจรหรือหน่วยสอดแนมที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ
พวกนี้มาเพื่อกำจัดเขาและกองทัพของเขาใช่ไหม?
เบทเทลกัดฟันแน่นด้วยความเกลียดชังและโบกมือให้กองทัพรีบเดินทางไปให้เร็วขึ้น
มีเพียงเขาเท่านั้นที่นั่งอยู่บนหลังม้าในขณะที่ทหารวิ่งสองขา ในตอนแรกทหารทหารก็ตามติดไม่ห่างกันนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปอย่างช้าๆจำนวนทหารที่ตามหลังก็เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามทั้งห้าคนนั้นไม่ได้สนใจทหารที่อยู่ด้านหลัง พวกเขาเบี่ยงทางเล็กน้อยและพยายามจะไม่ปะทะกับทหารที่สิ้นหวังที่อาจเข้าใจผิดและคิดว่าพวกเขากำลังจะถูกฆ่าเพราะพวกเขาถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง
เขาเป็นเพียงเป้าหมายคนเดียว?
เบทเทลกัดฟันไม่กล้าวิ่งเร็วเกินไป
เนื่องจากทหารหลายคนพบว่าผู้ที่ไล่ตามซึ่งอยู่เบื้องหลังพวกเขาดูเหมือนจะไม่สนใจพวกเขา ดูเหมือนจะมีจุดประสงค์อื่น พวกเขาหลายคนจงใจอยู่ข้างหลังและถูกทิ้งเอาไว้ ถ้าเขาวิ่งเร็วขึ้นไปอีกและทหารที่เหลือไม่สามารถตามความเร็วของเขาได้อีกต่อไป ทหารทุกนายก็หนีไป เขาซึ่งอยู่คนเดียวจะต้องถูกจับโดยโจรทั้งห้าแน่นอน
ทหารนั้นเป็นหลักประกันความปลอดภัยของเขา ดังนั้นเขาจึงต้องชะลอความเร็วของตัวลง
แต่ถึงอย่างนั้นจำนวนทหารที่ตามเขามาก็ลดน้อยลง
เมื่อตอนเย็นมาถึงเหลือทหารที่ยังคงไล่ตามเขาทันเพียงแค่สี่สิบรายและทุกนายนั้นต่างเหนื่อยหอบกันออกมา พวกเขาราวกับจะหมดสติได้ทุกเมื่อหากต้องวิ่งต่อ
เบทเทลรู้ดีว่าเขาไม่สามารถวิ่งไปต่อได้อีกแล้ว
มันสำคัญมากที่จะต้องหยุดพักและให้ทหารของเขาได้พักดื่มน้ำและกินอาหาร
ทว่าพวกเขานั้นออกมาอย่างเร่งรีบและไม่มีใครสักคนในพวกเขานำเสบียงติดตัวมาด้วย มีเพียงแค่น้ำและเครื่องดื่มอยู่กันคนละดิบเท่านั้น หลังจากต้องวิ่งมาทั้งวันพวกเขาก็กินมันจนหมดแล้ว
เบ็ตเทลลงจากหลังของม้า เขามองไปที่ม้าคู่ใจของเขาและเห็นว่ามันเริ่มอาการไม่ดี มีฟองเล็กน้อยที่ด้านข้างของปากและถ้าเขาไม่ให้น้ำมัน ม้าจะตายอย่างกะทันหัน
อย่างไรก็ตามเขาจะหาน้ำได้จากที่ไหน? สภาพแวดล้อมโดยรอบประกอบด้วยทุ่งหญ้าและป่าเล็กๆ
ในขณะเดียวกันทั้งห้าคนที่ติดตามพวกเขาก็เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณสี่สิบเมตรเพียงเท่านั้น
ทหารบางคนหยิบมีดขึ้นมาอย่างยากลำบากเพื่อป้องกันตัว ทั้งห้าคนหยุดเข้าใกล้และเฝ้าดูพวกเขาจากในระยะไกล
หนึ่งในนั้นนำแตงโมขนาดใหญ่ออกมาจากที่ไหนสักแห่งจากนั้นแบ่งมันออกเป็นหลายๆ ส่วนด้วยดาบสั้นของพวกเขา แต่ละคนก็หยิบไปคนละชิ้นพร้อมเคี้ยวออกมาคำโต แม้จะอยู่ห่างออกไปสามสิบถึงสี่สิบเมตร แต่เสียงเคี้ยวของพวกเขาก็ยังดังก้องอย่างชัดเจน
สามารถบอกได้เลยว่าแตงโมนั้นหวานและเป็นอย่างมาก
ห้าคนนี้จ้องมองพวกเขาอย่างล้อเลียนขณะที่พวกเขากินแตงโมอยู่
ทหารหลายคนเลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
เบทเทลเองก็ยังรู้สึกกระหายน้ำมากกว่าเดิมเสียอีก
เขาลุกขึ้นยืนและตะโกนบอกคนทั้งห้าว่า “สองเหรียญทองสำหรับแตงโมลูกนั้นข้ารู้ว่าบุตรทองคำเช่นพวกเจ้านั้นมีมิติเก็บของ พวกเจ้าควรจจะยังมีมันเหลืออยู่”
ผู้เล่นทั้งห้ายิ้มออกมาอย่างประหลาดแต่ไม่ได้ตอบกลับมา
เงินที่เสนอไปไม่เพียงพองั้นเหรอ? หรือพวกเขามีแตงโมเพียงแค่ลูกเดียว?
เบทเทลสูดลมหายใจเข้าลึกและพูดต่อว่า “เอางี้เป็นไงพวกเรามาตกลงร่วมกันเถอะ ถ้าพวกเจ้าไม่ไล่ตามข้าต่อ ข้าจะมอบเหรียญทองให้พวกเจ้าคนละห้าเหรียญ ถ้าเจ้ายอมที่จะคุ้มกันพวกข้าระหว่างเดินทาง ข้าจะมอบเหรียญทองให้พวกเจ้าอีกวันละเหรียญจนข้านั้นปลอดภัย”
ผู้เล่นทั้งห้าหัวเราะออกมาแปลกๆทั้งยังมีท่าทีเยาะเย้ยและชี้มาที่เขาอย่างหยาบคาย
“ถ้าพวกเจ้าคิดว่ามันน้อยเกินไป พวกเรายังสามารถเจรจากันได้”
เบทเทลเชื่อว่าไม่มีใครในโลกนี้ไม่รักเงินรวมถึงพระเจ้าก็เช่นกัน มิเช่นนั้นเทพธิดาแห่งความมั่งคั่งวอคืนจะดำรงอยู่ได้อย่างไร?
ทันใดนั้นพวกผู้เล่นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พร้อมพ่นแตงโมออกจากปากอย่างหยาบช้า
เขาเช็ดปากและหัวเราะ “เบทเทลปราสาทของแกถูกจุดไฟเผาโดยพวกเรา พวกเราภายในปราสาทของแกเป็นเวลานานก่อนจะจุดไฟ! ทั้งหมดหกสิบสามเหรียญทองและคริสตัลอีกสามสิบเม็ด ไหนจะอัญมณีที่มีค่ามากขึ้นไปอีกละ? ขนาดแตงโมลูกนี้พวกเรายังขโมยมาจากบ้านแกเลย”
ผู้เล่นสายโจรพวกนี้ต่างมีสกิลค้นหาประตูลับ, ค้นหา และฉกทรัพย์ เพราะเวลาที่จำกัดพวกเขาเลยพลาดไปอีกหลายอย่าง แต่พวกเขานั้นไม่ได้ปล่อยของที่มีค่าจริงๆเอาไว้เลย
เบทเทลรู้สึกได้ทันทีว่าหัวของเขานั้นโดนทุบตีด้วยไม้ยาว เขาส่งเสียงพึ่งพำออกมาด้วยความเจ็บปวด เขานั้นเกือบจะไม่สามารถยืนตรงได้ด้วยซ้ำ ดวงตาของเขากระพริบเป็นสีขาวดำ
ตอนที่ 131 : กําจัดความชั่วร้าย
โรแลนด์ไม่ได้คาดไว้ว่าเวทมนตร์ของเขาในครั้งนี้จะมีพลังมากถึงขนาดนี้
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ห่างจากกําแพงเมืองสามร้อยเมตร แต่ถึงกระนั้นแก้วหูของพวกเขาก็แตกเพราะเสียงระเบิด
อาการเจ็บปวดไม่รุนแรงนัก เพราะท้ายที่สุดมันเป็นเพียงหนึ่งในสิบจากเดิม แต่สิ่งที่ทําให้เจ็บปวดมากที่สุดดคือจิตใจ
ตอนนี้ทุกคนตาบอดและหูหนวกไม่สามารถมองเห็นหรือได้ยิน ทั้งหมดอยู่ในสภาพที่สับสน หลายคนจึงกลิ้งไปมาด้วยความกลัวบนพื้นราวกับคนโง่
นอกเหนือจากการมองไม่เห็นหรือได้ยินแล้วโรแลนด์เองก็รู้สึกอ่อนแออย่างมาก ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติของร่างกาย เมื่อพลังทางจิตเกือบจะกระทบกับก้นบึง
ตามเหตุผลแล้วนี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสําหรับพวกเขาในการเข้าโจมตีเมือง แต่เนื่องทุกคนอยู่ในอาการตาบอดจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
ในตอนแรกโรแลนด์รู้สึกกังวลเล็กน้อยว่าศัตรูจะโจมตีเข้ามา ทว่าเขารอพักหนึ่งก็ไม่ได้ยินเสียงของศัตรู เวลาผ่านไปราวๆสี่นาทีก่อนผู้เล่นจะเริ่มกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง ตาของพวกเขาบวมแดงอย่างมาก
นักบวชสองคนจากโบสถ์แห่งสายน้ําฟื้นตัวขึ้นและเริ่มใช้เวทย์รักษาหมู่
นี่เป็นเวทมนตร์รักษาชนิดหนึ่งที่ไม่ได้รักษาได้เร็วนัก แต่มีระยะค่อนข้างกว้าง ผลการรักษาค่อนข้างดีเนื่องจากพวกเขารวมพลังกัน
การที่แก้วหูแตกในปัจจุบันนี้ยังถือว่าเป็นปัญหาระดับหนึ่ง ทว่าในที่นี่มันถือเป็นอาการเจ็บปวดเล็กน้อยเท่านั้น เวทย์รักษาสามารถดูแลมันได้
ผู้เล่นนั้นเริ่มมองเห็นสิ่งที่อยู่ห่างออกไปได้ หลังจากการวินเวียนจากคลื่นพลังนั้นหายไปพวกเขาก็เห็นสิ่งที่อยู่ห่างออกไป พวกเขาทุกคนต่างพูดไม่ออกด้วยอาการตกใจ
กําแพงเมืองถูกพังลงมาจากความสูงหกเมตรเหลือต่ํากว่าหนึ่งเมตรด้วยซ้ํา
และความหนาของกําแพงเมืองอยู่ที่สามเมตรดังนั้นไม่ว่าใครก็สามารถจินตนาการได้ว่าบอลเพลิงขนาดใหญ่ของโรแลนด์สร้างความเสียหายได้มากแค่ไหน
สิ่งที่น่าอุกอาจยิ่งกว่านั้นคือกําแพงโดยรอบในระยะกว่าห้าสิบเมตรซึ่งใกล้กับจุดระเบิดได้พังทลายลงมาและที่อยู่ห่างออกไป จากนั้นพื้นผิวด้านนอกของกําแพงก็แตกหักและอยู่ไม่ไกลจากการพังทลายนัก
และในที่ตรงนั้นยังคงมีควันสีดําและลาวาสีแดงเข้มไหลย้อยลงมาจากศูนย์กลางของจุดระเบิด
“ด้วยพลังระดับนี้ การยิงเพียงครั้งเดียวสามารถทําลายกําแพงเมืองได้ แล้วพวกเราจะต้องการหน่อยบุกทะลวงล้อมเมืองไปเพื่ออะไร ในเมื่อนักเวทย์เพียงไม่กี่คนสามารถแก้ปัญหาทุกสิ่งได้หมด?”
ผู้เล่นคนอื่นๆเองก็ดูเห็นด้วยกับเรื่องนี้
มีบทสนทนาคล้ายกันเกิดขึ้นในห้องไลฟ์สตรีม
แต่ผู้เล่นที่เหมือนนักบวชก้าวไปด้านข้างและพูดออกมาว่า “เป็นเพราะเมืองนี้ไม่ได้ใช้วัสดุก่อสร้างที่ทนทานต่อเวทมนตร์ต่างหาก ทุกเมืองในประเทศนี้เองก็เหมือนกันกับเมืองนี้ ทว่าเมืองขนาดใหญ่บางแห่งก็ใช้วัสดุที่ต่อต้านเวทย์มาสร้างกําแพง สําหรับเมืองชายแดนพวกเขาจะผสมวัสดุต่อต้านเวทมนตร์จํานวนมากเข้ากับกําแพงเมืองของพวกเขา และจึงทําให้นักเวทย์สามารถทําลายกําแพงเมืองของพวกเขาได้ยากมาก ยิ่งไปกว่านั้นในสงครามที่แท้จริงทั้งสองฝ่ายต่างก็มีต่างก็มีนักเวทย์ที่ต้องปะทะกันเอง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทําลายกําแพงด้วยพลังทําลายอันมหาศาล ในหลายๆครั้งการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเวทย์ก็สามารถช่วยลดความเสียหายเวทมนตร์ได้เป็นจํานวนมาก นักเวทย์ไม่แข็งแกร่งพอที่จะอยู่ยงคงกระพันหรอก”
กลุ่มผู้เล่นถอนหายใจอย่างโล่งอก
ผู้ชมในไลฟ์สตรีมเองก็รู้สึกดีขึ้นมากเช่นกัน
อย่างน้อยก็ยังดีที่ยังมีทางในการตอบโต้อาชีพที่น่ากลัวขนาดนี้
กลุ่มของผู้เล่นเดินเข้าไปใกล้กําแพงเมืองและพบกับเศษศากศพอยู่ทุกทิศทาง ทหารยามเกือบทั้งหมดนั้นตายไปเรียบร้อยแล้ว บางส่วนก็ถูกเผาจนเกรียม บางส่วนก็ถูกแรงกระแทกจากคลื่นจนตายไป
แม้แต่ผู้เล่นที่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญซึ่งอยู่ห่างออกไปถึง 300 เมตรยังไม่สามารถต่อสู้ได้ ชั่วคราวเนื่องจากแรงกระแทกของคลื่น ไม่จําเป็นต้องพูดถึงเหล่าทหารที่อ่อนแอ
มีความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาในสายตาของผู้เล่นขณะที่พวกเขามองไปที่ซากศพที่กระจัดกระจาย แต่ไม่มีใครกล่าวโทษโรแลนด์
ไม่มีใครในพวกเขาที่มือไม่เปื้อนเลือด
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็มีเหตุผลในการกระทําของพวกเขา
ไม่มีใครสักคนในทหารพวกนี้ที่ช่วยเหลือคนบริสุทธิ์ที่ถูกกดขี่
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาพบเข้ากับทหารที่ยังไม่ตาย เหล่านักบวชเองก็เต็มใจที่จะช่วยรักษาพวกเขา
หลังจากมองไปรอบๆประตูเมืองอยู่ครู่หนึ่ง ผู้เล่นก็พึมพัมออกมาว่า “ด้วยพลังระดับนี้ ต่อให้ฉันสวมชุดต่อต้านเวทย์ แต่ฉันก็ยังคงจะต้องตายด้วยอาการตกใจอยู่ดี”
“ถ้างั้นก็แค่เรียนทักษะการต้านทานคลื่นกระแทกเป็นไง?” ผู้เล่นบางคนพูดแทรกขึ้นมา
“ไม่มีทางที่ฉันจะเรียนทักษะที่ไว้ตอบโต้แคโรแลนด์อย่างเดียว ขณะที่เมื่อเจอคนอื่นก็เป็นเพียงแค่ขยะหรอกนะ”
“นายรู้ใช่ไหมว่าตอนนี้มีแคโรแลนด์คนเดียวที่เป็นนักเวทย์ที่แท้จริง”
ผู้เล่นสองสามคนทะเลาะกันโดยหลีกเลี่ยงลาวาสีแดงเข้มที่ยังคงลุกเป็นไฟ จากนั้นก็ก้าวข้ามกําแพงเมืองที่มีความสูงเมตรกว่าๆและเข้าไปในเมือง
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผนใช่ไหม?”
“แน่นอน!”
ผู้เล่นทุกคนยิ้มออกมาอย่างรู้ทันและเวทย์ขยายเสียงก็ถูกร่ายเข้าใส่พวกเขา
จากนั้นพวกเขาก็จัดขบวนของพวกเขาให้ จากนั้นก็ตะโกนคําขวัญที่พวกเขาเตรียมไว้ล่วงหน้าออกมา
เสียงกึกก้องเริ่มดังไปทั่วเมืองมอลลี่
“พวกเราคือกลุ่มต่อต้านดวงตาสีเทา ซึ่งเป็นผู้ล้างแค้นที่คลานกลับมาจากนรก”
“มีเพียงหัวของปีศาจร้ายเบทเทลเท่านั้นที่พวกเราต้องการ ไม่มีใครอื่นอีก”
“เบ็ตเทลเป็นผู้ชายที่โหดเหี้ยมและไร้หัวใจอย่างที่สุด ความโกรธแค้นของพวกเราจะไม่ถูกระงับจนกว่าเขาจะตาย”
“เราจะกลับไปที่นรกหลังจากเบทเทลถูกฆ่า โปรดอย่าขวางทางพวกเรามิฉะนั้นคุณจะต้องรับผลที่ตามมา”
โจมตีไปที่จิตใจก่อนจะฆ่าทิ้ง: ผู้เล่นตระหนักดีถึงเรื่องนี้ เพื่อลดการต่อต้านของศัตรูและลดการบาดเจ็บล้มตายโดยไม่จําเป็นจึงต้องมีการตะโกนคําขวัญดังกล่าว
เพียงแต่พวกผู้เล่นมักจะเป็นพวกแปลกๆ ระหว่างที่พวกเขาตะโกนกันอยู่ก็มีบางคนกวนตีนออกมา
“ไอ้กระ**เบทเทลสมควรที่จะเป็นขุนนางงั้นเหรอ?”
“เบทเทลนั้นอัปลักษณ์และน่ารังเกียจ เขานั้นน่ารังเกียจและเลวร้ายมากจนมีแผลที่หัวและมีหนองที่ฝ่าเท้าและใครก็ตามที่เข้าร่วมกับเขาจะถูกพระเจ้าลงโทษในที่สุด”
“เบทเทลนั้นเป็นไอ้โรคจิต มันไม่ยอมปล่อยยายอายุ 80 ปี ไปด้วยซ้ํา”
เมื่อคําพูดนี้ถูกพูดออกมาผู้เล่นโดยรอบต่างมองไปที่ผู้พูดในทันที
ทันทีที่พูดสิ่งนี้ผู้เล่นทุกคนมองไปที่ผู้เล่นที่เพิ่งตะโกนว่านี้
ผู้เล่นคนนี้พูดออกมาโดยสัญชาติญาณ
เหล่าผู้เล่นที่ต่างตะโกนและเดินหน้าไปเรื่อยๆก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ ไม่มีใครหยุดพวกเขาเลยสักคน
ถนนสายหลักที่ตรงไปยังปราสาทนั้นไม่มีคนแม้แต่คนเดียว
ดูเหมือนทุกคนกําลังแอบซ่อนตัวกันอยู่
เมืองกลายเป็นเงียบสงัด
เกิดอะไรขึ้น เป็นไปได้ไหมที่ศัตรูแอบซ่อนตัวอยู่และซุ่มโจมตีพวกเขา? หรือคําขวัญนี้ได้ผลจริงๆ?
เหล่าผู้เล่นต่างมองหน้ากัน
ตอนนั้นเองผู้เล่นโจรคนหนึ่งกระโดดลงมาจากหลังคาและกระโดดลงมาบนพื้นจากนั้นพูดอย่างเร่งรีบว่า “เบทเทลหนีไปทางตะวันออกแล้วใครเป็นคนสร้างความวุ่นวายนี้กัน เชี่ยแม้งโคตร ทําให้ฉันกลัวเลย เหมือนกับมีระเบิดห้าพันลูกอยู่ในหัว คนทั้งเมืองต่างหวาดกลัวและเบทเทลก็หยุดดับเพลิงในทันทีและรีบออกไปพร้อมกับทหารของเขาทางตะวันออก อีกห้าคนที่เหลือตามไปแล้ว พวกเขาส่งฉันให้มาที่นี่เพื่อให้ถามว่าพวกนายจะฆ่าทิ้งให้หมดหรือฆ่าทิ้งแค่คนเดียวพอ”
สายตาของทุกคนหันไปที่โรแลนด์
โรแลนด์ฝืนหัวเราะและพูดว่า “นายไม่ควรพูดอะไรอย่างจะฆ่าทิ้งทุกคน พวกเราเป็นคนดี พวกเรานั้นต้องการกําจัดปีศาจร้ายเท่านั้น พวกเราจะไม่สนใจคนอื่นเพียงแต่เบทเทลนั้นต้องตาย”
เอลลี่ที่อยู่ในฝูงชนก็พูดออกมาอย่างมุ่งมั่นเช่นกันว่า “เบทเทลต้องตาย”
“ถ้าอย่างนั้นเรามาไล่ตามกันต่อไป ฉันไม่เชื่อว่าพวกเขามีความอดทนมากกว่าพวกเราที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ” ผู้เล่นคนหนึ่งตะโกนออกมา
เหล่าฝูงชนต่างหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย
ตอนที่ 130
มันเป็นการยากที่จะสามารถเผาปราสาทลงได้
เพราะถึงอย่างไรวัสดุทั้งหมดที่ใช้สร้างนั้นก็เป็นหินทั้งหมด
ทว่ามันสามารถทําได้โดยผู้เล่นหกคน ใช้กระเป๋ามิติถูกบรรจุแน่นไปด้วยสารที่ติดไฟ มันเป็นบางสิ่งที่คล้ายๆกับถ่าน ทว่าประสิทธิภาพการเผาไหม้นั้นดีกว่าถ่านมาก
ทําให้ปราสาทตอนนี้กําลังติดไฟอยู่
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
เสียงหัวเราะแปลกๆดังออกมาจากเบทเทลที่นํามือทั้งสองข้างไปขยี้ผมจนยุ่ง หน้าของเขาแดง รูม่านตาของเขาขยายกว้าง จนเหมือนจะหลุดออกมาจากเบ้าตา
เป็นธรรมดาที่เขาจะแสดงท่าที่ออกมาแบบนี้
ปราสาทนั้นจะถูกสร้างอย่างช้าๆอย่างน้อยก็สามช่วงอายุคนของตระกูล และยังมีสิ่งมีค่าจํานวนมากอยู่ภายในปราสาท อาทิเช่นอัญมณีและเหรียญทองด้วยเพลิงไหม้ มันจะส่งผลให้ความพยายามของคนหลายรุ่นหายไปพร้อมกับเปลวเพลิง
สิ่งที่สําคัญที่สุดก็คือปราสาทนั้นเปรียบได้กับป้อมปราการด่านสุดท้าย ขุนนางที่มีปราสาท และขุนนางที่ไม่มีปราสาทสองอย่างนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ถ้าหากปราสาทพังทลายไป หมายความว่าถึงคราล่มสลายของวงศ์ตระกูล
เบทเทลนั้นไม่สามารถยอมรับมันได้ วันนี้มันควรจะเป็นวันที่เขาจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองที่ไม่มีกลุ่มต่อต้านดวงตาสีเทาอีกต่อไปแล้ว หญิงสาวที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือมาตลอดก็หายไปเช่นกัน สองสิ่งนี้ควรจะทําให้เขามีความสุขยิ่งขึ้น แล้วทําไมผลของมันถึงออกมาเป็นแบบนี้?
ด้วยเส้นผมที่หลุดออก ท่าทีของเบทเทลบิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อยๆ มุมปากของเขามีน้ําลายสีขาวไหลย้อยออกมา ดวงตาของเขากลายเป็นเหมือนพวกโรคจิต ในตอนนั้นเองเวตซึ่งตามมาด้านหลัง พร้อมตบหน้าของเบทเทลอย่างรุนแรงและก่นด่าออกมา “เจ้าจะรออะไรกันแน่? สั่งการให้ดับไฟซะ”
การตบนั้นรุนแรงมาก เสียงดังชัดเจนจนสามารถได้ยินแม้ห่างออกไปนับสิบเมตร
รอยแดงห้าจุดบนใบหน้าของเบทเทลนั้นบวมขึ้น
ทว่านั่นกลับทําให้เขาได้สติ
เขามองไปทางเวตอย่างขอบคุณ เบทเทลหันไปสั่งการทหารของเขา “หน่วยที่สองและสี่อยู่ด้านหลังเพื่อคอยป้องกันเอาไว้ ที่เหลือตามข้ามาที่ปราสาทให้เร็วรีบดับไฟ และสังหารศัตรูในเมืองนี้ หนึ่งเหรียญเงินสําหรับศัตรูหนึ่งคนที่เจ้าฆ่าได้”
แน่ชัดแล้วว่าปราสาทไม่น่าจะคงสภาพดีแล้ว แต่เขาจะกอบกู้มันขึ้นมาเท่าที่เป็นไปได้
เบทเทลพุ่งลงจากกําแพงพร้อมกับกลุ่มทหารไปยังทางปราสาท ในตอนนี้นั้นเขาตื่นตัวมากยิ่งขึ้นและไม่ได้นําทหารทั้งหมดจากกําแพงไปด้วย
ไม่ถึงสิบวินาทีหลังจากเขาทิ้งกําแพงไป หินกลมขนาดยักษ์พร้อมเสียงลมหวีดร้อง จากไกลมาใกล้และในที่สุดก็พุ่งชนเข้ากับกําแพง ถึงแม้ว่าผู้เล่นจะใช้เพียงแค่เครื่องยิงเห็นธรรมดา ต้องขอบคุณค่าสถานะที่ยอดเยี่ยมที่เกมให้ นั่นทําให้ผู้เล่นบางคนที่ยิงหินอยู่ค้นพบพรสวรรค์ที่ไม่เคยพบมาก่อน
เมื่อได้ยินเสียงที่ดังมาในระยะใกล้ ทําให้เบทเทลอดไม่ได้ที่จะมองกลับไป ในตอนนี้เศษหินจํานวนมากระเบิดออก มีบางส่วนตกลงมาถึงบริเวณรอบๆเขาด้วยซ้ํา
เขากําหมัดนาน
เอลลี่! ไอ้กระ**นั่น
แกกล้าดียังไงที่หาคนมาสร้างปัญหาให้ข้า เมื่อเขาคิดไปถึงมันทํา
เวตที่อยู่ข้างๆเขา รีบพูดขัดท่าทีที่โกรธของเขาในทันที “เจ้ารออะไรอยู่กัน รีบไปสิเบทเทล”
เบลเทลนั้นหันกลับไปพร้อมสั่งม้าให้วิ่งไปยังปราสาทที่กําลังเผาไหม้อยู่
ตรงกําแพงพวกผู้เล่นต่างอดไม่ได้ที่จะออกเสียงเชียร์ให้หินพุ่งตรงไปอย่างแม่นยํา
ผู้เล่นที่รับหน้าที่ปรับแนวยิงนั้นหัวเราะออกมาอย่างภาคภูมิใจ “ฉันนี่เยี่ยมจริงๆ”
ทว่าจากนั้นผู้เล่นก็ออกมาส่งเสียงเชียร์หนักกว่าเก่า
เพราะถึงวิสัยทัศน์ของพวกเขานั้นจะถูกปิดกันด้วยกําแพง แต่ควันไฟสีดําก็พุ่งสูงขึ้นในระยะไกลและปรากฏสู่สายตาของพวกเขา
“สําเร็จแล้ว พวกโจรทั้งหกนั่นทําลายปราสาทได้แล้ว”
“การส่งพวกนั้นเข้าไปตลบหลังนี่ถูกต้องจริงๆ”
“ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่ามีทหารอยู่ตรงกําแพงลดลงแล้ว”
“แผนต่อไป แผนต่อไป พังประตูเมืองกันเถอะ”
ผู้เล่นที่ส่งเสียงยินดีโดยรอบหยุดพูดคุยกัน และความสนใจของพวกเขาทุกคนก็ตกไปอยู่ที่ชายในชุดคลุมดําที่ยืนอยู่ตรงกลางแถวแรก
นี่คือโรแลนด์
เขานั้นก้าวออกมาข้างหน้าเล็กน้อย และหยิบคทาเวทย์ออกมาจากกระเป๋ามิติ และชี้มันไปข้างหน้า
บอลเพลิงขนาดเล็กปรากฏตัวขึ้นในระยะสามเมตรห่างจากไม้คทา จากนั้นมันก็มีขนาดใหญ่ขึ้นและดูสว่างขึ้น
ในตอนแรกนั้นบอกเพลิงเป็นสีดําเหลือง และเมื่อมันมีเส้นรอบวงใหญ่กว่าครึ่งเมตรมันก็กลายเป็นสีส้ม
ในตอนนี้บอลเพลิงก็ยังขยายต่อไปเรื่อยๆ และกลายเป็นขนาดเส้นรอบวงหนึ่งเมตรครึ่ง
ตอนนี้เองเริ่มมีเพลิงสีฟ้าปรากฏขึ้นรอบๆผิวนอกของบอลเพลิง
อากาศโดยรอบโรแลนด์เริ่มบิดเบี้ยว หญ้าสีเขียวตรงบริเวณเท้าของเขากลายเป็นสีเหลือง
ทว่าบอลเพลิงก็ยังคงขยายใหญ่ต่อไปเรื่อยๆ
ในเวลาเดียวกันร่างกายของโรแลนด์ก็เรืองแสง มีจุดแสงสีขาวปรากฏขึ้นบนตัวเขาและผสานเข้าไปกับร่างกาย
นั่นเป็นผลจากการที่สร้อยคอสงบใจเริ่มทํางาน พลังเวทย์ที่โรแลนด์เก็บสะสมตลอดสิบวันทีละเล็กทีละน้อย จนถึงขีดจํากัดของสร้อยสงบใจ เริ่มย้อนคืนเข้าสู่ร่างกายของโรแลนด์
เป็นที่รู้ดีกันว่าเมื่อรัศมีของทรงกลมนั้นเพิ่มขึ้นในความยาวที่เท่ากันปริมาตรของมันนั้นจะเพิ่มขึ้นหลากหลายเท่า และเมื่อมันเติบโตขึ้นอีกระดับ มันจะกลายเป็นสิบเท่าหรือร้อยเท่าของครั้งก่อน
พลังเวทย์ของโรแลนด์เองนั้นสามารถสร้างบอลเพลิงนรกขนาดหนึ่งเมตรครึ่งได้ ทว่าด้วยพลังเวทย์ทั้งหมดที่ถูกเก็บไว้ในสร้อยคอสงบใจ ซึ่งมีจํานวนพลังเวทย์มากกว่าโรแลนด์สามเท่าทําให้บอลเพลิงนั้นใหญ่ขึ้นเล็กน้อยกลายเป็นสองเมตรเท่านั้น
ทว่ามันเพียงพอแล้ว!
บอลเพลิงขนาดเส้นรอบวงสองเมตร ซึ่งสูงกว่าผู้เล่นเกือบทั้งหมด และดูรุนแรงเป็นอย่างมาก
ในตอนนั้นเองเพลงที่ขึ้นอยู่รอบๆบอลเพลิงก็กลายเป็นสีฟ้า อากาศโดยรอบของโรแลนด์บิดเบี้ยวเสียยิ่งกว่าเดิม ภายในระยะสิบเมตร หญ้านั้นเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและเริ่มเผาไหม้
ผู้เล่นโดยรอบต่างถอยออกห่าง ตอนนี้พวกเขาห่างจากโรแลนด์นับยี่สิบเมตรแล้ว
พวกเขาทั้งหมดต่างตกใจ
แชทภายในไลฟ์สตรีมต่างกระหน่ําเช่นกัน
“เชีย บรรยากาศนี้ เอฟเฟคพิเศษนี้ ใครกันบอกว่านักเวทย์เป็นขยะ”
“เพลิงสีฟ้าความร้อนกว่า 2000 ดีกรี นี่มันโอเวอร์คิล (พลิกโต๊ะ)”
“นักเวทย์นั้นเป็นขยะ แต่ปรมาจารย์นักเวทย์ไม่ใช่ นายต้องแยกระหว่างสองอาชีพนี้ให้ออก”
“ฉันตัดสินใจแล้ว ว่าฉันจะฝึกฝนเพื่อเป็นนักเวทย์ เพื่อบรรยากาศแบบนี้มันคุ้มค่า!”
“ความเท่นั้นเป็นเรื่องที่จะติดตัวไปทั้งชีวิต”
“นายแน่ใจเหรอ? ไม่เคยเรียนคณิตศาสตร์ขั้นสูงในมหาวิทยาลัยรึไง?”
“เม้นบนนายตัดโอกาสฉันเร็วไปแล้วนะ”
ในระหว่างที่ชาวเน็ตงี่เง่าพวกนั้นกําลังเถียงกันผ่านไลฟ์สตรีมอย่าตื่นเต้น โรแลนด์ที่เกือบจะถึงขีดจํากัดในพลังจิตของเขาแล้ว ใช้พลังจิตเฮือกสุดท้ายของเพื่อยิงบอลเพลิงออกไป
มันเป็นการดีดออกที่แท้จริง ราวกับการดีดออกของพลังคลื่นแม่เหล็กเรลกัน
เสียงหวีดร้องดังขึ้นโลกและสวรรค์ดูเหมือนจะมืดลงในพริบตา บอลเพลิงนรกเปลี่ยนรูปร่างเป็นทรงรี จากนั้นพุ่งกลายเป็นแสงตรงเข้าไปทําลายกําแพงที่ออยู่เหนือประตูเมืองไป
ทว่านั่นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่เกิดขึ้นเนื่องจากบอลเพลิงนั้นบินออกไปรวดเร็วเกินไปที่พวกเขาจะสามารถมองเห็นได้ รูปทรงของบอลเพลิงนั้นยังคงเหมือนเดิม
และตอนที่บอลเพลิงชนเข้ากับกําแพงเมือง มันก็ระเบิดออกเป็นแสงที่สว่างจ้าแทบไม่ต่างจากระเบิดแฟลช ในเวลาเดียวกันเสียงก็ปะทุขึ้น เสียงดังของระเบิดดังขึ้นชัดเจนเข้ามาในหู
ทําใหแก้วดูแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ชาวเน็ตที่ดูไลฟ์สตรีมอยู่ต่างร้องออกมาว่าตาของพวกเขากําลังจะบอก ในขณะเดียวกันผู้เล่นที่อยู่ตรงนั้นแย่กว่าเยอะ ไม่เพียงแค่พวกเขามองไม่เห็นเท่านั้น หูของพวกเขายังบอกอีกด้วย ทุกคนต่างร้องออกมาอย่างโหยหวนเมื่อแสงและเสียงจู่โจมพวกเขาเข้ามาในเวลาเดียวกัน
ในตอนนี้พวกเขาไม่สามารถมองเห็น ไม่สามารถได้ยิน หูของพวกเขานั้นพังไปเรียบร้อยแล้ว
มีผู้เล่นที่ฉลาดเล็กน้อยต่างปิดหูและยืนงงอยู่ที่เดิม ขณะที่บางคนกระโดดและกลิ้งไปรอบๆก่นด่าหรือพูดอะไรไร้สาระออกมา พวกเขานั้นไม่สามารถได้ยินด้วยซ้ําว่าพวกเขาก่นด่าอะไรกัน
สถานการณ์วุ่นวายเป็นอย่างมาก
ตอนที่ 129 : ไม่มีความชอบธรรม
ภายในปราสาเล็กๆในเมืองมอลลี่ นายกของเมืองเบทเทลนั้นกําลังเฉลิมฉลองอยู่
องค์กรดวงตาสีเทานั้นถูกทําลายไปแล้ว และสัตว์ประหลาดสาวที่เป็นอมตะนั่นก็ไม่ได้ปรากฏตัวมาให้เห็นกว่าสิบวันแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะกลัวถูกฆ่าและจากไปแล้ว
ปัญหาร้ายแรงของเขาทั้งสองนั้นได้รับการจัดการภายในครั้งเดียว ตอนนี้เบทเทลรู้สึกว่าชีวิตของเขานั้นไม่เคยง่ายดายและมีความสุขขนาดนี้มาก่อน
พวกลูกน้องของเขาต่างเข้ามาเพื่อดื่มอวยพรให้กับเขา ขณะที่ขุนนางที่อ่อนแอต่างออกมา เพราะว่ามันถึงเวลาแสดงความน่าดึงดูดของพวกเขาแล้ว
เวตชายที่เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของเขา หยิบแก้วไวน์พร้อมพูดด้วยน้ําเสียงเสียใจอยู่ด้านข้างเขา “น่าเสียดายนะที่เจ้าปล่อยผู้หญิงที่ชื่อเอลลี่ไป เธอนั้นทั้งเป็นอมตะและงดงาม มันมีหลายวิธีมากที่จะเล่นกับเธอ หากเจ้าไม่ต้องตัวนางแล้ว เจ้าควรส่งนางให้ข้าสิ”
“เจ้าไม่สามารถควบคุมเธอได้หรอก” เบทเทลนึกถึงความรู้สึกพิเศษที่เอลลี่มอบให้กับเขาตลอดเวลา จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างดูถูก “ผู้หญิงคนนั้นเป็นทั้งคนงี่เง่าและคนโง่ ทั้งยังไม่เก่งในการต่อสู้, แต่มีท่าที่หยิ่งยโส ต่างจากผู้หญิงคนอื่นที่เจ้าเคยพบมาก่อน ข้านั้นไม่ใส่ใจที่จะให้นางมาเป็นสตรีที่แท้จริงของเมืองนี้ ขอเพียงแค่ให้นางลดความมั่นใจของนางลงหน่อย”
เวตมึนงงไปทันที จากนั้นเขาก็หัวเราออกมาเสียงดัง “มีผู้หญิงกี่คนกันที่นายพูดแบบนี้กัน ฉันเหนื่อยที่จะฟังมันต่อไปแล้ว”
“มันคือความจริง ผู้หญิงคนนี้ต่างออกไป เธอนั้นไม่สนใจในความมั่งคั่ง เธอสนใจแค่รูปแบบในการดําเนินชีวิตเท่านั้น” เบทเทลพูดออกมาด้วยความเสียใจ “เธอนั้นต่างจากผู้หญิงทั่วไป เธอนั้นน่าหลงไหลทว่ากลับไม่หยาบกระด้าง เรียบร้อยแต่ไม่ให้ความรู้สึกที่เรียบง่าย มันเป็นครั้งแรกที่ข้าได้เจอผู้หญิงแบบนี้ ทว่าเธอนั้นหยิ่งทระนงและยากที่จะควบคุม”
หลังจากเวตได้ยินเรื่องพวกนี้เขาก็กล่าวว่า “ข้ายิ่งสนใจนางเข้าไปอีกเมื่อเจ้าพูดออกมาแบบนี้”
“มันน่าจะมีบุตรีทองคํามากกว่าหนึ่งคน ไว้พวกเราลองไปหาพวกเธอที่เมืองอื่นดู เราสามารถล่อสักคนหรือสองคนมาที่นี่ได้ หวังหว่าบุตรีทองคําทั้งหมดจะโง่เหมือนเอลลื่นะ”
เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่อธิบายไม่ได้ พวกเขาทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
เมื่อพวกเขาหัวเราะจบพวกเขาก็ไปคุยกับแขกคนอื่นๆ มันมีเสียงประหลาดดังขึ้นมาจากทางตะวันออก ขนาดเสียงดังภายในห้องโถงยังไม่สามารถกลบเสียงนั่นลงได้
ทันใดนั้นภายในห้องโถงก็เงียบลง เหลือเพียงเสียงดนตรีเท่านั้นที่ยังคงบรรเลงอยู่
จากนั้นก็มีเสียงดังเกิดขึ้นอีกครั้งตอนนี้มีหลายคนที่ได้ยินมันอย่างชัดเจน มันเป็นเสียงของอะไรบางอย่างที่ถูกโยนลงมาจากที่สูงและชนเข้ากับบางสิ่ง
ท่าทางของแขกส่วนใหญ่นั้นเต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่ามีบางส่วนมีท่าที่แปลกและเหมือนจะคุ้นชินกับเสียงของมัน
ความรู้สึกแย่ๆเริ่มก่อตัวขึ้นมาในความคิดของพวกเขา
และนั่นก็รวมถึงเบทเทลด้วยเช่นกัน
เขายกมือขึ้นมาเพื่อให้นักดนตรีหยุดบรรเลง
จากนั้นเสียงดังครั้งที่สามก็ดังขึ้นมาจากในระยะไกล ในตอนนี้มันสามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน
“นั่นมันเครื่องยิงหินขนาดยักษ์!”
เบทเทลรู้สึกกังวลอย่างควบคุมไม่ได้ ใครมันกล้าจู่โจมเมืองของเขากัน?
เขานั้นคิดที่จะออกไปดู ทหารก็วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางตื่นตระหนกและพูดด้วยความตกใจว่า “ท่านนายกตอนนี้เลวร้ายมาก เจ้าพวกดวงตาสีเทามันกลับมาแล้ว! มันมาพร้อมเครื่องยิงหินหลายอันและทําลายประตูเมืองของเราอยู่”
“นั่นเป็นไปไม่ได้” เบทเทลคํารามออกมา “ดวงตาสีเทานั้นถูกทําลายไปแล้ว”
ทหารคนนั้นพูดขึ้นมาว่า “แต่ว่าพวกมันนั้นกําลังตะโกนอยู่หน้าเมือง”
“พวกมันมีกี่คนกัน?” เบทเทลถามด้วยความโกรธ
“อย่างต่ําก็ห้าสิบคน” ทหารตอบกลับมาด้วยเสียงเบา
ทันทีที่เบทเทลได้ยิน เขาก็เตะทหารคนนั้นล้มลงพื้นและตะโกนออกมา “ห้าสิบคน? มันมีทหารเฝ้าประตูเมืองอย่างต่ําก็ห้าร้อยคน ไม่นับรวมพวกกองหนุน แต่เจ้าก็ยังไม่สามารถจัดการได้งั้นเหรอ?”
“พวกข้าพยายามแล้ว พวกเราส่งคนออกไปสองร้อยคนก่อนหน้านี้และ” ทหารคนนั้นก้ม หัวลงต่ํา “ราวกับผู้ใหญ่รังแกเด็กการต่อสู้จบลงภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที คนกว่าร้อยคนในฝั่งเรานั้นตายเรียบ ส่วนพวกที่เหลือต่างถูกจับเป็นเชลย และห้าสิบคนนั้นไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย พวกเขานั้นป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด”
เ“นั่นเป็นไปไม่ได้!” เบทเทลทุบแก้วที่อยู่บนพื้น เสียงแตกดังไปในห้องโถงที่เงียบสงัด “ต่อให้เป็นที่เมืองหลวงแต่ก็ยากที่จะรวบรวมผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังได้ถึงห้าสิบคน พวกเรานั้นอยู่ในชนบทไม่ต้องพูดถึงผู้เชี่ยวชาญถึงห้าสิบคนเลยแค่รวบรวมคนธรรมดาได้ห้าสิบคนก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว กองกําลังต่อต้านดวงตาสีเทานั้นความแข็งแกร่งลดลงเป็นอย่างมาก ไม่สามารถกระทั่งรวบรวมคนธรรมดาได้ห้าสิบคนด้วยซ้ํา นับประสาอะไรกับผู้เชี่ยวชาญถึงห้าสิบคน”
ทหารคนนั้นก้มหัวลงต่ําและไม่กล้าพูดอะไรออกมา
เวตที่ยืนอยู่ถัดไปจากเบทเทลนั้นเดินเข้ามาพร้อมกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่เวลามาต่อว่าทหารผู้น้อยเสียหน่อย นําทหารไปดูกันเถอะว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เบทเทลนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกและยิ้มออกมาอย่างเขินอายให้แก่แขกโดยรอบ “ ข้าต้องขอโทษด้วยที่ทําให้งานเลี้ยงนี้เสียหาย ขอให้ทุกท่านนั้นกลับไปยังบ้านของทุกท่านด้วย”
หลังจากนั้นแขกทั้งหมดก็จากไป ราวกับว่าพวกเขายอมแพ้และหนีไป
ในขณะที่เบทเทลนั้นเรียกรวมทหารชั้นยอดกว่าสี่ร้อยนายในปราสาทและมุ่งหน้าไปยังกําแพงเมือง
เขานั้นออกจากปราสาทไปพร้อมกับทหาร มีผู้เล่นที่ไม่เป็นที่สังเกตุหกคนอยู่ใกล้กับบริเวณปราสาท และพวกเขาก็สํารวจโดยรอบปราสาทในทิศทางที่ต่างกัน พวกเขานั้นเปิดเผยรอยยิ้มชั่วช้าบนใบหน้าของพวกเขา
เมื่อเบทเทลและกองทัพของเขามาถึงยังกําแพง มันก็เป็นเวลาเดียวกันกับตอนที่เขาเห็นหินขนาดยักษ์พุ่งจากกลางอากาศมาชนเข้ากับกําแพงเมือง
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของทหารสองนายที่ถูกบดขยี้จนกลายเป็นเศษเนื้อ ทหารห้าถึงหกนายเองก็บาดเจ็บจากเศษหินที่แตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ อาการบาดเจ็บของพวกเขานั้นต่างรุนแรงต่างกันออกไป
“นักธนูขึ้นมาบนกําแพงพร้อมข้า ส่วนที่เหลือป้องกันประตูเมืองซะ”
เบทเทลตะโกนออกคําสั่งจากนั้นก็วิ่งไปที่ทางขึ้นของกําแพง
กําแพงเมืองนั้นถูกโจมตีด้วยหินสี่ก้อน ถึงแม้ว่ามันจะดูแย่เพราะเศษหินและรอยร้าวนั้นกระจายอยู่เต็มไปหมดและแม้แต่ที่กบังก็ยังถูกทําลาย แต่มันไม่ใช่ผลกระทบที่ร้ายแรงนัก
เบทเทลวิ่งไปยังที่กําบังและเห็นคนสวมหน้ากากและสวมชุดคลุมดําถึงสามสิบคน พวกเขานั้นยืนกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสเล็กๆยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ห่างจากขบวนรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสนั่นเล็กน้อยมีศพของทหารยามอยู่เป็นจํานวนมาก
ตรงบริเวณด้านหลังของขบวนทัพมีคนในเสื้อคลุมดํากว่ายี่สิบคนกําลังใช้เครื่องยิงหินสามเครื่องอยู่ และมีชายในชุดดําที่แข็งแรงหลายคนต่างร่วมมือกันยกหินขนาดใหญ่ไว้ตรงเครื่องยิงหิน
ถึงแม้ว่าพวกคนในชุดคลุมดําพวกนั้นจะปกปิดใบหน้าตัวเองเอาไว้ ทว่าดวงตาของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยและความจองหอง
ท่าทางจองหองที่เขาคุ้นเคย ดวงตาของเอลลี่ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและเกิดความกังวลขึ้นในใจ จากนั้นเขาก็เห็นคนที่ดูคุ้นเคยเดินออกมาจากทางด้านหลังของเครื่องยิงหิน
นั่นคือเอลลี่
ผู้คนที่กําลังใช้งานเครื่องยิงหินอยู่ต่างก็หยุดลง
เอลลี่ถือกระดาษไว้ในมือของเธอ มองไปที่เบทเทลที่อยู่ห่างออกไปด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
ชายที่รับผิดชอบในการไลฟ์สตรีมกระโดดขึ้นและวิ่งไปรอบๆตลอดเวลา เพื่อส่งภาพใกล้ๆของทั้งคู่อยู่ตลอดเวลา
ผู้เล่นร่ายเวทย์ขยายเสียงให้กับเอลลี่ ขณะที่โรแลนด์เองก็ร่ายการสื่อสารไร้พรมแดนออกมา
เอลลี่นั้นมองไปที่เบทเทลอย่างเงียบๆ ด้วยความอาลัยอาวรณ์เล็กน้อยภายในดวงตาของเธอ จากนั้นเธอก็มีท่าที่มุ่งมั่นพร้อมอ่านออกมาเสียงดัง “นายกของเมืองมอลลี่ เบทเทลนั้นเป็นคนเลือดเย็นและเย็นชา ครั้งหนึ่งเขาเคยมอบดอกเบญจมาศของเขาให้กับกอรี
กอรีนั้นคือผู้มีอิทธิพลที่เขาต้องการให้เอลลิ่นอนด้วย
เสียงที่ดูเรียบร้อยในแบบหญิงสาวของเอลลี่ดังขึ้นทั่วเมืองด้วยผลของการขยายเสียง
และเนื่องจากการสื่อสารไร้พรมแดน ทําให้ทุกคนสามารถเข้าใจคําพูดของเธอ เมื่อพวกเขาได้ยินดวงตาของพวกเขาก็หรี่ลงและไม่กล้ามองไปที่เบทเทล
เนื่องจากคําสบประมาทนั้นรุนแรงเกินไป แม้ว่าจะไม่มีคําหยาบแม้แต่น้อย ภายใต้ผลของการสื่อสารไร้พรมแดน สิ่งที่คนทั้งเมืองได้ยินก็คือเสียงของเอลลี่ที่มีสําเนียงแบบขุนนางเก่าแก่ เธอนั้นเล่าเรื่องที่เบทเทลฆ่า, เผา, ข่มขืน และปล้นทรัพย์ ทั้งยังใช้ร่างกายของตัวเองเพื่อประจบกอรีที่เป็นผู้มีอิทธิพลอีกต่างหาก ความสกปรกนี้เหนือกว่าที่เหล่าพลเมืองจะสามารถจินตนาการออกได้ และที่สําคัญเอลลี่ได้เล่าว่าเขานั้นสมรู้ร่วมคิดกับกอรี โดยมีข้อสงสัยว่าพวกเขานั้นกําลังบูชายัญปีศาจโดยพยายามจะเปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นสวรรค์ของเหล่าปีศาจ อย่างไรก็ตามเขานั้นปิดบังเรื่องทั้งหมดไว้ จากนั้นเธอก็ร้องตะโกนออกมา
“ใครกันแน่ที่ปกครองอาณาจักรแห่งนี้ในตอนนี้!”
เหล่า NPC ที่ได้ฟังต่างก็แสดงท่าที่ออกมา “โอ้พระเจ้า เมืองมอลลี่แห่งนี้ยังเป็นดินแดนของมนุษย์อยู่หรือไม่? ยังเป็นสรวงสวรรค์ที่ท่านเคยมองดูอยู่หรือไม่?”
ทั้งเหล่าทหารและประชาชนต่างรู้สึกสะเทือนใจเมื่อได้ยินคําพูดที่สวยหรูและน่าเศร้าจากศัตรู
โดยเฉพาะเหล่าทหารขัวญกําลังใจของพวกเขานั้นลดลงอย่างชัดเจน
เบทเทลนั้นไม่เคยได้ยินใครกล้าด่าทอเขาอย่างรุนแรงหรือแม้แต่กล่าวโทษเขามาก่อน เขานั้นเคยแค่เพียงกล่าวโทษคนอื่น แต่วันนี้เขากลับโดนประนามโดยผู้หญิงโง่เง่าในสายตาของเขา สถานการณ์ในตอนนี้นั้นใหญ่โตเป็นอย่างมาก
เขานั้นโกรธมากจนสั่นไปทั้งตัวใบหน้าของเขากลายเป็นสีขาว เขาคํารามออกมาในที่สุด “ยิงธนูซะ เอาธนูมาให้ข้า และยิงให้พวกมันตายไปซะ”
คลื่นของลูกศรถูกยิงลงมาจากกําแพง และตกลงมาประปรายตรงหน้าของกลุ่มผู้สวมชุดดํา
เหล่าผู้เล่นนั้นได้คํานวนระยะของธนูและลูกศรของศัตรูไว้แล้วพวกเขาไม่โง่พอที่จะเข้าสู่ระยะโจมตีของพวกเขา
หลังจากการอ่านคําแถลงการก็ทําให้เบทเทลนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ เอลลี่นั้นรู้สึกโล่งออก มาจากในร่างกายของเธอ และจากนั้นเครื่องยิงหินก็เริ่มขยับอีกครั้ง
เบทเทลกัดฟันและคํารามออกมา “ย้ายเครื่องยิงหินของพวกเราไปตรงกําแพงเมือง”
“นั่นต้องใช้เวลา ท่านนายก”
เครื่องยิงหินนั้นค่อนข้างใหญ่และการแยกและประกอบพวกมันนั้นต้องใช้เวลา
“เชี่ยเอ้ย…พวกที่อยู่ในชุดคลุมดํานั่นต้องเป็นบุตรทองคําทั้งหมดแน่ๆ” เบทเทลเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเช่นกัน เขาเป็นนักดาบสายความเร็ว การมองเห็นของเขานั้นดีกว่าคนธรรมดามาก
“เครื่องยิงหินของพวกมันคุณภาพแย่มาก มันจะพังหลังจากใช้ไปเพียงไม่กี่ครั้ง” เบทเทลต่อยไปที่ที่กําบังและคํารามออกมา “แค่รอจนกว่าเครื่องยิงหินของพวกมันจะพังนั่นจะเป็นโอกาสที่พวกเราจะใช้โต้กลับ”
เบทเทลนั้นใจเย็นลงและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขานั้นคิดว่าเขายังมีโอกาสที่จะชนะอยู่
การแถลงการต่อต้านเขานั้นในตอนนี้ส่งผลกระทบไม่น้อย สําหรับขุนนางบางครั้งการถูกพูดเช่นนี้ใส่นั้นเลวร้ายกว่าดาบเสียด้วยซ้ํา
เพราะมันทําให้เกรียติของขุนนางนั้นเสื่อมเสีย
เขาหายใจเข้าลึกหลายครั้งและกําลังจะสงบใจได้อย่างสมบูรณ์ แต่ทันใดนั้นคนที่อยู่ข้างเขาก็ตะโกนออกมาว่า “พระเจ้า ปราสาทของท่านนายกนั้นถูกไฟไหม้ มันกําลังถูกไฟไหม้!”
เบทเทลหันไปมองยังปราสาทที่อยู่ไกลออกไปที่กําลังถูกปกคลุ่มไปด้วยควันสีดําซึ่งมี “มังกรเพลิง” ปรากฏให้เห็นจางๆเป็นระยะ
ครึ่งวินาทีต่อมาเชือกที่เรียกว่าสติในหัวของเบทเทลก็ขาดออก
ทุกอย่างพังแล้ว!
***
ดอกเบญจมาศ = ประตูหลัง
ตอนที่ 128 : นี่แหละที่เรียกว่าการเปิดเผยตัว
ท่าทางของโรแลนด์ทําให้พวกเขาค้างไปทันที ผู้เล่นโดยรอบต่างแสดงออกราวกับว่า “นายเป็นหัวหน้า พูดเลย”
แทนที่จะตอบคําถามโดยตรง โรแลนด์มองไปยังผู้เล่นหญิงที่กําลังจมอยู่ในความคิดและนั่งห่างออกไปไม่ไกลและถามออกมา “เธอฉันมีคําถามอยากจะถามเธอสักหน่อย กลุ่มผู้ต่อต้านนั่นชื่อว่าอะไรงั้นเหรอ?”
“อ่า” เพราะว่าเธอนั้นจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงทําให้เธอสะดุ้งออกมาเล็กน้อยก่อนจะรู้สึกตัว “นายเรียกฉันว่าเอลลี่ก็ได้ กลุ่มผู้ต่อต้านนั้นชื่อว่าดวงตาสีเทา”
“พวกเราจะทําเหมือนว่าพวกเรานั้นเป็นกลุ่มดวงตาสีเทา” โรแลนด์ยิ้มและมองไปที่ผู้เล่นชายคนอื่นๆ “แน่นอนว่าพวกเราต้องปิดบังใบหน้า”
เมื่อพูดจบพวกผู้เล่นที่เหลือต่างหัวเราะออกมา
“เชี่ย ทําไมฉันไม่คิดถึงมันมาก่อนเลยนะ? ตอนนี้พวกเราก็มีเหตุผลแล้ว”
“อย่างที่คิดคนที่เล่นกับเวทมนตร์ได้จําเป็นต้องเป็นไอ้คนเจ้าเล่ห์จริงๆด้วย”
“ให้ตายเถอะ ฉันรู้สึกแย่เมื่อเห็นเหล่านักเวทย์เริ่มระดับเพิ่มขึ้นชะมัด พวกเราคนเถื่อนรู้เพียงแค่วิธีการฟาดฟันตามสัญชาติญาณเท่านั้น!”
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่มุขตลกและคําเยินยอเท่านั้น
ผู้เล่นชายทุกคนต่างเข้าใจความหมายโดยนัยของประโยคดังกล่าว แต่เอลลี่นั้นรู้สึกสับสนเล็กน้อย “แต่สมาชิกของกลุ่มต่อต้านดวงตาสีเทานั้นตายหมดแล้วนะ หากพวกเราจะอ้างตัวเป็นพวกเขา อย่างน้อยก็ควรมีสมาชิกจริงๆอยู่สักคนสิ”
“อืม…” ผู้เล่นชายโดยรอบตกตะลึงเล็กน้อยและถอนหายใจ
พวกเขาตระหนักได้ทันทีว่าเธอนั้นชื่อบื้อเกินไปเลยถูกขุนนางหนุ่มคนนั้นหลอกเอาได้
ในตอนนี้เกือบทั้งหมดยิ่งมีความเกลียดชังเพิ่มขึ้นภายในใจของพวกเขา การทําร้ายหญิงสาวที่เรียบง่ายและน่ารักทั้งๆที่ตัวเองเป็นถึงขุนนางและนายกของเมือง นั่นเป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วที่มันต้องตาย
โรแลนด์กระแอมออกมาพร้อมกล่าวว่า “ยังเหลือเวลาอีกสี่วัน คงไม่ดีนักหากจะอยู่อย่างนี้โดยไม่ทําอะไรเลย ทําไมพวกเราไม่มาอุ่นเครื่องกันสักหน่อยละ?”
“ได้เลย พวกเราจะทําตามคําพูดของนาย” กลุ่มผู้เล่นตะโกนออกมา
พวกเขาทั้งหมดเป็นคนฉลาด คําแนะนําที่โรแลนด์ได้พูดไว้ตั้งแต่แรกถือเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเขาเรียบร้อยแล้วว่าเขามีหัวทางด้านนี้ ดังนั้นมันคงไม่เป็นไรหากพวกเขาเลือกที่จะฟังคําพูดของโรแลนด์
นอกจากนี้ โรแลนด์ยังเป็นนักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้และอาจจะไม่มีใครสามารถขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับเขาได้
พูดตามตรงพวกผู้เล่นนั้นต่างมีกฏที่รู้กันดีอยู่แล้วนั่นคือ “ใครหมัดใหญ่กว่าจะเป็นคนพูด” ภายในเกมนั้นโรแลนด์ไม่ใช่แค่เพียงมีหมัดที่ใหญ่โต แต่ดูเหมือนเขาจะฉลาดมากอีกด้วย
โรแลนด์หยิบสองเหรียญทองออกมา “ฉันต้องการคนที่หน้าตาธรรมดาสักคนที่เก่งเรื่องการเจรจาไปในเมืองเพื่อซื้อชุดสีดําและผ้าคลุมหัวสีดํามาสักสี่สิบถึงห้าสิบชุด และมีใครในนี้เก่งเรื่องการวาดรูปไหม? มาวาดแผนที่ของเมืองมอลลี่กันก่อนเถอะ พวกเราจะได้วางแผนการต่อสู้ได้ง่ายขึ้น”
“ฉันจะไปซื้อเสื้อผ้าเอง ฉันเก่งเรื่องต่อรองราคามาก” นักธนูหนุ่มหล่อยืนขึ้นมา
โรแลนด์มองไปที่เขาพร้อมพูดออกมาอย่างอดกลั้นไม่ได้ “นายมั่นใจแน่นะว่าหน้าตานายดูธร มดา?”
“ไม่ต้องกังวลน่า สกิลการป้องกันการสะกดรอยของฉันนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ฉันยังมีทักษะปกปิดเงาอีกด้วย ฉันไม่เป็นจุดสนใจหรอก” นักธนูหนุ่มหล่อพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะเป็นคนวาดแผนที่เอง” โจรอีกคนนั้นก้าวออกมา
โรแลนด์นับจํานววนผู้เล่นบนหน้าจอพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สําหรับคนที่เหลือไปตัดต้นไม้กันเถอะ”
“นายจะตัดต้นไม้ไปเพื่ออะไรกัน?” มีคนถามออกมา
“เพื่อสร้างรถยิงหินอย่างง่าย” โรแลนด์อธิบาย “ถึงแม้ว่ามันจะพังทันทีหลังใช้ไปปสามครั้ง แต่มันก็มีประโยชน์ในการช่วยฟังกําแพงเมือง”
“เข้าใจแล้ว!” คนที่เหลือต่างลุกขึ้น
พูดตามตรงพวกเขาต่างเบื่อที่จะรอแล้ว อย่างน้อยการมีอะไรทํามันก็ดีกว่า
เอลลี่เดินเข้ามาหาเข้า ท่าทางของเธอนั้นวิตกกังวลเป็นอย่างมาก “แล้วฉันสามารถช่วยอะไรได้บ้างไหม?”
โรแลนด์คิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดว่า “งั้นเธอลองเขียนเกี่ยวกับคําแถลงสําหรับเหล่าดวงตาสีเทาที่โดนป้ายความผิดจากศัตรูของพวกเขาดูไหม เขียนให้อยู่ในมุมมองของเหยื่อเป็นไง? ฉันเห็นกระทู้ของเธอในฟอรั่ม งานเขียนของเธอค่อนข้างดีเลยทีเดียว”
“ฉันจบเอกวรรณคดีมานะ” เอลลี่ตอบกลับมาอย่างสบายๆจากนั้นก็ถามว่า “สร้างกําลังใจหรือด้วยความรู้สึกโกรธแค้นล่ะ?”
“โกรธแค้น”
เอลลี่เอียงหัวไปมาและใช้ความคิดและพูดออกมาว่า “โอเค ฉันจะลองดัดแปลงมาจากคําแถลงของถั่วชิงหวางตอนปะทะกับอัครมเหสีอู่”
โรแลนด์นั้นเป็นนักศึกษาคณะวิทยาศาตร์เขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป
ในตอนนั้นเองก็มีผู้เล่นชายคนหนึ่งเดินยิ้มกว้างเขามาหาเขาและพูดว่า “โรแลนด์นายเตรียมทั้งคําแถลงและก็รถยิงหิน นายต้องการเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างงั้นเหรอ?”
“แน่นอนเพื่อระบายความโกรธของพวกเราให้ลดลง พวกเราต้องเปิดเผยตัวและทําท่าที่หยิ่งยโส” โรแลนด์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
รอยยิ้มของผู้เล่นชายคนนั้นแข็งค้างเพราะความคิดของโรแลนด์ “แต่ว่าพวกเราปิดหน้าของตัวเองอยู่นะ นั่นนับว่าเป็นการเปิดเผยงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่ว่ามันก็ดูดีหรอกเหรอที่บอกพวกเขาไปว่าพวกเรานั้นปิดบังตัวตนกันอย่างเปิดเผย”
“นั่นมันเยี่ยมมาก!” ผู้เล่นคนนั้นชูนิ้วโป้งให้แลนด์ “พวกชาวเน็ตที่อยู่ในไลฟ์สตรีมต่างบอกว่านายไม่ใช่แค่เจ้าเล่ห์เท่านั้น แต่ยังแสบมากอีกด้วย!”
โรแลนด์ตกใจในทันที “นายจะสตรีมนี้จริงๆ”
“เยี่ยมไปเลยใช่ไหมล่ะ” ผู้เล่นคนนี้มีท่าทางราวกับจะบอกว่า “นายพึ่งรู้งั้นเหรอ?” “ฉันเป็นคนแรกที่มาถึงที่นี่แล้วก็ได้รับการเรียกร้องจากชาวเน็ตหลายคน ฉันเลยสตรีมมาสี่วันแล้ว”
ในตอนนั้นเองโรแลนด์ก็ได้รับข้อความจากทางระบบ เขาเปิดมันขึ้นมาและพบว่าสมาชิกของ F6 นั้นทักมาหาเขา
ลี่หลิน “ทําให้ดีที่สุด แสดงให้พวกเขาได้เห็นถึงสไตล์การวางกลยุทธ์ของพวกเรา F6”
เบทต้า: “พี่โรแลนด์ยอดไปเลย”
ชัค: “ฉันดูผ่านไลฟ์สตรีมอยู่ น่าแปลกนิดหน่อยนะ นี่เป็นโรแลนด์ที่พวกเรามักจะไม่ได้เห็นนัก”
ราฟเฟิล: “น่าเสียดาย ฉันอยู่ห่างจากมอลลี่มากเกินไปไม่งั้นฉันคงเข้าร่วมด้วยแล้ว”
นี่มันถูกไลฟ์สตรีมอยู่จริงๆสินะ…ถ้าเขารู้ตัวก่อนหน้านี้ เขาคงไม่เผยตัวมากขนาดนี้
เขารู้สึกอายเล็กน้อยราวกับเขานั้นเผลอแสดงท่าทีราวกับเป็นจูนิเบียว และครอบครัวของเขาก็บังเอิญมาเห็นพอดี
เนื่องจากมีสิ่งที่ต้องทํา จึงทําให้ราวกับเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สี่วันผ่านไปราวกับกระพริบตา ผู้เล่นน่าจะมาถึงกันหมดแล้วและสําหรับผู้ที่ยังไม่ถึงอาจจะต้องกลับเมืองตั้งแต่ตอนนี้
ในช่วงนี้นั้นพวกเขาสร้างรถยิงหินเสร็จไปแล้วแปดเครื่องจากไม้และเถาวัลย์
เสื้อผ้าและแผนที่นั้นก็ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว โรแลนด์มองไปที่แผนที่อยู่พักหนึ่งและวาดเส้นสองเส้นออกมา จากนั้นเขาก็กล่าวกับผู้เล่นสี่สิบกว่าคนที่ปิดบังใบหน้าและสวมชุดดําว่า “รอจนกระทั่งทีมที่สองแทรงซึมเข้าไปในเมืองได้ก่อน จากนั้นพวกเราจะปรากฏตัวที่หน้าประตูเมือง เมื่อเห็นพวกเราประตูเมืองจะต้องถูกปิดอย่างแน่นอนจากนั้นพวกเราจะอ่านคําแถลงที่เอลลี่เขียนขึ้นจากนั้นก็เริ่มใช้เครื่องยิงหินพังกําแพงเมือง”
“เมื่อถึงตอนนี้ความสนใจของศัตรูจะถูกดึงดูดมาอย่างแน่นอน ถ้าหากนายกนั่นออกมาจากปราสาทพร้อมกองกําลังของเขาและมายังกําแพงเมือง ให้หน่วยที่สองปลุกปั่นความวุ่นวายขึ้น อย่างเช่นเผาปราสาท นั่นจะทําให้เจ้านั่นกังวลและสับสนอย่างแน่นอน ถ้าหากหมอนั่นเลือกที่จะอยู่ภายในปราสาทให้หน่วยที่สองมายังกําแพงจากทางด้านหลังและช่วยพวกเราเปิดประตูเมือง ทว่าฉันไม่คิดว่าจะเป็นแบบแผนที่สอง ขุนนางหนุ่มนั่นน่าจะมาที่กําแพงเมืองเพื่อมาดูว่าพวกเรานั้นต้องการอะไรกันแน่”
มีผู้เล่นคนหนึ่งถามขึ้น “ไม่ใช่นายบอกว่าจะสู้อย่างเปิดเผยเหรอ? การส่งสปายเข้าไปนั่นถือเป็นการโกง”
โรแลนด์สะบัดแขนของเขาขึ้นไปบนอากาศอย่างสับสนพร้อมพูดว่า “พวกเราล้อมเมืองอย่างเปิดเผยไง”
ตอนที่ 127: ต้องใช้วิธีการที่เฉพาะ
โรแลนด์ไม่รีบร้อนที่จะออกไป เนื่องจากผู้เล่นมีระยะห่างจากเมืองมอลลีแตกต่างกันไป พวกเขาจึงตกลงเวลากันในฟอรั่มและนัดเจอกันในป่าทางตะวันออกของมอลลี่ภายใน 10 วัน
ขณะนี้มีผู้เล่นมากกว่าร้อยคนได้บอกว่าพวกเขานั้นเอาด้วย แต่โรแลนด์คาดว่าน่าจะมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่จะมาจริงๆโดยไม่มีปัญหาอะไร
นี่ไม่ใช่โลกในยุคปัจจุบันที่ไม่ว่าใครๆต่างก็มีรถให้ขับและเดินทางไปได้หลายร้อยกิโลเมตรบนถนน หรือนั่งรถไฟความเร็วสูงหรือเครื่องบินและมาถึงในไม่กี่ชั่วโมง
นี่คือโลกของมนุษย์ที่ต่างออกไปมีการเดินทางแบบล้าหลังมาก ยิ่งไปกว่านั้นนอกเหนือจากระยะทางแล้ว พวกเขานั้นยังคงต้องประสบอันตรายจากสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ระหว่างเมือง, ทั้งเหล่าสัตว์ปาหรือสัตว์อสูร
โรคภัย, สภาพอากาศ และเหตุฉุกเฉิน สิ่งเหล่านี้นั้นจะทําให้ผู้คนหายไประหว่างการเดินทาง
ที่นักเดินทางและพ่อค้าสามารถทําเงินได้จํานวนมาก เนื่องจากพวกเขาต่อสู้กับพวกมันด้วยชีวิตของพวกเขา
ไม่เหมือนกับโรแลนด์ที่เข้าร่วมกับองค์กรและได้รับเงินเดือน ผู้เล่นส่วนใหญ่นั้นต่างยากจน ดังนั้นพวกผู้เล่นที่ฉลาดพอมักจะใช้ประโยชน์จากกระเปามิติของระบบ
ในทางกลับกันมันสบายเป็นอย่างมากสําหรับพวกผู้เล่นที่จะเดินทางไปพร้อมกับพ่อค้า สําหรับพวกเขาเหล่าผู้เชี่ยวชาญ ในกลุ่มสามถึงห้าคน ความแข็งแกร่งของเขาถือว่าอยู่ในอีกระดับหนึ่งโจรธรรมดาไม่กล้าที่จะทําอะไรทุ่มบ่ามกับพวกเขา
และต่อให้พวกเขาถูกปล้น สินค้าทั้งหมดก็ถูกเก็บไว้อยู่ในกระเป๋ามิติและไม่มีทางสูญหาย มันปลอดภัยเป็นอย่างมากและอย่างแย่ที่สุดพวกเขาก็แค่ไปทางอ้อมเท่านั้น
กระเป๋ามิตินั้นสามารถเก็บของไว้ได้เป็นจํานวนมาก สิ่งที่พวกเขาต้องทําก็แค่หาของที่เล็กและมีค่าเพื่อขนย้ายมัน
ถ้าหากทําเช่นนี้ภายในหนึ่งเดือนพวกเขาก็จะสามารถได้หนึ่งถึงสองเหรียญทองได้
จากนั้นหากมีผู้เล่นคนอื่นต้องการหาเงินด้วยวิธีดังกล่าวในช่วงสั้นๆ แนวโน้มของ “การดําเนินธุรกิจ” ก็เกิดขึ้น
โดยใช้ฟอรั่มพวกเขานั้นสามารถพูดคุยเกี่ยวกับสินค้าที่สูญหายไประหว่างทางและระบุชัดเจนว่าอยู่ตรงไหนของประเทศ
โรแลนด์นั้นทุ่มเวลาของเขาอยู่ในเดลพอนเพื่อศึกษาเวทย์และไม่ได้ออกไปข้างนอกมากนัก ดังนั้นเขาเลยไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องของผู้เล่นในปัจจุบันมากนัก
ตอนนี้นอกจากฉายาสองฉายาอมตะ และบุตรทองคําแล้ว พวกเขานั้นจะถูกเรียกด้วยอีกฉายาหนึ่งด้วยว่า “พ่อค้าผู้ยอดเยี่ยมจากต่างโลก”
พวกผู้เล่นที่เป็นพ่อค้าที่เดินทางนั้นเป็นเพียงแค่ “แรงงานที่ไร้ทักษะเท่านั้น” และอยู่ในชนชั้นที่ต่ําที่สุด ขณะที่ผู้เล่นระดับสูงนั้นต่างสามารถควบคุมราคาของไอเทมพิเศษบางอย่างในเมืองของพวกเขาได้แล้ว
อาทิเช่นพวกคนรอบๆตัวประธานหวงหรือฟ้านลิวยี
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรแลนด์นัก
หลักจากเขาตอบกลับกระทู้นั่นไป เขาก็ยังคงอยู่ในหอคอยเวทย์ต่ออีกสองวันเพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างนั้นเรียบร้อยหลังจากที่จอห์นคนพ่อนั้นกลับมา อีกฝ่ายนั้นยังไม่ได้ทําอะไรที่รุนแรงนัก เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนั้นเขาเลยเลือกที่จะออกเดินทางไปในที่สุด
แต่ก่อนที่เขาจะออกจากเมืองไปเขาได้เดินทางไปหาฮอร์กและลิงค์
ตอนนี้ที่ท่าเรือของที่นี่นั้นเริ่มขยายขนาดขึ้นแล้วแ ละส่วนต่อไปคือสิ่งที่ยากที่สุด คือการดึงดูดนักลงทุนและขยายช่องทางการค้า
ฮอร์กนั่งอยู่บริเวณที่สูงและมองลงมาที่ท่าเรือซึ่งตอนนี้เริ่มสมบูรณ์แล้ว
สําหรับวิศวกรอย่างเขาการเป็นผู้นําในการทําโครงการที่ใหญ่ขนาดนี้ได้สําเร็จ เป็นสิ่งที่เขาสามารถเอาไปใช้คุยโม้ได้ทั้งชีวิต
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงแค่เกมก็ตาม
โรแลนด์นั้นพบเข้ากับฮอร์ก เขาหยิบเหรียญทองออกมาเต็มสองกํามือจากกระเป๋ามิติของเขา และน้ํามันวางไว้ในแขนขนาดใหญ่ของฮอร์ก “นี่ 20 เหรียญทอง นายนับเอาได้เลย”
“รอบนี้มากขนาดนี้เลยเหรอ?” ดวงตาของฮอร์กเบิกกว้างขึ้น
ตอนนี้ปีกสีเงินนั้นกําลังตะกุยทางสู่อนาคตของพวกเขาด้วยเงิน ดังนั้นพวกเขาจึงรับซื้อเหรียญทองทุกเหรียญที่โรแลนด์มี
โรแลนด์นั่งลงและพูดว่ “ในช่วงหลายวันก่อน มีคนเจอรูปปั้นของฉันในเมืองหลวงแล้วและเริ่มเรียนสกิลของฉันแล้ว ตอนนี้มีหนึ่งถึงสองเหรียญทองเข้ามาในบัญชีของฉันในทุกๆวัน”
“ชิ โคตรดีเลยแค่นอนอยู่เฉยๆก็ได้เงินแล้ว” ฮอร์กถอนหายใจออกมา
“เมื่อปีกสีเงินเตรียมพร้อมเสร็จ พวกนายจะได้เงินมากกว่าฉันเยอะ” โรแลนด์มองไปเหล่าขอทาน “ฉันเดาได้เลยว่าหัวหน้าของพวกนายอาจจะต้องการสร้างบริษัทโลจิสติกด้านการขนส่งทางน้ําขึ้นมาในต่างโลก”
ฮอร์กยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
กิลด์ขนาดใหญ่นั้นต่างก็ยอดเยี่ยมในเรื่องพวกนี้ พวกเขานั้นมีคนที่มีพรสวรรค์และทรัพยากรจํานวนมาก และพวกเขาก็สามารถทําสิ่งใหญ่โตขึ้นได้อย่างมั่นใจ
“นายกของเมืองนั้นกลับมาแล้ว พวกนายจะทํายังไงต่อ?” โรแลนด์ถามออกมา
ฮอร์กซื้ออกไปและพูดว่า “จ่ายภาษีมากขึ้นเพื่อแลกกับการปกครองตนเองได้อย่างเต็มที่ พวกเราตั้งใจจะทําตามกฏของที่นี่ แต่ถ้าพวกเขานั้นโลภเกินไปและพยายามทําตัวมาเป็นเสาหลักของบริษัทโลจิสติกของกิลด์ปีกสีเงิน นั่นไม่มีทางเป็นไปได้ พวกผู้เล่นระดับแนวหน้าของหลด์ปีสีเงินนั้นกําลังจะมาที่นี่ นายคิดว่าต้องใช้ผู้เล่นที่คนในการทําลายเมืองกัน?”
“ฉันคงตอบว่าห้าสิบ” โรแลนด์พูดคิดหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ผู้เล่นนั้นเป็นอมตะ ยิ่งไปกว่านั้นผู้เล่นจากกิลด์ขนาดใหญ่ต่างมีระเบียบและผู้บัญชาการของพวกเขาต่างก็มีประสบการณ์กับ “แผนการรบ”
ด้วยเกมการต่อสู้แบบกลุ่มขนาดใหญ่อย่างชาโดว์เบนและแพลนเน็ตไซด์ ต่างช่วยยกรดับความสามารถทางกลยุทธ์และการบัญชาการของพวกแม่ทัพของกิลด์ขนาดใหญ่
สลับสับเปลี่ยน, แบ่งทัพ และจัดทําเกมสงครามในโทรศัพท์นั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาถนัดอยู่แล้ว
นอกจากนี้แผนการรบของจ้าวคั่วก็ไม่ได้แย่นัก เขาแค่โชคร้ายเท่านั้นที่เจอไปซี่
พวกเขานั้นได้ศึกษาเกี่ยวกับกลยุทธ์ของจ้าวคั่วที่มีพื้นที่ให้เติบโตอีกมากมาย แต่สิ่งที่พวกเขาโชคดีกว่าจ้าวคิ้วคือพวกเขานั้นมีโอกาสได้ลองถูกลองผิดมากมาย
NPC นั้นมีโอกาสเดียวเท่านั้น
ที่โรแลนด์ตอบมาว่าห้าสิบคนนั้นถือเป็นการคาดการณ์ที่ใกล้เคียง
ในตอนนั้นฮอร์กก็ยิ้มออกมา “พวกเรามีสมาชิกกิลทั้งหมด 83 คน”
เมื่อได้ยินดังนั้นโรแลนด์ก็หัวเราะออกมา
ผู้เล่น 83 คน ผู้เชี่ยวชาญ 83 คน ไม่ว่าจะเป็นนายกของเมืองไหนก็คงต้องหวาดกลัว
“นอกจากที่ฉันเอาเงินมาให้นายแล้ว ฉันอยากขอให้นายช่วยดูแลหอคอยเวทย์ให้หน่อย!” เขามองไปที่แม่น้ําที่ทอดยาวไปสุดขอบฟ้า โรแลนด์ก็พูดออกมาอย่างช้าๆว่า
“ฉันว่าแล้ว” ฮอร์กถอนหายใจออกมา “ฉันอ่านกระทู้นั่นแล้วและก็เห็นข้อความของนายด้วย ฉันเองก็อยากไปเหมือนกันแต่ฉันไม่สามารถออกไปจากตรงนี้ได้”
น้ําเสียงของเขาดูผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่สามารถเข้าร่วมเหตุกาณ์ที่พิเศษที่จะถูกทิ้งไว้ให้เป็นประวัติศาสตร์ภายในเกมได้ และนั่นทําให้เขารู้สึกแย่เป็นอย่างมาก
โรแลนด์ยิ้มและพูดว่า “ฉันจะช่วยแทนส่วนของนายเอง”
“ขอบใจมาก” น้ําเสียงของฮอร์กนั้นแอบซ่อนความขมขื่นไว้ภายใน มันน่ารังเกียจมากที่เห็นนักกล้ามที่ตัวราวกับเหล็กทําท่าทางอย่างนี้ออกมา
ด้วยท่าทางเสียใจบนใบหน้าของเขา โรแลนด์ก็ตบไปที่ร่างกายของเขาก่อนจากไป
เขานั้นจ้างรถม้าและคนขับรถภายในเมืองและออกไปจากเมืองเดลพอนอย่างช้าๆ
ถนนบนโลกนี้นั้นไม่ดีนัก เลยจําเป็นต้องเดินทางไปอย่างช้าๆแต่กลับดูไม่มั่นคง
การสั่นสะเทือนทําให้โรแลนด์รู้สึกอึดอัด จากนั้นเขาก็หันไปสนใจตรงบริเวณด้านหน้าของเขา และสังเกตุเห็นคนขับรถม้าที่พยายามขับอย่างตั้งใจ
คนขับม้านั้นเป็นชายชราผิวดําที่ดูไม่แข็งแรงนัก
โรแลนด์สงสัย “ทําไมนายถึงยอมออกเดินทางมากับฉันละ? ไม่ใช่ว่ามันค่อนข้างอันตรายหรอกเหรอ”
เสียงของคนขับรถม้าไม่ได้ดังนัก เสียงของเขานั้นแผ่วเบา “ตายบนท้องถนนก็ยังดีกว่าหิวตาย ครอบครัวของข้านั้นกําลังขาดแคลนอาหาร”
ไม่เกรงกลัวอันตรายเพื่อครอบครัวงั้นเหรอ?
เพราะว่าโลกนี้นั้นอันตรายเกินไป อัตราการเสียชีวิตนั้นสูงมากที่จะจ้างคนคุ้มกัน หรือคนขับรถม้าและอื่นๆนั้นต่างต้องจ่ายค่ามัดจําครึ่งหนึ่งก่อน
โรแลนด์นั้นได้จ่ายสิบเหรียญเงินให้แก่คนขับเรียบร้อยแล้วก่อนที่เขาจะออกมา เงินสิบเหรียญนั่นคงอยู่ในมือของครอบครัวเขาเรียบร้อยแล้ว
ค่าใช้จ่ายสําหรับการจ้างคนขับรถม้านั้นคือ 20 เหรียญเงินต่อรอบ
มันค่อนข้างแพงทว่าโรแลนด์กลับคิดว่ามันถูกเกินไปสําหรับชีวิตของมนุษย์
โชคดีที่ไม่ได้เกิดอะไรร้ายแรงนักตามทาง มีเพียงแค่สัตว์ปาไม่กี่ตัวออกมาจากทางปาด้านข้างถนนและจากนั้นมันก็ถูกแช่แข็งโดยโรแลนด์ในทันที
และจากนั้นมันก็กลายเป็นเสบียงในมือของคนขับรถ
สี่วันต่อมาเมื่อโรแลนด์มาถึงชานเมืองมอลลี่ เขาก็มอบเหรียญเงินที่เหลืออีกสิบเหรียญให้แก่คนขับไว้พร้อมพูดว่า “ถ้านายไว้ใจฉันให้นายไปรอฉันที่เมืองมอลลี่ซะ ในอีกไม่กี่วันฉันจะกลับไปเมืองเดลพอน ดังนั้นนายสามารถจะรับฉันกลับได้อีกครั้ง ฉันไม่รู้ว่าฉันจะหาตัวนายเจอได้ที่ไหน
“ท่านนักเวทย์ ท่านสามารถไปหาข้าที่คอกม้าได้ ข้าจะอยู่ที่นั่น”
โรแลนด์พยักหน้าและปล่อยให้คนขับรถม้าจากไป โรแลนด์เบิดฟอรั่มและพบกับแผนที่ของเมืองมอลลี่ที่ถูกโพสต์ไว้โดยผู้เล่นคนหนึ่ง เขานั้นตามแผนที่ไปและพบเข้ากับจุดรวมตัวในป่าภายในภูเขา
มีกระท่อมถูกสร้างขึ้นมา และมีผู้เล่นหลายคนรวมตัวกันอยู่หน้ากองไฟ พวกเขาย่างเนื้อของสัตว์อสูรที่ไม่มีใครรู้จักพร้อมทั้งพูดคุยและหัวเราะกันออกมา
โรแลนด์นั้นเดินเข้าไป พวกเขานั้นเริ่มสังเกตุเห็นเขา
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ก็มีผู้เล่นบางคนพูดออกมาด้วยความปราบปลื้มว่า “โอ้ นักเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่โรแลนด์อยู่ที่นี่แล้ว มาเร็วมานั่งกินบาร์บีคิวด้วยกันก่อน ฉันจะออกไปซื้อส้มมาเพิ่ม…”
โรแลนด์หัวเราะออกมา “ไสหัวไป นายทําเหมือนว่าฉันไม่เคยเรียนชั้นประถมยังไงอย่างงั้น ฉันเข้าร่วมฮงซิงตั้งแต่ตอนอยู่ประถมหกแล้ว”
ผู้เล่นคนอื่นๆต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะเข้าพวกกับพวกงี่เง่านี้ ด้วยมีมง่ายๆ เขานั้นสามารถเข้ากลุ่มกับพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเขาเป็นเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
จากนั้นโรแลนด์ก็ร่วมกินเนื้อย่าง
ในขณะนั้นโรแลนด์ก็มองเห็น “เหยื่อ” ที่พวกเขาต้องช่วยเหลือในครั้งนี้ เธอนั้นเป็นผู้หญิงที่งดงาม
คนที่เพิ่มค่าเสน่ห์นี่ต่างออกไปจริงๆ ผู้เล่นคนนี้สวยมาก ถึงขนาดสวยกว่าวิเวียนเล็กน้อยด้วย
ทว่าเมื่อคิดไปว่าเธอนั้นหน้าตาธรรมดาในโลกจริงก็ทําให้ความสวยของเธอลดลง
ผู้เล่นสาวคนนั้นยิ้มให้กับโรแลนด์เมื่อเห็นโรแลนด์มองสารวจมาทางเธอ
มีความขุ่นเคืองปรากฏบนใบหน้าของเธอ
“พวกเราจะรอกันอีกสี่วัน สี่วันหลังจากนนี้ ผู้เล่นส่วนใหญ่น่าจะมาถึงแล้ว เมื่อมีคนมากพอ พวกเราจะบุกเมืองกัน”
“ พวกเราควรแยกออกไปสองสามทางไหม? เพื่อทําให้แยกตัวออกจากกัน”
ผู้เล่นโดยรอบกองเพลิงนั้นเริ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
โรแลนด์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ไอออกมา พวกคนที่เหลือต่างพากันหยุดในทันที
“คนที่พวกเรากําลังจะไปฆ่าคือนายกของเมือง” โรแลนด์มองไปโดยรอบและพูดต่อ “นี่ไม่ใช่ขุนนางตัวน้อย ทว่าเป็นชายที่ถูกจัดว่าเป็นคนสําคัญ ถ้าหากพวกเราฆ่าเขาอย่างโจ่งแจ้ง นั่นต้องเกิดปัญหาตามมาระหว่างขุนนางอย่างแน่แท้”
ทุกคนต่างขมวดคิ้ว พวกเขานั้นคิดว่าโรแลนด์อาจจะพยายามเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาเลิกแผนการนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ขัดออกมาเพราะกลัวจะเดาผิด พวกเขานั้นรอให้โรแลนด์พูดให้จบก่อน
“มันจะไม่ดีต่อการพัฒนาของพวกเราในโลกนี้” โรแลนด์กล่าวต่อว่า “ถ้าเราแค่สังหารนายกโดยไม่สนใจสายตาจากภายนอก พวกนายกคนอื่นๆจะต้องโกรธแค้นอย่างแน่นอน จากนั้นพวกเราเหล่าผู้เล่นก็จะกลายเป็นหนามตําใจของพวกขุนนาง ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พวกเรายังไม่แข็งแกร่งพอ ถ้าเราทําให้ขุนนางร่วมมือกันจะมีปัญหามากมายตามมา”
ในที่สุดก็มีใครบางคนทนไม่ไหว “นายหมายถึงพวกเราไม่ควรฆ่าเขาใช่ไหม?”
“ไม่พวกเราจะฆ่าเขา แต่พวกเราต้องมีวิธีการที่พิเศษหน่อย”
***
Zhaokud = ผู้นําทัพสี่แสนคนไปทําศึกที่ฉางปิง
bai qi = แม่ทัพที่มีชื่อเสียงและเป็นผู้ชนะศึกฉางยิ่ง
ส้ม = เป็นมีมเกี่ยวกับพ่อออกไปซื้อส้มให้ลูกชาย ตอนนี้ใช้แทนการเล่นมุขว่า ข้าเป็นพ่อของเจ้า คือมุขนี้จะประมาณว่าคนพูดบอกว่าจะไปซื้อส้มให้ = ข้าเป็นพ่อของเจ้า
ฮงซิง = หนังของจีนเกี่ยวกับเด็กและอันธพาล
ตอนที่ 126 : ความเห็นที่ตรงกันของเหล่าผู้เล่น
โรแลนด์นั้นยังคงศึกษาเวทมนตร์ของเขาอย่างต่อเนื่องในหอคอยเวทย์ หุ่นเชิดที่ถือโล่นั้นเริ่มถูกพัฒนาขึ้น โรแลนด์สร้างมันขึ้นมาโดยใช้เวลาสามถึงสี่วัน ในที่สุดเขาก็สร้างหุ่นเชิดเวทย์ที่ใช้ป้องกันขึ้นมาได้เสียที
ในอนาคตนั้นเขาสามารถอัญเชิญทั้งคู่ออกมาเพื่อโจมตีและป้องกัน จากนั้นก็ใช้เวทย์เคลื่อนย้ายฉีกออกไป ไม่ใช่แค่เพียงความสามารถในการต่อสู้ แต่ความสามารถในการเอาตัวรอดของเขานั้นจะสูงขึ้นมากเช่นกัน
โรแลนด์เชื่อว่าการที่มีความสามารถในการอยู่รอดจะช่วยให้สามารถจู่โจมฝ่ายตรงข้ามได้มากขึ้น
บทลงโทษการตายของเกมนี้นั้นค่อนข้างสูง ศพนั้นจะถูกทิ้งไว้ที่เดิมหลังตาย ไม่ต้องพูดถึงว่าจะโดนขโมยอุปกรณ์ไปไหม ทว่าเขานั้นต้องเสียค่าประสบการณ์อีกถึง 109% จากค่าประสบการณ์สูงสุดของตัวละคร ยิ่งมีระดับที่สูงหรืออุปกรณ์ที่ล้ําค่ามากแค่ไหนก็ยิ่งถือเป็นการสูญเสียมากเท่านั้น นอกจากนี้อันตรายจากการที่ระดับลดลงยังมีอีกมาก
ดังนั้นการไม่ตายในเกมนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
โรแลนด์นั่งลงบนเก้าอี้และรอให้ความสามารถติดตัวของเขาทํางาน เพื่อฟื้นคืนมานาและในขณะเดียวกันเขาก็เบิดฟอรั่มและอ่านโพสต์ของผู้เล่นอื่น
มีผู้เล่นมากมายต่างเผยประสบการณ์ที่ตัวเองได้รับมาระหว่างการเพิ่มระดับตัวละคร
มันเป็นกระทู้ที่ค่อนข้างน่าสนใจที่จะอ่าน
ยิ่งไปกว่านั้นมีผู้เล่นบางคนออกจากฮอลเลวินไปแล้วย้ายไปอยู่ประเทศอื่นแล้ว
อาทิเช่น อาณาจักรแห่งแสงฟาเลียน, อาณาจักรแห่งทะเลทรายอุกานด้าและอื่นๆ
ผู้เล่นบางคนก็ตั้งกองคาราวานขึ้น พวกเขาวางแผนที่จะลองทําเหมือนกับ NPC และกลายเป็นพ่อค้าเดินทาง
มีหลายวิธีในการเล่นเกมนี้ ทุกคนนั้นสามารถหาทางของตัวเองได้
ทันใดนั้นก็มีโพสต์หนึ่งดึงดูดความสนใจของโรแลนด์เป็นอย่างมาก
ฉันจะเลิกเล่นเกมนี้ แต่ก่อนที่ฉันจะจากไป ฉันอยากจะขอให้ชาวเน็ตทวงความ เป็นธรรมให้ฉันด้วย
โรแลนด์คิดว่าบางทีอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับชาวเน็ตรายนี้ในชีวิตจริง อาทิเช่นแคปซูลเสมือนจริงถูกขโมยไป
สุดท้ายเมื่อเขาเปิดกระทู้และเขาพบว่าเขานั้นเดาผิด มันเกี่ยวข้องกับเรื่องภายในเกม
หลังจากอ่านโพสต์นี้แล้วโรแลนด์ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
เธอเป็นผู้เล่นสาวซึ่งเน้นค่าความสามารถไปที่ค่าเสน่ห์และความฉลาด และมีอาชีพที่พบได้ยาก นั่นก็คือนักวางกลยุทธ์
ความแข็งแกร่งของเธอนั้นอยู่ระดับทั่วไป ทว่าเธอนั้น “เกิด” มาพร้อมกับความสามารถในการบัญชากองทัพถึงสองสกิล ซึ่งเป็นเวทย์เสริมกําลังแบบกลุ่ม
เนื่องจากเสน่ห์ที่เพิ่มเข้ามาของเธอแม้ว่าเธอจะไม่น่าดึงดูดภายในโลกจริง แต่ในนี้เธอนั้นก็ถูกจัดว่าเป็นคนที่งดงามเลยทีเดียว
เธอเกิดในเมืองขนาดกลางชื่อมอที่มีประชากรประมาณสองแสนคน
ตอนเธอเกิดมาเนื่องจากเธอดูงดงาม เธอจึงถูกคุกคามอยู่บ่อยครั้งซึ่งเธอก็สามารถรับมือมาได้เสมอ ทว่ามีครั้งหนึ่งเมื่อเธอตกอยู่ในอันตรายขุนนางหนุ่มปรากฏตัวและช่วยเธอไว้
เขานั้นทั้งช่วยดูแลเธอทั้งยังสอนเธอเกี่ยวกับภาษาของโลกนี้อีกด้วย
หลังจากนั้นหนึ่งถึงสองเดือน พวกเธอทั้งคู่ก็กลายเป็นคนรักกัน เธอนั้นย้ายไปอยู่ที่ปราสาทหลังเล็กๆของเขา และเธอนั้นกําลังจะกลายเป็นนายหญิงของปราสาทนี้ในอนาคต
ขุนนางหนุ่มใจดีกับเธอมากโดยให้เธอเกือบทุกอย่างที่เธอขอ – พาเธอไปทําความคุ้นเคยกับกฏของชนชั้นสูง , เมืองนี้ และโลกใบนี้ มันช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าหลงไหลและโรแมนติกเป็นอย่างมากสําหรับเธอ
ขุนนางหนุ่มทุ่มทรัพยากรจํานวนมากให้กับเธอทําให้เธอนั้นสามารถเลื่อนระดับได้อย่างรวด เร็ว
ด้วยเวลาอันรวดเร็ว เธอนั้นก็มาถึงระดับห้า ในบรรดาผู้เล่นหญิงทั้งหมด เธอนั้นถือเป็นหนึ่งในคนที่สามารถเลื่อนระดับไปเป็นชั้นแนวหน้าได้รวดเร็วกว่าคนอื่นเล็กน้อย
จากนั้นฝ่ายขุนนางหนุ่มก็ประสบปัญหาเข้า ด้วยเหตุผลบางอย่างองค์กรนักฆ่าที่ชั่วร้ายได้ตามไล่ล่าขุนนางหนุ่ม ทั้งสองฝ่ายมีความแข็งแกร่งที่พอๆกันทําให้มีผู้เสียชีวิตจํานวนมาก
ในฐานะคนรักของเขา เธอนั้นไม่มีทางยอมที่จะเห็นคนรักของเธอต้องถูกรังแก ดังนั้นเธอจึงขอเข้าร่วมต่อสู้ด้วย
แม้ว่าเธอจะไม่แข็งแกร่งในการสู้ตัวต่อตัวนัก ทว่าด้วยการต่อสู้แบบกลุ่มสกิลของเธอนั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก หลังจากที่เธอนั้นอยู่ในระดับห้า เธอนั้นสามารถเพิ่มพลังให้กองทัพได้มากกว่าเดิมเสียอีก เมื่อเธอนั้นร่ายเวทย์บัญชากองทัพทั้งสามให้แก่กองทัพ ความสามารถในการต่อสู้ของขุนนางหนุ่มนั้นก็เพิ่มขึ้นทันทีสองถึงสามระดับ
พวกเขาทําลายล้างศัตรูได้อย่างง่ายดาย
เมื่อภัยร้ายถูกกําจัด ขุนนางหนุ่มก็ดูเหมือนจะใจดีกับเธอมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
เธอนั้นคิดว่าชายหนุ่มนั้นจะเป็นที่พักพิงให้แก่เธอในอนาคต ถึงแม้ว่านี่จะเป็นแค่เกม ถึงแม้ว่าเขานั้นจะเป็น NPC แต่เธอก็สัมผัสได้ว่าเธอนั้นสามารถใช้เวลาอยู่กับเขาได้ทั้งชีวิต
ทว่าวันหนึ่งมีผู้มีอิทธิพลเข้ามาในเมือง ในงานเลี้ยงในคืนวันนั้นขุนนางหนุ่มจงใจทิ้งเธอไว้คนเดียวพร้อมให้เธออยู่กับผู้มีอิทธิพลคนนั้น
ตอนแรกเธอนั้นไม่ได้คิดอะไรมากจนกกระทั่งผู้มีอิทธิพลคนนั้นจ้องมองมาที่เธอพร้อมลูบที่ตัวเธอ เธอก็รู้สึกได้ทันทีว่ามันมีบางสิ่งผิดปกติ
เธอนั้นไม่เก่งเรื่องการต่อสู้ดังนั้นเธอจึงใช้มีดแทงเข้าไปในหัวใจของเธอเมื่อเธอกําลังจะต้องอับอายต่อหน้ามัน เธอนั้นลืมไปว่าผู้เล่นหญิงนั้นได้รับการปกป้องด้วยระบบชุดชั้นใจ และหากพวกเธอไม่ต้องการก็ไม่มีใครสามารถบังคับพวกเธอได้ ในตอนนั้นเธอทั้งโกรธและแค้นเป็นอย่างมาก
หลังจากคืนชีพขึ้นมาเธอนั้นตรงเข้าไปหาขุนนางหนุ่ม
แต่สุดท้ายไม่เหมือนอย่างที่เธอคิดไว้ชายหนุ่มนั้นด่าทอเธอ และพูดว่าเขานั้นไม่รังเกียจหากเธอนั้นร่วมหลับนอนกับผู้มีอิทธิพลคนนั้น นั่นจะยิ่งทําให้ตระกูลของเขาได้รับผลประโยชน์มากมายขึ้นไปอีก
ทว่าเธอนั้นรังเกียจ
เธอนั้นด่าทอขุนนางหนุ่มคนนั้นว่าไม่ใช่สุภาพบุรุษ ท้ายที่สุดเขาก็เผยให้เห็นสันดานที่แท้จริงออกมาและโยนเธอออกจากชั้นสามและทําให้เธอตายลง
หลังจากเสียชีวิตไปถึงสองครั้ง ระดับของเธอก็ลดลงเหลือระดับสี่ ในตอนนี้นั้นเธอเริ่มคิดสงสัยแล้วว่าหรือที่ผ่านมานั้นเธอถูกหลอกใช้มาตลอด
หลังจากคืนชีพขึ้นมา เธอนั้นตรงเข้าไปหาองค์กรนักฆ่าที่ถูกทําลายลง เพื่อถามว่าทําไมพวกเขาถึงที่จะเล็งเป้าหมายไปที่ขุนนางหนุ่ม
การหาตัวพวกเขาเป็นเรื่องยากลําบากมาก แต่ในที่สุดเธอก็พบกับพวกเขาเข้าจนได้
นักฆ่าที่เหลืออยู่ได้ฆ่าเธอทิ้งอีกห้าครั้ง แต่เธอนั้นหาได้โกรธแค้น หลังจากฟื้นขึ้นมาเธอก็ปล่อยให้พวกนั้นฆ่าเธอโดยไม่แม้แต่จะตอบโต้กลับไป
หลังจากตายไปถึงห้าครั้ง พวกสมาชิกที่เหลือรอดอยู่ก็เชื่อใจเธอเล็กน้อยและบอกถึงเหตุผลว่าทําไมพวกเขานั้นถึงตามล่าขุนนางหนุ่มคนนั้น
ขุนนางหนุ่มเป็นคนชั่วช้า หลังจากที่เขากลายเป็นนายกของเมืองเขาก็เริ่มก่ออาชญากรรมขึ้น เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เขาฆ่า, เผา, ข่มขืนและปล้นสะดมจากผู้คนมากมาย พวกเขาเหยื่อที่มารวมตัวกันจงเป็นองค์กรและมีพวกกบฏที่มีศีลธรรมอยู่บางคน
เดิมทีพวกเขามีโอกาสที่จะชนะได้ แต่การปรากฏตัวของเธอทําให้พลังในการต่อสู้ของพวกเขานั้นแตกต่างจากกลุ่มขุนนางโดยสิ้นเชิง
ทันทีที่องค์กรนักฆ่าบอกความจริงพวกเขาก็ถูกล้อมรอบไปด้วยกองกําลังติดอาวุธ
ปรากฏว่าเธอนั้นถูกสะกดรอยตาม
เมื่อมาถึงตรงนี้นักฆ่าที่เหลืออยู่นั้นต่างเข้าใจผิดและคิดว่าหญิงสาวนั้นมาเพื่อล่อให้พวกเขาอ อกมา
พวกเขานั้นฆ่าหญิงสาวไปอีกกว่าสามครั้งก่อนจะจบชีวิตลง
เธอนั้นไม่ได้ตอบโต้ เธอจ้องมองเหล่า NPC ที่พยายามต่อต้านอยู่อย่างว่างเปล่า พวกเขานั้นจ้องมองเธอด้วยสายตาที่สาปแช่ง, เกลียดชัง และความเสียใจ
เธอนั้นราวกับจะกลายเป็นโรคประสาท
ในท้ายที่สุดขุนนางหนุ่มคนนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมตัดหัวเธอทิ้ง และดูมีท่าทางทียินดีเป็นอย่างมาก
กระทู้นี้มีความยาวกว่าสี่หมื่นตัวอักษร เมื่อเห็นเช่นนี้ก็รู้ได้เลยว่าเธอน่าจะใช้เวลาหลายวันในการเขียนมัน
หญิงสาวเขียนในท้ายของโพสต์ว่า “ฉันเป็นเพียงผู้หญิงโง่ๆและทําทุกสิ่งไปโดยไม่ประมาณตัวเอง ทว่าฉันเองก็มีจิตสํานึกเหมือนกันเมื่อฉันทําอะไรผิด ฉันยอมรับการลงโทษได้ ฉันจะเลิกเล่นเกมนี้และขายแคปซูลเสมือนจริงมันแค่เพราะฉันรับไม่ได้ ฉันไม่ต้องการให้ NPC ที่ลุกขึ้นออกมาต่อต้านต้องตายอย่างไร้ค่าเพราะฉัน และฉันไม่ต้องการเห็นไอ้ชั่วนั่นใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหลังจากนี้ ทว่าฉันไม่สามารถแก้แค้นมันได้ เพราะฉันนั้นไม่เก่งในการต่อสู้และตายมาหลายครั้งจนเหลือเพียงเลเวลสามแล้วในตอนนี้ ฉันไม่สามารถทําอะไรได้เลย ดังนั้นฉันอยากออกมาขอร้องให้ทุกคนช่วยฉัน ช่วยฉันฆ่าไอสวะนั่นที!!”
คราวนี้พวกชาวเน็ตงี่เง่าไม่ก่อปัญหาขึ้น พวกเขานั้นเลือกที่จะตอบกลับกันอย่างจริงจัง
“ฉันเอาด้วยเมืองมอลลีห่างเพียงแค่ 300 กิโลเมตรจากที่นี่ ฉันใช้เวลาไม่กี่วันก็เดินถึงแล้ว”
“ฉันเอาด้วยเมืองมอลลีห่างเพียงแค่ 200 กิโลเมตรจากที่นี่ พวกนายอย่าทําอะไรบุ่มบ่ามให้ศัตรูรู้ตัวรวมตัวกันที่นอกเมืองก่อน”
“ฉันเอาด้วย ระยะทางห่างกันแค่ 200 กิโลเมตรเอง”
โรแลนด์คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนทิ้งการตอบกลับไปว่า
มอลลีนั้นห่างจากเดลพอนเพียงแค่ 300 กิโลเมตรเท่านั้น
ตอนที่ 125 : แก่กว่าฉลาดกว่า
การกลับมาของนายกจอห์นกระจายไปทั่วทั้งเมือง
ขุนนางหลายคนต่างรู้สึกโล่งอก ในวันที่อัศวินของเมืองเดลพอนหายไป มีหลายสิ่งเกิดขึ้นซึ่งทําให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะพวกบุตรทองคําซึ่ง “รักและปกป้อง” พวกสามัญชนนั่นทําให้เหล่าขุนนางรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมพวกเขาต้องร่วมมือกันเพื่อป้องกันซึ่งกันและกัน
จอห์นคนลูกอาจจะได้เป็นนายกในอนาคต ทว่าความนิยมและเสน่ห์ของเขานั้นยังเทียบไม่ได้กับจอห์นคนพ่อ
จากหอคอยเวทย์สูง โรแลนด์นั้นยืนจ้องมองขบวนทหารเดินกลับไปยังปราสาทและกลุ่มขุนนางทั้งหลายต่างยืนต้อนรับจอห์นคนพ่ออยู่ตามถนนซึ่งห่างออกไป
เขานั้นกลับไปยังโต๊ะของเขาและนั่งลง วิเวียนนั้นยังคงไม่ได้ออกไป
โรแลนด์ถามออกมาว่า “จอห์นคนพ่อนั้นเป็นคนยังไง หมายถึงนายกของเมืองนี้น่ะ?”
วิเวียนนั้นยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้สนทนากับโรแลนด์ เธอนั่งลงพร้อมเล่าทุกสิ่งที่เธอรู้เกี่ยวกับจอห์นคนพ่อ
จอห์นคนพ่อนั้นเป็นชายอายุ 47 ปี เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้หอก เนื่องจากว่าเขานั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญแม้อายุจะแตะเลขสี่แล้ว ทว่ารูปลักษณ์ของเขานั้นเหมือนคนที่มีอายุ 30 ต้นๆเพียงเท่านั้น
นิสัยของเขาคือคนที่ไม่ยอมใคร ไม่บ่อยนักที่เขาจะยอมแพ้ในปัญหาบางเรื่อง
และเนื่องด้วยตําแหน่งของเขา ทําให้เขาเชื่อในกองกําลังทหารม้าของตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด
ในความคิดของเขานั้นทหารม้าถือว่าเป็นกองกําลังทหารที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นเขาจึงได้ทําการฝึกทหารม้าเป็นอย่างหนัก ทว่าเขานั้นต่างจากผู้ครอบครองกองกําลังอื่นๆที่ชื่นชอบในทหารม้าในชุดเกราะหนัก เขานั้นชอบทหารม้าที่คล่องตัวได้มากกว่า นอกจากอาวุธจําพวกหอกแล้ว ทหารม้าบางคนของเขายังมีการใช้อาวุธอื่นๆจําพวกดาบมือเดียวหรือหน้าไม้อีกด้วยและมีลูกศร ถือเป็นอาวุธสํารอง
สําหรับทหารราบและพลธนูนั้น เขาคิดว่าทหารพวกนั้นมีประโยชน์มากกว่าในการปกป้องเมืองจากการถูกล้อมและป้องกันผู้บุกรุกหรือภัยร้ายที่มาจากข้างนอก
สําหรับการใช้ทหารม้าในการล้อมศัตรูนั้น โดยใช้ประโยชน์จากทหารม้าที่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อศัตรูเริ่มได้เปรียบก็ให้พวกเขารีบถอยทํา และเมื่อศัตรูถอนทัพพวกเขาจะทําการไล่ล่า พวกเขามีกลยุทธ์ในการตีเมืองคือการตัดน้ําและอาหารของอีกฝ่าย ภายในเวลาสามเดือนศัตรูนั้นจะจบสิ้นเองโดยพวกเขาไม่ต้องเข้าโจมตีเสียด้วยซ้ํา
นี่เป็นวิธีที่จอห์นคนพ่อใช้ในการทําสงคราม
และเนื่องจากจอห์นนั้นเป็นคนที่มีความสามารถในการทําสงครามเหนือกว่าขุนนางคนอื่นๆ เขานั้นไม่เคยพ่ายแพ้ในการรบมาก่อน ทําให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังมากภายในฮอลเลวิล
และเขานั้นก็จะไม่มีวันพ่ายแพ้ในเดลพอนเช่นกัน
หืม…ดูเหมือนจะเป็นตัวปัญหาสินะ
โรแลนด์คิดว่าพวกเขาผู้เล่นทั้งสี่ที่อยู่ภายในเมืองแห่งนี้อาจจะพบเจอปัญหาได้เมื่อจอห์นคนพ่อนั้นกลับมาแล้ว
และแน่นอนการคาดเดาของโรแลนด์นั้นถูกต้อง
ในตอนดึกหลังจากงานเลี้ยงฉลองชัยชนะจบลง
ทว่าปราสาทนั้นยังคงสว่างไสวอยู่
จอห์นคนพ่อนั้นสามารถเอาชนะกองกําลังจากประเทศอื่นได้อีกครั้ง เขานั้นนําสินสงครามกลับมากับตัวด้วย นั่นหมายความเมืองเดลพอนนั้นร่ํารวยมากขึ้น
ภายในห้องนอนบริเวณชั้นสอง จอห์นคนพ่อนั่งอยู่บนเก้าอี้สวมใส่ชุดนอนหลวมๆ จอห์นคนลูกนั้นถอดแบบมาจากเขากว่า 80% สิ่งเดียวที่ต่างอย่างชัดเจนเลยคือจอห์นคนพ่อนั้นสุขุมกว่ามาก
จอห์นคนลูกนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาและมีท่าทีที่ดูอึดอัดเล็กน้อย
“ข้าไม่ยินเกี่ยวกับเรื่องคนพิเศษพวกนั้นมาแล้ว” จอห์นคนพ่อจิบไวน์และพูดพร้อมด้วย รอยยิ้ม “เจ้าทําได้ดีมาก ที่สามารถเก็บอารมณ์และไม่ทําอะไรบุ่มบ่ามกับพวกผู้เชี่ยวชาญทั้งสี่ที่เป็นอมตะนั่น”
จอห์นคนลูกที่กังวลว่าจะโดนตําหนิเนื่องจากแข็งแกร่งไม่พอ เมื่อได้รับคําชมก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“แล้วลูกรู้เกี่ยวกับนิสัยของบุตรทองคําทั้งสี่นั่นมากขนาดไหนกัน?”
“เบทต้านั้นออกจากเมืองเดลพอนไปแล้ว ข้าจะไม่พูดถึงเขาในตอนนี้ สําหรับโรแลนด์ผู้ใช้เวทย์ เป็นนักเวทย์แบบดั้งเดิม เขาใช้เวลาตลอดทั้งวันในการศึกษาเวทมนตร์ และยากที่จะปรากฏตัวออกมา และนิสัยของเขานั้นค่อนข้างใจดี” หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง จอห์นคนลูกก็จิบไวน์เข้าไปเพื่อเพิ่มความชื้นในปากของเขาจากนั้นก็เริ่มพูดต่อว่า “สําหรับฮอร์กและ ลิงค์นั้นนิสัยของพวกเขานั้นค่อนข้างเลวร้ายและมุทะลุและข้านั้นคิดว่าพวกเขานั้นน่าจะเป็นพวกชนชั้นต่ําในหมู่บุตรทองคํา ครั้งล่าสุดที่ข้าเชิญพวกเขามา พวกเขานั้นเชื่อฟังโรแลนด์อย่างเห็นได้ชัด”
จอห์นคนพ่อพยักหน้าออกมา
จอห์นคนลูกพูดต่อว่า “สาหรับเจ็ทนักบวชนั้นคล้ายๆกลับโรแลนด์ เขานั้นมักจะใช้เวลาทั้งวันอยู่ภายในโบสถ์แห่งชีวิตโดยมักจะคอยสวดภาวนาและมักจะให้ทานเหมือนกับนักบวชคนอื่นๆ เขานั้นเป็นชายที่พวกเราสามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของเขาได้ ทว่าทั้งสี่นั้นแน่นแฟ้นกันมาก จนยากที่จะกําจัดออกทีละคน”
จอห์นคนพ่อหยิบแก้วไวน์ขึ้นมา เงยหน้าขึ้นมามองไปยังเพดาน พิจารณาอยู่กับตัวเองครู่หนึ่ง และจากนั้นก็ถามออกมาว่า “ลูกเคยเห็นบุตรทองคําที่เป็น “สตรี” บ้างไหม?”
“ข้ายังไม่เคยพบมาก่อน”
จอห์นคนพ่อพูดออกมาอย่างช้าๆ “ข้านั้นสงสัยว่า หากพวกเรานั้นมีอะไรกับบุตรีทองคํา แล้วบุตรหลานของพวกเรานั้นจะเป็นอมตะหรือไม่?”
จอห์นคนลูกเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็มองอย่างนับถือ พ่อของเขาคิดถึงปัญหาในมุมที่ต่างออกไปและเป็นเอกลักษณ์ซึ่งต่างจากคนที่ยังเป็นเพียงชายหนุ่มเช่นเขา
เหล่าขุนนางต่างให้ความสําคัญเป็นอย่างยิ่งกับการปรับปรุงและพัฒนาสายเลือดของพวกเขา นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทําไมพวกเขาถึงสนใจในตัวของเหล่าเอลฟ์ จิ้งจอกสาว และซัคคิวบัส
“ถ้าหากมีบุตรทองคํานั่นก็หมายความว่ามันต้องมีบุตรีทองคําเช่นกัน วันพรุ่งนี้เจ้าจงนําหน่วยทหารม้าเล็กๆไปสังเกตุการเมืองอื่นๆ และพยายามจับตัวบุตรีทองคํามาสักคนสองคน นี่ถือเป็นเรื่องที่สําคัญมาก”
จอห์นคนลูกนั้นมีท่าทีที่ลําบากใจเล็กน้อย “พวกนั้นไม่มีทางตาย มันยากที่ข้าจะจับตัวพวกนางได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็จงโกหกและล่อลวงพวกมันมาด้วยเหรียญทองซะสิ ผู้หญิงนั้นต่างจากผู้ชาย พวกเธอนั้นทั้งอ่อนไหวและชอบของที่เป็นประกาย ตราบใดที่เจ้าพยายามอย่างน้อยเจ้าก็น่าจะล่อลวงมาได้สักคนสองคนเองนั่นแหละ”
จอห์นคนลูกยืนขึ้นพร้อมแสดงท่าทางขอบคุณสําหรับคําแนะนํา
จากนั้นเมื่อลูกชายของเขากลับไปยังห้องนอนแล้ว จอห์นคนพ่อก็ลุกขึ้น เขาเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะขึ้นมาจากนั้นก็หยิบกระดาษที่เขาพึ่งได้รับออกมา
มันมีประโยคหนึ่งถูกเขียนอยู่บนนั้น หลังจากการทดสอบแล้ว ข่าวเกี่ยวกับการกิน เนื้อของพวกบุตรทองคําแล้วจะช่วยยืดอายุนั้นเป็นเพียงแค่ข่าวลือ
จอห์นคนพ่อถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา “แน่อยู่แล้ว ชีวิตอมตะคงไม่ง่ายนัก”
หลังจากจอห์นคนพ่อนั้นเดินทางไปยังประเทศต่างๆเขาก็ได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับบุตรทองคําในกองทัพของเขา
เขาถึงขั้นส่งคนไปตรวจสอบด้วยซ้ํา
เขาพิจารณาอยู่เสมอว่าการมาถึงของบุตรทองคําเหล่านี้จะส่งผลอะไรกับโลกใบนี้
ทว่าเมื่อตัดสินจากสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ดูเหมือนผลกระทบจะยังมีไม่มากนัก
นั่นเป็นเพราะพวกบุตรทองคํายังไม่มีความเข้าใจต่อโลกนี้โดยสมบูรณ์ หลังจากพวกเขาอยู่นานกว่านี้อีกสักหน่อยพวกเขานั้นจะเริ่มเข้าใจโลกใบนี้มากยิ่งขึ้น และหลังจากพวกเขาเริ่มแข็งแกร่ง พวกเขาก็จะกลายเป็นกองกําลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากถึงขนาดที่สามารถทําลายประเทศได้เสียด้วยซ้ํา
ดังนั้นก่อนที่มันจะเกิดขึ้น เขานั้นต้องแยกพวกนั้นออกจากกันเสียก่อน
การแยกความต่างทางเพศนั้นถือเป็นแผนการขั้นแรก
จากแหล่งข้อมูลที่เขาได้รับมา ดูเหมือนว่าบุตรีทองคําส่วนใหญ่นั้นมักจะสนใจในชีวิตของเหล่าขุนนางบางคนถึงขั้นอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลขุนนางด้วยซ้ํา
สําหรับบุตรทองคํานั้นโดยทั่วไปพวกเขานั้นสนใจใน เอลฟ์เพศหญิง, ออร์คเพศหญิงที่งดงาม, ซัคคิวบัส และเผ่าพันธุ์อื่นๆ
สิ่งเหล่านี้เป็นข้อมูลที่สามารถนํามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้
จอห์นคนพ่อคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็นํากระดาษเปล่าขึ้นมาและเขียนสิ่งที่เขาคิดลงไป จากนั้นก็สั่นกระดิ่งเพื่อให้พ่อบ้านเข้ามา “นําจดหมายนี้ไปยังเมืองหลวง ส่งมันให้กับท่านราชา นี่ถือเป็นความสําคัญสูงสุด”
พ่อบ้านนั้นรับกระดาษนั่นก่อนจะออกจากห้องไป เขานั้นไปยังห้องทํางานของเขาในชั้นแรก จากนั้นก็ม้วนมันอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ไซลินเดอร์มาสวมมันได้ และจากนั้นก็ติดตรามันอย่างแผ่วเบาด้วยหมึกสีดํา
ในท้ายที่สุดจดหมายนี่ก็ถูกส่งถึงมือของคนส่งจดหมายประจําตระกูล
ตอนที่ 124 : นายกกลับมาแล้ว
ภายในเกมนั้นโรแลนด์สามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ขององค์ประกอบเวทย์จํานวนมากภายในอากาศ ทว่าภายในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเขาไม่สามารถสัมผัสถึงพวกมันได้เลยแม้แต่น้อย
หรือว่ามันจะไม่มีองค์ประกอบเวทย์แบบนี้อยู่ในโลกจริง?
นี่มันน่าจะกรณีที่สมเหตุสมผลมากที่สุด
ทว่ามันก็ยังคงมีความเป็นไปได้อื่นๆอีก!
โรแลนด์นั้นคิดว่าคุณสมบัติของเขาในชีวิตจริงนั้นแย่เกินไปดังนั้นเขาจึงไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์ได้
อย่างไรก็ตามภายในเกม คุณสมบัติของเขานั้นยอดเยี่ยมกว่าความเป็นจริง
หลังจากพิจารณาอยู่สักครู่ โรแลนด์ก็คิดว่าความเป็นไปได้อย่างแรกนั้น ไม่มีวิธีอะไรให้ต้องคิดต่อเลยแม้แต่น้อย
ทว่าสําหรับความเป็นไปได้อย่างที่สองนั้น เขานั้นต้องคิดถึงวิธีเพิ่มคุณสมบัติของเขาในชีวิตจริ
หลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเขาควรจัดการกับมันยังไงดี
บางทีการออกกําลังกายสร้างกล้ามเนื้อก็อาจจะไร้ประโยชน์ เพราะพวกนักเพาะกายหลายคนที่มีกล้ามไม่ต่างจากออร์คพวกเขานั้นก็ยังเป็นคนธรรมดาอยู่ดี
ไม่ต้องพูดถึงการทําลายมิติด้วยหมัดของพวกเขา พวกเขานั้นไม่สามารถพังเครื่องวัดความแข็งแรงภายในหมัดเดียวได้ด้วยซ้ํา พวกเขานั้นอ่อนแอเกินไป
พวกกําลังกายที่ชื่อซี่กงนั้นก็ดูไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่
หากทําได้คนจะฝึกชี่กงทั่วประเทศจีน ท้ายที่สุดแล้วชี่กงก็รุ่งเรืองขึ้นในสมัยที่ผู้คนหลายร้อยล้านคนฝึกชี่กงในเวลาเดียวกัน แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ตกอยู่ในความคลั่งไคล้และ เขียนบทความเกี่ยวกับชี่กงมากมาย
ถ้ามันได้ผลจริงอย่างน้อยต้องมีสักคนที่ประสบความสําเร็จไปแล้ว เพราะถึงยังไงก็มีคนทราฝึกฝนมันกว่าหลายร้อยล้านคน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีคนที่พรสวรรค์อยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น
ดังนั้น…มันจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเพิ่มคุณสมบัติภายในชีวิตจริง
หรือจะลองค้นหาวิธีจากเกมนี้ดูกัน
เกมนี้มันไม่ใช่แค่เกม
ความสามารถบางอย่างนั้นสามารถใช้ในชีวิตจริงได้อย่างความสามารถทางภาษา
แล้วความสามารถหรืออุปกรณ์เวทมนตร์อื่นๆอีกละ
เขานั้นสามารถหาสิ่งที่ต้องการได้จริงๆใช่ไหม?
โรแลนด์นั้นถอนหายใจออกมาอย่างหนักจากนั้นก็ไปยังหน้าต่างของหอคอยเวทย์เพื่อชมเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป
นี่มันเป็นโลกที่แสนวิเศษ ที่ทุกคนต่างมีความรู้เกี่ยวกับมันน้อยเกินไป
จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรจะรีบร้อน เขานั้นควรปล่อยเรื่องพวกนั้นไปก่อนและเริ่มเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก
และเมื่อเขานั้นแข็งแกร่งเพียงพอ เขาก็จะสามารถสํารวจทุกสิ่งอย่างได้ อาทิเช่นสิ่งที่แปลกๆ ที่อัลโด้เอ่ยออกมาระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกัน
ดอกไม้ของต้นไม้โลก, เนื้อมังกร, เลือดมังกร และอื่นๆอีกมาก
เมื่อเวลามาถึงเขานั้นจะสามารถคว้าสิ่งพวกนั้นมาได้
ด้วยเป้าหมายภายในใจ โรแลนด์รีบตรงไปยังห้องทดลองเวทย์และเริ่มทดลองเวทย์รูปแบบพัฒนาต่อทันที
ความแข็งแกร่งของหุ่นเชิดเวทย์นั้นเกือบถึงขีดจํากัดแล้ว หากเขาต้องการเพิ่มความ แข็งแกร่งของมัน เขานั้นจําเป็นต้องขยายแบบจําลองเวทย์ของมัน
ทว่าเขานั้นไม่เคยมีประสบการณ์ในด้านนั้นมาก่อน
หลังจากงมอยู่กับความคิดพักหนึ่ง เขาก็มองไปที่หุ่นเชิดเวทย์ที่ถือดาบเหมียวเต๋าสีฟ้าและ ฟันหุ่นทดลองไม้ในระยะสิบเมตรให้กลายเป็นผุยผง
ดาบเหมียวเต๋านั่นเป็นหนึ่งในเวทย์ที่พัฒนาของแขนเวทย์
หุ่นเวทย์รูปแบบโจมตีนั้นสมบูรณ์แล้ว
ทั้งความเร็วความสามารถในการแยกมิตรศัตรู นี่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานซึ่งตอนนี้มันมาถึงขีดจํากัดที่โรแลนด์สามารถทําได้แล้วในตอนนี้
จากการโจมตีเปลี่ยนมาเป็นการป้องกัน
มันสําคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะสร้างหุ่นเวทย์มาเพื่อปกป้องผู้ใช้เวทย์
ทว่าโรแลนด์นั้นไม่รีบที่จะศึกษารูปแบบเวทย์ที่พัฒนาต่อ เขาเลือกที่จะไปบ้านของอัลโด้
หลังจากเขายืนยันตัวตน เขาก็เข้าไปยังคฤหาสน์และไปยังห้องวิจัย
อัลโด้ดูซีดเซียวกว่าแต่ก่อน เขานั้นนั่งอยู่หลังโต๊ะ ดวงตาของเขานั้นราวกับเป็นหลุดสีดําสนิทที่อยู่บนใบหน้า
“ประธานคุณเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน”
โรแลนด์มีท่าทีที่ตกใจ
อัลโด้โบกมือของเขาอย่างอ่อนแรง “อย่าพูดถึงมันเลย ข้าแค่พยายามทําลูกในสองเดือนมานี้ ตลอดสองเดือนมานี้ทั้งวันทั้งคืน ทว่าก็ไม่มีทาสสาวคนไหนของข้าสักคนที่ตั้งท้อง ข้านั้นเพลียเป็นอย่างมาก”
โรแลนด์ถึงกับพูดไม่ออก เขานั้นคิดว่าอัลโด้เสียสติเพราะเสียลูกของเขาไป อัลโด้นั้นจะกินดื่มไม่ได้และนอนไม่หลับ เลยเป็นที่มาของรูปลักษณ์ปัจจุบันของเขาในตอนนี้ เขานั้นไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นเพราะเขาแค่เหนื่อยเท่านั้น
เขานั้นกังวลเกี่ยวกับเจ้านี้เพื่ออะไรกันแน่
อัลโด้ยิ้มขอโทษมาที่โรแลนด์เขานั้นมีท่าทางไร้เรี่ยวแรงและพูดว่า “ข้านั้นไม่สามารถกลับไปหอคอยเวทย์ได้ในช่วงนี้ ต้องขอรบกวนเจ้าต่อไปนะ”
“มันดีจริงๆเหรอ?” โรแลนด์ถอนหายใจออกมาอย่างหนัก “ถ้าหากคุณยังเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันจะเป็นคนได้ความดีความชอบทั้งหมดไปนะ”
“ถ้างั้นก็เอามันไปเลย” อัลโด้ตะคอกออกมา “ข้านั้นไม่ได้สนใจตําแหน่งอยู่แล้ว ในที่สุดก็ต้องมีใครมารับช่วงต่อจากข้าอยู่ดี ข้านั้นไม่สามารถยินดีไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว”
ท่าทางของโรแลนด์นั้นดูโง่งมราวกับกินอะไรผิดสําแดงเข้าไป
เขานั้นไม่อยากจะคอยรับมือกับปัญหาพวกนี้ เขานั้นต้องการให้เวลาไปกับการศึกษาเวทมนตร์
ทว่าสําหรับผู้ได้รับของขวัญนี้นั้นราวกับต้องแลกกับอิสรภาพของตัวเองไป..อัลโด้นั้นไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น
หลังจากถอนหายใจออกมายาว โรแลนด์ก็พูดขึ้นมาว่า “ฉันมีคําถามที่จะถามคุณนิดหน่อย”
“เจ้าเติบโตได้รวดเร็วมากตอนนี้เจ้านั้นอยู่ระดับเดียวกับข้าเรียบร้อยแล้ว” อัลโด้สํารวจโรแลนด์พร้อมพูดว่า “จากประสบการณ์ของข้าถึงแม้ว่าพวกเรานั้นจะอยู่ระดับเดียวกัน แต่ข้านั้นคงไม่มีความสามารถเทียบเท่าเจ้าได้ ข้าไม่คิดว่าข้าจะมีอะไรที่สามารถสอนเจ้าได้”
มันเป็นอย่างที่อัลโด้พูดเอาไว้ การเติบโตของโรแลนด์นั้นนําเขาไปเรียบร้อยแล้ว
สําหรับ “ค่าสถานะการเติบโต” ของอัลโด้นั้นอยู่ในเพียงระดับแนวหน้าเท่านั้น ไม่ได้ถึงขั้นอัจฉริยะ
ในขณะที่ค่าสถานะการเติบโตและจํานวนสกิลของเหล่าบุตรทองคํานั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับแม่ทัพ
ความแตกต่างนั้นมหาศาลเป็นอย่างมาก
มันสามารถพูดได้เลยว่าต่อให้มีอัลโด้สามคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโรแลนด์
โรแลนด์สายหัวออกมา “ความแข็งแกร่งก็ส่วนความแข็งแกร่ง ความรู้ก็ส่วนความรู้ ประธานฉันอยากจะถามคุณว่าคุณรู้วิธีขยายแบบจําลองเวทย์ไหม?”
เมื่ออัลโด้ได้ยินสิ่งนี้เขาก็ไอออกมาอยากรุนแรงจนปอดแทบแตก
ใบหน้าของเขาราวกับมีอาการผิดปกติ นี่เป็นผลมาจากอาการที่ตกใจมากเกินไป “เจ้าคิดอะไรอยู่กัน? การขยายแบบจําลองเวทย์นั้นมีเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญระดับตํานานเป็นต้นไปถึงจะส มารถทําได้ อย่าคิดทําอะไรที่บ้าบินอย่างนั้น หัวของเจ้าจะระเบิดออกมาในทันที”
โรแลนด์ขมวดคิ้ว “ต้องเริ่มจากระดับตํานานอย่างนั้นเหรอ?”
“มีเพียงแค่นักเวทย์ระดับตํานานขึ้นไปถึงจะสามารถสัมผัสถึงประตูแห่งกฏได้” อัลโด้อธิบายออกมา “การขยายและเปลี่ยนแบบจําลองเวทย์นั้นถูกเชื่อมต่อไว้กับกฎกระทั่งเวทม์ระดับศูนย์ก็ตาม”
เป็นอย่างงี้เองสินะ!
“ข้ารู้ว่าบุตรทองคําอย่างพวกเจ้านั้นมีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก ทว่าอย่างพึ่งคิดถึงการขยายแบบจําลองเวทย์ในตอนนี้เลย ในตอนนี้เส้นทางที่ดีที่สุดก็คือการเรียนเวทมนตร์ให้มากขึ้นและ เลื่อนระดับไป”
หลังจากนั้นโรแลนด์ก็ออกจากคฤหาสน์ไป คําพูดของอัลโด้นั้นยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา
อัลโด้นั้นเป็นประธานที่ไม่ได้เรื่อง ทว่าเขานั้นก็เป็นคนดี คําพูดพวกนั้นต่างเป็นคําเตือนที่จริง
โรแลนด์นั้นกลับไปยังหอคอยเวทย์และลองวิเคราะห์คําพูดของอัลโด้ดู
เขานั้นคิดว่าคําพูดของอัลโด้นั้นดูสมเหตุสมผลใช้ได้
ระดับนั้นสําคัญเป็นอย่างมาก เมื่อเขานั้นเลเวลเพิ่มมากขึ้น เขานั้นจะสามารถเรียนรู้เวทย์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
เมื่อคิดเกี่ยวกับมัน เขาก็เข้าไปยังฟอรั่มและไปยังหัวข้อนักเวทย์
เขานั้นต้องการจะเห็นจุดเวทย์ที่น่าสนใจของคนอื่นๆที่คนอื่นอัปโหลดเอาไว้
ท้ายที่สุดเขาก็พบเข้ากับกระทู้ที่ถูกปักหมุดเอาไว้
ปัญหาเล็กน้อยเกี่ยวกับบอลเพลิงนรกที่มีความเสถียรสูง
คนโพสต์นั้นคือผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการรวบรวมข้อมูล โอนีลคนที่เคยช่วยโรแลนด์ในครั้งล่าสุด
เกี่ยวกับเนื้อหาของกระทู้นี้นั้นคือ “บอลเพลิงนรกของโรแลนด์นั้นรวดเร็ว, รุนแรง, ร่ายได้ในทันที และไม่ได้ใช้มานามากนัก…ทว่ามันไม่ถูกต้อง จากที่ NPC นักเวทย์ที่ฉันเคยได้ติดต่อภายในเกม หลังจากเริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขา ฉันก็ค้นพบวิธีที่พวกเขานั้นร่ายบอลเพลิงนรก พวกเขานั้นใช้เวลาร่ายเกือบๆสองวินาที ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะอยู่ระดับแนวหน้าก็ตาม แต่เมื่อนายสามารถเรียนรู้เวทย์บอลเพลิงนรกของโรแลนด์ได้ นายจะสามารถร่ายมันได้ในพริบตา พวกนายเข้าใจไหมว่าหมายความว่ายังไง?
“นี่มันเป็นความแตกต่างระหว่างสัตว์ประหลาดและคนธรรมดา”
“ถ้าเราสามารถร่ายตามแบบจําลองเวทย์ของโรแลนด์ หรือสามารถเรียนรู้มันได้ อัตราความสําเร็จในการร่ายมันจะไม่สูงนักและมันก็จะทําร้ายตัวผู้ร่ายเอง ดังนั้นหลังจากเห็นนักเวทย์คนอื่นๆใช้เวลาถึงสองวิในการร่าย ฉันก็คิดได้ถึงวิธีการหนึ่งโดยอ้างอิงมาจากแบบจําลองเวทย์บอลเพลิงนรกของโรแลนด์ มันจะมีการเชื่อมต่อของจุดเวทย์เพิ่มมากขึ้น ทว่ามันจะเรียบง่ายและสะดวกมากขึ้น ความยากของการร่ายเวทย์จะลดลงถึงหนึ่งระดับ จนเกือบจะง่ายเทียบเท่ากับเวทย์ระดับศูนย์ เวทย์นั้นจะเสถียรขึ้นเป็นอย่างมาก ทว่าจะใช้เวลาร่ายนานขึ้นและมีพลังทําลายลดลง”
“พวกเรานั้นไม่สามารถเรียนแบบสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้ ดังนั้นของเริ่มจากสําเร็จเวทย์บทนี้ก่อน อย่างน้อยก็เพื่อช่วยเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ แล้วค่อยพูดถึงเรื่องที่เหลือในภายหลัง”
“เพิ่มเติม ฉันเห็นด้วยเป็นอย่างมากเกี่ยวกับการจัดค่าสถานะอย่างสมดุลตามวิธีที่โร แลนด์บอก ฉันนั้นได้ลงลบตัวละครแล้วลองเริ่มต้นใหม่แล้ว ตอนนี้บอลเพลิงนรกแบบใหม่ของฉันมีความสําเร็จในการร่ายเกือบจะ 100% แล้ว”
“ท้ายที่สุด ฉันอยากขอแนะนําให้พวกนายทุกคนจําแบบจําลองเวทย์ของโรแลนด์เอาไว้ และ ใช้มันเมื่อพวกเราพร้อมเมื่อตอนที่พวกเรามีเลเวลที่สูงขึ้น”
จากนั้นก็มีหลายคนตอบกลับกระทู้นี้ด้วยอาการที่ยินดีจนต้องร้องไห้ออกมา
“หลังจากเกือบครึ่งปี ในที่สุดนักเวทย์ก็มีประธานคนใหม่เสียที”
“พวกเขาทั้งคู่นั้นต่างเป็นผู้แข็งแกร่ง โรแลนด์นั้นแข็งแกร่งในด้านการจัดสรรและการร่ายเวทย์ที่รุนแรงเป็นอย่างมากในขณะที่ท่านโอนีลนั้นเก่งในด้านการรวบรวมข้อมูล ในตอนนี้พวกเรา นักเวทย์มีผู้นําถึงสองคนแล้ว ขอแสดงความยินดี ขอแสดงความยินดี”
“ฉันลองมาแล้ว แบบจําลองของโอนีลนั้นง่ายมากเลย”
“ถึงแม้ว่าฉันจะใช้เส้นทางการร่ายของโอนีลอยู่ก็เถอะ แต่ฉันชอบพลังทําลายของโรแลนด์มากกว่า มันเป็นพลังโจมตีอย่างรุนแรง”
โรแลนด์เองก็จดจําแบบจําลองเวทย์นี้ไว้จากนั้นก็มอบทิปให้โอนีลร้อยเหรียญ
โรแลนด์นั้นปิดบราวเซอร์ลง หลังจากเก็บแบบจําลองเวทย์มาเล็กน้อย
ในตอนนี้นั้นโรแลนด์และโอนีลต่างก็ไม่มีใครได้รับรู้เลยว่า
ในตอนนี้นั้นผู้เล่นนักเวทย์นั้นถูกแบ่งออกเป็นสองสาย
โดยสายการศึกษานั้นมีผู้นําคือโอนีลโดยในภายหลังจะถูกเรียกว่า นักวิจัยเวทย์
ส่วนฝ่ายอสูรที่นําโดยโรแลนด์นั้นในภายหลังจะถูกเรียกว่า แบทเทิลเมจ
ทั้งสองสายนั้นต่างร่วมมือซึ่งกันและกัน
เขานั้นหันความสนใจกลับมายังภายในเกมอีกครั้ง โรแลนด์นั้นกําลังทําการทดลองเวทย์ ทว่า เขาเห็นวิเวียนเดินหน้าตาตื่นเข้ามา เธอพูดว่า “ท่านรองประธาน นายกของเมืองจอห์นนั้นกลับมาแล้ว”
เมื่อโรแลนด์ได้ยินดังนี้เขาก็เดินออกไปทางหน้าต่างทันที
หอคอยเวทย์นั้นสูงพอที่จะเห็นทั่วทั้งเมือง
ขบวนของคนหลายร้อยนั้นเดินเข้ามาจากทางประตูเมืองอย่างช้าๆ
ขบวนนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองแถวพร้อมเดินหน้าไปอย่างช้าๆ ที่อยู่ด้านหน้าคือนายพลในชุดเกราะสีฟ้าอ่อน
โรแลนด์นั้นไม่สามารถมองเห็นหน้าเขาได้เนื่องจากอยู่ไกลเกินไป ทว่าแม้จะอยู่ในระยะไกลขนาดนี้เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังที่รุนแรงของชายคนนั้น
ตอนที่ 123 : ทดลอง
โรแลนด์นั้นนึกถึงสิ่งที่เขาทําก่อนหน้านี้
เขาดื่มเบียร์ไปนิดหน่อยและทดลองใช้เวทมนตร์ในชีวิตจริง!
เฮ้ยหรือว่านี่มันคือสาเหตุงั้นเหรอ?
ถ้าโรแลนด์บอกคนอื่นว่าก่อนหน้านี้เขานั้นทดลองใช้เวทย์เลยสลบและเลือดกําเดาไหล เขานั้นอาจจะถูกจับให้ไปเป็นกลุ่มผู้ป่วยโรคเด็ก ม.2 เลยก็ได้
แต่ตอนนี้นั้นโรแลนด์รู้สึกมีสัญชาติญาณแปลกๆ
สาเหตุที่เขาหมดสตินั้นต้องมาจากการที่เขาพยายามร่ายเวทย์อย่างแน่นอน เขามั่นใจว่าสิ่งนี้เป็นสาเหตุ
เขารู้สึกคิดอะไรไม่ออก ชัคที่มองดูเขาจากด้านข้างนั้นเองก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออกเช่นกัน
สมมุติฐานนี้ทําให้มุมมองของเขาที่มีต่อโลกผิดเพี้ยนไป หลังจากอยู่ในภาวะที่มึนงง เขาก็พบเข้ากับโทรศัพท์ของเขาบนโต๊ะหัวเตียงและส่งสัญญาณให้เพื่อนทุกคนเงียบลงและเริ่มกดหมายเลข
ในอีกไม่กี่วันให้หลัง เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมา
“พ่อผมไม่กลับไปกินข้าวเที่ยงนะ ชักชวนผมให้ไปดื่มต่อที่ห้องเขา”
“อย่าดื่มมากเกินไปละแล้วรีบกลับมาด้วย”
“ได้ครับ” โรแลนด์ตอบกลับไปด้วยน้ําเสียงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ไม่นานนักสายก็ตัดลง เขานั้นก็กลับมาท่าทีที่ไร้เรี่ยวแรงทันที
“อย่าบอกครอบครัวฉันละ” โรแลนด์นั้นมองไปยังเพื่อนสมัยเด็กของเขาก่อนยิ้มอย่างอ่อนแรง “และลี่หลินเดี๋ยวฉันโอนเงินให้ ฝากซื้อเสื้อผ้าให้หน่อย พวกเสื้อผ้าพวกนี้เปื้อนเลือดหมดแล้ว ฉันกลัวว่าครอบครัวฉันจะเห็นมันถ้าฉันกลับบ้าน”
“ไม่ต้องโอนเงินมาหรอกน่า” ลี่หลินพึมพําออกมาจากนั้นก็ออกไปทันที
เบทต้าก็ถามออกมาว่า “พี่โรแลนด์พี่หิวไหม? ผมจะออกไปซื้อมาให้”
“ไม่ละ เดี๋ยวฉันสั่งโจ๊กหมูเอาก็ได้”
โรแลนด์นั้นทั้งรู้สึกหิวและท้องว่า ในช่วงมหาลัยเมื่อตอนที่เขานั้นยังคงอยู่กับแฟนเก่าและมักกินกันตอนกลางคืน เทียบจากการมีอะไรกันกว่าห้าครั้งในคืนเดียวกันแล้วเขานั้นยังไม่เหนื่อยเท่าตอนนี้เลยด้วยซ้ํา
บราซิล, ราฟเฟิล, และฮัสเซอเร็ต เมื่อเห็นว่าโรแลนด์ไม่มีอะไรผิดปกติจริงๆ ดังนั้นพวกเขาขอตัวกลับก่อน
ชัคและเบทต้านั้นยืนอยู่ด้านหลัง และตั้งใจที่จะอยู่ดูแลโรแลนด์เพราะพวกเขานั้นเป็นพวกที่ว่างมากที่สุดในบรรดาคนทั้งหมด
หลังจากนั้นไม่นานโจ๊กก็มาถึง เมื่อกินเสร็จเขาก็ล้มตัวลงนอนพร้อมคุยกับชคและเบทต้าสักพักก่อนจะค่อยๆหลับไป
ชัคให้เบทต้านั้นกลับบ้านไปก่อน ส่วนเขานั้นจะอยู่ดูแลโรแลนด์ต่อ
เมื่อถึงตอนเย็นโรแลนด์ก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
หมอเข้ามาเพื่อตรวจสอบร่างกายของเขา เมื่อผมว่าเขานั้นไม่มีอะไรผิดปกติและอนุญาติให้เขากลับบ้านได้
จากนั้นชัคก็ส่งกระเป๋าให้โรแลนด์ “นี่เป็นเสื้อผ้าที่ลี่หลินซื้อมาให้ เขานั้นมีธุระบางอย่างเลยขอตัวกลับก่อน มันน่าจะพอดีตัวนายนะ”
เสื้อผ้าสไตล์เรียบๆซึ่งเข้ากับรสนิยมของโรแลนด์
หลังจากเขาเปลี่ยนชุดในห้องแต่งตัว โรแลนด์และชัคก็ออกจากโรงพยาบาลไป
ในทางกลับบ้านชัคนั้นก็พูดออกมาว่า “หากนายยังรู้สึกไม่สบาย นายก็พูดออกมาได้เลยนะ อย่าปล่อยให้พวกเรากังวลมากนัก”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ใช่พวกที่ซ่อนอาการป่วยของตัวเองหรอกน่า”
พวกเขาทั้งสองนั้นแยกกันตรงถนนโรแลนด์นั้นตรงกลับไปยังบ้าน และหลีกเลี่ยงพ่อแม่ของเขาแล้วรีบขึ้นไปบนห้องทันที หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้ว เขาก็ลงมายังห้องนั่งเล่นทันที
หลังจากคุยกับครอบครัวตอนเวลาอาหารเย็น พ่อของโรแลนด์ก็ถามออกมาว่า “ลูกวันนี้พ่อได้ดูข่าวแล้วมันบอกว่าความรู้และความสามารถภายในโลกเสมือนจริงนั้นสามารถนําออกมาใช้ในโลกจริงได้ นั่นเป็นเกมที่ลูกเล่นอยู่ใช่ไหม?”
โรแลนด์พยักหน้า เขาคิดว่าพ่ออาจจะเห็นข่าวที่โด่งดังในวันนี้
“ถ้าเป็นอย่างนั้นต่อให้ลูกไม่ได้เงินแต่ลูกก็ควรเล่นมันต่อให้นานอีกสักหน่อย” พ่อของโรแลนด์กล่าวออกมาช้าๆ
โรแลนด์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผมยังมีเงินอยู่ เงินในธนาคารของผมตอนนี้เกินห้าแสนหยวนไปแล้ว”
พ่อแม่ของโรแลนด์หันมามองหน้ากัน พึ่งผ่านไปไม่นานเองนะ? ดูเหมือนลูกชายของพวกเขาจะหาวิธีหาเงินให้ได้หนึ่งล้านภายในสองปีได้แล้ว
มันยากที่พวกเขานั้นจะแสดงอารมณ์ออกมา ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะค่อนข้างมีความสุขที่ลูกชายของพวกเขาหาเงินได้ ทว่าคนรุ่นเก่านั้นมักจะคิดเสมอว่าการเล่นเกมมากเกินไปนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
ในใจของพวกเขา พวกเขานั้นหวังว่าลูกชายของพวกเขานั้นจะทําไม่สําเร็จและจะได้ไปสอบราชการและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและมั่นคง
บางอย่างเช่นการเล่นเกมเพื่อหาเงินนั้น ในมุมมองของพวกเขา สิ่งนี้นั้นเป็นเรื่องเพ้อฝัน
ไม่ว่าจะสามารถหาเงินได้มากเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่มั่นคงอยู่ดี
พวกเขานั้นไม่สามารถหาเหตุผลเพื่อหยุดไม่ให้ลูกชายพัฒนาไปทางด้านนี้
นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมเขานั้นถึงไม่มีความสุขถึงแม้ว่าจะได้ยินว่าโรแลนด์นั้นหาเงินได้มาเป็นจํานวนมาก
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ โรแลนด์ก็กลับไปที่ห้องของเขาพร้อมนอนลงบนเตียง
เขานั้นไม่มีอารมณ์ที่จะสํารวจฟอรั่มในตอนนี้ เขากําลังคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
เขานั้นหมดสติไปเนื่องจากการร่ายเวทย์
นั่นเป็นเพียงแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น นั่นมันหมายความว่าเขาสามารถใช้เวทมนตร์ได้ในชีวิตจริงงั้นเหรอ
ทําไมเขาถึงหมดสติกัน?
พลังเวทย์ตีกลับงั้นเหรอ?
หรือเพราะว่ามันไม่มีองค์ประกอบเวทย์ในโลกใบนี้ ดังนั้นจึงไม่สามารถร่ายเวทย์ได้?
หรือเป็นเพราะทั้งสองสาเหตุกัน?
แบบจําลองเวทย์ของบอลเพลิงนรกผุดเข้ามาในหัวของโรแลนด์ในตอนเช้านั้นเขาพยายามที่จะร่ายบอลเพลิงนรกเพื่อแกล้งเพื่อนเขา แต่ท้ายที่สุดเขาก็หมดสติไป
บอลเพลิงนรกนั้นเป็นเวทย์ระดับหนึ่ง ถ้าหากเขาหมดสติลงเพราะมัน แล้วมันจะเป็นยังไง หากเขาลองเวทย์ระดับศูนย์?
หัวใจของโรแลนด์นั้นเต้นรัวมาก ความตื่นเต้นที่จะได้ทดลองสิ่งที่เขาไม่เคยทดลองมาก่อนก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
เวทย์ระดับศูนย์ไม่น่าจะใช้พลังจิตมากนัก เขานั้นคงได้รับผลกระทบจากเวทมนตร์ตีกลับเพียงเล็กน้อย
ลองดูดีไหม?
แล้วจะเป็นยังไงถ้าเขาเลือดกําเดาไหลอีกรอบ?
ลองดูดีไหม?
ฉันน่าจะทําให้พ่อกังวลหากมันเป็นแบบนั้นอีกครั้ง
ลองดูดีไหมเนี่ย?
เขานั้นคิดไปคิดมาระหว่างสองความคิดนี้
โรแลนด์นั่งลงท่าทางของเขานั้นดูหวาดกลัวและลังเล
ในท้ายที่สุดเขาก็ยกแขนขวาขึ้นมา
ในความคิดของเขานั้นเขาลองที่จะร่ายบอลแสงออกมา
เอาว่ะ!
เขาดีดนิ้วเบาๆ
ดูเหมือนมีละอองแสงจางๆอยู่ในอากาศ ทว่ามันก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
โรแลนด์นั้นเอามือลง ท่าทางของเขานั้นดูเสียใจนิดๆ จากนั้นความเจ็บปวดจํานวนมากก็เกิดขึ้นที่หัวของเขา
ความเจ็บปวดนั้นมาอย่างกระทันหันและรุนแรงมาก ราวกับมีเข็มจิ้มเข้าไปที่ระหว่างคิ้วพร้อมพุ่งเข้าไปยังสมองของเขาและตรงเข้าไปยังกระดูกสันหลังจนสุด
ความเจ็บปวดนั้นราวกับว่ามีเข็มเคลื่อนตัวผ่านหลอดเลือดของเขา
มันราวกับถูกต่อยไปที่ระบบประสาท
โรแลนด์นั้นจับขอบเตียงแน่น เส้นเลือดบริเวณหน้าผากผุดขึ้นมาทีละเส้น ใบหน้าของเขาแดงไปด้วยความเจ็บปวด เหงื่อเม็ดโตราวกับเมล็ดถั่วเหลืองกลิ้งลงมายังบนหน้าผากของเขา
แม้งโคตรรเจ็บ ความเจ็บปวดนี้กินเวลาต่อเนื่องสิบนาทีก่อนที่มันจะเริ่มจางหายไป
โรแลนด์เอนตัวนอนลงบนเตียงพร้อมหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
ถึงแม้ว่าเขาจะร่ายเวทย์ไม่สําเร็จ ทว่าเขาเข้าใจได้สิ่งหนึ่งว่า…เขานั้นสามารถร่ายเวทย์ในชีวิตจริงได้ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่เจ็บปวดขนาดนี้
ส่วนเหตุผลง่ายๆที่ว่าทําไมเขาถึงร่ายเวทย์ผิดพลาดนั่นก็เพราะ
เขานั้นไม่มีพลังเวทย์!
หรือจะบอกให้ถูกก็คือโลกนี้ไม่มีพลังเวทย์
พลังจิตนั้นเป็นเพียงแค่ตัวเร่งปฏิกิริยาเท่านั้น องค์ประกอบเวทมนตร์ต่างหากที่เป็นรากที่หล่อหลอมเวทมนตร์ขึ้นมา
เขานั้นพักอยู่ที่เตียงต่อสักพักหนึ่ง เมื่อเขาเริ่มดีขึ้นแล้ว เขานั้นก็เริ่มทําความสะอาดตัวเอง และเมื่อถึงเวลาสี่ทุ่มเขาก็เข้าเกมไปในทันที
หลังจากเขาเข้าเกมเขาก็รู้สึกได้ถึงองค์ประกอบเวทย์ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศทันที
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทําไมทุกครั้งที่เขากลับไปยังโลกจริง เขาถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไปในอากาศ
องค์ประกอบเวทย์นั้นมันหายไป
ตอนที่ 122 : อุบัติเหตุ
ภายในไลฟ์สตรีมเงียบลงเมื่อเห็นข้อความนั้น จากนั้นก็ตามด้วยสติ๊กเกอร์ยิ้มเยาะมากมาย
ราวกับว่ามันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ
โรแลนด์นั้นมองไปจํานวนของชาวเน็ตในไลฟ์สตรีมและในไม่ช้าจํานวนก็เข้ามาเกินห้าหมื่นแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีชาวเน็ตเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ
ส่วนใหญ่นั้นน่าจะเป็นผู้เล่นจากเกมของโลกแห่งฟาลานผสมเข้ากับพวกชาวเน็ตที่อยู่ในโลกจริง
นี่เป็นการไลฟ์สตรีมครั้งแรกของโรแลนด์ ทว่าเขาก็ไม่ได้อึดอัด
เขานั้นเคยยืนอยู่หน้าโพเดี้ยมของโรงเรียนมาก่อนมันน่าเจ็บปวดกว่านี้มาก ยืนอยู่เหนือกกว่าและมองลงมาในกลุ่มก้อนศรีษะดําๆของคนกว่าสองพันสามพันคน เขานั้นรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจํานวนมาก ในทางกลับกันไลฟ์สตรีมนั้นดีกว่ามาก พวกเขานั้นเป็นแค่ตัวเลขเท่านั้น มันไม่ได้รู้สึกกดดันเลยแม้แต่น้อย
เมื่อมีคนเข้ามามากขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ภายในห้องสนทนาก็เต็มไปด้วยข้อความ โรแลนด์นั้นดูท่าทางสบายๆและไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลยแม้แต่น้อย เขานั้นกระแอมเล็กน้อยพร้อมพูดว่า “นี่เป็นการไลฟ์สตรีมครั้งแรกของฉันและอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ฉันอยากจะมาอธิบายทุกคนเกี่ยวกับการแปลภาษาข้ามโลก”
เมื่อพูดจบ โรแลนด์ก็หยุดและสังเกตุว่าไม่มีใครพูดคุยกันในห้องแชทอีกต่อไป จากนั้นเขาก็มองไปยังคนที่อยู่ในไลฟ์สตรีมซึ่งมันกําลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และสัญญาณการถ่ายทอดสดยังคงทํางานอยู่
นั่นหมายความว่า….ทางทีมผู้พัฒนาเกมได้ปิดการสื่อสารในช่องแชท
หลังจากเงียบไปหลายวิโรแลนด์ก็พูดต่อว่า “ฉันนั้นทําการทดลองเรียบร้อยแล้วภายในเกม ฉันนั้นสามารถอ่านภาษาได้เกือบทุกภาษาบนโลกหลังจากใช้ความสามารถทางภาษา ทว่าสําหรับภาษาอียิปส์ในยุคสมัยฟาโรห์นั้นเป็นข้อยกเว้น สิ่งที่ฉันเห็นคือมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอ่านได้! ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าทําไมเช่นกัน!
ทันใดนั้นเอง ชาวเน็ตที่มีชื่อ ID ว่า “ข้าคือราชันแห่งขุนเขา” ก็ส่งข้อความเข้ามาซึ่งเห็นได้ชัดเป็นอย่างมากเนื่องจากเขานั้นเป็นคนเดียวที่สามารถพิมพ์เข้ามาได้
“คุณลองพิสูจน์ให้ดูสักหน่อยได้ไหม?”
ตอนนี้นั้นเกือบทุกคนนั้นไม่สามารถพิมพ์ได้ ทว่า “ข้าคือราชันแห่งขุนเขา” นั้นสามารถพิมพ์ได้ หมอนี่น่าจะเป็นหนึ่งในคนที่หม่าฮัวจุนส่งมาเพื่อช่วยเขา
“แน่นอน”
โรแลนด์พูดพร้อมดีดนิ้ว แสงสีขาวนวลก็ปรากฏขึ้นรอบเขาพร้อมหายไป
“มาเริ่มกันเถอะ”
สําหรับชาวเน็ตทั่วไป ข่าวจากวงการบันเทิงนั้นมักจะขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เสมอ
ทว่าวันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น
ข่าวด่วน เขานั้นสามารถแปลภาษาทั่วโลกแบบนี้ได้จริงๆ
ชายหนุ่มอายุต่ำกว่าสามสิบปีสามารถทําให้นักภาษาศาสตร์ทั่วโลกนั้นต้องอับอาย
ศักดิ์ศรีของคนรุ่นใหม่ ถ้าคุณไม่แชร์มันแปลว่าคุณไม่ใช่คนจีน
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถอ่านภาษาอียิปต์โบราณได้ ทว่าคนทั่วไปจะสามารถทําอย่างนี้ได้เหรอ?
พาดหัวข่าวที่ดูคล้ายๆกันต่างโผล่ออกมาให้ชาวเน็ตเห็นผ่านทางโลกออนไลน์
หากมีเพียงแค่สํานักพิมพ์เพียงหนึ่งหรือสองสํานักพิมพ์เล่นข่าวนี้มันก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก ทว่าสื่อเกือบทั้งหมดในตอนนี้นั้นเล่นข่าวเดียวกันทั้งหมด แม้ว่าสื่อส่วนตัวก็ไม่เว้น
สามารถพูดได้ว่าถึงแม้จะมีคนที่ไม่สนใจข่าวนี้ทว่าพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยเมื่อเห็นการพาดหัวข่าวของสื่อออนไลน์พวกนี้
คนเกือบร้อยล้านคนต่างเปิดเข้าลิงค์ข่าวในเวลาเดียวกัน
ในวีดีโอดูเหมือนเป็นเหมือนจะเป็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่แต่งกายคล้ายพวกชอบคอสเพลย์ดีดนิ้วของเขาขึ้นมา จากนั้นแสงสว่างก็อาบไปทั่วทั้งร่างของเขา
“เวลาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว”
เวลาเริ่มต้นอะไรกัน? คนกว่าร้อยล้านคนนั้นต่างสงสัยไปในทิศทางเดียวกัน
จากนั้นชายหนุ่มก็เริ่มแสดงออกมาในทันที ไม่ว่าภาษาอะไรจะปรากฏขึ้นเขานั้นก็สามารถแปลมันได้อย่างแม่นยํา
ขนาดภาษาของเผ่าพันธุ์ที่ล่มสลายไปแล้วเขานั้นยังสามารถตอบออกมาได้อย่างแม่นยํา
ยิ่งพวกเขาดูวีดีโอนี้มากเท่าไหร่ ท่าทางของพวกเขาก็ยิ่งประหลาดมากยิ่งขึ้น และพวกเขาก็อ้าปากค้างมากยิ่งขึ้น
บางคนนั้นไม่เชื่อมั่นและถึงขั้นรีพอร์ตวีดีโอ นี่ก็แค่การแสดง
“การแสดงพ่อแกสิ ขนาด CCAV ยังออกมาโพสต์วีดีโอนี้เลย”
บางคนนั้นรีบออกมาตอบโต้ในทันที
ถ้าหากมันเป็นสื่ออื่นมันก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นข่าวปลอมแต่ CCAV นั้นไม่ใช่ สื่อนี้นั้นมักจะเสนอข่าวแค่บางข่าวเท่านั้น แต่ตราบใดที่มันรายงานข่าวออกมา มันจะเป็นเรื่องจริงเสมอ
ชายหนุ่มคนนี้สามารถแปลภาษามากมายขนาดนั้นได้ยังไง?
เขาทําได้ยังไงกัน หรือว่าเขานั้นเป็นอัจฉริยะ?
ด้วยความคิดนั้นเหล่านั้น หลายคนนั้นต่างหาต้นสายปลายเหตุจากทางอินเทอร์เน็ต และพวกเขาก็พบว่ามันเกี่ยวข้องกับแคปซูลเสมือนจริงและมันก็ได้รับความสนใจจากคนจํานวนมากอีกครั้ง
โรแลนด์ตะกายออกจากแคปซูลเสมือนจริงและหลังจากเขาไปอาบน้ำ เขาก็ได้รับสายเรียกเข้าจากชัค
“เฮ้ ซุปเปอร์สตาร์สนใจมาคุยกับพวกเราไหม?”
“ตอนนี้ฉันกําลังหงุดหงิดอยู่อย่าพึ่งมากวนตีนฉัน” โรแลนด์พูดอย่างเซ็งๆ “ฉันจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้หละ”
“โอเค ฉันรออยู่ที่เดิมนะ”
โรแลนด์นั้นโทรหาฉีเฉาชูพร้อมบอกว่าเขานั้นจะไม่ไปฝึกดาบในวันนี้ จากนั้นเขาก็ขี่จักรยานสาธารณะไปยังบาร์
วันนี้นั้นเป็นวันเสาร์และคนอื่นๆนั้นต่างก็ไม่ได้ไปทํางานหลังจากโรแลนด์มาถึง บราซิล, ลี่หลิน และคนอื่นๆก็ตามมาในเวลาไม่นาน
เมื่อพวกเขามาถึง พวกเขานั้นก็หัวเราะและล้อเลียนเขาว่านั้นเป็นซุปเปอร์สตาร์
โรแลนด์ค่อนข้างรําคาญอยู่ไม่น้อย ทว่าเขาก็ไม่ได้หงุดหงิดนัก การฟังพวกเพื่อนสนิทหยอกล้อมันทําให้เขายิ้มออกมาได้หน่อย
“ตอนนี้นายดังมากๆ”
พวกเขานั้นดื่มเบียร์และกินโหยวเตี๋ยวและมันนึ่งเพื่อเป็นอาหารเช้า
ลี่หลินนั้นเป็นคนที่ซื้อมันหวานนึ่งนี่มาระหว่างทางที่มาที่นี่ มีเพียงแค่คนรวยในรุ่นที่สองอย่างเขาเท่านั้นถึงจะกล้าขับรถสปอร์ตเพื่อซื้อมันหวาน
ลี่หลินพูดต่อด้วยความอิจฉาว่า “ถ้านายเปิดเผยตัวจริงออกไป บางทีนายอาจจะได้เป็นดาราดังเลยก็ได้”
“ฉันจะไม่เปิดเผยตัวจริงหรอกนะ” โรแลนด์เคี้ยวโหยวเตี๋ยวพร้อมพูดออกมาอย่างช้าๆ “มันไม่มีประโยชน์ที่จะกลายเป็นคนดังงทางอินเทอร์เน็ต มันไม่จําเป็นเลยแม้แต่น้อย”
ลี่หลินยักไหล่ด้วยความเสียใจเล็กๆ “ตราบใดเท่าที่นายมีความสุข ฉันแค่รู้สึกเสียดายนิดหน่อย เพราะตอนนี้นายนั้นดังมากแล้ว”
“ที่ดังมันตัวละครภายในเกมของฉันต่างหาก ไม่ใช่ตัวฉันสักหน่อย” โรแลนด์นั่งตัวตรงพร้อมและถอนหายใจ “นอกจากนี้นี่มันไม่ใช่ความสามารถเฉพาะตัวของฉันสักหน่อย เมื่อไหร่ที่มีคนสามารถเรียนความสามารถทางภาษา พวกเขานั้นก็สามารถกลายเป็นนักแปลได้ และในเวลาเดียวกัน มันก็จะมีคู่แข่งออกมา มันไม่จําเป็นต้องเสียเวลากับเรื่องพวกนั้นเลย มันน่าจะดีกว่าที่คอยเล่นเกมต่อไปเรื่อยๆพร้อมหาเวทย์บทใหม่ๆ พวกเรานั้นเริ่มเป็นแนวหน้าของเกมแล้ว พวกเราควรทํามันต่อไปเรื่อยๆ”
ลี่หลินพยักกหน้า “เหตุผลดีใช้ได้”
“เออใช่พูดถึงความสามารถทางภาษา” ชัคขัดขึ้นมา “เมื่อวานตอนนายไลฟ์สตรีม ฉันเองก็ลองเปิดวีดีโอจากประเทศอื่นๆเพื่อของดูว่าพวกเขานั้นพูดอะไรกันโดยใช้ความสามารถทางภาษาและมันไม่ได้ผล.ฉันไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าชาวต่างชาติพวกนั้นพูดถึงอะไรภายในวีดีโอ”
อะไรนะ? โรแลนด์นั้นตกใจเล็กน้อย
ในตอนนั้นเบทต้าก็พูดขึ้นมาเช่นกันว่า “ผมก็ลองเช่นกันครับ แต่มันก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน”
“แต่ฉันเข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดได้ชัดเจนเลยนะ”
โรแลนด์นั้นรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย พวกเขาทั้งหมดต่างก็สามารถใช้ความสามารถทางภาษาได้เช่นเดียวกัน แล้วทําไมโรแลนด์ถึงทําได้และพวกเขาถึงทําไม่ได้?
ชัคคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “หรือเป็นเพราะความสามารถทางภาษาที่ฉันและเบทต้าใช้อยู่ได้รับมาจากระบบ ดังนั้นพวกเราเลยไม่รู้เกี่ยวกับแบบจําลองเวทย์หรือจุดเวทย์ใดๆเลย? ทําให้มันนั้นไม่ใช่ความสามารถของพวกเราอย่างแท้จริง ดังนั้นมันเลยเป็นไปได้แค่ความสามารถในเกม แต่สําหรับนายที่เป็นนักเวทย์เวทย์จะถูกร่ายออกมาก็ต่อเมื่อนายเข้าใจแบบจําลองเวทย์นั้นและรวมถึงช่องทางการเดินพลังเวทย์ด้วย บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลล่ะมั้ง?”
ใช่เลย เป็นไปได้เลย
“ถ้าหากสมมุติฐานนี้ถูกต้อง นั่นไม่ใช่ว่าเวทย์ภายในโลกแห่งเกมนั้นสามารถใช้ในโลกจริงได้เหรอครับ?” เบทต้าพูดออกมาอย่างซื่อๆ
ทุกคนนั้นต่างตกตะลึงไปในทันที จากนั้นพวกเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถใช้เวทมนตร์ได้ในชีวิตจริง
ลี่หลินหัวเราะออกจากนั้นเขาก็ถือขวดเบียร์ขึ้นมาและจิบมันพร้อมกล่าวออกมาว่า “ทําไมไม่ลองละ? ทําให้เบทต้าทิ้งความคิดไปตลอดกาล เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะใช้เวทมนตร์ในโลกจริง”
โรแลนด์นั้นเมาเรียบร้อยแล้วหลังจากดื่มเบียร์ไปสามขวด เขานั้นไม่ได้ดื่มเก่งมากนัก เขานั้นมักจะดื่มเพียงแค่ขวดหรือสองขวดเมื่อเขาอยู่กับเพื่อน
ในปัจจุบันเขาเริ่มมึนๆนิดๆ และหลังจากฟังสิ่งที่ลี่หลินพูด เขาก็หัวเราะออกมาด้วยความงุนงงพร้อมพูดว่า “เอาสิ”
จากนั้นเขาก็ยื่นนิ้วออกมาด้วยสัญชาติญาณจากนั้นก็นึกไปถึงแบบจําลองเวทย์ และดีดนิ้วออกมาเบาๆ
เสียงดีดนิ้วนั้นดังไปทั่วห้อง ทว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พวกเพื่อนขี้เมาบางคนของเขาหัวเราะออกมาเสียงดัง ขณะที่เบทต้าถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าๆ
ทว่าทันใดนั้นชัคก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็สังเกตุเห็นถึงสิ่งที่ผิดปกติกับโรแลนด์
ในตอนนั้นโรแลนด์นั้นยังคงปกติอยู่ ใบหน้าของเขาเริ่มซีดและเลือดก็เริ่มไหลออกมาจากรูจมูกของเขา
ก่อนที่ชัคจะทันได้รู้สึกตัว โรแลนด์ก็ล้มลงไปพร้อมกับเก้าอี้ไปเรียบร้อยแล้ว
พวกเขานั้นมองไปที่โรแลนด์ที่กําลังนอนอยู่บนพื้น และสังเกตุเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากจมูกทั้งสองข้างของเขา
พวกเขาหลายคนต่างตกใจขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
“เชี่ย!”
“ช่วยหมอนี่เร็ว”
“อย่าจับตัวเขา โทรเรียก 120 ก่อน”
“เอาทิชชูยัดจมูกเขาให้เลือดหยุดไหลก่อน”
“เกิดไรขึ้น หมอนี่ยังดูปกติมาตลอดนี่”
สถานการณ์นั้นวุ่นวายเป็นอย่างมาก
เมื่อโรแลนด์ตื่นขึ้นมามันก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว
หลังจากเขาลืมตาขึ้นเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยกล่าวว่า “เฮ้ในที่สุดนายก็ตื่นเสียที พวกเรากลัวว่านายจะตายไปแล้วซะอีก”
โรแลนด์นั้นหันหน้าไปและเจอเข้ากับเบทต้าและเพื่อนสนิทของเขาที่อยู่ข้างเตียง
เขานั้นมองไปรอบๆอย่างงุนงง กลิ่นของยาฆ่าเชื้อนั้นอบอวลอยู่ในจมูกของเขา ที่นี่มันโรงพยาบาล
โรแลนด์หันไปหาชัค “ฉันจําได้ว่ากําลังดื่มอยู่ แล้วไหงถึงมาจบลงที่นี่กัน?”
“นายหมดสติไปก่อน เลือดออกเกือบจะเต็มขวดน้ำแร่อยู่แล้ว” ลี่หลินกล่าวออกมาด้วยท่าทีสยดสยอง “พวกเราคิดว่าน่าจะมีอะไรร้ายแรงเลยโทรเรียก 120 ให้พานายมาที่นี่ หมอเช็คอาการนายอย่างละเอียดแล้วแต่ไม่พบถึงสิ่งที่ผิดปกติ หมอพูดว่านายแค่หลับไปเท่านั้น เนื่องจากอาการเหนื่อยล้า”
หลับลึกนั่นเป็นไปไม่ได้! เมื่อวานนี้เขายังเล่นเกมอยู่เลย ร่างกายของเขาพักผ่อนอย่างเต็มที่ภายใต้แคปซูลเสมือนจริง
ชัคก็เสริมไปว่า “หมอตรวจไม่พบอะไรเลย ดังนั้นไม่น่าจะร้ายแรงมาก โรแลนด์นายรู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่า?”
“เหนื่อยนิดหน่อย อ่อนแรง แล้วก็หิวมากด้วย” โรแลนด์นั่งลงและมองไปที่ชุดของเขาซึ่งเต็มไปด้วยรอยเลือด “นี่ฉันแค่เลือดกําเดาไหลจริงๆเหรอ?”
จนกระทั่งตอนนี้เขานั้นยังคิดว่าเพราะเขานั้นอาจจะดื่มมากเกินไปจนหมดสติแล้วเพื่อนแค่แกล้งเขาเท่านั้น
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แบบนั้น
“มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่?”
ตอนที่ 121 : ตัดสินใจ
นายกของเมืองเดลพอน จอห์นคนพ่อนั้นมีตําแหน่งเป็นเพียงแค่เอิร์ลด้วยอํานาจทําให้เขาสามารถสร้างและรวบรวมทหารได้เป็นจํานวนมาก และสถานะของเขาก็สูงขึ้นเรื่อยๆนั่นทําให้จอห์นคนลูกนั้นเป็นคนที่ประสบความสําเร็จและมีสถานะทางสังคมที่สูงมาก
บุตรชายนั้นต้องรับช่วงต่อจากพ่อเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าจอห์นนั้นจะอยู่ที่เมืองหลวง เขานั้นก็เป็นประเภทที่ว่าโดดเด่นและช่างพูด ขนาดราชวงศ์ที่ไร้อํานาจบางคนยังต้องพูดกับเขาอย่างสุภาพด้วยซ้ํา
ทว่าบุตรทองคําทั้งสี่ที่อยู่ตรงข้ามกับเขานั้นกลับไม่มีใครให้ความเคารพเขาสักคน
เขานั้นรู้สึกโกรธ ทว่าก็ไม่กล้าแสดงท่าที่โกรธเคืองออกมา
พ่อของเขานั้นนําทหารเกือบทั้งหมดไปด้วย และตอนนี้ก็มีกองกําลังติดอาวุธในเมืองเดลพอนนี้น้อยเกินกว่าที่จะจัดการกับบุตรทองคําทั้งสี่นี้
และปัญหาก็คือ ถึงแม้ว่าจะมีทหารจํานวนมาก พวกเขานั้นจะรับมือกับพวกที่เป็นอมตะอย่างไรดี?
เขาถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้อีกครั้ง “ตระกูลจอห์นของพวกข้าไม่สามารถมีส่วนร่วมได้จริงๆงั้นเหรอ?”
ฮอร์กส่ายหัวออกมา เขานั้นใช้เวลาเกือบเดือนและเงินจํานวมมากในการสรางองค์ก รด้วยแนวคิดจากปัจจุบันทําไมเขาถึงต้องยอมให้คนอื่นมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากงานของเขาด้วย?
“งั้นเองสินะ” เมื่อมองไปยังสายตาที่แน่วแน่ของฮอร์ก จอห์นก็ละความสนใจไป จากนั้นเขาก็พูดว่า “มาพูดเรื่องที่สองกันเถอะ”
ทั้งสี่มองไปยังเขา
จอห์นนั้นเอนตัวไปกับเก้าอี้พร้อมพูดว่า “ถ้าหากพวกเจ้าทั้งสี่ตกลงที่จะเข้าร่วมอยู่ภายใต้ตระกูลจอห์นข้านั้นจะมอบตําแหน่งอัศวินและจะมอบยศถึงขุนนางให้พวกเจ้า”
ทั้งสี่มองหน้ากันมีความประหลาดใจในดวงตาของพวกเขา
พวกเขานั้นอยู่ในเกมนี้มากว่าครึ่งปีแล้ว และพวกเขานั้นรู้ดีถึงระบบปฏิบัติของที่นี่
อาทิเช่น ความต่างในสถานะถึงขุนนาง
กิ่งขุนนางนั้นเป็นตําแหน่งที่ได้มาโดยพ่อค้าที่ยอมบริจาคเหรียญทองจํานวนที่เรียกว่าแทบเป็นไปไม่ได้เพื่อให้ได้รับมันมา ลูกหลานของพ่อค้าเหล่านั้นจะอยู่ในสถานะกึ่งขุนนาง
ทว่ากึ่งขุนนางที่เป็นอัศวินนั้นต่างกัน นี่เป็นตําแหน่งขุนนางที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ ไม่ว่าใครก็ สามารถเลื่อนขั้นได้หากมีผลงานเพียงพอ
ยิ่งไปกว่านั้นถึงขุนนางที่เป็นอัศวินนั้นสามารถได้รับที่ดินเล็กๆเป็นของตนเองได้ทั้งยังสามารถฝึกกองกําลังส่วนตัวได้
ในอีกนัยหนึ่งกิ่งขุนนางที่เป็นอัศวินนั้นเรียกว่าก้าวเท้าข้างหนึ่งไปเป็นขุนนางเรียบร้อยแล้ว
มีเพียงขุนนางที่มีตําแหน่งเอิร์ลหรือสูงกว่านั้นขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถแต่งตั้งอัศวินได้และสิทธิ์ของพวกเขาก็มีจํากัด
อย่างไรก็ตามอัศวินแต่ละคนนั้นต่างได้รับที่ดินมาจากเจ้านายของตัวเอง นั่นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะแต่งตั้งตําแหน่งบ่อยนัก
ในตอนนี้เมื่อจอห์นเอ่ยปากออกมาว่าจะให้สิทธิ์กับพวกเขาทั้งสี่นั่นถือเป็นความใจกว้างอย่างแท้จริง
สิ่งที่โรแลนด์และคนอื่นๆประหลาดใจไม่ใช่ว่าเพราะพวกเขานั้นคิดว่าได้รับข้อเสนอที่ ดีขนาดนี้จริงๆข้อเสนอของจอห์นก็ค่อนข้างใจกว้าง ตัวจอห์นเองนั้นก็มีศักดิ์เป็นถึงทายาทผู้ครองเมืองนี้ข้อเสนอนั้นน่าดึงดูดเป็นอย่างมาก
หากเป็นผู้เชี่ยวชาญธรรมดาพวกเขานั้นต้องคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกล่าวว่าจอห์นนั้นคือเจ้านายของเขาอย่างแน่นอน น่าเสียดายที่พวกบุตรทองคํานั้นล้วนแล้วแต่หยิ่งยโสพวกเขานั้นยังคงไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
โรแลนด์พูดออกมาอย่างจริงใจว่า “ขอโทษด้วย พวกเรานั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะหาเจ้านายของพวกเราในตอนนี้”
อีกสามคนก็ยิ้มตอบรับ
จอห์นสังเกตุเห็นถึงท่าทางที่แน่วแน่ของโรแลนด์ ถึงแม้ว่าเขาจะหงุดหงิด แต่เขาก็ยัง คงยิ้มออกมาอย่างสุภาพ “ลืมมันไปเถอะ เริ่มทานอาหารกันเถอะ”
จากนั้นเขาก็ปรบมือ กลุ่มนักดนตรีเริ่มออกมาและบรรเลงเลงช้าในโทนอ่อนหวาน
บรรยากาศนั้นดีเป็นอย่างมาก แต่จอห์นก็รู้ดีว่าตัวเขานั้นหงุดหงิดใจเพียงใด
สองชั่วโมงต่อมาโรแลนด์และพวกเพื่อนๆของเขาก็ออกมาจากปราสาท
“พวกเราปฏิเสธจอห์น” ฮอร์กพูดขึ้นขณะเดิน “ดังนั้นเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขาน่าจะเข้าร่วมกับขุนนางกลุ่มอื่นๆเพื่อกดดันพวกเรา ระวังตัวด้วย”
“เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขานั้นไม่กล้าใช้กําลังทางทหาร และแผนการง่ายๆก็ไม่ได้ผลแล้วพวกเราทุกคนควรระวังตัวก็จริงแต่ไม่จําเป็นต้องกังวลมากนัก พวกเรานั้นสามารถเริ่มใหม่ได้เสมอมันไม่สําคัญว่าพวกเราจะพลาดกี่ครั้งก็ตาม ต่างจากเขา – ที่หากพลาดเพียงครั้งเดียวก็จบ”
อีกสามคนหัวเราะออกมา
เมื่อถึงทางแยกพวกเขาทั้งสี่ก็แยกจากกัน โรแลนด์นั้นกําลังกลับไปยังหอคอยเวทย์ ทันใดนั้นเขาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบเข้ามารัวๆ ดูเหมือนสมาชิกในกิลด์สักคนทักเขามา
เขาเปิดหน้าระบบแชทกิลด์และพบว่าเป็นชัคนั่นเองที่ส่งข้อความหาเขา
“มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นแล้ว ลองเข้าไปดูในฟอรั่มสิ”
ข้อความนี้ถูกส่งออกมาหลายสิบครั้ง
โรแลนด์ตอบกลับไปว่า “เข้าใจแล้ว” จากนั้นเขาก็เบิดฟอรั่มขึ้นมา โดยในหมวดหมู่ห้องสนทนาทั่วไปเขานั้นพบกระทู้มากมายที่เกี่ยวข้องกับเขา ในระบบการแจ้งเตือนภายในฟอรั่มมีผู้คนนับไม่ถ้วน @ เขาเข้ามา
เขานั้นคลิกเข้าไปยังกระทู้ยอดนิยมและพบว่ามันเป็นข้อความของเขาที่ว่าด้วยเรื่อง “การ แปลภาษาข้ามโลก” มันถูกสกรีนช็อตมาเป็นรูปภาพและถูกโพสต์ลงบนโลกออนไลน์หลากหลายช่องทางรวมถึงเว่ยป๋อ
โดยธรรมชาติแล้ว โลกแห่งฟาลานนั้นอยู่ภายใต้ความสนใจของภาครัฐอยู่แล้ว
ด้วยโลกเสมือนจริงที่มีอัตราส่วนเวลาเป็น 1:3 นั่นเทียบเท่าได้กับว่ามีชีวิตขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง
หลังจากการเปิดตัวระบบในการรับชมเว็บไซค์ต่างๆภายในเกมได้ มันก็มีมือดีพยายามปั่นกระแสเกี่ยวกับ “การศึกษาผ่านโลกออนไลน์” ขึ้นมาภายในแคปซูลเสมือนจริงและมันก็ทําได้สําเร็จนั่นทําให้ราคาของแคปซูลเสมือนจริงจากหนึ่งล้านหยวนพุ่งขึ้นสูงถึงสี่ล้านหยวนแล้วในตอนนี้
ในตอนนี้ความสามารถทางภาษาของโรแลนด์เองก็สามารถใช้มันกับโลกจริงได้ นั่นทําให้พวกผู้ปกครองทั้งหลายที่ต้องการผลักดันให้ลูกตัวเองประสบความสําเร็จกลายเป็นว่าคลังเป็นที่แน่น อนแล้วว่าราคาของแคปซูลเสมือนจริงคงเพิ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว
ในตอนนี้มีกลุ่มชาวเน็ตที่ไม่ใช่พวกคอเกมต่างมาตามดราม่าเรื่องนี้กัน หรือบางคนถึงขนาดบังคับให้โรแลนด์ออกมาอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้
มีคนเข้ามาร่วมเกี่ยวกับประเด็นนี้มากขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนทําให้เซิร์ฟเวอร์ของฟอรั่มนั้นทํางานจนถึงขีดสุด
เมื่อเห็นกองทัพชาวเน็ตเหล่านี้ โรแลนด์นั้นก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยพบกับสถานการณ์เช่นนี้
เมื่อเขากําลังประสบกับความยากลําบาก จู่ๆก็มีแสงสีน้ําเงินและประตูเวทย์ก็ปรากฏออกมา จากทางด้วนซ้ายมือของเขา
โรแลนด์นั้นถอยหลังโดยสัญชาติญานทันที ผู้คนที่อยู่รอบข้างเขาต่างถอยหนีออกไปให้ไกลที่สุด
จากนั้นเด็กหนุ่มก็ปรากฏตัวออกมาจากประตูเวทย์สีน้ําเงิน เขานั้นสวมชุดกราวน์สีขาวทําให้รู้สึกเหมือนกับว่าเขานั้นเป็นหมอหรือพวกนักวิทยาศาสตร์
ผู้เล่นงั้นเหรอ? โรแลนด์ตกใจไปชั่วขณะ เมื่อเห็นประตูเวทย์ที่อยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม “การเคลื่อนย้ายระยะไกล ยอดเยี่ยมจริงๆ?”
เขานั้นคิดมาตลอดว่าเขานั้นเป็นนักเวทย์ที่มีเลเวลสูงมากที่สุดในหมู่นักเวทย์ด้วยกัน ทว่าเขานั้นไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะมีใครที่ยอดเยี่ยมไปกว่าเขากระทั่งสามารถร่ายเวทย์เคลื่อนย้ายได้ด้วยซ้ํา
“ฉันหม่าฮัวจุน” ชายหนุ่มหัวเราะออกมาพร้อมพูดว่า “ไปที่เงียบๆใกล้ๆนี้แล้วมานั่งคุยกันเถอะ ๆ
หะ? GM งั้นเหรอ! ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะมีความสามารถในการเคลื่อนย้ายระยะไกล
พวกเขานั้นเดินไปตามขอบถนนไปและไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่ เอนตัวไปกับต้นไม้ หม่าฮัวจุนพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “นายนี่มันตัวสร้างปัญหาจริงๆ สิ่งที่นายสร้างมันแทบน่าเหลือเชื่อมาก”
โรแลนด์ยักไหลออกมาอย่างหมดอะไรตายอยาก ไม่ใช่ว่าเขาต้องการอย่างนี้สักหน่อย
เมื่อมองไปยังท่าทีที่ดูเขินอายเล็กน้อยของโรแลนด์ หม่าฮัวจุนก็พูดต่อว่า “อย่ากังวลไปนัก เลย ฉันแค่ล้อเล่นเท่านั้น พวกเรานั้นคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่เกมเปิดตัวแล้ว ฉันมาที่นี่เพื่อบอกนายว่าไม่ว่านายจะตัดสินใจอย่างไรก็ตามพวกเราจะให้การสนับสนุนนายถ้าหากนายต้อง การที่จะปิดบังมันพวกเราก็จะช่วยปิดบัง ถ้าหากนายต้องการเปิดเผยมันพวกเราก็จะช่วยมันเช่นกัน”
หม่าฮัวจุนนั้นดูค่อนข้างหล่อเหลา แม้ว่าจะไม่เท่าชัค ทว่าก็ไม่ต่างกันมากนัก
ยิ่งไปกว่านั้นโรแลนด์ก็รู้สึกได้ถึงพลังจิตอันแข็งแกร่งแผ่ออกมาจากตัวของหม่าฮัวจุน
นี่เป็นเพราะว่าเขาเป็น GM งั้นเหรอ เขาถึงสามารถจัดแจงความสามารถของตัวเองได้?
โรแลนด์มองไปทางเขาอย่างเงียบๆในชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นเขาก็ถามออกมาว่า “ประเทศนี้เข้ามามีส่วนรวมกับเกมนี้แล้วงั้นเหรอ?”
“ก็เป็นธรรมดา ไม่อย่างนั้นเพนกวินคอโปเรชั่นของพวกเราคงถูกกลืนกินไปด้วยเงินเรียบร้อยแล้ว” หม่าฮัวจุนพูดอย่างสบายๆ “พวกเรานั้นแค่ปล่อยเกมออกมาภายใต้นามของเพนกวินคอโปเรชั่นเท่านั้น”
โรแลนด์มองไปทางเขาพร้อมถามต่อว่า “แต่ชื่อของคุณนั้นเหมือนกับประธานคนปัจจุบันของเพนกวินคอโปเรชั่นมาก คุณเป็นญาติของเขางั้นเหรอ?”
“ก็แค่ญาติห่างๆ” หม่าฮัวจุนมองไปทางโรแลนด์พร้อมกล่าวว่า “ตอนนี้ก็ตัดสินใจซพ นายต้องการจะซ่อนตัวต่อไปแล้วเล่นเกมอย่างสงบสุข หรือว่านายต้องการเปิดเผยมันออกไปและให้ประเทศได้รับประโยชน์จากมันไปบางส่วน?”
“ปล่อยให้ประเทศได้ประโยชน์?” โรแลนด์ถามอย่างสงสัย “ประเทศจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ยังไง?”
“แน่นอนว่ามันได้รับแน่” หม่าฮัวจุนอธิบายออกมา “การเปิดตัวของเกมเสมือนจริงนั้น ทําให้เกิดคลื่นมากมายกับประเทศของเราเรียบร้อยแล้วและถ้าหากเรื่องที่ว่านายสามารถแปลภาษาได้จากทั่วโลกถูกเปิดเผยออกไปละก็มันจะช่วยให้ประเทศของพวกเรามีอํานาจต่อรองเพิ่มมากขึ้น นี่ถือเป็นการโฆษณาว่าเทคโนโลยีของพวกเรานั้นดีขนาดไหน”
โรแลนด์หลับตาและเริ่มคิดถึงข้อดีและข้อเสีย
หม่าฮัวจุนนั้นไม่ได้เร่งรีบให้เขาตัดสินใจ เขานั้นเพียงรออย่างเงียบๆ
หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที โรแลนด์ก็พูดออกไปว่า “ผมขอเลือกที่จะเปิดเผยมัน ทว่าผมขอถามอีกสิ่งหนึ่งทําไมผมถึงไม่สามารถอ่านภาษาอียิปต์โบราณในยุคสมัยฟาโรห์ได้?”
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” หม่าฮัวจุนตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูหยอกเย้า “บางที่นายควร จะลองไปอ่านพวกหนังสือเกี่ยวกับยุคสมัยของฟาโรห์ดูบ้างนะเอาเถอะถ้างั้นฉันขอตัวก่อน ในเมื่อนายตัดสินใจแล้วพวกเราจะพยายามให้มากที่สุดเพื่อช่วยเหลือพวกนาย และนายก็ไปพักได้แล้วพวกเรานั้นได้เตรียมการป้องกันสูงสุดเพื่อรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของนายไว้แล้ว ดังนั้นไม่ต้องกังวลไปว่าพวกกลุ่มชาวเน็ตหรือพวกสปายจะค้นหาตัวนายจากอินเทอร์เน็ตได้”
หม่าฮัวจุนโบมือให้กับโรแลนด์จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปยังประตูสีน้ําเงินและหายไปในทันที
โรแลนด์นั้นยืนอยู่กับที่พักหนึ่งก่อนมุ่งหน้ากลับไปยังหอคอเวทย์
เมื่อเขาเข้าไปยังห้องวิจัยของเขาแล้ว เขาก็สั่งวิเวียนไว้ว่า “ห้ามใครรบกวนเขาเด็ดขาด”
จากนั้นเขาก็ขังตัวเองอยู่ในห้องวิจัย
เขานั่งลงบนเก้าอี้นุ่ม โรแลนด์สูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เปิดเว็บไซค์สําหรับไลฟ์สตรีมจากนั้นก็เปิดเกมฟอรั่มขึ้นมา จากนั้นก็ตั้งกระทู้ว่า
เกี่ยวกับความสามารถทางภาษา
ในกระทู้นั้นโรแลนด์นั้นยืนยันว่ามันสามารถใช้งานกับภาษาต่างๆในหลากหลายประเทศได้จริง ในขณะเดียวกันเขาก็กล่าวไว้ว่าจะไลฟ์สตรีมเพื่อพูดคุยกับชาวเน็ตและตอบบางคําถามและในท้ายที่สุดของโพสต์ เขาก็โพสต์หมายเลขห้องออกมา
หลังจากบิดฟอรั่ม เขานั้นก็เปิดไลฟ์สตรีมขึ้นมาและเชื่อมต่อเข้ากับ ID เกมของเขา
ก่อนที่การสตรีมจะเริ่มขึ้นพวกกลุ่มชาวเน็ตต่างก็เข้ามากันเสียแล้ว
“คนแรก ฉันเป็นคนแรกที่เข้ามา”
“ฉันจะรออยู่ตรงนี้เพื่อดูว่านักเวทย์ที่ยิ่งใหญ่เป็นยังไง การที่สามารถแปลตัวอักษรในโลกจริงได้นั้นค่อนข้างน่าประหลาดใจ
“นั้นมันเป็นไปไม่ได้ นี่มันก็แค่โฆษณาชวนเชื่อของพวกคนจีนเท่านั้น มันก็แค่มายากลที่หลอกลวงคนทั้งโลก”
ชาวเน็ตที่มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษส่งข้อความเข้ามา
ตอนที่ 120 : ปัญหาเริ่มก่อตัว
หลังจากผ่านไปพักหนึ่งโรแลนด์ก็ได้สติกลับมา
เขานั้นเปิดไปยังเว็บไซค์ของประเทศอื่นและพบว่าไม่ว่าจะเป็นภาษาของประเทศอะไรก็ตามเขานั้นสามารถอ่านมันได้
ทว่าเมื่อเขาพบเข้ากับตัวอักษรโบราณต่างๆ เขาก็ได้รับรู้ถึงความวุ่นวายและยากที่จะอ่านมัน
โรแลนด์เรียกสติของตัวเองคืนมาก่อนจะนั่งเอนตัวพิงเก้าอี้ เขานั้นตัดสินใจที่จะไม่เปิดเผยความจริงในเรื่องที่ว่าเขานั้นสามารถแปลภาษาในโลกจริงได้ เขานั้นจินตนาการได้เลยว่าหากเขาเปิดเผยมันไป เขานั้นต้องพบกับเรื่องวุ่นวายแน่นอน
ในตอนนี้นั้นเขาเป็นเพียงแค่คนเดียวที่สามารถทําเช่นนี้ได้ เขานั้นต้องการเก็บมันไว้เป็นความลับให้นานที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นการตอบกลับ
“โลแลนด์นายสามารถแปลภาษาผ่านฟอรัมภายในเกมได้? นั่นหมายความว่านายสามารถแปลภาษาทั้งหมดที่อยู่ภายในฟอรั่มได้ใช่ไหม”
“ว้าว นักเรียนหน้าชั้นดูเหมือนนะจะพบสิ่งใหม่อีกแล้วสินะ”
“ตรรกะนี้น่าจะเป็นไปได้ โรแลนด์ ออกมาพูดหรือลองอ่านเว็บไซค์ในภาษาอื่นหน่อย”
เชี่ย โรแลนด์รู้สึกปวดหัว กลุ่มชาวเน็ตโง่พวกนี้ฉลาดขึ้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เป็นความฉลาดที่ไม่ธรรมดาเลยสําหรับพวกที่น่าจะเป็นเพียงพวกโง่
เขานั้นถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะปิดฟอรั่มลง จากนั้นความสนใจของเขาก็กลับมายังโลกแห่งเกม
วิเวียนพาเด็กสองคนขึ้นมาหาเขา เมื่อเห็นท่าทางของเขา วิเวียนก็ถามออกมา “ท่านรองเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอคะ?”
“ไม่มีอะไร แค่เรื่องส่วนตัวนิดหน่อยน่ะ”
โอ้! วิเวียนไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมไปอีก เธอนั้นดันเด็กทั้งสองไปด้านหน้าพร้อมกล่าวว่า “ทั้งสองคนนี้คือเคนดิสและแนนซี่ พวกเขาทั้งคู่นั้นต่างไม่รู้หนังสือ”
โรแลนด์นั้นมีนงงไปชั่วขณะ เขานั้นมองไปยังเด็กที่ผอมแห้งทั้งสอง เขานั้นคิดว่าทั้งคู่จะเป็นเด็กผู้ชายเสียอีกทว่าเขาคาดไม่ถึงเลยว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นผู้หญิง
“ถ้างั้นก็สอนพวกเขาอ่านและเขียนซะ ในฐานะนักเวทย์นั้นการไม่รู้หนังสือนั้นไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้” โรแลนด์คิดครู่หนึ่งพร้อมพูดต่อว่า “ตามกฎเธอนั้นสามารถเก็บเงินค่าสอนหนังสือได้ เธอจะได้รับสองเหรียญทองเพิ่มเติมหลังจากนี้”
“รับทราบค่ะ” วิเวียนหรี่ตาลงพร้อมรอยยิ้ม สําหรับเธอสองเหรียญทองนั้นถือเป็นเงินจํานวนมาก
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอพาพวกเขาออกไปก่อน” วิเวียนถามต่อว่า “ท่านต้องการรับประทานอะไรหรือไม่ท่านรอง?หรือมีสิ่งใดที่ท่านอยากทานหรือไม่?”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้”
วิเวียนตอบรับก่อนพาทั้งสองออกไป
เขามองไปยังท้องฟ้าด้านนอกและออกไปยังคฤหาสน์ของจอห์น
ฮอร์ก, ลิงค์ และเจ็ทนั้นรออยู่หน้าประตูแล้ว
“โทษที่ดูเหมือนฉันจะช้าที่สุดนะ” โรแลนด์พูดขณะเดินอยู่
อีกสามคนส่ายหัวออกมา ฮอร์กพูดว่า “ไม่เป็นไรฉันก็พึ่งมาถึงไม่กี่นาทีก่อน”
ทั้งสามที่อยู่ตรงข้ามเขานั้นล้วนแต่งตัวเหมือนสามัญชนในโลกนี้ ทว่าเพราะออร่าของพวกเขาที่ต่างจากคนทั่วไป พวกเขานั้นเลยดูแปลกเล็กน้อย มันเหมือนกับว่าพวกเขานั้นพร้อมอย่างมากที่จะมีเรื่อง
หลังจากร่ําเรียนมากว่าสิบปี และมีประสบการณ์เล่นเกมมามากมาย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไร้ซึ่งเงินและอํานาย แต่พวกเขานั้นก็มีศักดิ์ศรีของตัวเองอยู่
ยิ่งกว่านั้นพวกเขาทั้งสี่ล้วนเป็นผู้เล่นชั้นยอด
พวกเขาสี่คนถูกพาเข้าคฤหาสน์ไปโดยทหาร
ในสถานที่อย่างปราสาทนั้น กองกําลังในการป้องกันนั้นถือว่าสําคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยรอบนั้นมีเพียงหินอยู่ทุกที่ไม่มีอะไรน่าดูชมนัก
พ่อบ้านปรากฏตัวขึ้นพร้อมต้อนรับพวกเขาพร้อมพาพวกเขาไปยังห้องโถงหลักในชั้นแรก
โต๊ะยาวนั้นเต็มไปด้วยอาหารชั้นเลิศและขวดไวน์
จอห์นนั้นนั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะ เมื่อเขาเห็นทั้งสี่เขาก็ยืนขึ้นพร้อมพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ข้าจะสามารถเชิญพวกเจ้าทั้งสี่มาได้”
ก่อนหน้าจอห์นก็เชิญพวกเขาทั้งหมดเช่นกันทว่าไม่มีใครที่มาเลยแม้แต่คนเดียว
หลังจากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าพวกบุตรทองคํานั้นต่างก็เป็นพวกที่มีความคิดเป็นของตัวเองและเหมือนจะมองทะลุแผนของเขาออก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเชิญทั้งสี่อีกครั้ง
และในท้ายที่สุดพวกเขาทั้งสี่ก็มาเสียที
ช่างแน่นแฟ้นกันเสียจริง
หากเพียงขุนนางแน่นแฟ้นได้แบบนี้ จอห์นส่ายหัวเล็กน้อย นั่นเป็นไปไม่ได้
พวกเขาทั้งสี่หาเก้าอี้ของตนพร้อมนั่งลง โรแลนด์กล่าวว่า “ก่อนหน้าทุกคนต่างมีเรื่องสําคัญที่ต้องจัดการ ดังนั้นพวกเราเลยไม่สามารถตอบรับคําเชิญของคุณได้”
อีกสามคนพยักหน้าทันที ก่อนที่เขาจะเข้ามาพวกเขานเนตกลงกันแล้วว่าจะให้โรแลนด์เป็นคนรับมือกับเจ้าขุนนางนี้
อย่างไรก็ตามจอห์นนั้นเป็นคนที่ได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดี เขานั้นมองครั้งเดียวก็รู้แล้วว่าเขานั้นต้องทิ้งหนึ่งในแผนการของเขาลง เขานั้นเก็บความหงุดหงิดไว้ในใจก่อนยิ้มออกมา “ทุกคนเริ่มจากทานอาหารและเครื่องดื่มกันเถอะ ในเมื่อนี่คืองานเลี้ยง พวกเจ้าสามารถกินและดื่มได้ตามสบาย”
ทั้งสี่นั้นไม่ขยับ
โรแลนด์พูดออกมาว่า “ท่านจอห์น บุตรทองคําเกือบทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนตรงๆ ในเมื่อคุณเชิญเรามาที่นี่ ทําไมไม่พูดถึงเกี่ยวกับเรื่องหลักกันล่ะ? หากพวกเราสามารถยอมรับมันได้พวกเราจะได้พูดคุยกันอย่างระมัดระวัง และหากพวกเราไม่สามารถยอมรับมันได้พวกเราก็จะทําเพียงแค่จากไป ไม่เช่นนั้นพวกเราคงไม่มีอารมณ์ที่จะรับประทานอาหาร”
จอห์นรู้สึกถึงอาการปวดหัว เขานั้นหวังว่าจะชนะพวกเขาด้วยอาหารที่โอ่อ่าพวกนี้ โดยทั่วไปหลายคนนั้นมัก “หลุดความลับ” ออกมาเมื่อเมา เมื่อเป็นอย่างนั้นมันก็จะง่ายขึ้นมากในด้านการล้วงข้อมูล มันเป็นกลยุทธ์ธรรมดาของเหล่าขุนนาง
ทว่าเขาไม่ได้คิดเลยแม้แต่น้อยว่าพวกบุตรทองคําจะไม่ตกหลุมพรางนี้
จอห์นรู้สึกกดดันเล็กน้อยเมื่อเห็นทั้งสี่จ้องมาทางเขา เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนกล่าวออกมาว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าต้องพูดความจริงสินะ มีสองสิ่งที่ข้าเชิญพวกเจ้ามายังที่นี่”
ทั้งสี่มองเขาอย่างเงียบๆ
“ข้านั้นสงสัยไว้ตระกูลของข้านั้นจะมีส่วนร่วมกับองค์กรของมิสเตอร์ฮอร์กและมิสเตอร์ลิงค์หรือไม่?”
อย่างที่คิดไว้เลย.ฮอร์กและลิงค์มองหน้ากัน
โรแลนด์กล่าวไปว่า “ฉันคิดว่ามันจําเป็นในดินแดนแห่งนี้ทุกองค์กรล้วนเกี่ยวข้องกับคุณพวกเขานั้นต่างก็ต้องเสียภาษีให้กับตระกูลของคุณ คุณแค่เรียกเก็บภาษีไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?”
ฮอร์กและลิงค์นั้นต้องการจะสร้างท่าและบริษัทตกปลา จากนั้นพวกเขาก็จะปล่อยพื้นที่ให้เช่า
เดลพอนนั้นเป็นเมืองใหญ่หลากหลายคนต่างเดินทางด้วยทะเล ทันทีที่มันสําเร็จพวกเขาจะได้รับเงินมหาศาลในแต่ละเดือน
และยิ่งไปกว่านั้นพื้นที่พิเศษยังเหมาะสําหรับการรวบรวมข้อมูล มันเป็นสถานที่สําคัญ เป็นธรรมดาที่ฮอร์กและกิลด์ปีสีเงินต่างจะต้องการที่จะครอบครองมัน
หากนายกของเมืองต้องการมีส่วนร่วมพวกเขานั้นต้องมีอุปสรรคในการดําเนินงานอย่างแน่นอนและทุกอย่างจะไร้ความหมาย
ดังนั้นโรแลนด์จึงรู้สึกว่าการจ่ายภาษีเพิ่มมันไม่ใช่ปัญหาอะไร
จอห์นมองไปยังโรแลนด์ก่อนที่จะมองยังฮอร์ก “ข้าไม่คิดเลยว่ามิสเตอร์โรแลนด์จะ เป็นหนึ่งในหัวหน้าของท่าเรือนั้นด้วย?”
คําพูดพวกนั้นพูดออกมาเพื่อให้พวกเขาไม่ลงรอยกัน
แต่เห็นได้ชัดว่าฮอร์กไม่ตกหลุมพรางของคําพูดนั้น เขายิ้มและพูดว่า “ฉันค่อนข้างโง่ ฉันไม่รู้วิเจรจามากนัก ดังนั้นเป็นธรรมดาที่ฉันต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ
อีกสามคนหัวเราะออกมาเบาๆ
อารมณ์ของจอห์นยิ่งมืดมนมากยิ่งขึ้น พวกบุตรทองคําพวกนี้เจ้าเล่ห์เกินกว่าที่จะตกหลุมพรางของเขา
บุตรทองคําสองคนก็เพียงพอที่จะล้มตระกูลขุนนางได้แล้ว ตอนนี้มีนักเวทย์มาอีกถึงสองคคนจอห์นนั้นไม่กล้ามีท่าที่โกรธเคืองต่อหน้าพวกเขา
น่าอึดอัดเป็นอย่างมาก จอห์นไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
ตอนที่ 119 : ฉันไม่รู้ว่าควรแสดงท่าทียังไงดี
“ไม่ล่ะ”
โรแลนด์พูดอย่างเฉยชา “แค่เรียนดาบฉันก็เหนื่อยพออยู่แล้ว ฉันจะหาเวลาเรียนเต๋าของการหมุนเวียนพลังชีวิตได้อีกเหรอ?”
ฉีเฉาชูกรอกตา “นายไม่ต้องจ่ายเพิ่มหรอกน่า”
“นั่นยิ่งเป็นเหตุผลว่าทําไมฉันถึงไม่ควรเรียนมัน ไม่มีของดีมาจากของถูกหรอกนะ” โรแลนด์ยิ้ม
“ช่างมันละกัน” ฉีเฉาชุ่ยกนิ้วกลางของเขาขึ้นมาด้วยท่าที่หงุดหงิด
โรแลนด์ถามต่ออย่างสงสัยว่า “นายรุ้งั้นเหรอว่าทําไมจินเหวินเหวินถึงไล่จับฉัน?”
“มันเดาได้ง่ายมาก” ฉีเฉาชูพูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “จู่ๆนายก็มีจิตสังหารขึ้นมา หากว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ผิดกฎหมายซะก็บางที่นายอาจจะฆ่าใครสักคนภายในเกมเสมือนจริงก็ได้ตามข่าวลือที่เขาว่ากันมา
โรแลนด์ประหลาดใจเล็กน้อย “นายรู้จักเกมนั้นด้วยงั้นเหรอ?”
“มันแพร่ไปทั่ววงการศิลปะการต่อสู้” ฉีเฉาชูถอนหายใจออกมาพร้อมพูดว่า “มีศิษย์นอกนิกายของภูเขาอู่ตั้ง (1) นั้นกําลังมีความสุขเป็นอย่างมากในตอนนี้ ภายในเกมเขานั้นกําลังฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง , สะสมค่าประสบการณ์เป็นจํานวนมาก และเพิ่มความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เพียงแค่ไม่กี่เดือนความแข็งแกร่งของเขานั้นก็เทียบได้กับการฝึกฝนมาหลายปี ตอนนี้พวกเราทุกคนนั้นต่างต้องการแคปซูลเสมือนจริงเพื่อพัฒนาตัวเองในอนาคต แต่ว่า…”
เป็นอย่างนั้นเองสินะ
ไม่แปลกใจที่จินเหวินเหวินนั้นถึงต้องการมันเป็นอย่างมาก เธอต้องการที่จะฝึกต่อสู้จริงๆงั้นเหรอ?
เป็นธรรมดาที่เขาจะคิดเช่นนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นเทคนิคดาบหรือศิลปะการต่อสู้ดั้งเดิมต่างๆนั้น ก็ไม่ได้สร้างมาด้วยวัตถุประสงค์เพื่อใช้ฆ่าฟันกัน
ในตอนนี้นั้นมันมีทั้งกฎหมาย มีสังคมที่สงบสุข มันไม่จําเป็นต้องมีนักรบอีกต่อไป หากไม่มีการต่อสู้จริงๆเกิดขึ้นมา ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นเป็นธรรมดาที่จะต้องด้อยกว่าพวกบรรพบุรุษ
“มันไม่เป็นไรหรอกหากนายไม่ต้องการจะเรียนเต๋ของการหมุนเวียนพลังชีวิต” ฉีเฉาชุ่มองเข้าไปในดวงตาของโรแลนด์ “ยังไงในอนาคตนายก็จะได้ฝึกฝนเพลงดาบเป็นจํานวนมากอยู่ดี ฝึกเหมียวเต๋าอย่างเดียวก็ไม่เป็นไรหรอก”
“นายไม่อิจฉารึไง?”
สีหน้าของฉีเฉาชูกลายเป็นปลาตายอีกครั้ง “ทําไมต้องอิจฉาด้วย โอกาสของแต่ละคนนั้นล้วนต่างกัน ตระกูลฉีของพวกเรานั้นไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้น ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่มาที่ซินเชียงหรอก แค่เรียนเพลงดาบจากพวกเราไปและไม่ทําร้ายผู้อื่น หรือฆ่าฟันรบร้าง ไม่ว่าความสําเร็จของพวกเขานั้นจะมากขนาดไหน พวกเราก็ไม่ได้รับส่วนแบ่งความสําเร็จพวกนั้นเสียหน่อยใช่ไหม?”
โรแลนด์นั้นไม่สามารถเหตุผลมาโต้แย้งมันได้
วันนี้นั้นเขาใช้เวลาทั้งอยู่ภายในสโมสรดาบและออกไปกินข้าวกลางวันข้างนอก เขานั้นใช้เวลาทั้งวันในการฝึกดาบก่อนที่เขาจะกลับบ้านไปในที่สุด
ในตอนกลางดึก โรแลนด์อาบน้ําและเข้าสู่เกม
เนื่องจากการทดลองเวทมนตร์อย่างต่อเนื่อง ทําให้มานาของเขาว่างเปล่าไปในที่สุด เขานั้นทําได้เพียงค่นั่งในห้องวิจัยเพื่อให้ผนึกพลังแห่งโรแลนด์ฟื้นฟูมานาของเขาจนเต็ม
ในเมื่อไม่มีอะไรทําเขานั้นจึงเลือกที่จะเข้าไปในฟอรั่ม
เขานั้นเปิดฟอรั่มขึ้นมา และพบเข้ากับกระทู้ปักหมุด
เริ่มจากพี่น้องโม่เจีย (2)
มันเป็นแนวความคิดที่ว่าในเมื่อมีใครสักคนต้องการสร้างปัญหาภายในเกม พวกเขานั้นจะไปหยุดกลุ่มที่สร้างปัญหานั่น นี่มันเป็นแค่เกมที่มีต้นแบบมาจากโลกเท่านั้น หากพวกเขานั้นต้องการรับประสบการณ์เกี่ยวกับระบบสังคมปัจจุบันขนาดนั้น ก็แค่อยู่ในโลกจริงไปเท่านั้นเอง ทําไมถึงต้องสร้างโลกอีกใบขึ้นมาภายในเกมด้วย ไม่ใช่ว่ามันไร้ความหมายหรอกเหรอ?
ส่วนโพสต์อีกอันหนึ่งชื่อว่า “พวกผู้เล่นนักสํารวจ รวมตัวกันเร็ว”
นี่เป็นผู้เล่นรายหนึ่งที่คล้ายกับเบทต้าที่พบเข้ากับอาชีพลับ นักสํารวจโลก โดยมันเป็นอาชีพที่ผสมระหว่างการใช้ชีวิตและการต่อสู้ พรสวรรค์ของพวกเขานั้นคือการที่สามารถเรียนภาษาได้อย่างรวดเร็ว , กระเพาะเหล็ก และต้านทานความหิวโหย และยังมีพรสวรรค์อื่นๆอีกมาก ทว่าเกือบทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่การสนับสนุนเท่านั้น มีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นที่สามารถใช้ปกป้องพวกเขาในการต่อสู้ได้
ด้วยเหตุนี้แม้ว่าพวกเขานั้นจะมีความสามารถมากพอในการปกป้องตัวเองได้ แต่ก็ยังขาดคุณสมบัติในการป้องกันไป
มันเป็นอาชีพที่ถูกสร้างมาเพื่อนักสํารวจ
การที่สามารถเรียนภาษาได้อย่างรวดเร็วนั้นถือเป็นพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม ทว่าหลังจากโรแลนด์ได้รับการสื่อสารไร้พรมแดนมา พรสวรรค์นั้นก็ถูกลดขั้นไปเป็นเพียงขยะ ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีใครนอกจากโรแลนด์สามารถร่ายการสื่อสารไร้พรมแดนได้ก็ตาม
ในตอนแรกนั้นผู้โพสต์บ่นว่าโรแลนด์นั้นทําให้พรสวรรค์ของเขานั้นกลายเป็นขยะ จากนั้นเขาก็เล่าว่าเขานั้นค้นพบสุสานที่น่าสนใจถึงสี่แห่งและเขาก็พบเข้ากับเบาะแสที่พิเศษเป็นอย่างมาก ในฐานะเด็กคณะโบราณคดีแม้ว่าจะยังเรียนไม่จบ เขานั้นก็ได้รับประสบการณ์ในการเป็นนักสํารวจจํานวนมากผ่านเกมนี้ ความสามารถของเขาในตอนนี้นั้นใกล้จะเหนือกว่าอาจารย์ของเขาแล้วด้วยซ้ํา
จากนั้นกลุ่มผู้เล่นต่างตอบกลับไปว่า “นี่ไม่ใช่นักสํารวจโลกแล้ว นี่มันโจรปล้นสุสานชัดๆ”
ในท้ายที่สุดผู้โพสต์ก ดูโรแลนด์และโพสต์รูปภาพ มันถูกเขียนโดยภาษาโบราณของเอลฟ์ เขานั้นไม่สามารถเข้าใจมันได้ เขานั้นหวังว่าโรแลนด์จะช่วยแปลมันให้ที
เมื่อเห็นรูปภาพ โรแลนด์รีบรายการสื่อสารไร้พรมแดนขึ้นมาทันทีเพื่อแปลภาษาเอลฟ์โบราณ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับหญิงสาวเอลฟ์ที่มีชีวิตที่แสนสุขจากข้อความนี้ หญิงสาวคนนี้นั้นน่าจะเป็นเจ้าของของสุสานแห่งนี้
เป็นไปได้ไหมว่าฮอลเลวิลนั้นเคยเป็นดินแดนของเอลฟ์มาก่อน
หลังจากเขาส่งคําแปล หลังจากนั้นไม่นานนักผู้โพสต์ก็ตอบกลับมา
“จริงๆแล้วฉันคิดว่าครั้งหนึ่งเอลฟ์โบราณนั้นเคยปกครองทั่วทั้งโลกมาก่อน”
จากนั้นผู้เล่นทั้งหลายก็ตอบกลับมา
“เชี่ยนี่เหมือนการค้นพบครั้งใหญ่เลย”
“ทีมพัฒนาจัดเต็มมาก ไม่เพียงแค่ภาษากว่าร้อยภาษาเท่านั้น แต่ยังมีประวัติศาสตร์ที่ถูกซ่อนไว้อีกงั้นเหรอ?”
“สี่ยี่สี่ นายยังคิดว่ามันเป็นแค่เกมอีกงั้นเหรอ?”
“ก็ถ้ามันไม่ใช่เกมแล้วมันจะเป็นอะไรละ อีกโลกหนึ่งงั้นเหรอ?”
“ฉันไม่รู้ ฉันก็ไม่กล้าถาม!”
โรแลนด์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นกลุ่มชาวเน็ตหน้าโง่เริ่มทําตัวโง่ๆกันผ่านฟอรั่มอีกแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงหัวเราะออกมาหนักมาก แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกแปลกไป
มันมีบางอย่างที่สําคัญมากที่สัญชาติญาณของเขาสัมผัสมันได้อย่างคลุมเครือ ทว่าจิตสํานึกของเขานั้นกลับไม่ตอบสนองต่อมัน
มันคืออะไรกันแน่?
ทว่ายิ่งเขาคิดถึงมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้มากเท่านั้น เขานั้นเกาหัวของตัวเองด้วยความสับสน
ทันใดนั้นเองเจ้าของกระทู้ก็ส่งคําตอบกลับเพิ่มเข้ามาอีกอันหนึ่ง
“มันดีต้องดีมากๆแน่ที่ได้รู้ภาษาแบบนั้น หากแค่ฉันสามารถเรียนมันได้นะ โอ้ใช่แล้ว มันมีหนังสืออยู่อีกสองสามเล่มขอรบกวนนายช่วยแปลมันให้หน่อยได้ไหม”
โรแลนด์นั้นกําลังที่จะแปลมัน ทันใดนั้นเขาความคิดหนึ่งก็เข้ามาในหัวของเขาและเกิดเสียงดังขึ้น เป็นสาเหตุให้โรแลนด์ต้องกระโดดออกมาด้วยความเจ็บปวด
“เชี่ย แปลภาษาข้ามโลก!”
เขานั้นเข้าไปภายในฟอรั่มของเกม มีรูปภาพถูกโพสต์ไว้ในฟอรั่ม ซึ่งแน่นอนมันอยู่ในโลกจริง”
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เขาในตอนนี้นั้นอยู่ภายในเกม ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นทว่าเขากลับสามารถเข้าใจข้อความที่อยู่ภายในโลกจริง
หากแนวคิดนี้ถูกเผยแพร่ไปละก็ เขานั้นจะสามารถเข้าใจทุกภาษาในโลกจริงใช่ไหม?
เปลือกตาของโรแลนด์เบิกกว้างขึ้น เขานั้นรีบเปิดยูทูป และตามคาดเขานั้นเข้าใจภาษาพวกนั้น จากนั้นเขาก็ตบเข้าไปที่หน้าผากของตัวเอง เชี่ย ฉันรู้วิธีอ่านภาษาอังกฤษด้วยวิธีนี้เนี่ยนะ?
เขารีบเปลี่ยนเว็บไซค์ไปในทันที
ภาษาเกาหลีเขาสามารถเข้าใจมันได้
ภาษาญี่ปุ่น…เขาสามารถเข้าใจมันได้
ภาษาแคนาดา…เขาสามารถเข้าใจมันได้
ภาษาเยอรมัน…เขาก็สามารถเข้าใจมันได้
เขานั้นไม่ได้ทดสอบมันต่อ ผลลัพธ์มันชัดเจนแล้ว การสื่อสารไร้พรมแดนนั้นสามารถใช้ได้จริง
ใบหน้าของโรแลนด์ไร้ซึ่งสีหน้าใดๆเนื่องจากความจริงมันส่งผลกระทบหนักมากเกินไป เขาไม่รู้ว่าควรแสดงสีหน้าแบบไหนดี
ศิลปะการต่อสู้ของจีนอย่างหนึ่ง
โม่เจีย # แนวความคิดโบราณแบบสุดโต่ง โดยเชื่อว่าโลกนี้มีเพียงหนึ่งเดียว เป็นแนวคิดโบราณของจีนที่เคยสอนมาตั้งแต่สมัย ปี 470 – 391 ก่อนคริสตกาล
หฤโหดโคตรนักเวทย์ (Mage are too Op) ตอนที่ 118 : กลุ่มคนที่ต้องการสร้างคลื่นลูกใหม่
โรแลนด์รู้ดีว่าการตายของคลาอัสนั้นจะส่งผลกระทบอย่างมากในเมืองเดลพอน
ทว่าเขานั้นคิดผิด มันไม่ใช่แค่ผลกระทบทั่วไปเท่านั้น ทว่ามันเป็นกระทบที่ใหญ่มาก ในระดับที่ไม่น่าเชื่อมันดังยิ่งกว่าวีรกรรมของฮอร์กและลิงค์อีก
เหตุผลนั้นง่ายนิดเดียว เพราะคลาอัสนั้นเป็นนักเวทย์ฝึกหัด เขานั้นยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มีโอกาสอีกมากในอนาคตที่จะกลายเป็นนักเวทย์ที่แท้จริง
อย่างที่สองคือคลาอัสนั้นเป็นสมาชิกของหอคอยเวทย์และถูกนับว่าเป็นลูกน้องของโรแลนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออัลโด้เลือกที่จะไม่ดูแลหอคอยเวทย์ด้วยตัวเองอีกต่อไป เขานั้นถือว่าเป็นผู้ดูแลของหอคอย
ยิ่งไปกว่านั้นคลาอัสนั้นยังเป็นคนที่สื่อสารกับคนภายนอกได้ดี ทั้งเขายังถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถ เขาน่าจะเป็นลูกน้องที่โรแลนด์พึงพอใจ
ทว่าทุกคนต่างตื่นตกใจเมื่อโรแลนด์นั้นทําการสังหารคลาอัสด้วยตัวของเขาเอง
เพียงเพราะแค่คลาอัสนั้นฆ่าหญิงชั้นต่ําไปไม่กี่สิบคนเท่านั้น?
ทุกคนนั้นต่างรู้สึกเหมือนกันว่าโรแลนด์นั้นเป็นบ้า
กับคนที่มีโอกาสที่จะกลายเป็นนักเวทย์ มือขวาของเขาถูกแช่แข็งให้กลายเป็นรูปปั้นเพียงเพราะฆ่าพวกผู้หญิงราคาถูกไปไม่กี่สิบคนเท่านั้นงั้นเหรอ นี่มันไร้อารยธรรมเกินไป
ด้วยการกระทําเช่นนี้ทําให้ขุนนางทุกคนต่างรู้สึกหนาวสั่น
พวกเขานั้นเข้าใจได้ถึงความบ้าคลั่งของฮอร์กและลิงค์เพราะถึงอย่างไรคนที่เขาฆ่าทิ้งไปก็ไม่ใช่คนรู้จัก
ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นคนอย่างโรแลนด์จัดการลูกน้องที่ภักดีของเขา
บ้าไปแล้ว!
จอห์นเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เขาตบโต๊ะภายในห้องของเขาดังลั่นพร้อมพูดด้วยท่าทางที่โกรธจนถึงที่สุดว่า “ข้าสงสัยอยู่แล้วเชียวว่าทําไมพวกขอทานพวกนั้นถึงคอยจ้องมองข้ามาจากทางข้างนอกเมื่อหลายเดือนก่อน นี่มันหมายความว่าเจ้านั่นสงสัยข้างั้นเหรอ ไอ้เจ้านั่นดูถูกข้าหรือไงกัน? ข้านั้นเป็นคนที่จะสนใจร่วมหลับนอนกับสาวชาวบ้านที่น่ารังเกียจแบบนั้นหรือไง?”
ตรงหน้าของเขานั้น คือน้องสาวของเขาที่หัวเราะออกมาราวกับเธอกลิ้งตกรถม้า
จอห์นนั้นเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจ เขานั้นไม่ได้ต้องการให้ผู้หญิงที่ควรค่าแก่การปรนนิบัติ เขานั้นต้องงดงาม ทว่าอย่างน้อยเธอต้องเป็นขุนนาง แค่สัมผัสตัวเจ้าพวกชั้นต่ํานั่นเขาก็ราวกับทําให้เกรียติของตระกูลเสื่อมเสียแล้ว
ในที่สุดหญิงสาวก็หยุดหัวเราะลงพร้อมยึดตัวขึ้นพร้อมกล่าวว่า “บุตรทองคํานั้นน่าสนใจเลยทีเดียว พวกเขานั้นไม่ได้ปฏิบัติกับพวกเราเหมือนพวกเราเป็นขุนนาง ข้านั้นเคยเจอกับเบทต้าสองสามครั้ง ข้านั้นรู้สึกแปลกเล็กน้อย ข้านั้นสามารถบอกได้ว่าเขานั้นมีความภาคภูมิใจเป็นของตัวเองอยู่ ว่าเขานั้นกลับสามารถมีช่วงเวลาที่ดีกับสาวชาวบ้านได้ ทว่าเขานั้นกลับกล้าที่จะคุยกับข้า โดยไร้ความหวาดกลัวใดๆ ทั้งยังเคยล้อสไตล์การแต่งตัวของข้าเสียด้วยซ้ํา”
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกันว่าการแต่งตัวของเจ้านั้นดูไม่ดีนัก” จอห์นพูดออกมา “ใครกันที่จะใส่ชุดเดรสสีดํายาวแล้วใส่เสื้อด้านในเป็นสีเขียวอ่อน? มันดูแปลกมาก”
“ตราบใดที่ข้าชอบ มันก็ถือว่าดี ท่านไม่ใช่คนที่ใส่มันเสียหน่อย”
“ทําตามใจเจ้าเถอะ” จอห์นหันไปเผชิญหน้ากับน้องสาวของเขาด้วยท่าทีที่โกรธเคือง “แล้ว เจ้าจะไปเมืองหลวงจริงๆงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว ข้าวางแผนจะไปเยี่ยมตระกูลอริสโตเติลเสียหน่อย เพราะถึงอย่างไรข้ากับจอห์นน่าก็ไม่ได้เจอกันมากว่าครึ่งปีแล้ว”
จอห์นนั้นมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมพูดอย่างสบายๆว่า “มันก็ดีที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกอริสโตเติลไว้ ทักษะการฝึกปีศาจของพวกเขานั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก หากเจ้าสามารถรับความรู้ด้านเวทมนตร์นี้บางส่วนมาจากพวกเขาได้ เจ้าจะสามารถทําเงินได้จากมันเป็นจํานวนมาก
“มันยาก”
“ใช่มันยากมาก” จอห์นถอนหายใจยาว “เบทต้าก็ดูเหมือนจะไปเมืองหลวงเช่นกัน”
“ท่านรู้ได้อย่างไร?” หญิงสาวถามกลับไปโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเธอเห็นพี่ชายเธอจ้องมาทางเธอแบบแปลกๆ เธอก็รีบปิดหน้าของเธอด้วยความเขินอายในทันที
เป็นอย่างนี้เองสินะ!
เชี่ยเอ้ย พวกบุตรทองคําพวกนั้นโคตรน่ารําคาญ นอกจากพวกมันจะแย่งความสนใจไป จากข้าและมองข้าเป็นพวกขอทานที่หิวโหยที่ไม่สามารถเลือกกินได้แล้ว ตอนนี้พวกมันยังแย่งน้องสาวที่น่ารักของข้าไปอีกอย่างงั้นเหรอ
เขานั้นถึงขั้นคิดไปว่าบุตรทองคําที่ชื่อว่าเบทต้าจะมาโผล่ตรงหน้าเขาในอีกครึ่งปีให้หลังพร้อมกับน้องสาวของเขาที่อยู่ภายใต้อ้อมแขนของหมอนั่น ด้วยท่าทีที่กวนใจเจ้านั่นจะพูดออกมาว่า “น้องสาวนายรสชาติเหมือนโดนัทเลย”
เชี่ยเอ้ย ข้าละอยากไปจัดการมันจริงๆ
เมื่อเห็นท่าทางที่แปลกประหลาดบนใบหน้าของพี่ชายเธอ หญิงสาวก็วิ่งออกไปทันทีพร้อมกับมือที่ยังคงกุมใบหน้าอยู่
หลังจากถอนหายใจ จอห์นก็เรียกพ่อบ้านออกมาพร้อมกล่าวว่า “เตรียมบัตรเชิญสี่ ใบให้ข้าและมอบมันให้บุตรทองคําทั้งสี่ภายในเมืองนี้ เจ้าต้องพูดกับพวกเขาอย่างสุภาพ บอกพวกเขาไปว่าข้านั้นต้องการให้พวกเขามาเป็นแขกในคฤหาสน์ของข้าในคืนนี้ นี่เป็นงานเลี้ยงแบบส่วนตัว นอกเหนือจากพวกเราทั้งห้าจะไม่มีใครอื่นอีก พวกเราจะพูดคุยกันถึงเรื่องความปลอดภัยใน เมืองเดลพอน”
พ่อบ้านนั่นก้มหัวน้อมรับและรีบออกไปในทันที
ในขณะนั้นเองทางโรแลนด์ที่กําลังค้นหาและเข้าไปในฟอรั่ม เขานั้นอัปโหลดวีดีโอเกี่ยวกับเด็กสาวที่หายตัวไปในตอนเมื่อวานนี้ ซึ่งนั่นทําให้มันวุ่นวายพอสมควร”
และในตอนนี้เขานั้นกําลังอ่านโพสต์ของผู้เล่นรายหนึ่งที่ชื่อว่าคาร์ละ
“มาเปลี่ยนโลกที่เน่าเหม็นและล้าหลังนี่กันเถอะ”
โดยใจความของมันคือการให้ผู้เล่นรวมตัวกันและอาณาเขตที่ไม่มีผู้ครอบครอง พร้อมรวบรวมทาสจากที่ต่างๆเพื่อสร้างเป็นประเทศเล็กๆขึ้นมา พวกเขานั้นสามารถใช้ระบบของสังคมสมัยใหม่ โดยทําการยกเลิกระบบทาสและระบบชนชั้นสูงลง แนวคิดเรื่องความเท่าเทียมควรถูกกระจายออกไป
กระทู้นี้เป็นกระทู้ยอดนิยม และถึงขั้นถูกปักหมุดไว้โดยผู้ดูแลระบบ
เหล่าผู้เล่นภายในกระทู้นี้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน
โดยกลุ่มแรกนั้นต่างเห็นด้วยและชื่นชอบแนวคิดนี้เป็นอย่างมากพวกเขาต่างตื่นเต้นและ เริ่มพูดคุยกันถึงแผนการขั้นแรก
กลุ่มที่สองนั้นไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้และพวกเขามักจะยกเหตุผลแปลกๆมาเพื่อคัดค้าน
บางคนนั้นอยากจะสัมผัสกับระบบแบบนี้ บางส่วนนั้นต้องการที่จะศึกษาระบบแบบนี้ ในขณะที่บางคนนั้นไม่อยากจะให้มันหายไปเฉยๆ มันมีบางคนที่เริ่มสนุกกับการใช้ชีวิตแบบ “มีอํานาจ” ในระบบทาสนี้ อย่างไรก็ตามเหล่าผู้เล่นทั้งหลายนั้นต่างยืนอยู่เหนือกว่าคนอื่นๆในโลกนี้ โดยเฉพาะนักเวทย์
เป็นธรรมดาที่บางคนนั้นต่างกระหายอํานาจ
ส่วนในกลุ่มที่สามนั้นเลือกที่จะเป็นผู้ชม พวกเขากล่าวว่าผู้เล่นนั้นแข็งแกร่งกว่ามากและควรที่จะช่วยเหลือเหล่า NPC
ทันทีที่มีข้อความนี้ขึ้นมาก็มีคนเข้ามาเยาะเย้ยในทันทีว่า : นายคิดว่านายเป็นโม่เจี่ย (1) หรือยังไงกัน?
เมื่อเขาอ่านการตอบกลับส่วนใหญ่แล้วคิ้วของเขาก็เริ่มขวมดขึ้น จากนั้นเขาก็พิมพ์ตัวอักษรห้าตัวด้วยตัวพิมพ์หนาว่า
“ยังไม่ถึงเวลา!”
หลังจากออกจากฟอรั่ม โรแลนด์ก็ตรงไปยังสโมสรดาบในทันที ระหว่างอาหารเช้า ฉีเฉาชูก็มองสํารวจมาทางเขาด้วยท่าทางแปลกๆ
ในตอนเช้าของทางใต้นั้นร้อนเป็นอย่างมาก ทว่าบรรยากาศของฉีเฉาชูนั้นเยือกเย็นเป็นอย่างมาก “นายเห็นเลือดงั้นเหรอเมื่อวานนี้?”
โรแลนด์มีนงงไปทันที “เห็นเลือด?”
“ฉันนั้นรู้สึกถึงจิตสังหารจากนาย” ฉีเฉาชูนั้นมีท่าทีที่จริงจังเป็นอย่างมาก “เมื่อรวมกับบรรยากาศราวกับผ่านสงครามมานายนั้นดูดุดันเป็นอย่างมาก ฉันจะไม่สอนวิธีใช้ดาบให้กับนาย ในตอนนี้เพราะฉันนั้นไม่อยากจะให้นายประเมินตัวเองสูงไปและจบลงด้วยความชั่วร้ายบอกมา เมื่อวานนายไปทําอะไรมากันแน่?”
จิตสังหาร..สินะ
โรแลนด์นั้นคิดถึงคลาอัส
“ฉันไม่รู้ว่าควรจะบอกยังไงดี แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันบอกนายได้ก็คือฉันไม่ได้ทําอะไรผิดกฎหมาย”
ฉีเฉาชุ่มองไปที่โรแลนด์ก่อนเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ยิ้มออกมาและพูดว่า “นายไม่ได้ทําอะไรผิดกฎหมายแต่สามารถสร้างจิตสังหารได้งั้นเหรอ? ฉันไม่รู้นะว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่แปลกใจที่ยัยลูกไก่จินเหวินเหวินนั้นถึงพยายามหาวิธีที่จะหยุดนาย ฉันจะให้น้องสาวของฉันสอนนายเกี่ยวกับเต๋ของการหมุนเวียนพลังชีวิตก็แล้วกัน”
โม่เจี่ย = ปรัชญาดั้งเดิมของจีน โดยสอนเกี่ยวกับหลักมนุษยธรรมเกี่ยวกับการดูแลซึ่งกันและกัน (มีหลักปรัชญาหลายข้อมาก หากสนใจลองเสิร์จ อ่านดูครับ
ตอนที่ 117 : ฉันฆ่าเขาเอง
ด้วยความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกลอุบายและแผนการเล็กๆน้อยๆนั้นต่างไร้ประ โยชน์
เหตุผลหลักคือคลาอัสนั้นยังอ่อนแอเกินไป เขานั้นไม่สามารถต่อต้านวงแหวนเยือกแข็งได้ ถ้า หากเป็นฮอร์กหรือลิงค์มันจะส่งผลแค่กับพื้นที่โดยรอบเท่านั้น มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะตรึงพวกเขา
อย่างมากก็ทําให้แค่พวกเขาเคลื่อนไหวได้ช้าลงก็เท่านั้น
เขายืนมองร่างที่ถูกยึดไว้กับพื้น ก่อนจะเรียกแขนเวทย์ทั้งสองออกมาเพื่อยกรูปปั้นน้ําแข็งพร้อมเดินกลบไป
เขานั้นเดินออกจากป่าลึก ผ่านไปยังประตูเมือง และในที่สุดเขาก็มาถึงจตุรัสของหอคอยเวทย์
ตามทางนั้น ทุกคนต่างที่เห็นรูปปั้นน้ําแข็งนี้ต่างตะเกียกตะกายออกไปรอบข้างด้วยความตกใจ ผู้หญิงบางคนถึงขนาดปิดตาและไม่กล้าที่จะมองมันอีกเป็นครั้งที่สอง
ไม่มีใครกล้าที่จะมีปัญหากับโรแลนด์ กระทั่งทหารที่อยู่หน้าประตูเมืองยังไม่กล้าจะหยุดเขา เมื่อพวกเขาเห็นศพ พวกเขานั้นแค่แกล้งทําเป็นตาบอดและเดินถอยหลังกลับไปเท่านั้น
คลาอัสนั้นค่อนข้างมีชื่อเสียงในหอคอยเวทย์ เพราะถึงอย่างไรก็ตามเขานั้นได้ทําหน้าที่มากมายที่เกี่ยวข้องกับหอคอยเวทย์
เมื่อเห็นศพที่ถูกแช่แข็งของเขาถูกแบกมาโดยโรแลนด์หลายคนก็ต่างประหลาดใจและข่าวก็เริ่มกระจายไปเรื่อยๆ
เมื่อโรแลนด์กลับมายังจตุรัส พวกกลุ่มหรือองค์กรณ์ต่างๆก็ได้รับรู้กันจนหมดแล้วว่านักเวทย์ฝึกหัดคลาอัสนั้นตายแล้ว โดยพวกเขาสงสัยกันว่ามันน่าจะเป็นฝีมือของโรแลนด์
เมื่อเขาเข้ามายังหอคอยเวทย์ ยามทั้งคู่ก็มองไปยังร่างของคลาอัสที่ลอยอยู่ พวกเขานั้นต่างตกใจเมื่อได้รู้ว่าเขานั้นตายไปจริงๆ จากนั้นพวกเขาก็ก้มหัวของพวกเขาลงต่ํา
พวกเขานั้นแกล้งเป็นไม่สนใจและไม่กล้าที่จะถามมันออกมา
โรแลนด์เข้าไปยังหอคอยเวทย์พร้อมพูดว่า “ปิดประตูซะ ห้ามใครเข้ามาเด็ดขาดยกเว้นเพียง แต่สมาชิกของหอคอยเวทย์”
ทหารยามทั้งคู่รีบปิดประตูด้วยหินขนาดยักษ์ทันที พร้อมยืนเฝ้าระวังอยู่ที่ด้านนอก
พวกเขานั้นไม่กล้าที่จะอยู่ด้านในหอคอย
โรแลนด์นั้นยังคงแบกศพของคลาอัสต่อไปยังชั้นสองและพบเข้ากับวิเวียนและสองสมาชิ กใหม่
ใบหน้าของวิเวียนนั้นเต็มไปด้วยความสุขเมื่อพบกับโรแลนด์ ทว่าเมื่อเธอเห็นคลาอัส เธอก็สงสัยทันที่ว่าทําไมเขานั้นถึงลอยอยู่กลางอากาศ จากนั้นใบหน้าของเธอก็เริ่มถอดสี เธอปิดปาดของเธอด้วยมือทั้งสองข้าง
เธอนั้นไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังจิตของคลาอัสอีกต่อไป นั่นหมายความชัดเจนแล้วว่าเขานั้นตายแล้ว
นักเวทย์ฝึกหัดคนใหม่ทั้งสองนั้นมาจากแก๊ง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใช่พวกที่ไม่คุ้นชินกับความตาย พวกเขามองไปยังคลาอัสอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหลบไปอยู่ด้านหลังของวิเวียน
โรแลนด์นั้นวางศพคลาอัสลงอย่างระมัดระวัง
เวทย์น้ําแข็งยังไม่หมดฤทธิ์โดยง่าย นั่นทําให้คลาอัสยังคงท่าทางก่อนตายของเขาไว้ได้ ทําให้เขานั้น “ยืน” อยู่บนพื้นได้อย่างง่ายดาย
“สั่งระฆังทองซะเรียกทุกคนให้มารวมตัว”
เสียงของโรแลนด์นั้นต่ําพร้อมเต็มไปด้วยความเสียใจเล็กน้อย
วิเวียนปล่อยมือของเธอลงพร้อมเดินไปยังโต๊ะเพื่อสั่นระฆัง
เมื่อเสียงดังขึ้น วิเวียนก็มองไปยังศพของคลาอัส เธอเห็นท่าทางหวาดกลัวบนใบหน้าของเขา เธอนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคลาอัสนัก ทว่าเธอก็ยังคงเสียใจอยู่ดีที่เห็นเพื่อนที่ใกล้ชิดกับเธอต้องตาย
หลังจากนั้นนักเวทย์ฝึกหัดต่างออกมาจากห้องของพวกเขาหรือบางส่วนก็ออกมาจากห้องทดลองเวทย์
พวกเขานั้นต่างตกใจเมื่อเห็นศพของคลาอัส บางคนถึงก่นด่าออกมา โดยมีความเห็นกันว่าคนที่เป็นคนสร้างรูปปั้นนี้น่าจะต้องการโจมตีหอคอยเวทย์
โรแลนด์นั้นไม่สนใจพวกเขา ทําเพียงแค่ยืนอย่างสงบเท่านั้น
หลักจากที่นักเวทย์ฝึกหัดทั้งหมดรวมตัวกันแล้ว พวกเขาก็มีท่าทีที่โกรธแค้นและต้องการจะแก้แค้นเป็นอย่างมาก ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นโรแลนด์ที่ยืนเงียบสงบราวกับน้ําอยู่ ความวุ่นวายก็เริ่มเงียบลง
วิเวียนนั้นพานักเวทย์ฝึกหัดคนใหม่ทั้งสองไปรวมกลุ่มกับพวกนักเวทย์ฝึกหัดคนอื่นๆ
โรแลนด์กวาดสายตาไปยังนักเวทย์ฝึกหัด ทุกคนนั้นมาครบกันหมดแล้ว รวมถึงเจอรรี่ ที่ไปเยี่ยมหลานก็กลับมาแล้วเช่นกัน
“อย่างที่ทุกคนเห็น คลาอัสนั้นตายแล้ว”
ทุกคนต่างไม่มีท่าทีอะไรมากนัก
โรแลนด์พูดเสริมไปอีกว่า “ฉันฆ่าเขาเอง”
เสียงหอบหายใจดังขึ้นราวกับจะระเบิดออก ลมหายใจของกลุ่มคนต่างขาดช่วง พวกเขาทุกคนต่างเริ่มกระซิบกระซาบกันออกมา
ทว่าพวกเขาก็เงียบลงทันทีเมื่อมองไปที่โรแลนด์ พวกเขานั้นต้องการคําอธิบาย
ในสายตาของเหล่านักเวทย์ฝึกหัดนั้น โรแลนด์นั้นเป็นคนใจดีและใส่ใจเหล่าลูกศิษย์ หากเขาจะฆ่าใครสักคนทิ้ง นั่นหมายความว่าเขาน่าจะมีเหตุผลเพียงพอ
“พวกเธอน่าจะรู้ดีว่าฉันนั้นกําลังสืบสวนเกี่ยวกับคดีเด็กสาวที่หายตัวไปอยู่” โรแลนด์มองไปยังทุกคนและหยุดพูด
วิเวียนมองไปยังรูปปั้นน้ําแข็งของคลาอัสก่อนถามว่า “เขาเป็นฆาตกรอย่างงั้นเหรอ?”
“เป็นเขา” โรแลนด์พยักหน้าด้วยท่าทีที่ไม่สบายใจ “ถ้าเป็นไปได้ ฉันไม่อยากจะให้เป็นคนที่ฉันรู้จักเลย”
ทุกคนนั้นต่างเงียบลง ถึงแม้ว่าคลาอัสจะไม่ได้โดดเด่นหรือมีพรสวรรค์มากนัก ทว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนักที่จะมีใครสักคนตาย
“ท่านมั่นใจจริงๆเหรอว่าเป็นเขา?” วิเวียนถามอย่างกลัวๆ
ในความเป็นจริง เธอนั้นไม่ได้สงสัยโรแลนด์ แต่เธอนั้นใช้วิธีนี้เพื่อสร้างบรรยากาศและเหตุผลให้โรแลนด์ได้พูดต่อ
จากนั้นโรแลนด์ก็บอกพวกเขาทุกอย่างที่เขาพบ รวมถึงหลักฐานที่คลาอัสวางไว้เพื่อสร้างแพะรับบาปขึ้นมา เขานั้นกล่าวถึงเรื่องที่น่าอายที่เขาเกือบจะตกหลุมพราง
“เขานั้นเป็นคนที่ฉลาดมาก ทว่าเขานั้นไม่ได้ใช้ความฉลาดนั้นให้ถูกทาง ถ้าหากเขาหยุดมัน ฉันก็คงจะทําได้เพียงแค่สงสัยและไม่แตะต้องเขาโดยไม่มีหลักฐาน” โรแลนด์ถอนหายใจออกมา “ฉันนําศพคลาอัสกลับมาเพื่อบอกพวกนายว่าฉันนั้นไม่ได้หวังว่าพวกนายจะเป็นคนดี แต่อย่าเป็นคนเลวเป็นอันขาด พวกเราบุตรทองคําซึ่งรวมถึงฉันด้วย พวกเรานั้นมักชอบทําอะไรโดยไม่สนใจผลลัพธ์ที่ตามมา พวกเราสามารถฆ่าได้หากมีเหตุผลเพียงพอ เพราะนั่นจะไม่ทิ้งรอยเปื้อนไว้ในจิตใจของพวกเรา
นักเวทย์ฝึกหัดต่างหลั่งเหงื่อเย็นออกมา
โดยเฉพาะนักเวทย์ที่มาใหม่ทั้งสองต่างมองไปที่โรแลนด์ด้วยความหวาดกลัวและความหวั่นเกรง
“เจอรี่แจ้งไปทางครอบครัวคลาอัสให้มารับศพไปซะ ถ้าเป็นไปได้บอกให้หัวหน้าตระกูลของเขามาคุยกับฉันด้วย”
เจอร์รีบตอบไปในทันที “ข้าเข้าใจแล้วข้าจะรีบทํามันในทันที”
ในขณะเดียวกันในภูเขาที่ห่างออกไปกว่าร้อยกิโลเมตร
เบทต้านั้นพบเข้ากับบ่อน้ําและหยุดพักอยู่ใกล้ๆแถวนั้น จากนั้นเขาก็นําช้อนและส้อมออกมาจากกระเป๋ามิติและนําเนื้อหมาปาดําออกมาย่าง
ในขณะเดียวกันแม่บ้านของเขาลิซ่าก็ทําสิ่งอื่นอยู่
เบทต้านั้นถูสมุนไพรลงไปในเนื้ออย่างมีความสุขจากนั้นท่าทางของเขาก็แข็งค้างไปในทันที หลังจากนั้นสิบวินาที เขานั้นก็หันหน้าไปหาแม่บ้านที่อยู่ด้านหลังเขาพร้อมกล่าวว่า “ลิซ่า ฆาตกรที่ทําร้ายเธอถูกพบตัวแล้วนะ”
ใบหน้าของลิซ่าซีดเผือก มีร่องรอยของความกลัวปรากฏอยู่บนใบหน้าของเธอ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นยังคอยตามหลอกหลอนเธอเรื่อยมา เธอเงียบลงครู่หนึ่งก่อนถามด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธว่า “ใครอย่างนั้นเหรอค่ะ?”
เธอรู้ดีว่าเจ้านายของเธอนั้นมีความสามารถในการสื่อสารกับคนบุตรทองคําคนอื่นในระยะไกล
“นักเวทย์ฝึกหัดของหอคอยเวทย์คลาอัส”
ทันทีที่พูดจบ ลิซ่าก็นั่งลงกับพื้นอย่างสิ้นหวัง โรแลนด์นั้นเป็นรองประธานของหอคอยเวทย์ในเมื่อฆาตกรนั้นมาจากหอคอยเวทย์ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่โรแลนด์จะฆ่าเขา อย่างน้อยลิซ่าก็คิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนั้น”
ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ไม่ต้องการบังคับให้โรแลนด์ฆ่าเขา เพราะถึงอย่างไรเธอก็เป็นแค่แม่บ้านตัวน้อยที่รู้จักการตอบแทนความบุญคุณ
ทว่าเบทต้าก็พูดต่อว่า “โรแลนด์แช่แข็งคลาอัสเป็นรูปปั้นน้ําแข็งเรียบร้อยแล้ว ในตอนนี้นั้นเขาตายเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเธอสบายใจได้แล้วในอนาคต”
เธอเบิกตากว้างขึ้นด้วยอาการตกตะลึง
ใบหน้าของเธอดูเปล่งประกายราวกับมันจะสามารถเปล่งแสงออกมาได้
Chapter 116: ตาย
โรแลนด์นั้นยังคงศึกษาแบบจําลองเวทย์ของหุ่นเชิดเวทย์ในห้องวิจัยของเขา
แสงสว่างสองเส้นส่องมาจากทางหน้าต่างและเหลือทิ้งไว้เพียงจุดแสงสองจุดบนกําแพงหินสี่เท่า
หลังจากนั้น จุดหนึ่งเริ่มหมุนตามเข็มนาฬิกาในขณะที่อีกจุดหนึ่งเริ่มหมุนทวนเข็มนาฬิกา
โรแลนด์ยืนขึ้นเมื่อเห็นจุดแสงทั้งสอง
นี่เป็นสัญญาณที่เขาตกลงไว้กับฮอร์ก นั่นหมายความว่าฆาตกรเคลื่อนไหวแล้ว
ในที่สุดกว่าสองเดือนที่รอคอย ฆาตกรก็อดทนไม่ไหวเสียที
โรแลนด์รีบลงไปตรงบันไดและพบเข้ากับวิเวียนซึ่งกําลังพาเด็กทั้งสองขึ้นบันไดเพื่อชมพื้นที่โดยรอบ
“รองประธานท่านก็จะออกไปข้างนอกเหมือนกันอย่างนั้นเหรอ?”
วิเวียนพบว่ามันแปลกเล็กน้อย ทําไมคนส่วนใหญ่ถึงเลือกจะออกไปข้างนอกวันนี้กัน? เกือบตลอดเวลานักเวทย์นั้นมักจะเก็บตัว พวกเขานั้นมักจะอยู่ในหอคอยเวทย์เพื่อศึกษาเวทมนตร์
มันยากที่จะมีถึงสามคนออกไปข้างนอกพร้อมกันภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง
นักเวทย์มักจะบ่นออกมาตลอดเวลาว่าไม่มีเวลา พวกเขานั้นมักจะโหยหาการให้มี 240 ชั่วโมงต่อวัน
“ใช่ฉันจะออกไปเดินสักหน่อย สมองของฉันเกือบจะละลายไปเพราะการทดลองเวทย์ในทุกๆวันแล้ว”
วิเวียนต้องการจะไปกับเขาด้วย ทว่าเธอก็ทิ้งความคิดนี้ไปเมื่อเธอมองไปยังเด็กสองคนที่อยู่ข้างเธอ
เมื่อโรแลนด์มอบหมายงานให้เธอแล้ว เธอก็ไม่สามารถละทิ้งหน้าที่พร้อมออกไปกับเขาได้ ไม่อย่างนั้นไม่เพียงแต่เธอจะอดไปซื้อของกับเขาเธอนั้นจะถูกมองว่าขาดความรับผิดชอบได้
“ขอให้สนุกนะคะท่านรอง”
โรแลนด์ยิ้มและโบกมือให้วิเวียนก่อนจะออกจากหอคอยเวทย์ไป
จากนั้นท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นจริงจังทันที มีกระทั่งจิตสังหารออกมาเล็กน้อย
เขานั้นรีบไปยังจุดเกิดเหตุซึ่งมีขอทานสองคนรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นโรแลนด์ พวกเขานั้นก้มหัวลงพร้อมกล่าวว่า “ท่านหัวหน้าของพวกเราสั่งให้พวกข้านําทางท่าน”
โรแลนด์พยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาตามขอทานทั้งสองออกไปยังนอกเมืองและตรงไปยังป่าใกล้ๆทางเหนือของเมือง เพื่อหลีกเลี่ยงความสนใจ ฆาตกรนั้นเปลี่ยนจุดฆาตกรรม
หลังจากเข้าไปยังปาที่หนาแน่น พวกเขาเดินเข้าไปอีกร้อยเมตร
ในป่ามืด โรแลนด์เห็นฮอร์กและลิงค์ยืนอยู่ไม่ไกล นอกจากนี้ยังมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าพวกเขา คลาอัส
นอกจากนี้ยังมีเด็กสาวชาวไร่ที่สวมเสื้อผ้าที่ดูฉีกขาดอยู่ เธอยืนตัวสั่นอยู่ด้านข้างด้วยความหวาดกลัว
เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากทางด้านหลัง ฮอร์กและลิงค์ก็หันกลับไปมอง เมื่อพวกเขาพบกับโรแลนด์ พวกเขาก็ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ต่อไปจะเป็นเรื่องภายในหอคอยเวทย์ของนาย พวกเราจะไม่ยุ่ง”
โรแลนด์พยักหน้า
จากนั้นฮอร์กและลิ้งค์ก็จากไปพร้อมกับเด็กสาว
เหลือเพลียงโรแลนด์และคลาอัสในปาเงียบสงัด
คลาอัสก้มหัวของเขาลงต่ําและไม่กล้ามองไปที่โรแลนด์
โรแลนด์ก็ถอนหายใจออกมาพร้อมถามว่า “ทําไม?”
โรแลนด์นั้นคิดอยู่เสมอว่าทันทีที่เขาพบฆาตกร เขานั้นจะฆ่าทิ้งโดยทันทีอย่างไม่ลังเลและไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้พูดอะไร เพราะถึงยังไงคนร้ายก็ไม่ควรได้รับการไว้ชีวิต
ไม่ใช่ว่าเขานั้นวางแผนจะปล่อยตัวฆาตกรไป เขานั้นแค่สงสัยว่าทําไมคลาอัสถึงทําแบบนี้
ในตอนนั้นเองคลาอัสก็เงยหน้าขึ้นมาและมองไปที่โรแลนด์อย่างละอายใจ “ข้าขอโทษท่านรองประธาน ข้านั้นไม่ได้อยากทําแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ”
“ทําไมนายถึงต้องทําร้ายและฆ่าเด็กสาวสามัญชนพวกนั้นด้วย? นั่นมันมากเกินไป”
คลาอัสยืนขึ้นในตอนนั้นเองโรแลนด์ก็เห็นว่าแขนของเขานั้นหายไป หน้าของเขาเต็มไปด้วย เหงื่อพร้อมทั้งใบหน้าของเขาที่ซีดเผือด
“ข้านั้นเป็นขุนนาง ทําไมข้าจะทํากับพวกผู้หญิงสกปรกแบบนั้นไม่ได้!” ใบหน้าที่หล่อเหลาของคลาอัสนั้นบิดเบี้ยว
“แล้วนายฆ่าพวกเธอทําไม? ฉันเชื่อว่าด้วยสถานะและหน้าตาของนาย มันไม่ยากเลยที่นายจะหาคนรักดีๆได้” โรแลนด์กล่าวอย่างใจเย็น
คลาอัสตอบกลับใจเย็น “ข้านั้นเป็นขุนนาง”
โรแลนด์นั้นเข้าใจได้ในทันที
บางคนนั้นจะดูถูกสิ่งอื่นๆที่ต่ําต้อยกว่า
ยามว่างของโรแลนด์ เขาได้ยินมาจากวิเวียนว่าคลาอัสนั้นเคยเป็นสมาชิกของตระกูลขุนนางที่ล่มสลาย เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่กล่าวถึงมัน ทว่าคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงและอ่อนไหว เขานั้นกลัวว่าคนอื่นจะมองเขาว่าต่ําต้อย
ทุกสิ่งนั้นถูกเก็บซ่อนไว้ภายในใจของเขา
โรแลนด์นั้นไม่เข้าใจคนที่มีจิตใจเช่นนี้และไม่คิดจะเข้าใจมัน เขามองไปที่คลาอัสพร้อมพูดอย่างใจเย็นว่า “นายมีสิ่งสุดท้ายที่อยากจะพูดไหม?”
ใบหน้าของคลาอัสซีดมากขึ้นกว่าเดิม “ท่านรองท่านล้อข้าเล่นใช่ไหม?”
“นายคิดว่าคนอย่างฉันจะชอบเล่นมุกตลกไปเรื่อย?” โรแลนด์มองไปที่เขาด้วยท่าทีที่เคร่งขึม
“มันก็แค่ผู้หญิงราคาถูก…ข้าสามารถจ่ายได้”
โรแลนด์มองไปที่เขาอย่างเงียบๆ
“ท่านรอง ท่านอย่าโหดร้ายอย่างงี้สิ พวกผู้หญิงพวกนั้นก็แค่คนชั้นต่ํา ข้าไม่เคยทําอะไรกับกับพวกขุนนางมาก่อนเลยด้วยซ้ํา”
โรแลนด์ก็ยังคงมองเขาอย่างเงียบๆ
ใบหน้าของคลาอัสนั้นซีดเผือกยิ่งกว่าเดิม
เขานั้นรู้ดีว่าสถานการจะเลวร้ายขนาดไหนหากคนที่ใจเย็นอย่างโรแลนด์นั้นเลือกที่จะเงียบ
เท้าของคลาอัสอ่อนแรงเขาล้มและคุกเข่าลง “ท่านรอง ลองนึกถึงทุกสิ่งที่ข้าเคยทําให้ท่านสิ”
ทันใดนั้นแขนเวทย์ขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าโรแลนด์และฟาดเขาจนเกิดลมกระโชกแรง
มันเป็นรูปแบบเวทย์ที่พัฒนาแล้วของแขนเวทย์ซึ่งโรแลนด์เป็นคนสอน คลาอัสนั้นเริ่มชํานาญมันแล้ว
โขคร้ายที่มีแขนเวทย์ขนาดใหญ่ป้องกันหมัดนั้นไว้
มันเป็นเพียงแค่การโจมตีหลอกๆเท่านั้น เขาไม่คิดอยู่แล้วว่าเขานั้นจะสามารถสู้โรแลนด์ได้
การโจมตีนั้นก็เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้เขาหนีก็เท่านั้น
เมื่อเห็นแขนเวทย์ทั้งสองปะทะกัน คลาอัสก็ดีดตัวขึ้นพร้อมวิ่งลึกเข้าไปในป่า
ทว่าฝีเท้าของเขาก็ช้าลงเรื่อยๆ
ภายในเวลาไม่ถึงสองวิ เขาก็ยืนอยู่กับที่
ในตอนนั้นเองเขามองลงไปที่พื้นและพบว่าพทันบริเวณที่เขายืนอยู่นั้นถูกปกคลุม ไปด้วยชั้นน้ําแข็งหนา
ขาของเขานั้นถูกแช่แข็ง
วงแหวนเยือกแข็ง!
คลาอัสมองไปที่ขาของตัวเองด้วยอาการตกตะลึง น้ําแข็งเริ่มเกาะขาของเขาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
ภายในเวลาอันสั้นเขานั้นไม่ได้รับความรู้สึกจากขาของเขาอีกต่อไป เขานั้นพยายามบิดร่างกายส่วนบนของตัวเองอย่างยากลําบากเพื่อจ้องมองไปที่โรแลนด์ เขานั้นต้องการที่จะพูดบางสิ่งออกมา ทว่าความอบอุ่นในร่างกายของเขาเริ่มหายไป เขาไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อของเขาได้อีกต่อไป
สองวินาทีต่อมา น้ําแข็งก็ขึ้นมาถึงตรงหน้าเขา ครึ่งวินาทีให้หลังคลาอัสก็กลายเป็นรูปปั้นหิมะสีขาว
โรแลนด์นั้นเดินเข้าไปหาคลาอัสพร้อมถอนหายใจออกมา
การฆ่าใครสักคน…เขานั้นไม่ได้รู้สึกเหมือนว่าตัวเองนั้นได้ฆ่าใครไป เขานั้นรู้สึกเหมือนเขาขยี้แมลงตัวเล็กๆจนตาย แม้จะรู้สึกไม่ดีนักทว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดในหัวใจแต่อย่างใด
หรือว่าในที่สุดเขาก็คิดได้ว่านี่เป็นเกมเสียที?
หรือเขานั้นเกิดมาพร้อมกับความเลือดเย็น
โรแลนด์นั้นสับสนเป็นอย่างมาก
ตอนที่ 115: ความมืดมิดภายใต้แสงสว่าง
รูปร่างของฮอร์กดูหนาขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เขานั้นไม่สามารถนั่งเก้าอี้ปกติได้ทําได้เพียงแค่ยืนคุยกัน
โรแลนด์เองก็ยืนอยู่กับเขาเช่นกัน
อย่างไรก็ตามมันรู้สึกเหมือนว่ามีกําแพงสูงตั้งอยู่ตรงหน้าของเขา มันทําให้โรแลนด์รู้สึกเหมือนถูกข่ม เขามองไปที่สัตว์ประหลาดกล้ามโตและถอนหายใจออกมา “นายคิดจริงๆงั้นเหรอว่ารูปร่างของนายตอนนี้ดูดีจริงๆ?”
“ดีมากๆเลยหละ” ฮอร์กตอบด้วยน้ําเสียงพึงพอใจ จากนั้นเขาก็ถามอย่างสงสัยว่า “หรือว่า บางทีนายอาจจะชอบแบบพวกที่ดูละอ่อนงั้นเหรอ?”
โรแลนด์ส่ายหัวออกมาและพูดว่า “ไม่ใช่แบบนั้น ฉันค่อนข้างเป็นกลาง ภาพลักษณ์ในอุดมคติของฉันคือดูผอมเมื่อใส่เสื้อผ้า แต่จะเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเมื่อถอดเสื้อผ้าออก”
“ซิ ความชอบของนายมันแย่กว่าคนที่ชอบพวกหน้าละอ่อนเสียอีก” ฮอร์กพูดออกมาอย่างโกรธๆ
โรแลนด์ถอนหายใจออกมา “ความคิดนายมันสุดโต่งเกินไป นอกจากนี้มาตราฐานความงามนั้นถือเป็นตัวบ่งชี้ หลังจากการอัปเดตประชากรของนักรบก็ลดลงไปแล้วกว่า 30% จากประชากรทั้งหมด และมันยังคงลดลงอยู่เรื่อยๆ รู้ไหมนี่หมายถึงอะไร?”
“พวกนั้นมันไม่เข้มแข็งพอก็แค่นั้นพวกนั้นยังไม่เข้าใจความงดงามของกล้ามเนื้อเลยแม้แต่น้อย ในชีวิตจริงฉันไม่สามารถเพาะหุ่นแบบนี้ได้ แต่ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะสามารถทํามันได้สําเร็จภายในเกม” เมื่อพูดจบฮอร์กก็โพสต์ท่าโชว์เสื้อผ้าของเขาราวกับจะระเบิดออกด้วยมัดของกล้ามเนื้อ จากนั้นเขาก็พูดอย่างจริงจังว่า “หยุดเรื่องไร้สาระพวกนี้ก่อนเถอะ นายจะทําอะไรต่อไป?”
“สองเดือนนั้นเพียงพอที่ทําให้หมอนั่นเซ็งแล้ว” โรแลนด์พูดออกมาอย่างช้าๆว่า “ตามหลักฐานที่เราพบก่อนหน้า เจ้านั่นมักจะฆ่าเด็กสาวในทุกหนึ่งถึงสองเดือน เจ้านั่นน่าจะอดไม่ไหวแล้ว”
“ฉันเข้าใจแนวคิดของนายนะ” ฮอร์กพยักหน้า “หลังจากสองถึงสามเดือนของการฝึกฝน หน่วยหาข้อมูลก็เริ่มเก่งขึ้นแล้ว ถ้าเป็นตอนนี้พวกนั้นจะไม่ทําให้ศัตรูรู้ตัวอีกต่อไป”
“ถ้ามันเป็นอย่างนั้นมันจะเป็นการรบกวนนายนะ” โรแลนด์ยิ้มออกมา
“นายใจดีเกินไปแล้ว” ฮอร์กส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า “หากนายไม่ยอมขายเหรียญทองจํานวนมากให้พวกเรา พวกเราคงไม่สามารถสร้างอะไรได้ด้วยซ้ํา ตอนนี้พวกเราเริ่มมาถูกทางแล้วเล็กน้อย ในอนาคตพวกเราจะสามารถพึ่งพาตัวเองได้ ฉันอยากรู้จริงๆว่านายรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นหมอนั่น?”
โรแลนด์ถอนหายใจและพูดว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่เราอยู่ในมุมมืด พวกเราจับตาดูภาย นอกและเกือบจะโดนเขาหลอกไปแล้วครั้งหนึ่ง โชคดีที่ตราไม้ที่ถูกทิ้งไว้นั่นบอกให้ฉันรู้ว่าเขานั้นมีเวทมนตร์และฉลาดมาก เขาอาจไม่ใช่ขุนนางหรือเป็นสมาชิกของหอคอยเวทมนตร์ หลักฐานที่ทําให้ฉันรู้ตัวฆาตกรนั้นมาจากข้อมูลของกลู นายต้องไม่เชื่อแน่ๆว่าแก๊งงูหางกระดิ่งที่ถูกทําลาย โดยบาร์ดนั้นเป็นหุ่นเชิดของหอคอยเวทย์ของพวกเรา”
ฮอร์กอุทานออกมา “ฉันไม่เห็นรู้เรื่องที่มันเกี่ยวข้องกันเลย”
“ฉันเองก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่าขนาดประธานอัลโด้ยังไม่รู้จักหุ่นเชิดพวกนี้เลย”
รอยยิ้มประหลาดปรากฏบนใบหน้าของฮอร์ก “ในทางกลับกัน ใครก็ตามที่ติดต่อกับแก๊งนั้นมากที่สุดก็คือผู้ต้องสงสัย!”
โรแลนพยักหน้า
“ฉันพอรู้แล้วล่ะว่าเป็นใคร”
ครึ่งชั่วโมงให้หลังฮอร์กก็ออกจากหอคอยเวทย์ไป
โรแลนด์นั้นยังคงทดลองเวทย์และสอนนักเวทย์ฝึกหัดเหมือนอย่างเคย
หลายวันต่อมา เด็กทั้ง 23 คน จากเกรย์แซนด์ก็ถูกส่งมา
พวกเขานั้นยืนต่อแถวแนวยาวกันเป็นสองแถวตรงชั้นแรกของหอคอยเวทย์ โดยทุกคนนั้นต่างมีท่าทางที่วิตกกังวลเป็นอย่างมาก
โรแลนด์มองไปทางพวกเขา เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา ท่าทางของเหล่าเด็กๆนั้นดูกังวลมากยิ่งขึ้น และมีความหวัง
หลังจากผ่านไปสามนาที โรแลนด์ก็เลือกเด็กมาสองคนพร้อมพูดว่า “สองคนนี้ วิเวียนจําหน้าตาของพวกเขาไว้ให้ดี พวกเขานั้นจะเป็นนักเวทย์ฝึกหัดในอนาคต ถ้าพวกเขาไม่รู้หนังสือก็สอน การเขียนและอ่านให้พวกเขาซะ เตรียมห้องพักไว้ให้สองคนนี้ได้ ที่เหลือออกไปได้”
เด็กทั้งสองนั้นมีความสุขเป็นอย่างมาก ในขณะที่คนอื่นๆดูผิดหวัง บ้างก็แอบปาดน้ําตา
โอกาสแบบนี้แทบไม่ได้มีให้เห็นในรอบหลายร้อยปี แต่พวกเขานั้นก็ไม่สามารถคว้ามันไว้ได้
หัวหน้าของกลุ่มเกรย์แซนด์ยืนเป็นกังวลอยู่ที่ด้านนอกของหอคอยเวทย์พร้อมด้วยสมาชิกของแก๊งบางคน เมื่อเขาเห็นกลุ่มเด็กเดินออกมาและเห็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาในฝูงชนเขาก็ยิ้มออกมา
“อย่ากังวลไปเลย ถึงแม้พวกเจ้าจะไม่ได้ถูกเลือก แต่พวกเขาก็ยังเป็นกระดูกสันหลังของแก๊งพวกเราในอนาคตอยู่ดี” หัวหน้าแก๊งพูดออกมาอย่างใจกว้าง “จงพยายามให้มาก อนาคตของแก๊งเกรย์แซนด์ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว”
เด็กๆต่างรู้สึกมีกําลังใจขึ้นมาในทันที
วิเวียนพาเด็กที่ถูกเลือกทั้งสองขึ้นไปยังชั้นสองและเธอก็พบเข้ากับเจอรี่
เจอรี่นั้นอายุมากแล้ว พลังจิตของเขานั้นก็มีจํานวนมากที่สุดใจบรรดานักเวทย์ฝึกหัดทั้งหมด แต่ด้วยร่างกายของเขาฉุดรั้งเอาไว้ ทําให้การพัฒนาของเขายังด้อยกว่าวิเวียนมากนัก
ทว่าเจอรี่ก็ไม่ยอมแพ้
เขารู้ว่าหากนักเวทย์แข็งแกร่งขึ้น อายุของพวกเขานั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เขาจึงพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ และพลังชีวิตของเขาก็เริ่มขยายไปเรื่อยๆเช่นกัน เขานั้นสามารถยืดชีวิตไปเรื่อยๆจนเขาสามารถกลายเป็นนักเวทย์ชั้นแนวหน้าได้
เมื่อถึงตอนนั้นเขานั้นสามารถเปลี่ยนร่างกายของเขาให้กลายเป็นพลังธาตุได้และกลายเป็นนักเวทย์ธาตุ ด้วยวิธีนั้นจะช่วยให้เขายึดอายุไปได้อีกหลายร้อยปี
แน่นอนว่านั่นเป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุดที่เขาคิดไว้ เขานั้นรู้ดีว่าพรสวรรค์ของเขานั้นไม่ดีนักและโอกาสที่เขาจะทนไปถึงจุดนั้นได้ก็มีไม่สูงนัก
ดังนั้นเมื่อเขาพบเข้ากับเด็กสองคนที่ดูเหมือนจะมีอายุน้อยกว่า 12 ปีเสียอีก เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาออกมา
มันจะดีขนาดไหนกันหากเขาพบเจอรองประธานโรแลนด์ในวัยเพียงเท่านี้
เขาเดินจากไปและมองไปยังเด็กทั้งสองคนที่ต่างดูวิตกกังวลและหวาดกลัว เขาถอนหายใจ และเดินลงบันไดไป
หนึ่งในสองคนนั้นถามออกมาว่า “เขาเป็นประธานงั้นเหรอ?”
“ไม่เขาเป็นนักเวทย์ฝึกหัดแบบข้า” วิเวียนอธิบายออกมา
“เขานั้นค่อนข้างแก่แล้วแต่เขายังคงเป็นนักเวทย์ฝึกหัดอยู่เวทมนตร์ต้องยากแน่ๆเลยใช่ไหม? พวกเราจะเรียนมันได้จริงๆงั้นเหรอ?” เด็กๆถามออกมาอย่างกังวล
วิเวียนตอบกลับไปอย่างใจดี “ข้านั้นมั่นใจเกี่ยวกับหอคอยเวทย์แห่งอื่นนัก ทว่ารองประธานของเรานั้นเชียวชาญในการสอนมาก”
ท้ายที่สุดเด็กทั้งสองก็เรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้
ทันใดนั้นก็มีคนเปิดประตูเข้ามา คลาอัสเดินเข้ามาและเห็นเด็กทั้งสอง เขาก็ถามว่า “นี่เด็กใหม่ที่ถูกเลือกโดยรองประธานงั้นเหรอ? หืมม ดูธรรมดาจัง”
เมื่อได้ยินดังนั้นเด็กทั้งสองก็คอตกในทันที
“โทษที่ๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น เดี๋ยวข้าซื้อบางอย่างมาเพื่อเป็นการขอโทษละกัน” คลาอัสยิ้มออกมา
“เจ้าจะออกไปข้างนอกด้วยงั้นเหรอ?” วิเวียนประหลาดใจเล็กน้อย
“มีคนอื่นด้วยเหรอ ใครกัน?” คลาอัสถามอย่างประหลาดใจ
วิเวียนตอบกลับไปว่า “เจอรี่เองก็ออกไปข้างนอกเช่นกัน ท่าทางเขาดูไม่มีความสุขเลย”
“เจอรี่คงไปเยี่ยมหลานของเขามั้ง” คลาอัสพูดพร้อมรอยยิ้ม “เขามักจะไปหาหลานเดือนละหนึ่งถึงงสองครั้งอยู่แล้ว”
“แล้วเจ้าละจะไปไหน?”
“ข้าจะไปเดินตลาดทาสสักหน่อย ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรุกสักที ข้าจะไปดูว่ามีสินค้าดีๆบ้างไหม ข้าจะซื้อมาสักคนให้ท่านรอง”
ใบหน้าของวิเวียนมืดคลิ้มไปในทันที “เจ้ากล้าดียังไง!”
“งั้นเจ้าก็เริ่มรุกซะสิ” คลาอัสพูดจบก็เดินลงบันไดไป
ตอนที่ 114 : ลางบอกเหตุ
บรรยากาศค่อนข้างมืดมน
ฟ่านลิ่วยี่มองมาทที่เขาพร้อมยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ดูเหมือนว่าฉันจะละลาภละล้วงเกินไปหน่อยสินะ ต้องขอโทษด้วย”
จากนั้นยืนขึ้นพร้อมเดินจากไป
นักกวีนักจากไปพร้อมกับฟ่านลิ่วยี่ ในขณะที่เขาเดินจากไปเขามองไปยังเบทต้าด้วยท่าทีที่รุนแรง
เมื่อสองคนนั้นออกไปแล้ว เบทต้าก็ถามอย่างสงสัยว่า “ทําไมพี่ถึงไม่ปฏิเสธเธอให้มีชั้นเชิงกว่านี้กันละครับ บางทีพี่อาจจะได้เป็นเพื่อนกับเธอก็ได้”
“มันไม่มีประโยชน์อะไรในการทําแบบนั้น เราทั้งคู่ถูกลิขิตให้อยู่ในโลกที่ต่างกัน” โรแลนด์ยิ้มพร้อมถามว่า “นายบอกไว้ในกิลด์ว่านายกําลังจะออกจากเมือง เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
เบทต้าพูดอย่างมีความสุขว่า “ผมเลเวล 5 แล้วครับ”
โรแลนด์ม็นไปทันที “เร็วขนาดนั้นเลย?”
“ในช่วงนี้ผมนั้นทําภารกิจไปเป็นจํานวนมาก” เมื่อพูดเบทต้าก็มีท่าทีที่ตื่นเต้นเล็กน้อย “มันมีสายทั้งหมดสามสายสําหรับขุนนางผู้สูงศักดิ์ แต่ว่าไม่ว่าสายไหนก็ตาม พวกเขานั้นสามารถทําสัญญากับห้าอัศวินโต๊ะกลมเพื่อให้เขามาเป็นลูกน้องได้ ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก และพวกเขาจําเป็นต้องเป็น NPC ในเกมเท่านั้น ผู้เล่นนั้นไม่สามารถทําสัญญาด้วยได้”
“พี่รู้สึกเหมือนว่าการทําสัญญาอัญเชิญเลย?” โรแลนด์ถาม
เบทต้าพยักหน้าและพูดว่า “นั่นก็จริง ทว่าอัศวินโต๊ะกลมของผม แต่ละคนนั้นสามารถทําสัญญากับอัศวินระกับล่างได้อีกห้าคน และยิ่งกว่านั้นอัศวินระดับล่างสามารถทําสัญญากับอัศวินฝึกหัดได้อีกห้าคนเช่นกัน”
“เดี๋ยวก่อนนะ!” โรแลนด์มันงงไปทันที ท่าทางของเขานั้นดูประหลาดอย่างมาก “ทําไมพี่รู้สึกว่าอาชีพของนายเหมือนกับนักการตลาดแบบเครือข่ายบุคคลเลย?”
เบทต้ากางแขนออกอย่างสุภาพพร้อมยิ้ม “นี่เรียกว่าวิธีการที่ถูกต้องในการปลดล็อคอาชีพลับต่างหากล่ะครับ”
มันมีวิธีมากมายในการเล่นเกมนี้ โรแลนด์ยิ้มอย่างขมขึ้นและกล่าวว่า “ที่นายบอกพี่มานี้ ทําให้พี่อยากลบบัญชีและเริ่มฝึกฝนเพื่อเป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์เลยแหะ พี่จะรวยและมีลูกน้องมากมาย เมื่อลองคํานวนในขั้นสุดท้ายแล้วขุนนางผู้สูงศักดิ์จะมีลูกน้องถึง 155 คนเชียวนะ และพวกเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการพัฒนาแล้ว”
“ถ้าตามสิ่งที่ผมเห็นในตอนนี้มันก็น่าจะเป็นอย่างงั้นแหละครับ” เบทต้าดื่มไวน์ผลไม้เข้าไปเต็มปาก
โรแลนด์เกาหัวของเขา “นายเลยจะออกจากเมืองเดลพอนเพื่อหาอัศวินโต๊ะกลมของนายสินะ?”
เบทต้าพยักหน้า “ใช่ครับ พวกจะลองไปหาพวกที่มีค่าสถานะในการเติบโตดีๆ มีบุคลิกภาพที่ดี เพื่อให้เขามาเป็นอัศวินของผม ผมไม่สามารถสุ่มเลือกพวกเขาได้”
ตรรกะนี้มันก็ไม่ผิดหรอก
ถึงแม้ว่าโรแลนด์จะยังกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับความจริงที่ว่าเบทต้านั้นยังเด็กและถูกหลอกได้ง่าย แต่ถูกหลอกภายในเกมมันก็คงไม่นักเท่าไหร่นัก มันคงไม่แย่หรอกมั้งถ้าเขาปล่อยให้เขาไปคนเดียว
ดังนั้นโรแลนด์จึงถามไปว่า “นายจะออกเดินทางตอนไหน?”
“ พรุ่งนี้ครับ” เบทต้าคิดไปครู่หนึ่งก่อนตอบกลับมา “ผมจะไปซื้อม้าไว้ช่วยขนของและพาลิซ่าไปด้วย สําหรับบ้านของผม ผมให้พี่เลยครับพี่โรแลนด์”
“ฉันจะดูแลแล้วเก็บเอาไว้ให้นาย” โรแลนด์ไม่อยากจะเอาผลประโยชน์มาไว้กับตัวเอง “การอาศัยอยู่ในหอคอยเวทย์นั้นทั้งสุขสบายและสะดวกอยู่แล้ว”
“แล้วแต่พี่เลยครับ” เบทต้าไม่ได้สนใจนัก
พวกเขาทั้งคู่ต่างไม่สนใจเรื่องเงินนัก บ้านหลังนั้นคงขายได้แค่ไม่กี่เหรียญทอง แต่ทว่าไม่มีใครสักคนในพวกเขาใส่ใจมันแม้แต่น้อย
แน่นอน…ถ้าหากคนเป็นคนนอก พวกเขานั้นจะได้กําไรอย่างมากแน่นอน
ทั้งสองคนชนแก้วและดื่มไวน์กัน เมื่อเวลาผ่านไปแขกที่หมดสติก็เริ่มได้สติขึ้นมา
กลุ่มคนต่างต่างส่งเสียงพูดคุยเกี่ยวกับนักเต้นสาวที่สวยอย่างน่าเหลือเชื่อกัน โดยอ้างว่าพวกเขานั้นจะขอเธอแต่งงานด้วย ทว่าเมื่อพวกเขาพูดขึ้น พวกเขาก็จะทําให้อีกคนโกรธและการทะเลาะวิวาทก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นความวุ่นวาย
ทว่าไม่ว่ามันจะวุ่นวายขนาดไหนคนเหล่านี้ก็ยังมีเหตุผลและไม่กล้าที่จะ “เล่นบริเวณ” ที่โรแลนด์และเบทต้าอยู่
เบทต้านั้นดื่มจนเขาเริ่มขึ้น จากนั้นเขาก็ถูกสาวใช้ของเขาลิซ่าพาตัวไป
โรแลนด์นั้นยังคงอยู่เพื่อที่จะจ่ายเงิน กลูนั้นเดินเข้ามา
เขาวางกระดาษสองสามแผ่นลงตรงหน้าโรแลนด์อย่างสุภาพพร้อมพูดว่า “นี่เป็นข้อมูลที่พวกข้าพบในการสํารวจข้อมูล ข้านั้นไม่สามารถรับรองให้ได้ว่าข้อมูลพวกนี้ล้วนถูกต้อง 100% ทว่าพวกข้านั้นพยายามอย่างเต็มที่แล้ว”
“ข้าจะนําทางท่านไปยังห้องลับในครั้งที่แล้ว”
สองนาทีต่อมา โรแลนด์นั่งลงบนเก้าอี้ภายในห้องลับและมองไปยังกระดาษที่อยู่ในมือของเขา
ยิ่งเขาอ่านมันมากเท่าไหร่เขายิ่งขมวดคิ้วมากขึ้นเท่านั้น ในท้ายที่สุดเขาก็ถามออกมาว่า “ไม่ใช่ว่ามันมีข้อมูลอะไรผิดพลาดเกี่ยวกับแก๊งงูหางกระดิ่งใช่ไหม?”
หลังของกลุงอลงเล็กน้อยเขายิ้มอย่างขมขึ้นและพูดว่า “แก๊งงูหางกระดิ่งคือศัตรูของพวกข้า พวกข้านั้นรู้จักพวกมันดีกว่าพวกมันรู้จักตัวเองเสียอีก ดังนั้นโดยส่วนตัวข้าคิดว่าข้อมูลนี้ไม่น่าผิดพลาด”
แก๊งงูหางกระดิ่งลักพาตัวครอบครัวของลิซ่า และจากนั้นพวกมันก็ถูกทําลายล้างโดยบาร์ด
“เป็นเรื่องที่ฉันคาดไม่ถึงจริงๆ” โรแลนด์พึมพัมกับตัวเองเบาๆ
จากนั้นเขาสะบัดแขนของตัวเองเล็กน้อยไฟก็ถูกจุดติดขึ้นที่ปลายนิ้วของเขา เผากระดาษนั่นจนเป็นผุยผง
“เตรียมส่งเด็กมาหลายๆคนหน่อยละ ฉันจะเลือกไปเพียงแค่หนึ่งหรือสองคนเท่านั้นที่มีพรสวรรค์มากที่สุด บางทีอาจจะสองหรือสามคนเพื่อให้เป็นนักเวทย์ฝึกหัด” โรแลนด์ยืนขึ้น “นั่นเป็นข้อตกลงที่พวกเราตกลงกันไว้แล้ว”
กลูถอนหายใจยาวออกมาอย่างโล่งอก เขานั้นกังวลอยู่ตลอดว่าโรแลนด์นั้นจะไม่พอใจกับข้อมูลของเขา ทว่าในที่สุดหัวใจของเขาก็กลับไปยังจุดเดิมของมันได้เสียที เขานั้นยิ้มขึ้นทันทีพร้อมกล่าวว่า “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกข้า พวกข้านั้นจะจัดการทุกสิ่งให้เสร็จสิ้นภายในสามวัน”
โรแลนด์คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “อีกเรื่องการสอนของฉันค่อนข้างเข้มงวดและอาจจะมีการลงโทษเล็กน้อย ฉันหวังว่านายจะไม่ถือนะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นดวงตาของกลูกกลายเป็นเย็นชา “ท่านไม่จําเป็นต้องพูดถึงมันเลย หากเด็กๆเหล่านั้นเริ่มทําตัวไม่ดี ท่านสามารถจัดการพวกเขาได้เลย ทําตามที่ท่านต้องการ มันไม่เป็นอะไรต่อให้ท่านฆ่าพวกมันทิ้งไปก็ตาม”
กลูหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ
ในโลกนี้นั้น การได้รับโอกาสจากนักเวทย์อย่างเป็นทางการนั้นน้อยมากๆ หากมันมีโอกาสที่ดีปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา ทําไมพวกโง่เง่านั้นถึงต้องได้รับโอกาสให้มีชีวิตอยู่ต่อไปหากพวกมันไม่เชื่อฟังและปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดมือไป
ปล่อยให้เป็นปลิงไปอย่างงั้นเหรอ?
เมื่อมองดูใบหน้าที่จริงจังของกลู โรแลนด์ก็ถอนหายใจออกมา
เขาจําได้ว่าเมื่อตอนเขาอยู่ประถม พ่อของเขานั้นพาไปยังโรงเรียน และเมื่อเขาเห็นอาจารย์ เขาก็พูดว่า “อาจารย์ผมต้องรบกวนคุณแล้วเกี่ยวกับลูกของผม หากเขาเกเรละก็ ทุบตีเขาได้ตามสบาย ตราบใดเท่าที่เขายังไม่ตาย ต่อให้ข้าเขาหักก็ไม่เป็นไร อีกสองสามเดือนเขาก็ดีขึ้นเอง”
โรแลนด์ยังคงจําท่าทางที่จริงจังของพ่อเขาได้ มันไม่ดูเหมือนเป็นการเล่นมุกหรือหยอกล้อเลยแม้แต่น้อย
คนรุ่นเก่าส่วนมากต่างเชื่อว่าการลงโทษเด็กที่ไม่เชื่อฟังนั้นอาจารย์จะถือว่าเป็นฝ่ายถูก
แต่ตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว หากการลงโทษของพวกอาจารย์ทั้งหลายถูกนําเข้าสู่ในโลกออนไลน์ อาจารย์เหล่านั้นก็จะโดนชาวเน็ตต่อว่า
หลังจากกลับมายังหอคอยเวทย์ โรแลนด์เอนตัวพิงเก้าอี้พร้อมพยายามนึกถึงข้อมูลในกระดาษเหล่านั้น ปริศนามากมายที่ทําให้เขาชะงักไปได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว
เขานั้นได้ตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว ที่เหลือก็แค่ตรวจสอบเท่านั้น
แต่ยิ่งมีการเปิดเผยมากขึ้นเท่าไหร่ โรแลนด์ก็ยิ่งเงียบมากขึ้นเท่านั้น เขานั้นไม่ได้พูดถึงคดีเด็กสาวที่หายไปตัวอีกต่อไปราวกับว่าคดีนี้ได้จบลงไปแล้ว
จากนั้นเขาก็ทุ่มเวลาของเขาไปกับการทดลองเวทย์
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วใน ตอนนี้มันก็ผ่านไปสองเดือนแล้ว
โรแลนด์นั้นเดินออกมาจากห้องทดลองเวทย์ด้วยทรงผมที่กระเซอะกระเซิง มันยากมากที่จะสร้างรูปแบบเวทย์ที่พัฒนาแล้วของเวทย์เคลื่อนย้าย เขานั้นไม่มีความคืบหน้าเลยแม้แต่น้อย และเขาก็ไม่ได้กินอะไรมากว่าสองวันแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าร่างกายของผู้เชี่ยวชาญนั้นแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามาก เกรงว่าเขาคงจะไม่สามารถอดทนได้ถึงขนาดนี้
เมื่อเขานั้นกําลังคิดที่จะออกไปหาอะไรกิน วิเวียนก็เดินเข้ามาพร้อมพูดว่า “ท่านรองประธาน มีออร์คที่ดูทรงพลังอยากจะพบท่าน”
ออร์คมาที่นึ่งั้นเหรอ!
ได้เวลาดึงตาข่ายจับเหยื่อแล้ว
ตอนที่ 113 : ผลกระทบของคนมีชื่อเสียง
หลังจากโรแลนด์นั่งลง เขาก็มองไปยังพวกผู้ชายที่กําลังบ้าคลั่งอยู่โดยรอบเขา
บางทีมันอาจจะเหมือนกับสถานการณ์ในชีวิตจริงเมื่อพยายามไล่ตามเหล่าดาราก็ได้
หลังจากโรแลนด์นั่งลง ลี่หลินก็ @ เขาจากทางระบบของกิลด์อีกครั้ง
ลี่หลิน: ฉันเห็นนายกับเบทต้าในไลฟ์สตรีมด้วย แล้วคอมเม้นต์เหมือนจะระเบิดออกเลย เหมือนมีหลายคนนะที่รู้จักนาย”
เมื่อเห็นดังนั้นโรแลนด์ก็อดไม่ได้ที่จะเช็คไลฟ์สตรีม
จากนั้นเขาก็เห็นหลากหลายคอมเม้นต์
“นั่นมันท่านผู้ยิ่งใหญ่โรแลนด์ ทําไมเขาถึงมาดูฟ่านฟ่านของพวกเราเต้นแทนที่จะเก็บตัวเองอยู่กับเวทมนตร์กันละ?”
“เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่พวกเก็บตัวจะชอบนักแสดง!”
“ไม่ใช่ว่าพวกเขาชอบเหล่าไวฟุในกระดาษหรอกเหรอ?”
“นายคิดว่าทําไมฟ่านฟ่านของพวกเราถึงมาที่เมืองเดลพอนกัน”
“ฉันคิดว่าพวกเธอนั้นต้องการที่จะมาขอซื้ออุปกรณ์เวทย์ของโรแลนด์ ที่เขาได้รับจากการสําเร็จภารกิจดันเจี้ยน ฉันได้ยินมาว่ามันเป็นอุปกรณ์สีทอง แต่แค่ไม่รู้ว่ามันมีเอฟเฟคอย่างไรก็เท่านั้น”
“ทําไมมันถึงไม่เป็นฟ่านลิ่วยี่เดินทางเพื่อตามหารักกันละ…”
ทันทีที่เขาพูดมัน คอมเม้นต์ก็หยุดลงทันที จากนั้นก็มีคอมเม้นต์จํานวนมากโผล่ขึ้นมาบนหน้าจอ
“ไปตายซะ!”
ถึงแม้ว่าฟ่านลิ่วยี่จะทําความผิดที่ไม่น่ายอมรับได้ในชีวิตจริง แต่เธอก็ยังคงมีแฟนคลับอยู่เป็นจํานวนมาก
คนที่ส่งข้อความนี้ทําให้ทุกคนโกรธกันไปหมด
จากนั้นเขาก็ถูกแบนโดยผู้ดูแล
ฟ่านลิ่วนั้นเต้นทั้งๆที่ร่างของเธอเต็มไปด้วยเหงื่ออยู่ตรงโถงกลาง เพลงนั้นมาถึงตอนจบแล้ว
นักกวีผู้หล่อเหลายืนขึ้น ถือพิณของเขาเอาไว้ ร่างกายท่อนบนของเขาเอนไปด้านหลังจนเกือบจะคิดว่าเขานั้นต้องการหักกระดูกหลังของตัวเองทิ้ง
ในตอนนี้นั้นเพลงจบเรียบร้อยแล้ว
ฟ่านลิ่วยี่หมุนตัวและนั่งลงบนพื้นเพื่อเป็นการปิดท้ายการเต้น คนโดยรอบต่างหยุดตะโกนพร้อมล้มลงหมดสติ
เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถยืนอยู่ได้ ทว่าพวกเขานั้นก็ดูอ่อนแรงเช่นกัน
โรแลนด์ไม่จําเป็นต้องคิดด้วยซ้ํา มันมีคําชมที่น่าอึดอัดใจขึ้นมาอยู่ภายในไลฟ์สตรีม: “การเต้นของฟ่านฟ่านนั้นสวยงามเกินไปทําให้คนอื่นๆหมดสติ” หรือไม่ก็ “บางทีผู้ชมอาจจะรับไม่ได้ที่การแสดงเต้นจบลง ความเศร้าทําให้พวกเขาหมดสติ”
ทว่าเขานั้นก็ยอมรับจริงๆว่าการเต้นของฟ่านลิ่วยี่นั้นงดงามจริงๆ
“การเต้นที่ร้อนแรงนั้นทําให้ผู้คนหมดสติหลังจากได้เห็นมัน” ฟ่านลิ่วยี่พูดขึ้นขณะเดินเข้ามาหาโรแลนด์และเบทต้า เธอนั่งลงตรงหน้าของพวกเขาโดยไม่ขออนุญาติแต่อย่างใดและพูดต่อว่า “มีแค่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นที่สามารถทนฟังจนจบได้ มันจะช่วยเพิ่มความสามารถชั่วคราว ดังนั้นคุณ ไม่จําเป็นต้องกังวลกับพวกนั้นหรอก เดี๋ยวอีกไม่นานพวกเขาก็ตื่นเอง”
นักกวีเองก็เดินมาและนั่งลงบนเก้าอี้ที่เหลืออยู่
โรแลนด์มองไปทางฟ่านลิ่วยี่พร้อมยิ้มออกมา “ผมได้ยินชื่อเสียงของคุณมานานมากแล้ว”
“แค่นั้นเองเหรอ? คุณไม่ใช่แฟนคลับฉันนั้นเหรอ?” ฟ่านลิ่วยี่มองไปทางโรแลนด์ ดวงตาที่งดงามของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย “ฉันมาที่เดลพอนเพื่อมาหาคุณเลยนะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น โรแลนด์ก็รู้สึกมึนไปทันที เขารู้ว่าป่านนี้คอมเม้นต์ในไลฟ์สตรีมตอนนี้คงระเบิดไปแล้ว
อะไรของจิ้งจอกนี่กันแน่?
ทว่าตอนนี้นั้นอีกฝ่ายกําลังไลฟ์สตรีมอยู่ โรแลนด์ก็ครุ่นคิดถึงคําพูดของตัวเองและพูดว่า “อย่าเล่นตลกกับผมเลย มิสฟ่าน คุณนั้นเป็นดาราดังและพวกเรานั้นเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น มุกตลกของคุณอาจจะนําพาปัญหาจํานวนมากมาให้พวกเราได้ ผมเดาได้เลยว่าต้องมีใครสักคนในไลฟ์สตรีมกําลังด่าพ่อผมอยู่”
ความคิดของโรแลนด์นั้นถูกต้อง มีคนจํานวนมากเริ่มก่นด่าเขาเรียบร้อยแล้ว
แฟนคลับนั้นล้วนแล้วแต่ไร้เหตุผล พวกเขานั้นไม่ต้องการให้มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างไอดอลของพวกเขาและใครสักคนที่เป็นเพศตรงข้าม แม้แต่มุกตลกก็ห้าม
แน่นอนว่าความผิดทั้งหลายนั้นไม่ใช่ของไอดอล แต่เป็นความผิดของอีกฝ่ายต่างหาก
“งั้นรอเดี๋ยวนะ” ฟ่านลิ่วยี่ จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “ถึงเหล่าแฟนคลับและผู้ชมทุกคนนะคะ ฉันต้องขอโทษด้วย แต่ดูเหมือนว่าโรแลนด์นั้นไม่ต้องการจะไลฟ์สตรีม ความเป็นส่วนตัวของเขานั้นควรได้รับการปกป้องเอาไว้ ดังนั้นฉันขอหยุดไลฟ์สตรีมชั่วคราวนะ หากพวกเราคุยกันจบ เดี๋ยวฉันจะมาเปิดสตรีมต่อเอง แล้วก็ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมนะคะ ขอบคุณมากๆ”
เธอหันไปหาโรแลนด์และพูดต่อว่า “เรียบร้อยแล้ว ฉันหยุดมันเรียบร้อยแล้ว ต้องขอโทษด้วย”
เธอนั้นนิสัยดี แถมอารมณ์ของเธอก็ดีอยู่ตลอดเวลาสําหรับการเป็นดาราดัง
มันมีข่าวลือว่าเธอนั้นทั้งหยิ่งและอารมณ์เสียตลอดเวลา!
ดูเหมือนว่าเขานั้นไม่ควรจะเชื่อข่าวโคมลอย
ในตอนนี้เอง ภายในแชทกิลด์ลี่หลินก็สแปมข้อความหาเขาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ในขณะเดียวกันเขาก็แสปมรูปภาพไลฟ์สตรีมมาในกลุ่ม: “ไลฟ์สตรีมนั้นถูกหยุด ฉันไม่เห็นฟ่านฟ่านเลย นายอัดวีดีโอในเกมให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
ลี่หลินนั้นเป็นแฟนคลับของฟ่านลิ่วยี่มาตลอด มันจึงไม่น่าแปลกใจที่เขามีท่าทีเช่นนี้
โรแลนด์นั้นตอบกลับในแชทไปว่า “เมื่อเธอไม่ไลฟ์สตรีม ฉันก็จะไม่อัดวีดีโอเธอ ไม่งั้นมันก็เหมือนเป็นการแย้งกับคําพูดของตัวเอง?”
เขานั้นละความสนใจออกจากกิลด์ โรแลนด์มองไปยังฟ่านลิ่วยี่และถามว่า “มิสฟ่าน คุณมาหาผมทําไมงั้นเหรอ?”
“ฉันต้องการจะซื้ออุปกรณ์เวทย์ของคุณ” ฟ่านลิ่วยี่พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “อุปกรณ์สีทองชิ้นนั้น”
โรแลนด์คิดไว้แล้วเกี่ยวกับมันและพูดตอบไปว่า “ขอโทษด้วย ผมไม่ได้วางแผนว่าจะขายมัน”
สร้อยคอสงบใจนั้นมีประโยชน์กับโรแลนด์เป็นอย่างมาก เขานั้นยังไม่มีอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมระดับนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเสียมันไป
ผิวของฟ้านลิ่วยี่นั้นขาวเป็นอย่างมาก และเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ก็ค่อนข้างเปิดเผย เธอนั้นวางมือหนึ่งไว้บนโต๊ะและอีกมือหนึ่งจับไว้ที่แก้มของเธอ เธอดูทั้งน่ารักและงดงามเป็นอย่างมาก “หนึ่งล้านเหรียญ
โรแลนด์ผงะไปทันที่เขายิ้มอย่างขมขึ้นและพูดว่า “สมกับเป็นหญิงสาวที่มาจากตระกูลที่ร่ํารวย ราคาที่มอบให้นี้ใจกว้างจริงๆ”
ฟ่านลิวยี่หัวเราะออกมาเบาๆ เธองดงามจนไม่มีใครสามารถละสายตาออกจากเธอได้
ในความเป็นจริงเธอนั้นก็สวยมากๆอยู่แล้ว เธอนั้นยิ่งสวยมากกว่าเดิมขึ้นไปอีกเมื่ออยู่ภายในเกม เธอนั้นราวกับจะใส่ค่าสถานะการเติบโตทั้งหมดไปกับค่าเสน่ห์
เขาสงสัยว่าบางทีเธออาจจะมีเสน่ห์ที่ไม่ธรรมดาเหมือนกับชค
โรแลนด์สูดลมหายใจเข้าลึก “ขอโทษด้วย แต่ผมนั้นไม่ตั้งใจจะขายมัน”
“ถ้างั้นสองล้านละ?” ฟ่านลิ่วยี่นั้นปฏิเสธที่จะยอมแพ้
โรแลนด์นั้นยังคงส่ายหัวอย่างต่อเนื่อง
ฟ่านลิ่วยี่ดูเหมือนจะเพิ่มราคาขึ้นอีกครั้ง ทว่าทันใดนั้นนักกวีก็โพล่งขึ้นมาว่า “โรแลนด์ อย่าโลภไปหน่อยเลย”
ทันทีที่เขาพูดออกมา อีกสามคนที่เหลือก็เงียบไปทันที
โดยเฉพาะเบทต้าผู้ชอบเรื่องซุบซิบที่เฝ้าดูเรื่องราวที่เปลี่ยนไปด้วยความสนใจ
โรแลนด์ขมวดคิ้วขณะมองไปที่นักกวี จากนั้นเขาก็หันหน้าไปหาฟ่านลิ่วยี่และถามว่า “ผู้จัดการของคุณงั้นเหรอ?”
“จะเป็นไปได้ยังไงกัน? เขาเป็นแค่เพื่อนที่ฉันพบระหว่างการเดินทางน่ะ เขานั้นนิสัยดีใช้ได้ เขานั้นนําทางฉันมาจนถึงเมืองเดลพอน”
เมื่อได้ยินคําชมของฟ่านลิ่วยี่นักกวีหนุ่มก็สั่นไปทั้งร่าง ใบหน้าของเขานั้นเปลี่ยนเป็นสีแดง
อืม…ดูเหมือนเขาจะเป็นแฟนคลับเหมือนกันแหะ
โรแลนด์ถอนหายใจออกมาเบาๆ “มิสฟ่าน ผมนั้นไม่ได้วางแผนที่จะขายมันจริงๆ ฉันหวังว่าคุณจะไม่เพิ่มราคาอีก ไม่อย่างนั้นผมคงไม่สามารถต้านทานอํานาจของเงินได้”
คนรวยนั้นต่างทําสิ่งต่างๆโดยไร้ความเกรงกลัว เพื่อความภาคภูมิใจของพวกเขา พวกเขานั้นมักจะทําสิ่งต่างๆเว่อร์ไปมาก จะเป็นยังไงหากฟ่านลิ่วยี่เพิ่มเงินไปเป็นสิบล้าน!?
โรแลนด์เชื่อว่าเขานั้นอาจจะยอมขายมัน
เมื่อฟ่านลิ่วยี่กลับไปพร้อมกับสร้อยคอ เธออาจจะรู้สึกเหมือนถูกโกง หลังจากนั้นอารมณ์ที่ไม่ต้องการจะยอมแพ้ของเธอก็จะหายไป
และถ้าหากเธอต้องการเงินคืนจากโรแลนด์ละก็ เขานั้นอาจจะปฏิเสธในการคืนเงิน
จากนั้นโรแลนด์ก็อาจจะถูกฟ้องโดยอ้างว่าเขานั้นฉ้อโกง ศาลนั้นก็อาจจะไม่ยกคําร้องและมีโอกาสสูงที่ศาลจะตัดสินว่ามันเป็นความผิดของโรแลนด์ในฐานฉ้อโกง โดยมันไม่คุ้มกับราคาของสร้อยเส้นนี้
โรแลนด์เคยเห็นเรื่องคล้ายๆกันนี้ผ่านทางหนังสือพิมพ์
ดังนั้นเขาจึงรีบเปิดปากพูดตัดบทของฟ่านลิ่วยี่ขณะที่เธอกําลังพูดเพื่อเพิ่มราคาอีกครั้ง
ตอนที่ 112 : ฉันไม่ชอบไล่ตามดารา
หอคอยเวทย์นั้นถูกสร้างมาจากหิน นอกจากท่อระบายอากาศสองสามช่องในแต่ละชั้นแล้ว มันก็มีหน้าต่างอยู่อีกเพียงหนึ่งหรือสองบาน ด้วยเหตุนี้แสงสว่างภายในหอคอยจึงไม่สว่างมากนัก โดยเฉพาะในชั้นสอง ที่นี่มีผนึกเวทย์คอยส่องสว่างน้อยกว่าในชั้นอื่นๆ
ใบหน้าที่เนียนครึ่งหนึ่งของวิเวียนถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีส้มจากผลึกเวทย์ เธอนั้นตกอยู่ในความเงียบ
คลาอัสพูดต่อว่า “ลองคิดถึงเจอรี่สิ ผมของเขานั้นเริ่มกลายเป็นสีขาวแล้วในตอนที่รองประธานโรแลนด์มาถึง เจ้าคิดว่ามันง่ายนักเหรอที่จะมีผู้นําที่ยอดเยี่ยมอย่างรองประธานโรแลนด์ปรากฏตัวออกมา?”
วิเวียนยังคงไม่พูดอะไรออกมา
คลาอัสนั้นวิตกกังวลเป็นอย่างมาก “ทําไมเจ้าถึงยังไม่เข้าใจเสียที? ฟังข้านะ รุกให้มากกว่านี้สวมเสื้อผ้าที่สวยที่สุดของเจ้าและไปยืนอยู่ตรงหน้ารองประธานโรแลนด์
วิเวียนก็ยังคงไม่พูดอะไร
เมื่อเห็นท่าทางไร้ชีวิตชีวาของเธอ คลาอัสก็ถอนหายใจพร้อมพูดว่า “เห้อ ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าไม่อยากรุกก็ไม่เป็นไร แต่อย่าทําลายความหวังของพวกเราเสียละ”
ในตอนนั้นเอง ในที่สุดวิเวียนก็พูดออกมา “ทําไมข้าต้องแบกรับความรับผิดชอบของเจ้าด้วย?”
“ถึงแม้ไม่ใช่เพื่อข้า เจ้านั้นก็ต้องแบกรับโอกาสนั้นอยู่ดีเพื่อนักเวทย์ฝึกหัดคนอื่นๆ” คลาอัสพูดอย่างช่วยไม่ได้ “หอคอยเวทย์ของนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่ารองประธานโรแลนด์จะอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ก็ตาม เขานั้นก็ถือว่าเป็นตัวตัดสินอนาคตของเรา และเจ้าก็ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสําคัญที่พยายามยื้อเขาให้อยู่ที่นี่”
ทันใดนั้นวิเวียนก็ยิ้มออกมา “ความคิดเจ้าก็ดูเข้าท่านะ แต่ข้านั้นไม่โง่ ข้านั้นไม่เข้าใจถึงความสําคัญของการทําให้รองประธานตกหลุมรักผู้หญิงเช่นข้าหรอก ส่วนเจ้าไม่คิดจะทําอะไรนอกจากผลักภาระให้ข้างนเหรอ?”
“หากเขาชอบผู้ชาย ข้านั้นคงถอดกางเกงให้เขาไปแล้ว” คลาอัสจ้องมองเธออย่างเงียบๆ “เจ้าน่าจะเข้าใจสิ่งที่ข้าสื่อ”
วิเวียนส่ายหัวและยืนขึ้น “ข้านั้นชอบรองประธานเป็นอย่างมาก ทว่าความรักของข้านั้นเปราะบางเป็นอย่างมาก มันไม่สามารถรับผิดชอบกับความคิดของเจ้าได้หรอกนะ ข้านั้นหวังว่าความสัมพันธ์ระหว่างข้าและรองประธานนั้นจะบริสุทธิ์และไม่มีอะไรที่แปดเปื้อน”
หลังจากพูดจบ วิเวียนก็จากไป
คลาอัสมองเธอจากไปยังห้องของเธอและปิดประตู จากนั้นเขาก็ฟาดลงบนโต๊ะและก่นด่าออกมา “ไอ**เอ้ย”
โรแลนด์นั้นไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นด้านล่าง เมื่อประตูของห้องทดลองเวทย์ปิดลง ผนึกป้องกันก็ทําให้เขายากที่จะได้ยินเสียงจากภายนอก
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวทย์ระดับสาม แต่เนื่องจากความเชี่ยวชาญทางมิติที่เขาได้รับมานั้น มันทําให้มันง่ายเสียยิ่งกว่าเวทย์ระดับสองอย่างความสามารถทางภาษาเสียอีก
เขานั้นทําการทดลองกว่าสิบครั้งจนกระทั่งมันสําเร็จ
พลังเวทย์พุ่งสูงขึ้นมา ในครึ่งวิต่อมา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นตรงด้านหน้าห่างจากจุดเดิมประมาณ 6 เมตร
หลังจากมีความสุขกับมันได้ไม่นานนัก ใบหน้าของโรแลนด์ก็กลายเป็นซีดเผือกและอาเจียนออกมาเสียงดัง ขย้อนของทุกอย่างที่อยู่ในท้องออกมา
เวทย์นั้นสําเร็จแล้ว ทว่าหลังจากเคลื่อนย้ายร่างกายของเขานั้นราวกับนั่งเรือที่ถูกพัดไปด้วยคลื่นนานหลายชั่วโมง ราวกับโลกทั้งใบหมุนอยู่
อาการคลื่นไส้เหมือนกับคนที่เมารถ
หลังอ้วกออกมาโรแลนด์ก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นมาก
เขานั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง
เขานั้นคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ด้วยความเชี่ยวชาญทางมิตินั้นจะทําให้เวทย์เคลื่อนย้ายนั้นง่ายที่จะเรียนรู้เป็นอย่างมาก แต่เขานั้นคิดไม่ถึงว่ามันจะมีผลที่ตามมาเลวร้ายขนาดนี้
เวทมนตร์ของเขานั้นสําเร็จ 100% อย่างแน่นอน
นั่นก็เหลือเพียงความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผลกระทบนั้นมาจากปฏิกิริยาทางร่างกายของเขา
มันก็เหมือนกับคนที่เมารถเมื่อนั่งรถเป็นครั้งแรก
น่าอายมาก..โรแลนด์รู้สึกได้ถึงรสเปรี้ยวที่กําลังปั่นป่วนอยู่ภายในท้องของเขาอีกครั้ง
ไม่ เขาจะไม่ยอมเป็นคนเดียวที่ต้องแบกรับความน่าอับอายนี้
เขาไม่พูดอะไรออกมา โรแลนด์นั้นอัปโหลดแบบจําลองเวทย์ของเวทย์เคลื่อนย้ายลงในฟอรั่มทันที และในเวลาเดียวกัน เขานั้นก็อัปโหลดวีดีโอซึ่งแสดงให้เห็นแค่เพียงว่าเขานั้นร่ายเวทย์สําเร็จ โดยตัดส่วนที่เขาอาเจียนออกไป
เมื่อมองไปยังกระทู้ โรแลนด์ก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขก่อนที่กรดภายในกระเพาะของเขาจะตีขึ้นมาในลําคอของเขาอีกครั้ง ซึ่งทําให้เขาดูน่าอับอายเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นระบบก็ส่งการแจ้งเตือนเข้ามา มันมาจากที่บราซิลและลี่หลินทั้งคู่นั้น @เขาเข้ามาในเวลาเดียวกัน พร้อมทั้งยังส่งหมายเลขห้องสตรีมใน “CC”
โรแลนด์ไม่รู้ว่านี่คืออะไร แต่เขาก็คลิกเข้าไปเนื่องจากเขาเชื่อใจพวกเพื่อนของเขา
จากนั้นเขาก็เห็นฟาวลิ่วยี่เต้นโชว์อยู่ตรงในโรงเตี้ยม บรรยากาศโดยรอบนั้นเต็มไปด้วย เสียงเชียร์ของพวกขี้เมาและเสียงผิวปากของพวกหมาป่า ฉากนี้ดูเซ็กซี่เป็นอย่างมาก
“นี่มันเกี่ยวไรกับฉัน?” โรแลนด์ถามเข้าไปในแชท
ลี่หลิน: “เธออยู่ในเมืองเดลพอนแล้วตอนนี้ ดูเหมือนเธอจะอยู่ในโรงเตี้ยมที่ชื่อว่าเกรย์แซนด์”
บราซิล: “เร็วเข้า ไปดูเร็ว มันยากมากที่จะเจอดาราดัง บางทีเราอาจจะได้ช่องทางติดต่อหรือลายเซ็นต์ก็ได” ”
ฟ่านลิ่วยี่มายังเมืองเดลพอน?
เธอมาทําอะไรที่นี่กัน? เมื่อความคิดนี้เข้ามาอยู่ในหัวของโรแลนด์ โรแลนด์ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นคิดมากเกินไป นี่มันเป็นโลกแห่งเกมเธอจะไปที่ไหนก็ได้ที่เธอต้องหาร มันไม่ใช่เรื่องของเขาสักหน่อย
“ฉันไม่สนใจ! ฉันไม่เหมือนพวกนาย พวกนายไม่สังเกตุบ้างเหรอว่าฉันไม่ชอบพวกดารา”
ลี่หลิน: “ช”
บราซิล: “มันเป็นโอกาสดีที่จะได้เป็นสมาชิกของทหารม้าเลยนะ ทําไมนายไม่ลองสักหน่อยล่ะ?”
โรแลนด์: “เฮ้อออ”
ทันใดนั้นเบทต้าก็ส่งข้อความเข้ามา “พี่โรแลนด์ไปดูกันเถอะ ผมกําลังจะออกเมืองเดลพอน หลังผมลองไปดู มาใช้นี่เป็นเป็นฉลองเพื่อจากลากันเถอะครับ”
โรแลนด์: “???”
เบทต้า: “ไว้คุยรายละเอียดกันในเกรย์แซนด์นะครับ”
โอเค! โรแลนด์ยอมรับมันอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะยังเวียนหัวและขาของเขายังสั่นอยู่ก็ตาม เขาก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าทําไมเบทต้าถึงจะออกจากเมืองเดลพอนไปอย่างกระทันหัน
สิบนาทีต่อมา เขานั้นมาถึงยังโรงเตี้ยมเกรย์แซนด์ ก่อนที่เขาจะเข้าไปด้านใน เขานั้นได้ยินเสียงโห่ร้องดังออกมาจากด้านใน
เหมือนหูจะหนวกเลย
โรแลนด์เข้าไปภายในห้องโถงขนาดใหญ่ โต๊ะและเก้าอี้ที่อยู่ภายในนั้นถูกจัดการออกจนหมด มีเพียงแค่หญิงสาวสวยผมบรอนด์ตาสีเขียวกําลังเต้นอยู่ตรงกลางเพียงเท่านั้น
นอกจากเธอดูเหมือนว่ายังมีผู้เล่นที่เป็นนักกวี เขากําลังเล่นเพลง “Little Apple” อยู่ด้านหลังด้วยพิณ
ในตรงบริเวณกลางห้องโถงนั้นฟ้านคิ้วยี่กําลังบิดพริ้วเองของเธอราวกับงูกําลังเลื้อย
แขกโดยรอบหน้าแดงขึ้นด้วยความตื่นเต้น
พวกขี้เมาทั้งหลายไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขานั้นคว้าชายที่อยู่ข้างๆก่อนทุบไปที่หน้าผากของเขาอย่างแรง
ชายคนดังกล่าวเป็นลมไปทันที ส่วนฝ่ายผู้ทํานั้นใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยเลือดและเขานั้นก็โห่ร้องออกมาอย่างดุเดือด พร้อมโบกแขนไปมาราวกับกอริล่า
มีลูกค้ากว่าร้อยคนในโรงเตี๊ยม เสียงของพวกเขาเกือบจะทําให้หลังคาทะลุออกมา
โรแลนด์นั้นปิดหูของเขาก่อนมองไปรอบๆและพบเข้ากับเบทต้า
เขานั้นมีโต๊ะอยู่โต๊ะหนึ่งเป็นของตัวเอง
เพราะถึงอย่างไรเขานั้นก็เป็น “ขุนนาง” ลูกค้าทั่วไปนั้นไม่กล้าที่จะเข้าใกล้เขา
โรแลนด์นั้นเดินไปและนั่งลงตรงกันข้ามกับเบทต้า
เบทต้านั้นมองไปที่ฟ่านลิ่วยี่ เขาพยักหน้าตามจังหวะการเต้นของเธอและโยกหัวไปตามเสียงเพลง
สามารถบอกได้ว่ากวีนั้นมีความสามารถอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าจะอยู่ในเสียงดังจนหูแทบหนวกแบบนี้ เสียงดนตรีที่เขาเล่นนั้นก็ยังคงทําให้ทุกคนสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
ตอนที่ 111 : ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว
ความเชี่ยวชาญทางด้านมิติ : ลดความยากในการร่ายเวทย์มิติลงหนึ่งระดับ ลดมานาการใช้ลง 20% และเพิ่มเอฟเฟคของเวทย์ขึ้น 20%
ทั้งสามเอฟเฟคนั้นต่างมีประโยชน์ทั้งสิ้น ลดความยากในการร่ายเวทย์ลงนั่นหมายถึงโรแลนด์ สามารถเรียนเวทย์มิติระดับสูงได้ง่ายขึ้น ในการต่อสู้ การที่สามารถร่ายเวทย์ได้ง่ายขึ้นหมายถึง อัตราความสําเร็จของการร่ายเวทย์นั้นพุ่งสูงขึ้นเช่นกัน
มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณาในการต่อสู้ ไม่ว่าใครก็สามารถร่ายเวทย์พลาดได้ หากพวกเขานั้นยังไม่คุ้นชินและชํานาญในเวทย์นั้นๆ นอกจากนี้พวกศัตรูก็สามารถมาขัดขวางนักเวทย์ได้ ดังนั้นความยากในการร่ายเวทย์จึงค่อนข้างสําคัญในการต่อสู้ ยิ่งร่ายได้ง่ายขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
นี่ถึงเป็นเหตุผลว่าทําไมมันถึงหาได้ยากที่นักเวทย์จะสามารถชํานาญเวทย์ระดับสูงได้ตั้งแต่แรก
เหตุผลว่าทําไมโรแลนด์ถึงเลือกความเชี่ยวชาญทางมิติทันทีเลยนั่นก็เพราะมันมีแบบจําลองเวทย์ของเวทย์มิติอยู่ภายในห้องสมุดของหอคอยเวทย์
เวทย์เคลื่อนย้าย!
มันเป็นเวทย์ระดับสาม แต่เพราะมันเป็นเวทย์มิติ ความยากของมันจึงเป็นแค่เวทย์ระดับสองสําหรับโรแลนด์
เวทย์เคลื่อนย้ายนั้นถูกถ่ายเก็บเข้ามาในระบบของเขามานานแล้ว หลังจากเรียนความเชี่ยวชาญมิติแล้วเขาก็รีบเรียนเวทย์เคลื่อนย้ายในทันที
เขานั้นต้องการเรียนรู้เวทย์นี้มานานแล้ว
เวทย์เคลื่อนย้ายนั้นจะช่วยพัฒนาความสามารถในการต่อสู้ของนักเวทย์ได้อย่างมาก อาทิเช่น พวกเขานั้นสามารถใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศเพื่อเข้าต่อสู้ระยะประชิดกับศัตรู
นอกจากนั้นมันยังสามารถใช้ในการเคลื่อนย้ายได้อีกด้วย
ในความเห็นของโรแลนด์ นั่นเป็นเวทมนตร์ที่นักเวทย์ทุกคนจําเป็นต้องเรียน
โรแลนด์มองไปยังแบบจําลองเวทย์ซ้ําไปซ้ํามาและเริ่มจดจํามันกว่า 200 จุดอย่างช้าๆ ในเวลาเดียวกัน เขานั้นก็เริ่มทําการคาดเดาความสามารถของจุดเวทย์แต่ละจุด
สองชั่วโมงต่อมา เขาก็เริ่มทดสอบการเชื่อมต่อกันระหว่างจุดเวทย์
ในชั้นสองนั้น วิเวียนกําลังใช้แขนเวทย์เล็กๆของเธอหยิบแก้วที่เต็มไปด้วยน้ําอย่างระมัดระวัง
นี่เป็นวิธีที่เธอใช้ในการฝึกฝน โดยแท้จริงแล้ววิธีนั้นถูกสอนโดยโรแลนด์
นักเวทย์ฝึกหัดทั้งหมดในหอคอยเวทย์นี้ปฏิบัติกับโรแลนด์ราวกับว่าเขานั้นเป็นอาจารย์ที่แท้จริงของพวกเขา
เพราะประธานนั้นมักจะไปอยู่ไหนก็ไม่รู้และยากที่จะพบเจอ ยิ่งไปกว่านั้นการสอนของประธานนั้นก็เลวร้ายเป็นอย่างมาก ก็แค่โยนแบบจําลองเวทย์ไว้ตรงหน้าพวกเธอและปล่อยให้พวกเธอฝึกฝนกันเอง พวกเธอนั้นต้องทําความคุ้นชินและเพิ่มความคุ้นเคยกับเวทมนตร์เพื่อเรียนรู้พวกมัน
ในขณะที่โรแลนด์นั้นต่างออกไปมาก เขานั้นคอยอธิบายทุกจุดเวทย์และสอนว่าพวกเรานั้นควรให้ความสําคัญในการเคลื่อนย้ายพลังเวทย์ไปยังแต่ละจุด
ในเวลาเดียวกัน เขานั้นก็สอนพวกเธอเกี่ยวกับเคล็ดลับในการเรียนเวทย์ เขานั้นกระทั่งสอนพวกเธอทุกคนตามระดับและพรสวรรค์ของแต่ละคน
มาตราฐานการสอนของพวกเขานั้นต่างกันราวกับกลางคืนและกลางวัน
ที่สําคัญไปกว่านั้น เมื่อโรแลนด์พบว่าหอคอยเวทย์อยู่ในอันตราย สิ่งแรกที่เขาทํานั้นไม่ใช่การส่งนักเวทย์ฝึกหัดที่แสนอ่อนแอไปยังแนวหน้า ทว่ากลับช่วยให้พวกเธอหลีกเลี่ยงจากอันตราย
แม้จะดีใจทว่าพวกเธอก็ยังเสียใจอยู่นิดๆเช่นกัน ทว่าไม่ว่าจะยังไง ในสายตาของพวกเธอ โรแลนด์นั้นมีภาพลักษณ์เป็นชายที่ “รักลูกน้อง”
ภายใต้ผลลัพธ์ของแขนเวทย์ แก้วค่อยๆลอยขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นมันก็เริ่มลงมาอยู่จุดเดิม
วิเวียนยกเลิกการร่ายแขนเวทย์ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างพึงพอใจ เธอนั้นคว้าผ้าขนหนูที่เธอได้เตรียมไว้และเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากของเธอ
เธอนั้นมองไปยังท้องฟ้าด้านนอก เธอได้ตั้งเวลาไว้แล้วและตอนนี้ก็น่าจะเป็นเวลาที่เธอต้องเตรียมอาหารเย็น ทว่าทันใดนั้นเธอก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังเวทย์ที่เป็นเอกลักษณ์มาจากทางยอดของหอคอยเวทย์
นักเวทย์ฝึกหัดทุกคนต่างมีพื้นฐานในการสัมผัสพลังเวทย์ ดังนั้นวิเวียนจึงมีนงงไปแค่สองสามวิเท่านั้น ก่อนที่เธอจะเข้าใจได้ทันทีว่ามันเป็นคลื่นพลังเวทย์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยพลังจิตของโรแลนด์
คลื่นพลังเวทย์นั้นแตกต่างจากครั้งก่อน ในตอนนี้มันแข็งแกร่งกว่าเดิม และความถี่ของการผันผวนก็เปลี่ยนแปลงไป
ดวงตาของวิเวียนเปิดกว้าง เธอเข้าใจว่ามันเป็นสัญญาณที่หมายถึงโรแลนด์นั้นแข็งแกร่งขึ้น เขานั้นเป็นนักเวทย์ชั้นแนวหน้าเรียบร้อยแล้ว
เธอผลักประตูออกไปอย่างตื่นเต้นและกําลังมุ่งหน้าเพื่อไปแสดงความยินดีกับโรแลนด์ ทว่าเมื่อเธอออกมา เธอก็พบว่านักเวทย์ฝึกหัดทั้งหมดก็ได้ออกจากห้องของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว
พวกเขานั้นยืนขวางอยู่ตรงขั้นบันได
ทุกคนมองไปยังวิเวียน วิเวียนนั้นน่าจะเป็นตัวเลือกที่เยี่ยมที่สุดในหมู่พวกเขาที่จะไปแสดงความยินดีกับรองประธานโรแลนด์
กลุ่มของนักเวทย์ฝึกหัดนั้นคาดหวังกันว่าวิเวียนนั้นจะกล้าแสดงความยินดีอย่างมาก โดยให้ดีที่สุดคือให้เธอได้อยู่ร่วมกับเขาสักคืน
หน้าของวิเวียนนั้นแดงขึ้นเล็กน้อย ทว่าเธอก็กัดฟันรวบรวมความกล้าและเดินหน้าต่อไป
ความผันผวนของพลังเวทย์นั้นเริ่มลดลงทว่าความถี่ของมันกลับสูงขึ้น
นี่มัน…ความผันผวนของเวทย์มิติ?
นักเวทย์ฝึกหัดทุกคนหันมามองหน้ากัน ดวงตาของพวกเขาเปิดกว้างขึ้น
เวทย์มิตินั้นเป็นเวทย์ที่ยากมากที่สุดเป็นรองแค่เพียงเวทย์ทํานายเท่านั้น ถ้าหากเวทย์ป้องกันหมายถึงการรอดชีวิตของนักเวทย์ เวทย์กระตุ้นแทนการโจมตีอันรุนแรงของนักเวทย์ เวทย์มิตินั้นก็หมายถึงสองสิ่งนั้นผสมกัน
เมื่อรองประธานโรแลนด์เชี่ยวชาญในเวทย์มิติ พวกเขานั้นก็สามารถเรียนรู้บางสิ่งจากเขาได้เช่นกัน
วิเวียนนั้นตั้งใจจะไปแสดงความยินดีกับโรแลนด์ ทว่าก็ละทิ้งความคิดนั้นไปทันที
เมื่อนักเวทย์ได้เริ่มทําการทดลองแล้ว พวกเขานั้นไม่ต้องการที่จะถูกรบกวน
นักเวทย์ฝึกหัดทั้งหลายต่างระงับความตื่นเต้นและกลับไปยังห้องของตัวเอง หลังจากนั้น บริเวณโถงทางเดินก็เหลือเพียงคลาอัสและวิเวียน
“วิเวียนข้านั้นมีบางสิ่งที่อยากจะคุยกับเจ้า” คลาอัสพูดขึ้นมาขณะเดินไปหาวิเวียน
วิเวียนนั้นมึนไปเล็กน้อย “อะไรงั้นเหรอ?”
ท่าทางของคลาอัสดูจริงจังเป็นอย่างมาก ทําให้วิเวียนสับสนเล็กน้อย
คลาอัสชี้ไปยังโต๊ะและเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ วิเวียนก็เข้าใจได้ทันที พวกเขาก็เริ่มเดินไปทางนั้น
วิเวียนนั้นนั่งลงก่อน
คลาอัสนั่งลงตรงกันข้ามกับวิเวียนพร้อมพูดว่า “ข้าสามารถบอกได้เลยว่ารองประธานยังไม่ได้สัมผัสเจ้าเลย”
วิเวียนหน้าแดงขึ้นมาและเริ่มโกรธเล็กน้อย “เจ้าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ คลาอัส!”
“สิ่งที่ข้าต้องการจะบอก” คลาอัสพูดอย่างจริงจัง “รองประธานนั้นเป็นอัจฉริยะ อัจฉริยะที่แท้จริง พวกเรานั้นมีของไม่มากนักภายในหอคอยเวทย์แห่งนี้ที่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาไว้ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะดูไม่ร่ํารวยนัก แต่เขาก็ไม่ใช่คนโลภ”
วิเวียนขมวดคิ้ว เธอนั้นไม่เข้าใจว่าคลาอัสต้องการจะสื่ออะไร
“ยังไงเขาก็จะจากไป หลังจากรองประธานได้สร้างเวทย์ขึ้นมา เขานั้นจะต้องโด่งดังมากภายในทุกสมาคมอย่างแน่นอนในอนาคต เมื่อถึงตอนนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือเมื่องอื่นๆจะต้องพยายามเชิญชวนเขาไปอย่างแน่นอน” น้ําเสียงของคลาอัสนั้นแฝงไปด้วยความวิตกกังวล “พวกเรานั้นเป็นแค่สาขาย่อยเท่านั้น พวกเราไม่มีเงินมากนักรวมถึงทรัพยากร สิ่งที่พวกเราพอจะมีดีก็คือ เจ้านักเวทย์ฝึกหัดสาวแสนสวย ถึงแม้ว่าหอคอยเวทย์แห่งอื่นจะมีนักเวทย์ฝึกหัดหญิงเช่นกัน แต่มันก็ไม่ได้มีคนที่สวยและมีบุคลิกภาพที่ดีเท่าเจ้าแล้ว”
วิเวียนนั้นเข้าใจสิ่งที่คลาอัสต้องการจะสื่อทันที
คลาอัสพูดต่อว่า “รองประธานของเรานั้นจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มันต้องมีสักวันที่เขาจะจากที่นี่ไป ทว่าเจ้าก็ยังไม่ได้เริ่มเตรียมการใดๆเลย เจ้านั้นต้องรุกให้มากกว่านี้ จะเกิดอะไรขึ้นหากรองประธานจากไปแล้วเขาไม่ได้นาเจ้าไปกับเขาล่ะ?”
วิเวียนรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา
“ถ้าเจ้าพยายามตั้งแต่ตอนนี้ เจ้านั้นสามารถใช้ร่างกายของเจ้าดึงดูดรองประธานโรแลนด์ไว้ได้ เมื่อเป็นอย่างนั้นมันจะทําให้เขาพัฒนาได้ช้าลง นั่นจะช่วยขยายเวลาก่อนที่เขาจะจากพวกเราไปได้ พวกเรานั้นจะได้รับคําสอนและคําแนะนํามากยิ่งขึ้น”
วิเวียนรู้สึกอับอายเล็กน้อย ทว่าสายตาของเธอนั้นดูผิดปกติเป็นอย่างมาก “คลาอัส เจ้าดูเห็นแก่ตัวจังนะ”
คลาอัสหัวเราะออกมา “เพื่ออาจารย์ที่ดีขนาดนี้ใครกันบ้างที่จะไม่เห็นแก่ตัว? ไม่ใช่ว่าเจ้าเองก็เห็นแก่ตัวที่พยายามเข้าหารองประธานโรแลนด์หรอกหรือ?”
วิเวียนนั้นเงียบลงไปในทันที
ตอนที่ 110: ชื่อตอนอยู่ท้ายเรื่อง
โรแลนด์นั้นรู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย เขานั้นพึ่งจะบอกฮอร์กไปหยกๆว่าอาจจะมีผู้เล่นที่ตกหลุมพรางของ NPC และในตอนนี้นั้นเขาก็เกือบจะถูกตบหน้าเอาเสียแล้ว
อันที่จริงแล้วคนเรานั้นไม่ควรคิดว่าตัวเองนั้นสูงส่ง
โรแลนด์นั้นจับไปยังตราไม้ปลอมแน่นขึ้นและกลับไปยังหอคอยเวทย์
แทนที่จะเรียกเจ้าตราไม้นี่ว่าเบาะแส มันน่าจะเป็นสิ่งที่พี่ชายคนโตของตระกูลเอ็ดเวิร์ดทิ้งเอาไว้เพื่อเตือนก่อนที่เขาจะฆ่าตัวตายเสียมากกว่า
หลังจากคิดเกี่ยวกับมัน เขาก็พบสิ่งที่น่าสงสัยมากมาย
ถ้าหากว่าไม่ใช่จอห์นที่เป็นคนสั่งให้แก๊งอันธพาลลักพาตัวและฆ่าครอบครัวของลิซ่า แล้วใครกันละที่ขู่ให้เอ็ดเวิร์ดทําแบบนั้น? ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อฮอร์กส่งเหล่าขอทานไปจับตาดูการเคลื่อนไหวของจอห์น ภายในเวลาแค่ห้าวันถัดมาพี่คนโตตระกูลเอ็ดเวิร์ดก็ทําให้การจับตามองนั้นยุ่งเหยิงไป
แก๊งอันธพาลนั้นล่มสลายไปแล้วด้วยฝีมือของบาร์ด ดังนั้นไม่มีทางที่เขาจะค้นหาหลักฐานใหม่ๆได้อีก
และตอนนี้ฆาตกรที่แท้จริงนั้นก็น่าจะรู้เกี่ยวกับการกระทําของบุตรทองคําแล้ว
ข่าวรั่วไหลออกไปจากทางกลุ่มขอทานของฮอร์กงั้นเหรอ?
ยิ่งโรแลนด์คิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งปวดหัวมากขึ้นเท่านั้น ด้วยความที่ว่ามันมีเบาะแสไม่มากนักมันเลยกลายเป็นหนามกั้น เขานั้นพยายามแยกตัวบุคคลออกมา เขานั้นเข้าใจถึงเหตุผลว่าทําไมมันถึงมีกล้องวงจรปิดจํานวนมากอยู่ในทุกที่ทั่วประเทศจีน
ไม่ว่าอาชญกรจะฉลาดมากขนาดไหนก็ตามมันก็ไม่มีประโยชน์หากเขาถูกจับตามองจากกล้อง
เมื่อเขากลับมายังหอคอยเวทย์โรแลนด์นั้นก็ใช้เวลากว่าสี่ชั่วโมงไปกับเวทย์หุ่นเชิดจนกระทั่งเขาใจเย็นลง
เขานั้นตัดสินใจที่จะไม่คิดมากเกินไปในช่วงนี้ ฆาตกรนั้นจะต้องพยายามลวงเขาแน่ๆในช่วงนี้ เขานั้นจําเป็นต้องพิจารณาถึงสิ่งต่างๆหลังจากได้ข้อมูลจากแก๊งเกรย์แซนด์
ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว วิเวียนนั้นเสิร์ฟอาหารเย็นให้เขาพร้อมหนังสือเล่มบางๆไว้ตรงหน้าโรแลนด์
“นี่คือ?” โรแลนด์ถามด้วยท่าทีสงสัย
“รายได้และค่าใช้จ่ายในเดือนที่แล้วของหอคอยเวทย์คะท่าน” วิเวียนอธิบาย “จริงๆมันควรจะเป็นหน้าที่ของประธานที่จะต้องตรวจดู ทว่าตอนนี้เขานั้นไม่อยู่ที่นี่ ดังนั้นมันจึงจําเป็นต้องเป็นหน้าที่ของท่านแทน”
เป็นอย่างนี้เองสินะ โรแลนด์มองไปยังสมุดบัญชีขณะที่เขากําลังทานอาหารเย็นอยู่
จากนั้นไม่นานนัก โรแลนด์ก็เงยหน้าขึ้นมาและถามว่า “ใครเป็นคนทําบันทึกนี่กัน?”
“คลาอัสคะท่าน” วิเวียนตอบ “ในบรรดานักเวทย์ฝึกหัดทั้งหมดเขานั้นเก่งด้านตัวเลขมากที่สุด”
คลาอัสชายหนุ่มที่พาโรแลนด์เข้ามายังหอคอยเวทย์เมื่อตอนที่เขามาที่นี่เป็นครั้งแรกสินะ
เขานั้นค่อนข้างมีพรสวรรค์ในบรรดานักเวทย์ฝึกหัดทั้งหมด เขาสามารถเรียนรู้เวทมนตร์ได้อย่างรวดเร็วทั้งยังมีนิสัยที่เป็นมิตรอย่างมาก
“แล้วไอสิบเหรียญทองนี่มันมาจากไหน มันไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับมันเลย?”
วิเวียนจ้องมองด้วยรอยยิ้มพร้อมกล่าวว่า “นั่นเป็นภาษีที่เก็บจากพื้นที่โดยรอบของพวกเรา โดยมีหอคอยเวทย์เป็นจุดศูนย์กลาง พื้นที่โดยรอบราวสองกิโลเมตรนั้นถือเป็นอาณาเขตของเราทั้งสิ้น”
“แล้วทําไมถึงไม่มีป้ายเสียภาษีละ?” โรแลนด์ถามอย่างสงสัย “ถ้าอย่างนั้นเราจะรู้ได้ยังไงว่ามีใครไม่ยอมจ่ายภาษีบ้าง?”
“ไม่จําเป็นต้องออกใบภาษีให้พวกเขาหรอก พวกเขานั้นแค่ต้องจ่ายสิบห้าเหรียญทองในทุกเดือนก็เท่านั้น” วิเวียนยิ้ม “หอคอยเวทย์ของพวกเรานั้นไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น พวกเรานั้นสนใจแค่การเก็บเงินและรักษาความสงบสุขในพื้นที่ก็เท่านั้น”
คําพูดของวิเวียนนั้นสุภาพเป็นอย่างมาก ทว่ายากมที่เธอพูดถึงคนอื่นๆบรรยากาศรอบตัวเธอนั้นดูสูงส่งเป็นอย่างมาก
ทว่ามันก็เป็นเรื่องปกติที่จะคิดกันแบบนั้น อย่างไรก็ตาม นักเวทย์นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทั้งน่านับถือและน่าหวดกลัว พวกเขานั้นถือเป็นสัญลักษณ์ของความลึกลับ ในฐานะของผู้ใช้เวทย์ต่อให้เธอยังเป็นเพียงนักเวทย์ฝึกหัดอยู่ก็ตาม มันก็ไม่น่าแปลกที่วิเวียนจะมีความภาคภูมิใจในตัวเอง
หลังจากอ่านบัญชีต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดโรแลนด์ก็เข้าใจเสียทีว่ารายได้จากหอคอยเวทย์นั้นมาจากไหนกันแน่
ซึ่งนั่นหมายความได้อีกอย่างว่าตอนนี้โรแลนด์นั้นเป็นผู้ควบคุมหอคอยเวทย์อยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนที่อัลโด้กําลังพักฟื้นอยู่เช่นนี้
ภาระหน้าที่ทุกอย่างของหอคอยเวทย์จะถูกโยนไปให้โรแลนด์ เขานั้นต้องไปพบทั้งขุนนาง และพ่อค้าที่ต้องการเข้ามาติดต่อ เขานั้นต้องไปทําสัญญาและข้อตกลงกับพวกเขา อย่างเช่นการกวาดล้างเหล่าสัตว์อสูรหรือสัตว์เวทย์ใกล้เดลพอน อีกอย่างก็คือการช่วยไปชําระล้าง
สิ่งเหล่านี้นั้นทําให้โรแลนด์ยุ่งขึ้นมาก เขาพานักเวทย์ฝึกหัดสองสามคนติดตัวไปด้วยทุกนี้ ซึ่งมันช่วยลดเวลาการทํางานลงไปได้อย่างมาก
เขานั้นไม่มีทางเลือก เพราะถึงยังไงเขาก็ได้รับค่าจ้างจํานวนมากมาจากหอคอยเวทย์
เขานนโมวนมากมาจากหอคอ
มันเป็นหลักการง่ายๆ ก็แค่ทํางานเพื่อแลกเงิน
ทว่าต้องขอบคุณการอัปเดตล่าสุดของเกม โอกาสในการกระตุ้นภารกิจนั้นเพิ่มขึ้น ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้ เขานั้นได้กระตุ้นภารกิจเล็กๆไปสองถึงสามภารกิจแล้วซึ่งช่วยมอบค่าประสบการณ์ให้เขาเมื่อเคลียร์ภารกิจสําเร็จ
ต้องขอบคุณภารกิจพวกนั้นที่ทําให้ตอนนี้โรแลนด์นั้นอีกแค่ก้าวเดียวก็จะเข้าสู่เลเวลห้าได้แล้ว หลอดค่าประสบการณ์ของเขาขาดอยู่อีกแค่นิดเดียว
จากนั้นเขาก็ขังตัวเองไว้ในห้องทดลองเวทย์และสั่งกับวิเวียนว่าห้ามใครรบกวนเขาเด็ดขาด
จากนั้นเขาก็ใช้เวลาร่วมห้าชั่วโมงในห้องทดลองเวทย์และในที่สุดเขาก็สําเร็จรูปแบบเวทย์ที่พัฒนาของเวทย์หุ่นเชิด : เวทย์หุ่นเชิดรูปแบบพัฒนา
โรแลนด์นั้นได้คิดหาหนทางที่จะเพิ่มประสิทธิภาพมันด้วยวิธีที่หลากหลาย ทว่าทุกวิธีนั้นล้วนแล้วแต่มีข้อเสีย สุดท้ายเขานั้นตัดสินใจที่จะเสริมพลังมันไปก่อน ในการเสริมพลังครั้งแรกนั้นแน่นอนว่ามันมีประสิทธิภาพที่ไม่ค่อยดีนัก ทว่าถ้าหากทําต่อไปอีกสองถึงสามครั้งล่ะ?
แน่นอนว่าก่อนจะพูดถึงเรื่องนั้นเขาต้องแก้ปัญหาเรื่องการขาด “พื้นที่” ในแบบแบบจําลองเวทย์เสียก่อน
ทันที่ที่เขาเรียกหุ่นเชิดเสริมพลังออกมา เขาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบขึ้นมาทันที
“คุณเชี่ยวชาญเวทย์หุ่นเชิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว EXP +140”
“คุณเลื่อนระดับสู่เลเวลห้า”
“โปรดเลือกความเชี่ยวชาญสกิลในอาชีพของคุณ”
จากนั้นหัวข้อเกี่ยวกับความชํานาญในอาชีพก็ปรากฏขึ้นมาเป็นหัวข้ออยู่ภายในระบบ
โรแลนด์นั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดเขาก็เลเวลห้าเสียที มันไม่ง่ายเลยจริงๆ หลังจากมาถึงเลเวลห้าแล้วค่าประสบการณ์ที่เขาต้องใช้เพื่อเลื่อนระดับนั้นก็เพิ่มขึ้นมหาศาล จากเลเวลในตอนนี้ ต่อให้เป็นนักรบความเร็วในการเลื่อนระดับของพวกเขาก็ต้องลดลงเช่นกัน
โรแลนด์มองไปยังเมนูภายในระบบและอ่านชื่อความเชี่ยวชาญที่ถูกลิสต์เอาไว้
ความเชี่ยวชาญด้านการร่ายเวทย์, ความเชี่ยวชาญด้านการทํานาย, ความเชี่ยวชาญด้านอัญเชิญ เขาเลื่อนลงไปเรื่อยๆจนถึงความเชี่ยวชาญสุดท้าย จนกระทั่งเขาพบเข้ากับความเชี่ยวชาญที่เขาต้องการ
ความเชี่ยวชาญด้านมิติ
โลกนี้นั้นมีขนาดใหญ่มากใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งทําให้ความสามารถที่เกี่ยวกับการเดินทางนั้นสําคัญเป็นอย่างยิ่ง
เหล่าผู้เล่นภายในฟอรั่มนั้นต่างบ่นกันมาเรียบร้อยแล้ว พวกเขานั้นมักจําได้รับภารกิจให้ส่งของไปยังเมืองอื่น และบ่อยครั้งที่ภารกิจเหล่านั้นต้องการให้พวกเขาไปยังต่างประเทศ ตอนนี้พวกเขานั้นยังไม่เชี่ยวชาญภาษาฮอลเลียสด้วยซ้ํา นับประสาอะไรกับต่างประเทศ
พวกเขานั้นรู้สึกราวกับจะร้องไห้เมื่อต้องเดินจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง
เมื่อเทียบกับความสะดวกสบายของสังคมสมัยใหม่ซึ่งมีระบบคมนาคมขนส่งที่มีประสิทธิภาพถนนที่ดีกว่ามาก ในโลกนี้เป็นถนนลูกรัง หลายพื้นที่เป็นถนนบนภูเขาที่ขรุขระ ไม่จําเป็นต้องพูดถึงระยะทาง เกือบตลอดเวลาที่พวกเขาเดินไปตามทางบนภูเขาพวกเขาจะพบกับสัตว์ร้ายที่ดุร้ายหรือสัตว์เวทย์ที่กินมนุษย์
ถ้าโชคดีก็ถือว่าได้เนื้อกองโตไว้กินไปอีกสองสามวัน
หากว่าซวยหน่อยละก็พวกเขาก็จะต้องกลับไปยังเมืองพร้อมกับค่าประสบการณ์ที่หายไป
บางครั้งพวกเขาก็เจอกับพวกโจร มันเป็นการผจญภัยที่เขย่าขวัญเป็นอย่างยิ่ง
การเดินทางเกมนี้นั้นมันจึงไม่เหมือนเกมอื่นๆ เพราะอย่างนั้นความสามารถในการเดินทางในระยะไกลนั้นจึงถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสําคัญ
ไม่ใช่ว่าใครๆก็อยากจะอยู่ในที่เดิมๆตลอดชีวิตและไม่จากไปไหนเลย
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดของโรแลนด์ในการเลือกความเชี่ยวชาญทางด้านมิติ
เขานั้นหวังที่จะเดินทางท่องเที่ยวในอนาคต ในเมื่อโลกมันใหญ่ถึงขนาดนี้ ทําไมเขาถึงจะเที่ยวมันไม่ได้ล่ะ?
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ขี่หรือเวทย์ที่ใช้บิน มันก็ไม่ง่ายเท่ากับการดีดนิ้วเพียงครั้งเดียวและเคลื่อนย้ายไปเมืองอื่นได้
นั่นแม้งโคตรเจ๋งเลย
ผู้แต่งลืมใส่ชื่อตอน ตอนนี้ครับ ^^
Chapter 109: ถูกหลอกโดย NPC
มีเพียงไม่กี่คนที่เหมาะสมกับการเป็นนักเวทย์ในโลกนี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าไม่มีเลย
ในเมืองที่มีประชากรเป็นล้านคนจะต้องมีเด็กที่มีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์อย่างน้อยหนึ่งร้อยคน
ไม่ว่าพวกเขาเต็มใจที่จะเรียนรู้หรือไม่นั้นไม่ใช่ประเด็น ปัจจัยหลักคือพวกเขาสามารถเรียนรู้ได้หรือไม่
เด็กยากจนที่ต้องการเรียนรู้การอ่านและสามัญชนที่ต้องการเรียนรู้เวทมนตร์?
แม้ว่าคุณจะรวบรวมค่าเล่าเรียนมามากพอ แต่ก็ไม่มีใครเต็มใจที่จะสอนคุณ
การศึกษานั้นอยู่ในมือของขุนนางในขณะที่เวทมนตร์ลึกลับกว่ามาก พวกเขานั้นไม่สามารถหากระทั่งเส้นสายเพื่อเรียนรู้มันได้
แต่ตอนนี้โรแลนด์บอกว่าเขาเต็มใจที่จะสอนเด็กธรรมดาสองคนให้กลายเป็นนักเวทย์ฝึกหัด ไม่น่าแปลกใจเลยที่กลูจะตื่นเต้นถึงขนาดนี้
เมื่อมองไปที่สีหน้าตื่นเต้นของกลู โรแลนด์ก็พยักหน้าและพูดด้วยน้ําเสียงที่อ่อนโยนแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่นว่า “ฉันเป็นคนรักษาคําพูด”
กลูยืดตัวขึ้นประกายความตื่นเต้นปรากฏอยู่ในดวงตาสีน้ําตาลแดงของเขา “มั่นใจได้เลยว่า พวกเรากลุ่มเกรย์แซนด์จะทําทุกอย่างเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ท่านต้องการ”
โรแลนด์พยักหน้า “อย่าทําเกินไปละ”
กลูพยักหน้าซ้ําๆ “ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ”
โรแลนด์มองไปยังกลุที่ดูอ่อนน้อมและหอบหายใจออกมา
ในความเป็นจริงเมื่อกลูเพิ่งมาถึงแม้ว่าเขาจะดูเป็นคนถ่อมตัว แต่โรแลนด์ก็เห็นว่ามันเป็นการแสดงเสียมากกว่า
กลูนั้นเพียงแค่กลัวความแข็งแกร่งและสถานะของเขา แต่ภายในใจของเขายังคงมีความภาคภูมิใจอยู่เล็กน้อย
แต่ตอนนี้ความภาคภูมิใจนี้หายไปเหลือเพียงความรู้สึกยินดีและการประจบอย่างจริงใจ
โรแลนด์นั้นเคยเห็นคนแบบนี้มาก่อน เมื่อตอนเขาอยู่ในชั้นประถม สภาพโดยรวมของประเทศนั้นยังไม่ดีนัก สําหรับเพื่อนร่วมชั้นบางคนของเขาที่จนมากและไม่มีเงินที่จะซื้อหนังสือและเครื่องแบบสําหรับการศึกษา
โรแลนด์นั้นเห็นพ่อของเพื่อนร่วมชั้นคนนี้อ้อนวอนขอร้องพวกอาจารย์เพื่อขอเลื่อนเวลาในการจ่ายเครื่องแบบนักเรียนและหนังสือ
ในตอนนั้น คนเป็นพ่อนั้นรักษารอยยิ้มอ่อนน้อมไว้ตลอด แม้ว่าใบหน้าของเขาจะเปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรกก็ตาม
รอยยิ้มของกลูนั้นเป็นรอยยิ้มแบบเดียวกันกับที่เขาเคยเห็นมาในตอนเด็ก
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง โรแลนด์ก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “ฉันจะรอข่าวดีจากนายที่หอคอยเวทย์นะ”
เมื่อโรแลนด์พูดจบ เขานั้นก็เดินจากไปและกลูก็พุ่งตรงไปเปิดประตูให้แก่โรแลนด์ ก้มตัวต่ําลงราวกับเป็นผู้รับใช้
โรแลนด์ขมวดคิ้วทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เขานั้นเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดแบบนี้เล็กน้อย เพื่อการเติบโตและอนาคตของลูกหลานพวกเขามันไม่สําคัญว่าต้องต่ําต้อยถึงขนาดไหนและต้องอดทนกับความยากลําบากถึงเพียงใด
โรแลนด์นั้นออกจากโรงเตี้ยมเกรย์แซนด์ และไม่ต้องรอให้เขาจากไปไกล กลูก็ลุกขึ้นมายืดตัวทันที
ในขณะเดียวกันเสียงในโรงเตี้ยมก็ค่อยๆกลับคืนมา
กลนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกและวิ่งไปยังด้านบนของโรงเตี้ยม ไปยังประตูแห่งหนึ่ง
ด้านหลังประตูนั้น มีชายวัยกลางคนที่ใบหน้าเหมือนเคยผ่านความยากลําบากมาก่อน ผิวของเขานั้นเป็นสีแทนจากการตากแดดมาเป็นเวลานาน
ชายคนนั้นกําลังนั่งนับเหรียญเงินและเหรียญทองแดงอยู่เขาดูมีความสุขเป็นอย่างมาก
กลูเปิดประตูเข้ามาหาเขาด้วยความเร่งรีบ
ชายคนนั้นมีท่าทีตกใจและคว้ามีดสั้นที่อยู่ในแขนเสื้อออกมา แต่เขาก็โล่งใจทันทีที่เห็นว่าเป็นกลู
กลุนั้นตื่นเต้นเป็นอย่างมากจนทําให้เขาพูดติดอ่าง “หัวหน้าบุตรทองคําที่ชื่อโรแลนด์กล่าวว่าหากพวกเราช่วยเขาอะไรบางอย่าง เขาจะมอบหนึ่งถึงสองสิทธิ์ในการเป็นนักเวทย์ฝึกหัดให้แก่เด็กๆของพวกเรา!”
ชายวัยกลางคนนั้นตกใจไปชั่วระยะหนึ่ง จากนั้นเขาก็ส่ายหัวออกมาและพูดว่า “กลู เจ้ามั่นใจนะว่าเจ้าไม่ได้ฝันไป? นักเวทย์ที่ยอดเยี่ยมไม่ทางที่จะให้สิทธิ์สามัญชนในการเป็นนักเวทย์ฝึกหัดหรอก พวกเขานั้นยังมองขุนนางต่ําต้อยกว่าด้วยซ้ํา”
“หัวหน้าข้านั้นไม่ได้โกหกจริงๆเชื่อข้าเถอะ” กลูพุ่งเข้าไปหาชายวัยกลางคนจากนั้นก็จับไหล่ของเขาไว้และเขย่าอย่างตื่นเต้น “นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของพวกเราแล้ว ท่านต้องเชื่อข้า นักเวทย์โรแลนด์คนนั้นได้สัญญากับข้าไว้แล้ว”
เมื่อมองไปที่ดวงตาสีแดงของกลู การแสดงออกของชายวัยกลางคนก็เริ่มเปลี่ยนไป “จริงงั้นเหรอ?”
“ข้าไม่พูดเล่นกับเรื่องสําคัญแบบนี้หรอกนายท่าน”
ชายวัยกลางคนหลับตาลงหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าของเขามีความสุขเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนอย่างที่กลูเป๋น ทว่าคําพูดของเขาก็ดูรีบเร่งเล็กน้อย “เงื่อนไขของเขาล่ะ?”
“ช่วยเขาหาข้อมูล
แทนที่เขาจะกลับไปยังหอคอยเวทย์โรแลนด์นั้นเลือกตรงไปที่ปราสาท
แม้ว่าโรแลนด์จะไม่ได้มาพร้อมรถม้า แต่เสื้อคลุมเวทย์ของเขานั้นก็ถือเป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดแล้ว ทหารที่เฝ้าปราสาทนั้นไม่กล้าเสียมารยาท หลังจากสอบถามว่าเขามาทําไมพวกเขาก็รีบวิ่งเข้าไปในปราสาทเพื่อรายงาน
ไม่นานนัก จอห์นที่ดูมีสีหน้าง่วงนอนก็เดินออกมา
“เป็นแขกที่ยากที่เจอจริงๆ” จอห์นนั้นดูประหลาดใจ “ข้าคิดว่าเป็นอัลโด้เสียอีก ข้าไม่นึกเลยว่าจะเป็นคุณโรแลนด์”
“ฉันมาหาคุณเพื่อถามคําถามบางอย่างน่ะ”
จอห์นยึดร่างกายและชี้ไปยังทางปราสาท “เข้ามาคุยกันด้านในสิ อย่างน้อยก็ให้ข้าต้อนรับแขกผู้มีเกรียติเสียหน่อย”
โรแลนด์ส่ายหน้าออกมา “ไม่มันเป็นแค่คําถามง่ายๆ ฉันจะไปทันทีที่ถามเสร็จ”
“คุณไม่ให้เกียรติข้าสักหน่อยเหรอ” จอห์นเกาหัว “ขุนนางมาที่หน้าประตูข้า และไม่ยอมเข้าไปในบ้านของข้าอีก ขุนนางคนอื่นจะหัวเราะข้าเอาได้หากได้ยินเรื่องนี้ เอาเถอะทําตามใจที่คุณต้องการเถอะ เพราะยังไงบุตรทองคําก็เป็นพวกแปลกๆ ข้าไม่กล้ายั่วยุคุณหรอก”
คําพูดของจอห์นนั้นเป็นเพียงแค่การพูดไปงั้นๆและถ้าหากจอห์นไม่กล้ายั่วยุพวกเขาจริงๆละก็ เขาก็คงไม่พยายามทําให้บาร์ดขัดแย้งกับเขา
โรแลนด์หยิบแผ่นไม้ออกมาอีกครั้งและถามว่า “คุณเป็นขุนนางที่น่าจะรู้เรื่องตราประจําตระกูลได้ดี ช่วยดูให้หน่อยได้ไหมว่าลายแบบนี้เป็นของตระกูลอะไร”
จอห์นหยิบมันไปและมองดูอยู่พักหนึ่งพร้อมขมวดคิ้วและพูดออกมาว่า “นี่มันไม่ใช่ลายประจําตระกูลของขุนนางที่แท้จริง!”
“ห้ะ?” โรแลนด์นั้นแปลกใจทีเดียว
“มันเป็นเหมือนการเลียนแบบลายประจําตระกูล” จอห์นกล่าวออกมา “ตราประจําตระกูลของขุนนางทุกตระกูลนั้นล้วนแล้วแต่มีความหมายและกระบวนการผลิตที่เข้มงวด สิ่งนี้มันก็แค่ผลงานที่สร้างขึ้นเพื่อฝึกฝนฝีมือเท่านั้น”
โรแลนด์สูดลมหายใจเข้าลึกและพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้วขอบคุณมาก”
เมื่อพูดจบโรแลนด์ก็หันกลับไป
ใบหน้าของโรแลนด์ค่อนข้างบูดบึงขณะที่เขาเดินไปตามถนน เขาพบว่าเขานั้นกําลังไปผิดทาง
บางทีจอห์นอาจจะแค่มีปัญหากับบุตรทองคํา แต่เขานั้นไม่เหมือนคนที่จะเป็นฆาตกร
ความคิดนี้เกิดขึ้นเมื่อเขาได้ยินจากกลูว่าลายแบบนี้นั้นไม่ใช่ของคนในเมืองเดลพอน
และตอนนี้คําพูดของจอห์นก็ยิ่งยืนยันความคิดนั้น
เขานั้นถูกชักจูงให้สงสัยจอห์น
จริงๆแล้วมันมีกฏที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ในหมู่ขุนนางอยู่ข้อหนึ่งคือ “รับโทษ” ทว่าหากจอห์นนั้นโยนความผิดไปให้ใครสักคน ด้วยฐานะของลูกชายของนายกของเมือง และว่าที่นายกในอนาคต สถานะของชายที่ตกต่ําคนนั้นก็ดูจะต่ําไปเสียหน่อย มันไม่น่าจะเป็นแค่กึ่งขุนนางจากตระกูลพ่อค้าอย่างเอ็ดเวิร์ดแน่
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือพี่ชายคนโตของตระกูลเอ็ดเวิร์ดนั้นไม่มีค่าพอที่จะรับผิดแทนเขาด้วยซ้ํา
และยังมีแผ่นไม้นี่อีก ดูเหมือนว่ามันถูกทิ้งไว้โดยพี่ชายคนโตของตระกูลเอ็ดเวิร์ด ด้วยฐานะตระกูลพ่อค้า พวกเขานั้นต้องการจะเป็นขุนนางที่แท้จริง ดังนั้นมันจึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะมีการเตรียมตราเบื้องต้นไว้ล่วงหน้า
มันดูเหมือนว่ามันมีการเชื่อมโยงกันระหว่างจอห์น , เด็กสาวที่หายตัวไป และตราประจําตระกูล แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่
จอห์นนั้นอาจจะเป็นศัตรูกับโรแลนด์และบุตรทองคําคนอื่นๆ แต่เขานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเด็กสาว
มันมีเหตุผลอยู่
ถ้าหากเป็นนจอห์นจริงๆ แพะรับบาปของเขานั้นคงเป็นบุตรชายแท้ๆของขุนนาง ไม่น่าจะใช่แค่บุตรของตระกูลพ่อค้า
ทันใดนั้นเขาก็จําได้ถึงท่าทางที่รุนแรง ความเศร้า, ความโกรธแค้นและความสิ้นหวังที่พี่ชายคนโตตระกูลเอ็ดเวิร์ดที่กําลังจับเด็กสาวอยู่มองมาที่เขา
ทันใดนั้นโรแลนด์ก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาทันที
ไม่แปลกใจเลยว่าทําไมช่วงนี้นั้นเขาถึงรู้ว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ
เชี่ย เขาเกือบจะถูกจัดการด้วยความฉลาดของพวก NPC เสียแล้ว
อนที่ 108 : จริงงั้นเหรอ?
หลังจากหัวเราะจบ โรแลนด์ก็เดินทางออกไปนอกเมืองเพื่อไปหาฮอร์ก
ฮอว์กกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งและมีรูปร่างใหญ่โตเหมือนกอริลลาขนาดใหญ่ เขานั่งลงบนขั้นบันไดหินและจ้องมองไปที่กล้ามเนื้อที่นูนของเขา ดูเหมือนเขาค่อนข้างพอใจกับมัน
เดิมที่ฮอร์กนั้นออกแบบใบหน้าตัวละครของเขาให้มีจอนผมปรากฏออกมา และเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมันก็ตรงกับความตั้งใจของเขาเข้าพอดี
ลิงค์นั้นไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ถึงแม้ว่ารูปร่างของเขานั้นจะดูมีกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น ทว่ามันก็ไม่ได้เด่นชัดเหมือนที่เขาเห็นจากคนอื่นๆมา
เหล่าขอทานนั้นล้วนแล้วแต่ตกใจกัน ทว่าก็ไม่ได้หวาดกลัวรูปร่างที่เปลี่ยนไปของฮอร์ก
ยิ่ง“ เจ้านาย” ของพวกเขาแข็งแกร่งมากเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งมีที่คุ้มครองและมีความปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น พวกเขามีชีวิตที่ต้องพลัดถิ่น ถูกรังแกและไม่เคยได้อิ่มท้อง ตราบใดที่ผู้นําของพวกเขาสามารถปกป้องพวกเขาได้พวกเขาก็จะไม่มีปัญหาใดๆ พวกเขานั้นไม่มีปัญหาต่อให้เขานั้นเปลี่ยนเป็นมังกรยักษ์ก็ตาม
เมื่อโรแลนด์เห็นฮอร์กมีท่าทางมีความสุข เขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา “มุมมองเรื่องความงามของนายนี่เป็นเอกลักษณ์จริงๆ”
“นายจะรู้อะไรกัน? ผู้ชายควรจะเป็นแบบนี้ต่างหาก” ฮอร์กนั้นอยู่ในท่าโพสต์ของนักเพาะกาย กล้ามเนื้อของเขาเต้นราวกับมีหนูอยู่ใต้ผิวหนังของเขามันดูน่าขยะแขยงอย่างมากที่จะจ้องมอง
พวกขอทานของนาย
โรแลนด์นั้นมองด้วยท่าทีรังเกียจและกล่าวว่า “ยกเลิกพวกขอทานของนายซะ ปล่อยให้คดีเด็กสาวหายตัวดําเนินไปสักพักก่อน”
ฮอร์กเงียบไปพักหนึ่ง “นายยอมแพ้แล้วงั้นเหรอ?”
โรแลนด์ส่ายหัวออกมา “จะเป็นงั้นได้ไง ฉันแค่จะลองใช้แผนของฆาตกรเพื่อจับปลาตัวใหญ่ต่างหาก”
ฮอร์กยิ้มออกมา “ฉันเข้าใจแล้ว”
หลังจากกลับไปที่เมือง โรแลนด์ก็ไปยังเกรย์แซนด์
ที่นี่ยังคงเสียงดังเหมือนเช่นเคย แต่เมื่อโรแลนด์เดินเข้ามาเสียงก็เบาลงเรื่อยๆ จนเงียบหายไปในที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญเวทมนตร์ให้เกรียติพวกเขาด้วยการปรากฏตัวออกมาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าส่งเสียงไม่สุภาพออกมา นอกจากนี้ชื่อเสียงของโรแลนด์ในเดลพอนนั้นก็ไม่ได้ต่ํา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีเรื่องที่พวกเขาทั้งสามคน “ล้อมและสังหาร” พี่ชายคนโตของตระกูลเอ็ดเวิร์ด บุคคลสําคัญเกือบทั้งเมืองในตอนนี้ล้วนแล้วแต่จดจําเขาได้แล้ว
สําหรับคนที่กล้าฆ่าขุนนาง การฆ่าสามัญชนสองสามคนก็อาจจะเป็นเพียงแค่เพื่อความบันเทิงเท่านั้น!
โรแลนด์นั้นไม่คุ้นชิบกับกลิ่นของแอลกอฮอล์ที่ผสมกับกลิ่นเหงื่อที่เหม็นเปรี้ยว ทว่าเขานั้นทําได้แค่ต้องทนมัน
เขาหาโต๊ะและนั่งลง จากนั้นบาร์เทนเดอร์เข้ามาด้วยท่าทางนอบน้อมและถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านนักเวทย์ท่านต้องการเครื่องดื่มอะไรกันครับท่าน”
“เอาไวน์ผลไม้มาแก้วหนึ่ง” โรแลนด์ยิ้มอย่างสุภาพ “อ้อแล้วก็ฉันต้องการพบกลู”
“ข้าเข้าใจแล้วท่าน” บาร์เทนเดอร์เดินออกไป เช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากด้วยแขนเสื้อขณะที่เขาหันกลับไป
หลังจากนั้นไวน์ก็ถูกเสิร์ฟจากสาวเสิร์ฟ
มันเป็นไวน์ที่ดีที่สุดที่พวกเขาสามารถหาได้ในเกรย์แซนด์แล้ว และพวกเขานั้นไม่ได้ขายมันบ่อยนัก อย่างน้อยก็ไม่ขายให้กับคนธรรมดา
หลังจากรอไปได้สิบนาที กลูที่เหงื่อท่วมตัวก็รีบเร่งมาจากทางหน้าประตูทางเข้า
เขายืนอยู่ตรงหน้าของโรแลนด์ด้วยท่าทางนอบน้อม “ข้าต้องขอโทษท่านด้วย ข้าออกไปทําธุระข้างนอกมาและเมื่อข้าทราบข้าก็รีบเร่งมาในทันที”
“ไม่เป็นไร จริงๆแล้วมันเป็นความผิดของฉันมากกว่าที่รบกวนธุระของนาย” โรแลนด์ พูดออกมาในเชิงขอโทษ
กลุรู้สึกโล่งใจที่เห็นว่าโรแลนด์ยังคงพูดคุยได้ง่ายเหมือนเดิม เขานั่งลงตรงหน้าโรแลนด์และเช็ดเหงื่อจากหน้าผากของเขาด้วยผ้าเช็ดหน้าและถามว่า “มีอะไรที่ข้าพอจะช่วยท่านได้หรือไม่?”
โรงเตี้ยมนั้นเงียบมาก ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะไม่ได้พูดเสียงดังนักและไม่มีใครมองมาที่พวกเขา โรแลนด์ก็รู้ดีว่าพวกขี้เมาพวกนั้นกําลังหูฝั่งเพื่อฟังว่าพวกเขากําลังจะพูดคุยอะไรกัน
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะหวาดกลัวในพลังอํานาจ แต่พวกเขาเองก็ชื่นชอบในการทําเรื่องเลวร้ายเช่นกัน ดังนั้นแค่การแอบฟังคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก
เมื่อมองไปทางซ้ายและทางขวาโรแลนด์ก็ถามว่า “นายไม่มีสถานที่ดีกว่านี้แล้วงั้นเหรอ?”
“ใช่ๆ!” กลูยืนขึ้นทันที “ข้าต้องขอโทษท่านด้วย ข้านั้นประมาทเกินไป”
เขานั้นรีบยืนขึ้นและเผยมือเพื่อนําทางโรแลนด์
หลังจากนั้นพวกเขาก็เข้ามายังห้องเล็กๆห้องหนึ่ง
ประตูไม้หนาและผนังทึบมันสามารถป้องกันเสียงเล็ดลอดออกไปได้แน่นอน
พวกเขานั่งลงอีกรอบ โรแลนด์นั้นวางแผ่นไม้เล็กๆที่ได้จากบ้านเอ็ดเวิร์ดลงบนโต๊ะ จากนั้นเขาก็ถามว่า “นายเคยเห็นลายแบบนี้มาก่อนไหม?”
กลูหยิบขึ้นมาดูก่อนจะพูดขอโทษว่า “ข้าขอโทษทว่าข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อน ไม่มีขุนนางคนไหนมีชุดที่มีลายแบบนี้เลย”
ไม่ใช่คนในเดลพอนงั้นเหรอ!
ทว่ามันก็ไม่น่าแปลกใจนัก บางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่ต้องการใช้เกมง่ายเกินไปก็ได้เลยพยายามหาวิธีให้เขาเข้าใจผิดไปในทางอื่น
“นายไม่รู้ก็ไม่เป็นไร” โรแลนด์พูดต่อว่า “ฉันอยากจะถามเกี่ยวกับประวัติของกลุ่มเกรย์แซนด์สักหน่อย พวกนายนั้นเล่นตามกฏใช่ไหม…”
เมื่อได้ยินดังนั้น กลูกหลั่งเหงื่อเย็นออกมา
ทุกคนในเดลพอนนั้นรู้ว่าบุตรทองคําพวกนี้นั้นเป็นคนดี ไม่ว่าจะเป็นตอนที่พวกเขาพบเจอ อาชญากรรมพวกเขาก็จะลุกขึ้นมาเพื่อหยุดมันและช่วยเหลือเหยื่อทางกายภาพ
ไม่ต้องพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลักๆที่เกิดขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้ ขุนนางหนุ่มที่ชื่อเบทต้านั้นหักแขนของโจรไปมากมายและเตะพวกนักต้มตุ๋นไปแล้วก็หลายคน
นอกจากนี้ยังมีบุตรทองคําอีกสองคนที่อยู่นอกเมืองกําลังหาทางช่วยเหลือพวกขอทาน แก๊งเล็กๆขนาดเพียงไม่กี่คนที่รีดไถพวกขอทานนั้นต่างถูกตัดขาดแหล่งรายได้ ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามไปเจรจาด้วยเหตุผลและไม่มีเจตนาที่จะก่อความรุนแรง แต่ท้ายที่สุดพวกเขานั้นก็ยังถูกจัดการจนไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างทิศเหนือ ใต้ ออก, ตกได้
โรแลนด์ที่อยู่ตรงหน้าเขานี้นั้นเป็นคนที่เจรจาด้วยได้ง่ายที่สุดทว่ากลับลึกลับที่สุด
เป็นทั้งนักเวทย์ทางการและดํารงตําแหน่งปัจจุบันเป็นถึงรองประธานของหอคอยเวทย์
เขานั้นกําลังสืบสวนคดีของเด็กสาวที่หายตัวไป
เหล่าขุนนางนั้นไม่พอใจกับการกระทําของโรแลนด์และมองว่าเขาเป็นพวกไร้ประโยชน์ไม่ก็มองว่าเขาเป็นพวกอวดรู้
อย่างไรก็ตามกลุรู้ดีว่าขุนนางพวกนั้นกลัวว่าโรแลนด์จะสืบค้นเจอบางสิ่งและสามารถมาต่อว่าพวกเขาได้
การดูถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรงบนพื้นผิวไม่สามารถปกปิดความกลัวในใจพวกเขาได้
นี่คือสาเหตุที่คําพูดของโรแลนด์ในช่วงครึ่งแรกสร้างความหวาดกลัวให้กับกลอย่างมาก
“แม้วิธีการของพวกนายจะมีบางอย่างที่ผิดอยู่ก็ตาม แต่พูดตามตรงพวกนายก็มีความเคร่งครัดมากที่สุดแล้ว” โรแลนด์ยิ้มให้กลที่มีสีหน้าซีดราวกับจะตายและพูดว่า “ฉันนั้นมีบางอย่างที่ต้องการให้นายช่วย”
“ได้โปรดพูดต่อ” กลูถอนหายใจยาวออกมา
“ฉันต้องการชื่อและอายุของเด็กสาวที่หายตัวไปทั้งหมดในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาในบริเวณใกล้ๆป่า มันน่าจะดียิ่งขึ้นหากนายพอจะทราบเวลาที่พวกเธอถูกฆ่าทิ้ง”
กลูพยักหน้าอย่างหนัก “ข้าจะทํามันเอง”
ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน แต่กลูก็ไม่กล้าปฏิเสธเขา เขากลัวว่าหากเขาปฏิเสธกลุ่มเกรย์แซนด์จะกลายเป็นพวกชั่วร้ายในสายตาของโรแลนด์
โรแลนด์ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาขู่ใครสักคนสําเร็จ ไปได้ด้วยดีทว่าจากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่า “ฉันไม่มีเงินหรือของใดๆ”
“มันไม่จําเป็นเลยท่าน มันเป็นความกรุณาอย่างยิ่งที่กลุ่มเกรย์แซนด์ของพวกเราได้รับใช้ท่าน”
“ฟังฉันนะ” โรแลนด์พูดต่อ “พวกเราบุตรทองคํานั้นให้ความสําคัญในการแลกเปลี่ยนกันอย่างเท่าเทียม นายและเจ้านายของนายสามารถเลือกเด็กที่ดูท่าทางฉลาดที่สุดในบรรดาทั้งหมดและส่งพวกเขาไปยังหอคอยเวทย์ ฉันจะเลือกหนึ่งถึงสองคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดและทําให้พวกเขานั้นกลายเป็นนักเวทย์ฝึกหัด”
กลูวางมือลงบนโต๊ะอย่างแรง เขาลุกขึ้นมาในทันทีและมองไปที่โรแลนด์อย่างไม่น่าเชื่อ “จริงงั้นเหรอท่าน?”
ในตอนนี้นั้นโรแลนด์นั้นอยู่ในเลเวลสี่และเข้าใกล้เลเวลห้าแล้ว เขานั้นเข้าใจเป็นอย่างดีถึงการทํางานของค่าคุณสมบัติต่างๆ ดังนั้นเขาจึงมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นของตัวเอง
“ค่าสติปัญญานั้นเป็นตัวกําหนดค่ามานาสูงสุดรวมถึงพลังของเวทย์ มันเป็นค่าสถานะหลักของนักเวทย์ ดังนั้นการใส่แต้มทั้งหมดไปยังค่าสถานะนี้จึงเป็นเรื่องที่ดี ทว่าเกมนี้มันต่างออกไปและค่าสถานะอื่นๆก็ค่อนข้างสําคัญเช่นกัน ค่าความต้านทานจะเป็นตัวกําหนดค่าการฟื้นฟูมานา , ความสามารถในการควบคุมองค์ประกอบเวทย์ และ ต้านทานผลของการถูกพลังเวทย์ตีกลับ ส่วนค่าร่างกายก็เหมือนอย่างที่ทุกคนทราบมันแสดงถึงค่าพลังชีวิตสูงสุดและค่าความแข็งแกร่ง
“เมื่อเริ่มเลเวลเพิ่มขึ้น ความต้านทานของนักเวทย์ต่อการถูกพลังเวทย์ตีกลับก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ทว่านั่นมันก็เป็นเพียงแค่ผลลัพธ์ที่ได้มาจากความแข็งแกร่งและความแข็งแกร่งในจิตใจเท่านั้น ในเมื่อมันเป็นอย่างนั้น ทําไมเราไม่ลดขีดจํากัดของค่าสติปัญญาลงละ หากลดมันจาก 10 ไป 9 และกระจายแต้มที่เหลือทั้งหมด 3 แต้มไปยังค่าความต้านทานและด้านร่างกาย ด้วยการจัดสรรแบบให้มีค่าสติปัญญา 9 แต้ม และค่าความต้านทาน 7 แต้ม และ 7 แต้มในค่าร่างกาย ด้วยการแลกเปลี่ยนนี้จะทําให้เวทย์เบาลงกว่าสามารถควบคุมเวทมนตร์ได้ดียิ่งขึ้นและมีความสามารถในการเอาตัวรอด ด้วยวิธีนี้ไม่ว่าใครก็ตามจะได้ไม่ต้องจบลงด้วยการหัวระเบิดจากแรงสะท้อนของเวทมนตร์อีก
“และค่าร่างกาย 7 แต้มนั้น หลังจากได้เรียนรู้การต่อสู้ระยะประชิดและเวทย์เสริมพลังแล้ว ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นแกรนดราฟด์ (1) ได้เพื่อรับมือสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออํานวยต่อนักเวทย์”
ข้อความด้านบนนั้นเป็นใจความสําคัญในกระทู้ของโรแลนด์
ตั้งแต่ตอนที่เริ่มสร้างตัวละคร ค่าสถานะของผู้เล่นนั้นจะอยู่ที่ห้า และจะมีแต้มสถานะฟรีทั้งหมดสิบแต้ม
และเมื่อค่าสถานะนั้นๆเพิ่มขึ้น จํานวนแต้มที่ต้องใช้ก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน เมื่อค่าสถานะจากหกไปเจ็ด มันจะใช้แต้มเพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้น แต่เมื่อแปดไปเก้านั้นมันต้องใช้แต้มถึงสองแต้มและเพื่อเพิ่มถึงสิบนั้นจําเป็นต้องใช้แต้มถึงสามแต้ม
ผู้เล่นนั้นมีค่าเติบโตสูงสุดที่สิบ
หากต้องการเพิ่มค่าสถานะให้เต็มสิบนั้นมันจําเป็นต้องใช้แต้มถึงเก้าแต้ม และแต้มที่เหลือนั้นจะเอาไปเพิ่มที่ไหนก็ได้ โรแลนด์นั้นเพิ่มมันไว้ยังค่าต้านทาน
ค่าสถานะการเติบโตของเขานั้นคือ ร่างกาย 5 แต้ม , ความคล่องตัว 5 แต้ม , ค่าสติปัญญา 10 แต้ม .ค่าความต้านทาน 10 แต้ม และค่าเสน่ห์ 5 แต้ม
โรแลนด์นั้นควบคุมเวทย์ได้ดีกว่าคนทั่วไปมากเพราะพรสวรรค์พิเศษของเขาการควบคุมเวทย์เขานั้นยังมีอัตราการเติบโตของค่าความต้านทานถึง 6 แต้ม ดังนั้นผลลัพธ์มันก็ค่อนข้างชัดเจน เขานั้นค่อนข้างแข็งแกร่งในด้านการทําลายและการควบคุมเวทย์
ทว่าหากผู้เล่นคนอื่นต้องการทําเช่นเดียวแบบเขาละก็ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นพวกเขานั้นทําได้เพียงแค่หาหนทางในการจัดสรรค์ค่าสถานะ โดยมีค่าความต้านทานสูงขึ้นและมีค่าร่างกายสูงขึ้นเพื่อต่อสู้กับการตีกลับของพลังเวทย์
นี่เป็นกลยุทธ์ที่โรแลนด์จะใช้ตอบโต้กับเกมในเวอร์ชั่นปัจจุบัน
หลังการกระทู้ของเขาถูกโพสต์ออกไป มันก็มีนักเวทย์มากมายมาคอมเม้นต์ในทันที
“ฉันจะเข้าเกมและไปของดูว่าความกระตือรือร้นขององค์ประกอบเวทย์นั้นส่งผลต่อพวกเราขนาดไหนก่อน หากมันเกิดร่ายเวทย์ยากขึ้นอีก ฉันจะลบบัญชีแล้วของจัดเรียงค่าสถานะตามที่โรแลนด์บอกดู”
“ฉันขี้เกียจที่จะติดอยู่กับที่อย่างนี้อีกต่อไปแล้ว วันนี้หลังจากได้ออนไลน์ ฉันจะรีบไปลบบัญชี แล้วไปเล่นเป็นนักรบแทน”
“พี่ชาย นายเห็นเหรอว่านักรบถูกเนิร์ฟ?”
“มันก็ยังดีกว่าเล่นนักเวทย์อยู่แล้วน่า”
โรแลนด์ถอนหายใจออกมาเบาๆ เขานั้นพยายามมากแล้ว
เขานั้นทั้งอัปโหลดแบบจําลองเวทย์และค้นหาวิธีต่างๆให้นักเวทย์นั้นสามารถเริ่มต้นได้ง่ายขึ้น
นี่มันถึงขีดสุดแล้วที่เขาสามารถทําได้ในตอนนี้ อย่างไรก็ตามเขานั้นก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดา ไม่ใช่อัจฉริยะหรือคนที่น่ายอดเยี่ยมแต่อย่างใด เขานั้นไม่สามารถทําอะไรเพื่อเปลี่ยนกระแสนี้ได้
เขาปิดคอมพิวเตอร์และขี่จักรยานสาธารณะไปยังสโมสรดาบ
เพราะตอนนี้เขานั้นอารมณ์ไม่ดีนัก เขาจึงขาดแรงจูงใจในการเรียน และนั้นก็ทําพลาดอย่างต่อเนื่องขณะฝึกซ้อม ฉีเฉาชู่ส่ายหัวแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ทุกคนต่างมีวันที่ไม่ดีกันทั้งนั้น
ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ซีฉาผู้ซึ่งมักจะคอยเข้าใกล้อยู่ตลอดเวลากลับมีท่าที่ต้องการทําอะไรสักอย่างแต่ก็มีท่าทีที่ดูลังเล
ทว่าโรแลนด์ก็ไม่ได้สังเกตุถึงมัน
ในระหว่างทางกลับบ้านจากสโมสรดาบ โรแลนด์นั้นก็ได้ขี่อ้อม โดยจงใจไปยังทิศทางตรงกันข้ามแล้ววนเข้าซอยจากนั้นก็กลับบ้านอย่างช้าๆ
เหตุผลหลักที่ต้องทําแบบนี้ก็เพื่อป้องกันการถูกติดตามจากจินเหวินเหวิน
เมื่อถึงเวลาโรแลนด์ก็กลับเข้าสู่โลกแห่งเกมในเวลาเดิม
โลกขาวดํานั้นอยู่เพียงไม่กี่สิบวิ ก่อนที่รอบข้างจะกลับมาดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
โรแลนด์เปิดหน้าต่างระบบ และเหมือนที่เขาคิด เขาพบไอคอนวงกลมสีฟ้าซึ่งมีเมฆสีขาวอยู่ตรงมุมขวาล่าง นี่เป็นเบราว์เซอร์ของเพนกวินคอโปเรชั่น
เมื่อคลิกเขาไป โรแลนด์ก็สุ่มเข้าไปในเว็บไซค์เพื่อทดสอบความเร็วในการเชื่อมต่อ เขาพบว่าความเร็วในการตอบสนองของเครือข่ายนั้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก มันแทบจะเปิดขึ้นมาทันทีหลังจากที่เขาคลิกมันไป
วีดีโอนั้นเกือบจะบัฟเฟอร์เสร็จในทันที (2)
โรแลนด์นั้นเปิดเข้าไปยังฟอรั่มของเกมและพบว่าโฆษณาการไลฟ์สดของฟานลิ่วยี่นั้นถูกปักหมุดไว้อยู่บนสุดของกระทู้
เมื่อโรแลนด์ลองคลิกเข้าไปดู เขาก็เห็นสาวสวย , ตาสีฟ้า ผมสีบรอนด์กําลังร่ายรําอยู่ในชุดที่ดูยั่วยวนอยู่ภายในห้องที่เหมือนโรงเตี๊ยม
มีผู้ชายอยู่โดยรอบเป็นจํานวนมาก เมื่อตัดสินจากอาการของพวกเขา เกือบครึ่งนั้นเป็นผู้เล่นและที่เหลือนั้นเป็น NPC ทั้งหมด
รูปร่างหน้าของนักเต้นสาวนั้นมีความคล้ายฟานลิ่วยี่ถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
เธอสร้างตัวละครขึ้นมาตามหน้าตาขอเธอจริงๆงั้นเหรอ?
ต๊อก ต๊อก!
โรแลนด์เดาะลิ้นออกมา แต่ทันใดนั้นสายตาของเขาก็ไปเห็นสิ่งหนึ่ง สายตาของเขานั้นถูกดึงดูดไปโดยผู้เล่นชายหลายคนที่อยู่เบื้องหลังนักเต้น
ผู้เล่นชายเหล่านี้ … กล้ามเนื้อที่มีรอยนูนของพวกเขาเหมือนกับหนอนตัวยาวที่เกาะแขนของพวกเขาและร่างกายของพวกเขาก็ใหญ่โตขึ้นมากและดูผิดปกติเป็นอย่างมากเดี๋ยวก่อนนะ!
ไม่ใช่ว่ามันมีตัวเลือกสําหรับสภาพร่างกายของนักรบไม่ใช่เหรอ?
มันควรจะเป็นกล้ามเนื้อที่สวยงามและได้สัดส่วน โดยสามารถแต่งตัวให้ดูผอมได้ แต่เมื่อถอดเสื้อผ้าออกก็จะเต็มไปด้วยมัดกล้ามไม่ใช่เหรอ?
ยิ่งไปกว่านั้นการแสดงออกของผู้เล่นเหล่านี้มีความเศร้าโศกราวกับว่าพวกเขาสูญเสียพ่อแม่ไป ความหดหู่ของพวกเขามากพอที่จะทะลุเกณฑ์ได้ พวกเขานั้นไม่ได้ต้องการมองไปที่ฟานลิ่วยี่ด้วยซ้ำ ในขณะเดียวกันสายตาของพวกเขาดูเหมือนจะจับจ้องอยู่ที่ไหนสักแห่ง
พวกเขาดูเหมือนว่ากําลังอ่านฟอรั่มอยู่?
โรแลนด์เปิดฟอรั่มของเกมขึ้นมาในทันทีและพบว่าในฟอรั่มนั้นเต็มไปด้วยโพสต์ราวกับจะระเบิดออก
โรแลนด์นั้นลองเปิดดูกระทู้ที่ได้รับความนิยมและหลังจากอ่านพวกมัน เขานั้นก็อดไม่ได้ที่จะล้มลงไปหัวเราะและเอากําปั้นของตัวเองกระแทกไปยังพื้น
ถึงแม้ว่าผู้พัฒนาเกมนั้นจะลดค่าสถานะร่างกายของนักรบลง แต่ในความเป็นจริงจํานวนของพวกเขานั้นก็ไม่ได้ลดลงมากนัก
พวกเขานั้นได้ทําการเนิร์ฟอีกอย่างหนึ่งคือการเรียกคืนรูปร่างที่แท้จริงของเหล่านักรบ
นักรบที่มีค่าสถานะการเติบโตของร่างกาย 7 แต้มนั้นตั้งแต่หัวจรดเท้าของพวกเขานั้นจะเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและเมื่อมีค่าสถานะร่างกาย 8 หน่วย กล้ามเนื้อของพวกเขาก็จะเทียบได้กับนักเพาะกายระดับโลก
สําหรับนักรบที่มีค่าร่ากายถึง 9 หน่วย ร่างกายของพวกเขานั้นก็จะราวกับกอริลลาและสําหรับนักรบที่มีค่าสถานะร่างกาย 10 หน่วย พวกเขานั้นก็จะราวกับอาวุธชีวภาพของมนุษย์ ความสูงของพวกเขานั้นไม่เพียงแค่เกินกว่าสองเมตร ทว่ากล้ามเนื้อของพวกเขานั้นยังเยอะจนน่ากลัวอีกด้วย ขนาดกล้ามเนื้อบริเวณคอของพวกเขานั้นยังใหญ่มากกว่าหัวของพวกเขา พวกเขาจะไม่แปลกใจเลยหากพวกเขาถูกเรียกว่าออร์ค
และนักรบประเภทร่างกายและเสน่ห์นั้นยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ผู้ชายนั้นดูดีเหมือนกับนาจา ในขณะที่ผู้หญิงนั้นราวกับตุ๊กตาบาร์บี้ทรงกอลิล่า
ในฟอรั่มนักรบนั้นต่างออกมาคร่ำครวญเต็มไปหมดและแน่นอนว่ามีคนบางกลุ่มรู้สึกว่าการมีกล้ามเนื้อแบบนี้มันมีเสน่ห์อย่างแปลกๆ
โรแลนด์หัวเราะอย่างน้อยสามนาที่เขานั้นแทบหยุดไม่อยู่ จากนั้นเขาก็เปิดกระทู้หนึ่งและเห็นภาพของคิงคองบาร์บี้ที่ขมขึ้นและเขาก็กลิ้งไปบนพื้นเพื่อหัวเราะอย่างต่อเนื่องอีกสองสามนาทีก่อนจะลุกขึ้นยืนผู้พัฒนาเกมนี้รู้วิธีสร้างเรื่องดีจริงๆ
นี่เป็นการลดผลประโยชน์ของค่าสถานะร่างกายจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับผู้เล่นที่เป็นผู้หญิง มันเป็นความสูญเสียอย่างแท้จริงเมื่อมีค่าสถานะทางร่างกายที่สูงขึ้น ข้อได้เปรียบของพวกเขานั้นลดลงอย่างมาก
โรแลนด์นั้นเชื่อแล้วว่าการ “เนิร์ฟ” นี้จะช่วยควบคุมประชากรของนักรบได้อย่างแท้จริง
******************
แกรนดราฟด์ (1) ตัวละครใน The Lord of the ring
บัฟเฟอร์ (2) หน่วยความจําที่ใช้สําหรับพักข้อมูลเป็นการชั่วคราวในระหว่างทําการถ่ายทอดหรือส่งผ่านข้อมูล คือเหมือนถ้าเราดูเปิดวีดีโอดูนะครับบัฟเฟอร์ก็จะทํางานทําให้เราดูวีดีโอได้ต่อไปเรื่อยๆ แต่หากมันไม่ได้บัฟเฟอร์ไว้วีดีโอก็จะสะดุดครับ
ในตอนนี้นั้นเกมอยู่ในขั้นตอนการทดสอบอัลฟาดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีการอัปเดตเป็นครั้งคราว
สําหรับผู้ที่ต้องการจะเล่นเกมนี้อย่างจริงจังนั้นต้องอ่านเนื้อหาการอัปเดตอย่างละเอียด ท้ายที่สุดคุณจะได้รับข้อมูลมากมายที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ภายในเกม
โรแลนด์เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นสําหรับเรื่องนี้เช่นกัน
เขาคลิกเข้าไปยังการประกาศอัปเดตและอ่านมันอยู่พักหนึ่ง โรแลนด์นั้นค่อนข้างประหลาดใจอย่างมาก
เนื้อหาการอัปเดตของเกม :
1: เพิ่ม “เบราว์เซอร์” ในอินเทอร์เฟซระบบเกม จากนี้ต่อไปผู้เล่นจะสามารถดูวิดีโออ่านนิยายและสื่อสารผ่านห้องสนทนาภายในเกมได้
2: เพิ่มความกระตือรือร้นขององค์ประกอบเวทย์มนตร์ ความยากในการร่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและความเสียหายของเวทย์เพิ่มขึ้นในระดับปานกลาง พ่อมดนั้นจะได้รับประโยชน์กับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ในขณะที่นักเวทย์ธรรมดาจะไม่ได้รับประโยชน์ในเรื่องนี้ในช่วงเริ่มต้น ทว่าจะได้ประโยชน์อย่างมากเมื่อเข้าสู่ขั้นกลางหรือขั้นสูง
3: พวกเราสังเกตเห็นว่าอาชีพนักรบมีจํานวนประชากรมากเกินไปซึ่งเกินกว่าครึ่งของจํานวนผู้เล่นทั้งหมด ดังนั้นค่าสถานะ “ร่างกาย” จะส่งผลลดลงและในขณะเดียวกันก็มีการเพิ่มข้อกําหนดในการเรียนรู้เกี่ยวกับความสามารถพิเศษอันทรงพลังของนักรบ
4: หายตัว สกิลพิเศษเฉพาะคลาสโจรจะได้รับการปรับให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถซ่อนตัวได้ดีขึ้นในระยะไกลและซ่อนตัวได้แย่ลงเล็กน้อยในระยะใกล้ โดยจะเปลี่ยนเป็นการเป็นการโปร่งแสงไปโดยสมบูรณ์ และในตอนนี้จะมีเพียงทักษะพิเศษเท่านั้นที่จะสามารถมองทะลุทักษะพิเศษนี้ได้
5: พิจารณาจากความเร็วในการเลื่อนระดับของผู้เล่นในตอนนี้นั้นล่าช้าเกินไป ดังนั้นพวกเราจึงได้เพิ่มอัตราการกระตุ้นภารกิจอย่างเหมาะสม
6: เพิ่มประสิทธิภาพของปัญญาประดิษฐ์ของเหล่า NPC อีกครั้ง : ลดตรรกะเชิงกลของพวกเขาลง และเพิ่มผลกระทบบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟค (1) ภายใต้การกระทําในสภาพแวดล้อมนั้นๆและเพิ่มอิทธิพลที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ในการกระทําของพวกเขา
การอัปเดตทั้งหกล้วนแล้วแต่เป็นหัวข้อที่ใหญ่ทั้งสิ้น
ในเมื่อวานนี้ข่าวเกี่ยวกับการประกาศของระบบเกี่ยวกับเวทย์ที่โรแลนด์นั้นเป็นคนค้นพบนั้นกระจายไปทั่ว และตอนนี้ภายในฟอรั่มก็ยังคงมีการพูดถึงเขาอยู่เช่นกัน แต่ทันที่ที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการออกมา ความจริงที่ว่าโรแลนด์เป็นคนสร้างเวทย์นั้นก็กลายเป็นข่าวเก่าไปทันที
ไม่ว่าจะเป็นการอัปเดตที่เล็กน้อยขนาดไหน พวกมันทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อเกม ในตอนนี้นั้นมีการอัปเกรดเข้ามาต่อเนื่องถึงหกครั้ง : เห็นได้ชัดว่าผู้พัฒนาเกมนั้นติดตามข้อมูลของผู้เล่นอยู่ช่วงหนึ่ง แต่พวกเขาก็ตั้งใจที่จะพัฒนาเกมด้วยเช่นกัน
มันเป็นเรื่องแปลกสําหรับโรแลนด์ ตลอดเวลาเขานั้นคิดว่าตัวเองอยู่ในโลกจริงๆมาตลอด ทว่าผู้พัฒนาเกมนั้นก็สามารถสร้างผลกระทบต่อโลกนั้นได้!
พวกเขานั้นเป็นใครกันแน่?
หรือว่าเขานั้นคิดผิดมาตลอด จริงๆแล้วมันก็เป็นเพียงแค่โลกแห่งเกมก็เท่านั้น?
เขาเปิดเข้าไปยังฟอรั่มเพื่อดูว่า ผู้เล่นคนอื่นคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในฐานะคนที่ใช้เวลาซ้ำไปมาในชั้นมัธยมปลายเพื่อเอนทรานซ์เข้ามหาลัย ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองนั้นสอบติดมหาลัยชิงหวา
กระทู้นี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก คนโพสต์กระทู้นี้นั้นอ้างตัวว่าตัวเองเป็นนักเรียนมัธยมปลายที่ซ้ำขั้น เขานั้นซื้อแคปซูลเสมือนจริงมาก็เพื่อแค่ทําให้ตัวเองพักผ่อนได้ดีขึ้นก็เท่านั้นเกี่ยวกับเกมเสมือนจริงนั้น เขาไม่เคยเชื่อว่ามันจะเป็นจริงตั้งแต่แรก
เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่ามันจะเป็นความจริง
จากนั้นเขาก็เริ่มเล่นเกมอย่างมีความสุข แคปซูลเสมือนจริงนี้นั้นไม่เพียงแต่ทําให้คุณภาพในการนอนของฉันดีขึ้นเท่านั้นทว่าเวลาภายในโลกแห่งเกมและโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเป็นอัตราส่วน 3:1 เขานั้นสามารถใช้มันเป็นเวลาเพื่อทั้งเรียนและเล่นได้ ทั้งความคิดและจิตใจของเขานั้นได้รับการพักผ่อนและผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เขารู้สึกถึงความกดดันที่ลดลง และเกรดของเขาก็เริ่มเพิ่มขึ้น
ทว่าเขาก็ยังคงมีความเสียดายอยู่นิดหน่อย เพราะมีเวลา 24 ชั่วโมงภายในเกมและเขานั้นไม่มีอะไรจะทํา ดังนั้นบางครั้งมันจึงน่าเบื่อเป็นอย่างมาก แต่เมื่อฟังก์ชั่นเบราว์เซอร์มาถึงเขานั้นสามารถค้นหาข้อสอบย้อนหลังเข้ามหาลัยสามปีและห้าปีได้ นั่นหมายความว่าเขาจะมีเวลาเพิ่มเป็นอย่างมาก! เขานั้นสามารถแบ่งเวลาได้ครึ่งหนึ่งเพื่อใช้มันได้อย่างเต็มที่!
จากนั้นกลุ่มคนที่ทํางานแล้วในสังคมออกมาแสดงความคิดเห็น ทั้งหัวเราะและก่นด่ากันออกมา!
“ทําไมตอนฉันสอบเข้ามหาลัยมันถึงไม่มีอะไรแบบนี้กัน?”
“ผู้โพสต์กระทู้เห็นมุมที่ต่างออกไปมากเลย ฉันยอมแพ้เลย”
“ความฝันถึงมหาลัยชิงหวาและมหาลัยปักกิ่งของฉัน!”
“ฉันกําลังเรียกร้องแทนพวกเด็กนักเรียนที่ไม่ได้ซื้อแคปซูลเสมือนจริง นี่แม้งโคตรไม่แฟร์เลย!”
“ขอบคุณผู้โพสต์มาก สําหรับแนวคิดของนาย ฉันจะสรุปกระทู้นี้แล้วส่งไปยังกลุ่มลุงๆป้าๆ ทั้งหลาย พวกเขานั้นยอมจ่ายเงินหลายล้านเพื่อซื้อบ้านขนาด 10 ตารางเมตรที่ไร้ค่าในเขตการศึกษา สําหรับสิ่งนี้ที่สามารถเพิ่มศักยภาพในการเรียนและเพิ่มคะแนนสอบได้อย่างมาก มันคงไม่ดีนักหากมันจะราคาแค่สี่ถึงห้าล้านใช่ไหม? ฉันมั่นใจว่าฉันสามารถตีราคาได้ถึงสิบล้านหยวน ฉันอยากจะบอกพวกนายว่าตอนนี้ฉันมีแคปซูลเสมือนจริงอยู่สี่เครื่อง อีกไม่นานฉันจะรวยแล้ว!
เชี่ย โรแลนด์ถึงกับอึ้งเมื่อเห็นคอมเม้นต์นี้
วิธีการหาเงินแบบนี้แม้งโคตรเจ้าเล่ห์เลย
เขาเลื่อนหน้ากระทู้ลงไปเรื่อยๆ อย่างที่คิดไว้ ชาวเน็ตกลุ่มใหญ่ต่างอึ้งเมื่อเห็นคอมเม้นต์นั้น พวกเขาทําท่าทางราวกับกําลังบูชาเทพเจ้า
โรแลนด์ออกจากกระทู้นี้ไปก่อนจะสุ่มคลิกไปยังกระทู้ยอดนิยมอื่นๆ
ในที่สุดฉันก็สามารถไลฟ์สตรีมได้สักที
โรแลนด์นั้นไม่ได้อ่านชื่อกระทู้จนกระทั่งเขาคลิกเข้าไปแล้ว จากนั้นเขาก็นิ่งไประยะหนึ่งก่อนมองไปยังชื่อของผู้สร้างกระทู้นี้ มันคือฟานลิ่วยี่
ไอเดียของกระทู้นี้คือเมื่อบราวเซอร์นั้นสามารถเชื่อมต่อไปได้ยังทุกเครือข่าย เธอก็จะสามารถถ่ายทอดสดทุกวินาทีของเธอที่อยู่ภายในเกมได้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นภายในเกมหรือผู้เล่นที่อยู่นอกเกมก็จะสามารถเห็นภาพลักษณ์ที่งดงามของเธอที่อยู่ในเกมได้
อืม…สําหรับคนที่อายุเกือบจะสี่สิบแล้ว มันดีจริงๆหรอที่จะทําตัวเป็นแอ๊บแบ๊ว?
หลังจากออกจากกระทู้นั้นไป โรแลนด์ก็คลิกเข้าไปยังกระทู้ยอดนิยมอันถัดไป
การลดค่าสถานะร่างกายของนักรบจะมีผลกระทบมากแค่ไหน?
นี่คือการเชื่อมโยงข้อมูล หลังจากตรวจสอบจํานวนนักรบในปัจจุบัน ทั้งความสามารถพิเศษเฉพาะคลาส , ความสามารถในการทําภารกิจ , ความสามารถในการบุกโจมตีและการป้องกัน , ความสามารถในการต่อสู้แบบกลุ่มและข้อมูลอื่นๆ โดยพวกเขาสรุปว่า นักรบนั้นแข็งแกร่งเกินไป สามารถเริ่มต้นได้ดีเกินไปเมื่อเทียบกับสายอาชีพอื่นๆ , ง่ายต่อการเชี่ยวชาญ มีความสามารถที่หลากหลาย จํานวนของผู้เชี่ยวชาญนั้นเป็นตัวบ่งบอกได้ดีที่สุดว่าการเนิร์ฟจากผู้พัฒนานั้นถือเป็นเรื่องปกติ
ค่าสถานะทางด้านร่างกายที่ถูกเนิร์ฟ แต่ตราบใดที่พวกเขานั้นยังมีความสามารถอยู่ในระดับ 90% เมื่อเทียบจากเดิม นักรบก็ยังคงเป็นสายอาชีพที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดอยู่ดี นอกจากนี้ค่าสถานะด้านร่างกายนั้นจําเป็นต่อทุกอาชีพ อย่างไรก็ตาม ร่างกายนั้นเปรียบได้ดั่งชีวิต นักรบนั้นต้องเนิร์ฟก็จริง แต่อาชีพอื่นก็ควรโดนด้วยเช่นกัน อย่างมากที่สุดนักรบควรโดนเนิร์ฟลง 10% ในขณะที่อาชีพอื่นๆก็ควรโดนเนิร์ฟลง 5% เช่นกัน
มันก็กระทบแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ที่น่าสงสารจริงๆคือนักเวทย์ต่างหาก เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของพ่อมดนั้นจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากการเพิ่มความกระตือรือร้นขององค์ประกอบเวทย์ ทว่าสําหรับนักเวทย์การร่ายเวทย์ของพวกเขานั้นยากขึ้นอย่างมากอีกแล้ว หากเป็นอย่างนี้ต่อไป จํานวนนักเวทย์นั้นอาจจะลดลงเหลือเพียง 2-39% จกาผู้เล่นทั้งหมดก็เป็นได้
ทว่านักเวทย์นั้นก็ยังโชคดีที่มีผู้นํา ซึ่งมีผลกระทบต่อการพลิกสถานการณ์
ทว่ามันกลับไม่มีกลุ่มผู้นําอยู่ในกลุ่มนักรบตั้งแต่แรก และถึงว่าประธานหวงผู้ซึ่งมีอุปกรณ์เวทย์เต็มตัวก็ไม่สามารถสร้างภาพลักษณ์ในการเป็นผู้นําของเหล่านักรบในใจของพวกผู้เล่นได้
โรแลนด์ถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นมัน
การเพิ่มความกระตือรือร้นขององค์ประกอบเวทย์นั้นหมายความว่าเป็นการช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้นักเวทย์เป็นอย่างมาก ทว่าสําหรับผู้เล่นอาชีพที่มันยากเกินไปตั้งแต่แรกนั้นมันเลวร้ายเกินไป
โรแลนด์คิดถึงเรื่องพวกนี้หลังการอัปเดต กลุ่มของพวกนักเวทย์นั้นดูเหมือนจะเจอกับระลอกคลื่นของการลบบัญชีอีกครั้งแล้ว
เขาคลิกเข้าไปที่หัวข้อของนักเวทย์และอย่างที่คิดไว้วุ่นวายเต็มไปหมด
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาเปิดตัวเลือกและเริ่มสร้างกระทู้และเริ่มเขียนหัวกระทู้ว่า
เสียงของคนหนึ่ง : การจัดค่าสถานะของนักเวทย์ภายใต้ความไม่ยุติธรรมของเกม
เขาใช้เวลาสองชั่วโมงเพื่อเขียนสิ่งที่น่าประทับใจราวสามพันคําเกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึกและประสบการณ์ของเขา หลังจากเช็คคําผิดแล้วเขาก็โพสต์กระทู้นี้ไปทันที
จากนั้นเขานํามือลูบไปที่ใบหน้าของตัวเองเขานั้นกําลังจะยืนขึ้นเพื่อไปดื่มน้ำ จู่ๆก็มีการแจ้งเตือนจากระบบเด้งขึ้นมา เขาคลิกไปที่แจ้งเตือนล่าสุดและพบว่ากระทู้ของเขาถูกปักหมุดเรียบร้อยแล้ว
คือ นี่เร็วมากเลยนะ ผู้ดูแลระบบคอยดูฉันอยู่รึไงกัน?
การขู่ฆ่าผู้เล่นเป็นสิ่งที่น่าขันและอุกอาจที่สุดเท่าที่โรแลนด์เคยเห็นมา
ภายใต้แสงจันทร์ที่อาบลงมา รอยยิ้มของโรแลนด์นั้นดูลึกลับอยู่ภายใต้ความมืด เอ็ดเวิร์ดที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ขึ้นมาในหัวใจของเขา
เอ็ดเวิร์ดนั้นค่อนข้างฉลาด เขานั้นมักจะสังเกตุถึงสิ่งต่างๆที่คนอื่นไม่เห็น อย่างเช่น…พี่ชายคนโตของพวกเขาซึ่งมักจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี ในสองวันก่อนที่เขาจะไป
และไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากเงินห้าสิบเหรียญทองที่ถูกเก็บอยู่ในบ้านพวกเขา
เมื่อประกอบกับสิ่งที่เขาได้ยินและได้เห็นมาเมื่อสองวันก่อน เขาก็เข้าใจได้ทันที
พี่ชายของเขานั้นตกหลุมพรางของใครสักคน
เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดามากสําหรับขุนนางราวกับเป็นกฏตั้งต้น
เมื่อใครสักคนทําบางอย่างพลาดก็มักจะถูกสอบสวนด้วยคนที่มีฐานะใกล้เคียงกัน ถ้าหากทั้งสองฝ่ายจบลงด้วยการต่อสู้ละก็ทั้งสองฝ่ายจะไม่มีทางที่จะชนะ และจากนั้นมาหมาป่าที่ดูการแสดงอยู่ก็จะมากอบโกยผลประโยชน์เล็กๆจากเรื่องนี้ ในตอนนี้นั่นเองผู้ที่ผิดจะสามารถโยนความผิดไปให้คนที่ต้อยต่ำกว่าได้และปล่อยให้พวกนั้นรับความผิดแทน และจบปัญหาความขัดแย้งด้วยความตาย ถ้าหากผู้สอบสวนมีความตั้งใจที่จะลดความเสียหายให้น้อยที่สุด ทั้งฝ่ายนั้นก็อาจจะสามารถเจรจาและปล่อยผ่านไปได้
หลังจากยิ้มเสร็จ โรแลนด์มองไปที่เด็กชายซึ่งยังอายุน้อยและไร้ประสบการณ์ในชีวิตทว่ากลับดูมีนิสัยที่ดูสุขุมและพูดว่า “ฉันรู้ว่าพี่ชายของนายเป็นชายที่ถูกใส่ร้าย พวกเรานั้นได้ตั้งใจที่จะฆ่าเขา พวกเรานั้นอยากจะช่วยเขาด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าเขานั้นระแวงเกินไป เขานั้นรีบฆ่าตัวตายทันที พวกเรานั้นรู้สึกว่าพวกเราต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้เล็กน้อย แต่ว่าพวกเราจะไม่ขอโทษหรอกนะ”
“ข้าเข้าใจ”
เอ็ดเวิร์ดนั้นเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเรื่องนี้นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกบุตรทองคํา
แม้ว่าบุตรทองคํานั้นจะค่อนข้างมีชื่อเสียในหมู่ขุนนางในเรื่องที่ไม่ให้เกรียติและไม่สนใจสิทธิพิเศษของเหล่าขุนนาง ทําให้เหล่าขุนนางนั้นโกรธเคืองพวกเขา ทว่าพวกเขานั้นก็ยอมรับว่าบุตรทองคํานั้นล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่ค่อนข้างดี
มีบุตรทองคําทั้งหมดห้าคนในเดลพอนในช่วงสองถึงสามเดือนที่ผ่านมา พวกเขานั้นไม่เคยรังแกคนโดยไร้เหตุผล ไม่ต้องพูดถึงการทําสิ่งชั่วร้ายหรือการทําเรื่องร้ายแรง
พวกเขานั้นแค่สังหารครอบครัวที่กินหัวใจมนุษย์ ช่วยเด็กสาวชั้นต่ำในราคาที่สูง และตอนนี้ก็พยายามหาทางช่วยเหล่าขอทานให้มีที่อยู่ นี่เป็นแค่สามสิ่งเท่านั้นที่พวกเขาทําและทุกอย่างนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ดี
บุตรทองคํานั้นเป็นคนดี ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม ทว่ามันแค่โชคร้ายที่มันดันเป็นพี่ชายของพวกเขา
เขานั้นเป็นผู้เสียสละในการต่อสู้ระหว่างสองฝ่าย
“ฉันอยากถามนายว่าที่พี่ชายนายมีท่าทีแปลกไปในช่วงสองวันที่ผ่านมา เขานั้นได้ไปพบใครมาเป็นพิเศษหรือเปล่า”
เอ็ดเวิร์ดส่ายหัวออกมา “ไม่ พี่ชายคนโตของพวกเขานั้นไม่ได้บอกพวกเราเลย เขานั้นไม่ต้องการให้พวกเราเครียดมากเกินไป ถ้าเกิดเขาออกไปทําธุระ”
โรแลนด์ถามคําถามต่อไปที่อยู่ภายในใจของเขามานานแล้ว “แล้วพ่อแม่พวกนายละ?”
“ตายไปนานแล้ว” เสียงของเอ็ดเวิร์ดแผ่วลง “พี่ชายนั้นดูแลพวกเรามาตลอด พวกเรานั้นเป็นเพียงแค่ลูกหลานของพ่อค้า ตําแหน่งขุนนางของพวกเรานั้นก็เป็นเพียงแค่เสมือนขุนนางเท่านั้น มันก็แค่ชื่อปลอมๆที่ไร้ซึ่งอํานาจใด”
อํานาจที่แท้จริงของคนชั้นสูงมีเพียงสองสิ่งเท่านั้น: ฐานันดร, ฐานันดรเล็ก ๆ นับได้และสิทธิในการเกณฑ์ทหาร
อํานาจที่แท้จริงของขุนนางนั้นมีอยู่สองอย่างคือ ที่ดิน ที่ดินเล็กๆนั้นก็ถูกนับรวมด้วยเช่นกัน , และสิทธิ์ในการรับสมัครทหาร
สิทธิในการเกณฑ์ทหารจะแตกต่างกันไปตามตําแหน่ง จํานวนทหารสูงสุดที่สามารถคัดเลือกได้นั้นไม่เท่ากัน ตั้งแต่เมื่อถึงตําแหน่งเอิร์ลขึ้นไปจะไม่มีการจํากัดจํานวนในการรับสมัคร
สําหรับสิทธิพิเศษอื่นๆอาทิเช่นเหรียญตราและการยกเว้นภาษี สิ่งพวกนี้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นผลประโยชน์เล็กน้อย
สําหรับตําแหน่งเสมือนขุนนางนั้นเป็นตําแหน่งทั่วไปที่ได้รับจากการที่พ่อค้าบริจาคเหรียญทองเป็นจํานวนมาก
โรแลนด์ถอนหายใจ เขาคิดว่าฆาตกรนั้นเอาเด็กหนุ่มทั้งสองมาเป็นเครื่องต่อรองเพื่อเข้าใกล้พี่ชายของพวกเขาและให้เขาทําเรื่องเลวร้ายแน่นอนว่ามีการเสนอรางวัลเป็นจํานวนมาก
ห้าสิบเหรียญทอง….นั่นถือว่าเป็นเงินจํานวนมาก
“ทําไมนายถึงบอกให้ฉันมาที่นี่ ในเมื่อนายก็ไม่รู้อะไรเลย?” โรแลนด์ถามออกไปตรงๆ
“ข้าไม่รู้อะไรเลยก็จริง แต่ข้านั้นอยากให้อะไรบางอย่างแก่คุณ” เอ็ดเวิร์ดหยิบแผ่นไม้สี่เหลี่ยมเล็กๆ ออกมาจากด้านในเสื้อของเขา มันมีขนาดประมาณฝ่ามือของเขา “พี่ชายคนโตของข้าทิ้งมันไว้บนโต๊ะทํางาน ข้าคิดว่ามันอาจจะมีประโยชน์สําหรับคุณ”
โรแลนด์รับแผ่นไม้มาและพบว่ามันค่อนข้างแข็งและมีสีฟ้าอ่อนโดยมีลายเมฆสีขาวอยู่ด้านหน้าและลายเกลียวคลื่นสีดําอยู่ที่ด้านหลัง
หลังจากสํารวจมันเล็กน้อย โรแลนด์ก็เก็บแผ่นไม้ลงในกระเป๋ามิติ
จากนั้นเขาก็นําแบบวาดจํานวนมากขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ “นี่เป็นเคล็ดลับเวทย์และการทดลองบางส่วน เก็บมันไว้กับนายให้ดีๆ”
โรแลนด์นั้นพบว่าพลังจิตของเอ็ดเวิร์ดนั้นตื่นขึ้นแล้ว และจํานวนมันน้อยกว่าวิเวียนแค่เล็ก น้อยเท่านั้น
ตอนนี้วิเวียนนั้นเชี่ยวชาญในการใช้แขนเวทย์แล้วและเธอสามารถเปลี่ยนมันให้เป็นหอกเวทย์ได้แล้ว เอ็ดเวิร์ดเองก็น่าจะทําได้เช่นกัน
แน่นอน…โรแลนด์นั้นไม่ได้จะสอนเขา เพราะถึงอย่างไร หากเอ็ดเวิร์ดติดต่อกับเขามากเกินไป คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จะเบนไปเป้าหมายไปที่เอ็ดเวิร์ด
“ลองดูก่อน เพราะยังไงฉันก็ไม่คิดเงินอยู่แล้ว ต่อให้นายพลาดแรงสะท้อนของเวทย์ระดับศูนย์ก็ไม่ทําให้นายตายหรอก”
เมื่อพูดจบโรแลนด์ก็ออกไปทันที
เอ็ดเวิร์ดนั้นมองแบบวาดที่อยู่บนโต๊ะด้วยความเงียบ จากนั้นเขาก็เช็ดน้ำตาของตัวเองและเมื่อกําลังจะเก็บแบบวาดประตูก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง เด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขาก็เดินเข้ามาขณะกําลังขยตา
“พี่รอง ท่านมาอยู่นี่เองงั้นเหรอ ท่านทําให้ข้ากลัวนะ ข้าคิดว่าท่านเองก็ไม่ต้องการข้าแล้วออกไปแล้วเสียอีก” ชายหนุ่มอายุน้อยมีท่าทางวิตกกังวลบนใบหน้า
“อย่ากังวลไปเลย พวกเราสองพี่น้องนั้นจะอยู่ด้วยกันตลอดไป” เอ็ดเวิร์ดมองไปที่น้องชายคนเล็กของเขา จากนั้นก็มองไปยังแบบวาดที่อยู่บนโต๊ะ เขานั้นตัดสินใจแล้ว
โรแลนด์นั้นย่องกลับไปยังหอคอยเวทย์และเปลี่ยนชุดกลับมาใส่ชุดคลุมเวทย์ดังเดิม
จากนั้นวิเวียนก็เดินเข้ามา ที่ขอบตาของเธอมีรอยดําเล็กๆขึ้นอยู่ เธอเสิร์ฟขนมและเครื่องดื่มผลไม้ จากนั้นก็มองไปที่โรแลนด์และพูดว่า “รองประธาน ท่านน่าจะทํางานมาหนักนี่อาหารเช้าของท่าน”
อาหารเช้า? นี่มันพึ่งตีสองตีสามเองนะ มันยังไม่ใช่เวลาอาหารเช้าสักหน่อย!
ทว่าท้องของโรแลนด์ก็ร้องขึ้นมา เขาพบว่าตัวเองก็หิวนิดๆเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงยิ้มและขอบคุณวิเวียนไป
วิเวียนเดินออกจากห้องวิจัยของโรแลนด์ด้วยรอยยิ้ม
รองประธานนั้นไม่ได้มีกลิ่นผู้หญิงบนตัวเขา และเขาก็ไม่ได้มีท่าทีที่อ่อนแรงนั่นหมายความว่าเขาไม่ได้ทําเรื่องอย่างว่ามา
ดีมาก ดีมากๆ!
วิเวียนคิดว่าเธอนั้นน่าจะได้นอนหลับฝันดีสักที
หลังจากกินขนมอบ โรแลนด์ก็เริ่มที่จะศึกษารูปแบบเวทย์ที่พัฒนาแล้วของหุ่นเวทย์ต่อ
ความสามารถของเวทย์นั้นค่อนข้างจํากัด ดังนั้นเขาจึงคิดหาวิธีที่จะใช้ความสามารถที่จํากัดนี้ของหุ่นเวทย์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
เขาเริ่มศึกษาไปแบบนั้น จากนั้นเวลาก็ผ่านไป 2-3 ชั่วโมง และเวลาภายในเกมก็หยุดลงอีกครั้ง
เขาปืนออกจากแคปซูลเสมือนจริง จากนั้นเปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเองเพื่อเข้าไปยังหน้าเว็บหลักของเกม และพบเข้ากับการประกาศอัปเดต
ยอมรับมัน?
มันเป็นคําพูดที่เรียบง่าย ทว่าโรแลนด์นั้นรู้ดีว่าอัลโด้ต้องพยายามมากขนาดไหนเพื่อให้เขาสั่งความคิดของตัวเองให้ยอมรับมันให้ได้
วิเวียนถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ก่อนเดินลงบันไดไป
โรแลนด์ดื่มไวน์ผลไม้และปล่อยให้ความคิดของเขาผ่านไปก่อนครู่หนึ่ง เขาคิดเกี่ยวกับอัลโด้ และเกี่ยวกับจอห์นและเกี่ยวกับแบบจําลองเวทย์ จากนั้นทุกอย่างก็ตีกันไปหมด
จากนั้นเขาก็วางแก้วไวน์ลง ปิดเปลือกตาของตัวเองลงเพื่อพักครู่หนึ่ง และเพื่อกําจัดความคิดที่สะเปะสะปะออกจากหัวของเขา และจากนั้นเขาก็ไปศึกษาเวทย์หุ่นเชิดต่อ
เขานั้นได้รับแรงบันดาลใจเป็นอย่างมากเกี่ยวกับจุดเวทย์ที่ซ่อนอยู่ในเวทย์ความสามารถทางภาษาเวทย์อื่นๆนั้นบางทีอาจจะมีจุดเวทย์ซ่อนอยู่ก็เป็นไปได้
มันมีจุดเวทย์ไม่มากนักในเวทย์ระดับศูนย์ ดังนั้นมันง่ายที่จะหาข้อมูล หลังจากสี่ชั่วโมงผ่านไปกับการทดลองและการคาดการณ์ โรแลนด์ก็ค้นพบสิ่งที่น่าตกใจนั่นก็คือไม่มีจุดเวทย์ลับซ่อนอยู่ในเวทย์ระดับศูนย์
ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ทุกเวทย์ที่จะซับซ้อนเหมือนกับเวทย์ความสามารถทางภาษา
มันง่ายอย่างมาก เพราะมีจุดเวทย์อยู่เพียงไม่กี่จุด โรแลนด์รู้สึกว่าเขาสามารถสร้างตัวตนของหุ่นเชิดได้สองถึงสามแบบ
อาทิเช่น เขาอาจจะทําให้หุ่นเชิดตัวใหญ่ขึ้นเล็กน้อยและมีแขนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถช่วยให้เขาแบกอุปกรณ์ต่างๆได้
หรืออาจจะใส่เวทย์เข้าไปเพื่อให้หุ่นเชิดเวทย์สามารถแยกแยะมิตรและศัตรูได้…เดี๋ยวก่อนนะ!
ในเมื่อเวทย์หุ่นเชิดนั้นไม่มีจุดเวทย์ลับ มันเป็นไปได้ไหมที่เขาจะเพิ่มเข้าไปเองสักหนึ่งหรือสองจุด?
เมื่อความคิดผุดออกมาเป็นต้นอ่อน มันก็โตกลายเป็นพืชอย่างรวดเร็วภายในหัวของโรแลนด์
ทําไม NPC ของเกมสามารถสร้างเวทย์ของตัวเองได้ และฉันนั้นสามารถทําได้แค่ลอกเลียนของคนอื่นงั้นเหรอ?
ฉันไม่สามารถสร้างเวทย์ของฉันเองได้งั้นเหรอ?
หลังจากตื่นเต้นไปครู่หนึ่ง โรแลนด์ก็กลายเป็นท้อแท้ภายในทันที
เพียงแค่ความคิดอย่างเดียวมันไม่สามารถทําได้ แรงกระตุ้นนั้นสําคัญอย่างมากที่จะเปลี่ยนแนวคิดให้กลายเป็นความจึง และรวมถึงความรู้พื้นฐานด้วย
แบบจําลองเวทย์ถูกสร้างขึ้นมายังไง?
แล้วการผสานกันระหว่างจุดเวทย์ล่ะ?
แล้วจะกําหนดความหมายและหน้าที่ของจุดเวทย์แต่ละจุดยังไง?
นี่เป็นสามปัญหาหลักที่รบกวนโรแลนด์อยู่ ไม่ต้องพูดถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นเมื่อทําการทดลอง
ดูเหมือนว่าเขาจะมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมาก
อย่างน้อย เขานั้นต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าธรรมชาติขององค์ประกอบเวทย์นั้นเป็นยังไง และธรรมชาติของพลังจิตนั้นเป็นยังไง และกฏที่เหมือนกันของทั้งสองอย่างนั้นคืออะไร
โรแลนด์นั้นคิดว่าเขานั้นต้องรู้ถึงสามสิ่งนี้ให้ได้ก่อน ก่อนที่เขาจะไปพูดถึงการสร้างแบบจําลองเวทย์จากความว่างเปล่า
มันมีหนังสืออยู่มากมายภายในห้องสมุด ทว่าไม่มีเลยแม้แต่เล่มเดียวที่กล่าวถึงหัวข้อที่เขาต้องการ
สิ่งใหญ่นั้นมักจะเป็นเกี่ยวกับวิธีการใช้พลังจิต และมีอยู่บ้างเล็กน้อยที่เกี่ยวกับวิธีการฝึกเวทย์ระดับสูง
นอกเหนือจากนั้นมันก็จะเป็นชีววิทยาของนักเวทย์ ชีววิทยาของนักรบ และอื่นๆ และยังมีแบบจําลองเวทย์อยู่อีกมาก ทว่าโรแลนด์นั้นไม่ได้รีบร้อนที่จะเรียนพวกมัน การเรียนรู้เวทย์นั้นมันไร้ซึ่งจุดจบ เมื่อชํานาญอย่างหนึ่ง จากนั้นก็ต้องสร้างรูปแบบเวทย์ที่พัฒนาแล้วอีกหลายอย่าง วิธีการที่เขาใช้อยู่นี้น่าจะได้ผลมากกว่า
ไม่มีหนังสือเล่มไหนภายในห้องสมุดที่กล่าวถึงธรรมชาติของพลังเวทย์
หรือเป็นเพราะหอคอยเวทย์นอกเมืองหลวงจะไม่มีความรู้ในเรื่องพวกนี้? หรือทั้งโลกล้วนล้มเหลวในการสร้างทฤษฎีพื้นฐานของเวทมนตร์?
อย่างแรกน่าจะเป็นไปได้ไม่เหมือนกับอย่างที่สอง
ต่อให้มนุษย์ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วเอลฟ์ละ?
เผ่าพันธ์นั้นกล่าวได้ว่ามีความรู้เกี่ยวกับเวทย์มนตร์สูงที่สุดและมีชีวิตที่ยืนยาว พวกเขานั้นจะมีทฤษฎีเกี่ยวกับเวทมนตร์อยู่หรือเปล่า?
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วในขณะที่โรแลนด์กําลังครุ่นคิดไปเรื่อย
แสงจันทร์ส่องลงมาจากมุมหน้าต่าง และกลายเป็นครึ่งวงกลมอยู่บนพื้น เมืองทั้งเมืองล้วนเงียบลง ตอนนี้มันดึกมากแล้ว
โรแลนด์ตระหนักขึ้นมาได้ว่าเขามีนัด
ทว่าโดยไม่คาดคิดเมื่อเขาลงมายังชั้นสองเขาก็ชนเข้ากับวิเวียน
ท่าทางงัวเงียปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอนั้นถือแก้วน้ําไว้ในมือ ราวกับว่าเธอนั้นกระหายและต้องการน้ํา
เมื่อเธอพบเข้ากับโรแลนด์ร่องรอยที่ดูงัวเงียของเธอก็หายไปทันที ทั้งตกใจและยินดีเป็นอย่างมาก เธอถามว่า “รองประธาน…ดึกขนาดนี้แล้วท่านจะไปไหนเหรอคะ?”
“ออกไปเดินเล่นนิดหน่อยน่ะ!” โรแลนด์ยิ้มและพูดต่อว่า “เธอควรนอนให้เร็วนะ อย่า อยู่ดึกเกินไปล่ะ การนอนดึกนั้นเป็นศัตรูของผู้หญิง”
เขาก็เดินลงบันไดไป
เมื่อมองร่างของโรแลนด์หายไปยังชั้นล่างสุดของบันได วิเวียนก็เสียใจเล็กน้อย ทว่าจากนั้นเธอก็จ้องมองไปยังที่ห่างออกไปด้วยสายตาเบิกกว้าง รองประธานนั้นยังหนุ่มและแข็งแรง มีสิ่งไหนล่ะที่เขาจะทําเมื่อออกไปยังกลางดึก?
ด้วยความคิดเหล่านั้น วิเวียนก็ไม่พอใจและอยากจะกัดผ้าเช็ดหน้าตัวเองเป็นอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าเธอเองก็สามารถทํามันได้เช่นกัน ทําไมท่านรองถึงไม่มาหาเธอกัน? นี่เธอไม่มีเสน่ห์อย่างงั้นเหรอ?
ในเมืองเดลพอนนั้นมีเคอร์ฟิวอยู่ ทว่ามันก็มีผลแค่กับสามัญชนเท่านั้น
ขุนนางและเหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดล้วนแล้วแต่ไม่สนใจในกฎนี้
ทว่าโรแลนด์นั้นไม่สามารถใช้สิทธิพิเศษนี้ได้ในตอนนี้ เขานั้นหยิบเสื้อผ้าธรรมดาออกมาจากกระเป๋ามิติและใส่มันในที่ลับตาคน จากนั้นเขาก็พยายามหาถนนที่มืดมิดและถูกซ่อนอยู่ ไปยังพื้นที่ของเหล่าคนรวย และไปยังคฤหาสน์หลังเล็กๆที่อยู่ห่างไกลจากนั้นก็ปืนเข้าไป
ถึงแม้ว่าเขานั้นจะเป็นนักเวทย์ ความแข็งแกร่งของการเป็นผู้เชี่ยวชาญก็ทําให้เขานั้นสามารถมีความยืดหยุ่นทางกายภาพที่ยอดเยี่ยมได้ และเขานั้นก็เป็นบุตรทองคําซึ่งมีค่าเฉลี่ยการเติบโตที่สูงกว่า
นักเวทย์นั้นมีรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนแอและแข็งแกร่งในด้านจิตวิญญาณมากกว่านักรบ ทว่าเมื่อเทียบกับคนธรรมดาแล้วนั้นพวกเขานั้นแกร่งกว่ามาก
คฤหาสน์เล็กๆนี้เงียบเป็นอย่างมาก ไร้ซึ่งผู้เฝ้าประตูทางเข้า ไม่มีคนรับใช้ ดูเหมือนมันจะถูกเตรียมไว้แล้ว
มีห้องเล็กๆภายในชั้นสองที่มีแสงเทียนสว่างออกมา
โรแลนด์เหยียบลงบนพื้นหญ้าที่ราบเรียบบนสวนจากนั้นเขาก็มาถึงยังประตูคฤหาสน์
เขาผลักมันออกไปอย่างสุภาพ..ประตูนั้นไม่ได้ปิด
เมื่อเขาเข้าไปยังคฤหาสน์ เขาพบว่ามันแตกต่างจากภาพในหัวของเขาเป็นอย่างมาก มันดูหรูหราที่ภายนอก ทว่าด้านในนั้นมันมีฟอนิเจอร์ไม่มากนัก และห้องนั่งเล่นที่ดูว่างเปล่า มีเพียงแค่โต๊ะและเก้าอี้ไม่กี่ตัวเท่านั้น
ห้องที่มีแสงนั้นอยู่บนชั้นสอง
โรแลนด์พบบันไดขึ้นไปสู่ชั้นสอง ประตูห้องนั้นถูกแง้มไว้อยู่ และมีแสงจากเทียนไขลอดออกมาจากรอยแยกนั้น หลงเหลือเป็นแสงสีส้มอยู่บนพื้น
โรแลนด์เดินไปทางนั้น พร้อมผลักประตูออกไปอย่างสุภาพ
ภายในมีชายหนุ่มที่ดูกังวลนั่งอยู่แถวบริเวณประตูที่ถูกเปิดออก ทว่าเขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อพบกับโรแลนด์
หลังจากเข้ามาภายในห้อง โรแลนด์ก็ปิดประตู
ชายหนุ่มเป่าเทียนที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ
ภายในห้องนั้นมืดสนิท ทว่ามันก็ยังคงมีแสงจันทร์ส่องลงมา มันไม่ได้ดูเป็นแสงสลัวๆ มันดูเงียบสงบเป็นอย่างมาก
โรแลนด์นั่งลงบนโต๊ะพร้อมถามว่า “เอ็ดเวิร์ด นายบอกให้ฉันมาที่นี่เมื่อตอนเย็นเพื่อจะ บอกอะไรฉันใช่ไหม?”
“พี่ชายคนโตของข้านั้นเป็นชายที่ตกต่ํา” เอ็ดเวิร์ดกล่าวอย่างจริงจังพร้อมจ้องมองไปยังทางโรแลนด์
มีความเศร้าโศกที่ลึกล้ําซ่อนอยู่ภายในดวงตาของเขา
โรแลนด์นั้นได้ใช้เวลาระหว่างวันหาข้อมูลมาบ้างแล้ว
ขุนนางหนุ่มที่ถูกทําให้ตกต่ํานั่นชื่อว่า โรแลนด์ เอ็ดเวิร์ด ชื่อเดียวกันกับโรแลนด์
เมื่อโรแลนด์รู้เรื่องนี้ ในที่สุดเขาก็เท่าใจว่าทําไมขุนนางที่ยืนดูอยู่ถึงได้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พวกเขานั้นไม่ได้หัวเราะเยาะให้กับโรแลนด์ที่ตายไปแล้ว พวกเขานั้นหัวเราะให้กับโรแลนด์ที่ยังมีชีวิตอยู่
และคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้นั้นเลือกคนที่ชื่อโรแลนด์ก็เพื่อที่จะทําลายเขา จุดประสงค์ของเรื่องนี้มันชัดเจนแล้ว
ฉันนั้นอยู่ที่นั่น ทว่าฉันนั้นก็ยังเป็นคนที่ทําให้โรแลนด์ตาย
นั่นหมายความว่า เหล่าขุนนางนั้นเป็นตัวตนที่บิดเบี้ยวที่มีเอกลักษณ์ เห็นได้ชัดว่าเกรงกลัว ทว่ากลับต่อต้านและหยิ่งยโส ถูกหลอกหลอนด้วยความภาคภูมิใจของตัวเอง ทั้งน่าเบื่อและบิดเบี้ยวในตัวมันเอง
โรแลนด์นั้นอยากจะหัวเราะให้ฟันหลุด
ตอนนี้นั้นเป็นช่วงเวลาเร่งด่วน โรแลนด์นั้นกลมกลืนเข้าไปกับฝูงชนที่กําลังเดินทางกลับบ้าน จากที่ทํางานในย่านใจกลางเมืองนั้นเขามองไปทางตรอกซอกซอยเล็กๆและเลือกผ่านเข้าไปยังทางนั้น
หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไปเขาก็ใช้เส้นทางลัดเพื่อไปยังละแวกบ้านของเขา
หากจินเหวินเหวินยังสามารถตามมาได้ละก็เขาคงต้องยกธงขาวแล้ว
ในช่วงบ่ายโรแลนด์นั้นอยู่ที่บ้านและอ่านฟอรั่มพร้อมพูดคุยกับเหล่าผู้เล่นนักเวทย์ที่แสนเพ้อเจ้อทั้งหลายในกลุ่ม เขานั้นตอบคําถามของพวกเขาบ้าง แต่ส่วนมากเขานั้นมักจะคุยโม้และร่วมวงเล่นมุกตลกกับพวกเขาเสียมากกว่า
มันเป็นช่วงบ่ายที่สนุกสนานและน่าประทับใจเลยทีเดียว
เงินโอนของฮอร์กกว่า 120,000 หยวนนั้นเข้ามาในบัญชีของเขาเรียบร้อยแล้ว เมื่อรวมกับยอดทิปล่าสุดที่เขาได้รับจากในฟอรั่ม เงินในบัญชีของโรแลนด์ในปัจจุบันนั้นก็เกือบๆ 400,000 หยวน เรียบร้อยแล้ว
นี่ขนาดพวกนักเวทย์ยังไม่ได้เริ่มจ่ายบรรณาการให้เขาเสียด้วยซ้ํา
ความฝันในการเก็บเงินล้านหยวนนั้นง่ายกว่าที่คิดมาก ยิ่งถ้าหากพวกนักเวทย์ทั้งหลายเริ่มจ่ายบรรณาการให้แก่เขามันก็จะยิ่งง่ายขึ้นไปอีก
เงินนั้นมาพร้อมกับความมั่นใจเสมอ ถึงแม้ว่าโรแลนด์ไม่ได้ทํางานและเอาแต่แชทอยู่บนอินเทอร์เน็ตอย่างไร้จุดหมาย ทว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกกังวลหรือมีความกดดันใดๆ
ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้เกมจะปิดตัวลง เงินเกือบสี่แสนหยวนนั้นก็เพียงพอให้เขาใช้ชีวิตต่อไปได้อีกสักพักใหญ่ และถ้าหากเขานั้นไม่ต้องการเข้าบริษัทเพื่อไปทํางานเป็นแรงงานทาส เขานั้นก็สามารถไปเป็นบอร์ดี้การ์ดได้เพราะตอนนี้เขานั้นมีความสามารถทั้งทางด้านการชกมวยและเทคนิคเหมียวเต๋าเรียบร้อยแล้ว หรือบางทีเขาอาจจะได้เจอกับหญิงสาวผู้ร่ํารวยและขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตก็เป็นไปได้
อืม…นั่นเป็นความฝันที่ดีใช้ได้
ในตอนกลางคืนหลังจากที่โรแลนด์อาบน้ําเสร็จ เขาก็เข้าไปในแคปซูลเสมือนจริง
เมื่อโลกแห่งความจริงกําลังจะเชื่อมต่อกับโลกแห่งเกม เขามักจะรู้สึกราวกับว่ามันไร้ซึ่งน้ําหนัก ตรงหน้าของเขานั้นราวกับมีทางเดินที่คดเคี้ยวไหลไปมาพร้อมกับริ้วแสง ราวกับว่าเขากําลังพุ่งผ่านเข้าไปยังรูหนอนประเภทหนึ่ง
โลกเบื้องหน้าของเขานั้นเป็นโลกสีขาวดํา ซึ่งวิเวียนและคนอื่นๆยังคงทําท่าทางเหมือนกับก่อนหน้า โรแลนด์นั้นไม่สามารถขยับตัวได้ เขาขยับศรีษะไม่ได้ด้วยซ้ํา
หลักจากนั้นไม่กี่นาทีโลกก็กลับกลายมามีสีสันดังเดิม วิเวียนและคนอื่นๆต่างเริ่มขยับตัวและเคลื่อนไหวกันอีกครั้ง
พวกเขานั้นไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ําว่าพวกเขาถูกหยุดเวลามาถึง 16 ชั่วโมง
หลักจากสอนเหล่านักเวทย์ฝึกหัดอยู่พักหนึ่ง โรแลนด์ก็รีบไปยังห้องทดลองของเขาด้วยความกระตือรือร้น
เขาเปิดรูปแบบเวทย์ของความสามารถทางภาษาในหัวของเขา และหลักจากจ้องมองมันอย่างละเอียดกว่าร้อยจุดเวทย์ และเขาก็ตรวจสอบมันเข้ากับข้อมูลและผลลัพท์ของแต่ละจุดเวทย์
เขานั้นตั้งสมมุติฐานไว้ว่าผลลัพท์ที่สําเร็จของเวทย์มนตร์นั้นคือการร่ายเวทย์สําเร็จ เขาคาดว่า มันมีทั้งหมด 7 วิธี ที่จะเป็นตัวทําให้การร่ายเวทย์สําเร็จ เขานําข้อมูลจุดเวทย์ก่อนหน้าที่เขาบันทึกไว้ มาทดสอบเข้ากับวิธีแก้ปัญหาทั้งเจ็ด โดยใช้เหตุผลและกระบวนการตั้งแต่เริ่มของแต่ละตัวเป็นตัวตัดสิน และเริ่มทดสอบมันที่ละอย่าง
นี่น่าจะเป็นจุดเวทย์ที่เป็นตัวเชื่อม
ทว่าจุดเวทย์อันนี้นั้นกลับไม่ปรากฏอยู่ในรูปแบบโมเดลเวทย์ บางทีรูปแบบเวทย์แบบดั้งเดิมนั้น อาจจะไม่ได้มีจุดเวทย์ตัวนี้อยู่
โรแลนด์สูดหายในเข้าลึก ได้เวลาทดสอบสมมุติฐานของเขาแล้ว
เขาหลับตาลงจากนั้นจิตนึกคิดของเขาก็เริ่มเคลื่อนที่ไปตามจุดเวทย์อย่างระมัดระวัง
เมื่อคุณเพ่งมองเข้าไปยังแบบจําลองเวทย์เวทย์ คุณจะรู้สึกราวกับเห็นภาพลวงตาว่าเดินผ่าน ไปยังยังท่อขนาดใหญ่ซึ่งมีทางเลี้ยวไปยังทุกทิศทาง
นี่ถึงเป็นสาเหตุว่าทําไมถึงจําเป็นต้องมีแบบจําลองเวทย์เพื่อร่ายเวทย์
หากไม่มีการช่วยเหลือจากแบบจําลองเวทย์ มนุษย์นั้นก็จะหลงอยู่ภายในเขาวงกตแห่งพลังจิตเหล่านี้อย่างแน่นอน
จากนั้น เมื่อการร่ายเวทย์ล้มเหลวพลังจิตก็จะตีกลับไปยังผู้ร่าย
เมื่อถึงตอนนั้น หัวของพวกเขาก็จะระเบิดออก
โรแลนด์นั้นส่งพลังจิตของเขาไปยังจุดเวทย์ที่ถูกซ่อนอยู่อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็มองไปยังช่องทางที่อยู่ไม่ไกล ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่า…เขาพบจุดเวทย์ที่ไม่รู้จักเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเขาสงบสติอารมณ์ลงได้ โรแลนด์จึงส่งพลังจิตของเขาเข้าไปอย่างช้าๆและหลังจากนั้นประมาณสองวินาที พลังจิตของเขาก็เชื่อมเข้ากับจุดเวทย์ที่ไม่รู้จักในแบบจําลองเวทย์ได้สําเร็จ
ทันทีที่เขาเชื่อมต่อกับจุดเวทย์นี้ได้สําเร็จ มันก็เกิดเป็นเส้นพลังเวทย์ที่เชื่อมต่อกัน จุดเวทย์นั้นเรืองแสงขึ้นเล็กน้อย เส้นเวทย์นั้นอยู่ตรงกลางของแบบจําลองเวทย์ราวกับว่ามันเชื้อเชิญให้โรแลนด์ถ่ายเทพลังเวทย์เข้าไป
โรแลนด์จําได้ว่าหนึ่งในแบบจําลองเวทย์ที่เขาได้รับจากการทดลองนั้น ก็ได้มาจากวิธีแบบนี้แสดงว่ามันน่าจะถูกต้อง
เขาส่งพลังเวทย์ไปยังจุดเวทย์ทั้งสองที่เชื่อมต่อกันเป็นเส้นจนมันเริ่มสว่างขึ้นมาทันที
จากนั้นก็มีแสงสีฟ้าวาบปรากฏขึ้นบนตัวโรแลนด์ และเขานั้นรู้สึกได้ทันทีว่าเขานั้นได้ร่ายเวทย์สําเร็จแล้ว
จากนั้นเขาก็เปิดหน้าอินเทอร์เฟซระบบขึ้นมาและพบว่ามีการแจ้งเตือนจากระบบอยู่ในค่าสถานะของเขา อย่างที่เขาคิดไว้มันเป็นเครื่องหมายตกใจ
โรแลนด์ใช้จิตของตัวเองคลิ้กเขาไป
ระบบนั้นแสดงให้เห็นออกมาว่า : ในฐานะของผู้คิดค้นเวทย์ที่ไม่เคยถูกบันทึกไว้มาก่อน ท่านมีสิทธิ์ในการตั้งชื่อมัน
เวทย์ที่ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อนงั้นเหรอ?
โรแลนด์ตกตะลึกไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็ตรงไปยังห้องสมุดในทันที และเปิดหนังสือหลากหลายเล่ม เขาพบว่าตัวเขานั้นสามารถอ่านภาษาของฮอลเลวิลได้
จากนั้นเขาก็วิ่งไปยังชั้นสาม ห่างไปชั้นหนึ่ง เขานั้นได้ยินเสียงสนทนาและเสียงพูดคุยของเหล่านักเวทย์ฝึกหัดที่อยู่ข้างล่าง
เขานั้นสามารถเข้าใจที่พวกเขาพูดได้โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ
มันได้ผลลัพทธ์ทั้งจากความสามารถทางภาษาและความสามารถทางอักขระเขาทําสําเร็จแล้ว!
โรแลนด์กําหมัดแน่นและแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ จากนั้นเขาก็สงบลงและเปิดอินเทอร์เฟซของระบบอีกครั้งเพื่อตั้งชื่อเวทย์
การสื่อสารที่ไร้พรมแดน
ทันทีที่ตั้งชื่อเสร็จการแจ้งเตือนของระบบก็ปรากฏขึ้นมาเป็นตัวอักษรสีแดงสด, ยาว ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้แก่โรแลนด์เป็นอย่างมาก
การแจ้งเตือนจากระบบ : ผู้เล่นโรแลนด์ สมาชิกกิลด์ F6 ได้สร้างเวทย์ “การสื่อสารไร้ พรมแดน” ขึ้นมา โดยมีการประเมินเบื้องต้นไว้ว่าเป็นเวทมนตร์ประเภททํานายระดับสี่ ในฐานะผู้สร้าง ผู้เล่นโรแลนด์จะได้รับสิทธิพิเศษสําหรับเวทย์บทนี้ ความยากของเวทย์จะถูกลดให้เหลือเป็นระดับสองและใช้พลังจิตเพียงแค่ครึ่งเดียวเมื่อเทียบกับผู้เล่นคนอื่น นอกจากนี้โรแลนด์จะได้รับความสามารถพิเศษขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง : ผู้เสาะหาเวทมนตร์
ผู้เสาะหาเวทมนตร์ : พลังจิตสูงสุด 450 , พลังชีวิตสูงสุด +10
เมื่อได้เห็นประกาศนี้ออกมาโรแลนด์ก็ทําได้เพียงแค่ตกตะลึง
จากนั้นช่องแชทกิลด์ของเขาก็ขึ้นแจ้งเตือนมาไม่หยุดหย่อน
ชัค : ขอคารวะ
เบทต้า : ขอคารวะ
บราซิล : ขอคารวะ
…
สมาชิกทั้งหมดต่างทําท่าทางเคารพโรแลนด์อย่างจริงจัง
ในตอนนี้นั้น F6 ยังคงเป็นเพียงกิลด์เดียวภายในเกม และถึงแม้ว่าปีกสีเงินจะได้รับข้อมูลมากมายจากโรแลนด์ ทว่าพวกเขานั้นก็ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาในการติดต่อกับบอร์ซัม
บอร์ซัมนั้นดูเหมือนว่าไม่อยากจะพบพวกเขา หรือกระทั่งพูดกับพวกเขา และไม่ต้อนรับพวกเขาเลย เนื่องจากพวกเขานั้นมีชนชั้นที่ต้อยต่ํา
โรแลนด์กลับไปยังห้องวิจัยของตัวเอง เขานอนเอนตัวครึ่งหนึ่งไปกับเก้าอี้ และหัวเราะขึ้นมาอย่างมีความสุข ในตอนนี้ภายในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
เขานั้นเคยเป็นเด็กหนุ่ม ไม่ว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไร แต่เขานั้นก็ยังคงมีความเป็นเด็กอยู่
สร้างเวทย์แบบใหม่ขึ้นมาเป็นคนแรกและได้รับการประกาศไปทั่วเซิร์ฟเวอร์ เขาสามารถคุยโม้ถึงเรื่องนี้ได้จนกระทั่งเกมปิดตัวลง
ครึ่งชั่วโมงต่อมาโรแลนด์ก็ลุกขึ้นยืน
ตอนนี้การสื่อสารไร้พรมแดนก็สมบูรณ์แล้ว เวลาที่เหลือของเขาทั้งหมดก็จะถูกใช้ไปกับการพัฒนาเวทย์หุ่นเชิด
เขากลับไปยังห้องทดลองเวทย์และมีท่าที่ประหลาดใจทันทีที่สังเกตุเห็นอัลโด้เดินขึ้นมา
ในช่วงสิบวันที่แล้วที่พวกเขาได้เจอกันล่าสุด อัลโด้ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างดูซีดเซียวและเคราของเขาที่ยาวขึ้นมาก
พวกเขามองหน้ากันและกันอยู่ตรงหน้าห้องทดลองเวทย์
โรแลนด์มองไปที่เขา ก่อนจะมองสํารวจและพูดว่า “คุณต้องผิดหวังแน่ๆที่ฉันนั้นไม่ได้มีความขัดแย้งกับพวกสาขาใหญ่”
“คุณต้องผิดหวังแน่ๆที่ฉันนั้นไม่ได้มีความขัดแย้งกับพวกสาขาใหญ่” โรแลนด์ถามออกมา
เขาเห็นหน้าอัลโด้แสดงอาการออกมาเหมือนที่เขาพูด มันราวกับว่าเขาสามารถอ่านใจของอัลโด้ได้
ตอนนั้นเอง อัลโด้ดูมีท่าที่หดหูเล็กน้อย เขาดูราวกับว่าสูญเสียอะไรบางอย่างในชีวิตไป ดวงตาของเขานั้นไร้จิตวิญญาณและมีท่าทีที่เฉยชา
เขาส่ายหน้าให้กับคําพูดของโรแลนด์ “ก็มันช่วยไม่ได้นี่ ก็คนที่มามันดันเป็นบาร์ดชายหนุ่มหล่อที่มากไปด้วยพรสวรรค์นี่ ดังนั้นมันค่อนข้างธรรมดาที่คนแบบเขาจะรู้ว่าเวลาไหนควรรุกเวลา ไหนควรถอย ด้วยบุคลิกของบุตรทองคําไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องขัดแย้งกับสาขาใหญ่อยู่ดี ข้าไม่รีบนักหรอก”
“แล้วเกิดอะไรกับรูปร่างของคุณกัน ประธาน?” โรแลนด์นั่งลงบนเก้าอี้
มีเก้าอี้เหลืออยู่ แต่อัลโด้ก็ไม่ได้นั่งลง แสงสลัวภายในห้องทดลองทําให้รูปลักษณ์ประธานดูมืดมนเป็นอย่างมาก
“ลูกข้าหายตัวไป!”
เมื่อได้ยินดังนั้นแทนที่โรแลนด์จะพูดตอบโรแลนด์กลับถามไปแทนว่า “ฉันไม่ยักจะจําได้ว่าคุณเคยมีลูก”
“เจ้าก็รู้ว่าข้ามีทาสหญิงอยู่หลายคน และเกือบทั้งหมดนั่นก็มีความสัมพันธ์กับข้าทั้งนั้น” อัลโด้ถอนหายใจออกมาเบาๆ “เมื่อไม่นานมานี้ เมื่อข้าออกไปจากที่นี่ตอนที่พวกสาขาใหญ่มากถึง ข้าแอบไปซ่อนตรงภูเขาใกล้ๆนี้ตรงนั้นมีที่ซ่อนลับของข้าอยู่ ทว่าวันหนึ่งหนึ่งในผู้หญิงของข้าก็แท้งบุตร เธอท้องมาได้หกเดือนแล้ว ทว่าข้านั้นไม่ได้สังเกตุข้าพึ่งมารู้ตอนที่ตอนเธอแท้งแล้ว”
ลูกหลานนั้นเป็นเรื่องสําคัญ โรแลนด์นั้นถอนหายใจและพูดว่า “ขอแสดงความเสียใจด้วยจริงๆ ถึงแม้ว่ามันอาจจะดูไม่เหมาะที่จะพูด ทว่าคุณก็ยังหนุ่มอยู่ ทําไมถึงไม่มีลูกอีกสักสองสามคนล่ะ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น อัลโด้ก็มองไปที่โรแลนด์ด้วยท่าทางแปลกๆ “ไม่ใช่ว่าบุตรทองคําอย่างพวกเจ้ามักจะกังวลกับเรื่องลูกหลานไม่ใช่เหรอ?”
“พวกเรากังวลก็จริง และก็ไม่อยากให้มาแบบไม่ทันตั้งตัว” โรแลนด์ยักไหล่และพูดออกมา “ฉันยังไม่มีลูกก็จริง ทว่าก็เคยได้ยินคนแก่ๆบอกว่าการเลี้ยงเด็กในทุกวันนี้มันเป็นปัญหาและมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก”
อัลโด้มองโรแลนด์อย่างประหลาด “ข้าไม่รู้ว่าบุตรทองคําเป็นยังไง ทว่าการที่นักเวทย์นั้นจะมีลูกถือเป็นเรื่องที่ยากมาก”
โรแลนด์ถามออกมา “ทําไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?”
“เนื่องจากความแข็งแกร่งที่มาเท่ากัน มันยากมากที่จะหาผู้หญิงธรรมดาจะสามารถตั้งท้องเด็กให้แก่พวกผู้เชี่ยวชาญ มันเป็นช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่ง มันจึงมีโอกาสน้อยที่จะมีลูกได้ ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะแต่งงานกันเอง เพราะมันมีโอกาสอย่างมากที่เด็กที่เกิดมาจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเช่นกัน”
พวกผู้เชี่ยวชาญนี้จะค่อยๆกลายพันธุ์เมื่อโตขึ้นรึไง?
โรแลนด์คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามว่า “ถ้าอย่างนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้ชายธรรมดาจะสามารถทําให้ผู้เชียวชาญหญิงตั้งครรภ์ได้”
โรแลนด์ถอนหายใจออกมา “พวกเราเหล่านักเวทย์นั้น ทั้งยากลําบากในการเรียนเวทย์ในช่วงแรก และในตอนนี้ยิ่งยากลําบากกว่ามากในการหาคู่ชีวิต…พวกเราเหล่านักเวทย์คงได้หาคู่จากเหล่านักเวทย์หญิงเท่านั้นแล้วล่ะมั้ง”
“ก็ใช่ ทว่าเจ้าก็สามารถหานักรบสาวที่อ่อนแอกว่าเจ้าได้ หรือผู้เชี่ยวชาญสาวบางคนที่เชี่ยวชาญในด้านความเร็ว โอกาสก็ได้แย่นัก ทว่าพวกเธอนั้นไม่ได้พบเจอได้ง่ายนัก พวกเธอนั้นล้วนแล้วแต่ชอบพวกผู้ชายที่อึดถึกทน ดังนั้นพวกเราจึงมักไม่ใช่ตัวเลือกแรกของเธอ”
โรแลนด์ถอนหายใจหนัก “ยิ่งได้ยินคุณพูด ฉันยิ่งไม่อยากเป็นนักเวทย์ต่อไปแล้วเนี่ย”
ท้ายที่สุดอัลโด้ก็หัวเราะออกมาให้กับท่าทางที่ดูตลกของโรแลนด์ ทว่าเขานั้นก็ยังดูหดหูอยู่ดี “ข้านั้นเป็นศัตรูกับสํานักงานใหญ่เสมอมาและมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะหานักเวทย์สาวที่มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับข้าได้ในตอนนี้ ข้านั้นยอมแพ้ไปแล้วและคิดว่าตัวเองนั้นจะตายไป พร้อมกับกลุ่มหญิงสาวสามัญชนหรือรับบุตรบุญธรรม ข้าไม่เคยจินตนาการเลยแม้แต่น้อยว่าจะมีหญิงสาวที่ตั้งท้องสายเลือดของข้า ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเทพธิดาแห่งเวทมนตร์นั้นจะมอบความหวังให้แก่ข้าและพรากมันไปจากข้า”
โรแลนด์รู้สึกสงสัยขึ้นมา “ทําไมผู้หญิงที่ตั้งครรภ์สายเลือดของคุณถึงไม่ยอมรับล่ะว่าเธอท้อง? ในเวลาหกเดือน เธอควรที่จะท้องนูนขึ้นเล็กน้อย และต่อให้เธอโง่ขนาดไหนก็ตาม เธอก็ควรตระหนักได้สิว่าเธอนั้นตั้งท้อง”
“เธอไม่กล้า” อัลโด้ยิ้มออกมาอย่างขมขึ้น “เพราะพวกเรานักเวทย์นั้นล้วนเป็นตัวตนที่ลึกลับในสายตาคนธรรมดาและยังดูสูงส่ง ข้าไม่เคยพูดเกี่ยวกับเรื่องลูกหลานมาก่อน ดังนั้นพวกเธอจึงไม่กล้าคาดหวัง และเธอก็กลัวว่าเธอที่เป็นทาสนั้นกําลังมีบุตรให้ข้า เธอนั้นกลัวว่าข้าจะทําให้เด็กแท้งเนื่องด้วยไม่ต้องการเด็กที่เกิดมาจากทาส ดังนั้นเธอจึงอดทนเรื่อยมา เธอนั้นวางแผนว่าจะรออีกครึ่งเดือนและเก็บเงินไปเรื่อยๆ ก่อนจะหนีออกไปพร้อมกับเด็กในท้องของเธอ”
“ก็สมเหตุสมผลอยู่ที่เธอจะคิดเช่นนั้น” โรแลนด์ถอนหายใจออกมา “แล้วทําไมเธอถึงแท้งล่ะ?”
“เธอนั้นไปยังตีนเขาเพื่อตักน้ํา และเมื่อเธอแบกมันขึ้นเขาไปได้ครึ่งทาง เท้าของเธอก็เกิดลื่น และเธอก็กลิ้งตกเขาลงมา เธอนั้นกลิ้งลงมากว่า 20 เมตร และท้องของเธอก็กระแทกเข้ากับก้อนหิน”
โรแลนด์ถอนหายใจอย่างต่อเนื่อง ตอนแรกเขาคิดว่าเขาจะได้ยินละครน้ําเน่าภายในคฤหาสน์
“ข้านั้นอยู่แถวนั้นพอดี เมื่อข้าเห็นเธอกลิ้งลงมา ข้าเลยลงไปเพื่อช่วยเธอพยุงตัว ทว่าข้าเห็นเลือดไหลออกมาจากส่วนล่างของเธอ เธอกํากางเกงข้าและไม่ได้ปิดบังอีกต่อไป เธอร้องไห้ขอให้ข้าช่วยลูกของเธอ…ลูกของข้า”
อัลโด้นํามือขวาขึ้นมาก่ายหน้าผากสีหน้าของเขาดูเจ็บปวดเป็นอย่างมาก “ทว่าข้านั้นรู้เพียงแค่เวทย์โจมตี และเวทย์เสริมกําลังบางบทเท่านั้น ข้านั้นไม่รู้เวทย์รักษา ข้าจึงรีบเร่งสั่งให้คนของข้าไปยังโบสถ์แห่งชีวิต ทว่ามันนั้นอยู่ไกลเกินไปและเด็กก็ได้จากไปแล้ว”
น้ําเสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเสียใจ และอาการโศกเศร้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
โรแลนด์เองก็พอจะสัมผัสได้ว่าอัลโด้นั้นโศกเศร้าขนาดไหน
“ข้านั้นไม่ได้อยู่อารมณ์ที่สามารถบริหารหอคอยเวทย์ได้ในตอนนี้” อัลโด้เดินไปทางหัวบันได มองไปที่โรแลนด์และกล่าวว่า “ดังนั้นเจ้าจะต้องเป็นผู้ดูแลหอคอยเวทย์ไปอีกยาวเลย”
“ฉันยังจะพูดเหมือนเดิมนะว่า คุณไว้ใจและมั่นใจในตัวฉันงั้นเหรอ?”
“ถ้าหากเจ้าต้องการขโมยทรัพยากรของหอคอยเวทย์ละก็เจ้าคงทําไปนานแล้วไม่จําเป็นต้องรอให้ข้ากลับมาหรอก”
เมื่อพูดจบอัลโด้ก็จากไป
ไม่นานนัก วิเวียนก็เดินมาพร้อมเครื่องดื่มและเค้กในมือ เธอวางจานลงบนโต๊ะพร้อมกล่าวว่า“ท่านประธานดูโศรกเศร้าเป็นอย่างมาก”
โรแลนด์ถามออกมา “พวกเธอได้ยินเรื่องทั้งหมดงั้นเหรอ?”
“พวกท่านนั้นไม่ได้เบาเสียงพูดลงแม้แต่น้อย พวกเราทั้งหมดล้วนได้ยินสิ่งที่ท่านพูด” วิเวียนถอนหายใจ “ข้านั้นเคยได้ยินเกี่ยวกับอดีตของประธาน เขานั้นพยายามเป็นอย่างมากเกินกว่าที่ท่านรองจะจินตนาการได้เสียด้วยซ้ํา ในสองปีหลังจากเขาถูกหักหลังโดยผู้หญิงของเขา ประธานนั้นก็เกือบจะพังทลาย”
“แล้วเขาผ่านมันไปได้ยังไง?”
“เขานั้นดูเหมือนว่าจะพยายามยอมรับมัน” วิเวียนพูดอย่างเรียบเฉย
ตอนที่ 101 ฉลาดเหมือนฉัน
โรแลนด์คุยอยู่กับผู้เล่นนักเวทย์คนอื่นๆในกลุ่มอยู่พักหนึ่งและศึกษาเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของนักเวทย์ส่วนใหญ่
อย่างเช่นในปัจจุบัน นักเวทย์ส่วนใหญ่นั้นไม่ได้เข้าร่วมกับสมาพันธ์นักเวทย์ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เหมือนกับโรแลนด์ที่สังกัดอยู่ภายในองค์กร และไม่เหมือนกับโรแลนด์ พวกเขานั้นไม่ได้อยู่ในตําแหน่งสูงทันที พวกเขาส่วนใหญ่นั้นอยู่ในตําแหน่งนักเวทย์ฝึกหัด ในขณะที่มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นนักเวทย์อย่างเป็นทางการ ผลประโยชน์ของเขานั้นยอดเยี่ยม ทว่าก็ไม่สามารถเทียบได้กับสิ่งที่โรแลนด์ได้รับ
เนื่องจากโดยปกติแล้วพวกเขาจะเชี่ยวชาญเวทย์เพียงแค่หนึ่งถึงสองบท ในตอนนี้พวกเขานั้น แข็งแกร่งกว่าพวกนักเวทย์ฝึกหัดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และมีคนจํานวนน้อยมากๆที่จะเข้าไปถึงระติบนักเวทย์ที่แท้จริง
ในทางกลับกัน จุดเริ่มต้นของโรแลนด์นั้นสูงกว่ามากเมื่อเทียบกัน
โรแลนด์อยู่ในระดับสี่เกือบที่จะถึงระดับห้า และสิ่งที่สําคัญที่สุด ถึงแม้ว่าโรแลนด์จะมีเวทย์พื้นฐานอยู่แค่ไม่กี่บทในตอนแรกเริ่ม นับรวมไปถึงรูปแบบเวทย์ที่พัฒนาแล้วด้วย แต่ในตอนนี้ เขานั้นสามารถใช้เวทย์ได้กว่ายี่สิบบทแล้ว
ไม่น่าแปลกเลยที่ผู้เล่นนักเวทย์คนอื่นๆ จะมองว่าเขาเป็นหัวหน้านักเวทย์
หลังจากตอบคําถามมากมายที่สมาชิกภายภายในกลุ่มโยนทิ้งไว้ให้โรแลนด์มาเสร็จ เขาก็ปิดแชทกลุ่มพร้อมทั้งออกจากบ้านไปด้วยจักรยานสาธารณะเพื่อสโมสรเหมียวเข้า
วันนี้อากาศวันนี้ไม่ค่อยเป็นนัก ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆสีดําหนาแน่นดูเหมือนจะตกลงมาอย่างหนัก
อากาศนั้นร้อนขึ้นและเหนอะหนะ
เมื่อโรแลนด์มาถึงสโมสรดาบ เขาก็พบว่าทุกคนทานอาหารเช้าและเก็บชามกันเรียบร้อยแล้ว
โรแลนด์นั้นผิดหวังเล็กน้อย เขานั้นพยายามอย่างมากที่จะมาอย่างเร่งรีบ ทว่าเขายังคงมาสายอยู่ดี สาเหตุหลักเป็นเพราะว่าเขานั้นมีเวลาที่ดีในการพูดคุยกับคนในกลุ่มแชทจนลืมเวลา
ในตอนนี้นั้น เขากําลังฝึกพื้นฐานของศิลปะการต่อสู้เหมียวเต๋าอยู่ อาทิเช่นว่าต้องขยับดาบยังไง และต้องหายใจยังไงขณะถือดาบ
แม้ว่ามันจะดูไม่สําคัญนัก แต่จริงๆแล้วมันสําคัญมาก และสิ่งที่โรแลนด์ไปมากกว่านั้นคือ เฉาชู่นั้นเป็นอัจฉริยะด้านการสอน
ถึงแม้ว่าเทคนิคมวยนั้นไม่ได้แย่นักและสามารถทําให้เขาสามารถสร้างความสามารถพื้นฐาน ในการต่อสู้ได้ภายในสองถึงสามเดือน แต่หากมองลึกเข้าไปเห็นได้ชัดว่ามันไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับสิ่งที่มีเฉาชู่สอนอยู่
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่การฝึกพื้นฐาน ในการกวัดแกว่างดาบไม้หนักกว่า 1.5 กิโลกรัมถึง 2 กิโลกรัม จากซ้ายไปขวาตลอดช่วงเข้าจนเขาล้าไปทั้งตัว ถ้าหากเขาหิวเขาจะไม่สามารถทนซ้อมจนจบได้
เช่นเดียวกันกับที่โรแลนด์กําลังคิดที่จะสั่งอาหารให้มาส่งที่นี่ ซีฉาซึ่งอยู่ภายในสนามฝึกและกําลังล้างสนามเหมือนที่ทําอยู่เป็นประจํา เมื่อเธอเห็นเขา เธอก็วางถังน้ําลงและเดินเข้ามาหาเขา จากนั้นก็ถามว่า “นายยังไม่ได้กินข้าวเข้ามาใช่ไหม?”
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกหมื่นลี้ลอยเข้ามาในจมูกของเขา
“ยังไม่ได้กินเลย” โรแลนด์พยักหน้าขณะที่เขากตแอปบนโทรศัพท์ของเขา “ฉันยุ่งอยู่นิดหน่อยน่ะ”
“อาหารเข้ายังเหลืออยู่เลย ไม่จําเป็นต้องทําอะไรอย่างการเสียเงินหรอก” โรแลนด์นั้นแปลกใจพอสมควร “มีอาหารเข้าเหลืออยู่งั้นเหรอ?”
ซีฉาพยักหน้ารับอย่างเฉยชา “มากินสิ”
ทั้งสองคนเข้าไปในครัว ซีฉาหยิบจานใบใหญ่ออกมาจากตู้ มีทั้งปอเปี๊ยะ เกี๊ยว และบะหมี แห้งอยู่ชามหนึ่ง
ปอเปี้ยะและเกี๊ยวอร่อยใช้ได้ แต่บะหมี่แห้งสีขาวนั้นเป็นบะหมี่เปล่าๆโดยไม่มีน้ําซอสหรือรสชาติใดๆ
ฉันจะกินไอนี้ยังไง? โรแลนด์ไม่คุ้นเคยกับการกินบะหมี่แห้งเปล่าๆ
โรแลนด์ขมวดคิ้ว ทันใดนั้นเองซีฉาก็นําชามน้ําซุปที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆของเครื่องยาจีนออกมา มันจึงถูกตักออกมาจากหม้อร้อนๆ และเทมันลงชามก๋วยเตี๋ยวแห้ง
ภายในพริบตา มันก็กลายเป็นชามก๋วยเตี๋ยวที่อุ่นและรสเลิศ
“กินช้าๆ ” ซีฉาพูดออกมาด้วยน้ําเสียงที่ใจเย็น
โรแลนด์สังเกตุได้ชัดว่าซีฉานั้นเก็บสิ่งนี้ไว้ให้กับเขา เขาจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณ”
“ครั้งหน้าฉันจะไม่เก็บไว้นายนะ จําไว้ว่ามาให้เร็วหน่อย” ซีฉาออกจากครัวไปทันทีที่พูดจบ
นี่คือที่เขาเรียกกันว่าแข็งนอกอ่อนในใช่ไหม? มันไม่ได้ดูน่ารักขนาดนั้น
ทว่าเธอกลับดูงดงามและมีระดับแทน ซึ่งต่างจากผู้หญิงทั่วไปมาก
อาหารเช้านั้นยังคงอร่อยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นปอเปี้ยะหรือเกี้ยว มันเป็นความอร่อยที่เขาไม่สามารถอธิบายได้เมื่อมันเข้าไปในปากของเขา เขากินมันอย่างเอร็ดอร่อย
หลังจากอาหารเข้าโรแลนด์ก็ไปที่สนามฝึกขนาดใหญ่ เฉาชู่ฟังบ่นเด็กวัยรุ่นสองคนที่ฝึกฝนอย่างไม่ตั้งใจ และหันไปพูดกับโรแลนด์ว่า “นายยังไม่ต้องรีบฝึกหรอก รอให้อาหารย่อยก่อน”
โรแลนด์ พยักหน้าและนั่งลงบนม้านั่งด้านข้าง
ฉีเฉาชู่นั่งลง เขาหยิบบุหรี่ออกมาอมไว้ในปากแล้วถามว่า “ฉันได้ยินมาว่าวันก่อนนาย เจอกับจินเหวินเหวินที่หน้าทางเข้าของดาวสีแดง?”
โรแลนด์พยักหน้าและถามอย่างสงสัย “ดูเหมือนว่าซีฉาจะรู้จักเธอนะ”
“เธอเคยเป็นแฟนเก่าของฉันนะ ซีฉาเรียกเธอว่าพี่สะใภ้มาตลอดเลย”
อาการตกใจปรากฏขึ้นทั่วใบหน้าของโรแลนด์
ฉีเฉาชู่เมื่อเห็นว่าโรแลนด์แสดงท่าทางแบบนี้ออกมาเขาก็ยิ้มออกมาอย่างหยอกล้อ “ทําไม มันแปลกงั้นเหรอที่คนอย่างฉันกับจินเหวินเหวินจะเคยเป็นแฟนกันมาก่อน”
“แต่มันน่าประหลาดใจนิดหน่อย แต่ว่ามันก็สมเหตุสมผล พวกนายทั้งคู่ดูเหมือนจะเป็นคนประเภทเดียวกัน” โรแลนด์ ตอบออกมาหลังจากจมกับความคิดของตัวเองไปครู่หนึ่ง
ทั้งสองนั้นต่างเป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้เช่นเดียวกันและยังเปิดสโมสรเหมือนกันอีก ดังนั้นมันเป็นธรรมดาที่พวกเขานั้นจะเคยติดต่อกัน
“เธอเป็นคนที่ทะเยอทะยานและขอบการแข่งขัน เมื่อไม่กี่ปีก่อนฉันเป็นคนที่ไม่ชอบความพ่ายแพ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิง” เฉาชู่ก็พูดอย่างใจเย็นว่า “เราคบเป็นเวลากว่าสองปี พวกเราทะเลาะกันเรื่อยมาและไม่มีความสุขกันนัก จากนั้นพวกเราเลยเลิกกัน”
โรแลนด์มองเข้าไปในดวงตาของเฉาและพบว่าเขายังคงมีควงตาราวกับปลาตายและปราศจากร่องรอยของอารมณ์ใดๆอยู่ จากนั้นเขาก็ถามว่า “นายอยากจะรู้อะไรงั้นเหรอ? บอกตามตรงนะฉันไม่รู้จักเธอดีนัก”
“ฉันได้ยินมาจากซีฉาว่าจินเหวินเหวินกําลังกวนนายอยู่?”
“ถูกครึ่งหนึ่ง” โรแลนด์คิดสักพักและพูดว่า “ฉันมีของที่เธออยากได้อยู่ แต่ฉันนั้นไม่อยากมอบมันให้กับเธอ ฉันก็เลยเลิกไปสโมสรมวย”
ฉีเฉาชู่มองไปที่โรแลนด์และพูดว่า “ฉันรู้จักจินเหวินเหวินดี เธอจะพยายามเป็นอย่างมากเพื่อ ที่จะได้สิ่งที่ต้องการมาและเธอจะไม่ยอมแพ้จนกว่าเธอจะทําทุกวิถีทาง ฉันแนะนําว่าให้นายเลิกยุ่งกับเธอไปซะ ไม่ใช่ว่าเพราะฉันหึง แต่เพราะเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่รับมือได้ยาก”
โรแลนด์หัวเราะ “ถ้าคุณไม่ได้พูดคําสุดท้ายออกมา ฉันอาจจะคิดว่านายอิจฉาซะแล้ว”
“อิจฉาอะไร?” ท่าทางของเฉาเปลี่ยนไป “ฉันดีใจด้วยซ้ําที่ได้เลิกกับเธอ”
เมื่อมองไปยังท้องฟ้าโปร่งที่อยู่ห่างออกไป โรแลนด์ก็พูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ฉันกลัวว่า เธอจะมาถึงที่นี่นะ เพราะถึงยังไงเธอก็เคยเจอซีฉามาก่อน”
“เธอไม่มาที่นี่หรอก เธอหน้าหนาไม่พอหรอก”
เมื่อฉีเฉาชู่พูดจบเขาก็ลุกขึ้นเพื่อไปสอนวัยรุ่นทั้งสี่ต่อ
โรแลนต์นั้นสงสัยเป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากเป็นเรื่องส่วนตัวเขาจึงไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม
หลังจากฝึกตอนเช้าที่สโมสรดาบเสร็จ โรแลนด์ก็ขี่จักรยานสาธารณะกลับบ้าน
เขาเลี้ยวไปทางแยกหนึ่งและพบเข้ากับรถเก๋งของผู้หญิงจอดรออยู่ตรงที่จอดรถชั่วคราวตรงแยก เธอพึงประตูรถและโบกมือให้โรแลนด์ทันทีที่เธอเห็นโรแลนด์
โรแลนด์นั้นแสร้งทําเป็นว่าไม่เห็นเธอ
“โรแลนด์!” จากทางด้านหลัง จินเหวินเหวินตะโกนออกมาด้วยน้ําเสียงที่ดูเหมือนกําลังกลั้น ความโกรธอย่างชัดเจน
แต่โรแลนด์ก็ยังคงแสร้งเป็นว่าไม่สน
จากนั้นเขาก็ขี่ต่อไปอีกสิบกว่าเมตรจากนั้นก็พุ่งผ่านไปยังทางเดินเท้าโดยตรง
หลังจากข้ามไปอีกฝั่งของถนนได้สําเร็วจินเหวินเหวินที่นั่งอยู่ตรงเบาะคนขับก็จ้องไปที่ทางเท้าด้วยสีหน้าที่โกรธจัด
ทางด้านซ้ายและขวาของทางเท้านั้นมีที่กั้นรถยนตร์อยู่ และจินเหวินเหวินก็ไม่สามารถขับไปต่อได้ นอกเสียจากว่าเธอจะกล้าขับรถข้ามทางเท้าไป
โรแลนด์ยิ้มให้จินเหวินเหวินจากนั้นก็ปั่นจักรยานสาธารณะไปตามทางที่ไม่ให้รถที่มีเครื่องยนต์ผ่าน
ตอนที่ 100 โดนองค์กรพบตัว
ในโลกนี้นั้นกระดาษมีราคาแพงเป็นอย่างมาก คนธรรมดานั้นไม่สามารถซื้อสมุดบันทึกได้แม้ว่าพวกเขาจะออมโดยไม่กินหรือดื่มก็ตาม
หอคอยเวทย์นั้นมีการให้ที่พัก อาหาร และค่าจ้าง แม้มันจะน้อยแต่หากประหยัดได้สามถึงสี่ เดือนมันก็เพียงพอที่จะซื้อสมุดบันทึกแล้ว
โรแลนด์วาดแบบจำลองของเวทย์หุ่นเชิดบนกระดานไม้และอธิบายถึงข้อควรระวังที่สําคัญบางประการ
ขณะที่เขากําลังจะถามพวกนักเวทย์ฝึกหัดว่ามีใครไม่เข้าใจตรงไหนบ้างไหม โลกก็แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวดําและเวลาก็หยุดลง
เวลาของโลกใบนี้ในวันนี้นั้นหมดลงเรียบร้อยแล้ว
โรแลนด์ปืนออกมาจากแคปซูลเสมือนจริง หลังจากยืดเส้นตัวเองเล็กน้อยเขาก็รู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
เมื่อโรแลนด์นอนตอนสี่ทุ่มในทุกวันและคืนตอนหกโมงเช้าและเปลี่ยนพฤติกรรมแย่ๆ ที่ชอบนอนตุก เขาก็รู้สึกตัวเองมีแรงมากขึ้นและมากขึ้น
เขาทําเหมือนอย่างเคยคือการเปิดดูฟอรั่มเพื่อจะเห็นว่าเจ้าพวกผู้เล่นบ้าๆนั้นกําลังคุยอะไรกันอยู่ และเขาก็พบเข้ากับกระทู้ที่น่าสนใจ
ไม่สามารถสร้างกระจกและไม่สามารถสร้างดินปืนได้
ข้อมูลเบื้องต้นของกระทู้นี้ก็เกี่ยวกับผู้เล่นคนหนึ่งซึ่งได้รับแรงบัลดาลใจมากจากพวกนิยายออนไลน์ทั้งหลาย เขานึกถึงราคาของกระจกที่สูงเฉียดฟ้าภายในเกมและความสามารถในการมอบความตายอันยิ่งใหญ่ของดินปืนซึ่งสามารถนําไปใช้ประโยชน์อื่นๆได้อีกมากมาย
ถ้าหากใครสักคนได้คว้าสองสิ่งนี้ไปครองแล้วละก็ ปัญหาเรื่องเงินและอํานาจทั้งสองนั้นจะถูกแก้ไขอย่างรวดเร็ว
ทว่าสิ่งที่ทําให้เขาตกใจนั่นคือ วิธีการสร้างสองสิ่งในโลกนี้นั้นไม่เหมือนกับภายในโลกจริง
ทรายแก้วที่ขุดได้จากในทางแม่น้ํานั้นไม่ได้กลายเป็นแก้ว เมื่อถูกเผามันกลายเป็นโคลนเหนียวสีดําและเมื่อเป็นตัวลงมันกลับกลายเป็นหินประหลาดชนิดหนึ่ง
สําหรับสูตรของดินในนั้นมันก็ไม่ใช่แค่กํามะถันหนึ่งส่วน ถ่านหนึ่งส่วน และดินประสิวสามส่วนเหมือนที่ทุกคนคุ้นเคย สิ่งที่ได้มาแทนที่จากการผสมสิ่งเหล่านี้นั้นกลับกลายเป็นของเสียจากการผสม
นอกจากนี้กฎทางฟิสิกส์หรือปรากฏการณ์ทั่วไปของธรรมชาติหลายอย่างก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นั้นยากที่คนทั่วไปจะสังเกตุ ทว่าพวกเขานั้นก็ได้รับผลกระทบอยู่หลายอย่างเช่นกัน อาทิเช่น สูตรเคมีบางอย่างภายในโลกจริงนั้นไม่สามารถใช้ในที่นี้ได้
พูดให้สั้นก็คือ ทุกๆคนที่หวังจะขึ้นต้นไม้แห่งเทคโนโลยีในโลกนี้นั้นคงต้องผิดหวัง
ยามหลักแล้ว มันก็น่าจะได้ผลหากมีใครสักคนเข้าใจเกี่ยวกับกฎฟิสิกส์และพันธะเคมีของนี้แต่…จะมีเกมเมอร์ที่คนกันเชียวที่เป็นนักวิจัยตัวจริง?”
คนที่มีความสามารถในการทําการวิจัยนั้นมักจะอยู่ในสถานที่วิจัยของตัวเองในทุกวินาที พวกเขานั้นคงหาเวลามาเล่นเกมไม่ได้
ด้านล่างมีผู้เล่นหลายคนตอบกลับมา
“ไม่สมเหตุสมผลเลยที่ NPC พวกนั้นสร้างแก้วได้แต่พวกเราสร้างไม่ได้”
“ฉันเห็นปืนของคนแคระอย่างชัดเจน”
“อาจเป็นไปได้ว่ามีองค์ประกอบเวทย์บางตัวที่ขัดขวางการทํางานของกฎพื้นฐานของฟิสิกส์ ท้ายที่สุดแล้วนี่คือโลกแห่งเวทมนตร์
หลังจากอ่านโพสต์ในฟอรั่มเสร็จโรแลนด์ก็กําลังจะไปที่สโมสรเหมียวเผ่าเพื่อรับประทานอาหารเข้า แต่เขาพบว่าหนึ่งในสมาชิกที่ได้รับการอนุมัติภายในเว็บบอร์ดนั้นล่งข้อความมาหาเขา
โรแลนด์นั้นปิดฟังก์ชั่นในการเพิ่มเพื่อนหรือการส่งข้อความส่วนตัวมาหาเขาเพราะมีหลายคนเหลือเกินที่ต้องการเป็นเพื่อนกับเขาและพยายาม@เขาอยู่บ่อยๆ มีเพียงแค่บางคนในสมาชิกที่ได้รับการอนุมัติเท่านั้นที่สามารถส่งข้อความถึงเขาได้
เมื่อเขาคลิกเพื่อที่จะเปิดมัน เขาก็พบว่าเขานั้นคือรองผู้อํานวยการของศูนย์ข้อมูล
นามแฝงออนไลน์ปัจจุบันของเขาคือโอนีล
“โรแลนด์ ฉันนั้นได้อ่านข้อมูลที่นายส่งมาให้ฉันเรียบร้อยแล้ว เมื่อวานนี้มีการตรวจสอบซ้ําไปมากว่าสี่ชั่วโมง ฉันสามารถยืนยันได้ว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติเลยในข้อมูลของนาย”
“ถ้าหากว่ามันไม่มีอะไรผิดปกติ แล้วทําไมฉันถึงรู้สึกว่ามันมีจุตเวทย์ที่หายไปละ?” โรแลนด์ถามออกไปอย่างมีนงง
“ฉันเองก็ยังหาสาเหตุที่ชัดเจนไม่พบ แต่ผมมีความคิดที่ไม่แน่ใจนักอยู่”
“พูดต่อเถอะ”
* นายคิดว่าเป็นไปได้ไหม แบบจําลองเวทย์ของความสามารถทางภาษานั้นขาดจุดเวทย์อยู่จุดนึงอยู่แล้ว? ฉันนั้นไม่ได้มีพรสวรรค์เกี่ยวกับเวทมนตร์ภายในเกมมากนัก ดังนั้นมันยากสําหรับฉันที่จะรู้ได้ว่าเวทย์ที่สมบูรณ์นั้นเป็นแบบไหน
ชัดเลย!
โรแลนด์ปรบมือทันทีเมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ ใช่แล้วเป็นไปได้เลย บางทีความสามารถทางภาษา “ที่ผู้เล่นได้รับนั้นอาจจะเป็นรูปแบบที่ไม่สมบูรณ์มาตั้งแต่ต้นก็ได้
เขานั้นเป็นคนที่น่านับถือจริงๆ ความสงสัยและการตั้งสมมุติฐานของเขานั้นยอดเยี่ยมกว่าโรแลนด์มาก เขานั้นพบจุดบอดได้ในทันที
โรแลนด์นั้นต้องการจะทดสอบความคิดนี้ทันที ทว่าน่าเสียดาย ตอนนี้มันไม่มีทางที่เขาจะทําอะไรได้ เพราะเซิร์ฟเวอร์ของเกมนั้นยังคงปิดอยู่
“ขอบคุณมากวันนี้ฉันจะรีบไปลองทันทีเลยเมื่อได้เข้าเกมไปแล้วในตอนกลางคืน”
“ไม่เป็นไร เอ้อใช่ นายสนใจที่จะเข้าร่วมชุมชนนักเวทย์ของพวกเราไหม? คนที่อยู่ที่นี่นั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนที่อุทิศทั้งหัวใจให้กับการเล่นนักเวทย์ ถ้าหากนายเข้าร่วม คนอื่นๆน่าจะดีใจมากแน่ๆ”
โรแลนด์นั้นคิดอยู่สามวิก่อนตอบตกลงไปในทันที
ขนาดคนที่น่านับถือขนาดนี้ยังอยู่ในกลุ่มเลย ดังนั้นภายในกลุ่มน่าจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับเวทมนตร์กันบ่อยครั้ง
จากนั้นโรแลนด์ก็ถูกดึงเข้ากลุ่มแขทเพนกวินที่มีชื่อว่า “กลุ่มผู้ค้นหาเวทมนตร์”
สมาชิกในกลุ่มนั้นมีอยู่แปดร้อยนิดๆ และพวกเขาส่วนมากนั้นออนไลน์กันอยู่
หลังจากโรแลนด์เข้าร่วมแล้วเขาก็ส่งข้อความทันที “ผู้มาใหม่พึ่งลงเรือนี้ ขอความดูแลและความแนะนําด้วย”
“กฎเดิมๆ คือผู้มาใหม่จะต้องส่งรูปถ่ายของตัวเองในชุดผู้หญิงไม่เช่นนั้นนายจะถูกมองว่าเป็นคนล่องหน (อีโมจิแคะขี้มูก)
“ใช่ใช่สมาชิกใหม่ต้องถ่ายรูปก่อน”
“อย่าฟังพวกเขานะเด็กใหม่ นายยังมีฉันอยู่ ส่งรูปนายในชุดผู้หญิงมาในแชทส่วนตัวของฉันก่อนก็ได้ (ซู๊ดดด)”
ตอนแรกนั้นมันก็เป็น “การหยอกล้อ” กันแบบดั้งเดิมของสมาชิกเก่าๆภายในกลุ่ม แต่แล้วสมาชิกคนหนึ่งที่ส่งข้อความไปว่า
“พวกนายไม่ดูนามแฝงของเขาหรอ? สมาชิกใหม่คือโรแลนด์”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ข้อความที่ถูกส่งมาจนเต็มกลุ่ม
“เชี่ยนี่โรแลนด์ตัวจริงนี่หว่า ในที่สุดผู้ดูแลกลุ่มในตํานานก็ลากตัวหัวหน้าแก๊งค์ของพวกเรามาได้สักที”
“ฮ่าๆ ในที่สุดกลุ่มนี้ก็ให้ความรู้สึกที่ถูกต้องเสียที”
“ในที่สุดที่พึ่งของพวกเราก็มาถึงแล้ว หัวหน้าแก๊งค์ฉันมีคําถามมากมายเลยที่อยากจะถามคุณ ถึงแม้ว่าผู้ดูแลกลุ่มของเราจะยอมเยี่ยมในทางคณิตศาสตร์มากขนาดไหนก็ตาม เขาก็เป็นได้แค่นักเวทย์ที่ตูบ้าบอภายในเกม ความสามารถในการสัมผัสได้ถึงองค์ประกอบเวทย์ของเขานั้นแย่กว่าพวกเราส่วนใหญ่เสียอีก”
“โรแลนด์ ฉันผิวขาว แถมยังรู้วิธีดันเข้าและดันออกอาวุธขนาดใหญ่ด้วย ได้โปรดนําฉันไปเป็นเมียน้อยของคุณที”
โรแลนด์ถึงกับปากกระตุก ทําไมเจ้าพวกบ้าที่ขอบแต่งตัวครอสเดรสถึงอยู่ทุกที่ที่เขาไปกัน
ผู้ดูแลกลุ่มเตะสมาชิกที่ชื่อ ผิวขาวน่ารักดูดกับพวกหมูออกจากกลุ่ม
เมื่อเห็นการแจ้งเตือนของระบบโรแลนด์ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ความกระตือรือร้นของสมาชิกในกลุ่มค่อนข้างสูง พวกเขาถามคําถามมากมายเกี่ยวกับเวทมนตร์ ส่วนใหญ่เป็นปัญหาง่ายๆ ที่โรแสนด์พบไม่นานหลังจากที่เขาได้เรียนรู้เวทมนตร์เมื่อสองหรือสามเดือนก่อน
ตัวอย่างเช่น : จะรวบรวมองค์ประกอบเวทย์ให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร?
คําตอบของโรแลนด์ : “หากเพิ่มค่าคุณสมบัติทั้งหมดให้กับสติปัญญา ในระดับสามนายจะสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงองค์ประกอบเวทย์มนตร์ที่ลอยอยู่ในอากาศและปริมาณขององค์ประกอบเวทย์ภายในร่างกายของตัวพวกนายเอง เมื่อถึงตอนนั้นนายไม่จําเป็นต้องใช้อินเทอร์เฟซของระบบเพื่อให้ทราบอย่างชัดเจนว่านายเหลือมานาเท่าไหร่ นายจะสามารถรวบรวมองค์ประกอบเวทย์ได้อย่างง่ายดายเช่นกันในเวลานี้ แต่ก่อนหน้านั้นมันจะยากนิดหน่อยและมักจะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพนัก”
“ฉันรู้สึกเสมอเลยว่าคําว่า “ยาก” ในสายตาของผู้เชียวชาญไม่ใช่คําเดียวกันในสายตาของพวกเรา”
“เห็นด้วย +1”
“มันไม่ใช่เรื่องอยากที่พวกเราจะรวบรวมองค์ประกอบเวทย์ สิ่งที่ยากจริงๆคือการตั้งสมาธิอย่างสมบูรณ์โดยให้มันปราศจากความคิดอื่นๆ ต่างหาก มันแทบจะเป็นไปได้เลยที่จะสามารถควบคุมองค์ประกอบเวทย์ให้เข้าไปยังจุดเวทย์ตามที่ใจต้องการ”
ยากขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ? โรแลนด์ขมวดคิ้ว
จากนั้นเขาก็นึกได้ถึงพรสวรรค์พิเศษ การควบคุมเวทย์ของเขา
บางที่นี้น่าจะเป็นตัวช่วยพิเศษ
เขารับรู้ได้แค่ชื่อของมันเพียงอย่างเดียว และยังไม่ทราบว่าความสามารถที่แท้จริงของมันคืออะไร
***
เผื่อลืมโรแลนด์ทักไปหาโอนีล ตอนที่ 83 นะครับ
ตอนที่ 99 พ่ายแพ้
ยอร์ก โรแลนด์ และเบทต้านั้นเดินออกไป
ฝูงคนขอทานและสามัญชนแยกย้ายกันไปเหลือเพียงขุนนางที่คอยดูแลอยู่ห่างๆ บุคคลขั้นสูงที่แต่งตัวดีเหล่านี้ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเป็นระยะๆ
ดูเหมือนว่าการตายของขุนนางหนุ่มทําให้พวกเขามีความสุขเป็นอย่างมาก
โรแลนด์มองไปที่ขุนนางกลุ่มเล็กๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจเล็กน้อย แล้วเดินไปที่ด้านหน้าของขุนนางหนุ่มทั้งสอง
เมื่อเห็นคนหนุ่มทั้งสองร้องไห้ออกมาอย่างขมขึ้นขณะโอบกอดร่างกายของพี่ชายคนโตไว้ภายในอ้อมแขน โรแลนด์ก็รอจนกระทั่งพวกเขาไม่มีแรงที่จะหลั่งน้ําอีกต่อไปแล้วพูดอย่างช้าๆว่า “พวกนายมาจากตระกูลอะไรกัน? แล้วพ่อแม่ของพวกนายสะ?”
ขุนนางหนุ่มคนนี้ตายไปเป็นเวลานานพอสมควรแล้วและพวกน้องชายของเขาก็วิ่งมาหาเขาแล้ว ไม่มีเหตุผลที่พ่อแม่ของพวกเขาจะยังไม่ทราบข่าว
เมื่อได้ยินคําพูดของโรแลนด์เด็กชายก็เงยหน้าขึ้นมองเขา
เด็กชายที่โตกว่ามีความโกรธในดวงตาของเขา แต่ไม่ได้มีความเกลียดชังมากนัก
แต่กลับเด็กขายอีกคนจ้องมองโรแลนด์อยู่ครู่หนึ่งควงขาของเขาแดงจากการร้องไห้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธ
ทันใดนั้น เขาก็ยืนขึ้นและพุ่งตัวเข้าไปหาโรแลนด์พร้อมตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ข้าจะฆ่าเจ้า ไอฆาตกร!”
โรแลนด์เหยียดขาออกและเตะเด็กขายจนล้มกลิ้งไปมา
ขุนนางหนุ่มคนนี้นั้นเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ถึงแม้ว่าโรแลนด์จะเป็นนักเวทย์ แต่ในตอนนี้เขาก็เลเวลสี่แล้วและถึงแม้ว่าการเติบโตของค่าสถานะร่างกายของเขาจะต่ํากว่านักรบ เขาก็ยังคงแกร่งกว่าคนธรรมดา
ปฏิกิริยาของเขาเร็วกว่าคนทั่วไปมาก
หลังจากที่เด็กขายถูกเตะไปที่หลัง เขาก็นอนคว่ําพร้อมจ้องมองพื้นไปด้วยสายตาที่ว่างเปล่าอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็ร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวดจากนั้นเขาก็ใช้หมัดทุบพื้นอย่างแรงจนมือของเราเริ่มฉีกขาด
เด็กชายอีกคนหันไปมองน้องชายของตัวเอง ก่อนหันกลับมาเผชิญหน้ากับโรแลนด์ “ได้โปรด โปรดให้พวกข้าได้เก็บศพของพี่ชายพวกเราด้วยเถิด และถ้าหากคุณมีเวลาโปรดมาหาข้าเงียบๆที่บ้านของพวกเราในคืนนี้ ข้ามีบางสิ่งที่ต้องการจะบอกคุณ”
เมื่อพูดจบ เด็กหนุ่มที่เงียบลง และริมฝีปากของเขาก็ไม่ได้ขยับขึ้นมาอีก
ทว่าโรแลนด์ก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน
เรื่องราวชักน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ…โรแลนด์ทําราวกับว่าตัวเขานั้นไม่ได้ยินอะไรจากนั้นก็หันหลังและจากไป
พวกขุนนางยังคงหัวเราะกันอย่างมีความสุขอยู่ด้านข้าง เมื่อโรแลนด์เดินผ่านพวกเขา พวกขุนนางก็เบาเสียงของพวกเขาสงทว่ารอยยิ้มเยาะเย้ยก็ยังไม่ได้จางหายไป
โรแลนด์ไม่อยากรับมือกับคนพวกนี้ เพราะถึงอย่างไรพวกเขานั้นก็ไม่ใช่คนในโลกเดียวกัน ทั้งทางจิตใจและทางกายภาพ
ทว่าเมื่อโรแลนด์กําลังเดินไปพันกลุ่มนี้ เขาก็ได้ยิน แม้ว่ามันจะเบาทว่าเขาก็ยังคงใต้ นมันเล็กน้อย ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะตั้งใจทํา
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นทูตแห่งความยุติธรรมอย่างนั้นเหรอ? ชีวิตของพวกไร้ค่าพวกนั้นมีค่าไม่ถึงเหรียญเงินตัวยซ้ํา เจ้าพวกนั้นมีค่าเพียงพอที่เจ้าต้องเรียกร้องและต่อสู้อย่างนั้นหรือ?”
โรแลนด์หยุดและหันกลับมามองขุนนางที่เป็นคนพูด
เขานั้นเป็นชายหนุ่มที่ดูท่าทางอวดดี
โรแลนด์ชี้นิ้วไปทางเขา “ออกมา!”
“ข้าจะไม่ออกไปหรอก เจ้ากล้าทําร้ายข้าต่อหน้าคนจํานวนมากอย่างนั้นเหรอ?” ขุนนางหนุ่มพูดออกมาด้วยคําพูดที่ขี้ขลาดที่สุดภายใต้ท่าทางที่ดูหยิ่งยโสที่สุด
โรแลนด์นั้นเข้าใจถึงความหมายของคําพูดของขุนนางหนุ่มได้ดี นอกจากขุนนาง คนอื่นๆนั้นก็ไม่ใช่มนุษย์
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนเขาจะคิดว่าโรแลนด์จะไม่กล้าทําท่าทีที่รุนแรงต่อหน้าพวกขุนนางทั้งหลาย
เมื่อทําจนเกินเหตุจะถือว่าเป็นการไม่ไว้หน้าขุนนางคนอื่นๆ
ถ้าทําตัวหยาบคายก็เท่ากับว่าเป็นการเหยียบย่ําศักดิ์ศรีของขุนนางคนอื่น
โรแลนด์หัวเราะออกมาเบาๆ
ในตอนที่เขายังเป็นนักเรียนมัธยมปลายอยู่นั้น เขากล้าจัดการพวก “นักเลง” ต่อหน้าอาจารย์ด้วยซ้ํา เขา ชัค และอีกสี่คนที่เหลือนั้นย่างเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่ต่อยตีกับพวกนักเลงรุ่นพี่อยู่บ่อยครั้ง
ในสังคมที่สงบสุขแม้ว่าจะมีมาตราการควบคุมที่มากมาย เขาก็กล้าที่จะพุ่งตรงออกไปด้วยความโกรธ
ในโลกที่ไร้ซึ่งกฎหมาย และยิ่งเป็นในโลกแห่งเกม ทําไมเขาต้องทําตัวขี้ขลาดและอดทนมากยิ่งกว่าตอนที่เขาอยู่ในโลกจริงด้วยล่ะ?
หลังจากเขาหัวเราะ เขาก็ยกแขนของเขาขึ้นมา
บอลเพลิงขนาดเล็กพุ่งตรงไปแผดเผาใบหน้าของขุนนางหนุ่มผู้หยิ่งยโสในทันที และหลังจากเกิดเสียงระเบิดขึ้น ขุนนางหนุ่มก็กลิ้งไปกับพื้น พร้อมกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
โรแลนด์นั้นลดพลังเวทย์ของบอสเพลิง และทําให้มันมีพลังทําลายที่ลดลงอีกด้วย ความรุนแรงของมันก็แค่ราวๆประทัดเท่านั้น
ทว่าถึงอย่างนั้นมันก็ทําให้ขุนนางหนุ่มตกใจจนเลือดตาแทบกระเด็น ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้รับความเจ็บปวดเป็นจํานวนมากบนใบหน้าซึ่งผิวที่ค่อนข้างบอบบาง
“ข้ามองไม่เห็น!”
“หน้าของข้าเจ็บไปหมดเลย!”
“เจ้านี้จะฆ่าข้า ช่วยข้าที!”
ขุนนางหนุ่มกรีดร้องออกมาอย่างขี้ขลาด และดูน่าอับอาย
“เจ้ากล้าดี…”
หนึ่งในขุนนางที่ดูท่าทางสุขุมทําทีท่าว่าต้องการจะต่อว่าโรแลนด์ ทว่าดวงตาที่ยิ้มแย้มอย่างจอมปลอมของโรแลนด์นั้นมองไปทางเขา ชายหนุ่มก็เงียบปากของตัวเองไปอย่างรวดเร็ว
สายตาของโรแลนด์นั้นกวาดมองไปทั่วไม่มีขุนนางคนไหนกล้าสบตาเขา ดูเหมือนว่าการยับยั้งด้วยพลังจิตจะได้ใช้ออกมาแล้ว
โรแลนด์ ดูท่าทางขบขันเขาเดินเข้าไปหาขุนนางหนุ่นที่ยังคงดิ้นและครวญครางอยู่บนพื้นพร้อมปิดหน้าของตัวเองอยู่ เขามองดูและพูดว่า “ชีวิตของคนไร้ค่าที่นายบอกว่าไม่มีค่าแม้แต่เหรียญ เงินในสายตาของนาย เหมือนกันเลยสําหรับในสายตาของฉันชีวิตนายก็ไม่มีค่าแม้แต่เหรียญทองแดงสองสามเหรียญเลยด้วยซ้ํา วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ถ้านายยังกล้าที่จะพูดนินทาอยู่เบื้องหลังฉัน อย่าได้ต่อว่าฉันล่ะ หากฉันจะจัดการนายทิ้งซะ”
ขุนนางหนุ่มที่อยู่บนพื้นสั่นขึ้นมาทันที เขาปิดหน้าของตัวเองและไม่กล้าที่จะกรีดร้องอีกต่อไป
เมื่อพูดจบเขาก็มองไปยังขุนนางโดยรอบ และยังคงไม่มีใครกล้ามองตาของเขาเหมือนเดิม
โรแลนด์หันหลังพร้อมจากไป
หลังจากที่เขาเดินจากไปแล้วขุนนางขายที่มีผมสีเทาก็สั่นเท่าไปด้วยความโกรธ “โอหังเกินไปแล้ว เจ้านั่นเหยียบเราลงไปกับโคลน พวกเราจะปล่อยให้พวกบุตรทองคําพวกนี้เหยียบย่ําพวกเราอีกต่อไปหรือ? ก่อนหน้านี้พวกมันก็เคยฆ่าล้างทั้งเตระกูลมาก่อน ตอนนี้มันยิ่งมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ สักวันหนึ่งมันก็จะถึงตาของพวกเรา”
“แล้วพวกเราทําอะไรได้สะ?” ขุนนางคนหนึ่งยิ้มออกมาและถามว่า “ทําไมท่านไม่นําพวกเรา ไปสู้กับพวกเขาสะท่าน?”
เมื่อได้ยินดังนั้นขุนนางผมเท่าก็หุบปากสงในทันทีและหยุตพูด
มีเพียงแค่คนบ้าเท่านั้นที่จะยอมยืนอยู่ด้านหน้า
โรแลนด์เป็นไปตามถนน ผู้คนยังคงหลีกทางเมื่อเห็นเขา
ก่อนหน้านี้ที่โรแลนด์ยังไม่คุ้นชินกับมัน เขาจะรู้สึกตื่นตัวแปลกๆตลอดเวลา ทว่าหลังจากผ่านไปสองเดือน เขาก็ไม่พบว่ามันแปลกอีกต่อไปและเขาก็ค่อนข้างชอบมันด้วยซ้ํา
ตอนนี้โรแลนด์เริ่มอารมณ์ดีขึ้นแล้ว เมื่อคนเรากําลังเครียดก็ควรออกแรงสักหน่อยเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น
หลังจากกลับมายังหอคอยเวทย์ โรแลนด์ก็เรียกรวมตัวนักเวทย์ฝึกหัดทั้งหมด
นอกจากวิเวียน นักกเวทย์ฝึกหัดทั้งหมดต่างมีรอยคล้ําและขอบตาตาอยู่ใต้ยาพวกเขา ไม่ว่าใครก็พอจะจินตนาการได้ว่าพวกเขานั้นฝึกหนักขนาดไหน
โรแลนด์กระแอมเล็กน้อยและพูดว่า “พวกนายทั้งหมดได้เรียนรู้แบนเวทย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกนายสามารถศึกษาเวทย์ที่พัฒนาอันอื่นได้แล้ว สิ่งนี้นั้นน่าจะยากสําหรับพวกนายสักหน่อย อย่างไรก็ตาม ฉันจะสอนเวทย์ระดับศูนย์อีกอย่างให้กับพวกนาย นั่นก็คือเวทย์หุ่นเชิด”
ถ้าหากเป็นหอคอยเวทย์อื่นกล่าวว่าพวกเขาจะสอนเพียงแค่เวทย์ระดับศูนย์ละก็ พวกนักเวทย์ฝึกหัดถึงแม้ว่าจะไม่บ่นออกมา แต่แน่นอนว่าพวกเขาจะแอบต่อต้านอยู่ในใจลึกๆ”
อย่างไรก็ตามที่นี่พวกนักเวทย์ฝึกหัดต่างรู้ดีว่าโรแลนด์นั้นยอดเยี่ยมขนาดไหนในการ “สร้าง”เวทย์ มันมีรูปแบบที่พัฒนาแล้วของแขนเวทย์ถึงหกรูปแบบและแต่ละรูปแบบนั้นต่างสามารถใช้ได้จริง
ดังนั้นหากรองประธานโรแลนด์ต้องการสอนพวกเขาในการใช้หุ่นเชิดเวทย์นั้น หมายความว่า มันน่าจะมีรูปแบบเวทย์ที่พัฒนาอยู่หลากหลายรูปแบบแล้ว
พวกเขานั้นจะต้องเรียนรู้มันอย่างไม่ต้องสงสัย
ทุกคนหยิบสมุดบันทึกที่แสนล้ําค่าของตัวเองออกมา
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะปรับปรุงในเรื่องการรับรู้ของหุ่นเชิดเพียงอย่างเดียว
แต่นอกจากการปรับปรุงในด้านพื้นฐานแล้ว เขานั้นจําเป็นต้องพัฒนาทั้งความต้านทานของหุ่นเชิด , ความเร็ว , ความแข็งแกร่งและความสามารถในการแยกมิตรหรือศัตรู และอื่นๆ อีกมาก…มันน่าจะเป็นปัญหาอย่างมาก
หลังจากทดลองไปได้หลายครั้ง โรแลนด์พบว่าเขาสามารถทําได้สําเร็จอย่างมากก็แค่สองอย่างกับอีกครึ่งหนึ่งเท่านั้น โดยขึ้นอยู่กับจุดเวทย์และความสามารถของเวทย์ที่ใช้ในตอนนั้น
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เขานั้นสามารถเพิ่มความเข้าใจหุ่นเวทย์ , ความต้านทา และความเร็วบางส่วนซึ่งสังเกตุเห็นได้ยากได้
หุ่นเวทย์แบบนี้นั้นจะไม่มีความสามารถในการต่อสู้มากนัก
ถ้าหากความเร็วในการเคลื่อนไหวของมันไม่รวดเร็วพอมันก็จะกลายเป็นเพียงเป้าที่มีชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถในการต้านทานของมันก็ไม่ได้แกร่งนัก ดังนั้นมันจึงไม่สามารถนำมาใช้เป็นป้อมเพื่อป้องกันได้
“ถ้าเพียงแค่รูปแบบเวทย์นี้มีจุดเวทย์และพื้นที่มากกว่านี้ละก็ฉันจะสามารถใส่พลังจิตเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม”
ทว่าโรแลนด์ก็ไม่สามารถหาวิธีที่จะขยายแบบจําลองเวทย์ได้
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเวทมนตร์ของเขานั้นยังคงขาดแคลนอยู่มาก
โรแลนด์ถอนหายใจออกมาและเดินไปรอบๆห้องสมุดอยู่พักหนึ่ง แต่เขาก็ไม่พบหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
มันก็ไม่น่าใช่เรื่องแปลก นักเวทย์ฝึกหัดนั้นไม่สามารถแม้กระทั่งจะเรียนเวทย์ระดับศูนย์ได้อย่างชํานาญ และนอกจากนี้ ที่นี่ไม่ได้เป็นศูนย์หลักของนักเวทย์ เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่จะไม่มีหนังสือที่มีค่าถูกเก็บไว้อยู่ภายในหอคอยเวทย์แห่งนี้
การทดลองนั้นทําให้เขาเสียเวลาและพลังจิตเป็นจํานวนมาก หลอดมานาของเขานั้นเดือดแห้งและมานาที่เก็บไว้ในสร้อยคอก็ถูกนํามาใช้จนหมดเรียบร้อยแล้ว โรแลนด์นั่งลงในห้องวิจัยของตัวเองเพื่อพักและฟื้นฟูมานาจํานวนมากที่เขาเสียไประหว่างการทําการทดลอง
ทันใดนั้นเอง เบทต้าก็ใช้ระบบกิลด์ทักหาเขา
“ พี่โรแลนต์ รีบมาที่ป่านอกเมืองเร็ว ที่ที่พวกเราเคยไปค้นหาคนในรอบที่แล้ว ฮอร์กและคนของเขาจับคนที่น่าจะเป็นฆาตรกรได้แล้ว”
พวกเขาจับจอห์นงั้นเหรอ? โรแลนด์นั้นประหลาดใจ
จากนั้นเขาก็รีบไปยังป่าด้านนอกเมือง
มันมีผู้คนมากมายต่างรออยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้วในตอนนี้
ขุนนางหนุ่มหน้าตาดีจับเด็กสาวสามัญชนไว้เป็นตัวประกัน เขายืนพิงต้นไม้พร้อมท่า ทางที่ตื่นตระหนก
ห่างออกไปราวๆ 20 เมตร ทั้งทางซ้ายและขวา ฮอร์กและลิงค์ต่างขวางทางหนีของเขา ขณะที่เบทต้านั้นยืนอยู่ที่ด้านหน้าของเขา
พวกเขาทั้งสามนั้นมีสีหน้าไม่เป็นมิตร , ไม่พอใจและมีความตั้งใจที่จะสังหาร
ไกลออกไปเล็กน้อยมีฝนขนจํานวนมากยืนอยู่ใกล้ๆเพื่อสังเกตุเหตุการณ์
มันมีทั้งสามัญชน , ขอทานและแน่นอนขุนนางก็เช่นกัน
ขุนนางนั้นกับสนุกกันอยู่เมื่อเห็นเรื่องร้ายๆเกิดขึ้น พวกสามัญชนนั้นเองก็ดูเหมือนว่ากําลังสนุกกับมันอยู่เช่นกัน และเหล่าขอทานนั้นพวกเขานั้นมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ทั้งสามกลุ่มนั้นต่างแยกกันอย่างชัดเจน มีช่องว่างระหว่างพวกเขาทั้งหมด
เมื่อโรแลนด์เห็นขุนนางหนุ่มคนนี้ เขาก็ประหลาดใจที่มันไม่ใช่จอห์น
เขาเริ่มสํารวจขุนนางหนุ่มคนนี้ซึ่งมีเหงื่อท่วมและกําลังถือมีดสั้นจ่อไปที่คอของเด็กสาว
ใบหน้าของเด็กสาวซีดเซียวไร้ร่องรอยของเลือด ตัวของขุนนางหนุ่มเองนั้นก็ดูหวาดกลัวเช่นเดียวกัน
โรแลนต์เดินไปหาเบทตาและถามว่า “เขายอมรับแล้วงั้นเหรอ?”
เบทต้าพยักหน้า “เขายอมรับแล้วครับ ตอนนี้เขาจับตัวประกันไว้ เขาขอให้พวกเราออกไป ไม่งั้นเขาจะฆ่าตัวประกันทิ้งซะ”
โรแลนต์รู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ฆาตกรนั้นเริ่มก่อเหตุอย่างน้อยก็สองสามปีแล้ว และฆ่าเด็กสาวไปกว่าสามสิบคนและ จากฉากฆาตกรรมใครก็สามารถบอกได้ว่าฆาตกรคนนี้นั้นต้องโรคจิตเป็นอย่างมากและต้องเป็นใครสักคนที่ฉลาดเป็นอย่างมาก ไม่มีทางที่เขาจะดูกลัวจนหมดปัญญาแบบนี้ และยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ที่เขาจะถูกจับในที่แบบนี้ มันดูโง่เง่าเกินไป
มันเหมือนกับว่าเขาถูกบังคับให้ทํามัน
โรแลนต์หัวเราะออกมาเบาๆ
ขุนนางหนุ่มมองเหยี่ยวและลิงค์อย่างประหม่าและหลังจากนั้นไม่นานเขาก็สังเกตเห็นโรแลนด์
จากนั้นม่านตาของเขาก็หดตัวและร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว “นักเวทย์! บอกให้ นักเวทย์ออกไปซะ เร็วสิรีบออกไปสิ หรือจะให้ข้าฆ่าเด็กสาวทิ้งสักคน”
เขาดูตกใจเป็นอย่างมากร่างกายของเขาก็เริ่มสั่น มีตในมือของเขาสั่นและบาดไปที่คอของตัวประกันสาวโดยไม่ตั้งใจ เลือดเริ่มไหลออกจากคอของเธอ
เด็กสาวนั้นรู้สึกเจ็บปวด เธอร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ทว่าก็ไม่กล้าขยับตัว เธอเพียงแค่กัดปากของตัวเองอย่างแรงจนเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเลือดไหลออกมาจากริมฝีปากของเธอ
โรแลนด์ถอยหลังกลับไปปอย่างช้าๆ
“ถอยไปอีก” ขุนนางหนุ่มตะโกนออกมาและเขาก็รีบเหลือบมองไปที่รอบด้านอย่างรวดเร็วเพื่อดูว่าฮอร์กและคนอื่นๆเข้ามาใกล้เขาหรือไม่ เขาดูระวังตัวเป็นอย่างมาก
โรแลนด์ถอยหลังออกไปอีกสิบก้าว
จากนั้นท่าทีที่บ้าคลั่งของขุนนางหนุ่มก็สงบลงเล็กน้อย ผู้ใช้เวทย์นั้นมีพลังที่น่ามหัศจรรย์ ไม่มีใครกล้ากล่าวอ้างว่าพวกเขาไม่รู้สึกกลัวเมื่อเจอกับนักเวทย์
“ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าจะปล่อยผู้หญิงคนนี้เช่นกัน” ขุนนางหนุ่มตะโกนอย่างสุดเสียง
ทว่าโรแลนด์และคนอื่นๆไม่สนใจเขาและยืนนิ่ง
ในขณะที่อีกฝั่ง มีเสียงหัวเราะของเหล่าขุนนางดังขึ้นมาแต่ไกล
เมื่อเห็นเบทต้าและคนอื่นๆไม่ขยับ ขุนนางหนุ่มก็ตะโกนออกมาด้วยความสิ้นหวังว่า “ข้านั้น เป็นขุนนาง ดังนั้นจะเป็นอะไรไปถ้าข้าเล่นกับผู้หญิงแค่ไม่กี่คน! เพื่อผู้หญิงเหล่านั้นเจ้าถึงต้องการให้ข้ารายงั้นเหรอ มันไม่สมเหตุสมผล มันไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย!”
โรแลนด์สัมผัสได้ถึงความเสียใจในน้ำเสียงของเขา
“ข้าจะพูดอีกครั้งข้าเป็นขุนนาง!” ชายหนุ่มคํารามด้วยน้ำเสียงวิงวอน “ปล่อยข้าให้เป็นอิสระ แล้วข้าจะให้เงินพวกเจ้าในจํานวนที่มากเพียงพอที่จะซื้อผู้หญิงพวกนี้ได้นับโหล”
ฮอร์ก ลิ้งค์ และเบทต้าต่างหัวเราะเยาะเขา
พวกเขานั้นมองไปที่ขุนนางหนุ่มคนนี้ราวกับคนโง่
ในตอนนั้นโรแลนด์ก็พูดขึ้นมาว่า “ฉันจะปล่อยนายไปก็ได้ แต่นายต้องบอกว่าใครคือผู้สมรู้ร่วมคิดอีกคน”
ชายหนุ่มตัวแข็งไปครู่หนึ่งแล้วร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ข้าไม่มีคู่หู ไม่มีข้าเป็นคนทําเองทั้งหมด!”
จากนั้นเขาก็มองเข้าไปภายในเมือง ทว่าวิสัยทัศน์ของเขาก็ถูกขวางกั้นไว้ด้วยกําแพง จากนั้น เขาก็มองไปที่โรแลนด์พร้อมยิ้มออกมาอย่างน่าอนาถ “ข้าได้ทําทุกอย่างแล้ว แต่ถ้าพวกเจ้าอยากให้ข้าตาย ข้าก็จะตาย”
ในตอนนั้นเอง รอยยิ้มของขุนนางหนุ่มที่ดูสิ้นหวังนั้นก็มีล่องรอยของความโล่งอกแฝงอยู่เล็กน้อย
โรแลนต์ตะโกนออกมา “หยุดเขาชะ เขากําลังจะฆ่าตัวตาย”
วูชชช เบทตาพุ่งตรงเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียงแค่เงาติดตาที่ทิ้งเอาไว้
ทว่ามันก็สายเกินไป ถึงแม้ว่าเบทต้านั้นจะสามารถจับตัวชายหนุ่มได้สําเร็จ ทว่าชายหนุ่มก็ได้แทงเข้าไปที่หัวใจของตัวเองเรียบร้อยแล้ว
พิกเซลจํานวนมากโผล่ออกมาจากบริเวณหน้าอกและด้านหลังของเขา
สําหรับการบาดเจ็บเช่นนั้นไม่มีทางที่จะรักษาได้อีกต่อไป ถึงแม้ว่าจะใช้เวทย์รักษาระดับสูงก็ตาม
ชายหนุ่มร่วงลงกับพื้น แววตาที่ไร้วิญญาณของเขามองตรงขึ้นไปยังท้องฟ้า หลังจากแขนและขาของเขากระตุกอยู่สองสามครั้ง สัญญาณของการเคลื่อนไหวทั้งหมดก็หายไป
เด็กสาวกรีดร้องรีบนํามือกุมคอของเธอเอาไว้และวิ่งเข้าไปในเมือง เธอกลัวจนแทบจะตายอยู่แล้ว
โรแลนด์เดินเข้าไปยังร่างของขุนนางหนุ่มและถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเขามองไปที่ศพ ศพก็เริ่มสูญเสียความอุ่นไปช้าๆ
กลุ่มขุนนางยังคงมองมาที่พวกเขา ในขณะที่พวกสามัญชนและขอทานนั้นต่างค่อยๆทยอยแยกย้ายกันออกไป
ไม่กี่นาทีต่อมาขุนนางสองคนที่อายุก็เดินเข้ามาใบหน้าของพวกเขาดูตกตะลึงเป็นอย่างมาก พวกเขากอดศพของชายหนุ่มและร้องออกมาว่า “พี่!” น้ำตาของพวกเขาไหลพรากออกมา
นึ่งในพวกเขานั้นร้องไห้และแอบเหลือบมองมาทางโรแลนด์และเบทต้าเป็นระยะๆ
ตวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
เบทต้านั้นรู้สึกได้ถึงการจ้องมองของชายหนุ่ม เขาจึงเดินไปข้างๆโรแลนด์และพูดว่า “พวกเราควรถามรายละเอียดจากพวกเขาดีไหม? เรื่องนี้มันดูแปลกอย่างเห็นได้ชัดเขาดูเหมือนว่าจะเป็นแพะรับบาปเสียมากกว่า”
“ พี่เห็นด้วย” โรแลนด์พูดด้วยเสียงเบา “พวกเราลองแกล้งทําเป็นว่าเรื่องนี้จบแล้วดีไหม หลังจากนี้ที่จะให้ฮอร์กถอนคนที่คอยติดตามจอห์นออก”
“พยายามล่อให้เขาออกมาใช้ใหมครับ?”
โรแลนด์พยักหน้าเบาๆ
แม้ว่าหุ่นเชิดเวทย์นั้นจะช้า และไม่สามารถสร้างความเสียหายได้มากนักและดูเหมือนจะง่ายต่อการถูกทําลายเป็นชิ้นๆ โรแลนด์ก็ไม่ได้สนใจมัน
ตั้งแต่เข้ามาภายในเกมนี้ เขาได้สร้างเวทย์รูปแบบพัฒนามามากมายดังนั้นเขาจึงรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจํานวนมากซึ่งเกี่ยวข้องกับรูปแบบของความเร็ว , พลังทําลายหรือกระทั่งการต้านทานกายภาพ ซึ่งเขาสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับรูปแบบเวทย์อื่นๆได้ ทว่ามันก็มีข้อจํากัดด้านประสิทธิภาพและเมื่อถึงจุดจุดหนึ่งแล้ว มันยากมากๆที่จะปรับเปลี่ยนและยังจําเป็นต้องใช้ความพยายามและทรัพยากรเป็นจํานวนมากอีกด้วย
ความคิดบ้าๆของเขาก็คือการทดลองสวมใส่อุปกรณ์ให้หุ่นเชิดเวทย์
มันไม่ใช่อุปกรณ์ในทางกายภาพ แต่มันน่าจะเป็นแบบอุปกรณ์ที่สร้างจากเวทมนตร์
เนื่องจากหุ่นเชิดเวทย์นั้นจะมีความรู้พื้นฐานบางส่วนมาจากความรู้ของผู้อัญเชิญ ดังนั้นหุ่นเชิดเวทย์ก็น่าจะเข้าใจความนึกคิดหรือมีความรู้ขั้นพื้นฐานของเขา
แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น รายละเอียดที่ชัดเจนคงต้องรอจนกว่าจะทดลองเพื่อหาคําตอบที่ชัดเจน
โรแลนด์ถอยหลังไปสองสามก้าวและมองดูหุ่นเชิดเวทย์ที่ดูคล้ายกับรูปร่างของมนุษย์เล็กน้อย จากนั้นเขาก็ออกคําสั่งแรกออกไป
“ลองเล่นยิมนาสติกออนไลน์ท่าที่ 7 สักรอบสิ”
หุ่นเวทย์สีน้ําเงินยืนอยู่ที่เดิมและแหล่งกําเนิดเวทมนตร์ที่อยู่ตรงหัวของมันก็ส่องสว่างด้วยสี ดงอ่อน นี่เป็นปฏิกิริยาเมื่อหุ่นเวทย์นั้นไม่เข้าใจคําสั่ง
ฮีม…จริงๆฉันเองก็จําเกี่ยวกับการเล่นยิมนาสติกออนไลน์ที่ที่ 7 ไม่ได้เช่นกัน มันเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยรึเปล่านะ?
“ซ้อมมวย”
แสงสีฟ้ากระพริบขึ้นบนหัวของหุ่นเชิด จากนั้นมันก็เริ่มเหวี่ยงหมัดในทันที
โรแลนด์สังเกตุอยู่พักหนึ่งและพบว่าถึงแม้ว่าหุ้นเวทย์จะซ้อมมวยได้อย่างถูกต้อง แต่มันก็เป็นเพียงการทําไปตามรูปแบบที่กําหนดไว้ตายตัวและตูไม่ยืดหยุ่นเลยแม้แต่น้อย
“เต้นเบรคแดนซ์!”
หุ่นเชิดไม่ตอบสนอง
“ทําท่าทางกินด้วยตะเกียบ
“กระโดดสูง”
“ทําท่าว่ายน้ํา”
โรแลนด์ยกเลิกหุ่นเชิดตัวแรกทิ้งก่อนจะเริ่มเรียกตัวใหม่ออกมา
จากนั้นเขาก็เริ่มออกคําสั่งที่ละคําสั่ง
หลังจากผ่านไปสามชั่วโมง โรแลนด์นั้นก็ได้ข้อสรุปง่ายๆว่า
ถึงแม้ว่าหุ่นเชิดเวทย์จะได้รับความนึกคิดพื้นฐานบางอย่างจากผู้ร่ายอย่างความเข้าใจและความรู้ แต่พวกมันนั้นจะสุ่มได้รับมันยากที่จะการันตีว่าพวกหุ่นเชิดเวทย์ที่ถูกร่ายมาใหม่นี้จะมีความสามารถอะไรกันแน่ ทว่ายิ่งความรู้ในเรื่องนั้นๆของผู้รายลึกมาเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีโอกาสได้รับสืบทอดมามากเท่านั้น
ด้วยการรับรู้ของหุ่นเชิดเวทย์ที่ต่ำ และความรู้ที่สืบทอดมานั้นมันก็สุ่มเกินกว่าที่จะตรงกับความต้องการของโรแลนด์เพราะการที่จะให้มันใช้อาวุธได้นั้นมันจําเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานบางอย่างก่อน
ดังนั้นสิ่งที่สําคัญก็คือการเปลี่ยนเวทย์หุ่นเชิดและพัฒนามันให้สามารถมีทักษะในการรับรู้และความเข้าใจในความรู้ส่วนลึกของผู้ร่าย
เนื่องด้วยตัวโรแลนด์เองนั้นที่เชี่ยวชาญด้านการเขียนและการประยุกต์ใช้โปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ในมหาลัยดังนั้นเขาจึงค่อนข้างมั่นใจในความรู้เกี่ยวกับการทดลองนี้เป็นอย่างมาก
แม้ว่าจะถูกจํากัดด้วยรูปแบบโครงสร้างของเวทย์ แต่เขาก็ยังคงสร้างหุ่นเวทย์ที่มีความเข้าใจสูงได้อย่างรวดเร็ว
จากนั้นโรแลนด์ก็ทดลองอัญเชิญมันออกมา พลังเวทย์จํานวนมากถูกสูบออกไปอย่างน่าขัน เมื่อเทียบกับก่อนหน้าจากนั้นหุ่นเวทย์ก็ปรากฏตัวต่อหน้าโรแลนด์
หุ่นตัวนี้มีสีขาวอมฟ้าและภายในหัวกลมของมันมีแกนกลางที่ดูเหมือนจะเป็นหนึ่ง ในดวงตาของมัน มันดูราวกับไททันตัวจิ๋ว
“ซ้อมมวย”
“กระโดดสามครั้ง
“หมุนตัวเป็นวงกลม”
หุ่นเวทย์สีขาวทําตามที่ละคําสั่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ทันใดนั้นวิเวียนก็เดินเข้ามา เธอมองไปยังหุ่นเวทย์ที่กําลังแกว่งไปแกว่งมาต่อหน้าเธอด้วยท่าทางแปลกๆ สีหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสนปรากฏขึ้นมาที่ใบหน้าที่เรียบเนียนของเธอ จากนั้นเธอก็หันไปถามโรแลนต์ว่า “ท่านรอง นั่นคือหุ่นเชิดเวทย์ใช่ไหมคะ? ทําไมมันถึงไม่เป็นสีฟ้ากันละคะและยิ่งกว่านั้นมันยังทําท่าทางแปลกๆราวกับคนบ้า”
ใบหน้าของโรแลนด์บิดเบี้ยวขึ้นเมื่อได้ยิน
หุ่นเวทย์สีขาวตัวนี้ได้รับความรู้จากโลกของเขา และถ้าหากมันดูเหมือนคนบ้าละก็ ถ้างั้นก็คงหมายความว่าเขาก็ไม่ต่างกันนัก
เด็กสาวคนนี้นี่ไม่รู้วิธีพูดให้ดีเลยจริงๆ
โรแลนด์กระแอมเล็กน้อยและกล่าวว่า “มันเป็นเวทย์พัฒนารูปแบบใหม่ที่ฉันกําลังแก้ไข แน่นอนว่ามันมาจากเวทย์หุ่นเชิด ทว่ามันต่างออกไปจากหุ่นเชิดปกติมาก”
วิเวียนมองไปที่หุ่นเชิดสีขาวจากนั้นก็ตามว่า “ ต่างยังไงกันเหรอคะ?”
“มันฉลาดกว่าและเข้าใจความคิดของพวกเราได้ง่ายขึ้น” โรแลนด์คิดไปครู่หนึ่งก่อนพูดวา “อ่า บางที่เธอคงไม่เข้าใจหากได้ยินแบบนี้ เธอจะเข้าใจเองเมื่อฉันทดลองให้เห็น… หุ่นเวทย์เต้น”
เมื่อได้ยินคําสั่งของโรแลนด์หุ่นเวทย์ก็เริ่มเคลื่อนไหว แต่ที่แทนมันจะเริ่มเต้นทันที่มันกลับเริ่มจากสร้างลูกบอลแสงไว้ในมือก่อน!
โรแลนด์ตกตะลึงไปชั่วขณะ หุ่นตัวนี้กําลังจะเต้นยิมนาสติกรูปแบบใหม่งั้นเหรอ? เขานั้นดูการแข่งขันยิมนาสติกรูปแบบใหม่อยู่หลายครั้ง ผู้หญิงในชุดรัดรูปเหล่านั้นราวกับมีพลังบางอย่างซึ่งทําให้เขาไม่อาจสามารถละสายตาได้
อย่างไรก็ตามมันนอกเหนือความคาดหมายของโรแลนด์ หุ่นเชิดสีขาวนั้นไม่ได้เต้นยิมนาสติก แต่กลับวางบอลแสงไว้ที่ระหว่างขาของมันก่อนเริ่มเต้นอย่างเป็นจังหวะรุนแรง
เรียนรู้สึกหมดความสนใจไปในทันที
โรแลนด์เริ่มรู้สึกว่ามันมีอะไรผิดปกติ
จากนั้นตัวหุ่นเชิดก็เริ่มหมุนลูกบอลไปรอบๆก่อนจะโยนมันทิ้งไปและหันหลังให้พวกเขาและเริ่มทําท่าแปลกๆอย่างเขย่าใหล่ขวาขึ้นลง มันดูแปลกเป็นอย่างมาก
วิเวียนเบิกตามองกว้าง
ในท้ายที่สุดหุ่นเวทย์ก็หันกลับมาอีกครั้ง มือข้างซ้ายของมันนั้นวางไว้ตรงกลางเป้าส่วนมือขวาก็ชี้มาทางโรแลนด์อย่างก้าวร้าว และเดินแกว่งไปแกว่งมาราวกับการเต้นเพื่อบูชาปีศาจ
เชี่ยเอ้ย…โรแลนด์ตบหน้าผากตัวเองทันที ดูเหมือนว่าเขาจะดูหนังผีมากเกินไปสินะ
วิเวียนหน้าแดงและรีบจากไปทันที เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ารองประธานจงใจให้หุ่นเชิดทําท่าทางลามกแบบนั้น
เธอไม่ได้กลัวถ้าเธอจะมีสัมพันธ์กับรองประธาน แต่ว่ามันยังเข้าอยู่เลย
โรแลนด์สะบัดนิ้วของเขาและทําลายหุ่นสีขาวที่กระโดดขึ้นและลงโดยใช้มือซ้ายจับที่เป้าและมือขวาโบกมือเหมือนลิงที่เต้นแปลก ๆ
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจและนั่งลงที่เก้าอี้ที่อยู่ใกล้ ๆ
เฮ้อ รู้สึกหมดแรงชะมัด!
แม้ว่าโรแลนด์จะทําเรื่องน่าอายต่อหน้าวิเวียน แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าหุ่นเชิดที่สามารถเต้นแบบนี้ได้บ่งบอกได้ว่ามันได้รับความรู้มาจากเขาและมีความเข้าใจที่สูง
สิ่งที่เหลือก็คือการอุปกรณ์การทดลองสินะ
โรแลนด์เรียกหุ่นเชิดเวทย์ตัวใหม่ออกมาและร่ายแขนเวทย์ให้กลายเป็นหอกจากนั้นวางมันไว้บนมือของหุ่นเวทย์
จากนั้นโรแลนด์ก็ชี้ไปที่หุ่นไม้ด้านหน้าและพูดว่า “โจมตีมันซะ”
หุ่นเชิดสีขาวเดินไปทางนั้นและเมื่อมันอยู่ห่างจากหุ่นไม้ราวๆหนึ่งเมตรมันก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยเท้าขวาจากนั้นหอกเวทย์กราวกับมังกรพุ่งทะลวงร่างของหุ่นไม้ให้เป็นชิ้นๆ
โรแลนด์เบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งนี้
แต่ก่อนที่เขาจะได้แสดงอาการดีใจหุ่นสีขาวก็แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและกลายเป็นองค์ประกอบเวทย์
สิ่งที่เหลืออยู่ในที่เกิดเหตุคือหอกเวทมนตร์สีน้ำเงินยาวที่ลอยอยู่กลางอากาศ
เปราะบางเกินไปสินะ ดูเหมือนว่านอกจากความสามารถในการรับรู้แล้วความทนทานของมันก็ต้องได้รับการปรับปรุงอีกด้วย
หากความทนทานของมันแข็งแกร่งขึ้นความเร็วพื้นฐานและความแข็งแกร่งก็จะต้องแข็งแกร่งขึ้นด้วย นี่น่าจะเป็นงานที่ยากเลยทีเดียว
โรแลนด์ลูบคางของตัวเอง ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
เหมือนอย่างที่บาร์ดนั้นกล่าวอ้างไว้ การตรวจสอบของพวกเขาในตอนนี้นั้นค่อนข้างมีประสิทธิภาพดีมากเลยทีเดียว
โรแลนด์แสดงให้พวกเขาเห็นถึงเวทย์ที่พัฒนารูปแบบมาจากแขนเวทย์ และแสดงความสา มารถบางอย่างของมันออกมาพร้อมอธิบายหลักการสําคัญต่างๆ และเขาก็ผ่านการทดสอบเสียที
มันใช้เวลาน้อยกว่าชั่วโมงในตั้งแต่ต้นจนจบ
บาร์ดนั้นเรียกให้โรแลนด์มาคุยกับเขาเพียงลําพัง
ในห้องวิจัยของเขา บาร์ดที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับโรแลนด์นั้นนั่งตัวตรงและท่าทางดูจริงจังมาก
ในตอนนี้เองโรแลนด์ก็สังเกตได้ว่าบาร์ดนั้นดูท่าทางไม่ดีเล็กน้อยและรอบดวงตาของเขานั้นมีรอยคล้ำอยู่
สามารถบอกได้เลยว่าเมื่อคืนเขาคงไม่ได้นอนอย่างแน่ชัด
“โลกใบนี้เปลี่ยนไปมากนั่นทําให้พวกเราต้องรู้สึกตกใจ” บาร์ตมมองเข้าไปในดวงตาของโรแลนด์และพูดอย่างเชื่องช้าว่า “ไม่มีข่าวเกี่ยวกับบุตรทองคําในเมืองหลวงเลยแม้แต่น้อยทว่าข้า สามารถบอกได้ว่าตอนนี้เรื่องราวที่คล้ายๆกันนี้คงไปถึงหูของพวกตระกูลขุนนางเรียบร้อยแล้ว”
โรแลนด์เปิดเปลือกตาของเขาขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าทําไมจู่ๆบาร์ตถึงพูดเรื่องพวกนี้ออกมา
“ถ้าข้าต้องการเสนอให้เจ้ากลายมาเป็นนักเวทย์ประจําตระกูลของข้า เจ้าจะตอบรับข้อเสนอ นี้ไหม?”
โรแลนด์สะดุ้งไปครู่หนึ่ง “นายพูดมากระทันหันเกินไป ฉันอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าทําไมนายถึงตั้งใจจะเสนอเรื่องนี้กับฉันกันแน่ เมื่อไม่นานมานี้ความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งคู่นั้นค่อนข้างเลว
บาร์ดพยักหน้า “ก็ใช่มันกระทันหันมากเกินไปหน่อย ข้าอยากจะให้เจ้าตอบคําถามข้าสักข้อ
“ได้ แต่ว่าขึ้นอยู่กับคําถามของนายด้วย!”
“มีบุตรทองคําอยู่ทั้งหมดเท่าไหร่กันแน่?”
“ห้าแสนคน”
โรแลนด์ตอบอย่างตรงไปตรงมา มันไม่ใช่ข้อมูลที่สําคัญอะไรนัก และถึงแม้ว่าโรแลนด์ไม่ได้พูดมันออกไปสุดท้ายพวกเขาก็จะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ดี
ทว่าเมื่อบาร์ตได้ยินตัวเลขนั้น เขาก็อ้าปากค้างตัวยความตกตะลึงพร้อมอาการที่ตกใจกลัว
ใบหน้าของเขาขาวซีดจากความตื่นตกใจ
โรแลนด์นั้นแปลกใจว่าจํานวนห้าแสนคนนี้น่ากลัวงั้นเหรอ? นี่ไม่ใช่คนที่มีจํานวนมากขนาดนั้น มีคนเกือบล้านคนในเดลขอนและว่ากันว่าในเมืองหลวงของฮอลเลวิลนั้นมีคนเกือบสองล้านคน บาร์ดนั้นไม่ควรกลัวกับคนจํานวนเท่านี้
จากนั้นโรแลนด์ก็เห็นแก้วไวน์ผลไม้ในมือของบาร์ดนั้นสั่น ไวน์บางส่วนก็ทะลักออกมา
ตอนนี้บาร์ดดูเหมือนผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน
จากนั้นบาร์ดก็ดื่มไวน์ทั้งหมดอย่างช้าๆ เมื่อเขาทําอย่างนั้นเขาก็เริ่มใจเย็นลงและค่อยๆกลับมาเป็นปกติในที่สุด
เขาวางแก้วไวน์ผลไม้ลงและแสร้งทําเป็นเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและกล่าวว่า “ฉันยังคงอยากจะชวนนายอย่างจริงใจ พวกเราตระกูลบาร์ดนั้นยอดเยี่ยมมากกว่าหอคอยเวทย์มากๆ ไม่ว่าจะในเรื่องจํานวนหนังสือเวทย์ที่พวกเราสะสมไว้และทรัพยากรของพวกเรา ถ้าหากนายยอมรับที่จะเข้ามาเป็นนักเวทย์ภายในตระกูลของพวกเราแล้ว เจ้าจะได้ทรัพยากรอย่าง เดียวกันกับผู้สืบทอดของตระกูล และเจ้าไม่จําเป็นต้องแบกรับความรับผิดชอบหรือภาระหน้าที่ใดๆ”
ท่าทางของบาร์ดนั้นดูจริงจังเป็นอย่างมาก และโรแลนด์เองก็สัมผัสได้ว่าบาร์ดนั้นจริงจัง
ทว่านั่นยิ่งทําให้โรแลนด์รู้สึกงุนงงมากยิ่งขึ้น “ทําไมจู่ๆนายถึงมอบข้อเสนอดีๆแบบนี้ให้กับฉันกัน?”
“เจ้าแข็งแกร่ง แข็งแกร่งมาก” บาร์ดนั้นเริ่มพูดภาษิตฉบับดั้งเดิมของฮอลเลวิลออกมา “ พวก เราขุนนางนั้นจะยอมคุกเข่าข้างหนึ่งหรือกระทั่งยอมรับใช้ผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งและ พลังอํานาจ
เมื่อได้ยินโรแลนด์ก็แอบยิ้มอยู่ในใจ
มันอาจจะฟังดูดีก็จริง แต่แท้จริงแล้วมันคือการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง
“ฉันขอเวลาคิดสักหน่อยละกัน!” โรแลนด์ตอบกลับบาร์ตไปด้วยชั้นเชิงหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ ตระกูลบาร์ดจะต้อนรับนายเสมอ” บาร์ดลุกขึ้นและพูดว่า “เอาละ ข้าจะขอกลับไปยังเมือง หลวงก่อน หากเจ้านั้นได้ไปยังเมืองหลวงหรือผ่านไปทางนั้น อย่าลืมมาเยี่ยมชมตระกูลข้าล่ะ”
มีคํากล่าวไว้ว่าอย่าโต้เถียงกับคนที่พยายามแก้ไขตัวเอง แม้ว่าโรแลนด์นั้นจะไม่ขอบบาร์ตมากนัก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยอมแพ้และไม่มีท่าทางเป็นปฏิปักษ์อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเป็นธรรมดาที่โรแลนด์จะไม่ทําตัวไม่มีมารยาท
ระหว่างเขาและบาร์ดนั้น มันก็แค่การที่ต่างฝ่ายต่างรู้สึกไม่ชอบใจอีกฝ่ายเสียมากกว่า พวกเขาไม่ได้มีความขัดแย้งกันทางผลประโยชน์หรือมีเรื่องบาดหมางกันถึงขั้นต้องเป็นชี้ตายกัน
“ถ้าวันนั้นมาถึง ฉันจะไปที่บ้านนายและไปพูดคุยกับนาย” โรแลนด์เองก็ยืนขึ้นเช่นกัน
บาร์ดยิ้มให้กับโรแลนด์และทันใดนั้นเขาก็พูดว่า “ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่กลายเป็นผู้สังหารหมู่พวกข้านะ!”
โรแลนด์นั้นครุ่นคิดกับคําพูดนี้ทันที
เมื่อพูดจบบาร์ดนั้นก็ออกจากหอคอยเวทย์ไปพร้อมพาเพื่อนและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไปด้วย
วิเวียนนั้นผลักประตูก่อนจะเดินเข้ามา เธอวางขนมอบและผลไม้แห้งไว้บนโต๊ะจากนั้นก็เดิน เข้ามาหาโรแลนด์ซึ่งกําลังมองบาร์ตกําลังจากไปในระยะไกล
หลังจากผ่านไปสักพักเธอก็พูดขึ้นว่า “ท่านรองประธานเหตุผลท่านให้พวกข้าออกไปจากเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงชายคนนั้นใช่ไหมคะ เขาเป็นคนอันตรายมากอย่างนั้นเหรอคะ?”
“เธอเห็นความตั้งใจของฉันได้ด้วยเหรอเนี่ย!” โรแลนด์ยิ้มออกมา
“พวกเรานั้นไม่ได้โง่เขลาค่ะ พวกเราทั้งหมดคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าน่าจะเป็นเช่นนี้” วิเวียนพูดพร้อมกับถอนหายใจเล็กน้อย “ถึงขนาดที่ท่านประธานยังต้องหลีกเลี่ยงเขา เขานั้นน่าจะเป็น ขายที่เป็นปัญหาเป็นอย่างมาก ท่านทิ้งพวกเราไว้ที่นอกเมืองและขอร้องให้เพื่อนของท่านคอยปกป้องพวกเราไว้ ทว่ามันต้องเป็นอันตรายกับท่านมากแน่ๆ ที่ต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาด้วยตัวคนเดียว พวกเราทั้งหมดรู้สึกอยากที่จะขอโทษและรู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก”
“จริงๆแล้วมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเธอเลยแม้แต่น้อย ควรที่จะพูดว่าประธานและฉันเกือบทําให้พวกเธอทุกคนมีปัญหาเสียมากกว่า”
“ท่านคิดว่าพวกเราเชื่ออย่างนั้นจริงๆงั้นเหรอ?” ขอบตาวิเวียนแดงเล็กน้อย “ท่านรองประธานโปรดจําไว้ว่าพวกข้านั้นก็เป็นสมาชิกของหอคอยเวทย์เช่นกัน หากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคตโปรดอย่ากีดกันพวกข้าออกไปเลย”
ไม่…มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเธอเลยจริงๆ
อย่างไรก็ตามวิเวียนนั้นเดินออกไปจากห้องวิจัยเสียก่อนที่โรแลนด์จะได้อธิบายออกไป
ในช่วงเวลาต่อมาโรแลนด์ก็พบว่าพวกนักเวทย์ฝึกหัดนั้นต่างมีความตั้งใจที่สูงมากจนผิดปกติพวกเขาออกไปนอกเมืองในตอนกลางวันเพื่อช่วยสร้างบ้านและเมื่อกลับมายังหอคอยเวทย์ ในตอนกลางคืนพวกเขานั้นก็ฝึกฝนเวทมนตร์ต่อจนถึงเที่ยงคืน
แต่เดิมนั้นพวกเขาก็ขยันมากอยู่แล้วและในตอนนี้นั้นพวกเขาก็ยิ่งขยันมากขึ้นไปอีกจนแทบจะตาย
ความขยันนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี โรแลนด์คิดได้ดังนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บอกความจริงแก่พวกเขาไป
เนื่องจากความสามารถทางภาษานั้นอยู่ในภาวะคอขวดและติดขัด โรแลนด์จึงไม่ได้ ศึกษาเวทย์ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้
ในห้องสมุดของหอคอยเวทมนตร์เขาก็พบเข้ากับเวทย์อีกบนหนึ่งซึ่งน่าสนใจเลยที่เดียว
เวทย์หุ่นเชิด
มันเป็นหนึ่งในเวทย์ระดับศูนย์เช่นเดียวกันกับแขนเวทย์เรียกว่าเป็นเวทย์ที่ไม่ค่อยมีค่านัก
ทว่าโรแลนด์กลับคิดว่ามันน่าสนใจเลยทีเดียว
เวทย์ระกับศูนย์นั้นง่ายต่อการเรียนรู้ โรแลนด์มองไปที่แบบจําลองเวทย์และภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที เขาก็เรียกหุ่นเชิดตัวสีฟ้าออกมาได้สําเร็จ
หุ่นตัวนี้นั้นสูงประมาณโรแลนด์ ทว่ามันกลับไร้ซึ่งตา จมูก และใบหน้ามันไม่มีอะไรเลย มันเป็นเพียงเวทย์ที่สิ่งที่มีรูปร่างที่เกิดจากพลังเวทย์
และยิ่งไปกว่านั้นสิ่งนี้นั้นไม่มีทั้งจิตวิญญาณและความนึกคิด ทว่ามันก็ได้รับความรู้และสัญชาตญาณบางอย่างของผู้อัญเชิญมา มันสามารถแยกได้ระหว่างมิตรหรือศัตรูและสามารถเข้าใจ ภาษาขั้นพื้นฐานได้เกือบจะทั้งหมด ความแข็งแกร่งของมันนั้นไม่ถือว่าเยี่ยม ดังนั้นมันจึงทําได้แค่ ช่วยนักเวทย์ในการทดลองหรืองานฝีมือบางอย่าง
สําหรับแขนเวทย์นั้นมันใช้สําหรับการยกของหนักดังนั้นมันจึงไม่สามารถทานที่ละเอียดอ่อน
ในทางตรงกันข้ามหุ่นเวทย์นั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์นั้น แต่นักเวทย์หลายคนกลับบอกว่ามันค่อนข้างไร้ประโยชน์
สิ่งนี้นั้นมันเป็นความรู้ซึ่งได้รับมาจากพวกนักอัญเชิญ ดังนั้นมันจึงเกิดข้อผิดพลาดในการทดลองอยู่บ่อยครั้ง ทั้งพวกวัสดุเวทย์ต่างๆก็ที่มีราคาแพงมาก และถ้าหากมันผิดพลาดอยู่หลายครั้งนักเวทย์ก็จะกลายเป็นคนยากไร้
ท้ายที่สุดแล้วจุดประสงค์ของสิ่งนี้นั้นมันก็แค่ใช้ทําความสะอาดและแจ้งเตือนยามที่มีศัตรู
ทว่ามันก็มีวิธีที่ง่ายกว่านั้นก็คือแค่สมัครนักเวทย์ฝึกหัดสองสามคนก็พอ
ยิ่งไปกว่านั้นการรักษาสภาพหุ่นเวทย์พวกนี้นั้นจําเป็นต้องใช้มานาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากผ่านไปชั่วโมงหนึ่งจากการศึกษาแบบจําลองเวทย์ของเวทย์หุ่นเชิด ความคิดที่กล้าหาญและท้าทายที่เกิดขึ้นมาภายในความคิดของโรแลนด์
เขาคุยกับทั้งคู่ไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งถึงเวลาประมาณสองทุ่ม จากนั้นเขาก็ขี่จักรยานกลับบ้านไปอย่างช้าๆ
หลังจากที่เขากลับมาแล้วเขาก็เริ่มอาบน้ำ มันยังคงมีเวลาเหลือประมาณชั่วโมงหนึ่งก่อนที่เกมจะเปิดให้บริการ โรแลนด์จึงเปิดเข้าไปดูในฟอรั่มอย่างที่ทำเป็นประจำและพบว่าฟอรั่มที่ก่อนหน้านั้นล่มได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว
ผู้เล่นนั้นยังคงเคืองกันอยู่ แต่มีโพสต์ที่เกี่ยวกับการปลุกปั่นน้อยลงกว่าเดิมมาก และโพสต์ส่วนมากก็เริ่มมีการพูดคุยกันด้วยเหตุผลมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนนั้นต่างออกมาพูดแทนโรแลนด์
โรแลนด์นั้นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาเริ่มค้นหาโพสต์ที่เกี่ยวกับกลยุทธ์ต่างๆภายในฟอรั่ม
ในตอนนี้นั้นเขามุ่งเน้นความสนใจไปที่หัวข้อเกี่ยวกับอาชีพย่อยเมื่อถึงเลเวลห้า ในตอนนี้ผู้เล่นส่วนมากที่ไปถึงเลเวลห้านั้นมักจะเป็นสายอาชีพนักรบ
สายอาชีพนี้นั้นเรียบง่ายและหยาบกระด้าง ไม่จำเป็นต้องคิดถึงสิ่งต่างๆมากมาย เพียงแค่เรียนรู้เทคนิคดาบกองทำขั้นพื้นฐานและต่อสู้ พวกเขานั้นมีทั้งพลังชีวิตและความแข็งแกร่งที่มากมาย และถึงแม้ว่าไม่ต้องมีอุปกรณ์ใดๆก็ตามพวกเขาก็สามารถต่อสู้กับพวกมอนส์เตอร์ได้ หากพวกเขามีอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมละก็ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นก็จะยิ่งโหดร้ายจนน่าหัวเราะ
อย่างเช่น ประธานฮวงซึ่งมีเซ็ตอุปกรณ์เวทย์ระดับต่ำและได้เรียนรู้เทคนิคดาบกองทัพพื้นฐานนั้นและด้วยเทคนิคการฟาดฟันอันแสนสะดวกสบาย เขานั้นสามารถโค่นหมีคลั่ง , ก๊อปลิน หรือสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายอื่นๆภายในป่าได้ราวกับพวกนั้นเป็นแค่พืชผัก
มอนสเตอร์พวกนั้นไม่สามารถแม้กระทั้งทำลายเกราะของเขาได้ด้วยซ้ำ ประธานฮวงนั้นอัปโหลดวีดีโอการต่อสู้ของเขาในทุกวัน ซึ่งเขานั้นดูค่อนข้างน่าเชื่อถือในระดับนึงเลยทีเดียว
จัดการมอสเตอร์ได้อย่างรวดเร็ว มีความสามารถในการเอาตัวรอดสูง และสามารถทำภารกิจได้สำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่พวกเขานั้นจะสามารถเลื่อนระดับได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเทียบกันแล้ว นักเวทย์นั้นน่าอดสูมาก…ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถเลเวลอัพได้จากการเรียนเวทย์ก็ตาม แต่เวทย์มันเรียนกันง่ายซะที่ไหน?
และยิ่งไปกว่านั้นการเรียนเวทย์ในแต่ละครั้งก็ค่อนข้างอันตราย การทำผิดพลาดในแต่ละครั้งนั้นหมายถึงการฆ่าตัวตายด้วยการหัวระเบิด
ในปัจจุบันนั้นเลเวลโดยเฉลี่ยของนักเวทย์นั้นคือเลเวลสอง โรแลนด์นั้นน่าจะเป็นคนที่มีเลเวลสูงที่สุดในตอนนี้ และหลักจากที่เขาทำภารกิจหลักของดันเจี้ยนได้สำเร็จในตอนนี้นั้นเขาก็เกือบจะเลื่อนขั้นเป็นเลเวลห้าเรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ว่าจะไม่มีแผนกลยุทธ์สำหรับนักเวทย์เกี่ยวกับคลาสย่อยที่จะได้รับตอนเลเวลห้า เขานั้นก็ยังคงพยายามหาข้อมูลของอาชีพอื่นและนำแนวคิดของพวกเขานั้นมาปรับใช้กับของตัวเอง
หลังจากอ่านไปได้สักพักหนึ่ง โรแลนด์ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขานั้นต้องโพสต์เกี่ยวกับเวทย์ที่พัฒนาแล้วของความสามารถทางภาษาลงบนฟอรั่มและ @ ฝ่ายข้อมูล และอธิบายความสงสัยของเขาไปและขอให้ทางนั้นช่วยตรวจสอบให้ เขานั้นต้องการผสานความสามารถทางภาษาและความสามารถทางอักขระ ทว่าเขานั้นกลับเหลืออีกหนึ่งก้าวเสมอก่อนที่จะสำเร็จ และตอนนี้เขานั้นไม่สามารถหาจุดที่ทำให้มันสำเร็จได้
หลังจากโพสต์รูปแบบเวทย์ไปแล้ว โรแลนด์นั้นก็มองไปที่เวลา เขาพบว่าตอนนี้มันเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนไปใส่ชุดนอนและนอนลงไปในแคปซูลเสมือนจริง
ไม่นานนัก โลกสีเทาก็เริ่มสว่างไสวและเวลาที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ก็เริ่มไหลเวียนขึ้นอีกครั้ง
โรแลนด์ออกไปนอกเมืองและพบเข้ากับฮอร์กที่กำลังยืนสั่งงานเหล่าขอทานอยู่
ในไซต์ก่อสร้างนั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวายปละเกือบทุกคนนั้นกำลังทำงานกันอย่างขมักเขม้นและเต็มไปด้วยเสียงตะโกน นอกจากนี้มันยังมีแขนสีฟ้าจำนวนมากลอยอยู่และคอยยกของหรือวัสดุที่มีน้ำหนักมาก
โรแลนด์นนั้นพบว่าจำนวนของคนงานนั้นมากขึ้นเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าการทำงานของพวกนายจะราบลื่นดีนะ…” โรแลนด์หัวเราะออกมา
ฮอร์กมองไปที่บ้านหนึ่งชั้นที่ถูกสร้างไว้กว่าสิบหลังด้วยรอยยิ้มและความยินดี “มันเริ่มมาถูกทางแล้ว แต่ว่าตอนนี้มีคนมากขึ้น ดังนั้นเลยต้องการอาหารเพิ่มมากขึ้น และในตอนนี้พวกเรานั้นไม่มีแหล่งอาหารที่มั่นคง…ดังนั้น เหรียญทองของนายอยู่ไหนงั้นเหรอ?”
“เอ๊านี่แปดเหรียญทอง” โรแลนด์นั้นเอาพวกมันออกมาจากกระเป๋ามิติและยื่นมันให้กับฮอร์ก
ฮอร์กเหลือบมองเล็กน้อยและเก็บเหรียญทองทั้งแปดเหรียญนั้นลงกระเป๋ามิติ จากนั้นเขาก็พูดว่า “ถ้าวันนี้เวลาภายในเกมหมดลง เดี๋ยวฉันจะโอนเงินให้ไปทางฟอรั่มในราคาตลาดเหมือนเดิมนะ”
โรแลนด์นั้นมีความสุขขึ้นมาทันทีเมื่อจะมีเงินกว่าแสนเหรียญสาวอ่อนเข้ามาในบัญชีของเขา
มีเพียงคนที่มีเงินเท่านั้นที่จะสามารถมีความมั่นใจได้และสามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างง่ายดาย
โรแลนด์ซึ่งกำลังมีความยินดีอยู่นั้นก็พูดต่อไปว่า “มีอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันต้องการในครั้งนี้”
“พูดออกมาได้เลยฉันจะช่วยนายอย่างแน่นอนถ้าฉันสามารถทำได้”
“ช่วยจับตาดูลูกชายของนายก ‘จอห์น’ ให้ฉันหน่อย”
มือของฮอร์กนั้นสั่นไปชั่วขณะ ฮอร์กหันกลับมามองโรแลนด์แล้วถามด้วยเสียงต่ำว่า “มีเบาะแสว่าเป็นหมอนั่นงั้นเหรอ?”
“อย่างน้อยก็ห้าสิบเปอร์เซ็นต์” โรแลนด์พูดเสียงเบาลงและพูดว่า “ในตอนแรกนั้นฉันไม่ได้สงสัยเขา ทว่าเขานั้นกลับทำเรื่องเล็กๆไว้เยอะมาก”
“เข้าใจแล้ว” ฮอร์กพยักหน้าตอบรับ “เดี๋ยวฉันจะส่งขอทานที่มีไหวพริบไปที่ถนนหลักแล้วคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของจอห์นทุกการกระทำ”
“โทษทีที่รบกวน”
“ไม่เป็นไร มันเป็นความคิดของนายอยู่แล้วที่จะรวบรวมพวกขอทานเพื่อให้เป็นผู้ช่วย ฉันน่าจะเป็นคนต้องขอบคุณนายมากกว่า” ฮอร์กมองไปบนท้องฟ้าจากนั้นใบหน้าของเขานั้นก็เต็มไปมืดมน “จอห์นนั้นเป็นลูกชายของนายก ถ้าเกิดว่าเป็นหมอนั่นจริงๆพวกเราจะทำยังไงกันดี?”
“พวกเราควรจะทำอะไรงั้นเหรอ? ก็วิ่งเข้าไปหาหมอนั่นอย่างบ้าคลั่งโดยตรงและจัดการจนกว่าหมอนั่นจะตาย” จำนวนกระดูกมากมายในถ้ำทำให้โรแลนด์นั้นรู้สึกไม่สบายใจจนกระทั่งถึงตอนนี้ “ฆาตรกรตัวจริงนั้นไม่สมควรได้รับโอกาสให้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้”
“นายกของเมืองนี้นั้นต่างจากขุนนางที่ฉันเคยจัดการก่อนหน้านี้ เมื่อกองทัพของพวกเขากลับมาเมื่อไหร่ พวกเขานั้นน่าจะมีทหารมากกว่าพันคน”
“ฉันก็ยังคงจะฆ่าเขาอยู่ดี หลักจากนั้นพวกเราก็แค่หนีออกจากเมืองไปก็พอ”
ฮอร์กยิ้มขึ้นมา “นับฉันรวมเข้าไปด้วย”
โรแลนด์ส่ายหัวออกมา “ไม่เป็นหรอก นี่มันเป็นภารกิจของฉัน”
ฮอร์กนั้นมีท่าทีขมขื่นไปเล็กน้อย “นายไม่คิดว่าฉันเป็นเพื่อนงั้นเหรอ?”
“แค่คนที่ร่วมมือกัน ยังไม่ใช่เพื่อน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้การแสดงออกของฮอว์กก็บิดเบี้ยวไม่ใช่ด้วยความขุ่นเคือง ทว่าเป็นความผิดหวังด้วยความน้อยใจ
เมื่อเห็นท่าทางของฮอร์กโรแลนด์ก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “ล้อเล่นน่าแต่นายไม่ควรทำตัวบุ่มบ่ามแบบนั้นอีกแล้ว”
“อะไรทำให้นายคิดแบบนั้นล่ะ”
“เบทต้าและฉันนั้นต่างไม่มีอะไรให้กังวล พวกเราสามารถจากไปได้ทันทีหลังจากฆ่าเสร็จ ถ้าหากนายกนั่นมีอำนาจที่สูงส่งมากละก็ บางทีเขาอาจจะสามารถตามล่าพวกเราไปรอบโลกนี้ได้ และถึงแม้ว่าพวกฉันจะถูกฆ่า ถึงยังไงพวกเรานั้นก็สามารถคืนชีพขึ้นมาได้อยู่ดี” โรแลนด์ตบไหล่ของฮอร์กพร้อมอธิบายออกมา “แต่นายนั้นต่างออกไป ตอนนี้นายเป็นผู้นำของกลุ่มเล็กๆแล้ว ถ้าหากนายเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้และนายกนั้นมาก่อนกวนนาย นายก็สามารถคคืนชีพและหนีไปได้ ทว่าเหล่าขอทานที่พึ่งค้นพบหนทางในชีวิตแบบใหม่ล่ะ หรือถ้าจะให้พูดอีกอย่างก็คือพวกคนธรรมดาเหล่านั้นจะทำยังไง? พวกเขานั้นไม่สามารถคืนชีพกลับมาใหม่ได้”
ฮอร์กลูบหน้าตัวเองและพูดด้วยความเสียใจว่า “ฉันเข้าใจแล้ว ถ้างั้นฉันจะพยายามหลีกเลี่ยงพวกนายให้มากที่สุดก็แล้วกัน”
“นั่นแหละคือสิ่งที่ควรจะเป็น”
หลังจากนั้นไม่นานนัก โรแลนด์ก็เรียกวิเวียนและนักเวทย์ฝึกหัดคนอื่นๆพร้อมกล่าวว่า “พวกนายสามารถกลับไปหอคอยเวทย์ได้แล้วในตอนนี้ ทว่าส่วนตัวฉันหวังว่าพวกนายจะกลับมาช่วยที่นี่หากมีเวลาว่าง พวกนายนั้นสามารถได้ทั้งเงินทั้งยังได้ฝึกฝนเวทย์อีกด้วย ถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”
เหล่านักเวทย์ฝึกหัดนั้นต่างเชื่อฟังคำแนะนำของโรแลนด์
โรแลนด์และพวกของเขาอีกสองคนนั้นทำให้บาร์ดตกใจกลัวเป็นอย่างมากในเมื่อวานนี้ โรแลนด์คิดว่าบาร์ดนั้นไม่น่าจะกล้าก่อปัญหาไปอีกสักพัก ดังนั้นเหล่านักเวทย์ฝึกหัดก็ควรจะกลับไปและเริ่มใช้ชีวิตตามปกติและเริ่มศึกษาเวทย์ต่อเสียที
เมื่อโรแลนด์กลับมายังหอคอยเวทย์พร้อมกับเหล่านักเวทย์ฝึกหัด เขาก็พบว่ามีคนอีกกลุ่มหนึ่งรอเขาอยู่ที่หน้าหอคอยเรียบร้อยแล้ว
บาร์ดในชุดคลุมเวทย์สีเทา เดินมาข้างหน้าเพื่อเข้ามาหาโรแลนด์พร้อมรอยยิ้มแห้งๆ “มิสเตอร์โรแลนด์ เรามาเริ่มการอธิบายเวทย์ที่คุณเป็นเจ้าของกันเถอะ”
โรแลนด์เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ “คุณยินดีที่จะทำการตรวจสอบเวทย์จริงๆงั้นเหรอ? ฉันคิดว่าพวกนายต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อทำมันเสียอีก”
บาร์ดดูไม่พอใจเล็กน้อย แต่เขาก็เลือกที่จะยิ้มออกมาด้วยความยากลำบาก “เป็นไปได้ยังไงกัน! พวกข้านั้นมักจะทำสิ่งต่างๆอย่างตรงไปตรงมาและมีประสิทธิภาพเสมอ”
“อย่างงั้นเหรอ” โรแลนด์ยิ้มออกมาอย่างปลอมเปลือก
ขุนนางหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆนั้นเต็มไปด้วยความโกรธและตั้งใจจะก้าวออกไปเพื่อต่อว่าโรแลนด์ ทว่าเมื่อเขามองไปที่เพื่อนของตัวเองเขาก็อดกลั้นการกระทำนั้นไว้
ซีฉานั้นอารมณ์ดีมาก เธอถึงขั้นขับรถเร็วขึ้นด้วยซ้ำ
หลักจากที่กลับไปยังสโมสรเหมียวเต๋าแล้ว โรแลนด์ก็ช่วยเธอยกถุงที่ใส่แผ่นไม้ไผ่ออกมา และปฏิเสธคำเชิญกินอาหารเที่ยงของฉีเฉาชู่ ก่อนขี่รถจักรยานสาธารณะเพื่อกลับไปที่บ้าน
ฉีเฉาชู่มองไปที่น้องสาวของเขาอย่างสับสนและถามว่า “หลังจากได้ออกไปกับที่รักของเธอ ขนาดบรรยากาศรอบตัวของเธอยังเปลี่ยนไปเลยงั้นเหรอ?”
ซีฉาหน้าแดงก่อนหันหน้าหนีไปโดยไม่สนใจพี่ชายของเธออีก
ฉีเฉาชู่รู้สึกอกหักยิ่งกว่าเดิม เขาไม่สามารถแม้กระทั่งคงท่าทางเยือกเย็นราวกับปลาตายของตัวเองไว้ได้อีกต่อไป
เมื่อโรแลนด์ถึงบ้าน เขาก็เปิดเว็บไซค์ทางการของเกมและพบว่าที่ทางการนั้นมีการประกาศออกมาอย่างที่คาดเอาไว้
เช่นเดียวกับที่เขาคาดเอาไว้ ทางการนั้นไม่สนใจคำร้องของพวกผู้เล่นที่ต้องการสร้างปัญหาโดยสิ้นเชิง
ผู้ผลิตถึงขั้นเขียนประกาศด้วยถ้อยคำที่ตรงไปตรงมาด้วยซ้ำ
“ทุกอย่างที่ผู้เล่นโรแลนด์นั้นทำภายในเกมนั้นถือว่าเป็นไปตามกฎของเกม และขอย้ำอีกรอบว่าทุกอย่างนั้นเป็นไปตามกฎของเกม ภายในโลกของเกมนั้นเป็นอิสระและไม่ได้มีการล็อคขั้นตอนหรือกระบวนการไว้อย่างชัดเจน ถนนทุกสายนั้นต่างพาไปสู่กรุงโรมได้เช่นเดียวกัน ผู้เล่นสามารถใช้วิธีใดก็ได้เพื่อทำภารกิจของเกมให้สำเร็จ ตราบใดเท่าที่นั่นเป็นความสามารถพิเศษ ,วิธีการ หรือสกิลที่มีอยู่ภายในเกม พวกเรานั้นไม่สามารถลงโทษผู้เล่นธรรมดาทั่วไปได้ นอกจากนี้ผู้เล่นบางคนยังโอดครวนว่าจะเลิกเล่นถ้าหากไม่มีการลงโทษโรแลนด์ ด้วยคำพูดอย่างนั้น ทำให้พวกเรานั้นรู้สึกราวกับใจสลาย, เสียใจ และทรมาณใจเป็นอย่างมาก…แน่นอนว่านั่นก็แค่โกหก! พวกเราไม่ได้รู้สึกใจสลาย ทว่าพวกเราอยากจะหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ พวกคุณอยากเลิกเล่นเกม ก็เอาเลย พวกเรานั้นจะส่งคนพร้อมกับรถเพื่อเรียกคืนแคปซูลเสมือนจริงให้ถึงที่เลย พวกเราจะขอย้ำคำเดิมว่า พวกเราจะคืนเงินให้ทั้งหมด! จากนั้นพวกเราก็จะรออย่างใจจดใจจ่อเพื่อขายมันให้กับผู้เล่นที่ต้องการจะซื้อในราคาสูง”
คำพูดเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้นทั้งหยิ่งผยองและกล้าได้กล้าเสียเป็นอย่างมาก
โรแลนด์เองก็คาดหวังว่าทางผู้พัฒนาเกมจะให้คำตอบแบบนี้เช่นกัน ทว่าเมื่อเขาเห็นคำพูดพวกนี้ด้วยตัวเองเขาก็หมดเรื่องกังวลทั้งหมด
ท้ายที่สุดที่สุดแล้วสังคนในปัจจุบันนี้ก็จะจัดการสิ่งต่างๆตามเสียงของคนที่ดังมากที่สุด คนที่มีเสียงที่ดังมากที่สุดก็จะได้เป็นผู้ที่มีสิทธิพิเศษ
การกระทำของพวกผู้พัฒนาเกมทำให้โรแลนด์กลายเป็นแฟนตัวยกพวกเขาไปในทันที
ทว่าทางด้านฟอรั่มมันกลับไม่เป็นไปตามที่พวกเขาคิด
เป็นคำแถลงอย่างเป็นทางการที่หน้าด้านที่สุดมีการตำหนิผู้เล่นโดยตรงสิ่งแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ผู้พัฒนาเกมเสียสติไปแล้วรึไง? ต้องการปะทะกับกิลด์หลักจำนวนมากเพื่อเพียงแค่ผู้เล่นคนเดียว?
รอก่อนเถอะเดี๋ยวพวกผู้พัฒนาเกมต้องกลืนคำพูดตัวเองอย่างแน่นอน
แม้ว่าฉันเองจะไม่ชอบพวกที่ขู่ว่าจะเลิกเล่นเกม แต่พวกผู้พัฒนาก็พูดเกินไป
มันมีกระทู้แนวนี้จำนวนมากเกิดขึ้นทุกครั้งที่รีเฟรชหน้าเว็บฟอรั่ม
จริงๆแล้วมันก็ยังมีบางโพสต์ที่พอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง ทว่ามันก็ถูกกลืนจนหายไปอย่างรวดเร็ว
จำนวนของโพสต์นั้นน่ากลัวอย่างแท้จริง
โรแลนด์รู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เขารู้สึกได้ถึงบรรยากาศบางอย่างราวกับว่าพายุจะเข้า
ทันใดนั้นเอง โทรศัพท์เขาก็ดังขึ้น ผู้โทรมาคือหมายเลขที่มีเลขศูนย์ 11 ตัว
โรแลนด์สูดลมหายใจเข้าลึกเขารู้ได้ทันทีว่าใครเป็นคนโทรมา
สายถูกรับและเสียงของหม่าฮั่วจุนก็ดังขึ้นผ่านทางโทรศัพท์ “คุณโรแลนด์ ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลหรือกลัวไปพวกเรานั้นอยู่ข้างคุณ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือพักผ่อนให้สบาย ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพียงแค่ไปหลับสักงีบ และเล่นเกมต่อในคืนนี้”
โรแลนด์นั้นต้องการจะถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่าหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้เขาก็เลือกที่จะกลืนคำถามลงท้องไป
จากนั้นสายก็ตัดลง เหลือเพียงแค่เสียงการค้นหาสัญญาณ โรแลนด์หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาลงไปกินมื้อเที่ยงกับที่บ้าน นั่งลงและพักผ่อน ก่อนจะนอนสักงีบ
ตัดมาอีกฝั่งที่มีชายวัยกลางคนผมสีบลอนด์ตาสีฟ้ายืนกอดอกมองอยู่ “พวกคุณทุกคนจงโพสต์ทุกอย่างเท่าที่พวกคุณจะทำได้ พวกคุณสามารถใช้ซอร์ฟแวร์อัตโนมัติเพื่อใช้ก๊อปวางได้ สำหรับการตอบกลับหนึ่งข้อความพวกคุณจะได้รับเงิน 0.2 เหรียญอินทรีหัวขาวเป็นรางวัล (1) ยิ่งพวกคุณตอบกลับได้มากพวกคุณก็จะยิ่งได้รับเงินมากขึ้น พวกคุณต้องพยายามบอกว่าพวกเขานั้นไร้จรรยาบรรณ , ไม่มีบริการสำหรับพวกผู้เล่น , และไม่ยอมปฎิบัติต่อพวกผู้เล่นราวกับพระเจ้า ในขณะเดียวกันให้นำพาชาวเน็ตไปหาแนวทางการอภิปรายเพื่อให้บริษัทเกมส่งมอบการพัฒนาเกมและสิทธิ์ในการตรวจสอบให้กับสาธารณชน พยายามนำพวกเขาให้ไปพูดในสิ่งต่างๆเช่น ‘สาธารณะควรมีสิทธิ์รู้‘ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเทคโนโลยีที่เหนือกาลเวลาแบบนี้”
รอบๆของชายคนนี้นั้นเต็มไปด้วยคนผมสีดำและผิวเหลืองนั่งอยู่ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ และจดจ่อกับคอมพิวเตอร์อย่างขะมักเขม้นจนแต่ละคนเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
สถานการณ์ที่คล้ายๆกันนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ลับของหลายประเทศ
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้นั้นไม่เกี่ยวข้องกับโรแลนด์ หลังจากที่เขางีบเสร็จในตอนบ่ายเขาก็ตื่นขึ้นมาและพบว่าเว็บบอร์ดนั้นล่ม
ปัจจุบันเซิร์ฟเวอร์ของเพนกวินคอโปเรชั่นในตอนนี้นั้นแข็งแกร่งที่สุดในโลก…พวกเขานั้นใช้เซิร์ฟเวอร์เบลดซึ่งเหมือนกับที่บริษัทเกมหลายประเทศใช้ แต่ไม่มีที่ไหนเลยสักที่ที่จะมีมันมากเท่าที่เพนกวินคอโปเรชั่นมี จำนวนเซิร์ฟเวอร์เบลดที่เพนกวินคอโปเรชั่นถือครองอยู่นั้นมีจำนวนมากกว่าของบริษัทเกมทั้งหมดรวมกันอยู่เล็กน้อย
หากขนาดเซิร์ฟเวอร์ระดับขนาดนี้ยังสามารถพังทลายลงได้ คงทำได้แค่จินตนาการเท่านั้นว่ามีข้อมูลมากมายขนาดไหนที่พุ่งเข้าไปโจมตีเพนกวินคอโปเรชั่น
อย่างไรก็ตามในเมื่อเจ้าหน้าที่ของเกมนั้นได้โทรติดต่อมาหาโรแลนด์เป็นพิเศษแล้ว โรแลนด์ก็ขี้เกียจเกินกว่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อีกต่อไป
เขาเห็นว่าตอนนี้ยังเป็นเวลาบ่ายและยังไม่ใกล้สี่ทุ่มเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะโทรหาชัค
ชัคนั้นดูเหมือนว่าจะพึ่งตื่น เสียงของเขานั้นดูงัวเงียเป็นอย่างมาก “ตอนนี้นายดังมากแล้วนะ มาเจอกันที่เดิมหน่อย”
ไม่จำเป็นต้องมีอะไรต้องพูดคุยกันมากนักสำหรับเพื่อนสนิท โรแลนด์จึงวางสายทันทีและขี่จักรยานไปที่บาร์”
ชัคและเบทต้าอยู่ในห้องภายในร้านเรียบร้อยแล้ว ส่วนพวกที่เหลือนั้นต่างไม่ว่างเนื่องจากงานที่ต้องทำหรือบางคนก็จำเป็นต้องดูแลลูก
ปัจจุบันเลยเหลือพวกเขาแค่สามคนที่ยังมีเวลาว่างอยู่
ชัคโดยปกตินั้นไม่ต้องทำงานอะไร ตอนนี้เขานั้นก็เป็นเพียงผู้ชายที่ดูดีซึ่งถูกเลี้ยงดูโดยภรรยาและเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อให้คำปรึกษาต่างๆ
ส่วนสำหรับเบทต้านั้นโรงเรียนยังไม่เปิดเรียน
โรแลนด์นั่งลงก่อนหยิบแตงโมและเริ่มนำมันเข้าปาก
ชัคเดาะลิ้นออกมา “ถึงขั้นทำให้ทางการออกมาพูดเพื่อนายได้เนี่ยโคตรโหดเลยจริงๆ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วใช่ไหม?”
เบทต้าพยักหน้า “ครั้งที่สองแล้วครับ”
โรแลนด์พูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ฉันก็ไม่ได้อยากกลายเป็นประเด็นสักหน่อย!”
“แม้ว่ามันจะไม่ค่อยเหมาะกับนิสัยของนายแต่มันก็เป็นเรื่องดี” ชัคกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยิ่งนายมีชื่อเสียงมากแค่ไหน ในอนาคต F6 ก็จะยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้นเท่านั้น”
โรแลนด์แท้จริงแล้วนั้นไม่ชอบการมีชื่อเสียงแบบไร้ความหมายแบบนี้ ทว่าถ้าหากมันเป็นประโยชน์ต่อ F6 เพื่อกลุ่มเล็กๆของพวกเขา ตัวเขาเองนั้นก็คงไม่ปฎิเสธที่จะได้รับชื่อเสียง
“เรื่องของฉันพักไว้ก่อนเถอะ แล้วทางด้านนายเป็นไงบ้าง?” โรแลนด์ถาม
ชัคจิบเรดบุลและกล่าวว่า “ก็ดี แค่มีกฎเยอะไปบ้างเท่านั้น ทำนั่นไม่ได้ ทำนู่นไม่ได้บ้าง มันเป็นปัญหานิดหน่อยสำหรับคนที่ไม่ค่อยใส่ใจอะไรแบบฉันน่ะ มันรู้สึกถูกจำกัดน่ะ”
“แล้วตอนนี้นายเลเวลเท่าไหร่แล้วล่ะ? “
“ห้า” ชัคพูดออกมาอย่างภูมใจ “มันง่ายมากสำหรับอาชีพที่เกี่ยวข้องกับเทพในการหาค่าประสบการณ์ แค่สวดภาวนาในทุกวันเท่านั้น ด้วยเหตุผลบางประการประสิทธิภาพในการอธิษฐานของฉันจึงสูงผิดปกติ การสวดภาวนาครึ่งชั่วโมงในทุกๆวัน ทำให้ฉันได้รับค่าประสบการณ์อย่างน้อยก็ร้อยหน่วย ตอนนี้ฉันเป็นเซนต์ซามูไรที่ก้าวหน้าได้รวดเร็วที่สุด ขนาดพระสันตปาปาก็ยังคงตกใจกับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ คนที่งานท่วมหัวอย่างเขานั้นมาหาฉันในทุกๆครึ่งวันเพื่อคุยกับฉันเลยด้วยซ้ำ”
โรแลนด์มองไปทางใบหน้าที่หล่อเหลาของชัคซึ่งดูเหมือนว่าจะดูดีกว่าเดิมขึ้นนิดหน่อยและพูดว่า “ทำไมผลของการสวดภาวนาของนายถึงสูงนักละ นายไม่มีคำใบ้สักนิดเลยเหรอ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” ชัคหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความพึงพอใจ ท่าทางของเขานั้นเหมือนเสือผู้หญิงที่หลงตัวเองเป็นอย่างมาก
ใบหน้าของโรแลนด์นั้นบิดเบี้ยวไปด้วยความขมขื่น ขณะที่เบทต้ายกนิ้วกลางขึ้นมาด้วยมือขวาของเขา
0.2 เหรียญอินทรีหัวขาว = 1 USD
ไม่ว่าจะยังไงก็ตามแต่การให้ผู้หญิงขับรถกระบะนั้นมันดูแปลกๆ
มีกลิ่นน้ำมันเบนซินอยู่ภายในรถ แต่ค่อยๆกลิ่นก็หายไปเหลือเพียงกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้จาง ๆ รอบ ๆ โรแลนด์
นี่ทำให้การนั่งรถของโรแลนด์ค่อนข้างสบายเป็นพิเศษ
รถกระบะนั้นขับค่อนข้างช้า โรแลนด์มองไปทางซีฉาและพบว่าเธอดูกังวลเลยทีเดียว
เป็นเพราะว่าปกติเธอไม่ค่อยขับรถงั้นเหรอ?
นั่นก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้อยู่
ผู้หญิงขับรถนั้นไม่ได้มีอยู่บนท้องถนนมากนัก ไม่แปลกใจที่เธอจะดูกังวล เอ๊ะ…หมายความว่าฉันอยู่ในอันตรายสินะ
ในตอนนั้นเองกลายเป็นโรแลนด์เองที่เครียดแทน เขามองไปที่ซีฉาและพบว่าใบหน้าของเธอขาวๆของเธอนั้นมีสีแดงระเรื่อๆอยู่
นั่นเป็นเพราะเธอกังวลงั้นเหรอ?
โรแลนด์มองมาที่ตัวเองด้วยสัญชาตญาณจากนั้นก็รีบคาดเข็มขัดอย่างรวดเร็ว เขาจับไปที่ด้ามจับบนรถที่อยู่ด้านขวามือของเขาอย่างแน่นหนา
โชคดีว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนกับที่เขากลัว ซีฉาขับรถค่อนข้างช้าทว่าก็มั่นคง
ทั้งสองไม่มีใครพูดอะไรออกมา ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถก็หยุดลงที่หน้าร้านค้า
โรแลนด์ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกทันทีที่เขาลงมาจากรถและเท้าของเขานั้นติดพื้น
มันเป็นร้านขายอุปกรณ์กีฬาที่ตั้งชื่อแบบย้อนยุคไว้ว่า ดาวสีแดงอุปกรณ์กีฬา
มีชายชรานั่งสูบบารากู่อยู่บนเก้าอี้โยกบริเวณหน้าร้าน เขาน่าจะอายุเก้าสิบกว่าปีได้
เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นชายชราผมหงอกก็เงยหน้าขึ้นมาและเหล่ตามองมาทางซีฉาและโรแลนด์ที่พึ่งลงจากรถกระบะ
“ลุงหยู หนูมาเพื่อขอซื้อเชือกและแผ่นไม้ไผ่หนาๆหน่อยค่ะ” ซีฉาเดินเข้าไปหาชายชราพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่างออกไปจากปกติ น้ำเสียงเธอในตอนนี้นั้นดูอ่อนโยนมาก
ชายชราวางท่อบารากุสีเหลืองในมือลง เขามองไปทางซีฉาครู่หนึ่งก่อนยิ้มขึ้นมา “เป็นครั้งแรกที่ลุงเห็นหลานใส่กระโปรงแบบนี้ น่ารักดีนะ”
จากนั้นสายตาของเขาก็หันมามองทางโรแลนด์ “นี่แฟนหลานงั้นเหรอ?”
ใบหูของซีฉาเปลี่ยนไปเป็นสีแดงระเรื่อ ทว่าเธอก็พูดด้วยท่าทีที่นิ่งสงบว่า “ไม่ใช่ค่ะ เขาเป็นคนที่มาสมัครเรียนใหม่ เขามาที่นี่เพื่อช่วยหนูขนของเฉยๆ”
ชายชราที่ถูกเรียกว่าลุงหยูนั้นลุกขึ้นยืน ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของเขานั้นดูมีความสุขมากทุกครั้งที่เขายิ้มออกมา “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่หลานมีผู้ชายมาช่วยแบบนี้ แบบนี้แหละดีแล้ว ผู้หญิงน่ะควรดูแลตัวเองให้ดีมากๆ ดังนั้นอย่าฝืนและทำทุกอย่างด้วยตัวเอง”
“ไม่หรอกค่ะ พี่ชายของหนูก็มาช่วยอยู่บ่อยๆ” ซีฉามองไปที่โรแลนด์ และเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก เธอก็โล่งใจไปเล็กน้อย จากนั้นเธอก็หันไปบอกชายชราว่า “ถ้าอย่างนั้นลุงหยูคะ เดี๋ยวหนูขอของที่สั่งเลยนะคะพอดีเดี๋ยวหนูมีธุระที่ต้องไปทำต่ออีก”
“ได้เลยตามลุงมาเลย” ชายชราพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะเข้าใจ จากนั้นเขาก็นำมือไปไขว้ไว้ด้านหลัง
เมื่อทั้งสามคนกำลังจะเข้าไปในร้านเสียง ก็มีเสียงดังชัดและเสียงราวกับมีอะไรพังก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังไม่ไกลจากพวกเขา จากนั้นก็มีรถสีขาวคันเล็กๆจอดอยู่ตรงหน้าร้านค้าจากนั้นก็มีหญิงสาวที่ดูมั่นใจเดินออกมาจากภายในรถ
เมื่อโรแลนด์เห็นเธอคนนี้ เขาก็ตกใจไปครู่หนึ่ง
เขาจำผู้หญิงคนนี้ได้ ประธานจินประธานสโมสรมวย
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย และรู้สึกกระอักกระอ่วนออกมาในเวลาเดียวกัน
หลังจากที่จินเหวินเหวินเดินออกมาจากรถแล้ว เธอเองก็เห็นโรแลนด์เช่นกัน สายตามองมาทางเขาด้วยท่าทีที่ตกใจเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ยิ้มออกมา
ไม่ว่าจะหาตัวยังไงก็ไม่พบ ทว่ากลับมาเจอกันอย่างง่ายๆ
เมื่อไม่นานมานี้ จินเหวินเหวินได้พยายามค้นหาโรแลนด์อยู่หลายครั้ง ทว่าเธอก็ไม่พบเบาะแสอะไรเลย เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเจอกับเขาในที่แบบนี้
ซีฉาเองก็มองไปที่จินเหวินเหวินเช่นกัน และท่าทางของเธอก็ดูไม่ค่อยพอใจในทันที
โรแลนด์แอบเห็นสิ่งนี้จากหางตาของเขา เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
แม้ว่าจินเหวินเหวินนั้นจะงดงาม ทว่าท่าทางของเธอก็ดูสง่าราวกับผู้ชายเมื่อเธอเดิน เธอเดินเข้ามาหาพวกเขาทั้งคู่พร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันไม่คิดเลยว่าจะได้เจอคนรู้จักถึงสองคนในที่แบบนี้”
คนรู้จักทั้งสองคน? ซีฉามองไปทางโรแลนด์ด้วยท่าทางมึนงง
โรแลนด์พยักหน้า “มันก็ผ่านมาสักพักแล้วหลังจากครั้งสุดท้ายทีเราได้เจอกันนะ ประธานจิน”
เกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้เขาไม่ได้รู้สึกมีความประทับใจหรือชื่นชอบเธอ แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้มีอคติเกี่ยวกับตัวเธอเช่นกัน
“ทำไมช่วงนี้คุณไม่ไปฝึกบ้างเลยล่ะ?” จินเหวินเหวินมองโรแลนด์ด้วยท่าทีสงสัย แต่ในดวงตาของเธอนั้นมีประกายราวกับว่าต้องการสอบสวนเขาถึงเรื่องนี้
หญิงสาวนั้นน่าจะเป็นคนที่มีนิสัยดุดันพอตัว น้ำเสียงของเธอนั้นราวกับว่าเป็นการออกคำสั่ง เธอดูเหมือนทั้งตั้งใจทำและไม่ตั้งใจทำมัน
เมื่อได้ยินดังนี้ โรแลนด์ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ตอบกลับอย่างช้าๆว่า “เพราะพวกคุณไม่มีอะไรจะสอนฉันแล้วนี่ ใช่ไหมล่ะ?”
น้ำเสียงของเขานั้นดูสุภาพ ทว่าคำพูดแบบสุภาพของเขานั้นก็ตอบคำถามได้ตรงประเด็นเลยทีเดียว จินเหวินเหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอไม่ค่อยชินที่ผู้ชายในวัยใกล้กันพูดกับเธอแบบนี้
ในอีกด้านหนึ่ง ซีฉาก็พบโอกาสที่จะพูดแทรกขึ้นมา “พวกคุณรู้จักกันด้วยเหรอ?”
โรแลนด์พยักหน้า “อ่าหะ ก่อนหน้านี้ฉันเคยเรียนต่อยมวยที่สโมสรมวยของประธานจินอยู่สักพักหนึ่ง”
“โอ้” จู่ๆซีฉาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “หมายความว่านายเรียนเทคนิคการต่อยมวยมาจากพวกเขาสินะ นายเรียนได้ค่อนข้างเยี่ยมเลยทีเดียว กระทั่งพี่ชายฉันยังบอกเลยว่าเขาคงสู้นายไม่ได้หากเป็นการต่อสู้มือเปล่า ดูเหมือนว่าประธานจินจะสอนเป็นอย่างดีเลยทีเดียว”
ในตอนนั้นเองซีฉาก็ทำสิ่งที่เธอไม่ค่อยได้ทำนักก็คือการยิ้มออกมา ทว่ามันกลับดูปลอมมาก
ในฐานะหนึ่งในสโมสร “ด้านการออกกำลัง” ของเมืองนี้ ซีฉานั้นรู้จักจินเหวินเหวิน และจินเหวินเหวินเองก็รู้เช่นกันว่าเทคนิคเหมียวเต๋าของตระกูลฉีนั้นเยี่ยมยอดขนาดไหน
ในตอนนี้โรแลนด์รู้สึกได้ว่าบรรยากาศมันแปลกไปเล็กน้อย
จินเหวินเหวินพิจารณาท่าทางและสีหน้าของซีฉาอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะกวาดสายตาไปมาระหว่างโรแลนด์และซีฉา สุดท้ายเธอก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ “ใช่แล้วฉันสอบเขาเกือบจะทุกทักษะที่มีค่ามากที่สุดของฉัน ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็หนีไปหลังจากเรียนรู้พวกมันทั้งหมดแล้ว คุณไม่คิดว่าเขาขาดความรับผิดชอบงั้นเหรอ?”
ใบหน้าของซีฉาเริ่มบูดบึ้งขึ้นมา
โรแลนด์นั้นไม่ค่อยเข้าใจการต่อสู้กันระหว่างผู้หญิง แม้ว่าเขาจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ไร้อารมณ์ ทว่าเขาก็ไม่ใช่พวกที่มี EQ ต่ำ และเขาก็พอจะอ่านบรรยากาศออก เขารีบพูดออกไปในทันทีว่า “ประธานจินคุณพูดดูคลุมเครือนะ คุณพูดแบบนี้กับผู้ชายทุกคนเลยรึเปล่า?”
ซีฉาสะดุ้งเล็กน้อยสีหน้าของเธอไม่เย็นชาและเฉยเมยอีกต่อไป
ในทางกลับกันจินเหวินเหวินขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้งแถมหนักกว่าครั้งก่อนอีกด้วย
คำพูดแค่คำสองคำของเขาทำลายบรรยากาศแปลกๆจนหมด จากนั้นเขาก็ตั้งจุดยืนของตัวเองว่าอยู่ข้างเดียวกับซีฉา
“ฉันก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น คุณจริงจังเกินไปแล้ว” สีฉานั้นแกล้งทำเป็นทำอะไรไม่ถูก
“พวกเราไม่ได้สนิทกันถึงขนาดที่จะเล่นมุขใส่กัน” โรแลนด์ตอบอย่างเฉยเมย
ผู้หญิงคนนี้นั้นหมายตาแคปซูลเสมือนจริงในบ้านของเขาอยู่ และท่าทางของเธอก็ไม่ได้สุภาพเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นสุภาพกับเธอ
จากนั้นเขาหันมามองทางซีฉา “ไปเอาของกันเถอะ ฉันจำเป็นต้องไปทำอย่างอื่นอีก”
“ได้เลย!” มุมปากของซีฉายกขึ้นเล็กน้อย
ในขณะเดียวกันลุงหยูที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ยิ้มกว้างจนถึงหู รอยยิ้มของเขายิ่งทำให้ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของเขาดูเหี่ยวย่นขึ้นไปอีก
ก่อนที่ลุงหยูจะเดินเข้าไปในร้านเขาหันมามองดูโรแลนด์ด้วยท่าทางที่ ‘ผู้ชายทุกคนเข้าใจ’ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นคำชม
โรแลนด์รู้สึกงุนงงเกี่ยวกับสิ่งนี้ เขารู้สึกเหมือนว่าลุงหยูนั้นต้องการจะบอกใบ้อะไรเขาสักอย่าง แต่เขานั้นไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร
จากทางด้านนอกนั้น จินเหวินเหวินมองดูพวกเขาทำงานของพวกเขา
โรแลนด์และซีฉานั้นต่างไม่ได้สนใจเธอ พวกเขาเริ่มขนถุงหลายถุงที่ใส่แผ่นไม้ไผ่อย่างหนาเอาไว้ จากนั้นก็นำมันไว้ที่ท้ายกระบะ ก่อนจะขับรถออกไป
จินเหวินเหวินหยิบบุหรี่ขนาดเล็กออกมาและใช้ไฟแช็กจุดบุหรี่พร้อมพูดกับชายชราว่า “ลุงหยู ฉันมาที่นี่เพื่อขอซื้อทิงเจอร์สำหรับแก้ฟกช้ำและเพิ่มการไหลเวียนเลือดหน่อย
จินเหวินเหวินหยิบบุหรี่ขนาดเล็กออกมาใช้พัฟและพูดกับชายชราว่า “ลุงผู้อาวุโสหยูฉันมาที่นี่เพื่อซื้อทิงเจอร์สำหรับฟกช้ำและเพื่อให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น”
วันใหม่เริ่มขึ้น โรแลนด์ปีนออกจากแคปซูลเสมือนจริง
เริ่มแรกเขานั้นไปที่เว็บไซค์ของเกมและไปเช็คฟอรั่ม
ตามที่คาดไว้ฟอรั่มระเบิดอีกครั้ง ในฐานะที่เป็นคนแรกที่คำภารกิจดันเจี้ยนหลักเสร็จ ดังนั้นมันจึงมีโพสต์พูดคุยถึงเขาจำนวนมากเกือบจะทั้งฟอรั่ม
ทฤษฎีที่ว่าด้วยบางทีโรแลนด์นั้นอาจจะเป็นลูกชายของทีมพัฒนา
โรแลนด์โชคดีขนาดนั้นจริงๆเหรอ?
โรแลนด์นายทำตั่วต่ำช้ามาก นายไม่สมควรคว้าสิ่งดีๆทั้งหมดไปเป็นของนาย
หัวข้อเรื่องที่คล้ายกันแนวนี้ปรากฎขึ้นอย่างต่อเนื่องและเกือบจะมีงานเลี้ยงเกิดขึ้นแล้ว จริงๆแล้วการที่เป็นคนแรกในการทำภารกิจดันเจี้ยนได้สำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทว่าไม่รู้ว่าดีหรือแย่ ทางผู้พัฒนาเกมนั้นได้โพสต์ลงฟอรั่มเกี่ยวกับรางวัลที่ได้จากการเป็นคนแรกที่ได้เคลียร์ภารกิจดันเจี้ยนแบบหลัก
อุปกรณ์สีทอง และเป็นอุปกรณ์ที่สามารถใช้งานได้จริง
แม้แต่ประธานหวงก็ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ ในขณะที่ฟ่านลิ่วยี่นั้นอุกอาจกว่ามาก เธอถึงขั้นตั้งกระทู้หาโรแลนด์โดยตรง เนื้อหาภายในกระทู้นั้นบอกไว้ว่า เธอหวังว่าโรแลนด์จะขายอุปกรณ์สีทองอันนี้ให้แก่โรแลนด์ โดยราคานั้นสามารถต่อรองกันได้
โรแลนด์ของเข้าไปดูที่โพสต์นั้นและปิดมันทันทีหลังอ่านจบ
เขาไม่มีความคิดที่จะขายอุปกรณ์ชิ้นนี้เลยแม้แต่น้อย อย่างน้อยก็ในตอนนี้ เขาจะขายก็ต่อเมื่อเขาพบอุปกรณ์สีทองที่ดีกว่านี้เท่านั้น
ยังไงก็ตามมันน่าจะเป็นเพียงแค่เรื่องเกี่ยวกับอุปกรณ์และผู้เล่นก็คงออกมาโพสต์กินมะนาวเพื่อแสดงความอิจฉา ทว่าเมื่อโรแลนด์นั้นเตรียมตัวที่จะปิดคอมและออกไปฝึกเทคนิคดาบที่สโมสรเหมียวเต๋า ก็มีกระทู้หนึ่งปรากฎขึ้นมาดึงดูดความสนใจ
ความลับในความสามารถของโรแลนด์ในการเป็นคนแรกที่สามารถจบภารกิจดันเจี้ยนหลักได้
เมื่อเห็นชื่อกระทู้ความสนใจของโรแลนด์ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาคลิกเข้าไปในกระทู้นั้นด้วยสัญชาติญาณ
จากนั้นเขาก็พบว่าผู้โพสต์นั้นคือฮอร์กที่บันทึกกระบวนการทั้งหมดของพวกเขาทั้งห้าคนภายในดันเจี้ยน
ทั้งห้าคนเข้าไปในดันเจี้ยนเดินไปที่ห้องบอสจากนั้นก็ทำภารกิจจนสำเร็จและเดินจากไป
เนื่องจากวีดีโอถูดตัดต่อความยาวของวีดีโอจึงไม่ถึงหนึ่งนาที โดยสรุปแล้วจากสิ่งที่โรแลนด์ได้ในวีดีโอนี้นั้นคือ โรแลนด์นั้นมีความสามารถทางอักขระจึงทำให้เขาสามารถข้ามขั้นตอนต่างๆในเนื้อเรื่องไปได้ และนั่นถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเป็นคนแรกที่ทำภารกิจสำเร็จ
โพสต์นี้นั้นทำให้สถานการณ์แย่ลงอย่างสิ้นเชิง
ผู้เล่นหลายคนเริ่มแสดงความไม่พอใจ
นี่เป็นการใช้ประโยชน์จากข้อผิดพลาดหรือว่าสิ่งนี้ถูกทำโดยกลุ่มนักวางแผนของเกมโดยจงใจ
ผลลัพธ์ของเกมนั้นสำคัญเท่าวิธีการหรือไม่?
นักเวทย์สามารถทำได้หลากหลายสิ่งอย่าง อาชีพอื่นๆนั้นน่าสงสารเกินไปไหม
ป้องกันการโกง ป้องกันช่องโหว่ ป้องกันโรแลนด์
ในตอนแรกนั้นอารมณ์ของผู้เล่นกำลังจะเริ่มสงบลง แต่เมื่อโพสต์นี้ออกมาพวกเขาก็หงุดหงิดขึ้นมาในทันที
ผู้เล่นหลายคนร้องขอให้ผู้ผลิตเกมให้คำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้
โดยเฉพาะกิลด์ขนาดใหญ่นั้น องค์กรเหล่านี้มักจะทำทุกสิ่งอย่างเพียงเพื่อคว้าบอสตัวแรกในเกมให้สำเร็จ
และตอนนี้คนแรกที่ทำภารกิจประเภทดันเจี้ยนได้สำเร็จกลับเป็นผู้เล่นเดี่ยว และยังไม่ได้ใช้วิธีปกติอีกด้วย
สิ่งนี้ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกขมขึ่นมากยิ่งขึ้น
จากนั้นผู้เล่นหลายคนก็พยายามทำให้เรื่องมันใหญ่ขึ้นโดยการไปที่ส่วนเสนอแนะและรายงานว่าโรแลนด์ใช้บัคภายในเกมเพื่อประโยชน์ของตัวเอง
โรแลนด์ก็ลองเข้าไปดูเช่นกัน เขาพบว่ามีการรีพอร์ตเขาอยู่หลายหน้าเลยทีเดียว
ถ้าหากบอกว่าไม่มีใครอยู่เบื้องหลังฝูงชนพวกนี้ โรแลนด์ก็คงจะไม่เชื่อ
ทว่าโรแลนด์ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรนัก เขารู้สึกว่าผู้พัฒนาเกมนี้ค่อนข้างมีการต้านทานต่อแรงกดดันได้ดีเลยทีเดียว พวกเขาคงไม่ถูกบังคับโดยฝูงผู้เล่นให้ออกมาอธิบายได้แน่ๆ!
เขาเหนื่อยเกินกว่าจะอ่านเนื้อหาในกระทู้ทั้งหมด หลังจากล้างหน้าและแปรงฟันอย่างรวดเร็วแล้วเขาก็ขี่จักรยานสาธารณะไปที่สโมสรเหมียวเต๋า
วันนี้อากาศดีมากลมตอนเช้าเย็นสบาย เขารู้สึกสบายเป็นพิเศษเมื่อลมพัดมาปะทะกับร่างกายของเขา
โรแลนด์มาถึงสโมสรเหมียวเต๋าและพบว่าซีฉานั้นเตรียมอาหารเช้าไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
อาหารเช้าในวันนี้ก็อร่อยมากเหมือนเช่นเคย ไม่เพียงแค่บะหมี่เท่านั้น แต่ยังมีซาลาเปาและเกี๊ยวอีกด้วย
ก๋วยเตี๋ยวยังคงมีการใส่สมุนไพรเหมือนเดิม ทว่าซาลาเปาและเกี๊ยวนั้นทำได้ประณีตน่ากินมาก
“วันนี้เป็นวันอะไรงั้นเหรอ?” โรแลนด์นั่งลงข้างโต๊ะ และมองสีหน้าที่ตกใจแปลกๆของซีฉา
ซีฉาตักก๋วยเตี๋ยวให้เขาถ้วยหนึ่ง จากนั้นก็วางจานซาลาเปาและเกี๊ยวไว้ตรงหน้าโรแลนด์จากนั้นก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “เพราะคุณจ่ายค่าเล่าเรียนแล้วพวกเราจึงมีเงินเหลือมากพอสำหรับอาหารเช้า”
เข้าใจล่ะ!
เพราะทุกคนต่างได้อาหารเช้าแบบเดียวกันโรแลนด์จึงไม่ได้สนใจอะไร เขาเริ่มจากซาลาเปาก่อนรสชาติเยี่ยมเลยทีเดียว
จากนั้นเขาก็ซดน้ำซุปในชามเกี๊ยวและพบว่ารสชาติมันเยี่ยมเช่นกันมันค่อนข้างให้ความสดชื่นได้ดี
อาหารเช้าแบบนี้ย่อมดีกว่าแบบที่เขามักจะชอบซื้อกลับบ้านแน่นอน
เขาเริ่มกินอาหารอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าเขากินอย่างมีความสุขซีฉาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
ในอีกด้านหนึ่ง เด็กหนุ่มเองก็กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยและอดไม่ไหวที่จะตะโกนออกมาว่า “พี่สาว อาหารเช้าที่พี่ทำโคตรอร่อย ในอนาคตมาเป็นเจ้าสาวให้ผมนะ”
คนอื่นๆต่างหัวเรากันออกมาอย่างเป็นมิตร
ซีฉาลูบหัวเด็กหนุ่มคนนั้นไม่เบาไม่แรง “รู้ไหมว่าญาติไม่สามารถแต่งงานกันได้”
เด็กหนุ่มคนนั้นดูมีท่าทีผิดหวัง
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ โรแลนด์ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงเพื่อย่อยอาหารเขารู้สึกจุกเล็กน้อย
ภายใต้การสอนของฉีเฉาชู่ เขาฝึกท่าร่างม้าในช่วงครึ่งเช้าทั้งหมดและเรียนวิธีการถือดาบเหมียวเต๋าทั้งสามวิธี
สิ่งเหล่านี้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นพื้นฐานของวิชาดาบ ซึ่งถ้าหากเขาไม่ได้เรียนรู้ตั้งแต่ตอนนี้ในอนาคตมันจะเป็นปัญหาได้
จากนั้นฉีเฉาชู่ก็ทำหน้าบูดบึ้งราวกับคนตาย “เดี๋ยวนายช่วยไปเป็นเพื่อนน้องสาวฉันไปซื้อของในตัวเมืองหน่อยสิ”
“ซื้ออะไรงั้นเหรอ?”
โรแลนด์ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาก็แค่ถามออกมาเท่านั้น เขาค่อนข้างพอใจกับอาหารเช้าและในตอนนี้เขาก็เริ่มสนิทกับฉีเฉาชู่และซีฉาแล้ว พวกเขาถือว่าเป็นเพื่อนกันแล้วด้วยซ้ำ
เป็นเรื่องปกติที่เพื่อนจะช่วยเพื่อน
“เกี่ยวกับพวกวัสดุที่จำเป็นในการทำอุปกรณ์ป้องกันให้นายน่ะ ซีฉาเป็นเด็กผู้หญิงดังนั้นนายช่วยไปเธอถือของจำพวกนั้นหน่อยสิ”
ก็จริง…เขาควรจะพาซีฉาไปในเมืองจริงๆนั่นแหละ
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั่นเองรถกระบะคันหนึ่งก็ขับมาจอดตรงพื้นปูนด้านข้างและบีบแตรขึ้นมา
โรแลนด์หันไปมองและเห็นว่าซีฉานั้นนั่งอยู่ตรงพื้นที่คนขับ
“ทักษะการขับรถของเธอเป็นยังไงบ้าง” โรแลนด์เดินไปขึ้นรถ
ซีฉาหันกลับมามองเขาและหันหน้าไปอีกข้างก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจว่า “นายเหมือนพวกเหยียดเพศที่คิดว่าผู้หญิงขับรถไม่ดีเท่าผู้ชายสินะ?”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อย”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของซีฉาจะดูไม่ค่อยพอใจนัก แต่หลังจากที่พวกเขารู้จักกันมาสักพัก โรแลนด์ก็รู้ดีว่าซีฉาเป็นพวกที่แข็งนอกอ่อนใน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจท่าทางของเธอนัก เขาเดินสำรวจรอบรถก่อนไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ
หลังจากเขาเข้ามาในรถแล้วเขาพบว่าซีฉานั้นสวมชุดกระโปรงสีขาว ทำให้โรแลนด์ตกใจไปเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ซีฉามักจะสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวโดยแต่งกายแบบอนุรักษ์นิยมเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่โรแลนด์เห็นเธอสวมชุดแบบนี้
ซีฉานั้นเป็นคนที่ดูขาวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ยิ่งในตอนนี้นั้นเธอสวมชุดสีขาวทั้งตัวยิ่งทำให้เธอเหมือนหิมะบนภูเขาสวรรค์
โรแลนด์มองสำรวจซีฉาอยู่ครู่หนึ่งก่อนละสายตาออกไป
กระโปรงสั้นของซีฉานั้นค่อนข้างบางเลยทีเดียว
แม้ว่าโรแลนด์จะหยุดมองไปที่ซีฉาไม่ถึงสองวิก็ตาม ทว่าใบหน้าของซีฉานั้นก็ขึ้นสีแดง
เธอรีบสตาร์ทรถกระบะโดยใช้เสียงดังก้องของเครื่องยนต์เพื่อปกปิดเสียงหัวใจที่เต้นเร็วของเธอ
ภายในร่มเงาของหลังคาสนามฝึก ฉีเฉาชู่มองรถกระบะถูกขับออกไป จากนั้นเขาก็ถอนหายใจยาวออกมา “กะหล่ำปลีที่อยู่ในบ้านกำลังจะถูกขุดโดยหมูแล้วสินะ…”
****
“กระหล่ำปีที่อยู่ในบ้านกำลังจะถูกขุดโดยหมูแล้วสินะ…” เป็นการเล่นการเปรียบเปรยของจีนครับ 家里的白菜要被肥猪给拱走了啊…… จีนจะมาเป็นประโยคแบบนี้ครับ แปลจริงๆแล้วจะแปลว่า เจ้าหญิงที่งดงามกำลังจะไปกับเจ้าคนจรแล้วสินะ เปรียบกะหล่ำเป็นหญิงสวยงาม เปรียบหมูเป็นผู้ชายยากไร้
กลางดึกสนิท บาร์ดนั่งอยู่ตรงระเบียงห้องของเขาและจ้องมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว
แสงเทียนที่อยู่ในห้องส่องสว่างมาจากทางด้านหลังของเขา แสงส่องลงบนแก้วราคาแพงในมือของเขา
ไวน์ผลไม้สีเหลืองใสสะท้อนแสงที่สวยงามน่ารับประทาน แต่แก้วไวน์นั้นสั่นไม่หยุดหย่อนทำให้ไวน์กระเพื่อม
มือของบาร์ดนั้นสั่นอยู่
รอยยิ้มที่ครุ่นคิดของโรแลนด์และบุตรทองคำอีกสองคนที่ทำแบบเดียวกันยังปรากฎต่อหน้าเขาในตอนนี้
“ฉันรู้ว่ายังมีขุนนางดีๆอยู่อีกมากมาย เหมือนอย่างนายไงมิสเตอร์บาร์ด”
คำพูดเหล่านี้ยังคงวนเวียนอยู่ในจิตใจของเขา
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมโรแลนด์และบุตรทองคำอีกสองคนถึงยิ้มแบบนั้น!
นั่นคือรอยยิ้มที่จะปรากฎออกมาเมื่อพบเหยื่อที่อ่อนแอ
เหยื่อ!
คนที่อ่อนแอ!
คำพูดและท่าทางเหล่านั้นยังคงวนเวียนและถึงขั้นฝังลึกไปยังสมองของบาร์ด เขานั้นอยากที่จะโกรธ คำราม และทุบแก้วที่ราคาแพงอย่างน่าขันในมือของเขาเป็นชิ้นๆ
อย่างไรก็ตามความกลัวที่สั่นสะท้านไปทั่วทั้งจิตวิญญาณของเขาได้บังคับให้ตัวเขานั้นระงับความโกรธและปล่อยผ่านมันไป
แม้กระทั่งตอนที่เขาทำให้เจ้าชายที่สี่ขุ่นเคืองเมื่อสามปีก่อน เขานั้นยังไม่กลัวมากถึงขนาดนี้
ทั้งสามคนนั้นต้องการฆ่าเขาอย่างแท้จริง พวกนั้นแค่กำลังรอให้เขาพลาดเท่านั้นนั้นเอง
ในสายตาของพวกนั้นไม่ได้มีความเคารพต่อขุนนางเลยแม้แต่น้อย ไม่แม้กระทั่งเกรงกลัวอำนาจต่างๆ นับประสาอะไรกับความกลัว
มีบุตรทองคำอยู่ทั้งหมดกี่คนกันแน่?
หากมีจำนวนน้อยพวกนั้นก็จะไม่มีอิทธิพลมากนักแม้ว่าพวกนั้นจะสามารถคืนชีพได้เรื่อยๆทว่าอิทธิพลของพวกนั้นก็น้อยเกินไปอยู่ดี
ทว่าหากมีอยู่จำนวนมากละก็…พวกขุนนางคงพบกับปัญหาใหญ่ขึ้นในอนาคต
มีกระทั่งความเป็นไปได้ที่ว่าพวกเขาจะถูกกดดันให้ลงไปเป็นสามัญชนและพวกบุตรทองคำเหล่านั้นก็จะขึ้นเป็นขุนนางกลุ่มใหม่แทนเสียเอง
ด้วยความคิดนี้ที่อยู่ในใจ ทำให้บาร์ดตั้งคำถามกับตัวเองว่าตัวเขานั่นกลัวเกินไปหรือคิดมากเกินไปเองหรือเปล่า
อย่างไรก็ตามมือของเขานั้นก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้และสัญชาตญาณของเขาก็ร้องเตือนว่าความคิดของเขานั้นน่าจะถูกต้อง
“ข้าคงเป็นบ้าไปแล้วสินะ!”
ในทางหนึ่งบาร์ดคิดว่ามันเป็นไปได้ ทว่าในอีกทางหนึ่งจิตใต้สำนึกของเขาบอกเขาว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นจริงในอนาคต
เขาวิตกกังวลกับความคิดทั้งสองที่กำลังขัดแย้งกันอยู่ในตอนนี้
“เจ้าจะเป็นบ้าไปได้ยังไงกัน?”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลังของบาร์ด
บาร์ดไม่ได้หันกลับมาเขาเพียงแค่มองไปข้างหน้าและถามออกมาว่า “เจ้าเข้ามาที่นี่ได้ยังไงกัน?”
“ก็เจ้าไม่ได้ล็อกประตูไว้” นักเวทย์ที่เป็นขุนนางอีกคนหนึ่งที่มาที่นี่พร้อมกับบาร์ดเดินเข้ามาและยืนอยู่ข้างๆบาร์ดและมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนเช่นเดียวกับที่บาร์ดนั้นทำ แต่เขาไม่ได้รู้สึกว่ามันสวยงามเลยแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็ถามบาร์ดอย่างสงสัยว่า “เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า? เจ้าดูท่าทางแปลกๆนะ”
“วันนี้มันมีอะไรเกิดขึ้นนิดหน่อย” บาร์ดไม่รู้ว่าจะบอกสหายของตนอย่างไรเพราะเขากลัวจะถูกหัวเราะเยาะหากเขาพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
ขุนนางหนุ่งมองไปที่เพื่อนของเขาด้วยความประหลาดใจและถามว่า “แล้วเจ้าจะทำอะไรต่อไปล่ะ?”
ไม่ทำอะไรทั้งนั้นแหละ! บาร์ดถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย “ข้าจะไปที่หอคอยเวทย์ในวันพรุ่งนี้เพื่อดำเนินการรับรองความถูกต้องกับโรแลนด์ จากนั้นข้าจะรีบกลับไปเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด”
ขุนนางหนุ่มขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่ตอนบ่ายวันนี้เจ้ายังพยายามจะทำให้โรแลนด์อับอายอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? ทำไมท่าทีที่ข้าเห็นถึงเป็นเปลี่ยนไปเป็นหดหู่แบบนี้กัน?”
หดหู่? ก็ยังดีกว่าไปรนหาที่ตายละกัน บาร์ดถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “หลังจากวันพรุ่งนี้ในระหว่างที่พวกเราเดินทางกลับเมืองหลวงข้าจะบอกสิ่งที่ข้าคิดให้เจ้าฟัง และทางที่ดีเจ้าควรพยายามไม่หัวเราะข้าไว้ดีกว่า”
นักเวทย์ขุนนางหนุ่มพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ช่างลึกลับเสียจริงนะ ลืมไป! ยังไงเจ้าก็เป็นผู้ตรวจสอบและยืนยันอยู่แล้วนี่ ข้านั้นมาที่นี่ก็เพื่อเที่ยวเล่นเฉยๆ ข้าจะทำตามใจเจ้าละกัน”
บาร์ดยิ้มจางๆ ทว่ารอยยิ้มของเขานั้นดูขมขื่นเป็นอย่างยิ่ง
โรแลนด์กลับไปที่บ้านของเบทต้า
หญิงสาวสองคนยังคงร้องไห้อยู่ดวงตาของพวกเธอบวมเปล่งราวกับลูกพีช พวกเธอนั้นจ้องมองมาทางเขาด้วยความคาดหวัง
“พ่อแม่ของพวกเธอปลอดภัยดี” โรแลนด์พยักหน้าและพูดว่า “ตอนนี้พวกเขานั้นน่าจะอยู่ที่บ้านแล้ว แต่ถึงยังไงฉันก็แนะนำให้พวกเธอออกไปจากเมืองนี้อยู่ดี เพราะพวกเรานั้นยังไม่ทราบถึงตัวจริงของฆาตรกร”
หญิงสาวทั้งสองคนก้มหัวให้เขาและรีบออกจากบ้านของเบทต้าไปในทันที
ในขณะเดียวกันเบทต้าก็หยิบถั่วทอดเค็มจานหนึ่งจากในครัวพร้อมกับไวน์และวางมันลงบนโต๊ะ “พี่บอกผมหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“นายถึงขั้นเตรียมกับแกล้มมาพร้อมเพื่อคุยเลยรึไง?” โรแลนด์ยิ้มและนั่งลงดื่มไวน์ก่อนจะพูดว่า “เมื่อพวกเราไปถึงที่หมาย ตัวการนั้นก็ถูกฆ่าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทว่าพี่ก็จำคนที่เป็นคนฆ่าตัวการทิ้งได้ เป็นบาร์ดจากเมืองหลวง”
“เขาต้องการลบหลักฐานทิ้งงั้นเหรอ?” เบทต้าถามออกมา
โรแลนด์ส่ายหัว “ไม่หรอก ก่อนที่เขานั้นจะมาที่เดลพอนสาวใช้ของนายก็เจอเข้ากับเหตุการณ์นั้นเสียแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่พยายามสืบการกระทำของพวกเราและจัดการให้เสร็จก่อนพวกเราก้าวหนึ่งเพื่อให้พี่ได้อับอาย”
“หมอนั้น…เป็นพวกมีปัญหา?” เบทต้ากินถั่วไปขมวดคิ้วไป
“คนธรรมดาอย่างพวกเราจะเข้าใจนายน้อยแห่งตระกูลผู้ดีได้ยังไงกัน” โรแลนด์จำได้ว่าบาร์ดกลัวพวกเขาทั้งสามมากและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆออกมา “ก่อนที่บาร์ดจะจากไปเขาบอกเราว่าหัวหน้าของพวกกลุ่มอาชญากรรมสารภาพว่าเขาเป็นคนก่อเหตุทุกอย่าง ตามหลักแล้วเรื่องนี้ก็น่าจะจบลงเพียงเท่านี้”
“แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นแพะรับบาปชัดๆ?” เบทต้าพูดต่อไป
โรแลนด์พยักหน้า “พวกเราเดาไว้ว่าลิซ่านั้นน่าจะถูกดาบน้ำแข็งแทงทะลุเข้าไปที่ร่างกายนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงไม่มีรอยเลือดอยู่ในที่เกิดเหตุ หัวหน้าของอันธพาลคนนั้นอ้วนเขาและเขาน่าจะเป็นพวกใช้กำลังมากกว่าใช้สมอง ยิ่งไปกว่านั้นพี่ไม่รู้สึกถึงสัญญาณบ่งบอกใดๆหรือแม้แต่เศษเสี้ยวพลังเวทย์ในตัวเขา”
เบทต้านั้นหงุดหงิดออกมา “ถึงทางตันอีกแล้วงั้นเหรอ?”
“ไม่หรอกมันมีทางใหม่มาแทนต่างหาก” โรแลนด์หัวเราะ “เดิมที่นั้นบาร์ดไม่ได้สนใจพวกเรามากนัก เขาเป็นคนที่หยิ่งผยองและพยายามที่จะปฎิเสธข้อดีต่างๆของพี่ แต่จู่ๆเขาก็มาถามว่าพวกเราเป็นบุตรทองคำหรือเปล่าเหมือนกับว่าเขาพึ่งรู้ความจริงเมื่อไม่นานมานี้ มีคนบอกข้อมูลเกี่ยวกับพวกเราให้เขาฟังอย่างละเอียดในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา”
เบทท้าเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะคิดตามโรแลนด์ทัน “สถานที่ที่บาร์ดพึ่งไปพักมาก็คือ…?”
“คฤหาสน์ไง!” โรแลนด์กล่าว “นายกของเมืองนี้ออกเดินทางไปพร้อมกับทหารของเขาแล้วใครกันที่เป็นผู้รับผิดชอบปราสาทในตอนนี้? ใครเป็นคนบอกเขาเกี่ยวกับพวกเราบุตรทองคำ”
ดวงตาของเบทต้าสว่างขึ้น “เขามีร่องรอยของพลังเวทย์รึเปล่าครับ?”
“แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างหนักที่จะซ่อนมันเอาไว้ แต่พี่ก็ยังรู้สึกได้ว่ามันมีอยู่!” นิ้วของโรแลนด์แตะเบาๆที่ขอบแก้วไวน์ ประกายความหวังปรากฎขึ้นในสายตาของเขา “เดิมทีพี่คิดว่าอัลโด้น่าจะเป็นผู้ร้ายมากกว่า แต่ตอนนี้จอห์นก็กลายเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยของพี่เช่นกัน”
เบทต้าหายใจเข้าลึก “ชายคนนั้นมีชื่อเสียงที่ดีในหมู่สามัญชนและหลายคนกล่าวว่าเขาเป็นขุนนางที่มีจิตใจดีงาม”
“นั้นมันก็การกระทำแบบผิวเผินเท่านั้น” โรแลนด์หัวเราะเยาะกับคำพูดนั้น “พี่บอกวิเวียนไปว่าถ้าเขาเป็นห่วงประชาชนจริงๆ เขาจะมุ่งเน้นไปที่การลดจำนวนขอทานภายในเมืองและรักษาความปลอดภัยของเมืองแทนที่จะทำตัวเพิกเฉยกับความจริงที่ว่ามีขุนนางบางคนกินหัวใจของประชาชน”
“ผมจะจับตาดูเขาไว้” เบทต้าเคาะแก้วไวน์ในมือของเขาลงบนโต๊ะ
บรรยากาศในซอยนั้นดูผิดปกติไปมากมันดูเย็นแบบแปลกๆ ถ้าหากมีคนธรรมดาอยู่ที่นี่พวกเขาคงหันหน้ากลับไปแล้ว
ทว่าพวกเขาทั้งสามเป็นผู้เล่นและรู้ดีว่าพวกเขาสามารถคืนชีพได้ ดังนั้นในตอนนี้พวกเขาจึงยังคงเลือกที่จะเดินหน้าต่อไปอย่างไม่เกรงกลัว
ซอยนั้นคดเคี้ยวและเมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ส่วนที่ลึกที่สุดของสลัมกลิ่นเลือดก็ค่อยๆแรงขึ้นเรื่อยๆ
จากนั้นพวกเขาก็เดินเลี้ยวไปทางหัวมุมและพบเข้ากับสิ่งปลูกสร้างขนาดสามชั้นที่ดูหรูหราอยู่ที่ท้ายซอย
มีลานกว้าง มีสนามหญ้า และน้ำพุและบางอย่างคล้ายรูปปั้นอยู่หน้าอาคาร
ที่นี่น่าจะเป็นผลงานของขุนนางที่ร่ำรวย มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อที่จะมีคฤหาสน์แบบนี้ถูกสร้างไว้อยู่ในสลัม
หน้าทางเข้าของสิ่งปลูกสร้างนี้ดูเหมือนจะมีคนจำนวนมากนอนทั้งหงายและคว่ำอยู่ ร่างกายของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยแอ่งเลือดสดๆ
นี่น่าจะเป็นลางที่ไม่ดีเอามากๆ
ด้านหน้าทางเข้าอาคารหลังเล็กมีศพจำนวนมากนอนอยู่ที่พื้น
พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเจออะไรแบบนี้…พวกเขานั้นบุกมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาก็จริงแต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเจออะไรแบบนี้
พวกกลุ่มอาชญากรดูเหมือนจะถูกกวาดล้างจนหมดแล้ว
ใครเป็นคนทำกันแน่?
ขณะที่พวกเขากำลังคิดกันอยู่ กลุ่มคนก็ปรากฎตัวขึ้นที่หน้าทางเข้าของอาคาร
โรแลนด์สะดุ้งไปชั่วขณะเพราะเขาจำคนในกลุ่มนี้ได้ มันคือบาร์ดและพวกนักเวทย์ฝึกหัดของเขา
ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงมีร่องรอยของการใช้เวทมนตร์ลอยอยู่คละคลุ้งไปทั่ว
บาร์ดนั้นยืนอยู่หน้าสุดและเมื่อเขาสังเกตุเห็นโรแลนด์เขาเองก็มีท่าทางตกใจเช่นกัน จากนั้นเขาก็ยิ้มเบาๆและเดินเข้าไปหาโรแลนด์
ด้านหลังบาร์ดนั้นเหล่านักเวทย์ฝึกหัดนั้นกำลังลากชายหญิงวัยกลางคนออกมา
บาร์ดเดินเข้ามาหาโรแลนด์พร้อมทั้งเหลือบไปมองฮอร์กและเจ็ทชั่วครู่ก่อนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้ามาช้าไปนะ พวกข้าได้จัดการเรื่องพวกนี้เรียบร้อยแล้วล่ะท่านบุตรทองคำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม”
น้ำเสียงของเขาดูพึงพอใจเป็นอย่างมาก
ฮอร์กอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “นายรู้จักหมอนี่ไหม? ฉันอยากต่อยหน้าเข้าไปสักหมัดจริงๆ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นบาร์ดก็รู้สึกรำคาญขึ้นมาทันที เขามองไปที่ฮอร์กและสำรวจร่างกายของฮอร์ก มันทำให้เขารู้สึกค่อนข้างกลัวเลยทีเดียว
เมื่อไม่นานมานี้บาร์ดให้พวกลูกน้องของเขาหาข้อมูลมามากมาย
เจ้าหน้าหนวดคนนี้น่าจะเป็นคนที่ยอมตายนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อไล่ล่าและสังหารชีวิตของตระกูลขุนนางเล็กๆตระกูลหนึ่ง
การต้องเข้าเผชิญหน้ากับพวกคนป่าเถื่อนนั้นมีเพียงแค่พวกงี่เง่าเท่านั้นที่จะกล้าทำ จะเป็นยังไงหากเจ้านี่มันบ้าคลั่งและเข้าต่อสู้กับเขาโดยไม่มีที่สิ้นสุด?
โรแลนด์ยิ้มเมื่อเห็นบาร์ดถูกกดดันแล้วถามไปว่า “นายมาทำอะไรที่นี่?”
“ข้านั้นค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับพวกเจ้าอยู่ และข้าก็ได้รู้มาว่าเจ้ากำลังจัดการเรื่องที่เด็กสาวหายตัวไปอยู่ ข้าเองก็คาดการณ์ไว้ว่าฆาตรกรเองน่าจะลงมืออีกครั้ง เช่นเดียวกันขณะที่ข้ากำลังส่งคนไปดูแลพวกสามัญชนพวกนั้น แต่สุดท้ายข้าก็ยังคงช้าไปก้าวหนึ่งเช่นเดียวกัน” การแสดงออกของบาร์ดกลายเป็นพึงพอใจอีกครั้ง “อาจจะช้าไปหน่อย แต่อย่างน้อยข้าก็ช่วยสวะได้สองตัวนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก”
หลังจากเสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจของบาร์ด พ่อและแม่ของลิซ่าก็ถูกโยนมาอยู่ตรงหน้าของโรแลนด์
ชายและหญิงวัยกลางคนนั้นต่างตกใจมากจนหน้าซีดและตัวสั่นไปหมด ทว่าเมื่อพวกเขาสังเกตุเห็นโรแลนด์พวกเขาก็ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างดุร้าย
พวกเขาทั้งสองคลานมาตรงหน้าโรแลนด์และจับขาของเขาไว้แน่น
มีความมุ่งร้ายอยู่ในการแสดงออกอันบ้าคลั่งของชายคนนี้ “ทำไม? ทำไมแกถึงไม่ปกป้องพวกข้า!? ทำไม? พวกแกเป็นคนดีไม่ใช่หรือไง? พวกแกควรช่วยปกป้องสามัญชนอย่างพวกข้าไม่ใช่เหรอ? แกมันก็ไม่ต่างจากฆาตกรหรอก! ไอสวะเอ้ย!”
ดวงตาของหญิงวัยกลางคนเบิกโพล่งจนดวงตาทั้งคู่ของเธอนั้นเกือบจะหลุดออกมา ท่าทางของเธอนั้นดูประสงค์ร้ายและเต็มไปด้วยความไม่พึงพอใจ “ไอพวกชั่วทำไมแกถึงไม่มาปกป้องพวกข้า ทำไมเจ้าไม่มากัน ทำไมเจ้าไม่มา ทำไมเจ้าไม่มา!?”
พวกเขาก่นด่า สาปแช่ง และด่าทออย่างรุนแรงไปยังโรแลนด์
บาร์ดตัวแข็งไปชั่วขณะจากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างร่าเริงและมองไปยังท้องฟ้าอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะของเขาดังขึ้นเรื่อยๆ และในท้ายที่สุดเสียงของเขานั้นก็ดังยิ่งเสียกว่าคำก่นด่าและคำสาปแช่งของหญิงวัยกลางคน จนทำให้เขาหอบหายใจออกมาแปลกๆ
ใบหน้าและลำคอของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มราวกับว่าอีกไม่กี่วิเขาจะหมดสติลง
ทว่าบาร์ดก็อาการดีขึ้นในที่สุด เขาหายใจเข้าอยู่สองสามครั้งและมองไปที่โรแลนด์ด้วยสีหน้าที่ผสมกันระหว่างการเยาะเย้ย,ความใจกว้าง และชัยชนะ “คนเหล่านี้คือสามัญชนที่เจ้าต้องการปกป้อง เจ้ามีความสุขไหม…หุบปาก!”
คำพูดสุดท้ายที่กล่าวว่าหุบปากนั้นไม่ได้มุ่งไปที่โรแลนด์ แต่เขานั้นตะโกนใส่คู่สามีภรรยาวัยกลางคนที่มีเสียงน่ารำคาญดังออกมาจนขัดจังหวะการพูดของเขา
เมื่อถูกบาร์ดตะโกนใส่ทั้งสองก็เงียบปากไปในทันที
“เจ้าเห็นไหม นี่แหละสามัญชน” บาร์ดกางแขนออกมาพร้อมพูดด้วยสีหน้าราวกับจะเป็นไข้ “สุนกไหมล่ะที่ได้คลุกคลีอยู่กับพวกสามัญชนที่ไร้ยางอายและเนรคุณพวกนี้ที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย ข้ารู้ว่าบุตรทองคำอย่างเจ้านั้นไม่ชอบพวกเราขุนนางนักทว่าสามัญชนพวกนี้นั้นดีไปกว่าพวกข้างั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่ามันดูโง่เหรอที่เจ้าต่อสู้เพื่อคนเหล่านี้?”
เมื่อมองเห็นท่าทางของบาร์ดโรแลนด์ก็ทำเพียงแค่ยิ้มแล้วยักคิ้ว
อีกสองคนก็ทำท่าราวกับจะหัวเราะเช่นกัน
เมื่อเห็นท่าทางของพวกเขา ท่าทางพึงพอใจของบาร์ดก็หยุดนิ่งลง
ฮอร์กหัวเราะออกมาเบาๆ “เมื่อไหร่กันที่พวกฉันบอกว่าจะสู้เพื่อพวกนั้น?”
บาร์ดมองไปที่ฮอว์ก “ไม่ใช่เจ้าหรอกเหรอ? ตามข้อมูลที่ข้าได้มานั้นกล่าวว่าก่อนหน้านี้เจ้าได้ต่อสู้กับตระกูลขุนนางขนาดเล็กเพื่อพวกสามัญชนที่ถูกควักหัวใจออกไป”
“ใช่ ฉันต่อสู้และบอกว่าทำมันเพื่อเด็กๆก็จริง ทว่าเหตุผลหลักๆก็เพื่อปกป้องคุณค่าในตัวของพวกเราเอง” ฮอร์กพูดอย่างไม่สนใจ “พวกเรานั้นไม่พอใจกับการกระทำของขุนนางคนนั้น ทว่าสำหรับคู่แต่งงานสองคนนี้นั้นก่อนที่พวกเราจะมาถึงที่นี่พวกเราก็พอเดาได้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
บาร์ดมองไปที่โรแลนด์ “นายคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้วงั้นเหรอ?”
“ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาไม่เต็มใจที่จะย้ายออกจากเมืองทั้งยังต้องการให้เบทต้าอยู่ปกป้องพวกเขาต่อ ฉันก็พอรู้แล้วว่าพวกเขาเป็นคนแบบไหน พวกเราก็ไม่ชอบสองคนนี้เช่นกัน” โรแลนด์ยักไหล่และพูดอย่างเฉยเมย “
“ใช่. ฉันต่อสู้และบอกว่ามันมีไว้สำหรับเด็ก ๆ เหล่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วมันก็เพื่อปกป้องคุณค่าของเราเอง” ฮอว์กพูดอย่างไม่แยแส “ เราแค่ไม่พอใจการกระทำของขุนนางคนนั้น สำหรับคู่แต่งงานนี้ก่อนที่เราจะมาเราก็เดาได้ไม่มากก็น้อยว่าพวกเขาจะลงเอยอย่างไร”
บาร์ดมองไปที่โรแลนด์ “ พวกคุณเดาผลลัพธ์ได้แล้วใช่ไหม”
“ ก่อนหน้านี้เมื่อพวกเขาไม่เต็มใจที่จะออกจากเมืองนี้และยังต้องการให้ Betta และฉันปกป้องพวกเขาฉันก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคนแบบไหน เราไม่ชอบคู่นี้เหมือนกัน” โรแลนด์ยักไหล่และพูดอย่างเฉยเมย “ทว่าพวกเราก็เลือกที่จะมาอยู่ดี การช่วยเหลือพวกเขานั้นก็เป็นเพียงแค่ทางผ่านเท่านั้น จริงๆแล้วเราก็แค่อยากเหตุผลมากำจัดพวกกลุ่มอาชญกรและพวกขุนนางชั่วโดยไม่จำเป็นต้องยับยั้งชั่งใจก็เพียงเท่านั้น”
ดวงตาของบาร์ดเปิดกว้างขึ้นเขาแสดงออกด้วยท่าทางราวกับว่าไม่เชื่อในคำพูดนี้นัก “หมายความว่าสองคนนั่นเป็นเพียงแค่เหยื่อล่อของเจ้างั้นเหรอ?”
โรแลนด์พยักหน้า “จะพูดแบบนั้นก็ได้ พวกเราช่วยเหลือพวกสามัญชนที่ต้องการมีชีวิตต่อและเต็มใจที่จะช่วยเหลือตัวพวกเขาเองเท่านั้น พวกที่ต้องการจะตายแบบนี้นั้นไม่เคยอยู่ภายใต้การปกป้องของพวกเรา”
“พวกเจ้าบ้าไปแล้ว” การแสดงออกของบาร์ดไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป ใบหน้าของเขาซีดเซียว “พวกเจ้าต้องการกำจัดขุนนางอย่างพวกข้าสินะ!”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก” โรแลนด์ปฎิเสธอย่างแน่วแน่ “พวกเราแค่ต้องการจัดการกับพวกขุนนางชั่วบางคนเท่านั้น ฉันรู้ว่ายังมีขุนนางดีๆอยู่อีกมากมาย เหมือนอย่างนายไงมิสเตอร์บาร์ด”
เมื่อโรแลนด์มาถึงบ้านของเบทต้าเขาก็พบเข้ากับประตูถูกเปิดไว้ครึ่งหนึ่ เขาผลักปะตูจนสุดและเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล
เมื่อเขาเข้าไปในห้องนั่งเล่นเขาเห็นผู้หญิงสองคนสวมกอดกันร้องไห้ บรรยากาศโศกเศร้าแผ่ซ่านไปทั่ว
ทั้งสองนั่นก็คือสาวใช้ของเบทต้าและสาวหน้ากระที่เป็นพี่สาวของเธอ
เบทต้ายืนดูพวกเขาอย่างอึดอัด ทันทีที่เขาเห็นโรแลนด์ เขารีบเข้ามาทักและพูดว่า “พี่โรแลนด์ครับ มีบางสิ่งผิดปกติที่นี่”
โรแลนด์มองไปที่ผู้หญิงสองคนที่กำลังร้องไห้และกอดกัน เขาพอจะเดาได้อยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าเขาก็ยังคงถามออกไปอยู่ดี “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ครอบครัวของลิซ่าถูกทำร้ายร่างกาย พี่ชายคนโตและพี่สะใภ้ของเธอถูกฆ่าตายทันที พ่อแม่ของเธอหายตัวไปและศพของพี่ชายคนที่สองและสามและพี่ชายคนสุดท้องของเธอก็ถูกโยนทิ้งไปรอบๆบ้าน” เบทต้าถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อเขาพูดจบ
จริงๆแล้วมันก็เป็นแบบที่เขาคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ในเมื่อลิซ่านั้นไม่ตาย ฆาตกรที่ดูน่าจะฉลาดแหละหยิ่งทระนงก็น่าจะวกกลับมาเพื่อจัดการ
ด้วยเหตุนี้โรแลนด์และเบ็ตตาจึงแนะนำให้ครอบครัวของลิซ่าออกจากเมืองนี้ ลิซ่ากลายเป็นสาวใช้ของเบทต้าดังนั้นเธอจึงค่อนข้างปลอดภัยและเนื่องจากพี่สาวของเธอมักจะอยู่ที่โรงเตี๊ยมในฐานะโสเภณี – สถานที่เช่นนั้นมักจะได้รับการคุ้มครองจากบุคคลสำคัญบางคน – เธอเองก็ค่อนข้างปลอดภัยด้วยเช่นกัน
นี่คือสาเหตุที่ผู้ที่พบกับหายนะคือสมาชิกในครอบครัวที่ดื้อดึงอยู่ในเมืองและย้ายออกไป
ในความเป็นจริงพ่อและแม่ของลิซ่าพนันกันว่าเบทต้านั้นจะปกป้องพวกเขาตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม เบทต้ารู้สึกว่าสิ่งที่โรแลนด์พูดครั้งก่อนนั้นสมเหตุสมผล เขาไม่สามารถปกป้องใครไปตลอดได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขานั้นตั้งใจจะช่วยพาครอบครัวนี้ย้ายไปอยู่เมืองอื่น
ทว่าพวกเขานั้นไม่ยินยอมและยังคงอยู่ต่อไปและท้ายที่สุดก็ตายอยู่ในเมืองนี้! สิ่งที่เขาทำนั้นถือว่าใจดีมากๆแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกผิดใดๆ ทว่าเขารู้สึกอึดอัดแปลกๆเมื่อได้เห็นผู้หญิงสองคนร้องไห้อยู่ตรงหน้า
ผู้หญิงสองคนนี้มีเหตุผลพอสมควร พวกเธอรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่สามารถโทษโรแลนด์และเบทต้าได้ ดังนั้นมันเป็นธรรมดาที่พวกเธอจะไม่ตะโกนอะไรไร้สาระอย่าง “ทำไมท่านไม่ปกป้องพวกเรา” ออกมา
แต่เรื่องเหตุผลก็เรื่องหนึ่ง ทว่าพวกเธอก็ยังรู้สึกเสียใจและเจ็บปวดอยู่ดีที่พ่อและแม่ของพวกเธอพบเจอกับความตายเพราะการกระทำของตัวเอง
“นายอยู่ที่นี่และคอยปกป้องสองคนนี้ไว้ บางทีศัตรูอาจมาที่นี่” โรแลนด์มองดูสภาพอากาศภายนอกและพูดต่อว่า “ฉันจะไปหาฮอว์กและคนอื่น ๆ เพื่ออธิบายสถานการณ์ให้พวกเขาฟัง”
เบทต้าพยักหน้า แม้ว่าโรแลนด์จะไม่ได้พูดอะไรเขาก็ตั้งใจอยูแล้วว่าจะทำเช่นนั้น
หลังออกจากบ้านของเบทต้าไปแล้ว โรแลนด์ก็ไม่ได้รีบเร่งออกจากเมืองไปในทันที สิ่งแรกที่เขาทำคือไปยังโบสถ์แห่งชีวิต
ภายในโถงกลางสำหรับสวดภาวนา โรแลนด์เห็นเจ็ทกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น พร้อมหันหน้าไปทางรูปปั้นของเทพธิดาแห่งชีวิต ดวงตาทั้งคู่ของเขาปิดลงด้วยท่าทางที่พยายามอุทิศตนเป็นอย่างมาก
ไม่มีใครอื่นนอกจากเจ็ทในโบสถ์แห่งชีวิต
โรแลนด์เดินเข้าไปข้างหลังเจ็ทแล้วถามว่า “นายสนใจที่จะทำภารกิจที่ไม่ได้รางวัลกับฉันไหม”
“ได้เลย” เจ็ทลืมตาและยืนขึ้น
“ฉันไม่ได้ขัดจังหวะการตั้งจิตอธิษฐานของนายใช่ไหม?”
“มันไม่ถือเป็นการขัดจังหวะหรอกหากเทพธิดายังอยู่ในใจฉัน”
โรแลนด์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “นายฟังดูเหมือนกำลังสวดมนต์ไหว้พระอยู่เลย”
“จริงๆแล้วมันค่อนข้างเหมือนกันพอสมควร” เจ็ทกล่าวอย่างชัดเจน “พระพุทธเจ้าเป็นเทพเจ้า เทพธิดาแห่งชีวิตก็เป็นเทพเจ้าเช่นกันเพียงแค่เปลี่ยนชื่อในคำอธิษฐานก็เท่านั้น”
การเชื่อในลัทธิปฏิบัตินิยม … โดยแท้จริงแล้วนี่น่าจะบอกได้ว่าเป็นผู้ที่เชื่อแบบผิดๆ
แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโรแลนด์ เขาโบกมือให้เจ็ทแล้วพาเขาออกจากเมือง
โรแลนด์พบฮอว์กในไซต์ก่อสร้างที่อยู่ริมแม่น้ำ
เมื่อเห็นเขาฮอว์กรีบพาพวกเขาเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งซึ่งสร้างขึ้นใหม่ แต่ยังไม่มีเฟอร์นิเจอร์อยู่ภายในบ้าน
ภายในห้องมีกลิ่นโคลนสดสำหรับบางคนกลิ่นนี้ค่อนข้างน่าพอใจ แต่บางคนก็ไม่ชอบมัน ซึ่งเจ็ทนั้นไม่ชอบมันเขาพยายามพ่นอากาศออกจากทางจมูกบ่อยครั้ง
“นายขอให้ฉันพาพวกขอทานให้คอยสอดส่องครอบครัวริทเตอร์ที่อยู่ในสลัม เมื่อไม่นานมานี้พวกขอทานมารายงานฉันว่าเกิดบางสิ่งขึ้น ฉันคิดไว้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวนายก็ต้องมาหาฉัน” ฮอร์กดูอารมณ์ฉุนเฉียว “ฉันไม่รู้อะไรมากนักเพราะขอทานนั้นไม่ใช่นักสอดแนมชั้นเลิศ ทว่าคนร้ายน่าจะเป็นพวกอันธพาลจากทางเหนืออย่างแน่นอน พวกเขานั้นฆ่าลูกชายของครอบครัวริทเตอร์ในตอนกลางคืนจากนั้นก็ลักพาตัวคู่สามีภรรยา พวกนั้นมันหยิ่งผยองมาก และทำกับคนราวกับเป็นเพียงแค่แมลง”
โรแลนด์มองดูการแสดงออกของฮอว์กแล้วถอนหายใจ “ไม่จำเป็นต้องโกรธมากมายขนาดนั้นหรอก ไม่ใช่ว่าพวกเรารู้กันแล้วเหรอว่าในโลกนี้นั้นมนุษย์นั้นกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเอง? ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์อันน่าสะเทือนใจที่นายเคยเจอหรือแบบกรณีที่เบทต้าและฉันพบเด็กที่หายตัวไป พวกขุนนางเหล่านั้นไม่เคยปฎิบัติกับสามัญชนว่าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ มันก็เท่านั้นหละ”
เจ็ทรู้ว่าโรแลนด์นั้นเกี่ยวข้องกับคดีที่เด็กสาวหายตัวไปแต่เขานั้นไม่รู้เรื่องราวของการควักหัวใจที่ฮอร์กพบเจอมา ด้วยเหตุนี้ทำให้ตอนนี้เขาค่อนข้างงงเป็นอย่างมาก
“สิ่งที่ทำให้ฉันโกรธมากที่สุดคือพวกสามัญชนที่นี่ไม่มีความคิดที่จะต่อต้านเลยแม้แต่น้อย พวกเขาแค่ดีใจที่มันไม่ได้เกิดขึ้นกับพวกเขาราวกับว่าพวกเขานั้นยอมรับในชะตากรรม” ใบหน้าของฮอร์กนั้นเต็มไปด้วยความผิดหวังและความไม่พอใจ “นี่แม้งทำให้ฉันอยากเขียนมันเป็นนิยายลงในสมุดเล็กๆสีแดงเลยทีเดียว (1)”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เจ็ทก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที “นั่นฟังดูน่าสนใจเลยทีเดียว ฉันว่ามันอาจจะทำได้ก็ได้”
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่ชอบเข้าร่วมเรื่องสนุกๆและชอบสร้างปัญหามากมาย
อย่างไรก็ตามโรแลนด์ก็ส่ายหน้าออกมา “เป็นไปไม่ได้หรอก ทั้งความสามารถในการผลิต ความแข็งแกร่งในทางทหารในโลกนี้นั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในมือของพวกผู้เชี่ยวชาญและเหล่าขุนนาง เนื่องจากพวกเขาสามารถใช้เวทย์เพื่อปรับปรุงพืชผลได้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้ครอบครองที่ดิน และผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอาชีพทางกายภาพที่มีอาวุธครบมือนั้นไม่จำเป็นต้องถึงระดับแนวหน้าด้วยซ้ำ เขานั้นก็สามารถจัดการชาวบ้านนับสิบได้สบายๆ ต่อให้ชาวบ้านพวกนั้นมีอาวุธด้วยก็ตาม ไม่ต้องพูดถึงหากเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับปรมาจารย์หรือระดับตำนาน ดังนั้นความแตกต่างในเรื่องความสามารถในการต่อสู้นั้นมากเกินไป โดยส่วนตัวแล้วฉันก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่จะต่อสู้โดยตรง นอกเสียจากว่าพวกเราจะมีการเพิ่มระดับมากเพียงพอและมีองค์กรและมีอิทธิพลเป็นของตัวเอง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือมันน่าจะดีกว่าที่ไม่ไปเป็นคนเริ่มอะไรอย่างเช่นการปฎิวัติ”
พวกเขาทั้งสามล้วนแล้วแต่เคยท่องจำเกี่ยวกับหนังสือกลไลและกลยุทธ์ทางการเมืองกันมาก่อนไม่งั้นพวกเขาก็คงไม่สามารถจบมหาลัยได้
ความจริงมันชัดเจนและเรียบง่ายมาก คือแค่ต้องมีพลังที่เพียงพอที่จะยึดอำนาจทางการเมืองได้ พวกเขาทั้งสองรู้สึกท้อแท้เมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าโรแลนด์นั้นพูดถูก
เมื่อโรแลนด์เห็นว่าพวกเขาละทิ้งความคิดก่อนหน้าไปแล้วเขาก็พูดต่อว่า “ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเราจะไม่สามารถทำอะไรที่รุนแรงได้ แต่พวกเราก็ยังสามารถทำเรื่องเล็กๆบางอย่างได่อยู่ พวกเราลองไปเดินเล่นแถวๆชานเมืองในทิศตะวันออกกันไหม”
เจ็ทกล่าวด้วยสีหน้าร่าเริงว่า “ไม่มีปัญหา”
ฮอร์กพยักหน้า “รอแปปนะ เดี๋ยวฉันไปบอกลิงค์ก่อน”
ผ่านไปประมาณยี่สิบนาทีโรแลนด์และอีกสองคนก็มาถึงสลัมของชานเมืองในทางทิศตะวันออก
สิ่งต่างๆจำพวกกลุ่มอันธพาลล้วนแล้วเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ทุรกันดาล ในขณะที่รอบบ้านของขุนนางนั้นล้วนแล้วแต่มีทหารส่วนตัวและยาม พวกเขานั้นจะทำได้เพียงแค่ถูกทำร้ายอย่างรุนแรงเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงแค่รังแกคนธรรมดาทั่วไปและกัดกินผู้ที่อ่อนแอกว่าเพื่อเอาตัวรอดและขยายอาณาเขต
ในตรอกซอกซอยของสลัมนั้นเงียบมาก ไม่มีใครเดินไปมา
โรแลนด์มองไปรอบๆ บางครั้งเขาเห็นดวงตาของคนยากไร้แอบมองลอดผ่านรอยแตกทางหน้าต่างมา ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นว่าโรแลนด์จ้องกลับไป พวกเขานั้นก็หายไปกับความมืดมิดและปิดหน้าต่างอย่างแน่นหนาทันที
ดวงตาของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความตื่นตัวและความหวาดกลัว
ในตรอกต่างๆนั้นมีกลิ่นเลือดโชยไปมาอยู่
***
APP Xiaohongshu เป็นแอพเกี่ยวกับโพสวีดีโอ ไลฟ์สด บทความ ขายของ ประมาณนั้น
แม้ว่าการแสดงออกของบาร์ดจะยังคงเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส แต่โรแลนด์ก็ตระหนักดีว่าความหยิ่งทระนงในดวงตาของบาร์ดลดน้อยลงไปมาก
อย่างที่คิดไว้เลย ในโลกใบนี้วัดกันที่ความแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง ถ้าหากคุณเก่งกว่าพวกเขาได้ละก็แม้แต่คนที่ยิ่งทระนงก็จำเป็นต้องระงับอารมณ์เอาไว้
อย่างไรก็ตามบาร์ดยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
โรแลนด์สังเกตุบาร์ดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่แล้ว พวกเรานั้นสามารถคืนชีพได้ ทำไมพวกเราถึงจะไม่รู้เกี่ยวกับความสามารถนี่ล่ะ?”
บาร์ดหัวเราะเบาๆออกมา “เจ้าไม่คิดว่ามันดูไร้ยางอายงั้นเหรอ? โดยทั่วไปนั้นในการต่อสู้ต่างๆนั้นความกล้าหาญนั้นเกิดขึ้นเพราะว่ามีความตาย ด้วยความเป็นจริงที่ว่าเจ้านั้นเป็นบุตรทองคำที่สามารถคืนชีพได้นั้นถือเป็นการดูถูกความกล้าหาญของผู้อื่น ผู้ซึ่งตั้งใจประชันหน้ากับเจ้าโดยตรง ผู้ซึ่งต่อสู้กับเจ้า”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ โรแลนด์ก็ยิ้มออกมา “จากตรรกะของนาย ขุนนางนี่แหล่งรวมคนไม่มีอะไรดีเลยจริงๆ รู้เอาไว้ซะว่านายก็อยู่ได้เพราะว่าความรุ่งเรืองของบรรพบุรุษแค่นั้น หากนายกล้าพอก็ลองแยกตัวออกมาจากตระกูลดูสิและลองใช้ชีวิตเหมือนกับสามัญชน โดยไม่พึ่งพาสถานะขุนนางของนาย นายกล้าไหมล่ะ?”
บาร์ดขมวดคิ้ว เขารู้สึกปวดท้องเมื่อได้ยิน
คนตรงหน้าของเขานั้นเฉลี่ยวฉลาดเลยทีเดียว หากเขาต่อว่าอีกฝ่ายไป อีกฝ่ายก็จะวิจารณ์ว่าตัวเขานั้นไร้ประโยชน์และไม่กล้าสูญเสีย ตรงกับข้อมูลที่เขาได้รับมาเลย บุตรทองคำนั้นเป็นกลุ่มที่ไม่ได้ให้ค่ากับขุนนางเลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่าบาร์ดจะหยิ่งในศักดิ์ศรี ทว่าเขาก็ไม่ใช่คนหัวรั้นและยึดติด เนื่องจากอีกฝ่ายยังคงต่อต้านเขาอย่างรุนแรงอยู่ ดังนั้นครั้งนี้เขาก็ควรจะถอยออกไปก่อน เขายิ้มทันทีและพูดว่า “คำโต้แย้งของเจ้าน่าสนใจเลยทีเดียว แต่อย่าพูดมันให้ขุนนางคนอื่นนอกจากข้าได้ยินล่ะ ไม่งั้นเจ้าอยู่ไม่สุขแน่”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ โรแลนด์ก็เผยรอยยิ้มที่ดูเหมือนการเยาะเย้ยออกมา
บาร์ดอยู่สึกโกรธอยู่ภายในใจ เขารู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ทว่าเขาก็ไม่สามารถระบายออกมาได้ เขาไม่ได้ยิ้มอีกต่อไป เขาเป็นลูกชายของตระกูลขุนนางใหญ่จากเมืองหลวง เขาค่อนข้างหงุดหงิดอยู่แล้วที่ตนเองนั้นไม่ได้เป็นจุดสนใจ และในตอนนี้บุตรทองคำตรงหน้าก็กำลังโจมตีเขาด้วยคำพูดอยู่
เขาหายใจเข้าลึก ๆ และพูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “ข้ามีเรื่องที่จะคุยกับเจ้าซึ่งมันไม่เหมาะที่จะพูดอยู่ด้านนอก เจ้าซึ่งเป็นหนึ่งในผู้มีอำนาจในหอคอยเวทย์ยังไม่เชิญข้าเข้าไปอีกหรือ?”
“กรุณาเข้ามา” โรแลนด์ยังคงสวมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม น้ำเสียงของเขาตอนที่เขาพูดก็ฟังดูค่อนข้างแปลกเช่นกัน
บาร์ดโกรธมากขึ้นเมื่อเห็นแบบนี้ เขาอยากจะรีบออกไปจากที่นี่ ทว่าเขาก็ทำได้เพียงแค่อดทนต่อไป
ในที่สุดพวกเขาก็ไปหยุดลงที่โต๊ะบนชั้นสองและนั่งเผชิญหน้ากัน
บาร์ดมองไปรอบๆ “เจ้าแสดงไมตรีจิตไม่ดีเอาเสียเลย ถ้าเจ้าไม่ต้องการเสิร์ฟขนมหรืออาหารรสเลิศ อย่างน้อยก็ควรเสิร์ฟไวน์ให้ข้าสักแก้ว”
“ฉันไม่รู้เรื่องพวกนั้น” โรแลนด์ยักไหล่อย่างไม่แยแส “นอกจากนี้นายยังไม่มีค่าพอให้ฉันต้องทำแบบนั้น”
“เจ้าจงใจหลอกให้ข้าโกรธงั้นเหรอ?” บาร์ดถามพร้อมหลี่ตา
แน่นอนโรแลนด์จงใจทำให้ชายคนนี้โกรธ มีเพียงคนที่ภายใต้สภาวะโกรธบางคนเท่านั้นที่จะเปิดเผยนิสัยที่แท้จริงของตัวเองได้ นั่นเป็นสาเหตุที่พวกบุคคลสำคัญส่วนใหญ่ถึงมักจะมีบุคลิกที่สงบนิ่ง
พวกเขาไม่ต้องการให้นิสัยที่แท้จริงและจุดอ่อนของพวกเขาถูกมองออก
โรแลนด์ยิ้ม “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก! ฉันแค่เกลียดขี้หน้านายก็เท่านั้น”
“ถ้าตามสิ่งที่เกิดขึ้นมาข้าก็เกลียดเจ้ามากไม่แพ้กัน” ความโกรธภายในตัวบาร์ดเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เขาแทบจะไม่สามารถอดทนมันได้อีกต่อไป “ข้าแค่ต้องการมาถามเจ้าว่า เจ้าจะนายเนื้อของตัวเองรึเปล่า?”
โรแลนด์อ้าปากค้าง
มันเป็นคำพูดที่คาดไม่ถึงอย่างน้อยก็สำหรับโรแลนด์
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกว่าเขาถูกกวนประสาท จนแทบจะเห็นเป็นหมึกดำหยดลงมากจากใบหน้าที่มืดมนและบูดบึ้งของเขาเลยทีเดียว
“นายอยากตายมากนักรึไง!?”
โรแลนด์พูดออกมาทีละคำด้วยความเดือดดาล ในเวลาเดียวกันเขารวบรวมพลังจิตจำนวนมากและสร้างมือสีฟ้าใสขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นเหนือหัวพวกเขาและพร้อมที่จะสั่งให้มันทุบลงได้ทุกเมื่อ
โรแลนด์อยู่ในระดับสี่และหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจดันเจี้ยนเขาได้รับประสบการณ์จำนวนมาก เขาขาดค่าประสบการณ์อีกเพียงแค่อีกประมาณ 10% เท่านั้นที่จะขึ้นระดับห้า
นี่เป็นความต่างชั้นของระหว่างเลเวลกันโดยชัดเจน บาร์ดนั้นเพียงแค่ระดับสองเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นรูปแบบการพัฒนาของโรแลนด์นั้นมาจากรูปแบบการพัฒนาความสามารถของผู้บัญชาการซึ่งเหมือนกันบุตรทองคำคนอื่นๆ ค่าคุณสมบัติที่สูง , มีความสามารถที่หลากหลาย และมีสกิลพิเศษที่มากมาย
คุณสมบัติของบาร์ดนั้นอย่างมากก็เป็นได้เพียงชั้นแนวหน้าเท่านั้น
ข้อมูลเบื้องต้นบางอย่างนั้นถูกบอกเล่าไว้ภายในเว็บไซค์หลักของเกม
ตามข้อมูลที่เว็บไซค์อย่างเป็นทางการให้ไว้จากระดับต่ำไปสูงนั้นเรียงจาก Normal(ทั่วไป), Elite(แนวหน้า), Genius(อัจฉริยะ), Commander(ผู้บัญชาการ), Overlord(ผู้ปกครอง), Demon God(เทพมาร), Divinity(ศักดิ์สิทธิ์)
การเติบโตของคุณสมบัติโดยรวมของผู้เล่นสูงมาก จากมุมมองหนึ่งพวกเขาถือได้ว่าเป็นบอสระดับกลาง
ในตอนนี้นั้นท่าทางของโรแลนด์นั้นน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก บาร์ดรู้สึกราวกับว่าเขาพบเจอกับมังกรในร่างมนุษย์ เขากลืนน้ำลายและรีบพูดอย่างรีบร้อนว่า “เดี๋ยวก่อนข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย”
“นายออกไปได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะหักขานายทั้งสองข้างทิ้งซะ” โรแลนด์จ้องมองเขาอย่างไม่หวั่นไหว
บาร์ดลุกขึ้นและจากไปโดยไม่ลังเล
บาร์ดออกจากหอคอยเวทย์มนตร์พร้อมกับผู้ฝึกเวททั้งสองด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เขาโกรธมากและต้องการกลับไปทุบตีโรแลนด์เป็นอย่างมากเพราะเจ้านั่นทำให้เขาผู้ซึ่งเป็นบุตรจากตระกูลขุนนางใหญ่ต้องรู้สึกเกรงกลัว
ทว่าเขาก็ทำได้แค่คิด…เขานั้นไม่มีความกล้าเพียงพอ
นักเวทย์ฝึกหัดที่อยู่ข้างๆเขาต่างหวาดผวาจนเหงื่อแตก
“ไอสวะนั่น!” บาร์ดก่นด่าขณะเดินไปข้างหน้า “โรแลนด์หมอนี่เป็นปัญหาชะมัด จะเป็นอะไรไปก็แค่มาขอซื้อเนื้อด้วยเหรียญทองเท่านั้นเอง ทำไมเจ้านั่นต้องทำตัวราวกับจะฆ่าข้า? แม้งเอ้ยไม่น่ามาหาเจ้านี่เลยจริงๆ”
ในขณะเดียวกันโรแลนด์กำลังนวดขมับตัวเองอยู่ แต่เดิมเขานั้นพยายามทำให้บาร์ดโกรธเขาไม่นึกเลยว่าเขาจะกลายเป็นคนที่โกรธเสียเอง
หลักๆเพราะโรแลนด์รู้สึกว่าบาร์ดท่าทางเหมือนจริงเกินไป ไม่ว่าจะท่าทางกระหายที่ปรากฎอยู่ในดวงตาของหมอนั่นอยากจะซื้อ “ดอกเบญจมาศ” ของเขา
ขุนนางเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าขยะแขยงอย่างที่คาดเอาไว้ไม่มีผิด
ฉันไม่สามารถเอาชนะนายได้ด้วยการโต้เถียง ดังนั้นฉันจะยอมเป็น “เพื่อนที่ดี” ของนายแทนอะไรอย่างงี้เหรอ?
หลังจากนั้นโรแลนด์ก็พบว่าเขาได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ
“คุณได้เรียนรู้‘การยับยั้งด้วยจิต (พิเศษ)‘ เรียบร้อยแล้ว”
อะไรนะ? โรแลนด์ลองเข้าไปดูที่ความสามารถของมัน
การข่มขู่ทางจิต : เมื่อคุณอยู่ในสถานะของการร่ายหรืออยู่ในสภาวะโกรธ คุณจะสามารถปล่อยการโจมตีทางจิตไปในรัศมีของระดับตัวผู้เล่น *10 ไปยังสิ่งมีชีวิตรอบข้างโดยไม่คำนึงถึงพรรคพวกหรือศัตรู อัตราความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับความต่างของเลเวลระหว่างสองฝ่าย และความสามารถในการต้านทานของแต่ละบุคคล สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาทั้งหมดทีโดนการโจมตีจะเข้าสู่สถานะวิตกกังวล
วิตกกังวล: ค่าสถานะของตัวละครทั้งหมดลดลง 10%
ความสามารถพิเศษนี้…แข็งแกร่งมาก ทว่าโรแลนด์รู้สึกว่ามันคงไม่สามารถใช้ได้จริง
เนื่องจากเขาต้องอยู่ในสภาวะร่ายเวทย์และโกรธในเวลาเดียวกัน…นั่นไม่ใช่วิธีการต่อสู้ของนักเวทย์
เมื่อนักเวทย์ต่อสู้พวกเขาจำเป็นต้องสงบสติอารมณ์และร่ายเวทย์ที่เหมาะสมในเวลาและสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ
ในสภาพที่โกรธเกรี้ยวนักเวทย์ที่มีประกายไฟอยู่ที่มือซ้ายและลูกไฟขนาดใหญ่ที่มือขวาพร้อมตะโกนเรียกชื่อศัตรูและระดมยิงใส่ศัตรูอย่างบ้าคลั่ง – มันไม่มีสุนทรียศาสตร์เลยแม้แต่น้อย…แต่เดี๋ยวก่อนบางทีมันอาจจะดูเท่นิดหน่อยก็ได้
บางทีมันอาจจะให้ผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจในบางสถานการณ์
การได้รับความสามารถพิเศษอันใหม่ถึงยังไงก็นับเป็นเรื่องที่ดี โรแลนด์รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เขากำลังจะเริ่มทดลองเวทย์ต่อ ทว่าเขากลับได้รับการแจ้งเตือนจากระบบอีกครั้ง
อย่าบอกนะว่าฉันได้สกิลพิเศษอีกแล้วน่ะ
เขามีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัว ทว่ากลับเป็นเบทต้าที่ทักมาหาเขาด้วยระบบของกิลด์
“พี่โรแลนด์ครับมาที่บ้านผมหน่อย ผมเจอบางอย่างผิดปกติ”
แม้ว่าจะมีคำเพียงไม่กี่คำ แต่โรแลนด์ก็รู้สึกถึงความจริงจังในข้อความนี้
****
菊花门 คำนี้จะแปลว่า “ประตูดอกเบญมาศ” ครับ โดยปกติมักจะเขียนย่อในรูปว่า 菊花 (ดอกเบญจมาศ)แปลว่า ประตูหลัง นั่นเองครับ
อันนี้แถมละกันครับ อันนี้ถือว่าเป็นอารมณ์วัฒนธรรมจีนกับดอกเบญมาศนะครับ
ดอกเบญจมาศ (菊花) ตามความเชื่อของชาวจีนตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่นว่ามันเป็นดอกไม้ที่จะเติบโตจากพิธีศพ สรรพคุณคือยืดชีวิต โดยความหมายน่าจะสื่อประมาณว่า มันดูดกลืนพลังชีวิตเพื่อเติบโตและกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต
หลังจากจบภารกิจเบื้องต้นทุกคนจะได้รับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของตัวเอง
ฮอร์กนั้นได้รับโล่ที่มีคุณสมบัติเพิ่มความต้านทาน ในขณะที่ลิงค์นั้นได้รับชุดเกราะที่เพิ่มความต้านทานธาตุไฟ
ของรางวัลของเจ็ทคือคทาสีดำซึ่งมีลูกตุ้มสีดำแขวนอยู่ตรงปลายคทา นี่มันดูไม่เหมือนคทาเลยแม้แต่น้อยมันดูเหมือนค้อนเสียมากกว่า
อย่างไรก็ตามเจ็ทท์เองก็ค่อนข้างชอบมัน
ส่วนเบทต้านั้นเป็นคนที่โชคดีมากที่สุด เขาได้รับดาบยาวธาตุไฟ มันส่องแสงสีแดงและดูไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย อาวุธชิ้นนี้จะแผดเผาร่างของผู้ใช้มัน ทว่าเบทต้านั้นมีสายเลือดของมังกรเพลิงซึ่งช่วยให้เขามีความต้านทานธาตุไฟ เจ้าสิ่งที่อยู่ในมือของเขานั้นมันก็ราวกับเป็นแค่ที่อุ่นแขน
ส่วนโชคของโรแลนด์นั้นค่อนข้างธรรมดา
เขาได้รับไม้เท้าที่มีคุณสมบัติสองอย่างคือพลังเวทย์ +2, พลังชีวิตสูงสุด +6
หลังจากได้ไม้เท้านี้เขาก็ทำการทดสอบทันทีโดยการลองร่ายบอลเพลิงขนาดเล็กธรรมดา
พลังทำลายของเวทย์นั้นเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ทว่าไม่ได้เห็นได้ชัดขนาดนั้น แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าไม่มี แต่อย่างไรก็ตามค่าพลังชีวิตสูงสุดเพิ่มขึ้นมานั้นมันก็ไม่แย่
ส่วนอุปกรณ์ที่ดีที่สุดนั้นเป็นสิ่งที่เขาได้รับมาจากความสำเร็จในการเคลียร์ภารกิจดันเจี้ยนแบบหลักเป็นคนแรก
ในมุมมองของระบบ สร้อยคอสงบใจเป็นอุปกรณ์ที่มีชื่อสีทองและมีเอฟเฟคเพียงแค่อย่างเดียว…
สงบใจ : ดูดซับและเก็บกักพลังจิตที่ผู้สวมใส่ปล่อยออกมาโดยไม่ตั้งใจ และหากพลังจิตของผู้สวมใส่ต่ำกว่า 50% พลังจิตที่ถูกเก็บไว้จะถูกส่งกลับมายังผู้สวมใส่ ความเร็วในการส่งกลับ 30/วินาที มีผลต่อเนื่อง 3 วินาที
พลังจิตหรือเรียกอีกอย่างว่า MP ภายในระบบนั้นได้มีการวัดค่าที่แน่นอนไว้ให้ โดย MP ของโรแลนด์ ณ ปัจจุบันนั้นมีอยู่ราวๆ 140/140 ถึงแม้ว่าโรแลนด์จะเลเวลอัพและมีเลเวลที่สูงขึ้น เขาก็คิดไว้ว่าค่า MP สูงสุดของเขาคงมีไม่เกิน 400 ทว่าด้วยสร้อยคอสงบใจมันจะสามารถช่วยให้เขามีค่ามานาสูงสุดถึง 500 หน่วยได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมันเป็นอุปกรณ์ที่ฟื้นฟูพลังจิตโดยอัตโนมัติและสามารถใช้ได้ตั้งแต่ช่วงแรกจนถึงช่วงท้ายของเกม
มันเป็นอุปกรณ์ทองคำอย่างแท้จริง
โดยปกติแล้วโรแลนด์จะไม่ค่อยสนใจในเรื่องอุปกรณ์เช่นนี้ แต่เขาสามารถบอกได้ 100% เลยว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้เหมาะกับวิธีเล่นเกมของเขามาก
สำหรับนักเวทย์ อุปกรณ์ก็แค่องค์ประกอบภายนอก ซึ่งไม่ได้ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้พวกเขามากนัก
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นข้อจำกัดของประสิทธิภาพของนักเวทย์นั้นส่วนมากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ MP และจำนวนเวทย์ MP นั้นถือว่าสำคัญมากที่สุด มันเรียกได้ว่าเป็นสิ่งแรกก่อนการใช้เวทย์เลยก็ได้
ไม่ว่าอุปกรณ์จะดีขนาดไหนและไม่ว่าเวทย์ที่เรียนมาจะเยี่ยมยอดสักเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าหากไร้ซึ่ง MP แล้วนั้นพวกเขาก็จะไม่สามารถใช้มันได้
นอกจากนี้โรแลนด์ชอบศึกษารูปแบบการพัฒนาเวทย์มาก ดังนั้นมันจำเป็นอย่างมากเพื่อให้เขาใช้เวทย์ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ถึงแม้ว่าผนึกพลังแห่งโรแลนด์นั้นจะสามารถช่วยให้เขาเติมเต็มมานาได้รวดเร็วมากขึ้น ทว่าหากมีการทดลองที่บ่อยครั้งหรือถี่เกินไป ก็จะมีช่วงเวลาที่เขาไม่ได้ร่ายเวทย์อยู่ด้วยอย่างแน่นอน
ดังนั้นด้วยอุปกรณ์ชิ้นนี้ ถึงแม้ว่าเข้าจะไม่ได้ใช้มันเพื่อการต่อสู้ ทว่าเขาก็สามารถใช้มันในการช่วยทดลองเวทย์ได้อยู่ดี
ความล่าช้าในการเรียนรู้หรือการต่อสู้จะหาไป และยิ่งไปกว่านั้นมันสามารถใช้ได้ในตลอด “ช่วงชีวิต” ของเขา นี่มันอุปกรณ์ระดับพระเจ้าชัดๆ
ในพวกเขานั้นไม่มีใครที่เป็นพวกปากสว่าง ไม่มีใครบอกถึงคุณสมบัติของอุปกรณ์ที่พวกเขาได้รับมา
พวกเขาออกจากสุสาน และพวกเขาพบว่าตอนนี้เป็นช่วงบ่ายของเกมเรียบร้อยแล้ว
“ยังไงก็กลับเมืองกันก่อนเถอะ” ฮอว์กพูดอย่างเหน็บเหนื่อยขณะจ้องมองดวงอาทิตย์ซึ่งเอียงไปทางทิศตะวันตกแล้ว
คนอื่นๆตอบตกลงอย่างอ่อนแรง
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำภารกิจดันเจี้ยนสำเร็จแล้ว ทว่านอกจากโรแลนด์แล้วอีกสี่คนก็ไม่ได้ตื่นเต้นมากเท่าไหร่
เหตุผลนั้นน่าเหลือเชื่อเล็กน้อย ดันเจี้ยนนั้นถูกเคลียร์ง่ายเกินไป
สำหรับผู้เล่นบางคนนั้น บางครั้งสถานการณ์ที่ยากลำบากก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของความสนุกภายในเกม
พวกเขาตรงมาที่นี่อย่างรวดเร็วด้วยความคาดหวัง และมองหาประสบการณ์แปลกใหม่จากภารกิจประเภทดันเจี้ยนซึ่งอยู่ในโลกของเกมที่เป็นเอกลักษณ์อย่างมาก
แม้ว่ามันจะยากลำบากและท้าทายมาก แต่พวกเขาก็อยากจะท้าทายมัน การเล่นเกมแบบผู้เล่นแนวหน้านั้นคือการท้าทายและเข้าสู้ความสำเร็จ
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะผ่านมันไปได้อย่างง่ายดายและแทบไม่ได้ใช้ความพยายามใดๆเลยแม้แต่น้อย
ไม่ต้องพูดถึงความคาดหวังของพวกเขาที่หายไป พวกเขายังรู้สึกเสียใจอีกด้วยที่ในความเป็นจริงคือพวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย
อย่างไรก็ตามโรแลนด์ค่อนข้างมีความสุข ประการแรกเขาได้รับอุปกรณ์ทองคำชิ้นหนึ่งและประการที่สองเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าความพยายามอย่างเต็มที่ในการศึกษารูปแบบเวทย์ที่พัฒนาแล้วนั้นสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง
อย่างน้อยความสามารถทางอักขระก็ถือว่ามีประโยชน์อย่างมากแล้ว
ไม่เหมือนกับอีกสี่คนที่เหลือ ซึ่งเชื่อในแนวคิดเกี่ยวกับความแข็งแกร่ง โรแลนด์นั้นเชื่อในเรื่องมุมมองของการคิดและทฤษฎี ตราบใดที่เขาสามารถทำเป้าหมายให้สำเร็จลุล่วงได้ กระบวนการหรือวิธีการก็ไม่สำคัญอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นการใช้ทักษะและความรู้นั้นก็ช่วยให้เขาสำเร็จภารกิจได้ มันก็สนุกในตัวของมันเองอยู่แล้ว
พวกเขากลับไปที่กำแพงเมือง โดยไม่ได้เร่งรีบเข้าไปด้านใน
โรแลนด์หันไปพูดกับเจ็ทว่า “แล้วนายจะเอายังไงต่อ? จะกลับไปเมืองของนายไหม?”
“ไม่ล่ะ ฉันขออยู่ที่นี่ดีกว่า” เจ็ทกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมืองก่อนของฉัน ฉันเป็นผู้เล่นคนเดียวภายในเมือง ถึงแม้ว่า NPC จะฉลาดขนาดไหนก็ตามและไม่ว่าจะเหมือนมนุษย์มากขนาดไหน ทว่าทัศนคติของพวกเรานั้นต่างจากพวกเขามากเกินไป มันไม่มีอะไรที่จะสามารถเชื่อมในการพูดคุยกันได้เลย ในเมื่อมีพวกนายสี่คนอยู่ในเมืองนี้รวมฉันไปก็จะกลายเป็นห้า พวกเรายังสามารถพูดคุยและช่วยเหลือกันและกันได้”
คำพูดของเขาฟังดูเข้าท่าเลยทีเดียว จากนั้นโรแลนด์ก็ถามไปว่า “แล้วนายมีที่พักหรือยัง?”
“ฉันเป็นนักบวชสายต่อสู้ของโบสถ์แห่งชีวิต ตราบใดที่ยังมีโบสถ์แห่งชีวิตอยู่ ฉันก็สามารถอยู่ฟรีและทางโบสถ์ก็มีหน้าที่ต้องเตรียมอาหารสามมื้อให้แก่ฉันอีกด้วย”
เมื่อได้ฟังดังนั้น ท่าทางของฮอร์กก็ราวกับว่ากินมะนาวเข้าไป (1) “องค์กรของพวกผู้ใช้เวทย์นี่ใจกว้างจริงๆ มอบประโยชน์ต่างๆให้ตั้งมากมาย โคตรดี”
โรแลนด์ถามอย่างสงสัย “เท่าที่ฉันรู้มานักรบเองก็มีสมาคมเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่มีเหมือนกัน แต่พวกเรานักรบก็ต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าองค์กรนั่นอยู่ดี” ฮอร์กพูดอย่างขมขื่น “ไม่เพียงแต่เท่านั้น หลังจากเข้าร่วมสมาคมนักรบ พวกเรายังจำเป็นต้องทำภารกิจพิเศษโดยไม่มีค่าตอบแทนอีกด้วย ใครแม้งจะโง่เข้าว่ะ”
“เป็นไปไม่ได้เลยที่มีการมอบภาระหน้าที่โดยการไม่ใช้อำนาจหรือการตอบแทนใดๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงพวกนักรบคนอื่นๆคงออกมาเอะอะโวยวายกันใหญ่แล้ว”
ฮอว์กพูดอย่างช่วยไม่ได้ “มันก็มี แต่แม้งโคตรไร้ประโยชน์ อย่างถ้าหากนักรบในองค์กรพบเจอเข้ากับปัญหาใดๆ พวกเขานั้นก็จะเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะได้ผล 100% และอื่นๆอย่างเช่นการเรียนสกิลหายากได้ถูกลง”
ก็จริงที่มันโคตรไร้ประโยชน์
ไม่เหมือนกับนักเวทย์ อาชีพอื่นๆนั้นสกิลจะถูกเรียนรู้โดยอัตโนมัติทันทีที่พวกเขาเลเวลอัพ หลังจากขึ้นไปถึงระดับนึง มันจะมีสกิลพิเศษและความสามารถที่หลากหลายให้พวกเขาได้เลือกเรียนและมันไม่จำเป็นต้องตั้งใจหรือเคร่งเครียดเพื่อเรียนรู้มัน
สำหรับการไกล่เกลี่ยปัญหา…พวกผู้เล่นดูเหมือนคนที่กลัวปัญหางั้นเหรอ?
พวกเขาอยากจะให้พวก NPC มาหาเรื่องพวกเขาจะตาย พวกเขาจะได้มีข้ออ้างในการจัดการพวกนั้น
“ถ้าอย่างนั้นเราจากกันตรงนี้นะ ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นค่อยมาติดต่อกัน” โรแลนด์พูดด้วยรอยยิ้ม “และในภารกิจหลักอันต่อไป พวกเราค่อยมาคุยกันอีกทีเมื่อพวกเรามีเลเวลสูงขึ้น”
คนอื่นๆพยักหน้ารับ
ภารกิจหลักอันถัดไปมีการ “แนะนำไว้ที่ระดับ 5” เขียนไว้อยู่ในคำอธิบาย
ภารกิจนั้นเป็นสีเทาไม่สามารถถูกกระตุ้นได้
พวกเขาทั้งห้าแยกกัน โรแลนด์นั้นตรงไปยังหอคอยเวทย์และพบว่ามีคนกำลังรอเขาอยู่ที่นั้น
เป็นบาร์ดและนักเวทย์ฝึกหัดสองคนที่อยู่กับเขา เขามองตรงมาที่โรแลนด์และเดินเข้าไปหาเขา
เมื่อโรแลนด์อยู่ตรงหน้าเขาบาร์ดกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “บุตรทองคำ เจ้ามั่นใจมาจากไหนงั้นเหรอว่าเจ้าไม่สามารถตายได้?”
สิ่งของที่อยู่ในโลงศพสามารถเคลื่อนไหวได้จริงงั้นหรือ?
แม้พวกเขาจะรู้ว่าตัวเองนั้นคืนชีพได้ทว่าพวกเขาก็ยังคงกลัวอยู่ดี
เกมนี้แตกต่างจากเกมปกติ มันเหมือนจริงมาก พวกเขาจะทำอย่างไรถ้าดันเจี้ยนปิดลงเมื่อพวกเขาล้มเหลว?
ความเป็นไปได้ดังกล่าวไม่สามารถละเลยได้
พวกเขาถอยกลับไปที่ทางเข้าก่อนถึงแยกทางเดินและเตรียมวางแผนโดยละเอียดก่อน
สิ่งที่ “มีชีวิต” กว่าร้อยชีวิตไม่ว่าจะอ่อนแอแค่ไหนก็ถือว่าเป็นปัญหาอยู่ดี หากหนึ่งในพวกมันถูกรบกวนแล้วพวกมันที่เหลือนับร้อยโผล่ออกมาจากโลงศพล่ะ
ยิ่งไปกว่านั้นจากประสบการณ์การเล่นเกมในอดีตของพวกเขา สิ่งที่นอนอยู่ในโลงศพสีขาวน่าจะเป็นบอสของดันเจี้ยนแห่งนี้ ถ้ามันถูกรบกวนด้วยล่ะก็ปาร์ตี้ของพวกเขาต้องล่มแน่ๆ
พวกเขาอยู่ตรงบริเวณแถวๆก่อนถึงทางเดิน และครุ่นคิดกันอยู่
“ดันเจี้ยนนี้ไม่มีเคล็ดลับอะไรบอกไว้เลย” เจ็ทเกาหัวของเขา “มันเป็นปัญหาชะมัด”
ฮอว์กพิงที่มุมกำแพงและพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ลองมองดูรอบๆสิ มันไม่มีจุดไหนที่ง่ายต่อการป้องกันหรือยากต่อการโจมตีเลย พวกทางเดินที่อยู่ด้านหลังเรานี่นับด้วยไหม?”
เบทต้ายังคงมองไปทางซ้ายและขวาดูเหมือนจะพยายามหาเบาะแสบางอย่างเพื่อผ่านดันเจี้ยนนี้ให้ได้
เบาะแสงั้นเหรอ?…โรแลนด์มองไปยังเสาหินขนาดใหญ่
ลวดลายเส้นสีฟ้าราวกับเส้นเลือดนั้นยังคงค่อยๆสว่างขึ้นและค่อยๆมืดลงอย่างช้าๆ มันดูค่อนข้างประหลาด มันซิกแซกไปผ่านเสาหินไปในทิศทางต่างๆ และมีความคล้ายคลึงกับตัวอักษรเล็กน้อย
เขาร่ายความสามารถทางอักขระใส่ตัวเองโดยสัญชาตญาณ!
ในอีกด้านหนึ่งฮอร์กและเจ็ทกำลังคุยกันว่าจะมีผีดิบจำนวนมากกระโดดออกจากโลงศพสีดำหรือไม่เมื่อพวกเขาเข้าใกล้โลงศพสีขาว
“มันน่าจะเยอะมากๆแน่นอน” เจทท์กล่าวอย่างมั่นใจ “นี่คือดันเจี้ยนถ้าไม่ต้องการการเอาชีวิตรอดจากการต่อสู้อันดุเดือดมันจะเรียกว่าดันเจี้ยนได้ยังไงกัน? นอกจากนี้วันที่สดใสกลับกลายเป็นคืนที่มืดมิดมันเป็นการบังคับฉากโดยภารกิจอย่างชัดเจน และนอกจากนี้ยังมีศพอยู่สามถึงสี่ศพอยู่ที่นี่อีกด้วย ทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่านี่คือดันเจี้ยนขนาดเล็กระดับพื้นฐานเพื่อเป็นด่านเริ่มต้นเพื่อให้พวกเราเรียนรู้ว่าความตายนั้นไม่สำคัญนัก อย่างไรก็ตามปัญหาคือเราควรพยายามหลีกเลี่ยงความตายให้ได้มากที่สุด เพราะถึงอย่างไรก็ตามในการตายแต่ละครั้งพวกเรานั้นต้องสูญเสียค่าประสบการณ์ 10% จากทั้งหมดและสำหรับคนที่อยู่เลเวล 4 ขึ้นไป การตายหนึ่งครั้งหมายถึงการถูกลดระดับ”
“แต่มันไม่มีคำใบ้อะไรเลย” ฮอว์กเกาหัวและพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “หลังจากที่เราปลุกบอสแล้วพวกมอนสเตอร์เหล่านั้นจะถูกแบ่งออกเป็นกี่เฟซ (Phase)? หรือพวกมันจะปรากฏตัวทีเดียวทั้งหมดพร้อมกัน?”
เบทต้าแทรกพวกเขาและพูดไปว่า “พวกเราควรเปิดโลงศพด้วยตัวเองก่อนไหมแล้วไล่ฆ่าพวกลูกสมุนก่อน แบบนี้เป็นไงครับ?”
มันก็ไม่ใช่วิธีที่แย่อะไรพวกเขาทั้งสามพยักหน้าและรู้สึกว่าวิธีนี้พอใช้ได้ อย่างน้อยที่สุดมันก็ดีกว่าให้ไปสู้กับ บอสตรงๆ
ในขณะที่พวกเขาทั้งสี่คนกำลังตัดสินใจว่าจะใช้วิธีนี้ทันใดนั้นโรแลนด์ก็หันกลับมามองพวกเขาและพูดด้วยเสียงที่ค่อนข้างงุนงงว่า “ฉันทำภารกิจดันเจี้ยนสำเร็จแล้ว”
ในตอนนั้นพวกเขาที่เหลือทั้งสี่คนต่างไม่เข้าใจว่าโรแลนด์พยายามจะสื่ออะไร ฮอร์กถึงกับพูดว่า “ถ้ามันเสร็จแล้วถ้างั้น…”
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้สติกลับมาและตะโกนใส่โรแลนด์ว่า “อะไรนะ นายทำภารกิจของดันเจี้ยนเสร็จแล้ว!?”
พวกเขาที่เหลือจ้องไปที่โรแลนด์ด้วยความตกตะลึง
“พวกนายลองดูที่การแจ้งเตือนในระบบของพวกนายสิ” โรแลนด์รู้สึกว่านี่มันค่อนข้างเหนือความคาดหมายพอสมควรเลย
ทั้งสี่คนเปิดอินเทอร์เฟซเกมทันทีและตรวจสอบการแจ้งเตือนของระบบ
ตามที่คาดไว้…มันเป็นการแจ้งเตือนทั้งระบบเซิร์ฟเวอร์:“ ผู้เล่นโรแลนด์เป็นคนแรกที่ทำภารกิจดันเจี้ยนหลักได้สำเร็จ และได้รับสร้อยคอสงบใจเป็นรางวัลพิเศษ”
“ห๊ะ…ห๊ะ…ห๊าๆๆ!” ฮอร์กถึงกับหมดคำพูดทันที ทำได้เพียงแค่พูดอย่างตะกุกตะกัก “นายคื่นอยู่ตรงนั้นเฉยๆนี่ ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่แม้แต่จะเริ่มโจมตีบอสหรือสังหารพวกลูกสมุนด้วยซ้ำ นายทำภารกิจสำเร็จได้ยังไงกัน?”
เจ็ทพูดเสริมไปว่า “เกมบัคงั้นเหรอ?”
โรแลนด์ชี้ไปที่เสาหินและพูดว่า “นั่นเป็นภาษาเอลฟ์น่ะ มันเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการเกิดขึ้นและการถูกทำลายลงของสุสานแห่งนี้น่ะ! ทันใดที่นายเข้าใจมัน ภารกิจจะถูกตัดสินทันทีให้เสร็จสิ้นและรางวัลภารกิจจะส่งมาให้กับตัวโดยทันที”
โรแลนด์พลิกมือขวาของเขาก่อนที่จะมีสร้อยคอคริสตันปรากฎอยู่ในอุ้งมือของเขา สร้อยนั้นมีแสงสว่างส่องออกมา เห็นได้ชัดว่ามันเป็นอุปกรณ์เวทย์
“นายอ่านภาษาเอลฟ์ได้?” แววตาของฮอร์กมีประกายของความสับสน
โรแลนด์พูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันรู้ความสามารถทางอักขระน่ะ”
“ฉันเคยได้ยินแค่ความสามารถทางภาษาเท่านั้น” เจ็ทกล่าวออกมาด้วยท่าทางสับสน “และฉันเองก็สามารถร่ายมันได้เช่นกัน ทว่าเวทย์ที่ทำให้เข้าใจในภาษานั้นฉันไม่เคยได้ยินมันมาก่อนเลย”
“ความสามารถทางอักขระเป็นเวทย์ที่พัฒนาได้มาจากความสามารถทางภาษา” โรแลนด์อธิบายออกมา “ฉันโพสต์แบบจำลองเวทมนตร์ของเวทย์นี้ในฟอรั่มของพวกนักเวทย์เรียบร้อยแล้ว ถ้าพวกนายลองค้นมันดูก็น่าจะเจอได้ไม่ยาก”
“ฉันไม่ใช่นักเวทย์ ฉันไม่อ่านเนื้อหาพวกนั้นหรอก!” จากนั้นฮอร์กก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “นายร่ายความสามารถทางอักขระให้พวกเราได้ไหม?”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ถาม โรแลนด์ก็จะร่ายมันอยู่ดี
ผ่านไปประมาณห้านาทีทุกคนก็ทำภารกิจดันเจี้ยนสำเร็จ
จากนั้นการแจ้งเตือนของระบบก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคน:“พวกคุณทุกคนได้สำเร็จภารกิจประเภทดันเจี้ยนเรียบร้อยแล้ว เตรียมการออกจากดันเจี้ยน เริ่มนับเวลาถอยหลัง!”
10, 9, 8 …
ผ่านไปหลายวินาทีทิวทัศน์โดยรอบก็บิดเบี้ยวอีกครั้งและจากนั้นในการมองเห็นของพวกเขาก็พบเข้ากับฉากที่เปลี่ยนไปตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเทียบกับสุสานที่ดูค่อนข้างสมบูรณ์ก่อนหน้า สุสานในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
โลงศพทั้งหมดถูกเปิดออกแล้วและซากโครงกระดูกสีเหลืองจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่รอบๆโลงศพ
นอกจากนี้ยังมีอาวุธขึ้นสนิมหลายชนิดกระจายอยู่ทั่วพื้น
โลงศพสีขาวก็เปิดออกเช่นกันและเสาหินด้านหลังโลงศพไม่มีลวดลายเส้นสีน้ำเงินอีกต่อไป ภาษาเอลฟ์ได้หายไปแล้วเช่นกัน
สุสานแห่งนี้ถูกปล้นไปจนหมด
โรแลนด์และคนอื่น ๆ เดินขึ้นไปบนโลงศพสีขาวและมองดูภายในที่ว่างเปล่า พวกเขาทั้งหมดถอนหายใจออกมา
“ค้นหาความตายผู้บุกรุกสุสานแห่งนี้” โรแลนด์ถอนหายใจเบา ๆ
ในขณะนี้ภารกิจของพวกเขาเปลี่ยนไป จาก “ปลดล็อกสุสานลับของเมืองเดลพอน” ไปจนถึง “ไล่ล่าแวมไพร์และผนึกเขากลับเข้าไปในโลงศพสีขาว”
ในคำอธิบายสั้นๆ ของภารกิจต่อเนื่องนั้นล้วนแล้วแต่มีรายละเอียดอธิบายไว้อยู่
สุสานของแวมไพร์ที่ถูกปิดผนึกนี้ถูกปล้น
พวกโจรปล้นสุสานใช้กลยุทธ์ในการสังหาร “ผู้พิทักษ์” ในโลงศพสีดำเป็นอย่างแรกและหลังจากกำจัดอุปสรรคเหล่านี้แล้วพวกเขาก็เปิดโลงศพสีขาว
แวมไพร์ที่ถูกปิดผนึกมานานกว่าร้อยปีออกมาและดูดเลือดของผู้บุกรุกสุสานทั้งห้าทันทีจากนั้นก็หนีออกจากพื้นที่ปิดผนึกนี้ทันที
ซากศพใกล้โลงศพสีขาวที่โรแลนด์และคนอื่น ๆ เห็นในดันเจี้ยนนั้นเป็นกลุ่มโจรปล้นสุสานอีกกลุ่มหนึ่ง พวกนั้นไม่ได้เลือกที่จะจัดการพวกผู้พิทักษ์ก่อนและตรงเข้าไปเปิดโลงศพสีขาวทันทีทำให้พวกเขาถูกดูดเลือดจนแห้ง
อย่างไรก็ตามโลงศพสีขาวมีเวทมนตร์ในการยับยั้ง เมื่อโลงศพสีขาวเปิดออกแล้วผู้พิทักษ์จะถูกปลุกขึ้นมาเช่นกัน
แวมไพร์ถูกปิดผนึกโดยผู้พิทักษ์นับร้อยไม่นานและผู้พิทักษ์ที่ทำภารกิจนี้เสร็จก็เข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามสามปีต่อมาโดยไม่คาดคิดพวโจรรปล้นสุสานอีกกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามา
โรแลนด์และคนอื่น ๆ จะได้รับประสบการณ์ให้เล่นเป็นบทโจรปล้นสุสานอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องตายภายในดันเจี้ยน
พวกเขานั้นถูกลิขิตให้ตาย แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะรอดชีวิตเพราะแวมไพร์นั้นเกือบจะเป็นระดับปรมาจารย์ จากนั้นหลังจากพวกเขาออกจากดันเจี้ยนไป พวกเขาก็จะได้รับภารกิจหลักอันใหม่นั่นก็คือคัดลอกข้อความภาษาเอลฟ์โบราณและหาใครสักคนแปลความหมายมันออกมา
มีน้อยคนที่เข้าใจการอักษรเอลฟ์โบราณในโลกมนุษย์ นี่เป็นภารกิจหลักที่ยาวนานมากและยังเป็นเพียงแค่ภารกิจเริ่มต้นอีกด้วย
จากนั้นผู้เล่นจะได้รับคำแนะนำทีละขั้นตอนเพื่อตามล่าตัวแวมไพร์
อย่างไรก็ตามโดยไม่คาดคิด โรแลนด์นั้นได้เรียนรู้ความสามารถทางอักขระ
ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องตายครั้งหนึ่ง พวกเขายังผ่านพวกภารกิจเริ่มต้นไปในทันที
บอลแสงทั้งสี่จากเวทมนตร์ลอยขึ้นไปด้านหน้าสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของโรแลนด์ที่กำลังก้าวเดินไปด้านหน้า
มันลอยอยู่ห่างจากโรแลนด์ราว 20 เมตร ทว่ามันก็สามารถส่องแสงสว่างนำทางด้านหน้าได้อย่างสมบูรณ์
ไม่ว่าใครก็ไม่สมควรมองข้ามเกี่ยวกับเรื่องเล็กๆ หลายต่อหลายครั้งการใส่ใจก็อาจจะช่วยให้สามารถจัดการพวกกับดับหรืออันตรายต่างๆได้
ถ้ำนี้นั้นไม่ได้กว้างนัก ทว่ามันก็สามารถรองรับคนสามคนเดินในแนวระนาบเดียวกันได้ จะพูดว่ามันแคบก็ไม่ถูกนัก
กลิ่นอับชื้นของดินโคลนลอยคละคลุ้งเข้าจมูกของทุกๆคน ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจมันมากนัก พวกเขาเดินต่อไปอย่างช้าๆ และพยายามไม่สนใจเกี่ยวกับกลิ่นมากนัก และในเวลาเดียวกันก็สำรวจพื้นที่รอบตัวอย่างระมัดระวัง
เมื่อพิจารณาจากรูปทรงผนังของถ้ำนี่น่าจะเป็นของเทียมที่ถูกสร้างขึ้นมา ฮอร์กถือโล่ในมือแน่นขณะที่กำลังเดินหน้าต่อ ผ่านไปสักพักเขาก็หยุดเดินอย่างกระทันหัน
ทุกคนต่างสับสนไปชั่วครู่ และจากนั้นพวกเขาก็เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
ฮอร์กไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวเขาเพียงแค่ส่ายหน้าออกมา จากนั้นเขาก็ใช้มือไปคว้าโคลนออกมาจากกำแพงก่อนจะเลียมันเข้าไป และชิมรสชาติของมันด้วยปลายลิ้น
พวกเขาทั้งสี่ที่มองอยู่รู้สึกอึดอัดแปลกๆกับการกระทำของเขา ราวกับว่าพวกเขานั้นเป็นคนกินโคลนเสียเอง
จากนั้นฮอว์กก็โยนโคลนออกไปจากมือภายใต้การจ้องมองอย่างมึนงงของอีกสี่คนที่เหลือและกระซิบว่า “ฉันว่ามันแปลกๆ กลิ่นของถ้ำนั้นมันดู ‘สด’ เกินไป ดังนั้นฉันเลยลองชิมโคลน ถ้ำนี้ดูเหมือนพึ่งจะขุดได้มาไม่เกินสามปีเท่านั้น”
เจ็ทเบิกตากว้าง “พระเจ้า นี่คุณเป็นกัปตันจินเสี่ยวเว่ย (1) ในชีวิตจริงรึเปล่าเนี่ย?”
“ก็เชี่ยแล้ว ฉันจบวิศวกรรมโยธามาโว้ย” ฮอว์กพูดอย่างขมขื่น
อย่างไรก็ตามเจ็ทพยักหน้า “มันก็เหมือนๆกันนั่นแหละ ขุดๆเหมือนกัน”
“ต่างกันเยอะ” ฮอร์กยืนขึ้นและพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “อีกหนึ่งสร้างขึ้นบน อีกหนึ่งขุดลงล่าง นายสับสนระหว่างพวกนี้ได้ยังไงกัน”
จากนั้น เจ็ทก็สังเกตุถึงอะไรแปลกๆ “แล้วพวกนักเรียนวิศวะจำเป็นต้องเรียนเกี่ยวกับการชิมดินเพื่อให้รู้ว่ามันสร้างมานานเท่าไหร่เพื่อ?”
“ไม่มันก็แค่วิชาพิเศษเท่านั้น” ฮอร์กอธิบายออกมา “มหาลัยทุกแห่งล้วนมีอาจารย์ผู้สอนในสาขาวิศวกรรมโยธา และแต่ละคนก็มีความชำนาญที่ต่างกันออกไป อาทิเช่นสำหรับผู้ที่จบการศึกษาจากมหาลัยในราชวงค์ฉิง (2) พวกคณะวิศวกรรมที่นั่นก็จะมีการสั่งการและออกคำสั่งที่น่ากลัวแถมเคร่งเรื่องเวลามาก พวกนั้นเก่งในด้านการสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ภายในระยะเวลาสั้นๆ โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์และกำลังคนจำนวนมาก พวกเขานั้นเป็นตัวแทนด้านกองกำลังในหมู่วิศวกรรมโยธา
“อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยของเรานั้นไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่ ภูมิหลังของเขาเดิมอยู่ในวงการโบราณคดี นี่คือเหตุผลที่เขาค่อนข้างเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือและวัสดุก่อสร้างเพื่อสร้างอาคารที่มีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์และเนื่องจากครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นนักโบราณคดีเขาจึงมีนิสัยชอบชิมวัสดุก่อสร้างด้วยปากของเขาเพื่อตรวจสอบว่าวัสดุก่อสร้างมีนั้นมีคุณสมบัติดีพอหรือไม่ ฉันได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้จากเขามานิดหน่อย”
เจ็ทกล่าวอย่างโง่งมและกล่าวว่า “เชี่ยเอ้ย ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเสียเวลาในชีวิตเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับอะไรครึ่งๆกลางๆเพื่อให้สอบผ่านเท่านั้นเลย คนที่สอนในมหาลัยชั้นสองนั้นล้วนแต่ไม่ได้มีสกิลพิเศษอะไรเลย”
โรแลนด์คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ อาจารย์ในมหาลัยของเขานั้นค่อนข้างเก่งในเรื่องปัญญาประดิษฐ์ ทว่าเมื่อไม่นานมานี้เขานั้นหายตัวไป เขาก็ไม่ได้รู้เหตุผลว่าเป็นเพราะอะไรอย่างน้อยก็ในตอนนี้
ทั้งสองพูดคุยกันเบาๆ และเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ตามจริงแล้ว เมื่ออยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอันตรายหรือไม่นั้นพวกเขานั้นควรที่จะเงียบ
ทว่าถ้าหากเงียบเกินไปมันก็คงส่งผลเสียแทน
ขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปข้างหน้าขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเสียงลมธรรมชาติและเสียงนกร้องและเสียงแมลงก็เริ่มถูกตัดออกจากภายนอก ถ้าหากพวกเขาไม่ได้พูดคุยกัน ก็จะเหลือเพียงแค่เสียงหัวใจเต้น เสียงฝีเท้า และเสียงของข้อต่อกระดูกเขาเท่านั้นที่ดังก้องอยู่ภายในทางเดิน
หากปราศจากเสียงส่วนประสมของธรรมชาติเหล่านั้น ด้วยเสียงที่เงียบก็จะให้พวกผู้คนตกลงสู่ความเครียด บางทีมันอาจจะทำให้พวกเขาเป็นบ้าเลยก็ได้ ถ้าหากพวกเขามีความต้านทานจิตใจที่ต่ำ
นี่เป็นเหตุผลที่พวกเขาคอยพูดคุยกันอย่างเงียบๆอยู่ตลอดเวลา โรแลนนั้นก็ไม่ได้ขัดการสนทนาของพวกเขา
ก่อนที่พวกเขาจะเข้าดันเจี้ยน พวกเขานั้นสันนิษฐานกันไว้ว่าพวกเขาจะเจอกับศัตรูเมื่อเข้ามาได้สักครึ่งทาง อย่างพวกวิญญาณร้ายหรือมอนส์เตอร์
อย่างไรก็ตามพวกเขากับจบลงด้วยการเดินเข้ามาในอุโมงค์หินยักษ์ขนาดยาวโดยการไม่ได้พบเจอกับศัตรูใดๆ
ทางด้านหน้าของพวกเขานั้นเหมือนจะเป็นสนามหิน และมันอยู่เกินระยะที่แสงสว่างจะส่องถึง
โรแลนด์ควบคุมบอลแสงสองลูกและส่งมันไปข้างหน้า ดังนั้นพวกเขาทั้งห้าจึงเห็นพื้นที่ข้างหน้าได้อย่างชัดเจน
มันเป็นพื้นที่รูปแบบสี่เหลี่ยม บนพื้นนั้นถูกปูด้วยหินสีเทาประหลาด และมีโลงศพหินนับร้อยตั้งอยู่เรียงกันรูปครึ่งวงกลมและมีแท่นทางเดินขึ้นไป
ขั้นบันไดนั้นสูงประมาณหนึ่งเมตรและด้านบนมีโลงศพสีขาวขนาดใหญ่ซึ่งดูโดดเด่นเป็นพิเศษท่ามกลางโลงศพสีเทาทั้งหมด
ด้านหลังโลงศพสีขาวมีเสาหินสีขาวทรงสูง มีเส้นสีฟ้าอ่อนเรืองแสงคล้ายกับเส้นเลือดค่อยๆโผล่ออกมาและจางหายไปจากเสาหินซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆ
สถานที่แห่งนี้เงียบมาก มันเงียบราวกับอยู่ในความว่างเปล่าอากาศโดยรอบนั้นหนาวเหน็บเป็นอย่างมาก
ฮอร์กปล่อยลมหายใจยาวเหยียด หมอกสีขาวออกมาจากปากของเขา “สถานการณ์ตอนนี้เริ่มให้ความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาหน่อย เมื่อพวกเราเดินไปบนนั้น เส้นเรืองแสงพวกนั้นก็จะเข้ามายังร่างกายของพวกเราอย่างนั้นใช่ไหม? และจากนั้นกูลก็ตื่นขึ้นจากโลงศพหินสีขาวพร้อมกับดาบน้ำแข็งในมือและตะโกนออกมาว่าพลังอันไร้ขีดจำกัดแบบนั้นใช่ไหม? (3)”
“นายเล่น Maiden Scrolls (4) มากเกินไปแล้ว” เจ็ทท์หัวเราะและหยอกล้อออกมา “และบางทีนายอาจจะติดตั้ง LapSlap ไว้ด้วยสินะ (5)”
โรแลนด์ , ฮอร์กและลิงค์ต่างก็เผยรอยยิ้มลึกลับในเวลาเดียวกัน
เบทต้าถามด้วยความอยากรู้ว่า “Maiden Scrolls คืออะไรเหรอครับ?”
โรแลนด์เงียบไปชั่วขณะก่อนจะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ลองไปเสิร์จเน็ตหาดูเอาเองนะ พี่อธิบายให้ฟังไม่ได้”
อีกสามคนหัวเราะออกมา
ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันและหัวเราะอยู่นั่นเอง พวกเขาเดินไปตามทางอย่างระวังก่อนจะเดินเข้าไปยังพื้นที่ครึ่งวงกลม
บอลแสงลอยอยู่บนอากาศ มีหินย้อยแหลมคมลอยอยู่เหนือพวกเขาในตอนนี้ยังไม่มีอันตรายอะไร
ในตรงใจกลางของโลงศพนับร้อยนั้นมีทางเดินแยกฝั่งออกเป็นสองทาง
พวกเขาทั้งห้าเดินเข้าไปและพึ่งมาถึงยันสุดทางเดิน ทว่าพวกเขาก็หยุดชะงัก ระยะสายตาของพวกเขานั้นถูกบดบังด้วยโลงศพ แต่พวกเขาก็พบว่าในท้ายสุดของทางเดินมีศพสี่ศพนอนอยู่ที่มุมขั้นบันไดใต้โลงศพสีขาว
“ระวังศพพวกนั้นด้วยมันน่าจะมีอันตราย” ฮอว์กเอียงโล่ไปด้านหน้าลำตัวและเดินไปข้างหน้าช้าๆ
ในขณะนี้โรแลนด์มีสีหน้าแปลก ๆ เขามองไปทางซ้ายและขวาทันใดนั้นก็พูดว่า “ทุกคนรอเดี๋ยว ฉันว่ามันมีอะไรไม่ถูกต้อง มันให้ความรู้สึกแปลกๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้อีกสี่คนที่เหลือก็ถอยกลับทันทีและล้อมรอบตัวโรแลนด์ไว้ตรงกลาง
ฮอร์กมองดูทางซ้ายและขวาอย่างขยันขันแข็ง เพื่อพยายามหาศัตรู
เจ็ทเริ่มร่ายเวทย์เพิ่มค่าสเตตัสอย่างพวกเพิ่มพลัง , เสริมความเร็ว , เสริมความคล่องแคล่ว และอื่นๆ
บรรยากาศตึงเครียดในทันที
โรแลนด์พูดอย่างเงียบ ๆ “ถอยกันทีละนิดนะ”
ทุกคนถอยออกตามที่เขาบอก
เมื่อถอยกลับไปใกล้ทางเดินอีกสี่คนที่เหลือก็คลายความกังวลเล็กน้อย
ภายใต้การจ้องมองอย่างมึนงงของพวกเขาโรแลนด์กล่าวว่า “ฉันเป็นนักเวทย์และฉันสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังจิตของผู้อื่นในระยะได้ ในตอนที่เราเดินกันไปตามทางเดินฉันสังเกตุได้ว่าโลงศพโดยรอบนั้นมีการส่งคลื่นพลังจิตหากัน บางทีอาจจะเป็นโลงศพที่แยกพวกมันออกจากกันซึ่งฉันจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเข้าไปใกล้กว่านี้”
ทุกคนรู้สึกสั่นสะท้านเมื่อมองไปที่โลงศพโดยสัญชาตญาณ
เจ็ทถามขึ้นมาว่า “มีทั้งหมดเท่าไหร่งั้นเหรอ?”
“เกือบจะพวกมันทั้งหมด”
ในตอนนั้นเอง พวกที่เหลือทั้งสี่ก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก ไม่แปลกใจว่าทำไมโรแลนด์ถึงมีท่าทีที่แปลกมาก
ฮอร์กนั้นตกใจสักพักก่อนจะอ้าปากพูดออกมาว่า “ฉันรู้อยู่แล้วว่าภารกิจดันเจี้ยนคงไม่ง่ายขนาดนี้”
(1) 金校尉 = พระเอกหนังเรื่องเกี่ยวกับการขุดสุสาน
(2) มหาลัยในราชวงค์ฉิง = มหาวิทยาลัยชิงหวา 清华大学
(3) Elder scroll = เกมในเครือ Skyrim
(4) Maiden scroll = Mod 18+ ของ Skyrim
(5) LapSlap = เว็บโหลด Mod เกม 18+
พวกเขาทั้งสี่มาถึงโรงเตี๊ยมเกรย์แซนด์และไม่นานนักเบทต้าก็ตามมาทีหลัง
โรงเตี๊ยมเกรย์แซนด์ในตอนเช้านั้นค่อนข้างโล่งและเงียบมาก
พวกเขาทั้งห้านั่งรอบโต๊ะไม้ทรงกลมสีดำและเริ่มแนะนำตัวซึ่งกันและกัน จากนั้นโรแลนด์พูดว่า “เกมนี้ต่างจากเกมอื่นๆที่พวกเราเคยเล่น ดังนั้นพวกเราไม่สามารถใช้ประสบการณ์ในอดีตมาเป็นตัวตัดสินได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามพวกเราก็สามารถลองใช้รูปแบบการจัดทีมแบบคลาสสิกดูก่อนก็ได้ เพราะยังไงก็ไม่มีใครสักคนในพวกเราที่เคยมีประสบการณ์ในการลงดันเจี้ยนในเกมนี้มาก่อน”
เขาหันไปมองเจ็ทและพูดว่า “นายอาจจะมีความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งก็จริง แต่อย่าพุ่งเข้าไปต่อสู้ในทันทีเมื่อพวกเราอยู่ในดันเจี้ยน แค่ตามพวกเราและคอยสังเกตุโดยรอบ พยายามเก็บความแข็งแกร่งของนายไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และคอยช่วยสนับสนุนพวกเราในสถานการณ์ที่สำคัญเท่านั้น”
เจ็ทพยักหน้า “ได้ ผมจะทำตามที่คุณพูด”
โรแลนด์หันไปมองฮอว์กและลิงค์ “พวกนายเป็นนักรบทั้งคู่ หน้าที่แท้งค์และการทำดาเมจคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกนาย แต่มันน่าจะดีกว่าหากพวกนายแยกกัน โดยให้คนหนึ่งอยู่แนวหน้า คนหนึ่งอยู่หลัง“
ฮอว์กพูดตอบรับว่า “เดี๋ยวฉันยืนแนวหน้าเอง พอดีฉันพึ่งเรียนสกิลโล่แบบพิเศษมาพอดีเลย”
ลิงค์หัวเราะและพูดว่า “ส่วนฉันเป็นนักดาบฉันยอด เดี๋ยวฉันจะอยู่แนวหลังให้เอง“
โรแลนด์มองไปที่เบทต้าและพูดว่า “ส่วนนายเป็นอาชีพผสม พี่จะไม่จำกัดตำแหน่งนาย ดังนั้นนายก็เคลื่อนไหวตามแต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นละกัน”
เบทต้าพยักหน้า
โรแลนด์มองไปรอบ ๆ กลุ่มและพูดว่า “ตอนนี้เรากำลังคุยกันในเชิงทฤษฎีอยู่ แต่สิ่งที่พวกเราต้องทำจริงๆนั้นก็มีเพียงแค่ต้องลองเข้าไปในดันเจี้ยนสักครั้ง ก่อนที่พวกเราจะได้รู้ว่าสิ่งที่พวกเราต้องทำจริงๆนั้นคืออะไรกันแน่ NPC ในเกมนี้นั้นโคตรฉลาด ดังนั้นฉันคิดว่าการเคลื่อนไหวและคอยสำรวจอย่างช้าๆแบบเกมอื่นนั้นไม่สามารถใช้ได้ในเกมนี้”
ทุกคนรู้สึกเห็นด้วยคำพูดกับโรแลนด์
เจ็ทพูดออกมาอย่างเท่ห์ๆว่า “คุณเป็นนักเวทย์ คุณน่าจะฉลาดมากที่สุดในหมู่พวกเราแล้ว ดังนั้นคุณน่าจะเป็นคนสั่งการไปก่อน”
ความหมายของเขาค่อนข้างชัดเจน โดยการให้โรแลนด์เป็นคนสั่งการคนแรกและหากโรแลนด์ออกคำสั่งได้ไม่ดี ก็ให้คนอื่นเป็นคนสั่งการแทน
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าหากคนแรกใช้การไม่ได้ จากนั้นก็ให้อีกคนมาแทนที่ มันเป็นเรื่องธรรมดามากภายในเกม และจริงๆแล้วโรแลนด์นั้นไม่ได้อยากออกคำสั่งกับคนอื่นนอกเหนือจากคนใน F6 นัก เพราะสมาชิกของ F6 ทุกคนนั้นต่างเชื่อใจกันและกันมากกว่า ถึงแม้ว่าหนึ่งในพวกเขานั้นจะทำอะไรพลาดไป คนอื่นๆก็จะเข้ามาปลอบและช่วยให้กำลังใจแทนที่จะโมโห
เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าคนนอกนั้นจะเป็นยังไง หากไม่สนิทกันใครกันจะสามารถยอมรับข้อผิดพลาดของคนอื่นได้
ในขณะที่พวกเขากำลังพูดกันอยู่ อาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟ
ขนมปังน้ำผึ้ง , เนื้อแกะต้มที่ส่งกลิ่นหอม , ผักสลัดสดๆ … และไวน์ผลไม้
มันไม่คุ้นชินกับลิ้นของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ทว่ามันก็ช่วยไม่ได้พวกเขาทำได้แค่ทนกินมัน
ในขณะเดียวกันภายในคฤหาสน์บาร์ดก็ตื่นขึ้นมา ภายใต้การดูแลของพวกสาวใช้ภายในปราสาท เขาเริ่มอาบน้ำ แต่งตัว และจากนั้นก็ลงไปยังโถงกลาง
มีหลายคนมานั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารขนาดยาวเรียบร้อยแล้ว พรรคพวกของพวกเขาล้วนแล้วแต่อยู่ที่นี่ครบหมด และแต่ละคนก็ดูค่อนข้างที่จะดูล้าๆ มันสามารถบอกได้เลยว่าพวกเขานั้นได้กิน ‘อาหาร’ เป็นจำนวนมากจากเมื่อคืนแน่ๆ
เมื่อขุนนางจัดงานเลี้ยงพวกเขาก็ต่างที่จะปราถนาสิ่งนั้นกัน
จอห์นนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะมีสตรีชั้นสูงและเด็กสาวนั่งข้างๆเขา
เขานั้นจำสองคนนี้ได้ดูเหมือนจะเป็นแม่และน้องสาวของจอห์น พวกเธอค่อนข้างดูดีเลยทีเดียว
ในงานเลี้ยงเมื่อคืนที่ผ่านมาทั้งสองคนไม่มาปรากฏตัว โดยทั่วไปแล้วในงานเลี้ยงที่วุ่นวายแบบนั้น สมาชิกที่เป็นผู้หญิงของครอบครัวเจ้าภาพงานเลี้ยงนั้นมักจะไม่ปรากฎตัวออกมา
หลังจากบาร์ดกล่าวอรุณสวัสดิ์กับทั้งสามคนแล้วเขาก็นั่งลงและกินอาหารเช้า
เมื่อเทียบกับอาหารเช้าของพวกโรแลนด์แล้วนั้น สไตล์ของอาหารก็ดูคล้ายๆกันทว่าต่างกันที่ทางนี้มีนมสดและเค้กที่หรูหรา
ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นแค่ของง่ายๆ ทว่าสิ่งที่คนสิบกว่าคนนั้นกินอยู่ในหนึ่งมื้อนั้นมีมูลค่าพอๆกันค่ากินอยู่ของสามัญชนนับร้อยเป็นเวลาสิบวัน สำหรับสามัญชนส่วนใหญ่พวกเขานั้นค่อนข้างพอใจกับสิ่งที่มีอยู่เพียงแค่เติมเต็มท้องที่หิวโหยด้วยขนมปังโง่ๆก็เพียงพอแล้ว
หลังอาหารเช้าบาร์ดก็บอกว่าเขากำลังจะไปเดินเล่นในเมืองดังนั้นเขาจึงออกจากปราสาทไปพร้อมกับพรรคพวกของเขาทันที
พวกเขานับสิบคนเดินเอ้อระเหยอยู่บนถนน และไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน พวกผู้คนในท้องถนนก็ต่างหลีกทางให้พวกเขาทั้งหมด พวกเขานั้นราวกับทรราชผู้ชั่วร้าย
หลังจากเดินไปได้สักพักพวกเขาต่างก็แยกย้ายกันไปหาความสำราญให้ตัวเอง
ในขณะเดียวกันที่บาร์ดและนักเวทย์ขุนนางหนุ่มเดินไปที่โรงเตี๊ยมเพื่อจองห้องสำหรับพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
“เมื่อคืนจอห์นเล่าสิ่งที่น่าสนใจให้ข้าฟัง”
บาร์ดบอกกับชายหนุ่มตรงข้ามถึงสิ่งที่เขาได้ยินเมื่อคืนก่อนแล้วพูดว่า “คุณคิดว่าสิ่งที่จอห์นพูดเป็นความจริงมากแค่ไหน?”
“มันเป็นความจริงทั้งหมดนั่นแหละ เจ้านั่นไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหกเราเลยแม้แต่น้อยเพราะถึงอย่างไรเรื่องพวกนี้ก็สามารถตรวจสอบได้ไม่ยาก” ชายหนุ่มแสยะยิ้มออกมา “ทว่าเจตนาของเขานั้นไม่บริสุทธิ์ ดูเหมือนเขาต้องการให้พวกเราปะทะกับโรแลนด์และบุตรทองคำคนอื่นๆ นี่ค่อนข้างน่าสนใจใช้ได้ ในเมืองหลวงนั้นกดดันมากกว่านี้นับสิบเท่า และพวกเราก็อาศัยอย่างหยิ่งยโสมาโดยตลอด เจ้านั่นคิดว่าพวกเรานั่นโง่ๆจริงๆงั้นหรือ?”
“แล้วคุณคิดว่าอย่างไรล่ะ?” บาร์ดเอนกายบนเก้าอี้จิบไวน์แล้วถามว่า “คุณจะจัดการกับโรแลนด์ยังไงงั้นเหรอ?”
“ปล่อยให้มันหยิ่งผยองต่อไปอีกสักหน่อย เพราะพวกเรานั้นเป็นบุตรของขุนนางตระกูลใหญ่ทั้งยังเป็นคนจากสำนักงานใหญ่อีกด้วย พวกเราไม่จำเป็นต้องลดตัวไปยุ่งกับมัน” ชายหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “ทว่าจำไว้ พวกเราจะสู้โดยไม่มีการสูญเสีย พวกเราสามารถมีความสัมพันธ์ที่เลวร้ายได้ ทว่าพวกเราไม่สามารถเป็นศัตรูกับสิ่งที่เป็นอมตะได้ ข้าสงสัยว่าทำไมจอห์นถึงพยายามสร้างหลุมพลางให้พวกเราขัดแย้งกับพวกบุตรทองคำ ข้าคิดว่าเจ้านั่นน่าจะได้อะไรสักอย่างแน่ๆ”
บาร์ดยิ้มเยาะออกมา “ข้าก็คิดแบบนั้นเช่นกัน”
ในตอนนั้นเอง กลุ่มปาร์ตี้ของโรแลนด์ก็เริ่มออกเดินทางกันแล้ว
เบทต้าแชร์ภารกิจของเขาให้กับคนอื่นๆจากนั้นพวกเขาทั้งห้าก็เดินไปตามทางของภารกิจและออกจากเมืองไป พวกเขาตรงไปทางเหนือของชนบท เดินผ่านภูเขาอยู่หลายลูก และจัดการกับอุปสรรคที่พบเจออยู่ระหว่างทาง และเข้าไปยังหุบเข้าซึ่งมีภูเขามากมายอยู่ล้อมรอบ ในที่สุดพวกเขาก็พบเข้ากับสุสาน
ทางเข้านั้นเต็มไปด้วยวัชพืชหนาแน่น
หากไม่ใช่เพราะระบบแจ้งเตือนพวกเขาคงไม่เชื่อว่าสถานที่แห่งนี้เป็นทางเข้า
ถึงอย่างนั้นฮอร์กและลิงค์ก็ใช้เวลาเกือบสิบนาทีในการกำจัดวัชพืชที่อยู่หน้าทางเข้าด้วยดาบยาวของพวกเขา
ทางที่มืดมิดที่ลึกเข้าไปนั้นในได้ปรากฎตัวอยู่ต่อหน้าพวกเขาทั้งห้าคนแล้ว
พวกเขามองหน้ากันก่อนจะเริ่มจัดเรียงแถวตามแผนที่วางไว้ ฮอร์กนั้นนำอยู่ข้างหน้าพร้อมโล่ในมือ เบทต้านั้นอยู่เป็นลำดับที่สอง ตามด้วยเจ็ทและโรแลนด์ที่อยู่ในลำดับที่สาม และสุดท้ายก็คือลิงค์
ทันทีที่พวกเขาทั้งห้าเข้าไปในถ้ำ พวกเขาก็หยุดเดินทันที
พวกเขาทั้งหมดได้รับการแจ้งเตือนจากระบบพร้อมกัน: ตรวจพบภารกิจประเภทดันเจี้ยน คุณต้องการปลดล็อคดันเจี้ยนหรือไม่?
พวกเขามองหน้ากันแล้วกดยืนยันทันที
หลังจากที่พวกเขายืนยันไปเรียบร้อยแล้วนั้น สภาพโดยรอบก็บิดเบี้ยวไปในทันที ดวงอาทิตย์ตกลงมา และพระจันทร์ก็ลอยขึ้นมา โดยมีหมู่ดาวส่องแสงอยู่โดยรอบ
กลางวันและกลางคืนสลับสับเปลี่ยนกันในพริบตา
“สถานการณ์แบบบังคับสภาพแวดล้อม?”
โรแลนด์พึมพำกับตัวเอง
ฮอว์กหยิบคบเพลิงออกมาจากกระเป๋ามิติของเขาและกำลังจะจุดไฟ แต่โรแลนด์นั้นรวดเร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว บอลแสงทั้งสี่ปรากฎขึ้นมาภายในอากาศทันทีและลอยรอบพวกเขาไว้ มันสว่างไสวไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ
“โคตรสะดวก” ฮอร์กเก็บคบเพลิงของเขาก่อนจะอุทานออกมาอย่างชื่นชมจากนั้นก็หันไปถามเจ็ทว่า “นักบวชทำแบบนั้นได้ไหม?”
“การส่องแสงนั้นเป็นเวทย์ระดับพื้นฐานที่สุด และไร้ซึ่งพลังโจมตี” เจ็ทยักไหล่ “คุณค่าเพียงเท่านี้ของมันทำให้มันถูกละเลยโดยสิ้นเชิง นักบวชนั้นมีช่องเวทย์ที่จำกัด ดังนั้นจึงมีเพียงแค่นักเวทย์ที่ซึ่งสามารถเรียนเวทย์ได้ไม่จำกัดถึงสามารถทำอะไรแบบนี้ได้
เบทต้าขัดจังหวะของพวกเขาทันที “ผมคิดว่าคงมีแค่ไม่กี่คนในหมู่นักเวทย์เท่านั้นแหละที่จะเรียนมัน พวกเขาไม่เหมือนพ่อมดหรือนักบวชอย่างพวกเรา ที่สามารถเรียนเวทย์ได้ด้วยการเลื่อนระดับ พวกเขานั้นจำเป็นต้องวิเคราะห์รูปแบบของจุดเวทย์ด้วยตัวเอง มันค่อนข้างเสียเวลาเลยทีเดียว อย่างกรณีของพี่โรแลนด์นั้นนับเป็นกรณีพิเศษ”
“ตอนนี้นั้นมีนักเวทย์น้อยลงและน้อยลงเรื่อยๆ” ฮอร์กถอนหายใจออกมา “นักเวทย์เกือบครึ่งในกิลด์ของฉันนั้นลบตัวละครของพวกเขาและเริ่มเล่นใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีอีกหลายคนยังพยายามอดทนอยู่ พวกเขาบอกว่าอาชีพนี้น่าเบื่อเกินไป ต้องคอยนั่งคำนวนข้อมูลและทำการทดลองอย่างต่อเนื่องในทุกๆวัน ฉันบอกได้เลยว่าผู้พัฒนาเกมน่าจะสร้างเงื่อนไขนี้ขึ้นมาเพื่อจำกัดจำนวนของผู้เล่นนักเวทย์แน่ๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โรแลนด์ก็รู้สึกผิดหัวง เขาส่งบอลแสงไปรอบๆถ้ำและพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “เราเข้าไปในดันเจี้ยนกันก่อนเถอะและค่อยพูดเรื่องอื่นกันทีหลัง”
ฮอร์กพยักหน้า จากนั้นก็หยิบดาบยาวและโล่ออกมาจากกระเป๋ามิติ และจากนั้นก็เดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง
ความเป็นอมตะนั้นเป็นไปไม่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริง ทว่าภายในโลกแห่งเกมนั้นมันเรียกว่าจะเป็นเรื่องราวพื้นฐานเลยทีเดียว
ไม่ต้องพูดถึงพวกเทพที่เป็นอมตะ ไม่ว่าจะเป็นเอลฟ์ที่มีอายุมากกว่าเก้าพันปีก็เพียงพอแล้วให้คนอิจฉา ภายในโลกนี้มีของวิเศษมากมายที่ช่วยยืดอายุไข ทว่ามันก็หาได้ยากมาก
อาทิเช่น ผลของต้นไม้โลกซึ่งจะออกดอกในทุกๆสามร้อยปีเท่านั้นหรือบางครั้งมันก็เพียงแค่ออกดอกและไม่ออกผล
มีข่าวลือว่าเผ่าพันธ์อื่นๆอย่าง มนุษย์ , ออร์ค , ถ้าหากพวกนั้นได้กินกลีบของดอกไม้โลกละก็ พวกเขาจะสามารถเพิ่มอายุขัยได้ราวๆ 10 ปีเลยทีเดียว หากกินดอกไม้เข้าไปสิบดอก พวกเขานั้นก็จะถือว่ามีอายุเทียบได้กับเอล์ฟเลยทีเดียว
ต้นไม้โลกนั้นเป็นต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความสูงมากกว่า 600 เมตรและมีเส้นผ่านศูนย์กลางของยอดไม้ประมาณ 1.3 กม. ทุกๆครั้งที่มันออกดอกมันจะมีดอกไม้อย่างน้อยหนึ่งหมื่นดอก
ตามจริงแล้วในทุกๆครั้งของการผลิบานของต้นไม้โลก จะมีผู้คนจำนวนมากสามารถเพิ่มอายุขัยได้ราวร้อยถึงพันปี
ทว่าในความเป็นจริงแล้วนั้นดอกไม้ของต้นไม้โลกไม่เคยถูกนำออกไปจากป่าเอลฟ์ และเอลฟ์นั้นก็ไม่ได้เก็บดอกของต้นไม้โลกเลย
พวกเขาเพียงแค่ปล่อยให้ดอกไม้เหล่านี้ตกลงไปบนพื้นและกลมกลืนไปกับผืนดิน
หากมีบุคคลภายนอกพยายามขโมยดอกไม้จากเอลฟ์…พวกเขาก็จะเป็นศัตรูตัวฉกาจของเอลฟ์ทั้งหมด
เนื่องจากเอลฟ์ถือกำเนิดจากต้นไม้โลกในสายตาของพวกเขาดอกไม้แต่ละดอกของต้นไม้โลกอาจกลายเป็นเครือญาติของพวกเขา แม้ว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น แต่ดอกไม้เหล่านั้นก็ยังคงถูกนับเป็นซากศพของพี่น้องของพวกเขา ดอกไม้นั้นมาจากต้นไม้ซึ่งเป็นแม่ หลังจากพวกมันล่วงหล่นหลอมรวมกับผืนดิน พวกเขานั้นก็จะกลับมาเกิดใหม่บนต้นไม้โลกอีกครั้ง เพียงแค่รอเวลากลับชาติมาเกิดเป็นดอกไม้อีกคราก็แค่นั้น
นอกจากนี้ยังมีเนื้อสัตว์อสูรที่ทรงพลังหรือแขนขาของปีศาจที่มีให้ผลคล้ายกันเมื่อกินเข้าไป
อย่างเช่นสมองหรือหัวใจของมังกร
…หรือแกนกลางเพลิงสีเลือดของนกฟินิกส์
ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้โลกหรือเหล่าสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังหรือปีศาจสิ่งเหล่านี้นั้นไม่ใช่สิ่งที่ขุนนางเหล่านี้พวกนี้สามารถได้รับมันมาได้เมื่อต้องการ ทว่าหากเป็นบุตรทองคำล่ะ…ไม่ใช่ว่าพวกเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากมายนักไม่ใช่เหรอ? มันยังมีโอกาสที่สามารถจัดต้องได้”
“ฟังดูน่าสนใจทีเดียว” บาร์ดยิ้มอย่างมีความสุข
จอห์นกล่าวว่า “โดยส่วนตัวข้าไม่เชื่อในข่าวลือพวกนี้นัก นอกจากนี้การกินมนุษย์เหมือนกันยังดูน่าขยะแขยงอีกด้วย เพราะถึงอย่างไรเราก็เป็นมนุษย์ไม่ใช้ออร์ค
บาร์ดยกยิ้มอย่างเห็นด้วย
จากนั้นทั้งสองก็เปลี่ยนไปคุยในเรื่องอื่น จอห์นยืนอยู่ที่ระเบียงและบอกกับบาร์ดว่าสตรีสาวคนไหนที่น่ารักและเข้าถึงง่าย รวมถึงว่าคนไหนค่อนข้างบริสุทธิ์
บาร์ดจดจำชื่อของแต่ละคนไว้ในใจ และจากนั้นเขาก็หาข้ออ้างเพื่อไปยังที่จัดงานเลี้ยง
จอห์นยังคงยืนอยู่ที่ระเบียงมองลงไปด้านล่างเมื่อเห็นบาร์ดมีปฏิสัมพันธ์กับสตรีชั้นสูงรอยยิ้มของเขายังคงอ่อนโยนและอบอุ่นเหมือนเช่นเคย
รอยยิ้มของเขานั้นราวกับดวงอาทิตย์ขนาดเล็ก
หลังจากงานเลี้ยงจบลงบาร์ดผู้ซึ่งอาบไปด้วยกลิ่นน้ำหอมก็กลับไปยังห้องรับรองแขกที่เจ้าภาพจัดไว้ให้กับเขา
บาร์ดหัวเราะเบา ๆ บนเตียง
เขารู้อยู่แล้วว่าที่จอห์นเล่าเรื่องราวมากมายให้เขาฟังไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากพยายามให้เขานั้นมีปัญหากับพวกบุตรทองคำ ต้องไปขัดแย้งกับกลุ่มคนที่เป็นอมตะ หมอนั่นคิดจริงๆงั้นเหรอว่าเขาโง่ขนาดนั้น?
แน่นอนเขาอยากลองลิ้มลองเนื้อของบุตรทองคำ ถ้าหากมันได้ผลจริงๆละก็ เขาจะส่งมันไปให้ยังท่านปู่ ทว่าปัญหาก็คือเขาจำเป็นต้องสู้กับบุตรทองคำพวกนั้นเพื่อเนื้องั้นเหรอ? เขาสามารถซื้อมันด้วยทองได้ไหม?
เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถซื้อเนื้อของโรแลนด์ได้อย่างแน่นอน โรแลนด์นั้นหยิ่งทระนงเกินไป และหากเขาเข้าไปใกล้โรแลนด์ เขาจะต้องถูกทำให้อับอายอย่างแน่นอน ทว่าเขายังสามารถลองกับบุตรทองคำที่เหลืออีกสามคนได้
จากนั้นเขาก็หลับตาลงเพื่อพักผ่อน
ในไม่ช้ายามเช้าก็มาถึงอีกครั้ง เพราะไม่จำเป็นต้องนอน ดังนั้นโรแลนด์จึงศึกษาเวทย์ความสามารถทางภาษาของเขาอยู่อย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้เขาอยู่ห่างอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นสำหรับการควบรวมผลของการฟังและการอ่าน
ทว่าเขาก็ยังคงติดอยู่ตรงส่วนนี้ เขาพบว่าเขานั้นขาดข้อมูลบางอย่างและหลังจากพยายามทดลองอยู่หลายครั้งมันก็ยังคงผิดพลาด เขาไม่สามารถหาวิธีแก้ปัญหาได้ ถ้าหากเขาลองใช้วิธีตัดออกที่ละช้อย เวลาที่เขาเสียไปกับการทดลองคงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ในเมื่อมันมีจุดเวทย์เหลืออยู่เยอะเกินไปและมันยังมีการผสานกันมากกว่าอีกหมื่นครั้ง
ตอนนี้โรแลนด์รู้สึกว่าตัวเองขาดความรู้และความเข้าใจในคณิตศาสตร์
เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ตัวเองไม่ได้เข้าเรียนปริญญาโทและสอบเข้าปริญญาเอก
แล้วถ้าหาก…ลองขอความช่วยเหลือจากพวกชาวเน็ตในเว็บบอร์ดดูล่ะ?
ชาวเน็ตคนที่สามารถบอกได้ว่าเขานั้นมีความสามารถพิเศษซ่อนอยู่นั้นค่อนข้างน่าประทับใจเลยทีเดียว ทันใดนั้นเองเขาก็ออกจากเกมและไปที่ฟอรั่มจากนั้นเขาก็ทัก @หมอนั่นไปเพื่อขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับการคำนวน
เนื่องจากวิเวียนไม่ได้อยู่ที่หอคอยเวทมนตร์ โรแลนด์จึงทำได้แค่ออกไปหาอาหารกินข้างนอกด้วยตัวเอง
เมื่อเขามาถึงทางเข้าหอคอยเวทมนตร์เขาก็เห็นฮอว์กลิงค์และชายคนหนึ่งในชุดเกราะโซ่เดินเข้ามา
ในตอนแรกนั้นโรแลนด์คิดว่าเขานั้นน่าจะเป็นนักรบ ทว่าเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังจิตที่แผ่ออกมาจากร่างของชายคนนั้น
นี่คือสัญลักษณ์ของผู้ใช้เวทย์
ยิ่งไปกว่านั้น ชายคนนี้นั้นร่างกายค่อนข้างตั้งตรง และถึงแม้ว่าในรูปลักษณ์ของเขาจะมีอายุเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น ทว่าการแสดงออกในดวงตาของเขานั้นค่อนข้างสุขุมเลยทีเดียว
ผู้เล่น?
เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้ เนื่องจากบรรยากาศขอผู้เล่นเมื่อเทียบกับ NPC นั้นค่อนข้างชัดเจนกว่ามา
เช่นเดียวกับคนจีนส่วนใหญ่พวกเขาสามารถแยกความแตกต่างระหว่างผู้คนในอาณาจักรสวรรค์ 1 กับผู้คนใน ฟูซาง2 ได้อย่างง่ายดาย
หมอนี่ก็จากปีกสีเงินงั้นเหรอ?
เมื่อโรแลนด์กำลังคิดอย่างนี้เขาก็ได้ยินฮอว์กพูดว่า “โรแลนด์หมอนี่เป็นนักบวชที่นายรับสมัครมาจากทางออนไลน์ พอดีหมอนี่หาตัวพวกเราเจอก่อน ดังนั้นพวกเราจึงพาหมอนี่มาหานาย”
นักบวช?
เดี๋ยวก่อนนี่คือนักบวช?
ชายคนนี้อยู่ในชุดเกราะหนักตั้งแต่หัวจรดเท้าถือโล่ทรงสี่เหลี่ยมที่ทำด้วยเหล็กบนหลังของเขาโดยมีคทาเหล็กขนาดเล็กห้อยอยู่ที่เอวของเขา กระทั่งคทาของเขายังมีตะปูถูกปักไว้และดูอันตรายเป็นอย่างมาก
คอของชายคนนี้และข้อมือนั้นไม่ได้ถูกป้องกันอยู่ภายในชุดเกราะ และมีรอยเส้นเลือดเห็นอย่างเด่นชัด
กล้ามเนื้อบริเวณนี้ค่อนข้างยากในการฝึก หากชายคนนี้สามารถฝึกกล้ามเนื้อเหล่านี้ให้มีความโดดเด่นได้ถึงขั้นนี้ เช่นนั้นกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ของร่างกายก็คงไม่เลวเช่นกัน
“เห็นได้ชัดว่าหมอนี่เป็นพวกอาชีพต่อสู้ระยะประชิดแต่นายยังพยายามบอกว่าเขาเป็นนักบวชงั้นเหรอ?”
โรแลนด์คิดว่านี่มันไม่น่าเชื่อถือแม้แต่น้อย ในความคิดของเขานักบวชควรจะคล้ายๆกับฟอลเคิล สวมชุดคลุมเวทย์และถือไม้เท้า
“ผมเป็นนักบวชจริงๆ” ชายที่อยู่ในชุดเกราะหนักนั้นพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ฉันเป็นนักบวชสายต่อสู้หรือแบทเทิลพรีส และคุณโรแลนด์ คุณไม่สามารถนำประสบการณ์ในเกมอื่นๆมาตัดสินเกมนี้ได้หรอกนะ ฉันอยู่ในโบสถ์แห่งชีวิตมาเป็นเวลากว่าสองเดือน ฉันสามารถบอกได้อย่างมั่นใจเลยว่าถ้าหากเกิดปัญหาขึ้นในโบสถ์ พวกเรานักบุญนั้นถือเป็นแนวหน้า ทั้งการต่อสู้ระยะประชิด การสนับสนุน และการรักษา พวกเรานั้นชำนาญในทุกสิ่ง นักบวชที่คุณหมายถึงนั้นเป็นนักบวชที่ปฎิบัติตามทฤษฎี พวกเขานั้นมีหน้าที่ในการยึดมั่นตามหลักคำสอน และเผยแพร่ความศรัทธา และเทศนาเหล่าสาวก พวกเขานั้นเกือบจะไม่เคยต่อสู้เลย ถ้าหากพวกเขาต้องมาเข้าร่วมการต่อสู่ละก็นั่นหมายความว่านั่นเป็นเวลาของการต่อสู้เป็นตายเพื่อนิกายเท่านั้น
เข้าใจละ…โรแลนด์พูดด้วยรอยยิ้ม “โทษที พอดีฉันอยู่ในหอคอยเวทย์และพัฒนาเวทย์อยู่เกือบตลอดเวลาและไม่ค่อยได้เห็นการต่อสู้ของคนอื่นนัก จึงไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากนัก”
“ไม่เป็นไร ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นมือใหม่ ยังมีอีกหลายเรื่องภายในเกมนี้ที่พวกเราต้องทำความเข้าใจ” ชายคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม “เรียกผมว่าเจ็ทก็ได้”
“เจ็ท…คุณทานอาหารเช้าหรือยัง?” โรแลนด์ถาม
เจทท์ส่ายหัว
ฮอว์กถามด้วยท่าทางตื่นเต้น “นายจะเลี้ยงพวกเราใช่ไหม พ่อคนรวย!”
โรแลนด์พยักหน้า “อ่าหะ งั้นไปที่เกรย์แซนด์กันเถอะ ที่นั่นค่อนข้างมีชีวิตชีวาเลยทีเดียว เดี๋ยวฉันจะได้เรียกหัวหน้าภารกิจด้วย”
เจ็ทมีสีหน้าสับสนขึ้นมา “โรแลนด์คุณไม่ใช้หัวหน้าภารกิจงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่ฉันหรอกหัวหน้าภารกิจในครั้งนี้คือเพื่อนร่วมกิลด์ฉันเอง ฉันทิ้งข้อความให้หมอนั่นไว้ในระบบเรียบร้อยแล้ว”
ทันใดนั้นดวงตาของเจ็ทก็เบิกโพล่งขึ้น “ระบบกิลด์…กิลด์ F6?”
天朝 Tiāncháo = อาณาจักรสวรรค์ เป็นชื่อเรียกเก่าของเมืองจีนครับ
扶桑 Fúsāng = ฟูซาง มันเป็นชื่อที่นิยมใช้ในวรรณกรรมโบราณของจีน มักจะอ้างอิงถึงต้นไม้ในตำนานหรือแดนลึกลับ แต่ปัจจุบันมันใช้อ้างอิงในการกล่าวถึงญี่ปุ่นในบทกวีต่างๆ
โรแลนด์ออกจากสโมสรเหมียวเต๋าไปหลังจากฝึกตลอดช่วงเช้า
ก่อนที่เขาจะขี่รถจักรยานสาธารณะกลับไป ฉีเฉาชู่ยืนอยู่ด้านหน้าจักรยานของเขา เขานำบุหรี่ออกมาจากซอง จากนั้นก็ดึงบุหรี่ออกมา ก่อนจะเริ่มจุดมัน จากนั้นเขาก็ถามว่า “นายจะกลับมาตอนบ่ายไหม? การฝึกราวกับการพายเรือทวนน้ำนั้น หากนายไม่ฝึกฝนต่อเนื่องมันจะทำให้นายถดถอย ถ้านายมีเวลาว่าง อยากให้นายกลับมาอีกทีในตอนบ่าย นายอยากฝึกเร็วๆไม่ใช้เหรอ?”
โรแลนด์ส่ายหัว “โทษที ตอนบ่ายฉันมีธุระ”
จากนั้นโรแลนด์ก็ขี่จักรยานออกไป แน่นอนเขามีธุระอื่นในช่วงบ่าย ตอนนี้นั้นมีกลยุทธ์ต่างๆมากขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆถูกเปิดเผยออกมาในเว็บบอร์ด อาทิเช่น เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ของเมือง เงื่อนไขสภาพแวดล้อม และสภาพสังคม และความลับขององค์กรบางอย่างของพวก NPC ข้อมูลพวกนี้มีค่ามากพอที่จะทำให้โรแลนด์สนใจ บางทีเขาอาจจะได้ใช้ข้อมูลพวกนี้ในอนาคต และนอกจากนี้เขายังจำเป็นต้องเข้าใจเกี่ยวกับเทคนิคการต่อสู้และประสบการณ์ของพวกอาชีพอื่นๆ
แม้ว่าโรแลนด์จะรู้สึกมาตลอดว่าเกมนี้นั้นไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็น ผู้เล่นไม่สามารถตายได้ และการกระทำบางครั้งของพวกเขาก็ไม่ได้รอบคอบนัก ดังนั้นมันจะกลายเป็นความขัดแย้งในอนาคตอย่างแน่นอน
ถ้าเขาไม่เข้าใจในอาชีพอื่นๆ เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น เขาจะถูกโจมตีอย่างรุนแรงมากแน่ๆ
หลังจากโรแลนด์ขี่จักรยานออกไปแล้ว ฉีเฉาชู่หันกลับไปและตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าน้องสาวของเขาก็กำลังลากจักรยานออกมาเช่นเดียวกัน
“เธอทำอะไรน่ะ?” ฉีเฉาชู่ถามอย่างสงสัย
ซีฉาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไปซื้อของที่ร้านขายของชำ”
“ไม่ใช่ว่าเธอไปซื้อมาแล้วในตอนเช้าเหรอ?” ฉีเฉาชู่พบว่ามันแปลกๆ
“จู่ๆฉันจะอยากได้อะไรไม่ได้เลยรึไง?” ซีฉากล่าวอย่างไม่พอใจจากนั้นเธอก็ขี่จักรยานออกไป
ฉีเฉาชู่ตะโกนเรียกเธอจากด้านหลังว่า “แล้วเธอจะกลับมาทำอาหารกลางวันตอนกี่โมง?”
ทว่าซีฉาก็ไม่ได้สนใจเขา
ฉีเฉาขู่นั่งลงบนพื้นปูนซีเมนต์ที่สะอาดเรียบร้อย จากนั้นวัยรุ่นทั้งสี่คนเดินเข้ามาหาเขาพร้อมถามอย่างกังวลว่า “พี่ชาย เธอจะไม่เตรียมอาหารกลางวันให้พวกเราเหรอ?”
“ไปกินข้าวที่บ้านตัวเองซะนะวันนี้”
ฉีเฉาชู่พูดออกมาอย่างขมขื่น จากนั้นเขาก็สูบบุหรี่เข้าไปอีกครั้งก่อนจะพ่นควันออกมา
โอ้…แม้ว่าเด็กทั้งสี่จะลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่พวกเขาก็ยอมจากไปในที่สุด
ฉีเฉาชู่รออยู่จนเกือบชั่วโมงและเมื่อเห็นว่าน้องสาวของเขายังคงไม่กลับมา เมื่อเขาคิดว่าจะไปสั่งอาหาร เขาก็มองเห็นน้องสาวเขากลับมา ภายในตะกร้าของจักรยานนั้นมีผักอยู่สองชนิดและหนังสืออยู่
ฉีเฉาชู่เดินไปทักเธอและตะโกนออกมาว่า “น้องสาว ในที่สุดเธอก็กลับมาสักที ฉันคิดว่าเธอจะไม่สนใจเสียแล้วว่าฉันจะเป็นหรือตาย”
ในขณะที่เขากำลังพูดเขามองเข้าไปในตะกร้าและพบว่ามีเขียนบนหน้าปกหนังสือว่า “อาหารเช้าชั้นเลิศที่เต็มไปด้วยความรักที่จะทำให้คนรักของคุณเต็มไปด้วยความสุข”
เมื่อฉีเฉาชู่เห็นชื่อปกของหนังสือนั้น เขาก็รู้สึกสับสนทันที…น้องสาวของเขานั้นช่างไร้เดียงสาและตรงไปตรงมา เธอเลือกที่จะจีบเจ้าหมูอ้วนเชี่ยนั่นด้วยตัวของเธอเอง เขารู้สึกอกหักอย่างแท้จริง
เมื่อซีฉาเห็นการจ้องมองของพี่ชายของเธอเธอก็หน้าแดงและจ้องเขากลับไปอย่างดุร้าย
ฉีเฉาชู่แสร้งทำเป็นว่าเขาไม่เห็นอะไรเลย
หลังจากโรแลนด์กลับบ้านเขาก็เริ่มกินอาหารกลางวันและงีบหลับ จากนั้นในตอนบ่ายจากนั้นเขาก็เริ่มท่องเว็บบอร์ดตามปกติ
เขาเปิดดูเว็บบอร์ดไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงเวลาเข้าเกม
ภายในหอคอยเวทมนตร์หลังจากที่เขาเริ่มศึกษาเวทย์ที่พัฒนาของความสามารถทางภาษาเป็นเวลากว่าสองชั่วโมง เขาก็มึนหัวเล็กน้อยก่อนที่จะยืนขึ้น
ภายนอนหน้าต่างในตอนนี้นั้น พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองนั้นมืดเรียบร้อยแล้ว มีเพียงแค่ตรงบริเวณปราสาทนั้นที่ยังคงสว่างไสว
ดูเหมือนจะมีงานเลี้ยงอยู่ที่นั่น
“บางทีคงเป็นพวกคนจากสำนักงานใหญ่ที่ไปยังคฤหาสน์ของนายกเพื่อพอพักฟรี” โรแลนด์พึมพัมอย่างครุ่นคิด
แน่นอนว่าโรแลนด์นั้นถูก จอห์นนั้นเป็นคนที่จัดงานเลี้ยงที่ปราสาทในตอนนี้ จุดประสงค์ก็เพื่อต้อนรับบาร์ดและพรรคพวก
เหล่าขุนนางและนักเวทย์ต่างเป็นตัวตนที่ได้รับการยกย่องจากในทุกๆที…ยกเว้นก็เพียงแต่จากผู้เล่น
งานเลี้ยงที่ปราสาทเป็นไปอย่างสนุกสนาน , รื่นรมย์ และฟุ่มเฟือย แก้วนับไม่ถ้วนล้วนแล้วแต่มีค่ามากกว่าพวกจัณฑาลนับสิบเท่า มันถูกใส่ไว้ด้วยไวน์สีแดงและเหลือง เหล่าขุนนางต่างจิบมันด้วยท่าทางที่สง่างาม จากนั้นก็เริ่มคุยโม้โอ้อวดใส่กันและกัน
ในขณะเดียวกันที่ระเบียงชั้นสองจอห์นและบาร์ดกำลังมองเห็นกลุ่มคนที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยงการแสดงออกของพวกเขาค่อนข้างจะดูน่าเกรงขาม
จอห์นจิบไวน์ผลไม้และพูดว่า “คนพวกนี้มีตัวตนเป็นขุนนางทว่ากลับไม่มีจิตวิญญาณของการเป็นขุนนางเลยแม้แต่น้อย ช่างน่าเบื่อเสียจริง”
“อะไรคือจิตวิญญาณของขุนนางกัน?” บาร์ดหัวเราะออกมา
“เหมือนคุณไงมิสเตอร์บาร์ด” จอห์นกล่าวออกมา “ด้วยสถานะของทั้งการเป็นนักเวทย์และขุนนางมีเพียงคนที่มีจิตวิญญาณเช่นนี้ควรจะถูกเรียกว่าขุนนาง ในขณะที่พวกนั้นกลับมีเพียงแค่เปลือกนอก มีจิตวิญญาณที่อ่อนแอ และเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ไม่ใช่ตัวของตัวเอง เลวร้ายเสียยิ่งกว่าสามัญชนเสียอีก”
บาร์ดแกว่งไวน์ในแก้วอย่างเบาๆ “มิสเตอร์จอห์น มาตราฐานของคุณนั้นแน่นหนาเกินไป ข้าคิดว่าพวกนั้นค่อนข้างไม่เลวเลยทีเดียว”
“ถ้าเป็นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ข้าเองก็สามารถยอมรับในความไร้ความสามารถของพวกนั้นได้เช่นกัน” จอห์นถอนหายใจออกมา “ทว่าหลังจากข้าได้เห็นคนที่มีพรสวรรค์จริงๆแล้วนั้น ข้าก็พบว่าคนพวกนี้ช่างไร้ประโยชน์ พวกเขานั้นไม่สามารถปกป้องเมืองหรือเป็นกำลังให้ประเทศได้เสียด้วยซ้ำ และตอนนี้พวกนั้นก็ไม่ยอมกระทั่งจ่ายภาษี”
บาร์ดหัวเราะ มีขุนนางไม่มากนักที่ยอมจ่ายภาษี นี่เป็นเรื่องปกติเลยทีเดียว
จากนั้นเขาก็ถามอย่างสงสัยว่า “แล้วอะไรทำให้ความคิดของคุณเปลี่ยนไปกัน?”
ความลังเล ดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องการจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่าหลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็พูดออกมาอย่างช้าๆว่า “ไม่นานมานี้มีคนสองคนมายังเมืองของพวกเขา หลังจากการสอบสวนเราก็พบว่าพวกนั้นเป็นบุตรทองคำ”
“เดี๋ยวนะบุตรทองคำคืออะไรกัน?” บาร์ดถามด้วยความประหลาดใจ
ดวงตาเบิกกว้างจอห์นจ้องมาที่เขา “คุณไม่รู้แม้กระทั่งว่าบุตรทองคำคืออะไรอย่างงั้นเหรอ?”
บาร์ดส่ายหัวแล้วยิ้ม “มิสเตอร์จอห์นคุณช่วยบอกข้าที่ได้ไหมว่าบุตรทองคำคืออะไร?”
“บุตรทองคำนั้นเป็นมนุษย์ที่เป็นอมตะที่มาจากดาวดวงอื่น” จอห์นหัวเราะออกมาและกล่าวว่า “พวกเขาส่วนมากนั้นมักจะเป็นพวกรักความยุติธรรม…”
บาร์ดประหลาดใจมาก “คุณพูดอะไรกัน? อมตะงั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้ นั่นน่าจะเป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้ยืนยันความถูกต้องสินะ“
จอห์นมองไปที่บาร์ดด้วยสายตาแปลกๆ “เป็นไปไม่ได้ยังไงกัน! ข้าเห็นด้วยตาตัวเองแม้ว่าทั้งสองคนจะถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยร่างกายของพวกเขาก็สามารถปรากฏขึ้นอีกครั้งจากที่โบสถ์แห่งชีวิต ข้าคิดว่ามันค่อนข้างแปลก จริงๆแล้วเมืองหลวงน่าจะรู้เรื่องราวและข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้เร็วกว่า ทำไมพวกคุณถึงไม่รู้เกี่ยวกับพวกบุตรทองคำกันล่ะ?”
บาร์ดยังแอบรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องไร้สาระ ทว่าจอห์นก็ดูเหมือนจะไม่ได้โกหกเขาและเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกอีกด้วย
“มิสเตอร์จอร์น คุณช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับบุตรทองคำให้ข้างฟังทีได้ไหม?”
หลังจากผ่านไปราวๆครึ่งชั่วโมง จอห์นก็เล่าจบ บาร์ดก็เงียบไปเป็นระยะเวลาหนึ่งและจากนั้นเขาก็กลืนไวน์ผลไม้เข้าไปอย่างกระทันหัน ท่าทางของเขาไม่ได้ดูสง่างามอีกต่อไป แต่กลับดูวิตกกังวลเป็นอย่างมาก
“หนึ่งในบุตรทองคำมีคนที่ชื่อว่าโรแลนด์ใช่ไหม?”
จอห์นพยักหน้า
บาร์ดตะลึง เขาค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้และดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เมื่อจอห์นเห็นท่าทางของบาร์ดเขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ข้ายังเคยได้ยินข่าวลือมาว่ามีขุนนางบางคนแอบซ่อนศพของเหล่าบุตรทองคำเมื่อพวกเขาตาย ตามข่าวลือบอกว่าบางคนพยายามจะลิ้มรสพวกเขา ดูเหมือนว่ามันจะให้ผลบางอย่างที่วิเศษ”
ดวงตาของบาร์ดแข็งค้าง “วิเศษอย่างไร?”
“พวกเขาอายุน้อยลงหลายปี!”
ในกระทู้นั้น โรแลนด์ระบุอย่างชัดเจนว่าตัวเองนั้นอยู่เมืองไหน และตั้งเวลาไว้ว่าให้ดีที่สุดควรมาถึงได้ภายในสองวัน และระบุอย่างชัดเจนว่าต้องการผู้รักษาที่อย่างน้อยสามารถใช้รักษาระดับล่างและล้างพิษได้ แน่นอนว่ายิ่งมีสกิลสนับสนุนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ใครมาก่อนถือว่าได้สิทธิ์ก่อน
และเมื่อเขาโพสต์กระทู้ไปนั้น ภายในเวลาน้อยกว่านาทีมันก็กลายเป็นกระทู้ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
โรแลนด์พยายามกดรีเฟรชและพบว่ามีการตอบกลับจำนวนมากปรากฎขึ้น
“เชี่ยเอ้ย ฉันบอกได้แค่ว่านักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดโรแลนด์ได้ทำการพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งแล้ว! สำหรับการพบดันเจี้ยนนั้นเท่าที่ฉันรู้ เขาน่าจะเป็นผู้เล่นคนแรกที่สามารถปลดล็อคดันเจี้ยนภายในเกมได้”
“บางทีอาจจะไม่ได้ถูกเจอโดยเขาก็ได้ ควรจะบอกว่าเขาก็แค่คนที่มารับสมัครมากกว่า เพราะถึงยังไงก็ตามเขาก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงในบอร์ดแห่งนี้ มันจะง่ายกว่าถ้าให้เขาเป็นคนหาสมาชิก”
“ไม่มีใครสงสัยเลยเหรอว่าอีกสามคนในปาร์ตี้ของเขานั้นเป็นใคร?”
“ฉันผิวขาวและสวยมาก ชอบใส่ชุดโกธิคโลลิต้า และสามารถเรียกอาวุธขนาดใหญ่ออกมาได้ โปรดรับฉันเป็นเมียน้อยของคุณด้วย”
“ข้างบนนั่น ทำไมถึงเป็นพยายามเบี่ยงเข้าเรื่องอย่างว่าอีกแล้วล่ะ”
“เรื่องอย่างว่าอะไรกัน ฉันไม่รู้เรื่องนะ! (ยิ้มเยาะ)”
“โรแลนด์ถ้าหากดันเจี้ยนนั่นดรอปอุปกรณ์สายกายภาพดีๆละก็ ฉันประธานคนนี้จะเป็นคนรับซื้อมันไว้เอง นายบอกราคามาได้เลย”
“เชี่ย ขอทำความเคารพท่านประธาน”
“เชี่ย ขอทำความเคารพท่านประธาน”
“+1”
…
…
ทันใดนั้นมันก็มีเกือบๆสามร้อยคอมเม้นต์ที่ก็อปและโพสต์ตามกันมาเรื่อยๆ โรแลนด์คิดว่านี่น่าจะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ทว่าในท้ายที่สุดก็มีใครบางคน พยายามหยุดกระบวนการโพสถ์เถื่อนของพวกเขา
“โรแลนด์ถ้าหากมีอุปกรณ์เวทย์ของนักเวทย์แสนสวยละก็ ฉันจะขอรับซื้อมันไว้เอง นายเองสามารถตั้งราคาได้ตามใจชอบเช่นกัน ถ้าหากนายต้องการฉันจะส่งโปสเตอร์พร้อมลายเซ็นต์ของฉันพร้อมกับสิทธิพิเศษไปให้”
โพสต์นี้นั้นเป็นของฟานลิ่วยี่ที่มาพร้อมกับชื่อบัญชีที่เป็นสีทอง
ถึงแม้ว่าประธานฮวงจะดังมากก็ตามที ทว่าฟานลิ่วยี่นั้นก็เป็นที่รู้จักมากกว่าทั้งเธอยังสวยอีกด้วย
ผู้หญิงสวยนั้นต่างมีสิทธิพิเศษของตัวเอง
หลังจากคอมเม้นต์นี้ถูกโพสต์ลงมา ความนิยมของกระทู้ก็พุ่งสูงขึ้นจนแทบจะระเบิดออก
อย่างแรกคือมีกลุ่มผู้เล่นจำนวนมากที่ต้องการลายเซ็นต์ และบางคนก็บอกไปว่าตัวเองชื่นชมคุณหญิงฟานลิ่วยี่ขนาดไหน ทว่าเพราะอะไรไม่รู้การหลังจากนั้นล้วนแล้วแต่เหมือนกันทั้งหมด
“ข้าอยากเข้าร่วมกองทหารม้าอย่างแท้จริง”
“ข้าอยากเข้าร่วมกองทหารม้าอย่างแท้จริง”
จากนั้นภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที ก็มีคอมเม้นต์กว่าหมื่นครั้งแล้วในกระทู้นี้
ยิ่งไปกว่านั้นการคอมเม้นต์ซ้ำๆก็ยังคงดำเนินต่อไป
คนดังทั้งสองนี้รู้วิธีที่จะวิธีที่จะดึงดูดความสนใจจากโพสต์ได้ดีจริงๆ โรแลนด์เดาะลิ้วให้กับสิ่งนี้ ถ้าหากว่ามีใครสักคนได้เห็นการตอบกลับจากพวกคนดังจากในกระทู้พวกเขาละก็ บางทีพวกเขาอาจจะขึ้นสวรรค์ชั้นเก้าไปแล้วก็ได้
ทว่ากับโรแลนด์นั้นค่อนข้างใจเย็น เขานั้นไม่ได้ติดตามพวกดาราหรือคนจังและไม่ได้รู้สึกชื่นชอบวงการบันเทิงหรืออะไรเป็นพิเศษ จากมุมมองของเขา คนดังสองคนนั้นก็แค่มาเกาะกระแสเฉยๆ หากพวกเขาต้องการรับซื้ออุปกรณ์จริงๆละก็ พวกเขาคงเลือกจะทักข้อความส่วนตัวมาหาเขามากกว่าจะมาโพสต์ตรงๆแบบนี้
แน่นอนว่านี่ก็ไม่ได้เสียประโยชน์อะไรนัก อย่างน้อยมันก็ช่วยให้คนเข้ามากระทู้ของเขามากขึ้น
จากนั้นเขาก็เปิดไปที่ระบบเบื้องหลังของกระทู้และตามที่คาดไว้เขาพบเข้ากับการแจ้งเตือนจากระบบจำนวนมาก
อย่างแรกที่เขามองไปยังการแจ้งเตือนจากระบบคือการแจ้งเตือนทิป ในกระทู้เปิดเผยความสามารถทางภาษานั้นเขาได้ทิปจากกระทู้นั้นก็เกินหมื่นหยวนมาเล็กน้อยแล้ว
มีคนประมาณทั้งหมดสองพันคนที่มอบทิปให้เขา…นั่นหมายความว่าค่าเฉลี่ยคือ 5 หยวนต่อคน
ถึงแม้ว่าเงินที่ได้จากทิปนั้นจะค่อนข้างเยอะ ทว่าจำนวนคนทีบริจาคให้เขานั้นก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
นั่นหมายความว่าจำนวนของนักเวทย์นั้นกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง โรแลนด์จำได้ว่าเมื่อเริ่มแรกนั้นมีคนเกือบหมื่นคนมอบทิปให้กับเขา ถึงแม้ว่าค่าเฉลี่ยของทิปต่อคนนั้จะประมาณแค่ 1.5 หยวนเท่านั้น
ปัญหาหลักๆของมันก็คงเพราะเวทย์นั้นเรียนรู้ยากเกินไป ถึงแม้ว่าโรแลนด์ผู้ซึ่งมีความสามารถลับ เขายังคงต้องอยู่ภายในหอคอยเวทย์เพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับเวทย์ที่พัฒนาแล้วเลย เขาไม่มีเวลาที่จะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกด้วยซ้ำ
สำหรับพวกผู้เล่นที่ไม่มีความสามารถลับและไม่ได้เรียนเกี่ยวกับคณิตชั้นสูงมาโดยตรง บางทีพวกเขาอาจจะเรียนรู้ได้ช้ากว่าความเร็วครึ่งหนึ่งในการเรียนรู้ของโรแลนด์ด้วยซ้ำ
เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะรู้สึกท้อ
ในความเป็นจริงนั้น ยิ่งเป็นอาชีพที่น่าหวาดกลัวมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งมีเงื่อนไขเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ถ้าหากเป็นคนอื่นๆละก็ พวกเขาก็หวังว่าพวกเขานั้นจะเป็นนักเวทย์เพียงคนเดียวในโลกนี้
ทว่าโรแลนด์นั้นรู้ดีว่านักเวทย์เป็นอาชีพที่ต้องใช้เทคนิคระดับสูง และต้องการผู้คนจำนวนมากเพื่อพัฒนาและยกระดับไปให้ไกลขึ้น ด้วยการที่มีคนมาก มันก็จะยิ่งมีเวทย์ที่ได้รับการค้นคว้าเพิ่มมากขึ้น และด้วยการเปิดเผยข้อมูลและการทดลองของทุกๆคนนั้นจะยิ่งช่วยผลักดันให้นักเวทย์พัฒนาไปได้เร็วมากยิ่งขึ้น
ในกระทู้ของพวกนักรบ มีการแนะนำกลยุทธ์ที่หลากหลายและประเภททั้งหมดของนักรบ ทั้งสายความเร็ว สายเสน่ห์ สายสมดุล และสายความฉลาดในการเล่นกายภาพ และอื่นๆ
ผลลัพท์พวกนี้ล้วนมาจากการทดลองจัดเรียงสถานะในรูปแบบต่างๆ และยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้มีแม้กระทั้งกลุ่มเรียนรู้เทคนิคดาบ
ในปัจจุบันนั้นนอกจากท่าดาบกองทัพแล้วนั้น เกี่ยวกับการเรียนรู้ในขั้นเริ่มต้นและ NPC ที่เป็นผู้ฝึกสอนเทคนิคดาบกองทัพระดับสูงต่างก็เปิดเผยออกมาแล้ว หลายคนนั้นต่างเริ่มที่จะเรียนรู้พวกมันได้แล้ว
มีแม้กระทั่งวิชาดาบที่แข็งแกร่งจากโลกจริงอย่าง เพลงดาบมังกรทยานอู๋ต๋าง , เพลงดาบเคลื่อนภูเขาไท่ผ่าผืนทราย และอื่นๆ
ยิ่งไปกว่านั้นอาวุธประเภทต่างๆนั้นก็ยังต่างกันอีกด้วย และยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้จะมีเทคนิคแบบเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้ของแต่ละคนนั้นหลากหลายเป็นอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพวกอาชีพรองของพวกนักรบอื่นๆอีก อาทิเช่น นักรบโล่ นักดาบเวทย์ ผู้บัญชาการสนามรบ หรือ เบอร์เซิร์กเกอร์…นี่เป็นอาชีพที่ถูกลิสต์ไว้ทั้งหมด จริงๆแล้วมันยังมีอีกกว่าหลายสิบชื่อ
สุดท้าย พวกเขาทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่มีพรสวรรค์พิเศษที่แตกต่างกัน…พรสวรรค์พิเศษที่แต่ละคนเลือกนั้นล้วนแล้วแต่แตกต่างกันทั้งหมด ผลลัพท์ก็คือวิธีการสู้ทีแตกต่างกันออกไป ในอาชีพเดียวกัน เพลงดาบแบบเดียวกัน หรือแม้กระทั่งอาวุธแบบเดียวกันก็ล้วนแล้วแต่ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไป
นี่มันราวกับดอกไม้นับร้อยที่ผลิบานเต็มไปหมด
พวกนักรบส่วนใหญ่นั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ตรงไปตรงมา ไม่ว่าพวกเขาค้นพบบางสิ่งที่น่าสนุกหรือแม้แต่เปิดเผยบางสิ่งออกมาได้ พวกเขาก็จะพิมพ์มันลงกระทู้อย่างกระตือรือร้นและรอจนกว่าผู้เล่นคนอื่นๆจะชมหรือยกยอพวกเขา ถ้าหากเขานั้นทำผิดหรือโดนเยาะเย้ย อย่างมากพวกเขาก็ทำเพียงแค่หุบปากของตัวเองลง และลืมเกี่ยวกับมัน หลังจากนั้นก็เล่นเกมอย่างกระตือรือร้นอีกครั้ง และไปล่าเหล่าสัตว์ประหลาดตัวน้อย
เมื่อนักรบนั้นหลากหลายเป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงมีประชากรมากที่สุดและเกือบจะเป็น 50% ของผู้เล่นทั้งหมด
ในขณะเดียวกันในบอร์ดของนักเวทย์นั้นมีเพียงแค่คนหรือสองคนที่เขียนเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาค้นพบและได้ทดลองมา
ในบรรดากระทู้ที่ปักหมุดทั้งหมดในเว็บบอร์ด กว่าครึ่งนั้นเป็นผลงานของโรแลนด์
ไม่ว่าใครก็คงสามารถจินตนาการได้ว่าประชากรของนักเวทย์นั้นลดลงมากเพียงใด
และที่น่าเศร้าไปมากกว่านั้นก็คือ ภายในกลุ่มของนักรบนั้น มีคนกลุ่มเล็กๆที่กลายเป็นชนชั้นยอดเลเวลห้าซึ่งสามารถเลือกอาชีพรองได้เรียบร้อยแล้ว
ในกลุ่มของพ่อมดนั้นก็มีบางคนที่ได้รับอาชีพรองเรียบร้อยแล้ว
ส่วนในด้านของนักเวทย์โรแลนด์คาดว่าตัวเขาน่าจะเป็นผู้เล่นที่มีเลเวลมากที่สุดคือเลเวลสี่ และผู้เล่นนักเวทย์ส่วนใหญ่นั้นยังคงเป็นเลเวลสองอยู่เท่านั้น
ภายในห้องสนทนาของนักเวทย์นั้นเขามองเห็นโพสต์ตัดท้ออยู่มากมาย เป็นเรื่องน่าเศร้ามากที่นักเวทย์นั้นไม่สามารถเล่นได้อย่างสบายๆสักคน
นักรบนั้นสามารถท่องเที่ยวไปได้ในทุกๆที่ ฆ่ามอนสเตอร์ โอบกอดผู้หญิง ดื่มไวน์ และมุ่งหน้าเข้าสู่ชีวิตที่หรูหรา และสามารถเพิ่มเลเวลได้ด้วยการทำตัวไร้สาระไปวันๆเท่านั้น
ในขณะที่นักเวทย์นั้นต้องมานั่งคำนวนและพัฒนารูปแบบเวทย์ในทุกๆวัน ต้องขังตัวเองอยู่ในที่แคบๆโดยไม่ได้เห็นแสงตะวัน
ทั้งสภาพอารมณ์และภาพลักษณ์ของพวกเขานั้นหม่นหมองลงเรื่อยๆทุกวัน
นักเวทย์หลายคนต่างพูดว่าพวกเขาไม่สามารถเรียนเวทย์ได้แม้จะใช้เวลาไปหลายวันแล้วก็ตาม พวกเขานั้นจึงเลือกที่จะลบบัญชีและย้ายไปเล่นอาชีพอื่น
โรแลนด์เองก็รู้สึกหมดกำลังใจเล็กน้อยเมื่อได้อ่านสิ่งนี้ เขาปิดคอมพิวเตอร์ก่อนจะขี่รถจักรยานสาธารณะไปยังสโมสรเหมียวเต๋าที่อยู่ในชนบท
อาหารเช้านั้นถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นเขามาถึง ซีฉาก็ได้ตักใส่ชามให้เขา
ถึงแม้ว่าหลังจากได้กินก๋วยเตี๋ยวร้อนๆพร้อมกับซุปสมุนไพรที่มีรสชาติเยี่ยม อารมณ์ของโรแลนด์ก็ไม่ได้ดีขึ้นนัก
ซีฉาซึ่งอยู่ด้านข้างเขาแอบมองมาทางเขาจากนั้นก็วางชามลงพร้อมกับตะเกียบจากนั้นเธอก็เดินออกไปและกลับมาพร้อมกับกล้วยหวีหนึ่ง เธอแบ่งให้แต่ละคนคนละลูกและพูดว่า “ก๋วยเตี๋ยวที่เป็นอาหารเช้าอย่างเดียวคงไม่พอ ควรเพิ่มเติมวิตามินเข้าไปด้วย”
โรแลนด์กินกล้วยเข้าไป อารมณ์ของเขาเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย
อ่า…กล้วยผลไม้แห่งความสุข ด้วยสารอาหารบางอย่างที่อยู่ข้างในส่งผลให้คนมีความสุขขึ้นได้
หลังจากโยนเปลือกกล้วยทิ้งไป โรแลนด์ก็ยืนขึ้นพร้อมตรงไปที่โรงเก็บของเพื่อนำดาบเหมียวเต๋าไม้ออกมา จากนั้นเขาก็ไปยังสนามฝึกเพื่อหาฉีเฉาชู่
“นายแค่สอนเทคนิคดาบให้ฉันก็พอ” โรแลนด์พูดอย่างจริงจัง “ฉันอยากจะเรียนให้เร็วยิ่งขึ้น”
ซีฉาซางถือถังน้ำอยู่ เธอต้องการที่จะราดน้ำไปยังพื้นซีเมนต์เพื่อทำความสะอาด เมื่อเธอได้ยินคำพูดของเขา เธอก็เกือบจะทำน้ำหกออกจากถัง
ฉีเฉาชู่มองไปที่น้องสาวคนเล็กของเขาจากนั้นเขาก็พูดอย่างจริงจังว่า “ไม่พวกเรารับเงินนายมาแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงมีหน้าที่สอนนายอย่างถูกต้อง ยังไงก็ต้องเริ่มจากพื้นฐาน”
เมื่อออกจากบ้านเช่าของเบทต้าโรแลนด์ก็รู้สึกมึนหัวเล็กน้อย
แม้ว่าปริมาณแอลกอฮอล์ของไวน์ผลไม้จะไม่สูงนัก แต่ดวงตาของเขาก็พร่ามัวเล็กน้อยหลังจากดื่มห้าแก้วติดกัน
โรแลนด์รีบออกจากเมืองก่อนประตูเมืองจะปิด
ดวงอาทิตย์กำลังตกในขณะที่ฟ้ากำลังมืดทำให้แสงสีทองปรากฎออกมา ผู้คนนั้นบ้างเข้าบ้างก็ออกจากเมืองไป มีพ่อค้าบางคนกำลังอยู่ในอาการเร่งรีบ บ้างเร่งเข้าเมือง เป็นธรรมดาที่จะมีบางส่วนออกจากเมืองไปบ้าง
ทุกที่ที่โรแลนด์เดินผ่านนั้น ผู้คนต่างเว้นระยะห่างจากเขาสองถึงสามเมตรเสมอ ผ้าคลุมเวทย์ของเขานั้นถือเป็นใบเบิกทางชั้นดีที่สุด
หลังจากออกจากเมืองแล้วโรแลนด์ก็เดินไปทางทิศตะวันตกตามกำแพงเมือง หลังจากเดินทางไปได้ครึ่งชั่วโมงในที่สุดเขาก็เห็นสะพานของเมืองเดลพอ
แม่น้ำสายใหญ่ทอดยาวอยู่ตรงหน้าเขาและตามทางของแม่น้ำนั้นมีบ้านรูปแบบอะโดบี้หลายสิบหลังถูกสร้างอยู่ นอกจากนี้ยังมีทั้งคนที่คอยตะโกนสั่งงาน กลุ่มคนงานถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มเล็กๆอีกหลายกลุ่ม หลายคนใช้เชือกผูกกับแผ่นหินขนาดยักษ์ก่อนดึงขึ้นไป ก่อนจะโยนมันไปกลางอากาศปล่อยให้มันหล่นพื้นอย่างรุนแรง
ในเวลาเดียวกัน ในอากาศนั้นมีแขนสีน้ำเงินของแขนเวทย์หลายอันคอยขยับอยู่ตรงพื้นดิน
โรแลนด์เดินเข้าไปและเห็นเข้ากับฮอร์กและลิงค์อยู่ที่ไซต์ก่อสร้าง คนหนึ่งคอยดูอยู่ทางซ้าย ส่วนอีกคนคอยดูอยู่ทางขวา พวกเขาคุมคนงานอย่างต่ำก็กว่าร้อยคนแล้ว
ตาของฮอร์กนั้นค่อนข้างเฉียบแหลม ถึงแม้ว่าเขาจะเพ่งความสนใจกับงานของเขา ทว่าเขาก็ยังคงสังเกตุเห็นโรแลนด์ที่เดินเข้ามาในวิสัยทัศน์ของเขา
เขาแสดงท่าทางว่าให้คนงานพวกนั้นทำงานต่อ ก่อนที่เขาจะวิ่งเข้ามาหาโรแลนด์และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อะไรกัน ในที่สุดพ่อนักเวทย์แก่เรียนก็ออกมาจากหอคอยเวทย์สักทีนะ”
โรแลนด์มองไปยังไซต์ก่อสร้างที่ดูวุ่นวายและพูดขึ้นว่า “นี่ทำกันไปได้กี่วันกันแล้วเนี่ย? พวกนายสร้างบ้านกันไปเยอะมาก นี่นายเคยทำงานพวกนี้มาก่อนด้วยเหรอ?”
ฮอร์กยักไหล่ “ฉันจบปริญญาวิศวกรรมโยธามาและเคยฝึกงานในไซต์ก่อสร้างมาระยะหนึ่ง แม้ว่าตอนนี้ฉันจะมีแค่ธุรกิจเล็กๆ แต่ฉันก็ยังมีประสบการณ์ค่อนข้างมาก”
ไม่น่าแปลกใจเลย
ฮอร์กมองไปที่แขนเวทย์จำนวนมากที่ลอยอยู่บบนอากาศและพูดว่า “แต่ฉันต้องขอบคุณนายจริงๆ ถึงแม้ว่าพวกนักเวทย์ฝึกหัดพวกนั้นจะพึ่งมาที่นี่ได้แค่วันเดียว แต่พวกนั้นก็ช่วยได้มาก พวกเขาสามารถช่วยยกของหนักหลายร้อยกิโลได้ จนบางทีก็เกือบๆถึงสองตัน”
“ไม่ต้องขอบคุณฉัน แต่จ่ายข้าจ้างให้พวกนั้นด้วย”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เมื่อพูดจบ ฮอร์กก็ขวมคิ้วและพูดว่า “ทว่าพวกเรานั้นใช้เหรียญทองจนเกือบหมแล้ว นายยังพอมีเหรียญทองเหลือขายให้พวกเราได้ไหม?”
โรแลนด์พยักหน้า “ฉันยังไม่ได้รับค่าจ้างของเดือนนี้จากหอคอยเวทย์เลย และยิ่งไปกว่านั้นฉันยังไม่เงินบรรณาการจากการเรียนสกิลพิเศษเลย ดูเหมือนว่าพวกนักเวทย์คนอื่นๆจะยังหาที่เรียนไม่เจอ”
“การโยนเหรียญใส่รูปปั้นนายแม้งดูน่าสนุกเป็นบ้า” ฮอร์กหัวเราะออกมาท่าทางของเขาดูสดใสและผ่อนคลายเป็นอย่างมาก “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้าหากเรายังพอมีเหรียญทองเหลืออยู่ พวกเราก็สามารถดำเนินงานต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง โอ้ใช่ บางทีนายอาจจะมานี่เพราะมารับตัวพวกนักเวทย์ฝึกหัดกลับไปก็ได้ ส่งพวกนั้นมาช่วยอีกหละในวันพรุ่งนี้ ฉันสัญญาว่าจะไม่ใช้งานพวกเขาจนสะบักสะบอม”
โรแลนด์ส่ายหัว “ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก”
ฮอร์กดูงุนงง “แล้วนายมาที่นี่เพื่อ?”
“เบทต้าได้รับภารกิจสีม่วงน่ะ เป็นภารกิจประเภทดันเจี้ยนขนาดเล็ก!” หลังจากโรแลนด์พูดจบ เขาก็มองดูการเปลี่ยนแปลงท่าทางของฮอร์ก
เหมือนที่เขาคาดไว้ไม่มีผิด
ในตอนแรกนั้นฮอร์กดูตกตะลึงไปทันทีหลังจากนั้นเขาก็โพล่งออกมาอย่างรุนแรงว่า “เชี่ย!”
“น่าประทับใจใช่ไหมล่ะ? จริงๆแล้วฉันค่อนข้างประทับใจในดวงของหมอนั่นจริงๆ” โรแลนด์กล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “นี่มันก็เกือบสองเดือนมาแล้วที่ฉันเริ่มเล่นเกมนี้ ถ้าไม่นับภารกิจบางอย่าง ภารกิจเกือบทั้งหมดของฉันล้วนมาจากหมอนั่นทั้งสิ้น”
“หมอนั่นแม้งเป็นโคตรผู้เล่นมหาเฮงเลย” ฮอร์กกล่าวออกมาอย่างอิจฉา จากนั้นดวงตาของเขาก็เริ่มเป็นประกาย “นายมาที่นี่เพื่อบอกฉัน ไม่ใช่ว่าจะให้ฉันกินมะนาวใช่ไหม? อย่าบอกนะว่า….?”
เมื่อเห็นท่าทางที่ดูคาดหวังของฮอร์ก โรแลนด์ก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ก็เหมือนที่นายคิดนั่นแหละ ฉันอยากจะชวนนายกับลิงค์ร่วมปาร์ตี้ด้วย ด้วยวิธีนี้จะทำให้เรามีผู้เล่นทั้งหมดสี่คน”
“ขอบใจมาก” ฮอร์กตบบ่าของโรแลนด์อย่างยินดี “ทว่าฉันและลิงค์ยังพึ่งเลเวลสองเท่านั้น หวังว่าพวกนายจะไม่รังเกียจนะ”
“ไม่แน่นอนอยู่แล้ว” โรแลนด์พูดออกมาโดยไม่ต้องคิด “ยังไงผู้เล่นก็ไม่มีทางตายอยู่แล้ว นี่มันเป็นการผจญภัยครั้งใหญ่ นอกจากนี้พวกเราก็ไม่มั่นใจด้วยว่า NPC ในโลกนี้สามารถเข้าดันเจี้ยนได้หรือไม่?”
“ก็ลองทดสอบดูสิ เดี๋ยวนายก็รู้เอง” ฮอร์กส่งสัญญาณให้ลิงค์จากระยะใกล้จากนั้นก็พูดต่อว่า “ถึงตอนนี้ก็มีพวกเราสี่คนแล้ว นายจะลองชวนพวก NPC ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญดูไหม?”
คำแนะนำของฮอร์กนั้นถือว่าดีมาก ทว่าหลังจากโรแลนด์ครุ่นคิดสักพัก เขาก็ปฎิเสธมัน “ลืมเรื่องนั้นเถอะ มันคนไม่สนุกแน่หาก NPC ตายไปในดันเจี้ยน”
“ก็จริง”
“ปีกสีเงินมีพวกผู้เชี่ยวชาญในด้านการรักษาอยู่ใกล้ๆแถวนี้ไหม?”
ฮอร์กโบกมือปฎิเสธ “ถึงแม้ว่าฉันอยากจะให้คนในกิลด์ของฉันเข้ามาหาประสบการณ์เกี่ยวกับดันเจี้ยนฟรีๆใจจะขาด แต่ฉันมั่นใจว่าไม่มีใครสักคนเลยในกิลด์ฉันที่อยู่แถวนี้”
“ถ้าอย่างนั้นฉันคงได้แค่ลองหาจากในฟอรั่มสินะ ถ้าพวกเราหาผู้รักษาไม่ได้จริงๆ พวกเราก็ต้องไปกันสี่คน ยังไงพวกเราก็ไม่ตายอยู่แล้วแค่พลาดไม่กี่ครั้งสุดท้ายพวกเราก็จะหาทางผ่านได้อยู่ดี อย่างเลวร้ายที่สุดพวกเราก็แค่กลับมาตอนเลเวลสูงขึ้น”
ฮอร์กหัวเราะออกมาเสียงดัง “นั่นแหละสิ่งที่ผู้เล่นอย่างเราได้เปรียบมากที่สุด”
“ถ้าฉันหาคนมาได้ ฉันจะมาเรียกนายก็แล้วกัน”
โรแลนด์ตบที่ไหล่ของฮอร์กและจากไปทันที
เขาเดินไปที่ด้านข้างของวิเวียนและพูดว่า “ในช่วงนี้พวกเธอควรอยู่นอกเมืองจะดีที่สุด อย่ากลับไปที่หอคอยเวทมนตร์เป็นอันขาด”
วิเวียนเห็นโรแลนด์มาถึงเมื่อไม่นานมานี้ แต่เมื่อเห็นว่าเขากำลังคุยกับฮอว์คเธอก็พยายามอดกลั้นความต้องการของตัวเองและทำงานต่อไป โดยไม่ได้เข้าไปใกล้โรแลนด์
จริงๆแล้วเธอนั้นต้องการกลับหอคอยเวทมนตร์มาก ไม่ใช่ว่าเธอรู้สึกเหนื่อยกับงาน แต่เธอเพียงแค่อยากอยู่เคียงข้างโรแลนด์ให้นานมากขึ้น
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าเมื่อเธอได้ยินคำพูดของเขา เธอก็ทั้งตกใจและกังวลเป็นอย่างมาก “เกิดอะไรขึ้นเหรอค่ะท่าน?”
“มีเรื่องอะไรนิดๆหน่อยๆน่ะ” โรแลนด์มองไปยังอาทิตย์ที่กำลังตกดินและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทางที่ดีพวกเธอไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้น่าจะดีที่สุด เพราะไม่อย่างนั้นมันจะก่อให้เกิดปัญหาอย่างมาก”
เมื่อก่อนหน้านี้ โรแลนด์ได้อ่านข้อมูลส่วนบุคคลของพวกนักเวทย์ฝึกหัดเหล่านี้
นอกเหนือจากวิเวียนที่มาจากตระกูลขุนนางเล็กๆนั้น พวกที่เหลือล้วนแต่เป็นสามัญชน
หากพวกเขาเป็นนักเวทย์อย่างเป็นทางการ พวกเขาก็จะมีความสามารถพอที่จะต่อต้านได้บ้าง ทว่าก็แค่บ้างเท่านั้น
ขนาดอัลโดซึ่งเป็นนักเวทย์อย่างเป็นทางการก็ยังถูกบงการและไม่สามารถทำตัวเป็นอิสระได้
วิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่ถูกเป่ากระเด็นไปโดยพายุลูกยักษ์ก็คืออยู่ให้ห่างจากมันเข้าไว้
“ท่านรองประธาน ท่านยังปลอดภัยดีใช่ไหม?” ดวงตาของวิเวียนเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก” โรแลนด์ปลอบเธอ “เธอก็รู้ตัวตนของฉันดี ความตายไม่ใช้บทลงโทษสำหรับฉัน หลังจากอะไรๆผ่านพ้นไป ฉันจะมาเรียกพวกเธอกลับไปยังหอคอยเวทย์”
วิเวียนกัดริมฝึปากของเธอด้วยท่าทางลังเล “รับทราบค่ะ”
หลังจากอยู่ในไซต์ก่อสร้างต่อสักพักโรแลนด์ก็กลับไปที่เมืองก่อนดวงอาทิตย์ตกดิน
เมื่อเขาเข้ามาในเมืองทหารก็ปิดประตูเมือง
วันนี้ประตูเมืองปิดช้ากว่าปกติเล็กน้อย เนื่องจากหัวหน้าของกำแพงเมืองเห็นโรแลนด์กำลังกลับจึงสั่งทหารที่ปิดกำแพงเมืองให้ปิดช้ากว่าปกติสิบนาที
หลังจากกลับไปที่หอคอยเวทมนตร์โรแลนด์ก็ยังคงศึกษาความสามารถทางภาษาเหมือนเช่นเคย จากนั้นเมื่อเวลาของเกมจบลงเขาปีนออกจากแคปซูลและโพสต์รับสมัครไว้บนเว็บบอร์ด
รับสมัครสมาชิกสำหรับลุยดันเจี้ยน ขอฮิลเลอร์
“ถ้าอย่างนั้นมาเริ่มกันเลยไหม?”
เมื่อเห็นโรแลนด์ยิ้มออกมาแจ่มใส บาร์ดรู้สึกว่าความโกรธของเขาพุ่งพร่านอยู่เต็มอกจนมันจะไหลออกมาจากปากของเขามาเป็นคำก่นด่า
ทว่าเขาแค่พูดกับตัวเองว่าขุนนางควรจะรักษามารยาทดังนั้นเขาจึงอดทนกับมัน
“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอก พวกเราค่อยคุยเรื่องนี้หลังจากพวกข้าพักอีกสักวันสองวันก่อนก็ได้ เพราะถึงอย่างไรพวกเราก็เดินทางมาไกล และพวกเรายังคงเหนื่อยกันอยู่” บาร์ดพูดโดยไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา “ถ้าถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะมาหาคุณเอง”
หลังจากพูดแบบนี้บาร์ดก็เดินลงบันไดไปทันที
เขากลัวว่าถ้าเขาอยู่ต่อไปเขาจะไม่สามารถอดกลั้นจากการดูถูกเหยียดหยามได้และทำให้เขาเสียสติ
ที่ชั้นหนึ่งนักเวทย์ฝึกหัดที่สลบไปก็ได้สติขึ้นมาแล้ว หมอนั่นพึมพัมก่นด่าอย่างต่อเนื่อง
บาร์ดขมวดคิ้วเดินลงมาถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ถูกชวนมา?”
“ไม่มีใครอยู่ในหอคอยเวทมนตร์เลย” นักเวทย์ผู้เป็นขุนนางหนุ่มยืนอยู่ข้างหน้าด้วยท่าทางสับสนพร้อมพูดว่า “ในตอนที่คุณไปคุยกับเจ้านั่น พวกข้าได้ไปยังชั้นหก เจ็ด และแปด และพบว่าไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว”
บาร์ดตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็ยิ้มเยาะ “พูดอีกนัยหนึ่งก็คือคนในหอคอยเวทย์ออกไปกันหมดแล้ว? นี่มันเป็นฝีมือของอัลโด้หรือโรแลนด์กันแน่? แต่ไม่สำคัญว่าเป็นฝีมือของใคร แต่ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวของพวกเราจะเป็นไปตามที่พวกนั้นคาดเอาไว้สินะ น่าสนใจ”
“แล้วพวกเราจะทำอะไรต่อไปกันดี” นักเวทย์หนุ่มถาม
“เราจะทำอะไรได้อีก!” บาร์ดกล่าวอย่างขมขื่น “พวกเราต้องหาที่พักกันก่อน ข้าเคยเจอบุตรชายของนายกจอห์นอยู่สองสามครั้งความสัมพันธ์ของพวกเราค่อนข้างเยี่ยมเลยทีเดียว ไปพักที่นั่นกันสักวันสองวันก่อนแล้วค่อยเริ่มทำอย่างอื่นก็แล้วกัน พวกเราจะค่อยๆช่วยกันคิดอย่างช้าๆว่าจะทำยังไงกับไอสวะโรแลนด์ดี”
“แล้วแต่คุณจะสั่งเลย” นักเวทย์ขุนนางหนุ่มตอบกลับ
หลังจากนั้นกลุ่มของพวกเขาก็ออกจากหอคอยเวทย์และก่อนที่จะจากไป บาร์ดได้หันมามองหอคอยเวทย์ด้วยความขุ่นเคืองอยู่พักหนึ่ง
โรแลนด์นั้นอยู่บนชั้นแปดและมองลงมาผ่านทางหน้าต่าง เขามองพวกนั้นจากไป เมื่อเขากำลังจะเริ่มทดลองเวทย์ต่อทันใดนั้นเขาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากข้อความภายในกิลด์
ภายในกิลด์ เบทต้า @ โรแลนด์ :“ พี่ครับรีบมาที่บ้านหลังที่ 25 ทางตะวันออกที มีเรื่องสำคัญมากครับ”
โรแลนด์ตอบว่า “มีอะไรงั้นเหรอ?”
“มันเป็นภารกิจสำคัญครับ บางทีอาจจะเป็นดันเจี้ยนขนาดเล็ก”
เชี้ยเอ้ย! โรแลนด์รู้สึกได้ถึงความไร้โชคของตัวเอง เบทต้านั้นค่อนข้างมีโชคในการกระตุ้นภารกิจจริงๆ จนถึงตอนนี้ ภารกิจทั้งหมดที่โรแลนด์ได้ทำสำเร็จล้วนมาจากเบทต้าทั้งสิ้น
ภารกิจขนาดเล็กนั้นไม่ค่อยมีค่ามากนัก ทว่าภารกิจอันนี้เป็นภารกิจประเภทดันเจี้ยน
เขาลุกขึ้นทันทีและออกจากหอคอยเวทมนตร์
แน่นอนก่อนออกจากหอคอยเวทย์เขาได้ใช้แขนเวทย์เพื่อปิดทางเข้าด้วยหินขนาดยักษ์
อย่างไรก็ตามหากเขาออกไปแล้วจะเท่ากับว่าไม่มีใครอยู่ในหอคอยเวทย์เลย ถึงแม้ว่าคนธรรมดาจะรู้สึกเกรงกลัวต่อความแข็งแกร่งของนักเวทย์ ทว่าโจรผู้เชี่ยวชาญบางคนไม่ได้ใส่ในมันนัก หลังจากประตูหินปิดลง มีเพียงแค่พลังจิตเท่านั้นที่จะสามารถใช้เพื่อเปิดประตูได้
พูดกันตามตรง พวกโจรคงไม่มีทางเข้ามาได้แล้ว
เว้นแต่ว่าพวกเขาจะมีคนที่มีความสามารถระดับสูงของพวกโจรเท่านั้นถึงจะสามารถบุกรุกเข้าไปได้
โรแลนด์รีบไปยังบ้านหลัง 25 ทางทิศตะวันออกทันที ที่ทางเข้าเด็กผู้หญิงตัวผอมผิวเหลืองยืนอยู่ที่ประตูสวมชุดเมดสีดำและสีขาว
เมื่อเห็นโรแลนด์เธอก้มตัวลงเล็กน้อยและพูดว่า “ท่านโรแลนด์ ท่านเบทต้าบอกให้ข้ารอท่านอยู่ที่นี่”
โรแลนด์มองดูเด็กสาวคนนี้และพบว่าผิวของเธอดูดีขึ้นมาก เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนช่วงนี้จะดีขึ้นสินะ”
เด็กสาวเผยรอยยิ้ม “ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณท่านและท่านเบทต้าที่ช่วยข้า”
จากนั้นเธอก็พาโรแลนด์เข้าไปยังบ้านหลังนั้น
มันเป็นบ้านมือสองที่ฟอนิเจอร์ยังคงใช้ได้อยู่ถึงแม้ว่ามันจะดูเก่าและทรุดโทรมมากก็ตามที แต่ภายในก็สะอาดและเป็นระเบียบมาก
ไม่มีใครอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่มีเสียงของคนทำอาหารดังมาจากห้องครัว
โรแลนด์พบว่าสิ่งนี้ค่อนข้างแปลก สาวใช้ก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อขอโทษและกล่าวว่า “ท่านเบทต้านั้นอยู่ในครัวเดิมทีนั่นเป็นสิ่งที่ข้าควรจะทำ ทว่าอาหารที่ข้าทำรสชาติมันแย่จนเกินไป”
เด็กสาวก้มหัวของเธอลง เธอดูผิดหวังและละอายใจมาก
นี่เป็นเมดสาวของเบทต้า ดังนั้นโรแลนด์จะไม่ปลอบใจเธอ ถ้าเกิดหากว่าเบทต้าสนใจเธอขึ้นมาล่ะ? จุดยืนของโรแลนด์คงน่าสงสัยน่าดู
โรแลนด์ดึงเก้าอี้และนั่งลง
เด็กสาวรีบเสิร์ฟน้ำอุ่นในทันที โรแลนด์เริ่มจิบมัน เบทต้านั้นน่าจะเป็นคนสอนเธอเรื่องมารยาทในการเสิร์ฟน้ำอุ่นให้แขกแก่เธอแน่ๆ
หลังจากจิบไปได้สองอึก เขาก็เห็นเบทต้าออกมาจากห้องครัวพร้อมกับจานสองใบในมือ
จานถูกวางไว้บนโต๊ะ โรแลนด์พบว่าอาหารจานแรกคือถั่วผัดเค็ม ส่วนอีกจานคือกะหล่ำปลีและเนื้อทอด
จากนั้นสาวใช้ก็วางตะเกียบสีขาวอมเหลืองสองอันลงบนโต๊ะ
ตะเกียบนั้นค่อนข้างใหม่และเพิ่งทำมาอย่างชัดเจน
ท้ายที่สุด เมดสาวก็นำไวน์ผลไม้สองแก้วมาไว้ที่โต๊ะ
“กินกันเถอะครับ” เบทต้ากล่าวด้วยท่าทางที่ดูสุภาพ
“ผัดผัก!” โรแลนด์มองไปที่ของบนโต๊ะสักพักและพูดว่า “สองวันที่ผ่านมา นี่คือสิ่งที่นายทำมาตลอดงั้นเหรอ?”
เบทต้าพยักหน้า “เพราะถึงยังไง ขุนนางผู้สูงศักดิ์ก็ไม่จำเป็นต้องเรียนสกิลด้วยวิธีเดียวกันกับนักเวทย์ ผมเลยมีเวลาว่างค่อนข้างมากเลยเลือกสำรวจโลกนี้ นอกจากนี้เมื่อไม่กี่วันก่อนผมค่อนข้างเซ็งกับอาหารของโลกนี้ ในโรงเตี๊ยมอาหารก็แย่มาก ผมทนไม่ไหวจริงๆ ดังนั้นผมเลยขอให้ช่างตีเหล็กทำกระทะและตะหลิวให้ผม และด้วยเพลิงจากการพ่นไฟของผม มันทำให้กระทะร้อนได้เร็วมาก”
โรแลนด์ขมวดคิ้วกับคำพูดพวกนี้ “ฉันคิดว่าพ่นไฟของนายนี่ใช้กับการย่างเนื้อและผัดอาหารเท่านั้น มันไม่เคยได้ใช้อย่างถูกจุดประสงค์ของมันเลย”
“แต่จริงๆแล้วผมรู้สึกว่านี่เป็นวิธีที่เหมาะสมในการใช้ทักษะ เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ว่ามันน่าสนใจมากกว่าไปใช้ในการต่อสู้หรอกเหรอครับ?”
“มันก็ไม่ผิดหรอก” โรแลนด์หยิบตะเกียบขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วใส่เข้าปากแล้วส่งเสียงประหลาดใจ “รสชาติไม่เลว”
เบทต้ายิ้มอย่างพอใจ “ในโลกนี้ที่ทักษะการทำอาหารล้าหลังผมได้กลายเป็นเชฟระดับปรมาจารย์”
โรแลนด์เดาะลิ้นของเขาก่อนจะหยิบถั่วผัดเค็มขึ้นมาและเอาเข้าปาก จากนั้นเขาก็เริ่มดื่มไวน์ผลไม้ตาม อย่างที่คิดไว้มันเป็นความสดชื่นที่ยากจะบรรยายออกมา จากนั้นเขาก็ถามอย่างสงสัยว่า “แล้วภารกินนั่นเป็นยังไง?”
“เดี๋ยวผมจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง” เบทต้าพูดขึ้นมาขณะกินอยู่ “เมื่อประมาณสองชั่นโมงก่อน ผมกำลังหาวัตถุดิบที่เพิ่มรสชาติอยู่ในตลาด อาทิเช่นพวกขิงหรืออะไรทำนองนั้น ในท้ายที่สุดผมเจอเข้ากับเจ้าโจรคนหนึ่งที่ขโมยกระเป๋าตังค์ของคนบนถนน ผมไล่จับโจรคนนั้นได้และได้ลงโทษเขา จากนั้นเมื่อผมค้นดูกระเป๋าตังค์ผมก็พบเข้ากับกระดาษเหม็นๆที่มีสัญลักษณ์อะไรสักอย่างอยู่ในนั้น จากนั้นผมก็ได้รับภารกิจดันเจี้ยน”
หมอนี่โชคดีจริงๆ… โรแลนด์ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
ความสามารถที่ซ่อนอยู่ของหมอนี่คงเป็นเทพแห่งความโชคดี
“รอเดี๋ยวนะครับ เดี๋ยวผมแชร์ภารกิจไปให้”
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีโรแลนด์ก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบและหลังจากที่เขาเลือกรับภารกิจเขาก็เห็นภารกิจสีม่วงขึ้นมาในระบบภารกิจของเขา
ปลดล็อกสุสานลับของเมืองเดลพอน (แนะนำปาร์ตี้) (แนะนำระดับ 3)
มันเป็นภารกิจระดับสีม่วงโรแลนด์คิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ด้วยเพียงแค่เราสองคน บางทีมันอาจจะมีปัญหาได้ ลองหาคนเพิ่มไหม?”
“พี่หมายถึงฮอร์กและเพื่อนของเขางั้นเหรอ?”
“ก็น่าจะเป็นพวกนั้น” โรแลนด์พูดและพยักหน้า
เบทต้าครุ่นคิดสักครู่แล้วพูดว่า “แต่รวมพวกนั้นแล้วพวกเราก็ยังมีแค่สี่คนเท่านั้น ห้าคนถือว่าเป็นมาตรฐานขั้นต่ำของปาร์ตี้ขนาดเล็ก ยิ่งไปกว่านั้นเราไม่มีผู้รักษาด้วย”
“งั้นลองโพสต์หาผู้รักษาในฟอรั่มดูไหม” โรแลนด์เสนอและพูดว่า “ลองดูเผื่อว่ามีพวกนักบวชอยู่ใกล้ๆกับเดลพอน”
เบทต้าคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดีใช้ได้ “งั้นพี่โพสต์หานะครับ เพราะถึงยังไงพี่ก็เป็นคนมีชื่อเสียงในนั้น”
โรแลนด์ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้แล้วตอบตกลง “ได้เลย”
ในขณะนี้รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าของเบทต้า “นี่น่าจะเป็นภารกิจดันเจี้ยนอันแรกของเกม ถ้าลองใช้ชื่อ F6 ในการหาคนฟอรั่มจะต้องดุเดือดอย่างแน่นอนเลยครับ”
โรแลนด์กลับมายังบ้านหลังจากนั้นก็เริ่มกินมื้อเที่ยงหลังจากนั้นก็งีบไปพักหนึ่งก่อนเปิดกระทู้ขึ้นมาเพื่อดูคนอื่นๆคุยโม้ใส่กัน
ท้ายที่สุดแล้วในบรรดาผู้เล่นกว่า 500,000 คน ก็มีผู้คนอยู่มากมายที่เต็มใจแบ่งปันเคล็ดลับและประสบการณ์ของพวกเขา โรแลนด์เองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
เขาค่อยๆอ่านพวกมันอย่างข้าๆ บางคนก็คุยไร้สาระ บ้างก็พูดเกี่ยวกับเงื่อนไขและสภาพของเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่ บ้างก็ให้ข้อมูลเกี่ยวกับจุดอ่อนของสัตว์ป่า พฤติกรรม และลักษณะอื่นๆของพวกสัตว์ป่าและสัตว์อสูร
โรแลนด์นั่งอ่านมันด้วยความสบายใจ
บรรดาคนที่ใช้เวลาอยู่กับเว็บบอร์ดนั้นมักจะรู้ดีว่าเมื่อพวกเขาพบเจอหัวข้อที่น่าสนใจแล้ว พวกเขาจะสามารถฆ่าเวลาชีวิตได้นานมากในเว็บบอร์ด
ก่อนที่โรแลนด์จะรู้สึกตัว เมื่อเขาเริ่มเหนื่อย เขาก็พบว่ามันเย็นเสียแล้ว
หลังจากกินอาหารเย็นที่แม่เขาเป็นคนทำ เขาก็ไปอาบน้ำ จากนั้นเขาก็ฝึกท่าร่างม้าในห้องของตัวเอง ก่อนจะเริ่มกลับเข้าสู่เกมอีกครั้ง
สิ่งแรกที่เขาเห็นคือห้องทดลองเวทย์ที่อยู่ในชั้นที่ห้า เขาตอบคำถามและคลายข้อสงสัยของพวกนักเวทย์ฝึกหัด จากนั้นเมื่อผ่านพ้นช่วงเช้าไปเขาก็กินอาหารมื้อเที่ยงที่วิเวียนเอามาให้ จากนั้นอัลโด้ก็เข้ามาหาเขาที่ห้องวิจัย
วิเวียนซึ่งอยู่ระหว่างถามคำถามกับโรแลนด์ ทว่าเธอก็ยิ้มและออกจากห้องวิจัยไปทันทีที่อัลโด้เข้ามา
อัลโดมองวิเวียนที่กำลังเดินออกไป และถามอย่างสับสนว่า “เจ้ายังไม่ได้แตะต้องตัวเธออีกจริงเหรอ?”
ปากของโรแลนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่อยากถูกจูงจมูกด้วยเรื่องนี้ดังนั้นเขาจึงถามตรงๆไปว่า “ประธาน อะไรทำให้คุณมาที่นี่ในตอนนี้?”
ทันใดนั้นการแสดงออกของอัลโด้ก็เปลี่ยนเป็นรุนแรง เขากล่าวอย่างช้าๆว่า “คนจากสาขาใหญ่นั้นมาถึงแล้ว พวกนั้นจะมาอยู่ในเมืองภายในอีกชั่วโมงหนึ่ง”
“ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการอยู่แล้วเหรอ?” โรแลนด์หัวเราะออกมา ในที่สุดพวกนั้นก็มาถึงสักที
อัลโดหัวเราะดังๆ “ใช่ในที่สุดข้าก็สามารถหาใครสักคนเพื่อต่อต้านพวกสารเลวจากสำนักงานใหญ่ได้เสียที ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
“คุณควรจะพูดประมาณว่า ‘หวังว่าสำนักงานใหญ่จะไม่ทำให้ฉันผิดหวังไม่ใช่เหรอ?’ ฉันเองก็หวังว่าพวกนั้นจะเป็นเหมือนอย่างที่คุณพูดนะทั้งเจ้ากี้เจ้าการ , ละโมบ และวางตัวเป็นใหญ่” โรแลนด์ปิดหนังสือของเขาลง เขาก้าวหน้าในการผสานความสามารถทางภาษาได้อีกระดับเรียบร้อยแล้ว เขาสามารถใช้ความสามารถทางภาษาและความสามารถทางอักขระพร้อมกันได้แล้ว ทว่ามันก็ยังไม่สมบูรณ์ 100% มีบางประโยคที่เขามักจะได้ยินแปลกๆบ้าง “แล้วคุณวางแผนจะทำอะไรต่อล่ะ?”
“ในการต่อสู้ระหว่างมังกรยักษ์สองตัว เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่กระต่ายน่ารังเกียจที่แสนอ่อนแอต้องแอบไปซ่อมตัวและมองดูจากข้างนอกอย่างเงียบๆ” ประธานอัลโด้หัวเราะออกมา เขาไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าที่เขาแสดงออกออกมามันดูขี้ขลาดขนาดไหน “ดังนั้นจากนี้ข้าจะหายตัวไปสักประมาณสามวันหากมีธุระสำคัญอะไร ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ภายในหอคอยเวทย์ เจ้าสามารถจัดการได้เลยเต็มที่”
“แล้วถ้าฉันหนีไปล่ะ?” โรแลนด์ถามออกมา
“มันไม่สำคัญเท่าไหร่หรอกต่อให้เจ้าขโมยทุกสิ่งภายในหอคอยเวทย์ไปก็ตาม” อัลโด้ยักไหล่ออกมา “ไม่ว่าทรัพยากรหรือเงินสุดท้ายมันก็จะกลับมาอยู่ดี หากเจ้าหนีไปพร้อมเงินจริงๆนั่นยิ่งดีเข้าไปอีก เรื่องต่างๆจะได้ง่ายขึ้น ข้าจะสามารถออกค่าหัวของเจ้าตามคำสั่งของสำนักงานใหญ่ได้ ด้วยวิธีนี้สุดท้ายเจ้าและสำนักงานใหญ่ก็ต้องสู้กันจนลมหายใจสุดท้ายอยู่ดี”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้โรแลนด์ก็ยิ้ม “ดูเหมือนทุกอย่างจะอยู่ในการคาดการณ์ของคุณหมดเลยนะ”
อัลโด้ยักไหล่ออกมา “อ่าหะ ข้าต้องไปแล้วมันจะสายเกินไปหากข้าไม่ไปตอนนี้”
เมื่อพูดจบอัลโด้ก็ออกจากหอคอยเวทย์ไป
โรแลนด์ยืนอยู่ตรงหน้าต่างของชั้นบนและมองร่างของอัลโด้ที่เริ่มหายไปตามอาคารของเมือง
ถ้าหากสำนักงานใหญ่เป็นอย่างที่อัลโด้พูดจริงๆ สุดท้ายยังไงเขาก็ต้องจบลงที่การปะทะกับสำนักงานใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่เป็นอะไรที่อัลโด้จะใช้เขาเพราะในขณะเดียวกันสิ่งต่างๆของหอคอยเวทย์ต่างก็ตกอยู่ในมือของเขาเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากร , เหรียญทอง หรือหนังสือในห้องสมุด
ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่นี่นอกเหนือจากเวลาที่ทดลองเวทย์ เขาก็ได้ใช้ระบบถ่ายภาพเพื่อบันทึกหนังสือกว่าครึ่งภายในห้องสมุดเรียบร้อยแล้ว นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของหอคอยเวทย์ ถึงแม้ว่าเขาจะเลิกทำงานกับหอคอยเวทย์แต่สุดท้ายเขาก็จะได้รับสิ่งตอบแทนอยู่ดี
นอกจากนี้เขายังไม่เชื่อใจอัลโด้โดยสมบูรณ์ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเจรจาแทนที่จะเลือกโจมตีทันที
ไม่จำเป็นต้องรีบตัดตัวเลือกของตัวเองหรอก
หลังจากรออยู่พักหนึ่ง โรแลนด์ก็ลงไปยังชั้นสองจากนั้นก็สั่นกระดิ่งสีทองเพื่อรวมตัวนักเวทย์ฝึกหัด
“ตอนนี้พวกนายได้เรียนพื้นฐานของแขนเวทย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทว่าการพัฒนานั้นช้าเกินไปหากจะให้นั่งเรียนอย่างเดียว มันจะดีกว่าหากได้ลองปฎิบัติจริง” โรแลนด์พูดขึ้น “นอกตัวเมืองมีบุตรทองคำสองคนกำลังรวบรวมขอทานอยู่ รวมถึงสร้างบ้านให้พวกนั้น ตอนนี้พวกนายทุกคนให้ออกไปและใช้แขนเวทย์เพื่อช่วยขนย้ายอุปกรณ์และขุดหลุดให้พวกนั้น ยิ่งได้ฝึกใช้มากเท่าไหร่พลังเวทย์ของพวกนายก็ยิ่งเติบโตมากขึ้นเท่านั้น”
เด็กฝึกหัดเวทย์มนต์มองหน้ากัน พวกเขาไม่เคยได้รับภารกิจเช่นนี้มาก่อน
ในความคิดของพวกเขา ภารกิจของนักเวทย์ควรจะเป็นการวิเคราะห์อุปกรณ์เวทย์หรือช่วยเหลืออะไรบางอย่างซึ่งมีเพียงนักเวทย์เท่านั้นที่สามารถทำได้ อาทิเช่น เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณร้าย หรือการแพร่กระจายของพลังเวทย์ด้านลบ
นับเป็นครั้งแรกที่ผู้ฝึกเวทมนตร์เช่นพวกเขาได้รับคำสั่งให้ไปทำงานก่อสร้าง
เมื่อเห็นข้อสงสัยของพวกนักเวทย์ฝึกหัดโรแลนด์ยิ้มจาง ๆ และพูดว่า “นี่เป็นคำสั่งของประธาน หากพวกนายมีปัญหาอะไร อย่าต่อว่าฉันถ้าหากฉันจะให้ทำอะไรที่ยุ่งยากหลังจากนี้”
เมื่อได้ยินคำขู่พวกนักเวทย์ฝึกหัดต่างหยุดคำบ่นและคำประท้วงของตัวเองทันที พวกเขาทั้งหมดต่างทำตามคำสั่งของรองประธานอย่างเชื่อฟัง
จากนั้นโรแลนด์ก็พูดกับวิเวียนว่า “นำทหารยามทั้งหมดไปด้วยและให้พวกนั้นปกป้องพวกเธอซะ“
วิเวียนพูดอย่างสับสนว่า “ถ้าหากไม่มีทหารยามอยู่ที่นี่แล้วใครจะปกป้องหอคอยเวทย์และท่านรองประธานกัน?”
“ที่นี่คือหอคอยเวทย์ จะมีสักกี่คนเชียวที่กล้ามาสร้างปัญหาแก่พวกเรา?” โรแลนด์พูดเสียงเบา “นอกจากนี้ฉันยังเป็นบุตรทองคำ ฉันไม่กลัวต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
“รับทราบค่ะ ข้าจะทำตามคำสั่งของท่ารองประธาน” วิเวียนกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ
หลังจากที่ทุกคนออกจากหอคอยเวทมนตร์โรแลนด์ไปก็เริ่มศึกษาเวทย์ต่อ
เขาจงใจส่งทุกคนออกไปด้วยความกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เขาไม่กลัวที่จะตายก็จริง แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากนักเวทย์จากสำนักงานใหญ่ระบายความโกรธของพวกเขาใส่พวกนักเวทย์ฝึกหัด!
ด้วยพวกเขาจำนวนมาก โรแลนด์ไม่มั่นใจว่าจะสามารถปกป้องทั้งหมดไว้ได้
หลังจากรอที่เขารออยู่ในห้องวิจัย เขาก็ได้ยินเสียงที่พอใจดังมาจากด้านล่างของหอคอยเวทย์ “คนในหอคอยหายไปไหนกันหมด? พวกแม้งไปไหนกัน?
โรแลนด์ยืนขึ้นและเดินลงไปอย่างไม่เร่งรีบ
เมื่อเขามาถึงยังชั้นแรก เขาก็พบเข้ากับผู้เยาว์สองคนยืนอยู่บนพื้นที่มันวาว พวกเขานั้นสวมใส่ผ้าคลุมเวทย์และมีท่าทางที่หยิ่งผยอง
ด้านหลังของพวกเขานั้นมีคนหกคนที่อยู่ในชุดคลุมเวทย์เช่นเดียวกัน พลังจิตของพวกเขานั้นค่อนข้างอ่อนแอ บางทีพวกเขานั้นอาจจะเป็นนักเวทย์ฝึกหัดทั้งหมด
โรแลนด์ยืนอยู่บนบันไดและมองลงไปที่พวกเขา เขาถามคำถามที่เขารู้คำตอบอยู่แล้ว “ขอถามได้ไหมว่าพวกคุณเป็นใครกัน?“
“พวกข้ามาจากสำนักงานใหญ่ ลงมาต้อนรับพวกข้าซะ!”
ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนนักเวทย์ฝึกหัดตะโกนขึ้นมาที่โรแลนด์
สำหรับผู้เยาว์ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าสำรวจและจ้องมองโรแลนด์อย่างระมัดระวัง
โรแลนด์มองไปที่เขาอย่างเงียบๆจากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพว่า “ถ้าอย่างนั้นงั้นโปรดตามฉันมา”
การแสดงออกของผู้เยาว์ทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมาก แต่พวกเขาไม่ได้พูดอะไร พวกเขาทำเพียงแค่มองไปที่โรแลนด์อย่างเงียบ ๆ
นักเวทย์ฝึกหัดที่พูดก่อนหน้านี้พูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าโง่ เจ้ายังไม่เข้าใจอีกเหรอ? พวกข้านั้นมาจากสำนักงานใหญ่ ท่าทางของเจ้านั่นมันอะไรกัน!”
เป็นพวกเผด็จการเหมือนที่คาดไว้เลย โรแลนด์รู้สึกว่าคำพูดของอัลโด้นั้นฟังดูน่าเชื่อถือมากขึ้นเรื่อยๆ การทำแบบนี้เหมือนเจ้านายและทาส
นักเวทย์ฝึกหัดอีกคนมองไปรอบๆก่อนจะตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าคนน่ารังเกียจอัลโด้นั่นอยู่ที่ไหนกัน มันควรจะออกมาต้อนรับพวกข้า สิ่งที่เจ้านั้นทำก็เพียงแค่ส่งชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอมาต้องรับพวกเราเนี่ยนะ?! ผู้หญิงอยู่ที่ไหนกัน แล้วงานเลี้ยงต้อนรับล่ะ?”
ผู้เยาว์สองคนที่อยู่ด้านหน้านั่นน่าจะเป็นคนที่มาเพื่อทำงาน ทว่าพวกเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย ทว่าความเกรี้ยวกราดในดวงตาของพวกเขานั้นก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขา…หยิ่งยโสมากกว่าที่เขาคิดไว้อีก และพวกเขาก็เอาแต่ใจอย่างชัดเจน
โรแลนด์รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
การได้ติดต่อกับคนประเภทนี้เป็นเรื่องที่เจ็บปวดมาก
เพราะมันจะค่อนข้างง่ายที่มากที่จะสูญเสียความยับยั้งชั่งใจและพุ่งไปต่อยหน้าพวกแม้ง
แปลก โรแลนด์สัมผัสได้ว่าคำพูดของหญิงสาวคนนี้ดูค่อนข้างแปลก
จะว่าไปผู้หญิงคนนี้ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างแบบคลุมเครือกับเขา ทว่าหลังจากโรแลนด์คิดไปสักพักหนึ่ง เขาก็มั่นใจว่าเขาไม่เคยเจอเธอมาก่อน เธอนั้นดูค่อนข้างสวยและมีนิสัยที่โดดเด่น และถ้าเขาเคยเจอเธอมาก่อนเธอคงทิ้งความประทับใจไว้กับเขาแน่ๆ
ดูเหมือนเธอจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นพูดเกินไปหน่อย เธอจึงหันกลับไปและเดินอย่างเงียบๆ
เมื่อพวกเขาสองมาถึงยังหน้าโรงเก็บของที่อยู่ด้านหลังสนามฝึกขนาดใหญ่ หญิงสาวเดินไปเปิดประตูด้วยกุญแจ ด้านในนั้นเต็มไปด้วยอาวุธ และอุปกรณ์ป้องกันบางอย่าง
“เลือกตามสบายเลย” เธอเดินเข้าไปข้างในก่อน
โรแลนด์เดินเข้าไปยังโรงเก็บของ เขาพบว่ามันมีดาบเหมียวเต๋านอนอยู่บนชั้นไม้ นอกจากนั้นยังมีปลอกดาบอีกด้วย
เขาสุ่มหยิบมันมาเล่นหนึ่ง ถึงแม้ว่ามันจะทำมาจากไม้ แต่ความยาวของมันก็เหมือนกับดาบเหมียวเต๋าของจริง มันรู้สึกค่อนข้างหนักบนมือของเขา ปลอกดาบนั้นทำมาจากกระบอกไม้ไผ่ งานช่างค่อนข้างยอดเยี่ยม บริเวณก้านดาบนั้นดูมันวาวเหมือนถูกแช่มาด้วยน้ำมันไม้จีน
โรแลนด์ยกดาบเหมียวเต๋าขึ้นมา เขาอยากจะลองดึงมันออกมาจากปลอกเพื่อสังเกตุให้ละเอียดยิ่งขึ้น ทว่าในท้ายที่สุดดาบเหมียวต๋านั้นก็ยาวเกินกว่าที่เขาจะสามารถดึงมันออกมาได้
“มันจะง่ายกว่านี้หากคุณดึงมันออกมาทางแนวนอน”
หญิงสาวพูดขึ้นขณะที่เธอกำลังถือสายวัดตัวเดินเข้าใกล้ตัวเขา จากนั้นเธอก็เริ่มสำรวจโรแลนด์สักพักและพูดว่า “ยืนนิ่งๆนะ”
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เริ่มวัดความสูงของโรแลนด์และเส้นรอบอก , เอว และแขนของเขา
หลังจากที่หญิงสาวเข้ามาใกล้กลิ่นหอมของดอกหมื่นลี้ก็ยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น
โรแลนด์ประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ก็ปล่อยให้เธอวัดตัวแต่โดยดี ทว่าเขาก็อดถามออกมาไม่ได้ว่า “ก่อนจะเรียนเทคนิคเหมียวเต๋าต้องมีการตรวจวัดร่างกายด้วยงั้นเหรอ?”
“นี่ก็เพื่อสร้างอุปกรณ์ป้องกันให้คุณ” หญิงสาววัดขนาดตัวส่วนต่างๆของโรแลนด์และพูดด้วยเสียงเรียบว่า “ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่ดาบไม้ทว่ามันก็ค่อนข้างอันตราย”
โรแลนด์ค่อนข้างประหลาดใจเขาถามว่า “แต่ฉันไม่เห็นเด็ก ๆพวกนั้นสวมเครื่องป้องกันเลยนี่นา”
“มันไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อยสำหรับการฝึกฝนอย่างทั่วไป” หญิงสาววยืนขึ้นพร้อมพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ทว่าเมื่อมีการซ้อมต่อสู้ คุณจำเป็นต้องสวมมัน ถึงแม้จะถูกตีด้วยดาบไม้แต่มันก็ค่อนข้างปวดใช้ได้”
“ฉันต้องจ่ายค่าอุปกรณ์พวกนี้แยกหรือเปล่า?” โรแลนด์ถาม เขารู้สึกได้ว่านี่อาจจะเป็นรายจ่ายที่แฝงอยู่
หญิงสาวส่ายหัว “แจกฟรีน่ะ”
“ฟรีอาหารเช้า , ดาบก็ฟรี แถมอุปกรณ์ป้องกันยังฟรีอีก ที่นี่มีสิทธิประโยชน์ค่อนข้างดีเลยทีเดียว” โรแลนด์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนี้เด็กสาวได้ทำการวัดขนาดทางร่างกายของเขาเสร็จแล้วและเมื่อได้ยินคำพูดของเขาเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “แม้ว่าค่าเล่าเรียนจะแพงไปหน่อย แต่สิ่งที่เราสอนก็คุ้มค่ากับราคาจริงๆ”
มีเหตุผลบางอย่างในน้ำเสียงของเธอและการแสดงออกของหญิงสาวก็ดูอ่อนแอเล็กน้อย
โรแลนด์ก็รับรู้ได้ถึงเรื่องนี้เช่นกัน เขาแสดงอาการประหลาดใจออกมา หลังจากผ่านไปสักพักความรู้สึกแปลกๆก็ชัดเจนยิ่งขึ้น เขาถามอย่างงุนงงว่า “พวกเรา…เคยเจอกันมาก่อนไหม?”
หญิงสาวเหลือบมองเขาท่าทางของเธอเงียบสงบ “คุณคิดว่ายังไงล่ะ?”
โรแลนด์รู้สึกว่าเขาคิดมากเกินไปและหัวเราะเบา ๆ
จากนั้นเขาหยิบดาบไม้แบบสุ่มและออกจากโรงเก็บของไปอย่างรวดเร็ว
ณ สนามฝึก ฉีเฉาชู่ได้รอเขาอยู่แล้ว
ชายคนนี้ยืนพิงเสาโลหะรับน้ำหนักของหลังคาสนามฝึก เขายืนสูบบุหรี่ราคาถูก ดวงตาปลาตายที่ไร้อารมณ์ของเขาให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกแผ่ออกมา
แน่นอนว่ามันก็เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาจากอากาศเท่านั้น บรรยากาศรอบตัวฉีเฉาชู่เปลี่ยนไปทันทีจากนั้นเขาก็พูดว่า “ถ้าหากนายใช้เวลาอยู่กับน้องสาวฉันนานกว่านี้ละก็ ฉันคงตรงไปฟาดนายแล้ว”
โรแลนด์อดไม่ได้ที่จะกลอกตาออกมา
“ เอาล่ะตอนนี้นายก็เลือกดาบเรียบร้อยแล้ว นายจะนำมันกลับบ้านก็ได้หรือไม่ก็เลือกเก็บไว้ที่นี่ให้พวกเราเป็นคนดูแลให้” ฉีเฉาชู่ดับไฟของบุหรี่ลงก่อนที่เขาจะเก็บมันเข้ากระเป๋า “เนื่องจากนายเคยฝึกมวยมาก่อน ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องฝึกพื้นฐานอย่างการยืดกล้ามเนื้อและข้อต่อ ตอนนี้ฉันจะอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับฟุตเวิร์คพื้นฐานของเทคนิคเหมียวเต๋าในเทคนิคดาบการเคลื่อนไหวส่วนใหญ่สามารถทำได้โดยการแลกเปลี่ยนระหว่างการก้าวไปด้านหน้าและท่าม้า ดังนั้นสำหรับท่าทางม้าซึ่งตายตัวนายจะต้องฝึกมันเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงในแต่ละวัน จากนั้นก็จะมีวิธีในการถือดาบ ไม่เหมือนกับของพวกชาววา…”
ฉีเฉาชู่สอนและสาธิตในเวลาเดียวกัน
ไม่นานตอนเช้าก็ผ่านไป
เมื่อใกล้บ่ายโรแลนด์ปฏิเสธคำเชิญของฉีเฉาชู่ที่ชวนรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันและขี่จักรยานสาธารณะกลับบ้าน
เมื่อมองโรแลนด์จากไป ฉีเฉาชู่พูดกับน้องสาวของเขาที่อยู่ข้างๆเขาว่า “วันนี้น้องดูอารมณ์ไม่ดีเลย อารมณ์แปรปรวนมาก น้องรู้จักหมอนี่งั้นเหรอ? อย่าบอกนะว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นน่ะ”
ซีฉานิ่งเงียบ
ฉีเฉาชู่รอสักพักก่อนจะหันหน้าไปมองด้วยท่าทางที่ตกใจ บุหรี่ของเขาหล่นลงบนพื้น “อย่าบอกนะว่าฉันเดาถูก”
ซีฉาเม้มริมฝีปากสีชมพูบางๆของเธอ “เขาไม่ใช่เพื่อนร่วมชั้นของฉันหรอก เขาเป็นรุ่นพี่ตอนมัธยมปลายของฉัน อยู่ชั้นสูงกว่าฉันหนึ่งปี”
“รุ่นพี่ที่โรงเรียนมัธยม เธอก็ไม่จำเป็นต้องมีท่าทีแบบนั้นนี่ มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว…เดี๋ยวก่อนนะ!” ฉีเฉาชู่ตกใจก่อนจะถามว่า “เธอหมายถึงนักเรียนสองคนที่โดดเด่นที่อยู่เกรดเก้าที่เธอมักจะพูดถึงบ่อยๆใข่ไหม ที่พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันและสอบติดมหาลัยลั่วทั้งคู่ หมอนี่เป็นหนึ่งในนั้น?”
ซีฉาพยักหน้าตอบรับ
ฉีเฉาชู่โน้มตัวไปหยิบบุหรี่ที่อยู่บนพื้น จากนั้นก็ปัดเบาๆก่อนจะเอามันมาคาบไว้ที่ปาก “อย่างงี้นี่เอง งั้นก็ไม่น่าแปลกหรอก!”
หลังจากร่างของโรแลนด์กลายเป็นจุดสีดำที่ไม่ชัดเจนบนท้องถนน ซีฉาก็ถอนสายตาออก “เขามีพรสวรรค์ขนาดไหนงั้นเหรอ? แล้วเขาจะใช้เวลานานเท่าไหร่ในการเรียนทักษะเหมียวเต๋า?”
“เขามีพรสวรรค์มาก เขาเข้าใจเทคนิคการถอยและการออกแรงตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันอธิบายพวกมันและสามารถสรุปได้ข้อมูลหลายอย่าง ตามคาดเลยสำหรับนักเรียนผู้มีพรสวรรค์ เขาอาจจะจบการสอนของฉันได้ภายในครึ่งปี!” ฉีเฉาชู่พูดออกมา หลังจากนั้นก็มองไปที่ซีฉาและด้วยรอยยิ้มว่า “แต่อย่ากังวลไปเลย เดี๋ยวฉันจะสอนเขาช้าเองๆ อย่างน้อยก็ให้เขาเรียนที่นี่สักปีนึง”
ซีฉาหันมาพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ไม่จำเป็น นายไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉันหรอกน่า”
เธอกลับไปที่โรงเก็บของและบันทึกของการตรวจวัดร่างกายและพึมพัมเบาๆว่า “เขาสูงกว่าเมื่อก่อนมาก!”
เธอตกไปอยู่ในภวังค์และคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อเจ็ดปีก่อน ในตอนนั้นเธอยังเป็นสาวน้อยผู้โง่เง่าอยู่และโรงเรียนมัธยมปลายที่เธอเข้าไปนั้นเป็นโรงเรียนประจำ เธอลากกระเป๋าใบหนักของเธอไปตามพื้นซีเมนต์ภายในเขตโรงเรียน และเธอก็พบกับเนินเล็กๆซึ่งเธอไม่สามารถผ่านมันไปได้ หลังจากลองอยู่หลายครั้งเธอก็หมดแรงที่จะทดลองสู้ต่อ เธออยากจะนั่งลงเพื่อพักเป็นอย่างมาก
ในตอนนั้นเองก็มีรุ่นพี่ที่ดูธรรมดาคนหนึ่งซึ่งให้ความรู้สึกที่ธรรมดาและสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดายื่นมือเข้ามาช่วยเธอไว้
เธอจำได้ว่าตอนนั้นเป็นตอนที่พระอาทิตย์ในตอนฤดูใบไม้ร่วงลอยอยู่เหนือหัวของพวกเขา ท้องฟ้านั้นโปร่งจนมองเห็นเป็นสีฟ้าได้ รุ่นพี่อยู่ในเสื้อเชิ๊ตสีขาวธรรมดาๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่หล่อเหลาจนน่าตกตะลึง ทว่าเขาก็ให้ความรู้สึกสุภาพและอบอุ่นไปถึงในใจของเธอ
รุ่นพี่ช่วยเธอเอากระเป๋าไปส่งยังหอพักหญิง
เธอคิดว่าเธอคงจะไม่ได้เจอรุ่นพี่คนนี้อีกต่อไปในอนาคต
ทว่าเธอก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตลอดสองปีที่เธออยู่ที่นั่น เธอจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับรุ่นพี่ในทุกๆเดือน
รุ่นพี่คนนี้มีเพื่อนสมัยเด็กที่หล่อเหลาอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขาทั้งสองคนนั้นต่างแย่งกันเป็นที่หนึ่งของชั้น
พวกเขานั้นทั้งเข้าร่วมการประกวดสุนทรพจน์และการแข่งขันเลขโอลิมปิกระหว่างประเทศ นอกจากนี้พวกเขายังเป็นนักกีฬาโรงเรียนอีกด้วย ที่น่าขำไปมากกว่านั้นคือพวกเขายังเป็นพวกที่เข้าร่วมการชกต่อยและทะเลาะวิวาท ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเป็นคนเริ่มเสียด้วยซ้ำ
หากไม่ใช่เพราะผลการเรียนที่ดีของพวกเขาละก็ครูใหญ่คงไม่แอบปิดข่าวไว้ และพวกเขาคงมีชื่อในสมุดคุมประพฤติแน่นอน
สุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็เข้ามหาลัยลั่วด้วยกัน
ซีฉาเองก็เลือกมหาลัยลั่วเป็นมหาลัยอันดับแรกเช่นกัน ทว่าเธอนั้นสอบไม่ผ่าน
เธอรู้สึกว่าเธอเกือบจะลืมรุ่นพี่มัธยมปลายคนนี้ไปแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าเขาจะมาปรากฎตัวต่อหน้าเธออีกครั้งหนึ่ง
รูปลักษณ์ของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน
เธอจำเขาได้เป็นอย่างดี
ทว่าเขากลับจำเธอไม่ได้
ไม่สิเขาจำเธอไม่ได้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ตั้งแต่แรกพวกเขาก็เป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าที่พบเจอกันโดยบังเอิญ
เมื่อคิดแบบนี้ขึ้นได้ซีฉาก็อดรู้สึกปวดใจไม่น้อย
แม้ว่าใบหน้าของเขาจะเขียวและมีอารมณ์หงุดหงิดแต่ฉีเฉาชู่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
น้องสาวเขานั้นเป็นคนที่มีบุคลิกที่โหดร้าย เธอมีลิ้นที่แหลมคมและชอบทิ้งให้เขาโดดเดี่ยวในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เธอมีข้อเสียมากมาย แต่เธอก็เป็นน้องสาวที่สุดยอดของเขา
เขาไม่อยากที่จะต้องต่อว่าเธอ
นี่เป็นสาเหตุที่เขาทำได้แค่เพียงอดกลั้นจนหน้าเขียวและไม่พูดอะไร
แม้ว่าเขาจะถูกเรียกว่าคนรวยที่โง่เขลา แต่โรแลนด์ก็ดูไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นเพราะเขาเห็นแสงวูบวาบแปลก ๆ ในดวงตาของหญิงสาว มันแหลมคมเล็กน้อยและดูเหมือนจะวิงวอนเขาราวกับว่าเธอกำลังพูดว่า ถ้าคุณไม่กล้าจ่ายค่าเล่าเรียนตอนนี้และทำให้พี่ชายของฉันผิดหวังฉันจะขาหักนายทิ้งซะ
โรแลนด์มักจะเห็นการแววตาแบบนี้บ่อยครั้งในหมู่เพื่อนของเขา
ในฐานะเพื่อนสนิท บ่อยครั้งที่พวกเขามักจะทำแบบนี้กัน ปล่อยเพื่อนของตัวเองให้อยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดคนเดียวและกวนบาทากันและกัน ทว่าสิ่งเหล่านี้ล่วนแต่เป็นการที่ปฎิบัติต่อกันเป็นปกติสำหรับเพื่อนสมัยเด็ก หากมีคนภายนอกมาทำแบบเดียวกันกับหนึ่งในพวกเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะตรงไปสอนบทเรียนพวกนั้นแน่นอน
นี่คือเหตุผลที่โรแลนด์ไม่ใส่ใจนัก เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและพูดว่า “งั้นสแกนนะ”
หญิงสาวหยิบสมาร์ทโฟนในเคสสีชมพูอ่อนออกมาก่อนจะเปิด QR code ของตัวเองขึ้นมา
โรแลนด์สแกน QR code นั้น และนามแฝงบนอินเทอร์เน็ตของหญิงสาวก็ขึ้นมาที่โทรศัพท์ของเขา
อวตารของเธอเป็นต้นกล้าที่กำลังเริ่มแตกหน่อ ชื่อบนโลกออนไลน์ของเธอคือ คลื่นยามค่ำคืนกระทบผืนทราย (ซีฉา)
เป็นนามแฝงออนไลน์ที่ดูดีใช้ได้
โรแลนด์กรอกจำนวนเงินลงบนโทรศัพท์ของเขา จากนั้นไม่นาน หญิงสาวที่เห็นการแจ้งเตือนการโอนเงินที่เด้งขึ้นบนโทรศัพท์ของเธอในจำนวนเงินเต็มจำนวน เธอมองโรแลนด์แบบแปลกๆและกล่าวว่า “มากินก๋วยเตี๋ยวด้วยกันเถอะ”
“ไม่เป็นไรฉันกินข้าวเช้ามาแล้ว”
ก๋วยเตี๋ยวในหม้อมีกลิ่นหอมน่าอร่อยจริงๆ ความอยากอาหารของโรแลนด์ก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น แต่เขาก็ไม่ใช่พวกชอบชิม ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นเพียงการพบกันครั้งที่สองของพวกเขา พวกเขานั้นยังไม่คุ้นเคยกันนัก คำเชิญชวนของเธอก็แค่เป็นมารยาทเพียงเท่านั้น ถ้าเขารีบพุ่งไปกินก๋วยเตี๋ยวละก็เขาก็คงไม่ต่างอะไรจากคนโง่
อย่างไรก็ตามหญิงสาวกล่าวด้วยความจริงใจว่า “ในเมื่อคุณจ่ายค่าเล่าเรียนคุณก็ควรกินบะหมี่พวกนี้ด้วยกัน”
ฮะ? โรแลนด์ค่อนข้างแปลกใจ ที่นี่ดูแลเกี่ยวกับอาหารของผู้เรียนด้วย?
“การฝึกเหมียวเต๋าของพวกเรานั้นเป็นแบบดั้งเดิมการฝึกนั้นค่อนข้างหนักเลยทีเดียว มันต้องการยิ่งกว่าความแข็งแกร่งของร่างกายและความอดทน ดังนั้นพวกเราจึงเสริมยาจีนซึ่งช่วยบำรุงกำลังและเสริมแกร่งลงไปในอาหารเช้าเพื่อช่วยการไหลเวียนของเลือด” ฉีเฉาชู่อธิบาย “ทว่า ต้องขอโทษด้วยพวกเราไม่สามารถมอบสูตรอาหารที่ใช้ยาจีนนี้ให้นายได้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราซึ่งรับหน้าที่ช่วยฝึกนายจะเป็นคนเตรียมอาหารเช้าให้นายเองในอนาคต”
“นี่พึ่งคิดได้หรือว่ามันเป็นแผนธุรกิจที่นายคิดตั้งแต่เริ่มเปิดกิจการกันเนี่ย?” โรแลนด์ถามอย่างสงสัย
“พวกเราคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว และนักเรียนคนอื่นๆก็จะกินร่วมกับเราเช่นกัน”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน นักเรียนสี่คนที่กำลังร้อนและชุ่มไปด้วยเหงื่อ ก็เดินมาจากทางสนามฝึกขนาดใหญ่ คนที่เดินนำหน้าคือเด็กหนุ่นที่ผิวไหม้แดดเล็กน้อย เขาตะโกนว่า “พี่สาวเร็วหน่อยช่วยตักบะหมี่ให้ผมที ผมหิวจะแย่แล้ว”
“อย่าพึ่งรีบ เช็ดเหงื่อก่อน” การแสดงออกของซีฉานั้นทั้งอ่อนโยนและใจดีต่อพวกเด็กหนุ่มพวกนั้นต่างจากท่าทีที่เธอแสดงต่อพี่ชายของเธออย่างชัดเจน เห็นได้ชัดราวกับเป็นคนละคน
ในขณะที่เด็กหนุ่มเหล่านี้กำลังเช็ดเหงื่อเด็กสาวก็ตักบะหมี่สี่ชามใหญ่ออกมาวางไว้บนโต๊ะ
จากนั้นฉีเฉาชู่และโรแลนด์ทั้งคู่ก็ได้รับชามมา
หญิงสาวก็มีชามเล็กๆของตัวเอง ภายในหม้อขนาดใหญ่นั้นเหลือเพียงน้ำซุป
เด็กทั้งสี่คนนั่งลงข้างโต๊ะและเริ่มกินบะหมี่
ฉีเฉาชู่ถือชามขนาดใหญ่ของเขาและนั่งลงที่มุมหนึ่ง ในขณะที่เขากินเขาส่งสัญญาณด้วยสายตาให้โรแลนด์รีบกิน
หญิงสาวถือชามของตัวเองและเฝ้าดูเขาอย่างเงียบๆ
โอเค… โรแลนด์ทำตามฉีเฉาชู่เลือกนั่งกินที่มุมหนึ่ง หลังจากเขาตักบะหมี่เข้าปากเขาก็สามารถพูดได้เต็มปากว่าบะหมี่พวกนี้รสชาติดีทีเดียว
แม้ว่าจะมีรสชาติเป็นยา แต่ก็เข้ากันได้ดีกับก๋วยเตี๋ยว มันอร่อยมาก
หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่แล้วโรแลนด์รู้สึกดีและอบอุ่น เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “พวกคุณมีค่าใช้จ่ายมากไหมสำหรับการใช้ยาจีนในการเคี่ยวก๋วยเตี๋ยวในทุกวัน?”
“มันเคยแพงมากๆมาก่อน” ฉีเฉาชู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ในช่วงสิบถึงยี่สิบปีที่ผ่านมาเราได้รับประโยชน์จากฟาร์มปลูกยาสมุนไพรจีนขนาดใหญ่ ตอนนี้ยาสมุนไพรมีราคาถูกลงมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนผสมของยาที่มีราคาแพงที่สุดตอนนี้ก็กลายเป็นถูกที่สุดแล้ว”
ตอนนี้โรแลนด์ยิ่งอยากรู้มากขึ้น “แล้วในตอนนั้นมันแพงขนาดไหนกัน?”
“ฉันเคยได้ยินมาจากคุณปู่ว่าย้อนกลับไปตอนที่เขายังวัยรุ่นก่อนที่จะมีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้น การกินก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามที่เต็มไปด้วยยาจีนมีค่าใช้จ่ายพอๆกับค่าใช้จ่ายค่าอาหารของคอรบครัวขนาดห้าคนในหกถึงเจ็ดวัน” ฉีเฉาชู่ถอนหายใจอย่างหนักและพูดว่า “ในอดีตมีคำพูดว่าคนจนเรียนเพื่ออ่านและมีเพียงแค่คนรวยเท่านั้นที่จะเรียนศิลปะการต่อสู้มันเป็นเรื่องจริง ปัจจุบันการเป็นอยู่ดีขึ้นมาก ทุกคนสามารถเติมเต็มท้องของตัวเองได้ ทว่าในตอนนี้ผู้คนไม่สนใจที่จะเรียนศิลปะการต่อสู้อีกต่อไปแล้ว สถานะของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ก็ตกต่ำลงไปด้วยเช่นกัน”
โรแลนด์อยากจะบอกว่าตั้งแต่ราชวงศ์ซ่งสถานะของนักศิลปะการต่อสู้ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย ทว่าเขาก็ไม่อยากดูโง่โดยการพูดคำเหล่านั้นออกมา
ขณะนี้หญิงสาวทานอาหารเสร็จแล้ว เธอวางชามลงและพูดกับเด็กชายทั้งสี่ว่า “พวกนายล้างชามไปนะ ฉันพาศิษย์น้องของพวกนายไปห้องเก็บของสักหน่อยเพื่อเลือกของสำหรับฝึก”
เด็กทั้งสี่ตอบรับคำพูดของหญิงสาว
ในขณะเดียวกันโรแลนด์ก็ชี้ไปที่ตัวเอง “ฉัน? ศิษย์น้อง?”
“ ใช่นายนั่นแหละ” ฉีเฉาชู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้นายเป็นศิษย์น้องเล็กแล้ว”
“นี่มันยุคไหนแล้ว นั่นมันล้าหลังไปแล้ว” โรแลนด์รู้สึกไม่ชอบใจกับคำเรียกเช่นนี้
อย่างไรก็ตามหญิงสาวที่อยู่ข้างๆกล่าวว่า “คุณคิดว่ามันแปลกหรือเปล่าหากมีคนเรียกกันว่าพี่สาวและน้องชายในมหาลัย”
“ก็คงไม่แปลกอะไร”
“ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่แปลกอะไร” หญิงสาวยืนขึ้นและพูดว่า “ตามฉันมา”
“ก็ได้ศิษย์น้องก็ศิษย์น้อง” โรแลนด์ลุกขึ้นยืนและเดินตามหลังหญิงสาวไป
ทั้งสองออกจากห้องครัวที่ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงแล้วมุ่งหน้าไปทางด้านหลังของโรงเก็บของขนาดใหญ่
โรแลนด์ที่เดินตามหญิงสาวจากทางด้านหลังได้กลิ่นหอมอ่อนๆลอยอยู่ในอากาศ มันเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายกลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้
โรแลนด์นั้นเป็นคนชอบกลิ่นของดอกหมื่นลี้อยู่แล้ว เขาจึงหายใจเข้าลึกๆไปอีกสองถึงสามครั้ง
ในขณะที่หญิงสาวกำลังนำทางอยู่ เธอก็ถามขึ้นมาว่า “ทำไมคุณถึงอยากเรียนทักษะเหมียวเต๋างั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าคุณค่อนข้างเก่งมวยอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
โรแลนด์ไม่อาจพูดได้ว่าเขาต้องการเรียนรู้เทคนิคของอาวุธเพื่อป้องกันตัวเองจากนักรบหรือโจรในระยะประชิดภายในเกม เขาครุ่นคิดประมาณสองวิก่อนที่จะตอบว่า “ฉันแค่รู้สึกว่าทักษะมวยนั้นมีขีดจำกัด หากต้องปะทะกับคนที่มีอาวุธ โอกาสชนะมันมีไม่มากนัก”
“พี่ชายของฉันบอกว่าเขาอาจจะไม่สามารถเอาชนะคุณได้ถ้าหากเขาไม่มีอาวุธ นั่นหมายความว่าคนธรรมดาไม่สามารถเอาชนะคุณได้ต่อให้พวกนั้นมีอาวุธก็ตาม”
เธอหยุดก่อนจะหันกลับมามองเข้าไปยังดวงตาของโรแลนด์ “คุณแทบจะไม่มีความจำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะเหมียวเต๋าเลยแม้แต่น้อย”
โรแลนด์ยังมองเข้าไปในดวงตาของเธอ นัยน์ตาของเธอสวยงามราวกับอัญมณีแก้วสีดำสนิท
“ศิษย์พี่หญิงดูเหมือนจะไม่อยากให้ฉันเรียนทักษะเหมียวเต๋าเลยนะ”
หญิงสาวสะดุ้งไปชั่วขณะ จากนั้นเธอก็หันกลับมาเริ่มเดินช้าๆอีกครั้งและพูดว่า “ฉันไม่รู้เทคนิคเหมียวเต๋าดังนั้นไม่จำเป็นต้องเรียกฉันว่าศิษย์พี่หญิง ฉันแค่กังลว่าคุณจะสนใจมันเพียงชั่วครู่เท่านั้น หลังจากผ่านไปไม่กี่วันความคิดของคุณอาจจะเปลี่ยนไป คุณจะเริ่มคิดว่าค่าเรียนมันแพงเกินไปและไม่อยากจะเรียนมันอีกต่อไป จากนั้นก็จะพยายามขอเงินคืนจากเรา พี่ชายฉันเป็นคนที่ภาคภูมิใจและหยิ่งทระนงในตัวเองสูง แม้ว่าภายนอกเขาจะยิ้มอยู่ตลอด ทว่าจริงๆแล้วเขาเป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนไหวและบอบบาง ในที่สุดก็มีนักเรียนเข้ามาหลังจากเขารอมานาน ถ้าคุณออกไปเขาจะต้องเสียใจมากแน่ๆ”
“ไม่ต้องห่วงไปหรอกฉันจะไม่ออก จนกว่าฉันจะชำนาญมัน” โรแลนด์กล่าวอย่างสบายๆ
“ฉันแค่อยากจะบอกว่าทุกวันนี้วัยรุ่นไม่มากนักที่สามารถอดทนต่อความากลำบากได้” เสียงของหญิงสาวค่อนข้างเบา “ในอดีตมีญาติทั้งสนิทและไม่สนิทกว่ายี่สิบคนมาขอเรียนกับดาบกับพี่ชายของฉัน ทว่าตอนนี้กลับเหลืออยู่แค่สี่คน พวกเขาไม่ยอมเรียนมันด้วยซ้ำถึงแม้ว่ามันจะฟรีก็ตาม”
โรแลนด์ก็ยังคงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงสบายๆว่า “ฉันก็จะเรียนมันต่อไปอยู่ดี”
หญิงสาวหยุดเดินอีกครั้งและมองมาที่เขา “จริงๆนะ?”
โรแลนด์อยากจะบอกว่าแม้ว่าเขาจะไม่เรียนต่อจริงๆเขาก็คงไม่ขอเงินคืนหรอก ทว่าเมื่อเขาเห็นสายตาของหญิงสาวดูท่าทางจริงจัง ดวงตาของเธอมันทั้งดูดื้อดึงและแข็งกร้าว ทว่ามันก็มีประกายราวกับกำลังขอร้องและอ้อนวอนอยู่ โรแลนด์จึงเลือกกลืนคำพูดทั้งหมดของเขาลงไป
“จริงสิ“
น้ำเสียงของเขายังคงดูสบาย ๆ แต่ก็มีความจริงจังและจริงใจให้เห็น
หญิงสาวมองไปที่โรแลนด์สักพักแล้วพูดว่า “ตอนนี้ฉันจะเชื่อคุณ แต่ถ้าคุณหยุดเรียนรู้กลางทางจริงๆฉันจะเกลียดคุณตลอดไป”
******
汐沙 ซีฉา
“แล้วนักเวทย์ที่ดีควรทำตัวยังไงล่ะ?”
ที่ถามนั้นไม่ได้หมายความว่าโรแลนด์จะทำตามที่อีกฝ่ายพูด เขาแค่อยากรู้ว่านักเวทย์บนโลกนี้ควรวางตัวอย่างไรถึงจะเหมาะสม
จอห์นหัวเราะอย่างตรงไปตรงมา “นักเวทย์ที่ดีควรจะสร้างเครือข่ายและองค์กรของตัวเองโดยธรรมชาติ และสิ่งนี้เชื่อมโยงกับการได้รับความสนับสุนจากขุนนางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
“คุณช่วยอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมได้ไหม” โรแลนด์แสดงท่าทางให้เขาพูดต่อ “คุณก็รู้พวกเราบุตรทองคำมาจากมิติอื่นซึ่งมีวัฒนธรรมทางสังคมที่แตกต่างกันมากเมื่อเทียบกับของคุณ”
“ขุนนางและนักเวทย์อย่างเป็นทางการมีความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน” จอห์นเอนหลังพิงเก้าอี้เล็กน้อยและพูดว่า “นักเวทย์อย่างเป็นทางการนั้นไม่สามารถแยกตัวออกจากขุนนางได้ ในขณะเดียวกันเหล่าขุนนางนั้นก็ต้องการความช่วยเหลือจากเหล่านักเวทย์ ความสัมพันธ์ของพวกเรานั้นเปรียบได้กับปลาและน้ำ”
“แล้วใครเป็นปลาและใครเป็นน้ำ?” โรแลนด์ถามด้วยรอยยิ้ม
จอห์นสะดุ้งครู่หนึ่งแล้วยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “จำเป็นต้องแยกแยะให้ชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ห้องเงียบไปชั่วขณะ ในท้ายที่สุดจอห์นก็ยืนขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “มิสเตอร์โรแลนด์ดูคุณจะมีอคติกับข้านะ”
“บางทีฉันอาจจะมีอคติกับขุนนางทั้งหมดในเมืองนี้!” โรแลนด์เริ่มหัวเราะเบา ๆ “มันก็แค่ปัญหาเกี่ยวกับการสื่อสารกันนิดหน่อยไม่ได้เกี่ยวกับคุณเลยแม้แต่น้อย”
“มิสเตอร์โรแลนด์มันง่ายมากที่จะเดินไปสู่หนทางอันเลวร้ายโดยการไม่โอนอ่อนต่อสิ่งใดเลย”
โรแลนด์ตะคอก “นั่นไม่ใช่ปัญหา อย่างแย่ที่สุดฉันจะย้ายไปเมืองอื่นเพื่อเรียนรู้เวทมนตร์ต่อไป ยังไงบนโลกนี้ก็คงมีสัดส่วนของขุนนางไม่เกิน 5% อย่างแน่นอน”
สีหน้าของจอห์นเปลี่ยนไปเป็นอธิบายได้ยาก “พวกบุตรทองคำต่างเป็นพวกไม่ยอมคนกันทั้งหมดเลยงั้นเหรอ?”
“ไม่หรอก จริงๆแล้วพวกเราส่วนใหญ่ค่อนข้างเป็นคนที่นอบโน้มเลยทีเดียว” แสงที่แหลมคมสะท้อนออกจากดวงตาของโรแลนด์ “ก็แค่พวกเรากำลังอดทนกับปัญหาอะไรสักอย่าง และพวกเรายังไม่มีโอกาสได้ระบายมันออกมาก็เท่านั้น”
เมื่อพูดถึงขนาดนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก
จอห์นยังคงแสดงออกอย่างมีมารยาททางสังคม เขายังอดทนต่อคำพูดสองสามคำเพื่อมารยาททางสังคมจากนั้นก็ออกจากหอคอยเวทมนตร์
หลังจากนั้นไม่นานวิเวียนก็เคาะประตูและเดินเข้ามา
หญิงสาวมีสีหน้าที่เป็นกังวล เธอเดินไปยืนข้างโรแลนด์พร้อมกล่าวว่า “ท่านจอห์นเป็นบุตรชายของนายก ท่านรักษาการท่านอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้หากท่านไปยั่วยุเขา”
“ไม่ต้องกังวลถ้ามันมีปัญหาต่อผลประโยชน์ของหอคอยเวทย์มนตร์ฉันจะเป็นคนออกไปเอง” โรแลนด์พูดอย่างเฉยเมย
ตอนนี้วิเวียนรู้สึกกังวลอย่างแท้จริง เธอโบกมืออย่างแรง “ท่านรองประธานข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น ข้าแค่เป็นห่วงท่าน!”
“ฉันรู้” โรแลนด์ตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา สีหน้าของเขาไม่มีร่องรอยของความโกรธหรือความหงุดหงิด
วิเวียนสำรวจดูเขาอย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่โกรธจริงๆ จากนั้นในที่สุดเธอก็โล่งใจ
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ถามอย่างสงสัยว่า “ท่านรองประธาน ทำไมท่านถึงไม่ชอบท่านจอห์นกัน? เขานั้นเป็นคนดีที่พบเห็นได้ยากในหมู่ขุนนาง เขาดูแลสามัญชนเป็นอย่างดีเสียด้วยซ้ำ!”
“ดีงั้นเหรอ?“ โรแลนด์ถามด้วยน้ำเสียงสงบ “ดียังไงกัน?”
“เขาไม่สุ่มรังแกพวกสามัญชนและหลายครั้งเมื่อเห็นพวกนั้นอยู่ในความยากลำบาก เขาเองก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออีกด้วย นั่นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ยากมาก”
“ฮ่าฮ่า!”
โรแลนด์เยาะเย้ยมุมริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มดูแคลน “เขาเป็นลูกชายของนายกเทศมนตรีเมืองนี้สินะ แล้วเมืองนี้จะเป็นของเขาในอนาคตใช่ไหม?”
วิเวียนพยักหน้ารับ
“ตามแนวคิดของพวกเราบุตรทองคำนั้น ถึงจะอยู่ในยุคที่มีการแบ่งชนชั้นและศักดินาเช่นนี้ นายกของเมืองก็ควรที่จะมีหน้าที่ปกครองสามัญชนและดูแลความปลอดภัยให้แก่พวกเขา” โรแลนด์ถอนหายใจและพูดว่า “ทว่าในเมืองนี้ขุนนางนั้นทำร้ายและผ่ากินหัวใจของประชาชนโดยง่าย หมอนั่นก็ไม่สนใจ ที่ข้างนอกเมืองนั่นมีฆาตรกรต่อเนื่องซึ่งเล็งเป้าหมายไปที่เด็กสาวอยู่ หมอนั่นก็ไม่ใส่ใจ มีขอทานมากกว่าหมืนคนภายในเมือง หมอนั่นก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หรือแม้แต่ปัจจัยพื้นฐานของเมืองหรือภาพลักษณ์ หมอนั่นก็ยังคงไม่สนใจเหมือนเดิม ไม่ทำอะไรแม้งสักอย่าง เอาแต่ยิ้มอย่างอบอุ่นตลอดเวลา แล้วเรียกการกระทำพวกนี้ว่ามีเมตตา ขุนนางอย่างนี้มีค่าพอที่ฉันจะเสวนาด้วยงั้นเหรอ?”
“โอ้…ท่านรองประธานท่านช่างเคร่งครัดจริงๆ”
โรแลนด์ถอนหายใจ “นี่ไม่ใช่การเคร่งครัดหรอกนะ ทว่ามันเป็นอุดมการณ์ของบุตรทองคำส่วนมาก ไม่เพียงไม่ปกป้องคนของตัวเอง ทว่ากลับละเลยพวกเขาโดยสมบูรณ์ และเอาแต่เก็บภาษี ถ้าหากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในเรื่องจริงละก็ … ฮ่า!”
หัวใจของวิเวียนเต้นรัวอย่างรวดเร็ว เธอรู้สึกว่าโรแลนด์ซึ่งในตอนนี้มีสีหน้าดูถูกและเหยียดหยามที่กำลังต่อว่าจอห์นอย่างรุนแรงช่างมีสเน่ห์เหลือเกิน
เธอหน้าแดงก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องไป เธอไม่กล้าอยู่นานมากกว่านี้แม้เพียงน้อย
ภายในหอคอยเวทย์โรแลนด์ยังคงศึกษาความสามารถทางภาษาต่อไปและแล้วมันก็จบไปอีกวัน เมื่อปีนออกจากแคปซูลเสมือนจริง เขาก็ไปที่ฟอรั่มเพื่อดูการวิเคราะห์ของเกมและประสบการณ์ของผู้เล่นคนอื่น หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ไปกินอาหารเช้าก่อนขี่จักรยานสาธารณะไปยังพื้นที่ชนบท
ตอนนี้ยังคงเช้าอยู่ มันพึ่งเจ็ดโมงกว่าๆก็เท่านั้น
ภายใต้หลังคาสังกะสีในสนามฝึก ตอนนี้มีนักเรียนสี่คนเริ่มฝึกดาบกันเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นโรแลนด์มาถึงประตูทางเข้าฉีเฉาชู่ก็เดินเข้ามาหาเขา
“ดูเหมือนว่านายจะตัดสินใจเรียนดาบแล้วสินะ ไม่งั้นนายก็คงไม่มาในเวลานี้หรอก” ฉีเฉาชู่นำบุหรี่ออกมาจุดไฟจากนั้นสูบมันเข้าไปก่อนพ่นควันออกมา “ฉันยังคงคำพูดเดิม 30,000 หยวน สำหรับค่าเรียน ไม่มีส่วนลด”
โรแลนด์นั้นชอบความตรงไปตรงมาของฉีเฉาชู่ “ฉันมีคำถาม คุณสกุล ‘ฉี’…คุณเกี่ยวข้องอะไรกับแม่ทัพฉีกัน? อย่าบอกนะว่าคุณเป็นลูกหลานของเขา”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ตามประวัติของตระกูลฉัน ฉันนั้นเป็นลูกหลานขององครักษ์ส่วนตัวของแม่ทัพฉีผู้ซึ่งได้รับอนุญาติให้ใช้สกุลนี้ได้” ฉีเฉาชู่เกาหัวของเขาอย่างหงุดหงิด “บางทีนายอาจจะไม่อยากเรียนที่นี่ก็ได้หลังจากรู้เรื่องพวกนี้แล้ว จริงๆแล้วฉันสามารถหลอกนายว่าฉันเป็นลูกหลานของแม่ทัพฉีก็ได้ แต่ฉันคิดว่าบรรพบุรุษของพวกฉันไม่เคยแอบอ้างมาก่อนว่าเกี่ยวข้องกับพวกชนชั้นสูง พวกเราบุตรหลานก็ไม่ควรทำเช่นกัน”
โรแลนด์หัวเราะในใจ “ไม่ล่ะ ฉันยิ่งอยากเรียนมากขึ้นไปอีก ถ้าหากคุณบอกว่าคุณเป็นเชื้อสายของแม่ทัพฉีละก็ ฉันคงจากไปในทันทีแล้ว”
ฉีเฉาชู่หรี่สายตามองมายังเขา “นายเป็นคนที่ค่อนข้างแปลกนะ เข้ามาสิ”
โรแลนด์เข้าไปยังสนามฝึก ตามหลังฉีเฉาชู่ไปและเดินมายังบ้านอิฐที่ดูเหมือนยังสร้างไม่เสร็จซึ่งตั้งออยู่ถัดจากสนามฝึกไป
บ้านหลังนี้ไม่ได้ทาสี แต่ติดตั้งหน้าต่างเอาไว้ เขาสามารถมองเห็นหญิงสาวที่กำลังวุ่นอยู่ข้างในอย่างชัดเจน
หลังจากเข้าไปใกล้โรแลนด์ก็ได้กินหอมๆลอยออกมา
ใช่มันคือกลิ่นของบะหมี่ลวก ดูเหมือนจะมีสมุนไพรผสมอยู่
แม้ว่าโรแลนด์จะกินอาหารเช้าไปแล้ว แต่จริงๆแล้วเขาก็รู้สึกหิวเล็กน้อยหลังจากได้กลิ่นหอมนี้
“น้องสาว วันนี้มีคนมาสมัครเรียนด้วย” ฉีเฉาชู่เปิดประตูก่อนจะเดินเข้าไปแล้วตะโกน “มารับเงินจากทางโทรศัพท์หน่อย!”
โรแลนด์เดินเข้าไปข้างในและพบหม้อสีดำขนาดใหญ่ที่วางอยู่บนเตาในครัวตรงหน้าเด็กสาว
ก๋วยเตี๋ยวกำลังเดือดอยู่ข้างในหม้อ น้ำซุปเป็นสีน้ำตาลอ่อน ข้างเตาในครัวมียาจีนสองลูกห่อด้วยผ้าฝ้ายสีขาว ชั้นนอกของผ้าฝ้ายนั้นเปียกและปล่อยไอน้ำลอยออกมาเล็กน้อย
ก๋วยจั๊บเคี่ยวยาจีน?
โรแลนด์ค่อนข้างแปลกใจกับอาหารตรงหน้า
เด็กสาวหันกลับมาและมองไปที่โรแลนด์สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสับสน “มีคนรวยโง่ ๆ ที่ยอมจ่ายค่าเรียนถึง 30,000 หยวนจริงๆหรือ?”
เมื่อเธอพูดคำเหล่านี้ใบหน้าของฉีเฉาชู่ก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความหงุดหงิด
จริงๆแล้วสโมสรเกมพวกนี้รวยขนาดไหนกันแน่
โรแลนด์ไม่มั่นใจในเรื่องนี้นัก ทว่าเขาก็รู้ว่าพวกเกมเมอร์ส่วนใหญ่ที่รวยๆนั้นมักจะมาจากสโมสรเกม หรือกระทั่งบางคนอาจจะเป็นผู้สร้างสโมสรเกมขึ้นเองด้วยซ้ำ
พวกคนรวยพวกนี้มักจะเป็นมหาเศรษฐีในชีวิตจริง ทว่าพวกเขาไม่สามารถหาสิ่งที่ตื่นเต้นทำได้ พวกเขาไม่สูบบุหรี่หรือเล่นการพนัน พวกเขาทำเพียงแค่ลงเงินไปกับเกมออนไลน์เท่านั้น
พวกเขายอมจ่ายเพื่ออุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมในราคากว่าแสนเหรียญอย่างง่ายดายราวกับกินข้าวหรือดื่มน้ำ
โรแลนด์เคยได้ยินข่าวที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือได้ว่า ในเกมเทิร์นเบสซึ่งมีเนื้อเรื่องดัดแปลงมาจากการเดินทางสู่ตะวันตกนั้น มีผู้เล่นที่ร่ำรวยบางคนยอมจ่ายกว่าล้านเหรียญเพื่ออุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมซึ่งไม่มีข้อจำกัดด้านเลเวลและการันตีคริติคอลจากบ้านประมูล
และจากคำพูดที่ผู้เล่นที่ร่ำรวยคนนี้บอกไว้ เขาหมดเงินไปกับเกมนี้กว่าสิบล้านหยวนแล้ว
นี่เป็นเพียงหนึ่งในกลุ่มของผู้เล่นที่ร่ำรวยภายในเกม
เศรษฐีคนนี้นั้นเป็นผู้เล่นเดี่ยวในขณะที่มีเศรษฐีบางคนเลือกที่จะรับสมัครผู้เล่นคนอื่นๆและสร้างเป็นกลุ่มองค์กรณ์เล็กๆโดยมีตนเองเป็นศูนย์กลาง และถ้าหากว่ามันได้รับการจัดการที่ดีพอละก็จากองค์กรณ์มันก็จะเปลี่ยนเป็นสโมสรเกม
เมื่อได้ยินคำพูดของฮอร์ก โรแลนด์ก็รู้ได้ทันทีว่าหัวหน้าของสโมสรเกมปีกสีเงินนั้นก็เป็นเศรษฐีเช่นเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้น หากพิจาณาจากการซื้อเหรียญทองของฮอร์กก่อนหน้านี้ หมอนี่ก็น่าจะเป็นคนรวยเหมือนกัน
“แต่ฉันไม่มีเหรียญทองมากมายในทุกเดือนหรอกนะ” โรแลนด์กล่าวหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ทว่าฮอร์กกลับหัวเราะ “ก็ใช่ ตอนนี้นายอาจจะไม่มีเงินมากนัก ทว่านายจะมีเงินมากมายในอนาคต ตราบใดที่มีนักเวทย์อยู่ พวกนั้นจำเป็นต้องจ่ายเหรียญทองให้แก่นายเป็นเครื่องบรรณาการ นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ในอนาคตบางทีนายอาจจะเป็นคนที่รวยที่สุดในเกม”
จ่ายบรรณาการงั้นเหรอ…ฟังดูน่าอายเป็นบ้า
โรแลนด์ครุ่นคิดสักครู่แล้วพูดว่า “ก็ได้ถ้าในอนาคตฉันมีเหรียญทองมากมายจริงๆฉันจะขายให้พวกนายในราคาตลาด”
เมื่อเห็นว่าโรแลนด์ตอบตกลงฮอร์กก็หัวเราะอย่างมีความสุขและกล่าวว่า “ขอบใจมากและยินดีที่ได้ร่วมมือกับนายนะ อ้อจริงสิ หัวหน้าของพวกเราขอให้ฉันชวนนายเข้ากิลด์ปีกสีเงินอีกครั้งน่ะ พวกเราสามารถเจรจาเรื่องเงินกันได้นะ”
“โทษทีนะแต่พอดีฉันมีกิลด์แล้ว”
ทันใดนั้นการแสดงออกของฮอร์กก็กลายเป็นสับสนทันที มีไม่กี่สโมสรกิลด์ที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงในโลกแห่งเกม พวกเขานั้นอยู่ในระดับกลางๆ ไม่มีชื่อเสียงมากนักทว่าก็มีตัวตนอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามหัวหน้ากิลด์ของพวกเขานั้นมีความสามารถในการคาดเดาอนาคตที่แข็งแกร่ง เขารู้สึกได้ว่าเกมนี้เป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงได้กว้านซื้อแคปซูลเสมือนจริงเอาไว้ให้เพื่อสำหรับผู้เล่นหลายคนภายในสโมสร
ในขณะที่หลายๆสโมสรคิดว่าเพนกวินคอโปเรชั่นนั้นน่าจะโฆษณาอย่างเกินจริงและหลอกลวง พวกเขาก็ได้รวบรวมคนไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาหาเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งจากนั้นก็เช่าตึกขนาดใหญ่ไว้เป็นสาขาใหญ่ของสโมสรอย่างชั่วคราว สมาชิกทั้งหมดที่มีแคปซูลเสมือนจริงต่างอาศัยอยู่ที่นั่น
ทุกคนต่างเคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่ม
ตามความคิดแบบเดิมของหัวหน้ากิลด์คือการใช้ประโยชน์จากการรวมตัวกันเพื่อทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือการยึดทรัพยากรภายในเกม
อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคาดคิดว่าจุดเกิดของผู้เล่นทุกคนจะถูกสุ่ม
ยิ่งไปกว่านั้นคือพื้นที่ภายในเกมนั้นกว้างเป็นอย่างมาก
สมาชิกหลายร้อยคนต่างกระจัดกระจายไปทั่วดินแดนฮอลเลวิล ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยังไม่ได้เริ่มทำอะไรสักที
“กิลด์อะไรงั้นเหรอ?” ฮอร์กอดไม่ได้ที่จะถาม
“F6!”
“โอ้!” ฮอร์กถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่ไม่ใช่ศัตรูของพวกเขาโบสถ์แห่งกาแลนด์ จากนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ “เดี๋ยวนะ F6 กิลด์แรกภายในเกมงั้นเหรอ?”
โรแลนด์พยักหน้า
ในขณะนี้เองฮอร์กก็ราวกับสูญเสียอะไรบางอย่าง
การปรากฏตัวของกิลด์ F6 ทำให้หลายคนในโลกของสโมสรเกมสับสน พวกเขาสงสัยว่ากิลด์นี้นั้นอยู่ในเกมไหนกันแน่ ทำไมพวกเขาถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน
บางสิ่งที่กิลด์ขนาดใหญ่เช่นพวกเขายังไม่สามารถทำได้ กิลด์เล็กๆนี้ทำได้ยังไง?
ก็แค่โชคดีหรือแข็งแกร่งอย่างแท้จริง? มีหลายความคิดปรากฎขึ้นมา
หลังจากเงียบไปพักหนึ่งฮอร์กก็พูดอย่างหน้าด้านขึ้นมาว่า “ในเมื่อนายเป็นคนของ F6 แล้วพวกเขาก็เป็นเพื่อนกันใช่ไหม นายช่วยเปิดเผยวิธีที่พวกนายสร้างกิลด์และทำยังไงถึงสร้างกิลด์ได้เร็วขนาดนี้ทีได้ไหม? แล้วก็ถ้าไม่ว่าอะไรกิลด์มีฟังก์ชั่นพิเศษอะไรบ้าง?”
สำหรับโรแลนด์ฮอร์กนั้นไม่เลวเลยทีเดียว ผู้เล่นคนนี้บางทีอาจจะดีพอที่จะสานสัมพันธ์ไว้
นอกจากนี้นี่ก็ไม่ใช่ความลับที่สำคัญอะไร เพราะถึงยังไงพวกเขาก็ได้รับเกรียติยศสำหรับการเป็นผู้ก่อตั้งกิลเป็นกลุ่มแรกเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้บางทีการทำให้ฮอร์กติดบุญคุณไว้อาจจะมีประโยชน์มากกว่า
จากนั้นโรแลนด์ก็เล่าสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับกิลด์ให้ฮอร์กฟัง
หลังจากที่ฮอร์กฟังจบเขาก็ลุกขึ้นยืนทันทีและกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับข้อมูลของนาย ฉันขอตัวกลับก่อนเพื่อสส่งข้อมูลให้กับกิลด์ ขอตัวก่อนนะ”
โรแลนด์โบกมือลา
ฮอร์กหันและจากไปโดยไม่รอช้า
ตอนนี้นอกเหนือจาก F6 แล้ว ก็มีเพียงปีกสีเงินเท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับความจริงที่ว่ากิลด์มีฟังก์ชันการสื่อสาร
ฟังก์ชั่นนี้มีความสำคัญมากอย่างน้อยในมุมมองของฮอร์ก มูลค่าเชิงกลยุทธ์ของมันก็เทียบเท่ากับออกคำสั่งระยะไกล มันจำเป็นต้องได้รับอย่างรวดเร็วที่สุด
หลังจากรอให้ฮอร์กออกไปโรแลนด์ก็ส่ายหัวออกมา
เขาใช้ฟังก์ชั่นแชทของกิลด์อยู่เสมอ แต่ด้วยความที่ว่าสมาชิกของ F6 คุ้นเคยกันมาก ดังนั้นถ้าไม่สำคัญจริงๆพวกเขาไม่มีทางที่จะคุยกันไม่หยุด
พวกเขาจะทิ้งเฉพาะข้อมูลหรือข้อความที่ค่อนข้างสำคัญไว้ในห้องสนทนา
ตัวอย่างเช่น…ราฟเทลเห็นทาสเอลฟ์ในเมืองเมื่อสองวันก่อน เขาถามว่าชัคและเบทต้าว่า “คนรวย” พวกนายต้องการซึ้อพวกเธอไหม พวกเธอสวยมาก
ในไม่ช้าหลี่หลินก็รีบไปหาราฟเฟิล – ทั้งสองคนนั้นเกิดค่อนข้างใกล้กัน และในวันที่สองที่คำว่า “เจ๋ง” ถูกทิ้งไว้บนอินเทอร์เฟซของแชทกิลด์
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงเขาก็ทิ้งข้อความไว้อีกว่า “ฉันเห็นว่าทาสเอลฟ์หญิงคนนี้ค่อนข้างน่าสงสารฉันจึงปล่อยเธอให้เป็นอิสระแล้ว”
คนที่เกิดมาพร้อมช้อนเงินช้อนทองนั้นล้วนแต่อยากลิ้มลองของใหม่อยู่ตลอด
ในเวลานั้นโรแลนด์ถามโดยสัญชาตญาณว่า “นายใช้เงินไปกี่เหรียญทองเพื่อซื้อทาส?“
“แปด!”
อ่า…โรแลนด์เองก็ไม่เข้าใจโลกของคนรวยเช่นกัน
โรแลนด์เปิดห้องแชทของกิลด์อีกครั้ง แม้ว่าจะมีข้อความอีกสองสามข้อความ แต่ก็ไม่มีข้อความไหนที่เกี่ยวข้องกับเขา ดังนั้นเขาจึงศึกษาความสามารถทางภาษาต่อ
ในครั้งนี้เขาต้องการผสานความสามารถทางภาษาและความสามารถทางอักขระเข้าด้วยกัน
ไม่อย่างงั้นมันก็จะกลายเป็นว่า เขาสามารถเข้าใจคำพูดได้แต่ไม่สามารถอ่านได้ หรือสามารถอ่านได้แต่ไม่เข้าใจคำพูด การที่ต้องร่ายเวทย์กลับไปกลับมานั้นถือว่าเป็นปัญหาอย่างใหญ่หลวง
เมื่อได้ผลประโยชน์จากผนึกพลังแห่งโรแลนด์ ในตอนนี้เขาสามารถฟื้นฟูพลังจิตได้อย่างรวดเร็ว
และด้วยจำนวนการทดลองที่มากขึ้นก็ทำให้การทำงานของเขาเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่เขากำลังจดจ่ออยู่กับการผสนเวทย์มนตร์วิเวียนก็เข้ามาอีกครั้ง
“ขออภัยค่ะ ท่านจอห์นจากสภานายกอยากพบท่าน”
โรแลนด์เงยหน้าขึ้น เขารู้สึกว่ามันค่อนข้างแปลก วันนี้มันวันอะไรกัน? ทำไมถึงมีแต่คนอยากเจอเขา
แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องไปพบกับจอห์น
ท้ายที่สุดเขาก็เป็นขุนนาง
หลังจากผ่านไปหลายนาที จอห์นก็นั่งลงในห้องวิจัย จากนั้นเขาก็สำรวจดูโรแลนด์อย่างครุ่นคิดหลังจากนั้นเขาก็พูดว่า “มิสเตอร์โรแลนด์การที่จะพบเจอคุณนั้นช่างยากลำบากเสียจริง”
โรแลนด์ขมวดคิ้วกับคำพูดนี้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะพูดด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่คำพูดเหล่านั้นก็มีคำตำหนิอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เขามองไปที่ชายอีกคน พร้อมยิ้มบางๆออกมาก่อนจะตอบไปว่า “มิสเตอร์จอห์นถ้าคุณหมายถึงเรื่องงานเลี้ยงนั่นต้องขออภัยด้วย พอดีฉันมีปัญหานิดหน่อยเกี่ยวกับเวทมนตร์ ฉันเลยไม่ได้มีอารมณ์ที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยง”
“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” จอห์นมีดวงตาสีฟ้าและผมสีบลอนด์เขาดูหล่อเหลามาก แต่เมื่อเทียบกับชัคแล้วเขายังห่างอีกหลายชั้น “ข้าแค่อยากจะบอกว่ามิสเตอร์โรแลนด์เป็นเวลานานแล้วที่คุณมาที่เดลพอนแห่งนี้ แต่คุณมักจะอยู่ในหอคอยเวทมนตร์นี่ไม่ใช่สิ่งที่นักเวทที่ดีควรทำ”
โรแลนด์สะดุ้งไปชั่วขณะ “แล้วนักเวทย์ที่ดีควรทำตัวยังไงล่ะ?”
หลังจากโรแลนด์กลับบ้านด้วยจักรยานสาธารณะ เขาก็เจอพ่อแม่รอเข้าอยู่ตรงทางเข้าบ้าน
ไฟ LED สำหรับใช้ในบ้านที่สว่างจ้าถูกเปิดไว้อยู่ตรงเพดาน โดยมีเขาและพ่อแม่นั่งอยู่บนโต๊ะ
พ่อและแม่ของเขาพยายามแสดงออกอย่างจริงจังจนใบหน้าของพวกเขาแข็งเหมือนหิน
“พ่อได้ยินว่าลูกลาออกจากงานแล้ว? ทำไมไม่ปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อและแม่ก่อน?” พ่อของโรแลนด์ถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามระงับความโกรธอย่างชัดเจน
โรแลนด์รู้อยู่แล้วว่าคำถามนี้จะมาถึงในสักวันหนึ่ง เขาจึงพยักหน้าตอบรับ
“แล้วลูกคิดจะทำอะไรหละหากไม่ทำงาน? หรืออว่าลูกมีปัญหากับคนภายในบริษัทงั้นเหรอ?”
น้ำเสียงของแม่โรแลนด์นั้นอ่อนโยนเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามในฐานะลูกชายของพวกเขาซึ่งอยู่ด้วยกันมานานกว่ายี่สิบปีมีเหรอที่โรแลนด์จะตามแผนของพวกเขาไม่ทัน
คนหนึ่งรับบทเป็นตำรวจดีในขณะที่อีกคนรับบทเป็นตำรวจเลว เมื่อตอนเป็นเด็กเขามักจะคิดตลอดว่าแม่ของเขาอยู่ข้างเขา เขามักจะบอกความลับบางอย่างกับแม่เสมอและแม่ของเขาก็มักจะให้คำแนะนำเขาอย่างใจเย็นและเป็นระบบ ทว่าท้ายที่สุดพ่อของเขาก็จะรู้เรื่องทั้งหมดภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง หากเหตุการณ์นั้นดีพ่อของเขาก็มักจะสอนเกี่ยวกับศีลธรรมและเรื่องต่างๆอย่างเคร่งครัด ทว่าหากมันเลวร้ายละก็ก้นของเขาจะถูกฟาดด้วยรองเท้าบู๊ท
เมื่อเขาโตขึ้นเขาจึงมองเกมของพ่อแม่ออกและเข้าใจถึงความรักและความห่วงใยของพวกเขา
คนเป็นพ่อและแม่ส่วนใหญ่นั้นมักจะอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกหลาน
“ไม่เกี่ยวกับที่ทำงานหรอก” โรแลนด์นั่งตรงข้ามพวกเขาและตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ผมแค่เจอบางอย่างที่สนใจมากกว่าก็เท่านั้น”
“อะไรงั้นเหรอ?“
พ่อของโรแลนด์ตั้งคำถามขณะที่เขามองดูลูกชายที่ไม่ถูกรบกวนด้วยความรู้สึกผิดหวัง ในอดีตโรแลนด์จะดูค่อนข้างตื่นตระหนกและลนลานเมื่อถูกสอบสวนเช่นนี้ แต่ตอนนี้ลูกชายของเขาดูสงบและนิ่งเงียบ
“ผมกำลังเล่นเกมอยู่”
พ่อและแม่ของเขาขมวดคิ้วแทบจะพร้อมกัน จริงๆเรื่องนี้พวกเขาก็ไม่ผิดอะไร ในสายตาของคนรุ่นเก่าเกมนั้นไม่เคยเป็นอาชีพที่ดี
“นี่คือเงินเก็บในธนาคารของผมม” โรแลนด์หยิบโทรศัพท์ของเขาออกมาและวางยอดเงินในธนาคารต่อหน้าต่อตาพวกเขา “ทั้งหมดนี้ได้รับภายในสองเดือนหลังจากเล่นเกม”
พ่อและแม่ของเขาหยิบมันขึ้นมาตรวจดูและพบว่ามีเงินกว่า 300,000 เข้าไปแล้วในบัญชี พูดตามตรงเงินเก็บของพวกเขาก็ประมาณนี้
หลายครั้งที่คุณบอกว่าคุณน่าประทับใจเพียงใด ทว่าคนอื่นๆนั้นกลับไม่เข้าใจ
อาทิเช่นหากคุณบอกว่าคุณนั้นเป็นช่างระดับสิบแล้ว…ผู้คนส่วนมากก็คงไม่เข้าใจและคิดว่านั้นคงเป็นเพียงแค่ตำแหน่งหนึ่งของพวกช่างเทคนิคที่ได้รับเงินเพิ่มอีกเล็กน้อย
โดยพื้นฐานแล้วความเข้าใจนี้ก็ไม่ได้ผิดทั้งหมด แต่ในแง่ของความรู้ในรายละเอียดจริงๆถือว่ามันห่างจากความจริงไปเยอะ
ถ้าโรแลนด์บอกว่าเกมนี้น่าประทับใจแค่ไหน มันสามารถทำให้คนคนหนึ่งมีเวลาในชีวิตเพิ่มมากขึ้น , ช่วยในการฝึกเข้าสังคม , การต่อสู้ และการเรียนรู้ทักษะต่างๆ พ่อและแม่ของเขาไม่มีทางเชื่อเขาหรือไม่ก็พยายามที่จะเชื่อเขา
พวกเขาไม่เข้าใจว่าแคปซูลเสมือนจริงคืออะไร
อย่างไรก็ตามเมื่อเขายอดเงินในธนาคารของเขาไว้พวกเขาก็เข้าใจ
โอ้…เกมนี้สามารถทำเงินได้เงินมากมายเลยนี่
เมื่อเห็นดังนี้แล้วพ่อแม่ของเขาทั้งคู่นั้นก็คงยังสงสัยและไม่เชื่ออยู่บ้าง ทว่าพวกเขาก็เชื่อในตัวลูกชายว่าเขาคงไม่โกหกเกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญอย่างนี้
“แต่ยังไงเกมมันก็ไม่ใช่วิธีหาเงินที่เหมาะสมไม่ใช่เหรอ? ลูกสามารถเล่นเกมไปตลอดชีวิตได้เหรอ?” พ่อของโรแลนด์คิดสักพักก่อนพูดออกมา
แม่ของโรแลนด์ก็พูดขึ้นมาด้วย “แม่ก็คิดว่ามันน่าจะดีกว่าที่จะทำงานจริงๆ”
หลังจากครุ่นคิดบางอย่างในที่สุดโรแลนด์ก็พูดว่า “งั้นเอางี้เป็นไงครับ ถ้าหากผมไม่สามารถหาเงินล้านเข้าบัญชีได้ภายในสองปี ผมจะเชื่อฟังพ่อและแม่และจะสอบเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ”
ตำแหน่งงานเจ้าหน้าที่รัฐเป็นงานที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่นั้นชื่นชอบ
การสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐในเมืองใหญ่นั้นเปรียบได้กับสะพานที่มีทางเดินแค่ทางเดียว มีผู้คนหลายหมื่นคนต่างแข่งขันกันเพื่อตำแหน่งเดียว
อย่างไรก็ตามในเมืองเล็กระดับสิบแปดการสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐไม่ใช่เรื่องยาก มีหลายตำแหน่งงานที่ถูกรับสมัครไว้เป็นเวลานานเนื่องจากไม่มีคนสมัคร
โรแลนด์จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยลั่ว นอกจากนี้เขายังเป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยมมาตลอดตั้งแต่เด็ก สามารถเดิมพันได้เลยว่ายังไงเขาก็สามารถเข้าทำงานได้อย่างแน่นอน
เหตุผลที่เขาไม่ได้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ทันทีหลังจากเรียนจบไม่ใช่เรื่องอะไร เป็นเพราะเงินเดือนที่น้อยของตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐในเมืองเล็กๆ
หลังจากที่เขากลับมาอยู่บ้านหลังจากเรียนจบเขาได้ลองไปถามข้อมูลมาเรียบร้อยแล้ว และพบว่าตำแหน่งงานของเจ้าหน้าที่ระดับล่างสุดนั้นมีเงินเดือนเพียงเกือบๆ 3000 หยวนเท่านั้น เมื่อรวมสิทธิประโยชน์อื่นๆรวมถึงเงินโบนัสต่างๆแล้ว รวมๆแล้วเดือนนึงยังได้ไม่ถึง 4000 หยวน
หลังจากที่เขากลับบ้านจากการสำเร็จการศึกษาเขาได้สอบถามข้อมูล เงินเดือนฐานหน้าที่ต่ำสุดอยู่ใกล้ 3,000 นอกเหนือจากผลประโยชน์และเงินอุดหนุนค่าจ้างทุกประเภท แต่จำนวนเงินทั้งหมดยังไม่เกิน 4,000
ประโยชน์ของการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐในเมืองเล็กๆนั้นคือสบายและง่าย และยังมีประกันให้ถึงห้าประเภทและกองทุนสะสมให้
เมื่อโรแลนด์พูดมันออกมา เขาดูจริงจังโดยไม่มีข้อสงสัยเลยแม้แต่น้อย
พ่อของโรแลนด์ครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ สักพักและพูดว่า “ตอนนี้ลูกก็โตแล้ว เป็นธรรมดาที่ต้องมีความคิดเป็นของตัวเอง จำไว้หละสองปีเท่านั้นนะ”
“ตกลงครับ”
โรแลนด์ยิ้ม เขาคิดว่าคงต้องใช้ความพยายามพอสมควรในการเกลี้ยกล่อมพวกเขา แต่คาดไม่ถึงว่าพ่อของเขาจะตกลงอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้
อาจเป็นเพราะเงินในธนาคารที่มีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก
หลังจากพูดคุยกับพ่อแม่ของเขาต่ออีกสักพัก โรแลนด์ก็ขึ้นห้องของตัวเองจากนั้นก็เปิดฟอรั่มขึ้นมาและพบว่าหัวข้อเกี่ยวกับเขายังคงมีการพูดถึงอยู่
ในขณะเดียวกันมีผู้เล่นหลากหลายคนโพสต์ทำนองว่าต่อไปพวกเขาจะพยายามค้นหาบัคของเกม
หากพบบัคละก็พวกเขาก็จะร่ำรวยและมีชื่อเสียง คนรุ่นใหม่คนไหนหละจะไม่ชอบ
บางทีอาจมีเพียงคนรวยที่แท้จริงบางคนเท่านั้นที่สามารถมองเรื่องนี้อย่างไม่รู้สึกอะไรได้
ในเวลากลางดึกโรแลนด์ก็นอนลงในแคปซูลเสมือนจริง
ทันทีที่เขาเข้าเกมเขาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ
“คุณได้รับสกิลระดับยูนีคพิเศษ : ผนึกพลังแห่งโรแลนด์ (แท้จริง)”
โรแลนด์เปิดหน้าต่างของสกิลขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ว่าสกิลของเขาจะมีผลเป็นสองเท่าจริงๆใช่ไหม
จากนั้นเขาก็เดินลงไปที่ชั้น 5 เพื่อทำการทดสอบ
เขาปล่อยเวทย์ติดต่อกันกว่ายี่สิบบทจนแทบจะทำให้พลังจิตของเขาหมดไป
เนื่องจากอักขระเวทย์พิเศษที่อยู่ในห้องนี้ทำให้เวทย์ของเขาล้วนแต่ถูกยับยั้งความเสียหายไว้ ทำให้เวทย์ของโรแลนด์ไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆ
เมื่อเขาใช้พลังจิตของเขาจนหมดโรแลนด์ก็นั่งลงตรงมุมห้องก่อนหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน เพื่อรอให้พลังเวทย์ของเขาฟื้นฟูจนเต็ม
ในระหว่างที่เขานั่งพักอยู่นั่นเอง เขารู้สึกว่ามีละอองเวทย์จำนวนมากจากภายในอากาศถูกดูดเข้าไปในร่างกายเขา ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสัมผัสมันได้ชัดเจนอย่างนี้มาก่อน
หลังจากผ่านไปประมาณสองชั่วโมง โรแลนด์ก็รู้สึกได้ว่าพลังจิตของเขาได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์
หนึ่งชั่วโมงห้าสิบเจ็ดนาที…เนื่องจากฉันมีพลังจิตเหลืออยู่นิดหน่อยถ้าหักตรงนั้นไปก็คงสองชั่วโมงสินะ
เนื่องจากฉันได้รับผลจากสกิลเป็นสองเท่า นั่นหมายความว่านักเวทย์คนอื่นๆต้องใช้เวลาถึงสี่ชั่วโมงในการฟื้นฟูพลังงานจนเต็มสินะ
มันค่อนข้างดีมากเลยทีเดียว ถ้าเขามีอุปกรณ์ที่เร่งการฟื้นฟูพลังจิตเขาก็จะยิ่งฟื้นฟูได้เร็วขึ้นไปอีก
แม้ว่าจะไม่ได้รับผลเป็นสองเท่า แต่ผนึกพลังแห่งโรแลนด์ก็ถือว่ายอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงเอฟเฟคที่ช่วยเพิ่มความต้านทานจิตใจถึงสามเท่านั่นอีก
ตามปกติแล้วนักเวทย์ส่วนใหญ่ต้องใช้เวลากว่าสิบชั่วโมงในการฟื้นฟูพลังจิต ขึ้นอยู่กับค่าฟื้นฟูพื้นฐานของแต่ละคนด้วย
คนที่มีคุณสมบัติฟื้นฟูต่ำอาจจะใช้เวลานานกว่านั้นอีก
ด้วยความสามารถพิเศษนี้เองจะช่วยแก้ไขปัญหาของนักเวทย์ได้โดยสมบูรณ์
ในอนาคตหากมีอุปกรณ์ของนักเวทย์ให้เลือก เขาก็สามารถเลือกไปที่คุณสมบัติการเพิ่มพลังป้องกันได้โดยไม่ต้องคิดอะไร
ในตอนนั้นเองวิเวียนก็เดินมายังชั้นนี้ ดวงตาของเธอเปล่งประกายขึ้นเมื่อเธอเห็นโรแลนด์และเธอก็เข้ามาเขาและพูดว่า “รองประธานมีขุตรทองคำกำลังรอท่านอยู่ข้างนอก”
โรแลนด์คิดว่าคงเป็นเบทต้าทว่าสุดท้ายแล้วกลับเป็นฮอร์กที่รอเขาอยู่
โรแลนด์พาเขาไปที่ห้องวิจัยของตนก่อนบอกให้เขานั่งลง ทันใดนั้นวิเวียนก็เสิร์ฟไวน์และขนมหวาน
ฮอว์กมองดูวิเวียนจากไปจากนั้นก็หันมาพูดด้วยสีหน้าอิจฉาว่า “เลขานายนี่ช่วยดูแลทุกอย่างจริงๆและถ้าไม่มีอะไรทำแล้ว…นายก็สามารถสนุกกับเธอได้อย่างเต็มที่”
โรแลนด์กลอกตาไปที่เขาอย่างช่วยไม่ได้ “นายช่วยเลิกคิดสกปรกๆแบบนั้นได้ไหม? พูดมาว่าอะไรพานายมาที่นี่? นายพบเจอปัญหาระหว่างการรวบรวมขอทานงั้นเหรอ?”
“เกี่ยวกันนิดหน่อยหนะ” ภายใต้สายตาที่ค่อนข้างงุนงงของโรแลนด์ ฮอร์กกล่าวต่อว่า “ฉันลองบอกเรื่องนี้กับหัวหน้าสโมสรดูแล้วหัวหน้าของพวกเราคิดว่ามันเป็นไปได้ แต่ในการรวบรวมและจัดตั้งกองกำลังขอทาน ในระยะแรกนั้นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหัวหน้าของพวกเราจึงอยากทำสัญญาร่วมมือระยะยาวกับนาย!”
โรแลนด์ถามอย่างสงสัย “ร่วมมือเรื่อง?”
“พวกเราจะขอซื้อเหรียญทองจำนวนมากจากนายในราคาตลาด ไม่ว่านายจะขายจำนวนเท่าไหร่พวกเราก็จะรับซื้อเท่านั้น!”
เมื่อเขาเปิดเว็บไซต์อย่างเป็นทางการบนโทรศัพท์เขาก็เห็นประกาศที่ถูกปักหมุดไว้ทันที “เกี่ยวกับข้อผิดพลาดของเวทย์สมาธิ”
“เมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว ผู้เล่นนักเวทย์โรแลนด์ได้รายงานเกี่ยวกับข้อผิดพลาดเกี่ยวกับความสามารถพิเศษของนักเวทย์เวทย์สมาธิเข้ามา เมื่อพวกเราได้รับเรื่องพวกเราได้เร่งทำการตรวจสอบในทันทีและพบว่าเป็นไปตามที่โรแลนด์ได้กล่าวอ้างมาว่า ความสามารถพิเศษของนักเวทย์เวทย์สมาธินั้นไม่สามารถเรียนรู้ได้ภายในเกม ดังนั้นพวกเราจึงได้ทำการตัดสินใจอันยากลำบาก ในอนาคตเวทย์สมาธิจะกลายเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะเหล่า NPC เท่านั้น ในขณะเดียวกันเวทย์สมาธิของผู้เล่นนั้นจะถูกเปลี่ยนเป็น ‘ผนึกพลังแห่งโรแลนด์’ ซึ่งเป็นความสามารถพิเศษแบบติดตัวซึ่งมีผลเฉพาะสำหรับนักเวทย์เท่านั้น โดยมีผลช่วยในการฟื้นฟูพลังงานเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าจากเดิมและจะช่วยเพิ่มค่าความต้านทานทางจิตขึ้น 3 เท่า”
“ในขณะเดียวกัน ระดับของความสามารถพิเศษนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นระดับยูนีคพิเศษ ผู้เล่นโรแลนด์ผู้ซึ่งเป็นคนค้นพบสิ่งนี้ดังนั้นเขาจะสามารถได้รับผลของสกิลนี้เป็นสองเท่า รูปปั้นโรแลนด์จะถูกนำเข้ามาภายในเกม ณ ที่ใดที่หนึ่งที่นอกเมืองหลวงของฮอลเลวิล มันจะถูกจัดเป็นสิ่งปลูกสร้างชนิดพิเศษซึ่งไม่สามารถทำลายหรือถูกย้ายได้ สำหรับผู้เล่นนักเวทย์ที่ต้องการความสามารถพิเศษนี้สามารถได้รับด้วยการโยนเหรียญทองหนึ่งเหรียญเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการแก่รูปปั้นของโรแลนด์ เหรียญทองนั้นจะไปปรากฎภายในกระเป๋ามิติของผู้เล่นโรแลนด์โดยอัตโนมัติเป็นค่าบรรณาการ นี่เป็นความสามารถที่มีเพียงเฉพาะนักเวทย์เท่านั้นที่สามารถเรียนผ่านการจ่ายเงิน ด้วยความเคารพอย่างสูง”
หลังจากเขาอ่านจบ เขาก็รู้ว่าต้องมีคนพูดถึงเขาอีกมากมายแน่นอน ไม่แปลกใจว่าทำไมชัคถึงโทรหาเขา
เขาถอนหายใจรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
แม้ว่าการมีชื่อเสียงอาจถือเป็นเรื่องดี แต่การมีชื่อเสียงด้วยวิธีนี้มันทำให้รู้สึกราวกับว่าผู้วางแผนต้องการผลักเขาลงไปในกองไฟ
เขาไม่มั่นใจว่าพวกนักเวทย์คนอื่นจะตีตัวออกจากเขาหรือไม่
โรแลนด์ไม่อยากเห็นฟอรัมของเกมในตอนนี้ แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ยังคงเปิดมัน
การหลบหนีไม่มีประโยชน์อะไร สุดท้ายเขาต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดีไม่ช้าก็เร็ว
ตามคาด…ผู้เล่นจากหลากหลายอาชีพต่างมาร่วมวงดูเรื่องนี้ โดยกลุ่มหลักที่ออกมาโวยวายนั้นคือนักเวทย์
ทำไมถึงเป็นแบบนั้นหละ?
ราคาของเหรียญทองเพียงเหรียญเดียวตอนนี้ถูกผลักให้สูงถึงเกือบ 16,000 เหรียญสาวอ่อน [1] แม้ว่าโรแลนด์จะได้รับทิปมากมายจากในฟอรั่ม เขาได้รับทิปจากผู้เล่นกว่าพันหรือแม้กระทั่งหมื่นจากแต่ละกระทู้ของเขา
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผู้พัฒนาเกมในตอนนี้ทำก็คือการฉกเงิน 16,000 หยวนออกจากกระเป๋าผู้เล่นนักเวทย์ทุกคนโดยตรง
คงจะแปลกถ้าผู้เล่นไม่ออกมาบ่นกัน
ลองคิดดูสิ – มีผู้เล่น 500,000 คนแม้ว่าจะมีผู้เล่นนักเวทย์น้อยลงเรื่อย ๆ แต่ถ้าสมมุติว่ามีผู้เล่นนักเวทย์หมื่นกว่าคนที่เรียนรู้ทักษะนี้ นี้มันจะเท่ากับสามารถเติมเต็มเป้าหมายเล็กๆได้สองรอบเลยทีเดียว [2]
คงเป็นเรื่องแปลกสำหรับผู้เล่นที่จะไม่กินมะนาว [3]
บรรยากาศภายในฟอรั่มเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน ผู้เล่นบางส่วนก็อิจฉาเขา ผู้เล่นบางคนก็ต่อว่าการตัดสินใจครั้งนี้ด้วยความโกรธ บ้างก็บอกว่าโรแลนด์นั้นเป็นพนักงานของเกมที่มาทดสอบวิธีหาเงินวิธีต่างๆ
แน่นอนว่ามีผู้เล่นที่ร่ำรวยบางคนออกมาแสดงความเห็นว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
จริงๆแล้วการแลกเงินเพียง 16,000 เหรียญเพื่อสกิลที่พิเศษแบบนี้นั้นถือว่าเป็นกำไรแล้ว
อาจกล่าวได้เพียงว่าโลกทัศน์ของคนปกติและคนรวยแตกต่างกันเกินไป
เมื่อรู้สึกว่าเขาถูกเล่นโดยนักวางแผนเกมคนหนึ่งชื่อหม่า โรแลนด์ก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมาทันทีเขาปิดโทรศัพท์และเก็บมันไว้ในเสื้อ
จากนั้นเขาก็เดินไปหาชายหนุ่มที่รอเขาอยู่ “โค้ชจะให้ผมเรียกคุณว่าอะไรดี?”
“ฉันสกุลฉี เรียกฉันว่าฉีเฉาชู่ก็ได้” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “นายสามารถดูการฝึกของเราก่อนก็ได้ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะเรียนที่นี่ไหม”
โรแลนด์สะดุ้งไปชั่วขณะ เขาลองค้นข้อมูลดูอย่างง่ายๆมาก่อน ซึ่งได้ความว่าเหมียวเต๋านั้นเคยถูกเรียกว่าซินโหยวมาก่อนที่จะมีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามรายงานกล่าวว่า ฉีจี่กวง [4] ได้ได้สู้กับพวกโจรสลัดชาววา เขาลอกเลียนแบบเทคนิคดาบของพวกนั้นและสร้างเทคนิคดาบใหม่ขึ้นมาเพื่อคร่าทุกขีวิตในสนามรบ
ชายหนุ่มตรงหน้าเขานี้ก็มีสกุลฉีเช่นกัน…หรือเขาจะมีความเกี่ยวข้องกัน?
โรแลนด์มองไปที่นักเรียนสี่คนที่อยู่ในสนามฝึกจากนั้นก็ส่ายหัวและพูดว่า “ไม่เป็นไร ผมมั่นใจว่าคุณสอนได้ยอดเยี่ยม ทว่าผมขอเวลาพิจารณาอีกสักหน่อย เพราะถึงยังไงสามหมื่นหยวนก็แพงไปหน่อย”
“ได้เลยตามสบาย”
ภายใต้สถานการณ์ปกติเมื่อมีคนบอกว่าพวกเขาจะพิจารณาพวกเขาปฏิเสธด้วยวิธีการปลอมตัวเป็นเพียงวิธีการพูดคุยที่ค่อนข้างมีไหวพริบ
ฉีเฉาชู่ก็คิดว่าโรแลนด์ก็คงเป็นแบบนั้นเช่นกัน เขาจึงพยักหน้าและกล่าวว่า ”อ่าหะ ถ้างั้นฉันขอตัวกลับไปที่สโมสรก่อนก็แล้วกัน ใช่เวลาพิจารณาตามสบายเลย
ด้วยเหตุนี้ ฉีเฉาชู่จึงกลับมาที่สนามฝึกขนาดใหญ่ หญิงสาวที่กำลังรดน้ำลงพื้นอยู่เดินตรงเข้าไปหาฉีเฉาชู่ จากนั้นก็วางถังน้ำลง เธอยืนมือเท้าสะเอว จากนั้นก็พูดบางสิ่งที่ทิ่มแทงออกมา ฉีเฉาชู่ผู้ที่ไม่เคยแสดงท่าทางใดๆก็ทำท่าทางเลิกลั่ก ถ้าก้มหัวกราบได้คงกราบไปแล้ว
นี่…หมอนี่เชื่อถือได้ไหมเนี่ย?
โรแลนด์เริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อย
เด็กสาวคนนี้ดูธรรมดา ผิวของเธอค่อนข้างขาวซึ่งทำให้เธอดูสวยขึ้นเล็กน้อย
เพราะยังไงการที่มีผิวขาวก็มีพลังมากพอที่จะซ่อนความผิดได้เจ็ดประการ
ดูเหมือนเธอจะรู้สึกได้ว่ามีใครมองเธออยู่ หลังจากเธอต่อว่าฉีเฉาชู่อีกไม่กี่คำเธอก็หันหน้ามาทางโรแลนด์
ระยะห่างระหว่างทั้งสองไม่ถือว่าไกลนัก โรแลนด์สามารถมองเห็นประกายระยิบระยับที่สวยงามและไม่ชัดเจนในดวงตาของหญิงสาว
มันค่อนข้างน่าหลงใหลเลยทีเดียว
โรแลนด์พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการอำลาจากนั้นก็ออกไปพร้อมจักรยานสาธารณะ
หลังจากที่โรแลนด์อยู่ไกลออกไปเด็กสาวก็ถอนสายตาออกอย่างรวดเร็ว เธอมองไปที่ ฉีเฉาชู่และถามว่า “ฉันเพิ่งเห็นว่าพวกนายปะทะกัน”
“นั่นก็แค่ทดสอบ” ฉีเฉาชู่ยังคงไม่ได้ลบหน้าตาที่น่ารังเกียจบนใบหน้าของเขาออกจนหมด “ความเร็วในการตอบสนองของผู้ชายคนนั้นค่อนข้างเร็วดูเหมือนว่าเขาจะฝึกมวยมาอย่างน้อยห้าปีหรือมากกว่านั้น แต่ถ้าดูจากอายุของเขาก็คงยังฝึกมาไม่ถึงสิบปีหรอก”
“นายชนะเขาได้รึเปล่า”
“อาจจะไม่ถ้าหากมือเปล่า” ฉีเฉาชู่ลบหน้าตาที่น่ารังเกียจบนใบหน้าของเขาไปเรียบร้อยแล้ว เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยสมาธิและนิ่งสงบ “ทว่าหากฉันมีดาบเหมียวเต๋าอยู่ในมือละก็ต่อให้มีหมอนั่นสามคน ฉันก็สามารถหั่นครึ่งพวกเขาได้อย่างสบายๆ”
“มันไม่น่าภูมิใจหรอกนะที่จะใช้อาวุธรังแกคนที่มือเปล่า!” หญิงสาวต่อว่าออกมา
ฉีเฉาชู่หัวเราะเบา ๆ “การใช้อุปกรณ์เป็นทักษะที่มีเพียงมนุษย์เท่านั้นถึงมีได้”
หญิงสาวตะโกน “ ใครกันที่ยังคงพึมพำบางอย่างเช่น ‘ตั้งแต่ยุคของอาวุธปืนมาถึงมันกลายเป็นยุคแห่งความเศร้าโศกสำหรับผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้‘?”
ใบหน้าของ ฉีเฉาชู่เหี่ยวย่นลงเมื่อพูดคำเหล่านี้ เขาพูดอย่างเชื่องช้า “น้องสาวยังไงฉันก็เป็นพี่ชายเธอนะช่วยไว้หน้าฉันหน่อยได้ไหม?”
หญิงสาวร้องเสียงหลงและพูดอย่างไม่มีความสุขว่า “ฉันเคยบอกนายแล้วไงว่าค่าเรียน 30,000 หยวน ของนายนั้นแพงเกินไป ดูสิขนาดผู้เชี่ยวชาญตัวจริงยังหนีไปเลยหลังจากได้ยินตัวเลขนั่น ถ้าหากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป พวกเราจะมีแต่รายจ่ายและไม่มีรายรับ”
ในตอนนั้นเอง ฉีเฉาชู่ก็ใช้ไฟแช็กจุดบุหรี่ให้กับตัวเองจากนั้นก็คาบไว้ที่ปากก่อนจะพ่นมันออกมาเบาๆ
ควันไฟสีขาวลอยขึ้นตรงไปยังบนฟ้า ฉีเฉาชู่กล่าวอย่างจริงจังว่า “อย่ากังวลไปเลย ถ้าฉันยังไม่สามารถรับสมัครนักเรียนจากข้างนอกได้ภายในครึ่งปีนี้ ฉันจะปิดสโมสรและหาเงินด้วยการเป็นบอดี้การ์ดให้ใครสักคน”
การแสดงออกของหญิงสาวผ่อนคลายลง “ฉันไม่ได้บังคับให้พี่ปิดสโมสรหรอกนะ ฉันแค่อยากจะเตือนให้พี่เตรียมใจให้พร้อมเผื่อความล้มเหลว”
“เข้าใจน่า” ฉีเฉาชู่ยิ้มออกมา ทว่าในรอยยิ้มของเขานั้นมีประกายของความเศร้าโศก
หญิงสาวไม่พูดอะไรอีก เธอหยิบถังขึ้นมาอีกครั้งและรดน้ำลงบนพื้นปูนต่อ
***
[1] ขออธิบายก่อนสักนิดนะครับว่าค่าเงินของจีนจริงๆแล้วไม่ได้ชื่อว่า ‘หยวน’ นะครับ ‘หยวน’ คือค่ายูนิตของเงินครับ
เงินจีนจริงๆแล้วจะเรียกว่า 人民币 หรือ rénmínbì เหรินเหมินปี้นะครับ
คืออาทิรูปแบบประโยคนะครับ เงินเหรินเหมินปี้จำนวน 100 หยวน
แล้วคราวนี้คือมุขของพาร์ทนี้ครับ คือ 人民币 หรือ rénmínbì จะย่อพินอินได้ว่า RMB ซึ่งมันไปตัวย่อมันสามารถเพี้ยนหรือเล่นคำไปเป็นคำว่า 软妹币 หรือ Ruǎn mèi bì หรือแปลว่าเหรียญสาวอ่อนได้ หรือตรงๆก็เหรียญของน้องสาวที่ดูนุ่มนิ่ม
[2] มันเป็นมีมของคนที่ชื่อ 王健林 หวางเจี่ยนหลิน คือแกเป็นโคตรอภิมหาเศรษฐีครับ แกเคยสัมภาษณ์หรือพูดทำนองไว้ว่าทุกคนต้องเริ่มจากเป้าหมายเล็กๆก่อน โดยเริ่มต้นเป้าหมายที่ 100 ล้านหยวน…ครับ
[3] กินมะนาวเหมือนคำอธิบายตอนที่ 65 ครับ แปลว่า ไอ้แม่***
[4] 戚繼光 ฉีจี่กวง เป็นแม่ทัพที่มีอยู่จริงภายในประวัติศาสตร์ของจีนครับ
แม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะไม่มีประกายชีวิตในแววตาของเขา แต่เขาก็มีรูปร่างที่ดีมากส่วนสูงประมาณ 180 เซนติเมตร เขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีเทาธรรมดาคู่กับกางเกงยีนส์
ดวงตาที่ไร้วิญญาณของเขาจ้องไปที่โรแลนด์สักพักแล้วเขาก็เดินเข้ามา ระหว่างพวกเขาถูกกั้นด้วยกำแพงอิฐสีแดงเตี้ย ๆ เขาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงว่า “เพื่อนนายมาทำอะไรที่นี่กัน?”
“แค่มาลองสำรวจดูหนะ” โรแลนด์ขยับสายตาออกห่างจากชายหนุ่ม เขาจ้องไปที่นักเรียนสองคนที่ซ้อมอยู่ในสนามและพูดอย่างไม่เร่งรีบ “ฉันได้ยินมาว่าที่นี่เป็นสโมสรเหมียวเต๋าดังนั้นฉันจึงมาดูว่าที่นี่เป็นของจริงหรือไม่”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างกระวนกระวายราวกับว่าเขากำลังพยายามยิ้ม “เชิญตามสบายเลย”
นักเรียนซ้อมทั้งสองคนถือกระบี่ไม้โค้งยาวสองอันซึ่งดูคล้ายกับทาจิ [1] ของพวกชาววา [2] มากและลำดับการเคลื่อนไหวและการโจมตีระหว่างทั้งสองนั้นค่อนข้างคล้ายกับเคนโด้มากในแวบแรก
ไม่น่าแปลกใจที่คนมักคิดว่าเทคนิคเหมียวเต๋านั้นจะมาจากเคนโด้
หลังจากดูทั้งสองประลองกันสักพักหนึ่งโรแลนด์ก็เริ่มมั่นใจว่าที่นี่เป็นสโมสรเหมียวเต๋าจริงๆแน่นอน
หลังจากเขาได้ฝึกฝนการชกมวยเป็นเวลาสองเดือนแม้ว่าเขาจะไม่กล้าอ้างว่าแข็งแกร่งมากนัก แต่เขาก็ยอดเยี่ยมได้กว่าโค้ชที่สอนมานับสิบปีเล็กน้อย แต่การรับรู้ของเขาก็นับว่าดีขึ้นมาก
ผู้ที่ฝึกฝนการชกมวยเป็นธรรมดาที่จะต้องเรียนรู้การจู่โจมและถอย และนั่นก็เป็นพื้นฐานของวิชาดาบเช่นกัน
ความแข็งแกร่งในการฟาดฟันดาบหรือความสามารถในการชักดาบออกจากฝัก โรแลนด์สังเกตุเห็นสิ่งเหล่านี้ได้จากพวกนักเรียนที่กำลังฝึกกันอยู่ ดูเหมือนพวกนั้นจะมีพื้นฐานแล้วสินะ
หลังจากดูอยู่สักพักโรแลนด์ก็ถามชายหนุ่มว่า“พี่ชายแล้วโค้ชกับประธานสโมสรแห่งนี้อยู่ที่ไหนงั้นเหรอ”
“ฉันเป็นทั้งคู่นั่นแหละ” ชายหนุ่มยังคงมีสีปลาตายและไม่สนโลก เขาสำรวจร่างกายโรแลนด์และพูดว่า “ดูเหมือนนายจะมีพื้นฐานในศิลปะการต่อสู้แล้ว”
“ใช่ฉันฝึกชกมวยมาสองเดือนแล้ว!”
“สองเดือน?” ในที่สุดชายหนุ่มก็แสดงสีหน้าเปลี่ยนไปเพียงนาทีเดียวราวกับว่าขนนกสีอ่อนตกลงบนผิวน้ำของทะเลสาบอันเงียบสงบทำให้เกิดระลอกคลื่นเบาๆ
“อ่าหะ” โรแลนด์พยักหน้า
“เข้าใจละ…”
ชายหนุ่มพึมพำเบา ๆ สองสามคำจากนั้นมือขวาของเขาก็ตวัดขึ้นในแนวทแยงมุม ปลายฝ่ามือของเขาดูเหมือนพยายามพุ่งโจมตีไปที่ซี่โครงของโรแลนด์
ในส่วนของเขาโรแลนด์ตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาเอนร่างกายส่วนบนของเขาไปด้านหลัง ขณะเดียวกันก็ยกเข่าขึ้นมาโดยสัญชาตญาณและพุ่งไปที่หน้าท้องของชายหนุ่ม
อย่างไรก็ตามทันใดนั้นเขาก็หยุดการเคลื่อนไหว
เพราะเขาเห็นว่าท่าสับของชายหนุ่มเป็นเพียงการทดสอบที่หยุดลงกลางคัน เป็นเพียงการทดสอบอย่างหนึ่งโดยไม่มีเจตนาร้าย
ในขณะนี้การเคลื่อนไหวของพวกเขาทั้งสองดูแปลก ๆ ชายหนุ่มอยู่ในท่าครึ่งม้าโดยใช้มือขวาในท่าที่คล้ายกับกำลังจะชักดาบยาวขึ้นเพื่อฟาดฟัน ในขณะที่โรแลนด์อยู่ในท่าที่กำลังเองหลังและเข่าลอยอยู่กลางอากาศ
หลังจากนั้นประมาณสองวินาทีทั้งสองก็ยืนตรงและยิ้มให้กันอย่างเชื่องช้า
ชายหนุ่มไม่มีสีหน้าไม่แยแสแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ดวงตาของเขามีการแสดงออกที่ค่อนข้างตื่นเต้น “ดูเหมือนว่านายจะฝึกซ้อมได้เป็นอย่างดี ต้องการเข้ามาข้างในและประลองกันไหม”
“อย่างที่ฉันบอกว่าฉันเป็นนักมวย ส่วนคุณเป็นนักดาบฉันไม่น่าจะเป็นคู่ต่อสู้กับคุณได้” โรแลนด์ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
“ก็นะ…” ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความผิดหวังสีหน้าของเขากลับเป็นเหมือนศพไร้ชีวิต
“ที่จริงฉันมาเพื่อเรียนรู้เทคนิคเหมียนเต๋า” โรแลนด์มองไปที่ชายหนุ่มและพูดด้วยรอยยิ้มเบา ๆ ว่า “ดูเหมือนว่าการเรียนการสอนที่นี่จะค่อนข้างดั้งเดิม – ค่าเรียนเท่าไหร่?”
“สามหมื่น!”
“เท่าไหร่นะ!?” โรแลนด์สงสัยว่าเขาได้ยินผิด
“สามหมื่น” ชายหนุ่มหาวและพูดต่อ “รับประกันว่าจะสอนนายจนกว่านายจะเชี่ยวชาญ ถ้านายโง่และไม่สามารถเรียนรู้มันได้ในเวลาอันสั้นฉันจะสอนนายจนกว่านายจะเชี่ยวชาญ แต่นายก็ดูไม่เหมือนคนโง่สักเท่าไหร่”
โรแลนด์รู้สึกปวดหัว “ราคานี้แพงเกินไป! สถานที่ของคุณก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น มันยังขาดอะไรอีกตั้งหลายอย่าง มันไม่คุ้มค่ากับเงินระดับนั้น”
ขณะที่เขาพูดแบบนี้เขาชี้ไปที่สนามฝึกที่มีเพิงสังกะสีค้ำอยู่ สถานที่นี้ดูเหมือนลานสเก็ตในเมืองเล็ก ๆ เมื่อยี่สิบปีก่อน
จริงๆแล้วเขาก็เดาถูกจริงๆ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วสถานที่แห่งนี้เป็นลานสเก็ต อย่างไรก็ตามเมื่อร้านอินเทอร์เน็ตเริ่มปรากฏขึ้น ลานสเก็ตก็ไม่สามารถทำกำไรได้ สิ่งนี้ส่งผลให้มันถูกทิ้งและเมื่อไม่กี่ปีก่อนชายหนุ่มตรงข้ามเขาก็รับซื้อมันไปในราคาที่ต่ำมาก
ชายหนุ่มพูดอย่างเฉยเมยว่า “นายเสียค่าธรรมเนียมในการเรียนวิชาดาบไม่ใช่รึไง? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสถานที่จำเป็นต้องสวยงาม? สถานที่นี้แหละเหมาะสุดแล้วที่จะฝึกความอดทนในฤดูหนาวและฤดูร้อน มันช่วยให้ความตั้งใจกล้าแกร่งขึ้น”
“ลดให้หน่อยไม่ได้เหรอ?” โรแลนด์ถาม
“ไม่!” ชายหนุ่มแทบไม่มีสีหน้าเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
แต่ยิ่งเป็นเช่นนั้นก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเขามากขึ้น คำพูดที่เขาพูดนั้นแทบจะไม่มีใครโต้แย้งได้
โรแลนด์มองไปที่นักเรียนสี่คนที่กำลังฝึกอยู่ในสนามฝึกขนาดใหญ่และถามว่า “พวกเขาจ่ายเงินสามหมื่นไปแล้วงั้นเหรอ?”
เงินสามหมื่นเป็นตัวเลขที่ไม่มากสำหรับคนรวย บางครั้งพวกเขาอาจทิ้งจำนวนนี้ไปหลายครั้งในเวลากลางคืนเพื่อเลี้ยงรับรองแขก
อย่างไรก็ตามสำหรับคนธรรมดาอย่างโรแลนด์เงินจำนวนนี้ค่อนข้างมาก แม้ว่าเขาจะมีเงินเกือบ 300,000 หยวนในบัญชีธนาคารของเขา แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามันแพงไปหน่อย
เขาเห็นว่านักเรียนทั้งสี่คนที่ฝึกดาบอยู่ในสนามฝึกขนาดใหญ่ดูเหมือนจะไม่ร่ำรวยมากนักเขาจึงสงสัยว่าประธานสโมสนและโค้ชตรงหน้าเขากำลังพยายามหลอกลวงเงินเพิ่มขึ้น
“พวกเขาเป็นญาติของฉันแน่นอนว่าฟรีสำหรับพวกเขา” ชายหนุ่มกล่าวตามความเป็นจริงและในขณะเดียวกันเขาก็หยิบบุหรี่หงเหม่ย [3] ที่อยู่นซองที่ยับและไม่ได้ปิดผนึกออกมาและยื่นให้โรแลนด์พร้อมถามว่า “สูบบุหรี่ไหม?”
“ไม่ละ ขอบคุณพอดีฉันไม่สูบบุหรี่” โรแลนด์โบกมือปฎิเสธ กลายเป็นว่าพวกเขานั้นเป็นญาติของชายหนุ่ม – โรแลนด์ไม่มีทางโต้แย้งเรื่องนี้ได้อีกต่อไป
ชายหนุ่มจุดบุหรี่ให้ตัวเองโดยใช้ไฟแช็ค และพ่นควันออกมาเป็นวง “เป็นเรื่องดีแล้วที่นายไม่สูบบุหรี่ คนที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ไม่ควรสูบบุหรี่มันไม่ดีต่อปอด หากปอดไม่สบายพลังที่สำคัญจะไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ หากใครคนใดคนหนึ่งขาดพลังที่สำคัญไม่ต้องพูดถึงการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ แค่ใช้ชีวิตธรรมดาโดยไม่มีปัญหาก็นับว่าดีมากแล้ว”
โรแลนด์จ้องมองบุหรี่ในมือของชายหนุ่มด้วยการแสดงออกที่แปลกประหลาดการแสดงออกในดวงตาของเขากำลังทิ่มแทงชายหนุ่มอย่างมาก
“นายหมายถึงฉัน?” ชายหนุ่มห้อยบุหรี่ในมือและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์เหมือนเช่นเคยว่า “ฉันแค่อมไว้ในปากไม่ได้หายใจเข้าปอด”
แล้วจะดูดบุหรี่เพื่อ? โรแลนด์ค่อนข้างสับสน แต่เขาก็ไม่อยากฟังเหตุผลประหลาดๆของชายหนุ่ม เขาคิดอยู่พักหนึ่งแล้วถามว่า “แล้วคุณเปิดที่นี่มานานแค่ไหนแล้วและมีนักเรียนทั้งหมดกี่คน? ไม่รวมญาติของคุณ”
“เปิดมาครึ่งปีและพึ่งมีนักเรียนเพียงคนเดียวจากข้างนอก” ชายหนุ่มดูเหมือนจะค่อนข้างตรงไปตรงมา
โรแลนด์ขมวดคิ้วมากขึ้น แต่เมื่อเขากำลังจะพูดโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
เขาทำท่าทางเพื่อบอกชายหนุ่มว่าขอตัวสักครู่ จากนั้นเขาเดินไปด้านข้างและรับสาย
มันเป็นสายจากชัค “เว็บไซต์อย่างเป็นทางการออกประกาศใหม่มาแล้วนายอ่านหรือยัง?”
“ฉันมีบางอย่างที่ต้องจัดการฉันไม่มียังไม่มีเวลาไปอ่านเลย”
“นายรีบเข้าไปดูดีกว่านะเรื่องนี้เกี่ยวกับนายโดยตรงเลย”
เมื่อพูดจบชัคก็วางสายไปในทันที
โรแลนด์จำได้ว่าหัวหน้าผู้วางแผนบอกว่าจะมีประกาศใหม่เร็ว ๆ นี้ อาจเป็นเพราะเขาเป็นคนโพสต์เกี่ยวกับข้อเสนอแนะข้อบกพร่อง ดังนั้นในประกาศอาจจะมีชื่อเขา?
ถึงอย่างไรก็ตามจริงๆแล้วชัคนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างใจเย็นดังนั้นเขาไม่น่าจะโทรมาเพราะแค่เรื่องเล็กน้อยแน่ๆ
โรแลนด์เปิดเบราว์เซอร์บนโทรศัพท์และไปที่หน้าเว็บอย่างเป็นทางการของเกม ตามคาดมีประกาศใหม่
หลังจากคลิกเข้าไปดูแล้วเขาก็ตบหน้าผากตัวเองโดยปราศจากคำพูดใดๆ
“แผนกวางแผนของเกมกำลังจะปั่นหัวฉันรึไงกัน!?”
****
[1] 倭国刀 เป็นดาบญี่ปุ่นครับอันนี้ หวอกั๋วเต๋า อันนี้ก็ขอใช้คำว่าทาจิแทนนะครับ
[2] 倭国 หวอกั๋ว เป็นคำสมัยก่อนที่ใช้เรียกคนญี่ปุ่น ในนิยายจะขอใช้คำว่า วา นะครับ มันเป็นคำเรียกสากล
[3] ความหมายคือลูกพลัมสีแดง เป็นแบรนด์บุหรี่ราคาถูกของจีนครับ
“มันขึ้นอยู่กับผม?”
โรแลนด์สะดุ้งไปชั่วขณะ ตอนนี้นั้นเขาคิดว่าโอกาสที่อีกฝ่ายจะเป็นมิจฉาชีพนั้นน่าจะต่ำแล้ว ทว่าเขาก็ยังณู้สึกแปลกๆอยู่ดี “ผมจำได้ว่าตอนผมกรอกข้อมูลผมไม่ได้กรอกเบอร์โทรศัพท์เข้าไปด้วยนี่ครับ ผมกรอกไปแค่ไอดี แล้วคุณรู้เลขโทรศัพท์ผมได้ยังไง
“อืม…เปิดเผยข้อมูลสักนิดก็คงไม่เป็นไร เอาเป็นว่าผมจะเล่าอะไรให้คุณฟังหน่อยก็แล้วกัน” เสียงในโทรศัพท์แปรเปลี่ยนเป็นเสียงที่เต็มด้วยความลึกลับ “จริงๆแล้วเกมนี้ได้ร่วมมือกับประเทศนี้แล้ว ผู้เล่นทุกคนจะผ่านการเช็คประวัติเรียบร้อยแล้ว หลังจากมั่นใจว่าไม่มีประวัติอาชญากรรม พวกเขาเหล่านั้นถึงจะได้รับอนุญาติให้ซื้อแคปซูลเสมือนจริง ถ้าแม้แต่ประวัติส่วนตัวยังถูกสืบรู้มาได้จะนับประสาอะไรกับเบอร์โทรศัพท์ที่คุณใช้เป็นประจำกันล่ะ”
เป็นอย่างนั้นนั่นเอง!
ทว่าหลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งโรแลนด์ก็รู้สึกว่ามันไม่แปลกแต่อย่างใด เพราะเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและเหนือชั้นเช่นนี้ ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากทางรัฐบาลละก็ต่อให้เป็นบริษัทระดับเพนกวินคอโปเรชั่นก็ไม่สามารถต้านทานต่อการถูกโจมตีของฝูงหมาป่าได้ ไม่ต้องพูดถึงพวกสปายหรืออื่นๆ ไหนจะแรงกดดันจากพวกประเทศมหาอำนาจอีกละ พวกบริษัทเอกชนนั้นมีอำนาจน้อยมากในเรื่องอุตสาหรกรรมระหว่างประเทศ ดังนั้นการที่มีผู้สนับสุนนรายใหญ่อยู่ถือเป็นวิธีการที่ถูกต้องที่สุดแล้วในตอนนี้
ไม่น่าแปลกใจที่มีแค่คอมเม้นต์ที่ถูกจ้างมาใส่ร้ายเกมนี้เพียงไม่กี่ราย และยิ่งไปกว่านั้นมันยังถูกลบโดยรวดเร็วอีกด้วย
“ขึ้นอยู่กับผมงั้นเหรอ…” โรแลนด์เสียงสั่น จากนั้นเขาก็พูดอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่ใช่ว่ามันเคยมีมีมบนอินเทอร์เน็ตที่พูดว่า เด็กนั้นสามารถเลือกได้เฉพาะสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องการเท่านั้น!”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
เสียงหัวเราะที่ตรงไปตรงมาดังเข้ามาทางโทรศัพท์ก่อนจากนั้นหม่าฮัวจุนก็กล่าวว่า “แน่นอนว่าตอนนี้คุณเป็นผู้ใหญ่ที่โลภมากคนหนึ่ง ทว่าน่าเสียดายที่ฉันหม่าฮัวจุนชอบตอบปฎิเสธพวกที่หยิ่งยโสมากที่สุด เลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น นายสามารถเลือกได้แค่อย่างเดียว เพราะพวกเราจำเป็นต้องคำนึงถึงสมดุลของแต่ละอาชีพด้วย นักเวทย์นั้นค่อนข้างยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ถ้าเกิดเวทย์สมาธิถูกเปลี่ยนไปเป็นทั้งเวทย์สนับสนุนและสกิลติดตัวละก็มันคงน่าขันน่าดู”
จริงๆโรแลนด์ก็ไม่ได้คาดหวังให้หัวหน้าผู้วางแผนเกมตอบตกลงกับมุขของเขาอยู่แล้ว หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งโรแลนด์ก็ถามออกมาว่า “ผลเต็มๆของสกิลติดตัวคืออะไรงั้นเหรอครับ?”
“ไม่ต้องกังวลมันแย่กว่าทักษะที่ใช้งานอยู่เล็กน้อย แต่มันเหนือกว่าตรงที่มีผลอย่างต่อเนื่อง”
“ถ้างั้นผมขอเลือกเป็นทักษะติดตัวก็ได้” โรแลนด์กล่าวหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เขาไม่ได้เลือกโดยไม่ไตร่ตรอง แต่จริงๆแล้วเขารู้สึกว่าความจริงนักเวทย์นั้นมีการฟื้นฟูพลังจิตที่ช้า มันไม่ใช่อุปกรณ์หรือจำนวนเวทย์ที่เป็นปัญหา แต่ปัญหาจริงๆของมันคือพลังจิตต่างหาก
พลังจิตและความอดทนเป็นสิ่งที่ทำให้นักเวทย์สามารถยืนอยู่ได้เป็นคนสุดท้ายในการต่อสู้
ยิ่งไปกว่านั้นเกมนี้แตกต่างจากเกมปกติ อุปกรณ์อาจเสียหายและถูกขโมยได้ แม้ว่าคุณจะมีอุปกรณ์ฟื้นฟูพลังเวทย์จำนวนมาก แต่เมื่อคุณแพ้ในการต่อสู้หากคุณไม่มีเพื่อนที่คอยคุ้มกันศพของคุณหรือเก็บของไว้ให้ สุดท้ายมันก็จะไม่เหลืออะไรเลย
อย่างไรก็ตามสกิลติดตัวนั้นจะอยู่ตลอดไป
“งั้นเป็นสกิลติดตัวสินะ” เสียงของหม่าฮัวจุนดังมาจากโทรศัพท์ “งั้นฉันขอตัววางสายก่อน แล้วเดี๋ยวจะมีการประกาศเกี่ยวกับข้อบกพร่องนี้บนเว็บไซค์อีกที”
“เดี๋ยวก่อน!” ทันใดนั้นโรแลนด์ก็ตะโกนออกมา
“มีอะไรอีกงั้นเหรอ?”
“ผมแค่อยากจะถามว่า NPC พวกนั้นเป็นแค่ปัญญาประดิษฐ์หรือเปล่า?”
“คุณคิดอย่างไรละ?” เสียงที่นุ่มลึกดังมาจากโทรศัพท์ “ถ้าคุณคิดว่าพวกเขาเป็น NPC พวกเขาก็คือ NPC ถ้าคุณคิดว่าพวกเขาเป็นมนุษย์จริงๆก็แสดงว่าพวกเขาเป็นมนุษย์จริงๆ เกมนี้เป็นเกมที่อุดมคติจริงๆ”
หลังจากที่หม่าฮัวจุนพูดจบเขาก็วางสายทำให้โรแลนด์ไม่มีโอกาสถามคำถามใดๆอีก
อย่างไรก็ตามเมื่อโรแลนด์พยายามโทรกลับเขาพบว่า หมายเลขผู้โทรก่อนหน้านี้แสดงเป็นเลขศูนย์สิบเอ็ด แต่ก่อนหน้านี้มันก็แสดงเป็นเลขปกตินี่ เขาจำผิดหรือเปล่า?
ไม่สามารถโทรหาหมายเลขนี้ได้
อุดมคติ? มันหมายความว่ายังไงกัน?!
โรแลนด์ไม่สามารถเข้าใจได้เพราะมันฟังดูลึกลับและผิดปกติ เขาส่ายหัวอย่างทำอะไรไม่ถูกและกินอาหารเช้าให้เสร็จอย่างรีบร้อน
เขาคิดที่จะไปสโมสรมวยอีกครั้ง แต่เมื่อเขาจำได้ว่าจินเหวินเหวินดูเหมือนจะสนใจแคปซูลเสมือนจริงภายในบ้านของเขา เขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ทันที
แม้ว่าเขาจะจ่ายค่าเล่าเรียนหนึ่งปี แต่ก็เป็นเพียงไม่กี่พันหยวน อย่างไรก็ตามในบัญชีธนาคารของเขามีเงินออมเกือบ 300,000 หยวนแล้วการเสียไปเพียงเล็กน้อยก็ไม่นับว่าเป็นอะไร
หรือว่าจะลองไปที่สโมสรฝึกอาวุธดี? โรแลนด์จำได้ว่าในบรรดาอาวุธพื้นฐานที่นักเวทย์สามาถเชี่ยวชาญได้ ดาบนั้นเป็นหนึ่งในนั้น
ดาบไงล่ะ
บางทีเขาอาจจะลองเรียนวิชาดาบกองทัพจากเบทต้าดู
ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วพื้นฐานของนักเวทย์นั้นเร็วกว่าคนธรรมดาเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น และเขาก็ยังไม่ได้เรียนเวทย์บัฟใดๆมาเลย ดังนั้นเขาคงยังไม่ได้ใช้มันในเร็วๆนี้
อย่างไรก็ตามเตรียมตัวไว้ก่อนก็น่าจะดีกว่า! ไม่ว่าจะยังไงเขาก็ควรเรียนรู้มันไว้ เพราะถึงยังไงเขาก็ไม่มีอะไรดีกว่านี้ที่จะทำในตอนกลางวันแล้วหละ
เขาค้นหาในเว็บและพบว่าที่จริงแล้วไม่มีที่ไหนในใจกลางเมืองที่สอนวิชาดาบเลย
ก็ตามนั้น…เมืองเล็กลำดับสิบแปดค่อนข้างคลาดแคลนในบางอย่าง ถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยสี่อยู่อย่างไม่ขาดแคลน แต่มันยากที่จะหาสถานที่บรรเทิงในแบบเฉพาะหรือการเรียนเรื่องเฉพาะอื่นๆ สิ่งพวกนี้ถือว่ายังขาดอยู่อีกเยอะ
เมื่อเขากำลังรู้สึกผิดหวังเขาก็พบว่ามีสโมสรฝึกเหมียวเต๋าขึ้นบนแผนที่ โดยลักษณะของที่ตั้งน่าจะอยู่ในเขตชานเมืองด้านตะวันออก
เทคนิคเหมียวเต๋า!
ทางตอนใต้ของซินเจียงซึ่งมีผู้คนจำนวนมากซึ่งเป็นชาติพันธุ์ม้ง และในฐานะชนกลุ่มน้อยชาวม้งมีสิทธิพิเศษในการพกพาดาบ
อย่างไรก็ตามสังคมนี้ปลอดภัยและมั่นคงขึ้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่คนในกลุ่มชาติพันธุ์ม้งจะเดินถือดาบไปมาเต็มที่ก็แค่สวมใส่ชุดประจำชาติเป็นครั้งคราวเท่านั้น ในตอนนี้พวกเขาก็ไม่ต่างจากคนทั่วไปไมว่าจะเป็นเรื่องของพฤติกรรมและสังคม
ถึงแม้ว่าโรแลนด์จะรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เพียงแค่ผิวเผินทว่าโรแลนด์ก็รู้ว่าเพลงดาบของกลุ่มม้งนั้นไม่ใช่เหมียวเต๋า เพลงดาบเหมียวเต๋านั้นพึ่งเกิดขึ้นหลังจากการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน และมันยังเป็นชื่อของดาบชนิดหนึ่งอีกด้วย
ว่ากันว่าเทคนิคเหมียวเต๋านั้นอ้างอิงมาจากเพลงดาบสองมือของพวกวาจิน ทว่ารูปแบบการโจมตีนั้นถูกพัฒนามาให้เข้ากับนิสัยคนจีนซึ่งแข็งแรงและมั่นคงกว่า
อย่างไรก็ตามความสูงเฉลี่ยของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ชาวจีนนั้นจะสูงมากกว่าพวกที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ชาวหวอเหริน
สโมสรเหมียวเต๋าแห่งนี้เป็นเพียงแค่โฆษณาเพื่อดึงดูดคน หรือจริงๆแล้วมันเป็นสถานที่ฝึกเหมียวเต๋าแบบดั้งเดิมของจีนจริงๆ?
เข้าจะรู้ได้ถ้าได้ลองไปดู
โรแลนด์ใช้จักรยานสาธารณะและไปยังชานเมืองตามการนำทางของแผนที่ เขาใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง
หลังจากออกจากใจกลางเมือง คนบนถนนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดและสองข้างทางเริ่มมีพื้นที่เพาะปลูกพืชผักและผลไม้ปรากฏให้เห็น
โรแลนด์พบกับสโมสรเหมียวเต๋าบนที่ดินว่างเปล่าที่เตรียมเปิดให้พัฒนา
สโมสรเหมียวเต๋านั้นค่อนข้างดูกว้าง แต่มันค่อนข้างเรียบง่ายและดูดิบเถื่อน
แผ่นเหล็กชุบสังกะสีสองแผ่นรวมกันเป็นเพิงที่ใช้กั้นแดดและฝน จากนั้นก็มีพื้นปูนเรียบมันวาวกว้างซึ่งสามารถสะท้อนแสงได้เล็กน้อย
กำแพงอิฐสีแดงสูงถึงหน้าอกของโรแลนด์ล้อมรอบพื้นที่เอาไว้
ป้ายไม้ที่แขวนไว้ที่ทางเข้าประตู ซึ่งแตกต่างจากสถานที่เรียบง่ายและหยาบกร้านป้ายนี้ค่อนข้างประณีต
มันเป็นฐานไม้สีน้ำตาลรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ได้รับการขัดเงาให้เป็นมันวาวมีคำสองคำสลักไว้ว่า”สโมสรเหมียวเต๋า” สลักลึกลงไปหนึ่งในสามของไม้ มันดูเฉียบคมและโอ่อ่า
สายตาของเขามองผ่านกำแพงรอบด้านไป โรแลนด์เห็นนักเรียนสี่คนในชุดเครื่องแบบถือดาบไม้ยาวที่มีตราของสโมสรอยู่บนดาบไม้
ด้านข้างเด็กสาวคนหนึ่งกำลังถือถังรดน้ำลงบนพื้นซีเมนต์ เพื่อที่จะคอยลดอุณหภูมิของพื้นลง
มีชายหนุ่มอีกคนพิงเสาโลหะซึ่งรับน้ำหนักของเพิงสนามฝึกอยู่ เขากำลังมองดูเด็กนักเรียนทั้งสี่คนฝึก
เมื่อสายตาของโรแลนด์มองไปยังชายหนุ่ม ชายหนุ่มก็หันไปมองโรแลนด์
ดวงตาของชายหนุ่มเหมือนปลาตายการมองของเขาดูปราศจากความมันวาวหรือประกายของชีวิตใดๆ
อย่างไรก็ตามโรแลนด์กลับรู้สึกกดดันเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ได้
****
[1] บรรพบุรุษของชาวจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี
苗刀 เหมียวเต๋า เป็นทั้งชื่อดาบ และชื่อเทคนิคดาบครับ
苗 เหมียว ในนิยายคือใช้คำนี้ครับ แต่ถ้าจากเนื้อเรื่อง/อ้างอิงต่างๆผมว่าเขาน่าจะหมายถึง 苗族 เผ่าม้ง มากกว่าครับ ขออนุญาติใช้คำว่า เผ่าม้งแทนนะครับ
倭人 หวอเหริน คือการออกเสียงแบบจีน / Eng ใช้วาจิน** เป็นการออกเสียงแบบยุ่น ขอใช้ว่าวาจินนะครับมันอ่านคล่องกว่า แปลความหมายอารมณ์พวกคนญี่ปุ่นโบราณจำพวกซามูไรอะไรงี้ครับ
ห้องเงียบลงอีกครั้ง โรแลนด์ค่อยๆจิบน้ำอุ่นอย่างอดทนรอให้ฮอว์กไตร่ตรองอย่างเงียบๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
สำหรับคนอย่างฮอร์กที่มีหน้าที่ในการดูแลสโมสรกิลด์ขนาดใหญ่อยู่แล้ว ก่อนที่จะเริ่มลมือทำอะไร เขามักจะต้องคิดและไตร่ตรองก่อนเสมอ แม้กระทั่งตอนที่เขาเลือกที่จะสังหารขุนนาง เขาก็ไตร่ตรองไว้ก่อน
สามารถทำได้และควรทำหรือไม่? สิ่งนี้จะส่งผลอะไรต่อองค์กร?
เขาต้องพิจารณารอบด้าน มันไม่ง่ายอย่างการที่คิดและลงมือทำเลยการทำแบบนั้นมันเป็นวิถีของหมาป่าเดียวดาย มันไม่ใช่สิ่งที่รองหัวหน้ากิลควรกระทำ
โรแลนด์ดื่มน้ำไปแล้วสามแก้วแล้ว ก่อนที่ฮอว์กจะพูดในที่สุดหลังจากครุ่นคิดอยู่เกือบสิบนาที “การรวบรวมขอทานไม่ใช่ปัญหา แต่เราควรร่วมมือกันยังไง ควรกระจายอำนาจและผลประโยชน์อย่างไร”
“ต้องคิดขนาดเรื่องการแบ่งอำนาจและผลประโยชน์เลยหรือยังไง?” โรแลนด์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“แน่นอน” ฮอว์กพูดตามความเป็นจริง “แม้ว่าสโมสรเกมอย่างเราจะมีคนอยู่หลายร้อยคน แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นผู้เล่นชั่วคราวเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องปัญหาภายในอื่นๆอีก ไม่ต้องพูดถึงถ้าเรารวบรวมพวกขอทานได้จริง ๆ ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นอาจจะมากกว่าที่เราคิดก็ได้”
โรแลนด์พยักหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะเห็นด้วยกับประเด็นของฮอร์ก
มันก็เหมือนกับที่ฮอร์กพูด ในสถานที่ที่มีคนจำนวนมากมักจะมีปัญหากันได้ อย่าง F6 แม้พวกเขาจะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ในกลุ่มพวกเขาก็ยังมีการแบ่งกลุ่มแยกย่อยไปอีก
อย่างโรแลนด์กับชัคที่สนิทกันมากที่สุด หรือไม่ก็ลี่หลินกับราฟเฟิลที่คุ้นเคยกันมากที่สุด
มีขอทานอย่างน้อยก็กว่าหมื่นคนในเมืองนี้ แม้ว่าพวกเขาจะรวบรวมได้เพียงหนึ่งในสิบ แต่จำนวนมันก็มากกว่าพันคนเข้าไปแล้ว
หากมีคนนับพันรวมตัวกันอยู่จะถูกมองว่าเป็นกองกำลังขนาดใหญ่ในเมืองนี้อย่างปฏิเสธไม่ได้
“อันที่จริงฉันไม่สนใจที่จะจัดตั้งสมาคม” โรแลนด์ครุ่นคิดสักครู่แล้วพูดว่า “สำหรับฉันแล้วเรื่องพวกนั้นเป็นปัญหามากเกินไป”
ฮอร์กมึนไปชั่วขณะ “แล้วทำไมนายถึงเล่าแผนการนี้ให้ฉันฟัง”
“อย่างที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ฉันต้องการให้นายตรวจสอบบางอย่างให้ฉันหน่อย” โรแลนด์อธิบาย “สำหรับเรื่องขอทานจู่ๆฉันก็คิดขึ้นได้เมื่อเห็นเรื่องเมื่อกี้ สุดท้ายแล้วฉันก็ไม่อยากถูกคุกคาม”
“พวกเราอยู่บนเรือลำเดียวกันอย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่พวกเขาคิด” ฮอร์กหัวเราะเยาะอย่างดูถูก “ขุนนางเหล่านั้นไม่กล้าเผชิญหน้ากับเราดังนั้นพวกเขาจึงคิดหาวิธีที่น่ารังเกียจนี้เพื่อไล่พวกเราออกไป!”
โรแลนด์ก็หัวเราะเช่นกันและพูดว่า “และเมื่อพวกเราจากไปแล้วพวกเขาจะสามารถทำชั่วโดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไรอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าข่มขืน หรือกินหัวใจพวกเด็กๆ”
ห้องเงียบไปในทันใด
พวกเขาทั้งสามคนต่างคิดถึงเรื่องราวที่พวกเขาได้พบกันมา ฮอร์กและลิงค์นั้นนึกไปถึงตอนที่เขาพบศพเด็กที่ถูกคว้านหัวใจลอยอยู่ยนแม่น้ำ ส่วนโรแลนด์นั้นนึกถึงถ้ำที่มีกระดูกถูกกองรวมกันเอาไว้
“โลกที่โง่เขลา, โหดร้ายและล้าหลังแบบนี้…” ฮอร์กเดาะด้วยความรังเกียจ “ฉันอยากทำลายมันให้เป็นชิ้นๆซะจริงๆ”
ในคำพูดของเขานั้นมีความโกรธแฝงอยู่ เขาเป็นชายที่มีอุดมการณ์ ถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กล้าเปิดศึกกับขุนนางเมื่อเจอศพขอเด็กชายหญิงเหล่านั้น
“ถ้างั้นนายก็ควรรับสมัครคนเพิ่มนะ เพราะสิ่งต่างๆที่นี่อาจจะเริ่มเปลี่ยนแปลง” โรแลนด์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในฐานะรองหัวหน้ากิลด์นี่น่าจะเป็นสิ่งที่นายถนัดอยู่แล้วนี่”
คิ้วหนาของฮอว์กขมวดเป็นปมด้วยความงุนงงแล้วพูดว่า “ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่านี่ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ขณะที่พวกเรากำลังทำงานที่ขมขื่นและหนักหนาสาหัสและต้องรวบรวมข้อมูลให้นายอีก ในขณะที่นายแค่คิดมันก็เท่านั้นเท่านั้น”
“เดี๋ยวมันก็จะมีสถาการณ์ที่ฉันต้องช่วยเองนั้นแหละ” โรแลนด์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปัจจุบันฉันเป็นรองประธานสมาคมนักเวทย์ในเมืองนี้ ก็ประมาณนี้ละนะ”
ฮอร์กสะดุ้งตัวในทันที เขายกนิ้วโป้งให้แก่โรแลนด์ “ฉันคิดว่านายแค่เข้าร่วมสมาคมนักเวทย์ แต่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านายจะตำแหน่งสูงขนาดนั้น”
โรแลนด์พูดคุยกับพวกเขาอีกสักพัก จากนั้นเขาก็จากไปหลังจากที่เขาร่ายความสามารถทางภาษาให้กับพวกฮอร์ก
จากนั้นเขาก็กลับไปที่หอคอยเวทมนตร์และยังคงทดลองกี่ยวกับความสามารถทางอักขระต่อไป
เมื่อเขามีข้อมูลมากขึ้นเขาก็ยิ่งก้าวหน้าเร็วขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ
และเวลาภายในเกมก็ผ่านไปถึงสี่วัน ในที่สุดตอนนี้เขาก็สำเร็จความสามารถทางอักขระเรียบร้อยแล้ว
โรแลนด์ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่ได้ร้องดีใจออกมาในทันที ในมือของเขาถือหนังสืออยู่เล่นหนึ่งก่อนที่เขาจะหลุดเข้าไปในโลกส่วนตัวเมื่อเริ่มอ่านมัน
ชื่อหนังสือคือเทคนิคการทำสมาธิและข้อควรระวังที่สำคัญ
นี่เป็นความพิเศษที่โรแลนด์ต้องการเรียนรู้มากที่สุดในตอนนี้ ก่อนที่เขาจะมาถึงเดลพอน ฟอลเคิลบอกเขาว่านี่เป็นทักษะพิเศษเฉพาะสำหรับนักเวทย์และเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเรียนรู้
สิ่งที่เรียกว่าเวทย์สมาธินั้นโดยพื้นฐานแล้วเป็นการประยุกต์ใช้พลังทางจิตและจิตวิญญาณร่วมกัน
มันคือการเข้าสู่สภาวะสงบที่อยู่ระหว่างสภาวะหลับและสภาวะตื่นโดยการนั่งสมาธิหรือไม่ก็นอนลง จากนั้นให้สัมผัสถึงพลังจิต จากนั้นคนที่ทำสำเร็จก็จะสามารถเข้าไปในโลกแห่งจิตใต้สำนึกของตนได้สำเร็จ
จากนั้นพวกเขาจะสามารถสะสมพลังจิตและสามารถสร้างโลกแห่งจิตภายในโลกแห่งจิตใต้สำนึกได้
และด้วยความที่มันเป็นโลกแห่งจิต ดังนั้นมันจึงสามารถจำลองทัศนียภาพทางกายภาพต่างๆของโลกเกมได้
ยิ่งไปกว่านั้นที่สำคัญที่สุดคือการที่สามารถจำลองการทดลองเวทย์ภายในนั้นได้ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ
เวทย์สมาธินั้นมีคำอธิบายที่เรียบง่าย แต่ก็ทำได้ยากยิ่ง
คนส่วนใหญ่หากเริ่มเข้าอยู่ในสภาวะที่สงบแล้วนั้นส่วนมากก็จะหลับลงไปในทันที โรแลนด์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาได้ลองมากว่าสี่ครั้งแล้ว ทันทีที่ที่เขาสงบจิตใจได้ภายในเวลาไม่ถึงสามนาทีเขาก็จะเริ่มกรนออกมา
จากนั้นเขาจะถูกบังคับให้ออกจากโลกของเกมเพราะถึงอย่างไรคนที่เข้ามาเล่นในเกมนี้ก็มีแค่คนที่หลับไปแล้วเท่านั้น
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่ในสถานะระหว่างสภาวะหลับและตื่น มันเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันเองอย่างชัดเจน
ยิ่งกว่านั้นโรแลนด์อดไม่ได้ที่จะคิดว่ามันคล้ายกับความฝันที่รู้ตัวเล็กน้อย
แต่ต่างออกไปแค่เวทย์สมาธินั้นมีพลังจิตเข้ามาเกี่ยวข้อง
มันเป็นไปได้ไหมที่ผู้เล่นอาจจะไม่สามารถเรียนเวทย์นี้ได้
แม้ว่าโรแลนด์จะแอบคิดเช่นนี้อยู่ในใจ ทว่าเขาก็ยังคงทดลองต่ออีกหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็โชคร้ายที่ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาทำสำเร็จ
เมื่อเวลาภายในเกมของวันนี่หมดลง โรแลนด์ก็ปีนออกจากแคปซูลเสมือนจริง เขาเริ่มที่จะตั้งกระทู้เกี่ยวกับความสามารถทางอักขระก่อนโดยอัปโหลดแบบจำลองเวทย์ลงเว็บบอร์ด จากนั้นเขาก็ไปยังหน้า คำแนะนำและแจ้งข้อผิดพลาดของเกม จากนั้นเขาก็เริ่มเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเวทย์สมาธิและใส่คำพูดของเขาเข้าไปในโพสต์ว่า “โดยแท้จริงแล้วพวกเราผู้เล่นน่าจะอยู่ในสภาวะความฝันที่รู้ตัวอยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่เราจะเข้าสู่สภาวะหลับไหลภายในเกม ใช่ไหม?”
หลังจากนั้นเขาก็ปิดคอมพิวเตอร์ล้างหน้าแปรงฟันและกินอาหารเช้า
เมื่อรับประทานอาหารเช้าได้ครึ่งหนึ่งโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เขาคิดว่าน่าจะเป็นชัค แต่เมื่อเขาตรวจสอบโทรศัพท์ของเขาเขาก็พบว่ามันเป็นหมายเลขที่ไม่คุ้นเคย
เมื่อเห็นว่ามันไม่ได้เป็นเบอร์โทรของพวกเซลล์เขาก็รับสาย
ไม่นานเสียงผู้ชายที่ฟังดูคล้ายผู้หญิงก็ดังมาจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ “สวัสดีฉันขอสายโรแลนด์ได้ไหม?”
“ผมพูดสายอยู่แล้วคุณ?”
“ฉันเป็นหัวหน้าผู้วางแผนของโลกแห่งฟาลาน หม่าฮัวจุน คุณเรียกฉันว่าเฒ่าหม่าก็ได้”
“สวัสดีครับคุณหม่า” โรแลนด์ค่อนข้างแปลกใจ และเริ่มคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นสิบแปดมงกุฎ
“เราได้ตรวจสอบข้อบกพร่องที่คุณร้องเรียนมาเรียบร้อยและพบว่ามันมีปัญหาจริงๆ” เสียงของหม่าฮัวจุนในโทรศัพท์นั้นฟังดูชัดเจนจนผิดปกติ “ตอนนี้เรามีทางเลือกอยู่สองทางคือ หนึ่งเปลี่ยนเวทย์สมาธิให้เป็นเวทย์สนับสนุนแบบเรียกใช้ อาทิเช่นหากเริ่มใช้แล้ว 2-3 เวทย์ถัดไปที่ใช้ออกมาจะเพิ่มพลังทำลายและผลลัพธ์อื่นๆ และอีกอย่างหนึ่งคือเปลี่ยนให้เป็นทักษะติดตัว อาทิเมื่อไม่ได้อยู่ในการต่อสู้พลังจิตก็จะฟื้นฟูได้รวดเร็วขึ้น ในเมื่อคุณเป็นคนพบข้อผิดพลาดนี้คุณจะมีสิทธิ์ในการเลือกว่าจะเปลี่ยนเป็นเวทย์สนับสนุนหรือสกิลติดตัว”
ขอทานจำนวนกว่ายี่สิบถึงสามสิบคนล้อมรอบฮอร์กและลิงค์เอาไว้ และคุกเข่าต่อหน้าพวกเขาทั้งสองคนและถึงแม้ว่าจะมีความหวาดกลัวในดวงตาของพวกเขา แต่พวกเขาก็ฝืนและอดทนต่อไป
ในตรอกนั้นทั้งเปลี่ยวและเงียบมาก ฮอร์กมองไปที่กลุ่มขอทานพร้อมทั้งขมวดคิ้ว “อะไรทำให้นายคิดว่าพวกฉันจะช่วยเหลือพวกนายกัน…อะไรทำให้นายคิดแบบนั้น?”
ขอทานวัยกลางคนยิ้มอย่างสงบและพูดว่า “พวกท่านทั้งสองเป็นขาใหญ่ของที่นี่มาสักพักแล้ว พวกเราไม่เคยเห็นพวกท่านอดยาก แถมดูเหมือนว่าพวกท่านจะมีเงินมากพอที่จะซื้อเฟอนิเจอร์ใหม่ๆอีกด้วย นี่เองเป็นสิ่งที่ทำให้พวกข้าคิดว่าท่านจะช่วยให้พวกเราอิ่มท้อง พวกเรานั้นไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากทำตามคำสั่ง ตราบใดที่ท่านเติมเต็มท้อที่ว่างเปล่าของพวกเรา พวกเราก็จะทำทุกอย่างที่ท่านสั่ง”
เสียงจากถนนหลักดังอย่างแผ่วเบาเข้ามาในซอยนี้ กลุ่มขอทานยังคงคุกเข่าต่อไปสีหน้าของพวกนั้นดูจริงจังเป็นอย่างมาก
ลิงค์ขยับตัวเล็กน้อย เขามองไปที่ฮอร์กและทำท่าราวกับต้องการพูดอะไรบางอย่าง
ทว่าทันใดนั้นเองฮอร์กก็ยิ้มอย่างเย้ยหยันออกมา เขาคว้าคอเสื้อขอทานวัยกลางคนจนตัวขอทานนั้นลอยขึ้นมา
จากนั้นฮอร์กก็เหวี่ยงขอทานไปชนกับกำแพงของซอย
ใบหน้าของขอทานวัยกลางคนคนนี้บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เขาจับมือของฮอว์กและพยายามแกะออกเพื่อให้ตัวเองได้เป็นอิสระจากการลอยอยู่กลางอากาศ
อย่างไรก็ตามเขาเป็นเพียงขอทานที่ไม่สามารถเติมเต็มท้องที่หิวโหยของตัวเองได้ตลอดทั้งปี ในขณะที่ฮอร์กนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญถึงจะยังเลเวลน้อยอยู่ แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ขอทานจะสามารถต่อกรด้วยได้
ตั้งแต่วินาทีที่ฮอว์กยกขอทานขึ้นมาจนถึงช่วงที่ขอทานกระแทกกับกำแพงมันเกิดขึ้นเพียงแค่ไม่กี่วิ การเคลื่อนไหวทั้งสองนี้รวดเร็วเกินไป
เมื่อขอทานคนอื่นๆเห็นดังนั้นกว่าครึ่งก็วิ่งหนีไปทันที และบางส่วนก็ถอยหนีไปเพื่อให้ตัวเองปลอดภัย ลิงค์ทำเพียงแค่จ้องมองไปที่ฮอร์ก
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมฮอว์คถึงเลือกที่จะทำร้ายขอทานเหล่านี้ แต่ด้วฐานะเพื่อนทำให้เขาเลือกที่จะเงียบ
เมื่อถูกยกขึ้นด้วยวิธีนี้ขอทานวัยกลางคนก็พบว่ามันหายใจได้ยากขึ้นเรื่อยๆ และในไม่ช้าใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ฮอร์กเหวี่ยงขอทานลงพื้นและพูดอย่างเย็นชา “คำพูดที่นายพูดก่อนหน้านี้ใครสั่งให้นายเป็นพูด ขอทานอย่างนายไม่มีทางพูดแบบนั้นได้แน่ หากนายมีทักษะการพูดแบบนั้นอย่างน้อยนายก็น่าจะมีวิธีเติมเต็มท้องที่ว่างเปล่าของนายได้ นายไม่จำเป็นต้องเป็นขอทานเลยแม้แต่น้อย”
ขอทานส่ายหัวอย่างแรง
“ดูเหมือนว่านายยังไม่อยากจะพูดสินะ” การแสดงออกของฮอว์กค่อนข้างน่ากลัวเขายกขอทานขึ้นแล้วกระแทกเขาเข้ากับกำแพงอีกครั้ง
หลังจากเสียงดังขึ้นใบหน้าของขอทานก็ซีดลงในทันทีจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง เขาเริ่มไออย่างหนักจากนั้นเขาก็ส่ายหัวเร็วขึ้นและแรงขึ้น มือของเขาดูเหมือนจะพยายามที่จะแกะมือของฮอร์ก
“ยังไม่อยากพูดงั้นเหรอ” ฮอร์กทำท่าทางราวกับว่าเขากำลังจะกระแทกขอทานเข้ากับกำแพงอีกครั้ง
เมื่อได้ยินคำเหล่านี้ขอทานวัยกลางคนก็ยิ่งดิ้นรนอย่างดุเดือด
ในตอนนี้แลนซ์กล่าวว่า “ฮอร์กหมอนั่นโดนคอเสื้อรัดคออยู่ หมอนั่นพูดไม่ได้หรอก”
“ฉันรู้น่า ฉันตั้งใจทำแบบนี้เองแหละ” ฮอร์กโยนขอทานลงพื้นจากนั้นเขาก็นั่งยองๆและพูดด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัวว่า “ขอทานอย่างนายไม่มีทางพูดแบบนั้นได้หรอก บอกมาว่าใครใช้ให้แกพูดแบบนั้น?”
ขอทานอ้าปากค้างขณะมองไปที่ฮอร์กด้วยความหวาดกลัว หลังจากที่ร่างกายของเขาไม่ได้ขาดออกซิเจนเขาก็ลุกขึ้นนั่งและดันเท้าของเขาทันทีเพื่อขยับร่างกายไปข้างหลัง แต่น่าเสียดายที่ฮอว์กเหยียบลงไปที่ข้อเท้าของขอทานทำให้มันดิ้นหนีไปไหนไม่ได้
“ไม่! ขาข้าได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ!” ขอทานส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าสังเวช
ฮอร์กยังคงไม่ขยับ เขาพูดเสียงเย็นว่า “สองเดือนที่ผ่านมา ฉันฆ่าคนไปเกือบสองร้อยคนแล้ว ถ้าเพิ่มแกไปอีกสักคนมันก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้านายไม่ยอมบอกว่าใครสั่งให้นายมา ฉันก็ไม่คิดจะปล่อยให้นายรอดหรอกนะ”
ในขณะที่พูดฮอร์กก็ค่อๆลงน้ำหนักไปที่เท้าของเขาเรื่อยๆ
ขอทานส่งเสียงกรีดร้องอีกครั้ง คราวนี้มีกระทั่งเสียงกระดูกที่ร้าวและแตกหักดังออกมาอย่างชัดเจน
ขอทานวัยกลางคนนั้นไม่ใช่คนที่เข้มแข็งอยู่แล้ว เขารีบคร่ำครวญออกมาทันที “ข้าจะบอก! ข้าจะบอกท่าน! ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ!”
ฮอร์กถอนเท้าของเขาออกมา เขามองต่ำลงไปที่ขอทานราวกับมองมดปลวกจากนั้นเขาก็พูดว่า “เล่ามาสิ”
“มันคือกัปตันลูเซียนผู้พิทักษ์ของเมืองนี้”
หลังจากขอทานวัยกลางคนพูดจบเขาก็ลุกขึ้นและวิ่งออกไปทันที เขามองย้อนกลับมาในขณะที่เขาวิ่งและเมื่อเห็นว่าฮอว์กไม่ได้ไล่ตามเขาเขาก็ยิ่งวิ่งเร็วขึ้น
การแสดงออกของฮอว์กดูมืดมนมากขึ้นเมื่อเขาเฝ้ามองขอทานวิ่งหนีไป
แม้ในวันที่อากาศร้อนจัด แต่บรรยากาศในซอยก็ค่อนข้างหยาวเหน็บ ลิงค์ถอนหายใจและลูบผมยาวบนหน้าผากของเขาแล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “เขาต้องการอะไรกันแน่ถึงให้ขอทานมาเข้าร่วมกับพวกเรา… ปัญหาเพิ่มมาอีกอย่างแล้วสินะ เราย้ายที่พัฒนากันเถอะ ฮอร์กตอนนี้เรายังพอเหลือเหรียญทองอยู่เล็กน้อย พวกเราสามารถจ้างเกวียนดีๆเพื่อเดินทางไปยังเมืองอื่นได้อยู่นะ”
เสียงของแลนซ์ค่อนข้างนุ่มนวลและเต็มไปด้วยความคาดหวังในตอนท้าย
ทว่าฮอร์กกลับส่ายหน้าออกมา “ฉันจะไม่ยอดทิ้งปัญหาเอาไว้ ถ้าเราหนีไปในตอนนี้พวกเราก็ไม่ต่างอะไรจากหมาจรจัด”
“แต่ดูเหมือนว่าพวกเราจะตกเป็นเป้าหมายของพวกขุนนาง” ลิงค์ดูค่อนข้างเบื่อหน่าย “ฉันแค่อยากเล่นเกมอย่างมีความสุขและผ่อนคลาย ฉันไม่อยากเล่นเกมนี้เหมือนมันเป็นเพียงการต่อสู้และการเข่นฆ่าที่ไม่รู้จบ”
“ลิงค์นายมองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว” ฮอร์กส่ายหน้า “ถึงแม้ว่าพวกเราจะย้ายไปเมืองอื่นจริงๆ แต่พวกเราก็จะเจอสถานการณ์แบบนี้อยู่ดี”
ลิงค์กัดริมฝีปากของเขา ก่อนพูดออกมาอย่างไม่มั่นใจว่า “แต่ถ้าเราไปเมืองอื่น พวกเราก็จะสามารถหาวิธีผูกมิตรกับพวกขุนนางได้ – เหมือนกับโรแลนด์ไง”
ฮอร์กคิดไปครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็ฝืนยิ้มออกมา
ทันใดนั้นเองโรแลนด์ก็เดินเข้ามาภายในซอยและพูดในขณะที่กำลังเดินอยู่ว่า “ก่อนอื่นฉันต้องขอบอกไว้ก่อนนะว่า ฉันไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับขุนนางหรอกนะ”
ฮอร์กและลิงค์ต่างประหลาดใจที่ได้เจอกับโรแลนด์
เมื่อเห็นการท่าทางของพวกเขาโรแลนด์กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันแค่มีเรื่องอยากจะขอให้พวกนายช่วยนิดหน่อยหนะ ไม่คิดเลยว่าจะได้มาดูละครแบบนี้”
ฮอร์กละทิ้งความคิดของเขาไปก่อนจะพูดว่า “อย่ายืนคุยกันตรงนี้เลย เข้าไปคุยด้านในกันเถอะ”
ทั้งสามคนเข้าไปในบ้านและนั่งลง ลิงค์ก็เริ่มเสิร์ฟน้ำให้โรแลนด์
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในเกม แต่ลิงค์ก็นำนิสัยของเขาเข้ามาใช้ด้วย
หลังจากที่โรแลนด์จิบน้ำ จากนั้นเขาก็พูดว่า “ต่อจากก่อนหน้านี้ ฉันไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับขุนนางหรอก”
ลิงค์นั่งลงไปด้านข้างเขาและพูดว่า “แต่นายก็ได้เข้าหอคอยเวทย์”
“นักเวทย์นั้นมีสิทธิพิเศษ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ขุนนาง แต่ก็มีสถานะที่สูงส่ง” โรแลนด์อธิบายออกมา “และที่สำคัญขุนนางไม่ได้มุ่งเป้าไปที่พวกนายเท่านั้น ฉันอยู่ในขอบเขตของการโจมตีของพวกเขาด้วยเช่นกัน แค่ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้ทำอะไรก็เท่านั้น”
เมื่อฮอร์กและลิงค์คิดถึงเรื่องบัตรเชิญงานเลี้ยง ทั้งคู่ก็ถอนหายใจออกมา
ฮอร์กนึกถึงชื่อที่ขอทานทิ้งไว้ให้ในตอนท้ายแล้วถามออกมาว่า “นายคิดว่ายังไงโรแลนด์กับชื่อที่ขอทานคนนั้นบอกไว้?”
“น่าจะเป็นกลยุทธ์ยิงปินนัดเดียวได้นกสองตัวมากกว่า ถ้านายรับขอทานนั่นมาเท่ากับว่าขุดหลุมฝังตัวเองไปแล้ว นายจำเป็นต้องดูแลพวกนั้นและฟังคำบ่นหรือคำถากถางอยู่ตลอดเวลา” โรแลนด์เงียบไปพักหนึ่งและพูดว่า “ถ้าหากนายเลือกจะไปสู้กับลูเซียนนั่นล่ะก็ นายก็เหมือนจะเต้นอยู่บนฝ่ามือขอผู้อู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
ฮอร์กพยักหน้า “นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดเช่นกัน… เชี่ยเอ้ยเรามีข้อมูลน้อยเกินไป ไมว่าจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพล การแบ่งเขตอำนาจ องค์กรณ์ต่างๆ พวกเราไม่รู้อะไรเลย แม้งยากแม้กระทั่งจะพยายามหาข้อมูลพื้นฐานในตอนนี้ด้วยซ้ำ”
“จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น” โรแลนด์ยิ้ม “ทำไมไม่ใช้แผนการของพวกเขาให้เป็นประโยชน์ล่ะพวกนายจัดกลุ่มขอทานจริงขึ้นมาดูสิ แน่นอนว่าขอทานพวกเมื่อกี้นายรับเข้ามาไม่ได้ พวกนายทั้งคู่มีสโมสรเกมขนาดใหญ่คอยสนับสนุนพวกนายอยู่แล้วพวกนายควรมีความสามารถในการจัดองค์กรและการระดมพล ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถในการรวบรวมข้อมูลของขอทานก็ไม่น่าจะเลวร้าย”
“นายกำลังบอกว่า…เราควรสร้างสมาคมขอทานสินะ?”
โรแลนด์พยักหน้า “ใช่แล้ว ในเมื่อ NPC สามารถสร้างองค์กรณ์ของตัวเองได้ พวกเราก็สมควรทำได้เช่นเดียวกัน ในเมื่อเกมนี้มันให้อิสระสูงอยู่แล้วนี่”
ทั้งเต็มไปด้วยความสง่างามและความสูงส่งพร้อมกับใบหน้าที่งดงาม ทว่ากลับเย็นชา ด้วยลักษณะเช่นนี้ไม่สามารถพูดได้ว่าไม่น่าดึงดูด ทว่าสำหรับผู้ชายความดึงดูดในแบบผู้หญิงถือว่าลดลงไปเยอะ จริงๆก็มีผู้ชายหลายคนอยู่ที่ชอบผู้หญิงแนวนี้ ทว่าผู้หญิงแนวนี้มักจะดึงดูดเพศเดียวกันได้ดีกว่าดึงดูดเพศตรงข้าม
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้มีผู้หญิงในสโมสรมวยอยู่ค่อนข้างเยอะ
“มันไม่ได้เป็นเพราะแคปซูลเสมือนจริงหรือ?”
หลังจากจินเหวินเหวินพูดคำนี้ออกมา สายตาของเธอก็คมขึ้นอีกครั้งราวกับดาบยาวสองเล่มฟาดลงมา เธอจ้องมองไปที่โรแลนด์และเหมือนกำแพงทางจิตที่ดูคลุมเครือก็เหมือนจะเอาไม่อยู่
อย่างไรก็ตามโรแลนด์ยังคงจิบน้ำผลไม้ของเขาอย่างใจเย็นและหลังจากที่เขาวางแก้วลงเขาก็พูดอย่างไม่เร่งรีบว่า “แคปซูลเสมือนจริงที่คุณกำลังพูดถึงนั้นคุณหมายถึงเกมที่สมจริงเกมแรกของโลก? มันเกี่ยวอะไรกับการชกมวยงั้นเหรอ?”
“คุณไม่รู้เหรอ?” การแสดงออกของจินเหวินเหวินราวกับว่าเธอกำลังบอกว่าเขาควรรู้ “กล่าวกันว่าเกมนี้เกือบจะเป็นเสมือนจริงที่สมบูรณ์ นอกเหนือจากเวทย์และความสามารถพิเศษแล้ว ในนั้นผู้คนสามารถต่อสู้ได้ตามที่พวกเขาต้องการ นี่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการฝึกทักษะศิลปะการต่อสู้”
“โทษทีนะ แม้ว่าฉันจะชอบเล่นเกม แต่แคปซูลเสมือนจริงก็แพงเกินไปสำหรับคนที่ทำงานมาไม่ถึงสองปี มันค่อนข้างเป็นภาระที่ต้องแบกรับมากเกินไป” โรแลนด์กล่าวอย่างผิดหวัง “เมื่อเร็ว ๆ นี้ฉันยังดูข่าว ฉันได้ยินมาว่าผู้หญิงคนหนึ่งสามารถโค่นผู้ชายที่เป็นนักเลงได้อย่างง่ายดายเพราะเธอเล่นเกมนั้น เสียดายจริงๆที่ไม่ได้ซื้อ ถ้าฉันรู้ก่อนหน้านี้ฉันคงจะกู้เงินมาเพื่อซื้อมัน”
“อย่างงั้นเหรอ” จินเหวินเหวินเริ่มคนน้ำแตงโมในแก้วอีกครั้ง
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็คุยกันต่ออีกสักพักก่อนโรแลนด์จะหาข้ออ้างและปลีกตัวไป
ไฟภายในห้องพักผ่อนยังคงสว่างอยู่ จินเหวินเหวินนั่งบนเก้าอี้และจิบน้ำแตงโมจากแก้วอย่างเงียบๆ ไม่นานโค้ชก็เดินเข้ามา
เขานั่งลงตรงข้ามกับเธอแล้วถามว่า “ได้ถามเขารึเปล่า? ว่าสรุปเป็นเพราะแคปซูลเสมือนจริงใช่ไหม?”
“เขาบอกว่ามันไม่ใช่” จินเหวินเหวินส่ายหัวเล็กน้อย
“โอ้? น่าเสียดายที่ฉันคิดว่าคนอื่นๆ ในเมืองก็ซื้อแคปซูลเสมือนจริงกันซะอีก” โค้ชถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เขาบอกว่าไม่แล้วคุณเชื่อเขาเหรอ?” จินเหวินเหวินหัวเราะเบา ๆ “ลุงฉันไม่เชื่อว่าโลกนี้จะมีอัจฉริยะมากมายแบบนั้น นับประสาอะไรกับคนที่ฝึกมาแค่สองเดือน หากเขาไม่มีแคปซูลเสมือนจริงเขาก็ต้องมีวิธีการฝึกพิเศษที่เกี่ยวข้องกับนักวิทยาศาสตร์ และหากเขาฝึกด้วยวิธีนั้นจริงๆเขาก็ไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อยที่ต้องมาที่สโมสรมวยของเรา”
โค้ชเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเงียบงัน
จินเหวินเหวินจุดบุหรี่ให้ตัวเองควันลอยขึ้นเป็นเกลียว เธอพูดอย่างไม่เร่งรีบว่า “ฉันเพิ่งตรวจสอบดูเมื่อกี้ เขาทิ้งไว้แค่หมายเลขโทรศัพท์ และไม่ได้ใส่ที่อยู่มาด้วย คงเป็นการยากแล้วที่จะเจอเขาอีก”
โดยปกติสโมสรมวยล้วนลงทะเบียนข้อมูลของลูกค้า อย่างไรก็ตามในการดำเนินธุรกิจเป็นเรื่องธรรมดาที่จะยอมทำตามสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ตราบใดที่ลูกค้าจ่ายอะไรก็ได้ทั้งนั้น
ไม่ว่าลูกค้าจะกรอกข้อมูลส่วนตัวหรือไม่ก็ไม่สำคัญตราบเท่าที่พวกเขาได้รับเงิน
เพราะเหตุนี้ทำให้สโมสรมวยไม่ได้บังคับให้โรแลนด์ต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดของเขา
จินเหวินเหวินถอนหายใจเบาๆ ดับบุหรี่กลิ่นบางๆ ที่เผาไหม้ไปเพียงหนึ่งในสาม เธอพูดขึ้นว่า “ลุงมีวิธีติดต่อเขาไหม”
“ลองค้นหาที่อยู่บ้านของเขาจากหมายเลขโทรศัพท์ของเขาดูสิ!”
จินอวี้เหวินส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “เป็นไปไม่ได้! พวกเราตระกูลจินเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาเท่านั้น แม้ว่าเราจะมีการสืบทอดศิลปะการต่อสู้ แต่เราก็ยังคงเป็นครอบครัวปกติ พ่อแม่ของฉันเป็นเพียงเจ้าของซูเปอร์มาร์เก็ตเล็ก ๆ ฉันเป็นเพียงประธานสโมสรมวยส่วนลุงก็เป็นแค่ฟรีแลนซ์ อะไรทำให้เรามีสิทธิ์ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ของเขา?”
จินเหวินเหวินหัวเราะอย่างขมขื่นเล็กน้อยกล่าวต่อว่า “พวกเราไม่มีเพื่อนในบริษัทโทรคมนาคมและเราไม่รู้จักใครในระบบรักษาความปลอดภัย พวกเราไม่มีทางค้นหาอะไรเกี่ยวกับเขาได้เลยและฉันคิดว่าเขาคงไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วหละ”
โค้ชพูดอย่างหงุดหงิดว่า “พวกเราไม่ได้คิดจะทำร้ายเขาสักหน่อย แค่อยากถามว่ามีแคปซูลเสมือนจริงอยู่ไหม และขอซื้อต่อในราคาสูงก็เท่านั้น หมอนี่ระวังตัวเป็นบ้า”
เมื่อได้ยินคำบ่นของโค้ชจินเหวินเหวินก็ยืนขึ้น “ช่างเถอะ ฉันจะพยายามขอซื้อผ่านทางออนไลน์ต่อไปก่อน ถ้าสองแสนไม่ได้ถ้างั้นก็ห้าแสน”
เมื่อเธอพูดจบเธอก็ออกไปทันที
โรแลนด์ขี่จักรยานสาธารณะไปในเมืองแบบสุ่มจากนั้นเขาก็เลี้ยวเข้าไปในสวนสาธารณะเล็ก ๆ และนั่งลง
เขาโทรหาชัคและเบทต้าและคนอื่นๆที่เหลือ และเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟัง จากนั้นก็เตือนพวกเขาว่าอย่าบอกคนนอกว่าเขามีแคปซูลเสมือนจริง
ฟานลิ่วยี่ทุ่มเงินไปกว่าล้านเพื่อซื้อแคปซูลเสมือนจริง ถ้าหากคนภายนอกรู้เข้าละก็ว่าพวกเขามีแคปซูลเสมือนจริง มันก็อาจจะไม่ถึงขั้นถูกทำร้ายหรือถูกคุกคาม ทว่ามันก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะมีคนมาเคาะประตูหน้าบ้านพวกเขาเพื่อขอซื้อต่อหรือขอยืมแคปซูลเสมือนจริง
ถ้ามันเกิดเรื่องขึ้นแค่ครั้งสองครั้งมันก็ไม่เป็นไรหรอก ทว่าหากมันเกิดขึ้นบ่อยครั้งมันก็นับว่าเป็นปัญหา
หลังจากวางสายโทรศัพท์โรแลนด์ก็ขี่จักรยานเพื่อกลับบ้าน
เหมือนดั่งที่จินเหวินเหวินคาดการณ์เอาไว้ โรแลนด์ไม่คิดจะกลับไปยังสโมสรมวยอีก เพราะดูเหมือนว่าพวกเขาจะสนใจในแคปซูลเสมือนจริง
นอกจากนี้เขายังมีอุปกรณ์เพาะกายที่บ้าน ห้องที่เขาอาศัยอยู่นั้นค่อนข้างกว้างขวางพอให้เขาซ้อมมวยได้อยู่
พอถึงสี่ทุ่มโรแลนด์ก็กลับเข้าเกมอีกครั้ง
ทันทีที่เขาเข้าเกมเขาได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ
เป็นการแจ้งเตือนจากการเชิญเข้ากิลด์ระยะไกลจากชัค โรแลนด์กดรับโดยไม้ลังเล
วินาทีถัดมาหน้าจอสีเงินกึ่งโปร่งแสงปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา ชื่อกิลด์ F6 ถูกเขียนบนหน้าจอระบบเช่นเดียวกับรายชื่อสมาชิกกิลด์ปัจจุบัน
ในขณะนี้มีสมาชิกกิลด์อย่างเป็นทางการเพียงคนเดียวคือเขาและชัค ไม่นานหลังจากนั้นลี่หลินและคนอื่น ๆ ก็ได้รับเชิญในขณะที่เบทต้าอยู่ในรายชื่อสมาชิก “พิเศษ”
อินเทอร์เฟซของกิลด์นี้ค่อนข้างเรียบง่าย มีเพียงชื่อกิลด์และรายชื่อสมาชิกรวมถึงแท็บที่มีข้อความว่า “แชทกิลด์”
หลังจากคลิกแล้วโรแลนด์พบว่าหน้านี้เป็นห้องสนทนาธรรมดา เขาพบแถบป้อนข้อความที่ด้านล่างสุดและเมื่อเขาคิดในใจว่า “สัมผัส” จากนั้นแป้นพิมพ์แบบกึ่งโปร่งใสที่สดใสก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา
มันถูกควบคุมด้วยความคิดของคนสินะ
ชัค : ”นี่พวกนายเห็นข้อความของฉันไหม?”
เมื่อโรแลนด์กำลังจะพิมพ์ข้อความส่ไป ข้อความขอชัคก็เด้ขึ้นมาก่อน
จากนั้นข้อความอื่นๆขอลี่หลินและคนอื่นๆก็เริ่มตอบกลับมา พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับว่าในที่สุดก็ติดต่อกันได้สักที
โรแลนด์พูดคุยสั้นๆและสบายๆกับพวกเขา จากนั้นเขาก็ออกไปที่สลัม เพื่อไปหาฮอร์กและลิงค์
ดูเหมือนตอนนี้สองคนนั้นกำลังมีปัญหาอยู่เล็กน้อย
ในตรอกแคบๆที่เต็มไปด้วยโคลนพวกเขาสองคนถูกล้อมรอบไปด้วยกลุ่มขอทาน
ในตอนแรกโรแลนด์สันนิษฐานว่าพวกเขาถูกโจมตี แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้เขาก็รู้ว่าข้อสันนิษฐานของเขานั้นผิด
พวกขอทานคุกเข่าต่อหน้าพวกเขา หัวหน้าขอทานที่ดูขาดสารอาหารและผอมกะหร่อง อยู่ในเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรูจากการใช้งานมาหลากหลายปี มันทั้งดำและสกปรก
“ท่านบุตรทองคำได้โปรดมอบที่พักพิงและอาหารให้แก่พวกเราด้วย”
โรแลนด์ได้ยินคำพูดนี้ขึ้นขณะกำลังเดินเข้าไปหาพวกเขา
เป็นธรรมดาที่ชัคจะโทรหาเขา
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงพวกเขาทั้งเจ็ดก็รวมตัวกันที่บาร์ของชัค
บนโต๊ะกระจกสีดำภายในห้องหมีแพนด้ามีกระทิงแดง , เบียร์น้ำผลไม้สดตามฤดูกาลและเต้าหู้นุ่มๆ
แน่นอนว่ามีโหยวเตี๋ยวด้วย
ทุกคนดื่มเบียร์และกินโหยวเตี๋ยวและแม้ว่ามันจะรสชาติแปลกๆแต่ก็ไม่มีใครสนใจ ทุกคนเลื่อนดูเว็บบอร์ดบนโทรศัพท์ขณะที่พวกเขาทานอาหาร เมื่อได้เห็นคนพูดถึง F6 พวกเขาก็รู้สึกราวกับซือโป๊ยก่าย [1] ได้กินโสมวิเศษ [2]
จริงๆมันก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากนักสำหรับการเป็นกิลด์แรกภายในเกม
อย่างไรก็ตามครั้งนี้มันแตกต่างออกไป พวกเขารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้เป็นกิลด์แรกภายในเกมเสมือนจริงเกมแรกของโลก นอกจากจะได้รับความสนใจจากผู้เล่นกว่าห้าแสนคนภายในเกมแล้ว ยังมีองค์กรณ์ภายนอกอีกมากมายที่ให้ความสนใจในเกมนี้
องค์กรและกองกำลังของรัฐต้องการทราบว่าเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังเกมนี้คืออะไร
ในทางกลับกันผู้เล่นเพียงแค่ต้องการเล่นเกมนี้อย่างอิสระ เกมที่ก้าวข้ามยุคสมัย เกมประเภทใหม่เกมแรกของโลก
มันได้รับความนิยมจากทั่วทั้งโลก
ไม่ต้องพูดถึงในเว๋ยป๋อและจีฮูและในการจัดอันดับเกม เกมนี้ไม่เคยหล่นลงจากสามอันดับแรก
ยิ่งไปกว่านั้นช่วงเวลาที่ผ่านมาฟานลิ่วยี่ [3] พยายามที่จะกลับเข้าสู่วงการบันเทิง เธอโพสต์บนเว๋ยป๋อว่าเธอใช้เงินกว่าล้านเพื่อแคปซูลเสทือนจริงและเธอยังบอกด้วยว่าเธอจะอัปโหลดวิดีโอเกมของตัวเองเป็นครั้งคราว เรื่องนี้ช่วยให้กระแสดังขึ้นไปอีก ไม่เพียงแต่ฟานลิ่วยี่จะได้รับความสนใจเท่านั้น ขณะเดียวกันโลกแห่งฟาลานก็จะยิ่งได้รับความสนใจจากกลุ่มแฟนคลับของวงการบันเทิงที่ไม่ได้ติดตามเกมอีกด้วย
ไม่นานหลังจากนั้นลูกชายของมหาเศรษฐีคนหนึ่งชื่อประธานหวง[4] ก็โพสต์รูปแคปซูลเสมือนจริงของตัวเองและในเวลาเดียวกันเขาก็ทักไปหาฟานลิ่วยี่ว่า “ด้วยไอคิวเพียงเล็กน้อยของเธอถ้าไม่มีใครช่วย บางทีเธออาจจะถูกหลอกและถูกนำไปขายที่ตลาดทาส คนฉลาดอย่างฉันใช้เงินไปกว่าหนึ่งล้านเพื่อซื้ออุปกรณ์เวทย์มนตร์ครบชุด ฉันยังคงเลเวล 2 อยู่เลย เกมนี้มันต้องใช้ความฉลาดในการเล่นจำนวนมาก”
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นานฟานลิ่วยี่ได้ปล่อยวิดีโอเกม เธอเล่นคลาสนักเต้นในเกมนี้และดูเหมือนว่าเธออยู่ในระดับสามแล้วในตอนนี้
เธอทำให้เขาขายหน้าในทันที
จากนั้นหายนะก็เกิดขึ้นกับเว๋ยป๋อของประธานหวง ภายในเวลาแค่ชั่วโมงเดียวก็มีกว่าสามหมื่นคอมเม้นต์แล้วที่ไปล้อเลียนประธานหวง 250 IQ [5]
นี่ทำให้ประธานหวงต้องปิดคอมเม้นต์ในเว๋ยป๋อของเขานานนับสัปดาห์
จากเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างประธานหวงและฟานลิ่วยี่ทำให้ความนิยมของโลกแห่งฟาลานพุ่งสูงขึ้นไปอีก
สมาชิกของ F6 และเบทต้าเลื่อนดูเว็บบอร์ดในขณะที่ดื่มน้ำและกินเต้าหู้ พวกเขาทั้งหมดต่างกำลังอารมณ์ดี ทันใดนั้นเองราฟเฟิลก็โบกโทรศัพท์ของเขาไปทางชัคพร้อมพูดด้วยความตกใจว่า “ฟานลิ่วยี่โพสต์หานายอยู่ เธอบอกว่าเธออยากเข้า F6”
สำหรับผู้เล่นทุกคนที่เล่นเกมชื่อภายในเกมของเขาจะถูกผูกเข้ากับชื่อบัญชีเว็บบอร์ด
บัญชีเว็บบอร์ดของฟานลิ่วยี่อันนี้เป็นของจริงแน่นอน ไม่เพียงแค่จะเป็นชื่อเธอนั้น ทว่าชื่อของเธอก็เป็นสีทองซึ่งเป็นสัญลักษณืของความร่ำรวยเช่นเดียวกัน
ด้านล่างหัวข้อนี้มีคนจำนวนมากที่สแปมข้อความว่าพวกเขากินมะนาว [6] และบางคนก็สแปมข้อความที่เข้าใจได้ยากอย่าง “ให้ข้าเข้าร่วมทหารม้ากับท่านด้วย” [7]
ไม่นานนักทุกคนต่างก็เห็นกระทู้นี้ มันหาเจอได้ง่ายมากเพราะมันถูกปักไว้อยู่บนสุดของเว็บบอร์ดและขึ้นอยู่ในกระทู้ยอดนิยมอีกด้วย
จากนั้นพวกเขาทั้งหมดมองไปที่ชัค
ภายใต้แสงไฟที่นุ่มนวลชัคซึ่งตัดผมแบนราบยิ้มและพูดว่า “ฉันคงไม่รับเธอหรอก ขนาดเบทต้ายังไม่สามารถเป็นสมาชิกหลักได้เลย เรื่องอะไรฉันต้องให้เธอ!?”
มีคำกล่าวเก่าๆบนอินเทอร์เน็ตไว้ว่า การตัดผมแบบเรียบเป็นมาตรฐานเดียวที่จะตรวจสอบว่าใครหล่ออย่างแท้จริงหรือไม่ แม้แต่ทรงผมนี้แต่ชัคก็ยังคงหล่อเหลาจนผู้หญิงไม่กล้ามองหน้าเขาตรงๆ ถ้าเขาไว้ผมยาวและมัดเป็นหางม้าเหมือนสมัยก่อนเขาจะสามารถเปลี่ยนชายแท้ให้เป็นเกย์อย่างง่ายดาย ไอดอลชายในตอนนี้นับว่าไม่เท่าไหร่เมื่อเทียบกับเขา
เมื่อได้ยินคำพูดของชัคพวกเขาก็ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร
ถ้าหากเป็นพวกเขา บางทีพวกเขาอาจจะยอมรับให้ฟานลิ่วยี่เข้าร่วมด้วยเพราะความน่าดึงดูดของเธอ ทว่ากับชัค…จริงแล้วพวกเขาไม่เคยเห็นหมอนี่สนใจผู้หญิงคนไหนเลยนอกจากคนในครอบครัว
โรแลนด์และชัคนั้นสนิทกันมากที่สุดในกลุ่ม ดังนั้นโรแลนด์จึงแกล้งล้อไปว่า “คนหล่อๆแบบนายบางทีอาจจะทำให้เธออยากสานสัมพันธ์ด้วยก็ได้นะ”
“บ้าบอน่า ฉันใส่เสื้อผ้าผู้หญิงแล้วยังสวยกว่านั้นอีก” ชัคหัวเราะออกมา
ทุกคนมอบนิ้วกลางให้แก่ชัค
โรแลนด์หรี่ตา “ฉันไม่เชื่อหรอกว่านายกล้าพอจะใส่เสื้อผ้าผู้หญิงน่ะ”
ชัคที่กำลังมึนๆอยู่นั้น จู่ก็ตบโต๊ะและตะโกนออกมาว่า “แค่ครั้งเดียว…”
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลับมามีสติทันที “เชี่ยเอ้ย…นายตั้งใจหลอกถามฉันสินะ”
ทุกคนต่างอุทานออกมาด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่าง
“บ้าเอ้ย นายไม่ต้องหาผู้หญิงดีๆด้วยซ้ำ ฉันนี่กำลังจะตายจากความขาดแคลนอยู่แล้ว” หลังจากนั้นไม่นาน ลี่หลินก็พูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “พระเจ้าไม่ยุติธรรมเลย”
“ใช่พระเจ้าไม่ยุติธรรมเลย” ราฟเฟิลมองร่างที่มีรูปร่างสันทัดและแข็งแกร่งของหลี่หลินที่ถูกฝึกขึ้นในช่วงสองปีของการรับราชการทหารจากนั้นเขาก็มองไปที่ร่างกายที่สั้นและกำยำของตัวเอง “บางคนเกิดมาสูงหรือร่ำรวย ฉันเกิดมาพร้อมกับความว่างเปล่า”
โอ้…ลี่หลินไม่รู้ว่าเขาควรตอบกลับไปยังไงดี
ทุกคนต่างพูดคุยกันต่ออยู่อีกสักพักหนึ่ง
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ทิ้งหมายเลข ID ภายในเกมไว้ และต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน
ในการอัปเดตเมื่อวานนี้ทุกคนมี ID ที่มีหมายเลขของตัวเอง นี่คือตัวระบุที่จำเป็นในการเชิญผู้เล่นจากระยะไกลเพื่อเข้าร่วมกิลด์
โรแลนด์ไปที่สโมสรมวยและยังคงออกกำลังกายเหมือนเช่นเคย
แม้ว่าโค้ชจะบอกว่าเขาไม่เหลืออะไรที่จะสอนเขาแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถซ้อมต่อสู้กันได้
หลังจากที่เขาสู้กับโค้ชได้สองรอบทอมบอยผมสั้นก็เข้ามายืนด้านข้าง หลังจากที่โรแลนด์ถอดนวมเธอก็เดินเข้ามาหาเขาและพูดว่า “ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม?”
ภายในสโมสรฝึกซ้อมแห่งนี้มีห้องสำหรับพักผ่อนและดื่มน้ำอยู่
ทั้งสองคนสั่งน้ำผลไม้คนละถ้วย เนื่องจากนี่ไม่ใช่ชมรมเพาะกายจึงไม่ได้เข้มงวดเรื่องแคลอรี่ในอาหารหรือเครื่องดื่ม
รูปลักษณ์ของทอมบอยคนนี้ค่อนข้างสวยงามยกเว้นเพียงแค่การแสดงออกที่ดูเยือกเย็นเล็กน้อยของเธอ ท่าทางของเธอดูหยิ่งยโสและน่าเกรงขามเกินไปและร่างกายของเธอก็ไม่งดงามนัก ใบหน้าของเธอทำได้ 90 คะแนน แต่น่าเสียดายในสายตาของโรแลนด์โดยรวมแล้วเธอทำได้เพียง 75 คะแนนเท่านั้น
หลังจากนั่งลงทอมบอยก็มองดูโรแลนด์สักพักก่อนพูดว่า “สวัสดีฉันเป็นประธานสโมสรแห่งนี้ นามสกุลของฉันคือจิน – จินเหวินเหวิน”
จินประธานสโมสร [8] …โรแลนด์กระพริบตาและด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่ทราบสาเหตุเสียงหัวเราะแปลก ๆ อย่างไม่อาจต้านทานก็ดังขึ้นในหูของเขา
จากนั้นเขาก็อยากจะหัวเราะเป็นพิเศษ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียมารยาทเขาจึงทำได้เพียงแค่อดกลั้นเอาไว้ สิ่งนี้ทำให้การแสดงออกทางบนใบหน้าของเขาดูแปลก ๆ
เมื่อเห็นการแสดงออกที่บิดเบี้ยวเล็กน้อยของโรแลนด์ จินเหวินเหวินก็ยังคงดูเยือกเย็นเหมือนเช่นเคย “ถ้าคุณอยากหัวเราะก็แค่หัวเราะมันออกมา ฉันชินแล้ว”
โรแลนด์หายใจเข้าลึก ๆ สองครั้งก่อนจะกลั้นความอยากหัวเราะของตัวเอง จากนั้นเขาก็พูดว่า “ต้องขอโทษจากใจจริงคือ…เอิ่มประธานจิน…เลดี้จิน คุณเรียกผมมาเพื่ออะไรงั้นเหรอ?”
“ฉันได้ยินมาจากโค้ชว่าเร็วๆนี้คุณพัฒนาการชกมวยได้รวดเร็วเป็นอย่างมาก” จินเหวินเหวินคนน้ำแตงโมในแก้วของเธอเบาๆและพูดต่อว่า “ภายในเวลาไม่ถึงสองเดือนคุณกลายเป็นนักมวยมือใหม่ที่สามารถเอาชนะเขาได้”
“โค้ชแค่พูดเกินจริงไปเกี่ยวการพัฒนาของฉันก็เท่านั้น” โรแลนด์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“โค้ชนั้นทำงานที่นี่มาห้าปีแล้ว ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยชมเชยนักเรียนคนไหนเลย กลับกันเขามักจะด่าว่าพวกเขาว่าเป็นพวกโง่ที่ไร้ความหวังอยู่ทุกวัน” ดูเหมือนจะมีประกายบางอย่างในดวงตาของเธอ “คุณเป็นนักเรียนคนแรกที่เขาชมโดยไม่ต้องฝทนพูดเพราะเกรงใจฉัน”
“ต่อให้มันเป็นแบบนั้น แต่มันก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่เลดี้จินต้องมาพูดกับผมเป็นการส่วนตัวนี่”
“ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไมคุณถึงพัฒนาได้รวดเร็วนัก” จินเหวินเหวินจ้องมองเข้าไปในดวงตาของโรแลนด์อย่างตั้งใจ
โรแลนด์รู้สึกว่าการจ้องมองของเธอค่อนข้างเจาะลึก เนื่องจากเขาพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาหลายครั้งแล้วภายในเกมทำให้เขามีภูมิต้านทานและไม่รู้สึกอะไร “บางทีฉันอาจจะมีพรสวรรค์?”
“ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะแคปซูลเสมือนจริงงั้นเหรอ?” จินเหวินเหวินหยุดคนน้ำแตงโมในมือที่ขาวสะอาดของเธอ ดวงตาสีดำสนิทของเธอเหมือนบ่อน้ำที่เย็นสนิทและไร้ก้นบึ้ง
******************************************************************************************************************
[1] ตัวละครจากนวนิยายเรื่องการเดินทางสู่ตะวันตก (ถ้านึกไม่ออก มันคือบทละครเกี่ยวกับพระถังซัมจั๋งไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่ชมพูทวีป)
[2] 人参果 Rénshēnguǒ โสมวิเศษ
[3] ล้อเลียนมาจากชื่อของฟ่านปิงปิงครับ คือฟ่านลิ่วยี่เนี่ยถ้าแปลจากจีนโดยตรงมัน 樊六亿 มันจะแปลว่าฟ่านหกร้อยล้าน มันล้อมาจากเรื่องที่ฟ่านปิงปิงโดนทางการจีนปรับ 600 ล้านหยวนเพราะเธอหลีกเลี่ยงภาษีครับ
[4] ประธานหวง 黄校长 คืออันนี้ล้อมาจาก 王思聪 หวางซี่กง คือคนนี้เขาเป็นคนดังในเว่ยป๋อและก็เป็นอารมณ์พวกนักธุรกิจที่ชอบวิจารณ์คนดังในวงการต่างๆจนคนจีนล้อเขาว่าเป็นประธาน เป็นลูกชายคนเดียวของนักการเมืองชื่อดัง 王健林 หวางเจี่ยนหลิน
[5] มุข 250 ไอคิวนะ คือ 250 ภาษาจีนมันจะสามารถอ่านออกเสียงได้ว่า (二百五) เอ้อไป่อู้ มันจะแปลแบบเล่นคำได้ว่าไอ้โง่
[6] 吃柠檬 ชี่หนิงเหมิง หรือกินมะนาวพินอินมันจะเขียนว่า Chī níngméng มันจะย่อได้ว่า CNM ซึ่งมันจะตรงกับตัวย่อของคำว่า เช่าหนีหม่า (ไอ้แม่…) นั่นเองครับ
[7] มุข “ให้ข้าเข้าร่วมกองทหารม้ากับท่านด้วย “คือมั่นมาจากคำว่า (骑兵连) อ่านว่าซี่ปิงเหลียนหรือแปลว่า กองทหารม้า คราวนี้มุขมันจะสอดคล้องกับมุขข้อ 3 คือ (范冰冰) ฟ่านปิงปิง สังเกตุคือว่ามันจะมีคำว่า “ปิง” เหมือนกัน 兵 ปิงตัวนี้แปลว่า ขี่ ส่วนปิงตัวนี้ 冰 แปลว่าน้ำแข็ง คราวนี้มุขของมันคือการเอาคำว่า兵连 ไปแทน 冰冰 มันจะออกมาเป็น 范兵连 คือมันจะอุปมาประมาณว่า “ฟ่านขี่ม้า” (ในบริทนี้คำว่าม้าจะแทนถึงผู้ชาย) แปลรวมๆของมุขนี้ก็อารมณ์ “ให้ข้าได้ร่วม…แม่นางพร้อมกับท่านด้วย”
[8] มุขอ้างอิงมาจากหนังเรื่อง Three Kims 2007 (หนังเกาหลีนะ) มันมีชื่อล้อเลียนว่า Mr. Kim vs Mr. Kim vs Mr. Kim , Master KIMs
โรแลนด์มองเข้าไปในดวงตาของอัลโดราวกับว่าเขาต้องการที่จะมองผ่านความคิดทั้งหมดของบุคคลตรงหน้านี้
อย่างไรก็ตามอัลโด้นั้นก็ดูเป็นเพียงคนที่เจนต่อโลกและมีความบ้าคลั่งอยู่เล็กน้อยเท่านั้น มันยากที่จะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
“ฉันเป็นโอกาสของคุณงั้นเหรอ” โรแลนด์หัวเราะและพูดว่า “คุณไม่กลัวว่าฉันจะเข้าข้างฝั่งสมาคมบ้างเหรอ?”
ไม่ว่าใครที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเป้าหมายของใครบสงคนแล้วละก็ พวกเขาก็ต้องรู้สึกอึดอัดเป็นธรรมดาอยู่แล้ว โรแลนด์ก็เช่นเดียวกัน คำถามเชิงหยอกล้อขอเขานั้นเป็นปฎิกิริยาที่คนทั่วไปจะมีกัน
ถ้าเป็นคนธรรมดาที่ถูกตั้งคำถามแบบนี้พวกเขาก็น่าจะตกใจอยู่บ้าง แต่อัลโดพูดด้วยท่าทีสงบนิ่งและสำรวมตัวว่า “ความเป็นไปได้นี้มีไม่มากนัก ผู้คนจากสำนักงานใหญ่เกือบทั้งหมดมีภูมิหลังที่สูงส่งและพวกเขาล้วนเป็นลูกหลานของตระกูลขุนนางที่มีประวัติมานานหลายร้อยถึงหลายพันปี พวกเขายังมีญาติห่างๆหลายคนทำหน้าที่เป็นนักเวทย์ฝึกหัดหรือกระทั่งสร้างสาขาย่อยในที่ต่างๆอีกด้วย สำนักงานใหญ่จะรู้ทันทีถึงความเคลื่อนไหวใดๆก็ตาม ต่อให้เป็นความลับที่ลึกมากๆก็ตาม แน่นอนว่าสำหรับอัจฉริยะเช่นเจ้า ถ้าหากเจ้าเต็มใจที่จะคุกเข่าลงเพื่อเป็นสุนัขของพวกมัน เจ้าก็น่าจะกลมกลืนไปกับพวกมันได้นะ ฮ่าๆๆๆ ”
หลังจากได้ยินคำเยาะเย้ยของอัลโด้ โรแลนด์ก็มองไปที่การแสดงออกอันบ้าคลั่งของอัลโด้เขาไม่ค่อยชอบมันนัก
“แน่ใจเหรอว่าฉันจะไม่ยอมเป็นสุนัขรับใช้พวกนั้นหน่ะ?” โรแลนด์ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
“คนที่ไม่กลัวความตายเช่นเจ้าเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่พวกเจ้าจะยอมเป็นสุนัขรับใช้ให้คนอื่น!” อัลโด้หัวเราะเยาะออกมา ร่องรอยการดูถูกแสดงออกมาจากใบหน้าของเขา
ตรงประเด็นเลยแหะ ก็จริงคนที่ไม่มีทางตายจะเป็นสุนัขรับใช้คนอื่นเพื่ออะไร
ผู้เล่นมีโทษจากการตายเพียงแค่สองอย่าง ประการแรกคือการสูญเสียหนึ่งในสิบของประสบการณ์ทั้งหมดในปัจจุบัน หากพวกเขาสามารถเรียกคืนศพของพวกเขาได้พวกเขาจะลดค่าประสบการณ์ที่หายไปได้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือถ้าพวกเขากู้คืนศพขึ้นมาพวกเขาจะสูญเสียเพียงห้าเปอร์เซ็นต์ของค่าประสบการณ์ทั้งหมด
ส่วนอีกประการคือการสูญเสียอุปกรณ์ที่อยู่บนศพ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า NPC ที่พบเจอศพจะเลือกที่จะปล้มหรือไม่ ทว่าหากเป็นโรแลนด์เขาคงปล้นมันแน่นอน
เพราะอย่างไรอุปกรณ์พวกนี้ก็เปรียบได้ดั่งสินสงคราม
โรแลนด์รู้สึกว่ามีผู้เล่นไม่มากนักที่เต็มใจที่จะเป็นสุนัขรับใช้ภายในเกม ปัจจุบันทุกคนมีความหยิ่ทระนงในตัวของตนเองอยู่เล็กน้อย แต่ก็นะ…ถ้ามันเป็นสุนัขรับใช้ให้สาวงามละก็ผู้เล่นชายหลายคนอาจจะเต็มใจที่จะทำ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งโรแลนด์ก็ถามว่า “คุณต้องการแก้แค้นถึงขนาดไหน?”
“ข้าไม่รู้” อัลโดมองออกไปนอกหน้าต่างและอารมณ์ของเขาก็ค่อยๆสงบลง “ข้าอยากเห็นผู้หญิงคนนั้นคุกเข่าต่อหน้าข้า ข้าอยากเห็นครอบครัวของเธอหายไปเหมือนควันในอากาศที่เบาบาง ข้าอยากเห็นเธอเสียใจจนถึงที่สุด”
“คุณไม่อยากฆ่าเธองั้นเหรอ?” โรแลนด์จ้องมองอย่างสงสัย
ร่างกายของอัลโดสั่นสะท้าน มีความลังเลอย่างมากในดวงตาของเขา “ข้าไม่แน่ใจ!”
“ฉันเข้าใจ” โรแลนด์พูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ฉันจะยังไม่เข้าข้างสำนักงานใหญ่ แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับคนที่มาถึงด้วย ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกที่จะไม่ปกปิดหรือพวกเขาจะยอมจ่ายทุกอย่างเพื่อปกปิดแบบจำลองเวทย์ของฉัน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” อัลโด้หัวเราะอย่างบ้าคลั่งขณะที่เขาลุกขึ้นยืน เขากางแขนออกและพูดอย่างบ้าคลั่งว่า “เจ้าจะได้เห็นการแสดง! ของสิ่งที่เรียกว่าความหยิ่งยโสที่แท้จริง”
“ฉันหวังว่าอย่างนั้น”
หลังจากอัลโด้จากไปโรแลนด์ก็ใช้แขนเวทย์เพื่อปิดประตูจากระยะไกล
ห้องเงียบลงเหลือเพียงเสียงลมแรงพัดผ่านหน้าต่างเบา ๆ
ความคิดของโรแลนด์หมุนไปหมุนมา จริงๆแล้วเขาไม่ได้สนใจว่าจะถูกอัลโดใช้ ในฐานะผู้เล่นประสบการณ์กว่าสิบปีทั้งในเกมที่มีผู้เล่นคนเดียวและเกมออนไลน์แบบผู้เล่นหลายคนส่งผลให้มีภูมิคุ้มกันต่อเรื่องราว “ไม่สมเหตุสมผล”
แม้ว่าโลกนี้จะดูไม่เรียบง่ายเหมือนเกม แต่คำพูดเก่าๆก็ยังคงใช้ได้อยู่เสมอ มีเพียงเรื่องราวและนวนิยายเท่านั้นที่สามารถพิจารณาได้ว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นดูสมเหตุสมผลหรือไม่ ในขณะที่ความเป็นจริงมันทำอย่านั้นไม่ได้
โรแลนด์ไม่คิดว่าจำเป็นต้องสนใจการแก้แค้นของอัลโดอย่างจริงจังนัก สิ่งที่เขาสนใจจริงๆคือความบ้าคลั่งที่อัลโดเพิ่งแสดงออกมา
คนที่ดูมีอาการทางจิต , นักเวทย์ และมีความรู้และความระวังตัวสูง พวกนั้นทั้งหมดเป็นเบาะแสที่โรแลนด์ได้จากการสืบสวนในครั้งก่อน
ดูเหมือนว่าความเป็นไปได้ที่อัลโด้จะเป็นฆาตกรจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หากความสงสัยของเขามีเพียงแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์ก่อนหน้านี้ตอนนี้อย่างน้อยก็ห้าสิบเปอร์เซ็นต์
หลังจากนั่งสมาธิในห้องพักสักพักโรแลนด์ยังคงศึกษาเวทย์ที่พัฒนาแล้วของความสามารถทางภาษา
ด้วยข้อมูลที่มากขึ้นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เกี่ยวกับเวทย์นี้จึงได้รับการปรับปรุงมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ทุกครั้งที่โรแลนด์ร่ายเวทย์เขาสามารถเข้าใจคำศัพท์ได้เป็นโหลในหนึ่งหน้าหนังสือ
ถ้าเขามีเวลาอีกสักสองถึงสามวันเขาเชื่อว่าเขาจะสามารถเชี่ยวชาญมันได้ในที่สุด
ในช่วงบ่ายวิเวียนที่เพิ่งตื่นนอนก็ส่งอาหารกลางวันให้แก่เขา
มันค่อนข้างโอ่อ่า มีไข่ดาว ,เค้ก , ซุปข้นและผักที่โรแลนด์ไม่รู้จักชื่อ
“ขอโทษที่รบกวนเธอนะ”
โรแลนด์รู้สึกถึงข้อดีของการมีอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะได้รับเงินในแต่ละเดือนทรัพยากรมีให้ใช้ฟรีและที่สำคัญมีคนที่ดูแลสิ่งจำเป็นพื้นฐานของเขาโดยเฉพาะ เขาไม่ต้องกังวลเรื่องเหล่านี้เลย เขาต้องตั้งใจทำสิ่งต่างๆของตัวเองเท่านั้น
วิเวียนส่ายหัว “สิ่งนี้ไม่อาจกล่าวถึงเมื่อเทียบกับสิ่งที่ท่านทำให้พวกเรา”
เธออยู่ที่หอคอยเวทมนตร์มาสามปีแล้ว ก่อนหน้านี้ประธานใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการสั่งสอนพวกเขา แต่เมื่อโรแลนด์มาถึงโรแลนด์ก็มอบรูปแบบเวทย์อันล้ำค่าให้พวกเขาและใช้เวลาทั้งคืนสอนพวกเขาด้วยอย่างละเอียด
แม้ว่าบางสิ่งที่โรแลนด์สอนจะแตกต่างจากที่พวกเขาเคยรู้มา แต่หลังจากที่พวกเขาทดลองด้วยตัวเองสิ่งเหล่านี้ล้วนได้ผลจริง ความก้าวหน้าในวันเดียวนั้นคุ้มค่าพอๆกับความก้าวหน้าที่พวกเขาทำในเวลาประมาณครึ่งปี ยิ่งเป็นแบบนั้นพวกเธอก็ยิ่งขอบคุณโรแลนด์มากยิ่งขึ้น
แต่แท้จริงแล้วโรแลนด์ไม่ได้ทำอะไรมากมายนัก เขาแค่สอนพวกนักเวทย์ฝึกหัดเกี่ยวกับพื้นฐานในการเชื่อมจุดเวทย์อย่างถูกต้องและการเชื่อมจุดเวทย์ในใจก็เพียงเท่านั้น
หากวิธีการมันผิดละก็มันก็ไร้ประโยชน์ ต่อให้พวกนักเวทย์ฝึกหัดเหล่านั้นทำงานหนักตลอดชีวิต พวกเขาก็จะไม่สามารถจะไม่สามารถเชื่อมต่อจุดเวทย์ภายในจิตใจอย่างถูกต้องได้
ประธานนั้นไม่ได้สอนพวกเขา
“รองประธานท่านต้องการให้ข้าสอนวิธีอ่านหรือไม่” วิเวียนมองเขาอย่างคาดหวัง
โรแลนด์ส่ายหัว
“รับทราบค่ะ…” วิเวียนจากไปอย่างสลดใจ
หลังจากหายใจออกเบา ๆ โรแลนด์มองไปที่ประตูไม้สักพักแล้วก็ส่ายหัว เขากำลังจะกินข้าวเที่ยง ทันใดนั้นเองเขาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ
“ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่นชัคที่ได้สร้างกิลด์ F6 เป็นคนแรก!”
หลังจากโรแลนด์อ่านประกาศแล้วเขาก็หัวเราะอย่างมีความสุข “เราเอาที่หนึ่งมาแล้วป่านนี้พวกหัวหน้ากิลด์ใหญ่คงโกรธจนคลั่งแล้วมั้ง”
แม้ว่าจะเป็นเพียงการแจ้งเตือสั้นๆจากระบบ แต่เขาก็คิดว่าสิ่งนี้ต้องทำให้หลายคนตกใจอย่างแน่นอน
เขากินอาหารกลางวันอย่างมีความสุข จากนั้นก็ไปยังชั้นสองและเรียกรวมเหล่านักเวทย์ฝึกหัดก่อนจะเริ่มสอนพวกเขาต่อ
เมื่อถึงช่วงกลางดึก เขาก็ปล่อยให้พวกนักเวทย์ฝึกหัดทั้งหลายไปนอน ก่อนที่เขาจะไปศึกษาเวทย์ต่อที่ขั้นแปด
เขาศึกษาเวทย์ต่อจนกระทั่งเวลาของวันนี้หมดลง
หลังจากออกจากแคปซูลเสมือนจริง เขาก็เปิดเว็บบอร์ดเหมือนอย่างเคย ก่อนเขาจะพบว่าเว็บบอร์ดนั้นกำลังวุ่นวายอย่างที่เขาคาดเอาไว้
กระทู้ทั้งหมดต่างพูดถึง F6 และตัวตนของชัค
โดยเฉพาะพวกสโมสรใหญ่ๆก็เริ่มออกมาเคลื่อนไหว หัวหน้ากิลด์ของโบสถ์แห่งกาแลนด์, อาณาจักรนิรันด์ , หมู่บ้านแห่งแสงจันทร์ และกิลด์ขนาดใหญ่อื่นๆ ทั้งหมดถึงกับตั้งกระทู้พร้อมรางวัลโดยเนื้อหาคือหวังว่าชัคจะเห็นแก่ที่เป็นคนจีนเหมือนกัน ขอให้ช่วยบอกวิธีการสร้างกิลด์อย่างรวดเร็วให้หน่อย ในขณะเดียวกันพวกเขาจะมอบเงินให้เป็นของตอบแทน
ตอนนี้ชัคกำลังจะมีชื่อเสียง! เมื่อโรแลนด์คิดเช่นนี้สมาร์ทโฟนของเขาก็ดังขึ้น
“มีปัญหาขนาดนั้นเลย?” โรแลนด์ถามอย่างสงสัย
อัลโด้พยักหน้า “เป็นปัญหาอย่างมากเลยหละ”
เขาแสดงสีหน้าดูถูกออกมา “แตกต่างจากสาขาย่อยในที่ต่างๆ พวกที่มาจากสำนักงานใหญ่ทำตัวสูงส่งและมีอำนาจ ในสายตาของพวกเขานอกเหนือจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเวทมนตร์แล้ว ไม่ว่าจะเวทมนตร์แบบไหน องค์กรแบบไหน หรือคนแบบไหน แม้แต่สาขาย่อยอย่างพวกเราก็ถูกมองว่าเป็นสถานที่ไร้เวทมนตร์และเป็นมีแต่พวกคนเถื่อน พวกเขาคิดว่าพวกเราไม่ควรค่าพอแก่ความสนใจของพวกเขา ดังนั้นการส่งแบบจำลองเวทย์ของแขนเวทย์ไปก็เท่ากับเป็นการตบหน้าพวกนั้น”
“พวกนั้นจะเป็นศัตรูกับฉัน?” โรแลนด์ถามอย่างสนใจ
อัลโดนั่งลงตรงข้ามเขาบิดร่างกายส่วนบนเล็กน้อยเพื่อปรับให้เข้ากับท่านั่งที่สบายขึ้น จากนั้นเขากล่าวว่า “พวกเขาไม่มีทางเชื่ออยู่แล้วว่าเวทย์ที่ยอดเยี่ยมแบบนี้จะถูกคิดขึ้นโดยคนที่อยู่ในสาขาที่ห่างไกลเช่นนี้ มันเป็นการเปลี่ยนเวทย์ระดับศูนย์เป็นเวทย์ระดับสองโดยแท้จริง นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบหลายร้อยปีเท่านั้น นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม…พวกนั้นจะต้องทำให้เจ้าลำบากใจอย่างแน่นอนเพื่อพิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้สร้างมันขึ้นมา”
โรแลนด์มองไปที่อัลโดสักพัก “ดูเหมือนว่าคุณอยากให้มันเป็นแบบนั้นเลยนะ”
“แน่นอน!” อัลโด้พูดตรงๆว่า “ข้าเป็นคนขี้ขลาด – ข้าไม่กล้าท้าทายอำนาจของสำนักงานใหญ่หรอก แต่เจ้าทำได้! ข้าอยากเห็นพวกนั้นโดนขัดใจ จนต้องเอาหัวมาโขกจนแตกพร้อมทั้งหน้าแตกด้วยน้ำมือของเจ้า”
เจตนาร้ายที่ชัดเจนมาจากอัลโด้ ในตอนนี้เองใบหน้าของเขามีรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวเล็กน้อยราวกับว่าเขาเห็นจุดจบของคนเหล่านั้นจากสำนักงานใหญ่แล้ว
โรแลนด์สังเกตเขาอยู่สองสามวินาทีแล้วถามว่า“ ถ้าสำนักงานใหญ่ต้องการจัดการกับฉันจริงๆพวกเขาไม่จำเป็นต้องมาพบฉันด้วยซ้ำ พวกเขาต้องการเพียงแค่ปกปิดรูปแบบเวทมนตร์ของฉัน นักเวทย์ที่ไม่รู้จักเมื่อเทียบกับองค์กรขนาดใหญ่ ใครๆก็ต่างเข้าข้างอย่างหลังอยู่แล้ว”
“ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริงๆเจ้าจะทำอย่างไร” อัลโด้ถามอย่างสงสัยและโน้มตัวไปข้างหน้า
ในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขามีแสงที่แปลกประหลาดราวกับมีดคมที่จับต้องไม่ได้และแววตาที่ประสงค์ร้ายและเย็นชาปรากฎอยู่
“ก็แค่ปล่อยให้พวกนั้นทำตามที่ต้องการไปก่อน” โรแลนด์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อฉันแข็งแกร่งขึ้นฉันก็จะพาเพื่อนสนิทไปสักสองสามคนเพื่อทวงคืนความยุติธรรมจากพวกเขา”
คำพูดของเขาอ่อนโยนและนอบน้อมมาก ทว่ามันกลับซุกซ่อนความเกรี้ยวกราดมากมายเอาไว้
“เจ้ามั่นใจว่าจะสามารถจัดการกับสมาคมนักเวทย์ได้?” อัลโด้ถามออกมาพร้อมกลับไปนั่งตามเดิมและขมวดคิ้วด้วยความกังวล
“คุณก็รู้นี่ว่าฉันไม่มีทางตาย ฉันจะมีโอกาสอย่างไม่จำกัด”
อัลโดส่ายหัวอย่างอิจฉา “ใช่พวกเจ้าจะไม่ตายดังนั้นพวกเจ้ามักจะทำอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ ข้าดีใจเป็นอย่างมากที่พวกเจ้าส่วนมากเป็นคนดีไม่อย่างนั้นโลกคงเกิดภัยพิบัติไปแล้ว สำหรับแบบจำลองเวทย์ไม่ต้องเป็นห่วงไป ยังไงพวกนั้นก็ไม่สามารถปกปิดได้”
โรแลนด์ไม่พูดและยังคงมองไปที่อัลโด
เมื่อเห็นว่าโรแลนด์จะไม่ถามเขาอย่างจริงจังว่าทำไมอัลโดก็รู้สึกผิดหวัง การกระทำดังกล่าวเหมือนยังไม่ร่วมมือและการแสดงออกเช่นนี้ทำให้เขาหงุดหงิดอย่างมาก “จริงๆแล้วมันค่อนข้างง่าย ก่อนที่จะส่งแบบจำลองเวทย์ให้กับสมาคมข้สได้เสนอแบบจำลองเวทย์ให้กับเทพธิดาแห่งเวทมนตร์ในนามของเจ้า และเทพธิดาก็ยอมรับมันเรียบร้อยแล้ว”
“เทพธิดาแห่งเวทมนตร์?” โรแลนด์ถามออกมาโดยสัญชาตญาณ
“ใช่ว่ากันว่าเธอสร้างเวทมนตร์ทั้งหมดในโลก” อัลโด้ยักไหล่ “อย่างไรก็ตามพวกเอลฟ์บอกว่าเทพธิดาแห่งเวทมนตร์ เป็นเพียงมนุษย์ในอดีต! นั่นเป็นเหตุผลที่เราไม่สามารถระบุได้ว่าเทพธิดาแห่งเวทมนตร์เป็นมนุษย์ในอดีตหรือเป็นเทพเจ้าตั้งแต่ต้น แต่เรื่องที่เธอเป็นผู้อยู่เหนือองค์ประกอบเวทย์ก็เป็นเรื่องจริง”
“เทพธิดาแห่งเวทมนตร์ยอมรับแบบจำลองเวทย์นี้แล้วเหรอ!?”
“ใช่แล้ว” อัลโดกล่าวขณะที่รอยยิ้มวิกลจริตก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง “สำหรับพวกผู้ตรวจสอบพวกนั้นหากพวกมันอยากปกปิดแบบจำลองเวทย์ของเจ้าจริงๆละก็ พวกนั้นจำเป็นต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเจ้าไม่มีความสามารถเพียงพอในการสร้างเวทย์นั้นขึ้นมา พวกมันจะพยายามทดสอบเจ้าและพวกนั้นผิดพลาดละก็พวกมันอาจจะเลือกที่ทำร้ายเจ้าแทน”
“และถ้าเป็นอย่างนั้นฉันที่เป็นอมตะก็จะไปโจมตีพวกนั้น ในขณะที่คุณมองดูอยู่ข้างสนามอย่างสบายใจสินะ?” โรแลนด์ถอนหายใจ “คุณใช้ประโยชน์จากคนอื่นแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังพูดอย่างหยิ่งยโสต่อหน้าคนคนนั้นด้วย คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าฉันจะไม่ยอมร่วมมือด้วยหนะ?”
“ตอนนี้สถานการณ์ได้ถูกกำหนดไว้แล้วเจ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” อัลโดกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้าจะรู้สึกไม่ดี ทว่าข้าจะชดเชยให้เจ้าเอง ตราบเท่าที่ข้าทำได้เจ้าจะสามารถขออะไรก็ได้”
หลังจากไตร่ตรองแล้วโรแลนด์กล่าวว่า“ ฉันอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงต้องการเป็นศัตรูกับสำนักงานใหญ่”
“เจ้าต้องรู้?” อัลโด้เหล่ตาของเขา
บรรยากาศที่มืดมิดและอึดอัดลอยออกมาจากอัลโด
โรแลนด์ส่ายหัว “ฉันก็แค่อยากรู้เท่านั้นแหละ ถ้าหากคุณไม่ต้องการจะเล่าก็ลืมมันไปซะ ทว่าฉันไม่รับปากหรอกนะว่าจะไม่หนีไปก่อน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของอัลโดหายไป อัลโดมองไปที่โรแลนด์และทันใดนั้นก็พูดว่า เจ้าคิดว่าวิเวียนน่ารักและมีน้ำใจไหม?”
“อะไร? เรื่องนี้กี่ยวข้องกับเธอยังไง” โรแลนด์ขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่อัลโดถึงพูดถึงคนอื่น
อัลโดไม่สนใจท่าทางของโรแลนด์จากนั้นเขาจมไปกับความคิดของตัวเอง “ตอนที่ฉันข้าเป็นเพียงนักเวทย์ฝึกหัด ข้ารู้จักนักเวทย์ฝึกหัดหญิงงคนหนึ่งอายุเท่าๆกับข้า เธอน่ารักและมีน้ำใจพอๆกับวิเวียน ข้าชอบเธอมาก เจ้าเดาได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น”
โรแลนด์ดูเหมือนจะเดาเหตุผลว่าทำไมอัลโดถึงเป็นศัตรูกับสำนักงานใหญ่ “เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นอัจฉริยะและเธอได้สร้างแบบจำลองเวทมนตร์หรือมีส่วนช่วยอย่างมากจากนั้นสำนักงานใหญ่ก็ปกปิดผลลัพธ์ไว้?
ตามแนวความคิดปกติ โรแลนด์คิดว่าเรื่องราวแบบนี้น่าจะสมเหตุสมผลที่สุด
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” อัลโด้ปล่อยเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
โรแลนด์รู้สึกว่าเขาน่าจะไปรื้อฟื้นความทรงจำอันน่าเศร้าของอัลโด้ เขาคิดด้วยซ้ำว่าเด็กสาวคนนั้นน่าจะตายไปแล้ว…
ในที่สุดอัลโดก็หัวเราะสักพักแล้วก็หยุดลง การแสดงออกของเขาเปลี่ยนไป180 องศา ด้วยท่าทางเยือกเย็นเขากล่าวว่า “ไม่เจ้าเดาผิด คนที่พบผลลัพธ์ในการวิจัยเวทย์คือข้า ในตอนนั้นข้ามีความสุขมาก ข้าเล่าทฤษฎีเวทย์ของตัวเองให้เด็กสาวคนนี้ฟังและยังให้ภาพแบบจำลองแก่เธอด้วย วันรุ่งขึ้นเธอหายไปจากหอคอยเวทมนตร์ หลังจากนั้นไม่นานนักเวทย์หญิงอัจฉริยะปรากฏตัวที่สำนักงานใหญ่”
เชี่ย!
“ข้าไปที่สำนักงานใหญ่เพื่อเผชิญหน้ากับเธอ ข้ารู้สึกอับอาย แต่ข้าก็ยังค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอ ปรากฎว่าเธอเป็นญาติห่างๆของประธานสำนักงานใหญ่ ข้าจะไม่มีวันลืมช่วงเวลานั้นเมื่อเธอโยนเหรียญทองยี่สิบเหรียญใส่ข้าอย่างหยิ่งผยองโดยบอกว่านี่เป็นเศษเงินที่มอบให้ข้า” อัลโดปิดหน้าและหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอีกครั้งเสียงหัวเราะแหลมและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “เจ้ารู้ไหม? ตอนนั้นยิ่งโกรธมากเท่าไหร่ตอนนี้ข้าก็รู้สึกขี้ขลาดมากขึ้นเท่านั้น! ข้าไม่กล้ามองหน้าเธอด้วยซ้ำ”
“คุณไม่กล้าต่อต้านงั้นเหรอ?”
“ข้าไม่กล้า!” อัลโด้มองโรแลนด์ผ่านรอยแยกบนนิ้วมือของเขา การแสดงออกในดวงตาของเขาเหมือนสัตว์ร้ายที่ถูกขังอยู่ในกรง “ข้ายังมีพ่อแม่เพื่อนและญาติๆ ข้าไม่กล้า! ข้าไม่สามารถทำร้ายพวกมันด้วยความโกรธของตัวข้าได้ แต่เจ้าต่างออกไป…เจ้าเป็นบุครทองคำที่ไม่กลัวความตายและใจดีเป็นอย่างมากมาก”
โรแลนด์หลับตาลงเบาๆ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เปิดมันขึ้นมาและถามอย่างจริงจังว่า “งั้นคุณก็อยากใช้ฉันมาตลอดสินะ!”
“หลังจากที่ฉันเห็นความบ้าคลั่งของบุตรทองคำสองคนข้าก็คิดแผนนี้ขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ใช่นักเวทย์ ดังนั้นข้าจึงไม่มีวิธีที่ดีในการเชิญชวนพวกเขา ในตอนที่ข้ากำลังเผชิญกับความยากลำบากเจ้าก็เข้ามา” อัลโดลุกขึ้นยืนและพูดด้วยเศษเสี้ยวของความเสียใจว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ในเมืองตั้งแต่ตอนที่เจ้าเข้ามา แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้มาหาข้า ข้าก็จะไปหาเจ้าอยู่ดี ในฐานะของใครสักคนที่เป็นนักเวทย์ แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้สร้างแบบจำลองเวทย์ขึ้นมา ทว่าข้าก็จะหาทางให้เจ้าต้องปะทะกับสมาคมอยู่ดี”
“ข้าเพียงแค่ไม่คิดว่าโอกาสมันจะมาถึงเร็วขนาดนี้”
แม้ว่าเขาจะได้รับการพิจารณาว่าจบการศึกษา แต่โค้ชของเขาก็ไม่ได้ไล่เขาออกไป เพราะถึงยังไงเขาก็จ่ายเงิน เขามีอิสระในการใช้อุปกรณ์ฝึกอบรมภายในอาคารเป็นเวลาหนึ่งปีเมื่อใดก็ได้ที่เขาต้องการ
แม้ว่าเขาจะเลิกชกมวย แต่เขาก็ยังสามารถใช้อุปกรณ์เพาะกายได้
จะว่าไป…โรแลนด์ไม่มั่นใจว่าตัวเองนั้นคิดไปเองรึเปล่า ทว่าเขารู้สึกว่าอัตราส่วนนักเรียนหญิงของที่นี่ค่อนข้างสูง จริงๆตามหลักแล้วกีฬาจำพวกยูโดหรือเทควันโดนั้นมักจะมีอัตราส่วนนักเรียนหญิงที่สูงกว่า เพราะมันมักจะถูกมองว่าเป็นกีฬาที่ “พิเศษ” ในสายตาของคนทั่วไป และค่อนข้างเกี่ยวข้องกับคนที่มีฐานะ ดังนั้นหลักๆพวกผู้หญิงมักจะเลือกที่ไปฝึกยูโดหรือเทควันโดเสียมากกว่า การต่อยมวยนั้นแค่ฟังชื่อก็รู้ว่าเชยสนิท ปกติไม่น่าจะมีใครชื่นชอบมันนัก
ทว่าภายในสโมสรมวยแห่งนี้กว่าครึ่งนั้นเป็นผู้หญิง
นี่มันแปลกจริงๆ
โรแลนด์ถามคำถามนี้กับโค้ชของเขาที่กำลังพักผ่อนอยู่ด้านข้าง เป็นผลให้โค้ชซึ่งสวมทรงผมเรียบมองมาที่เขาด้วยสายตาลึกลับ
โรแลนด์ค่อนข้างอึดอัดจากการจ้องมองของเขา
โชคดีที่ไม่นานโค้ชก็พูดอกมา “คุณไม่ได้มาเพราะคุณเห็นโฆษณาของพวกเราใช่ไหม?”
“ฉันแค่เห็นว่าที่นี่คนเยอะดี แถมโค้ชก็ไม่แย่อะไร ฉันเลยเลือกเรียนที่นี่” โรแลนด์ส่ายหัว “ฉันไม่เคยเห็นโฆษณาใดๆเลย”
โค้ชอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะหัวเราะเบาๆ “ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นมาพูดแบบนี้ฉันคงไม่เชื่อ ทว่าในช่วงที่ผ่านมาคุณได้ฝึกซ้อมอย่างหนัก คุณอาจจะไม่ได้คิดเรื่องไร้สาระพวกนั้นก็ได้”
ตอนนี้ความอยากรู้อยากเห็นบนใบหน้าของโรแลนด์ชัดเจนยิ่งขึ้น
“ประธานสโมสรของเราเป็นคนสวย” โค้ชกล่าวด้วยรอยยิ้ม “โฆษณาดังกล่าวใช้ภาพถ่ายร่างกายท่อนบนของเธอเป็นต้นแบบ”
ความคิดของโรแลนด์พังทลายทันที เขากระพริบตาและกล่าวว่า “นั่นไม่ถูกต้อง ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ควรจะมีผู้ชายมากกว่าไม่ใช่เหรอ”
“ใช่…” ดูเหมือนว่าโค้ชจะพิจารณาถึงการใช้คำพูดของเขาจากนั้นเขาก็พูดว่า “ประธานสโมสรของเราเป็นคนที่เป็นกลาง!”
เมื่อโรแลนด์ได้ยินคำเหล่านี้เขาก็เข้าใจทันที ดังนั้นมันจึงกลายเป็นว่าประธานสโมสรเป็นทอมบอยที่กล้าหาญและดูน่าเกรงขาม…สิ่งนี้สามารถดึงดูดสาว ๆ ได้มากมาย
ช่างมันเถอะ!
โรแลนด์ลุกขึ้นและกำลังจะจากไป
ด้วยความที่มีประสบการณ์เหล่านี้อย่างโชกโชน โค้ชเห็นได้ชัดว่าโรแลนด์คิดอะไรอยู่ เขาส่ายหัวและพูดอย่างเหยียดหยามว่า “คุณดูเหมือนผู้ชายตื้น ๆ ที่มองแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นโดยไม่มองลึกเขาไปยังจิตใจพวกเขา”
โรแลนด์ไม่ตกหลุมพรางการยั่วยุของโค้ช เขายักไหล่และหันหลังจากไป
โรแลนด์เปลี่ยนชุดฝึกและกลับไปเป็นชุดปกติ ขณะที่เขาเดินไปที่ทางเข้าชมรมมวยเขาก็เห็นทอมบอยที่กระตือรือร้นเดินเข้าไปในชมรมมวย
เมื่อผู้หญิงคนนี้เดินผ่านโรแลนด์ไปเธอหันหน้ามาสำรวจขนาดตัวเขาและจ้องมองเล็กน้อย ราวกับเดินผ่านคนที่ดูโดดเด่นและหันไปมองเขาเพียงชั่วครู่
เมื่อโรแลนด์เดินผ่านทอมบอยคนนี้ไปเขาก็คิดว่าคนคนนี้น่าจะเป็นประธานสโมสร…อย่างที่คิดนี่ไม่ใช่สเป็คเขาเลย
…แบนราวกับแผ่นเหล็ก เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย
สาวทอมบอยเดินเข้าสโมสรไปและพบโค้ช เธอมองไปรอบๆสำรวจนักเรียนที่กำลังฝึกและถามว่า “นักเรียนคนนั้นที่คุณบอกว่ามีพรสวรรค์อยู่ที่ไหนเหรอ?”
“ประธานสโมสรคุณมาช้าไปหน่อย เขาเพิ่งจากไปเมื่อกี้นี้เอง”
“ชิ!” สาวทอมบอยเดาะลิ้นของเธอด้วยความผิดหวัง “ถ้าพรุ่งนี้เขามารีบโทรหาฉันทันทีเข้าใจไหม?”
โค้ชค่อนข้างสับสน “ประธานสโมสรไม่จำเป็นต้องทำอะไรวุ่นวายขนาดนั้นก็ได้ เราบันทึกเบอร์ของนักเรียนทุกคนไว้อยู่แลว แค่คุณโทรไปหาเขาเพื่อเรียกเขามาคุยด้วยแค่นั้นก็จบแล้ว”
สาวทอมบอยขมวดคิ้ว “ในฐานะเด็กสาวฉันจะโทรหาชายโสดในวัยเดียวกันอย่างตั้งใจด้วยตัวเองได้อย่างไร! คนจะนินทาเอานะ”
“โอ้พระเจ้าประธานสโมสรคนสวยผู้ยิ่งใหญ่” โค้ชมองหน้าและพูดอย่างเจ็บปวดว่า “นี่อายุเท่าไหร่แล้วคุณยังมีค่านิยมแบบนี้อยู่ได้อย่างไร? มันเป็นเพียงแค่การคุยกันไม่ใช่วันไนซ์สแตนด์ ไม่มีใครจะนินทาคุณหรอก”
“พ่อแม่ของฉันไง!” สาวทอมพูดเยาะเย้ย “ถ้าฉันโทรหาชายโสดที่ยังไม่ได้แต่งงานพวกเขาจะถามฉันทันทีเมื่อฉันแต่งงานหืม!”
หลังจากพูดแบบนี้สาวทอมก็หันและเดินจากไป
จากทางด้านหลังโค้ชส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “นั่นคือความรักแบบพ่อแม่รักแกฉันชัดๆ!”
โรแลนด์ขี่จักรยานสาธารณะกลับบ้าน หลังจากทำอาหารให้กับครอบครัวเสร็จแล้ว เขาก็เปิดดูเว็บบอร์ดอย่าง
ที่ทำเป็นประจำ
มีชาวเน็ตงี่เง่าจำนวนมากที่ประสบกับสถานการณ์แปลก ๆ เพียงแค่มองว่าพวกนั้นทำตัวเหมือนคนงี่เง่าและเลื่อนดูหัวข้อแนะนำกลยุทธ์ โรแลนด์ก็ใช้เวลาไปมากแล้ว
หลังจากเข้าเกมอีกครั้งโรแลนด์ยังคงแนะนำนักเวทย์ฝึกหัดเกี่ยวกับแขนเวทย์อยู่ต่อไป
ในขณะนี้ในที่สุดก็มีนักเวทย์ฝึกหัดบางคนที่ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป พวกเขาเลือกที่จะไปพักผ่อน
มีเพียงไม่กี่คนที่ยังคงอดทนอยู่ต่อไป
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้โรแลนด์กล่าวว่า “พวกนายควรไปพักผ่อน ถ้าพวกนายไม่พักผ่อนไม่ว่าจะฝึกขนาดไหนก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
พวกเขาที่เหลือเพียงไม่กี่คนต่างช่วยกันลากสังขารกลับไปยังห้องพักของตนเอง
วิเวียนเป็นคนสุดท้ายที่กลับไปพักผ่อน ก่อนที่เธอจะเข้านอนเธอเตรียมไวน์ผลไม้ให้โรแลนด์อย่างตั้งใจ
ในทางกลับกันโรแลนด์กลับไปที่ห้องทดลองเวทมนตร์ของตัวเองและศึกษาความสามารถทางภาษาต่อไป
ในเวทย์ระดับศูนย์หรือระดับหนึ่งนั้นมันมีจุดเวทย์ที่เชื่อมต่อกันค่อนข้างน้อย และสามารถทดสอบจุดเวทย์ทุกจุดได้ด้วยการทดลองและคัดออก ทว่าสำหรับเวทย์ระดับสองนั้น เนื่องจากจำนวนจุดเวทย์ที่เพิ่มขึ้น จำนวนที่ต้องใช้เพื่อเชื่อมต่อกันก็มากขึ้นตามไปด้วย โดยตอนนี้มันเพิ่มมากถึงห้าถึงหกจุด จากความยาวของจุดเวทย์ที่เชื่อมต่อกันนั้น จำนวนเส้นเวทย์ที่สามารถเชื่อมต่อได้ก็เพิ่มมากขึ้นเป็นกว่าร้อยเท่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเริ่มทดลองและตัดทีละช้อยส์
ในตอนนี้นี่เอง ที่โครงสร้างทางคณิตศาสตร์จะมีส่วนช่วยอย่างมาก
การใช้โครงสร้างทางคณิตศาสตร์เข้ามาก็เพื่อที่จะขยายฐานข้อมูลจากของเดิมที่มีอยู่ ยิ่งมีฐานข้อมูลอยู่มากเท่าไหร่การหาเวทย์ที่พัฒนาแล้วก็จะยิ่งง่ายมากขึ้นเท่านั้น
ในการทดสอบเวทย์แต่ละครั้ง ได้จดบันทึกข้อมูลและเพิ่มลงในแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เอาไง้ วิธีนี้เขาจะเข้าใกล้ความสำเร็จอีกขั้นหนึ่ง
ถ้าเขาจะใช้กระบวนการกำจัด … เขาจะต้องทบสอบกว่าล้านครั้งซึ่งมันจะใช้เวลาทั้งชั่วชีวิตเลยทีเดียว
หนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าโรแลนด์ เขาเปิดไปแบบสุ่ม
เขาไม่คุ้นชินกับตัวอักษรพวกนี้แม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาร่ายคาถาความสามารถทางภาษากับตัวเองเขาก็สามารถเข้าใจคำสามคำได้
“ผู้คน” ”ทะเล” และ “พลัง”
โรแลนด์กวาดนิ้วของเขาไปที่คำสามคำนี้จากนั้นเขาก็ปิดหนังสือลงอย่างแรง เขาเผยให้เห็นสีหน้าตื่นเต้น
เป็นไปแบบที่เขาคิดไว้ หากพบจุดเวทย์ที่เหมาะสมกับความสามารถทางภาษา เขาก็น่าจะสามารถอ่านและทำความเข้าใจอักขระทั้งหมดได้
แม้ว่าตอนนี้เขาจะมองเห็นอักขระได้เพียงสามตัว เวทย์ที่เขาใช้ร่ายถือว่าล้มเหลวทว่ามันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
ถ้าให้เวลาอีกสักนิด เขาเชื่อว่าจะสามารถร่ายเวทย์ที่พัฒนาแล้วของความสามารถทางภาษาได้
ทันใดนั้นเองอัลโด้ก็ปรากฎตัวที่หน้าประตู เขามองไปที่โรแลนด์และพูดว่ามันแปลก ๆ “ความสามารถทางภาษาของเจ้าล้มเหลวงั้นเหรอ?”
คำพูดเหล่านี้ไม่มีความหมายในหูของโรแลนด์ นี่เป็นเพราะความสามารถทางภาษาของโรแลนด์นั้นไม่ใช่แบบดั้งเดิม
เขายกเลิกเวทย์ทันทีและร่ายความสามารถทางภาษาใหม่ให้กับตัวเอง
“คุณพูดอะไร? โทษทีฉันได้ยินไม่ชัด”
อัลโดจ้องมองโรแลนด์อย่างลึกซึ้งสักพักแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าส่งแบบจำลองเวทย์แขนเวทย์ของเจ้าไปที่สำนักงานใหญ่ พวกเขาอาจจะส่งคนไปตรวจสอบในไม่ช้า ในตอนนั้นเจ้าอาจประสบปัญหาได้”
มีการระบุไว้ในประกาศอย่างเป็นทางการว่าผู้ที่ลงทะเบียนและก่อตั้งกิลด์นั้นเป็นขุนนางระดับสูง ถ้าคนธรรมดาต้องการเห็นเขาพวกเขาจะต้องมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง ทว่าชัคกลับบอกว่าเคยพูดคุยกับเขามาหลายครั้งแล้ว
ดูเหมือนว่า F6 จะสามารถคว้าความสำเร็จจากการเป็นคนกลุ่มแรกที่ก่อตั้งกิลด์ในเกมได้
ด้วยความคิดเหล่านี้ทุกคนจึงรู้สึกตื่นเต้นและมีรอยยิ้มบนใบหน้า ท้ายที่สุดพวกเขาล้วนเป็นวัยรุ่น ใครกันเล่าที่จะไม่ชอบชื่อเสียง
อย่างไรก็ตาม เบทต้าที่นั่งอยู่สังเกตุเห็นอะไรแปลกๆ เขามองไปที่ทุกคนแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่าพวกเรามีเจ็ดคนเหรอครับทำไมถึงเป็น F6? เราควรตั้งชื่อว่า F7 ไม่ใช่เหรอ”
อีกหกคนมองหน้ากัน หลังจากนั้นทุกคนก็จ้องไปทางชัค
ชัคลุกขึ้นนั่งลงข้างๆลูกพี่ลูกน้องของเขา แล้วโอบไหล่พร้อมพูดว่า “พวกเราเล่นด้วยกันตั้งแต่เป็นเด็กและไม่ว่าเกมจะเป็นอย่างไรกิลด์ใดก็ตามที่เราสร้างขึ้นก็จะมีชื่อว่า F6 ซึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลง เป็นเวลาหลายสิบปีและเกือบยี่สิบปีแล้ว พวกเราไม่อยากเปลี่ยนเรื่องนี้หนะ”
“เข้าใจแล้วครับ” เบทต้าเกาหัวด้วยความผิดหวังเล็กน้อย ในตอนแรกเขาคิดว่าเขาสามารถเข้ากับพวกพี่ๆได้สมบูรณ์แล้วเสียอีก
จากนั้นเขารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องปกติ เพียงไม่ถึงสองเดือนนับตั้งแต่ที่เขามา ในขณะที่พวกพี่ๆเหล่านี้เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่เติบโตมาด้วยการเล่นด้วยกันมาเกือบยี่สิบปี ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของพวกเขานั้นยากที่จะหาอะไรเทียบ
แม้ว่าเบทต้าจะเข้าใจเรื่องนี้แต่เขาก็อดหงุดหงิดไม่ได้ ราวกับตัวเองถูกกันออกจากกลุ่ม
ชัคพูดต่อโดยปลอบใจเขาว่า “นายเป็นสมาชิกคนพิเศษของเรานะ ลองคิดดูสิราชาทั้งสี่ทว่าจริงๆแล้วกลับมีห้าคน ดังนั้นการที่ F6 มีเจ็ดคนก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆใช่ไหมละ”
เบทต้ากลอกตาไปที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “พี่คิดว่าผมเป็นเด็กสามขวบที่จะหลอกง่ายขนาดนี้เลยเหรอ”
ชัคหัวเราะอย่างฝืนๆและเลือกที่จะปล่อยเรื่องนี้ไป
หลังจากนั้น ชัค ได้อธิบายตัวตนของ “ทอรี่บอร์ซัม” – บุคคลนี้เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของกิลด์ทหารรับจ้างและไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องการจะสร้างกิลด์จะต้องไปเยี่ยมกิลด์ทหารรับจ้าง นี่อาจเป็นสาเหตุที่ระบบตัดสินใจให้ NPC ตนนี้กลายเป็นผู้ลงทะเบียน
สำหรับสาเหตุที่ชัคสามารถพูดคุยกับเขาได้เหตุผลนั้นค่อนข้างง่าย ประการแรก ชัค มีค่าเสน่ห์ที่สูง และประการที่สองนั่นคือตัวตนของชัคในฐานะเซนต์ซามูไร คลาสเซนต์ซามูไรในสายตาของคนทั่วไปนั้นเทียบเท่ากับขุนนางระดับสูง
ยิ่งพวกเขาพูดคุยกันมากขึ้นพวกเขาก็ตื่นเต้นมากขึ้น
พวกเขาเริ่มดื่มเบียร์ด้วยกัน
นี่เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ พวกเขาเล่นเกมด้วยกันมานานกว่าสิบปี แม้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนเกมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทว่าพวกเขาไม่เคยทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ในเกม ตอนนี้พวกเขาสามารถสร้างบางสิ่งบางอย่างได้แล้วพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะคุยโอ้อวดซึ่งกันและกัน
พวกเขาดื่มกันตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงบ่ายจนถึงพวกเขาเมาเต็มที่ โรแลนด์เดินโซเซออกจากบาร์ไป เขาไม่ได้ขี่จักรยานสาธารณะแต่เลือกเดินช้าๆกลับบ้านแทน
เบียร์ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้คนเมาได้มากขนาดนั้น ดังนั้นเมื่อกลับถึงบ้านโรแลนด์ก็สร่างเมาเสียแล้ว
เขาเข้าไปที่เว็บบอร์ดอีกครั้งและสังเกตุเห็นว่ายังคงมีคนพูดถึงกิลด์อยู่เรื่อยๆ
หลายคนจินตนาการไปว่าระบบพื้นฐานของกิลด์จะมีอะไรบ้าง
คนส่วนใหญ่คิดว่าน่าจะเป็นความสามารถในการสื่อสารระยะไกล
โรแลนด์ก็คิดแบบนั้นเช่นกัน
แผนที่ของเกมมีขนาดใหญ่เกินไปและผู้เล่นก็กระจายกันไปทั่วทำให้การสื่อสารนั้นทำได้ยากมาก
แม้ว่าผู้เล่นหลายคนจะชอบสำรวจและทำความรู้จักกับ NPC แต่ก็มีผู้คนจำนวนมากที่ชอบเล่นกับเพื่อนของพวกเขา เล่นกับคนที่พวกเขาคุ้นเคย
แนวคิดของการอยู่เป็นกลุ่มนั้นมีอยู่มาตลอดตั้งแต่อดีต ผู้เล่นและผู้อยู่อาศัยภายในเกมนั้นมีความแตกต่างอย่างมาก ทั้งในด้านทัศนคติและมุมมองต่อชีวิตทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้ากันได้ดีนัก
นอกจากโพสต์เกี่ยวกับกิลด์แล้วยังมีโพสต์เกี่ยวกับการบอกเล่าประสบการณ์ต่างๆอีกมากมาย อาทิเช่นบางคนวิเคราะห์ว่านักรบควรกำหนดคุณลักษณะของพวกเขาอย่างไร เลือกความพิเศษของพวกยังไง ควรเริ่มโจมตีอย่างไรและจู่โจมแบบไหน
และยังมีหลายคนที่โพสต์เกี่ยวกับภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมของพื้นที่รอบนอกของเมืองและประเพณีของเมือง
โรแลนด์พบว่าสิ่งเหล่านี้ค่อนข้างน่าสนใจในการอ่าน
จากนั้นโพสต์แปลกๆก็ดึงดูดความสนใจของเขา
“นี่มันเควสเชี่ยไรเนี่ย!”
มันเป็นโพสต์ของผู้เล่นชายคนหนึ่งที่ได้รับเควสส่งจดหมามาโดยไม่คาดคิด มันเป็นเควสส่งจดหมายจากหมู่บ้านหนึ่งยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง
ในขั้นตอนแรกเขาคิดว่านี่เป็นภารกิจง่ายๆที่ให้ค่าตอบแทนสามเหรียญเงิน หลังจากส่งจดหมาย หลังจากที่เขารับเควสเขาก็ใช้เวลาถึงสามวันไปยังจุดหมาย ซึ่งมันก็ยังไม่จบเควสโดยง่าย หลังจากผู้รับจดหมายได้อ่านจดหมายเขาก็ยื่นจดหมายมาให้ฉันไปส่งยังที่ถัดไป
มีเพียงพวกโง่เท่านั้นที่ไม่ยอมรับเควส ด้วยความคิดเช่นนี้เขาเลยเลือกรับเควสไป
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาตลอดหนึ่งล้านปีก็เกิดขึ้นนี่เป็นภารกิจส่งจดหมายลูกโซ่
หลังจากนั้นทุกครั้งที่เขาส่งจดหมายไปยังปลายทางใหม่และหลังจากที่ผู้รับใหม่อ่านจดหมายจบแล้วผู้รับใหม่จะให้เขาส่งจดหมายฉบับใหม่ให้คนอื่น
ตั้งแต่เกมเปิดตัวจนถึงตอนนี้เขาเดินจากชายแดนทางเหนือของฮอลเลวิลไปยังพื้นที่กลางของฮอลเลวิล
ในช่วงเวลานี้เขาเสียชีวิตหลายต่อหลายครั้ง ถูกฆ่าโดยโจรถูกสัตว์ร้ายกัดกินเป็นอาหารตายไปในป่า และอื่นๆอีกมากมาย เนื่องจากระบบเก็บจดหมายไว้ในกระเป๋ามิติตลอดเวลามันจึงไม่สูญหายไป เขาสามารถส่งจดหมายได้ตลอดเวลาโดยไม่อะไรผิดพลาด
เพราะแบบนี้ครั้งนี้เขาได้รับภารกิจส่งจดหมายเป็นครั้งที่เจ็ดแล้ว
ในช่วงเวลาสองเดือนเขาเดินทางทั้งทางบกและทางน้ำตลอดเวลา เขาแทบไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้ใดๆและไม่ได้ทำสิ่งอื่นใดเลยนอกจากเดินทางอย่างไม่หยุดหย่อน
ผู้มอบเควสเปลี่ยนจากชาวบ้านเป็นขุนนางเล็กๆ ค่าประสบการณ์ที่เขาได้รับไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่เขาได้รับเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในที่สุดผู้เล่นคนนี้ก็อุทานออกมาในทำนองว่า “ถ้าฉันยังส่งแบบนี้ต่อไปฉันจะส่งจดหมายถึงราชาได้ไหม?”
ผู้เล่นหลายคนตอบกลับกระทู้นี้ ทุกคนต่างแสดงความประหลาดใจออกมาและเรีกร้องให้ผู้โพสต์อัดวีดีโอ พวกเขาทุกคนค่อนข้างสงสัยว่าสุดท้ายแล้วผู้เล่นคนนี้จะต้องเจอกับใคร
…เพราะภารกิจนี้น่าสนใจเกินไป
โรแลนด์ยังฝากข้อความไว้ด้วยหวังว่าผู้เขียนโพสต์จะบันทึกวิดีโอ โดยปกติแล้วเขาจะมีความเคารพต่อผู้ที่มีความมุ่งมั่นเช่นนี้
จากนั้นเขาก็ปิดคอมพิวเตอร์และงีบไปในตอนบ่าย จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่สโมสรมวย
ภายในชมรมชกมวยเขาและโค้ชฝึกซ้อมกันนานกว่าหนึ่งชั่วโมง ในท้ายที่สุดโค้ชก็นั่งลงบนเก้าอี้หอบหายใจขณะที่โรแลนด์มีเหงื่อออกเพียงเล็กน้อย
ในขณะนี้โค้ชมองไปที่โรแลนด์ราวกับว่าเขากำลังมองตัวประหลาดและในที่สุดก็พูดอย่างไม่เร่งรีบว่า “คนที่เรียนไทเก๊กจะไม่เห็นผลลัพธ์ภายในสามปี ในขณะที่คนที่เป็นมวสามารถฆ่าคนได้ภายในสามเดือน!”
“คนที่ฝึกบาจิ [1] จะฆ่าคนได้ภายในสามเดือนไม่ใช่หรือ” โรแลนด์รู้สึกสับสนและถามออกไป
โค้ชโบกมือพร้อมพูดกวนๆว่า “อย่าเถียงผมน่าตราบใดที่คุณรู้ว่าผมจะสื่ออะไร อย่างไรก็ตามการชกมวยเป็นเรื่องง่ายที่จะเรียนรู้และใช้งานได้ง่ายในทางปฏิบัติ ตอนนี้คุณเหนือกว่าผมแล้วผมสามารถบอกได้เลยว่าคุณแอบผ่อนหมัดในตอนที่เราประลองกันก่อนหน้านี้”
โรแลนด์อยากจะปฏิเสธเรื่องนี้ แต่โค้ชจะรู้ก็ไม่แปลกเพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นโค้ชอยู่ดี หากเขาพูดแย้งออกไปเขาก็จะดูเหมือนคนขี้โกหก
ดังนั้นเขาตอบรับ
เขาแอบผ่อนหมัดตอนประลองกับโค้ชจริงๆ เพราะเขารู้สึกว่าหมัดของโค้ชนั้นช้าลง ทำให้เขาสามารถป้องกันและหลบได้อย่างดาย
“ผมไม่มีอะไรจะสอนคุณอีกแล้ว” โค้ชถอนหายใจยาว เขาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากและพูดว่า “แม้ว่าเราจะเป็นองค์กรการศึกษาที่แสวงหาผลกำไร ที่สอนคนเพื่อเงิน แต่ผมก็อยากจะพูดอะไรไว้สักหน่อย การเรียนมวยมีไว้เพื่อป้องกันตัวหรือฝึกฝนร่างกายเท่านั้น อย่าใช้มันเพื่อทำร้ายคนอื่น! อย่าทำมันพลาดเหมือนผม!”
เมื่อต้องเผชิญกับคำแนะนำอย่างตั้งใจของโค้ชโรแลนด์พยักหน้าอย่างจริงจัง
——————————————————————————————————————————————————————————————————————————–
[1] ศิลปะการต่อสู้จีนประเภทหนึ่งในภาษาจีนจะใช้คำว่า 八極拳 Bā jí quán
แม้ว่าแขนเวทย์จะได้รับการอธิบายรายละเอียดต่างๆจากแบบจำลอง ทว่านักเวทย์ฝึกหัดก็ยังคงไม่ก้าวหน้านัก เนื่องจากขาดคุณสมบัติในด้านความรู้พื้นฐานและความสามารถในการควบคุมพลังเวทย์
พวกเขาส่วนใหญ่เข้าใจแขนเวทย์ในรูปแบบพื้นฐานแล้ว แต่ยังไม่มีใครทำความเข้าใจแขนเวทย์ในรูปแบบพัฒนาได้
โรแลนด์ดื่มขณะที่เฝ้ามองพวกเขาฝึกซ้อมพร้อมทั้งเล่าและอธิบายหลักสำคัญให้พวกเขาฟัง
เหล่านักเวทย์ฝึกหัดต่างตั้งใจฝึกฝนกันอย่างหนักและพยายามจดจำทุกคำพูดของโรแลนด์ เพราะพวกเขาไม่มั่นใจว่าโรแลนด์จะยังคงสอบแบบละเอียดเช่นนี้จนถึงเมื่อไหร่
ณ ใจกลางเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์ที่มีความสูงน้อยกว่าหอคอยเวทย์เพียงเล็กน้อย งานเลี้ยงกำลังเริ่มขึ้น
สะพานถูกลดลงมาเพื่อให้เกวียนสามารถวิ่งผ่านไปได้
สำหรับขุนนางหลายคนคฤหาสน์เป็นบ้านและที่พักพิงสุดท้ายของพวกเขา หากเมืองล่มสลายพวกเขายังคงสามารถอยู่รอดได้เป็นเวลานานภายในคฤหาสน์ของพวกเขาในขณะที่พวกเขารอกำลังเสริมหรือโอกาสอื่น ๆ
คฤหาสน์สว่างไสวด้วยแสงเทียน นักดนตรีหลายสิบคนกำลังเล่นบรรเลงเพลงเบาๆไปพร้อมๆกัน
จอห์นยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นสามมองดูกลุ่มแขกด้วยความเงียบ
ข้างๆเขาเป็นหญิงสาวที่งดงามและมีเสน่ห์
“งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มแล้ว ทว่าพวกเขาก็ยังไม่มา “ข้าไม่คิดว่าแผนของท่านจะได้ผลนะ”
จอห์นยิ้มในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา เขากลับมานั่งที่เก้าอี้และพูดว่า “นั่นหมายความว่าบุตรทองคำเหล่านั้นไม่ใช่พวกโง่เง่าและป่าเถื่อนไปเสียหมด ทางทีดีพวกเราไม่ควรมีปัญหากับเขา”
หญิงสาวล้อว่า“ พี่ชายข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะกลัวคนที่อายุเท่ากันหน่ะ!”
“พวกเขาไม่สามารถฆ่าได้และบ้าคลั่งเหมือนพวกลัทธิ ใครจะไม่กลัวกัน” จอห์นส่ายหน้า “ทำไมเทพธิดาแห่งชีวิตต้องนำสัตว์ประหลาดพวกนี้มาจากมิติอื่นด้วยนะ”
“ใครจะไปรู้สิ่งที่เทพคิดกันได้ล่ะ” ด้วยผมสีแดงของเธอ ทำให้ดูราวกับกองเพลิงที่ลุกโชน “เนื่องจากบุตรทองคำสองคนนั้นไม่มาข้าขอไปคุยกับแขกคนอื่นก่อนละกัน การอยู่กับท่านมันน่าเบื่อเกินไป”
จอห์นพยักหน้าและบอกไปว่า ”เตือนพวกเพื่อนๆด้วยว่าอย่าทำอะไรอุกอาจในช่วงนี้ เนื่องจากบุตรทองคำทั้งสองนั้นอาจจะเป็นผู้รักความยุติธรรม”
หญิงสาวยืนขึ้นและมองไปที่จอห์น “พี่กำลังจะบอกว่าพวกเขาจะเข้ามาแทรกแซงหากพบว่าพวกขุนนางทำอะไรไม่ดีสินะ”
“มีโอกาสมากที่จะเป็นแบบนั้น” จอห์นถอนหายในออกมา “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงพร่ำบอกว่าให้ปฏิบัติตัวกับสามัญชนให้ดีขึ้นหน่อย ไม่งั้นเจ้าอาจจะพบจุดจบที่ไม่ดีนัก ยิ่งถ้าหากเจ้าไปมีเรื่องกับเซนต์ซามูไรละก็ เจ้าไม่มีทางรอดได้เลย นอกจากราชวค์จะเป็นคนเอ่ยปากขอ”
“ใครมันจะไปโชคร้ายขนาดนั้นกัน” หญิสาวคิดว่าพี่ชาของตนนั้นวิตกกังวลจนเกินไป
เมื่อมองไปที่ดวงจันทร์บนท้องฟ้าจอห์นกล่าวว่า“ พวกตระกูลฮอสสันที่ชอบกินหัวใจมนุษย์ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้พวกมันตายไปหมดแล้ว”
หญิงสาวตกตะลึงไปชั่วครู่พร้อมทั้งขมวดคิ้วจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ข้าจะทำตามที่ท่านบอก ข้าจะดูแลพวกชนชั้นต่ำให้ดีขึ้นเล็กน้อย”
“นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”
งานเลี้ยงดำเนินไปจนถึงเที่ยงคืน แต่เห็นได้ชัดว่าจอห์นไม่มีความสุขเพราะแขกคนสำคัญไม่อยู่ที่นี่
แขกคนอื่น ๆ ฉลาดพอที่จะสังเกตเห็น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยู่ดึกจนเกินไป และเลือกที่จะกลับหลังจากได้สนุกเพียงพอแล้ว
ภายในหอคอยเวทย์โรแลนด์กำลังสอนเคล็ดลับของแขนเวทย์อยู่ เหล่านักเวทย์ฝึกหัดต่างอยู่ฟังอย่างตั้งใจโดยไม่คิดจะไปนอนกัน
โรแลนด์นั้นไม่จำเป็นต้องนอน โรแลนด์สอนพวกเขาอย่างอดทนจนกว่าเวลาจะหยุดลง
เมื่อคลานออกจากแคปซูลเสมือนจริงเขาก็เช็คเว็บไซค์ของเกมอย่างที่เคยทำเป็นประจำ ทว่าเขากลับเห็นหน้าเว็บมีการเปลี่ยนแปลง
“การอัปเดตครั้งแรกของเกมจะเริ่มขึ้นในวันที่ 17 สิงหาคม!”
โรแลนด์อุทานเมื่อเขาอ่านชื่อหัวข้อและคลิกมันเข้าไป
การประกาศนั้นเรียบง่าย มันจัดแบ่งข้อมูลไว้เป็นสามส่วน
“ระบบหมายเลข ID ฉพาะจะถูกนำเข้ามาเพื่อใช้แยกแยะคนที่มีชื่อเดียวกัน”
“ผู้เล่นหญิงจะมีระบบชุดชั้นในถูกเพิ่มเข้ามา โดยจะไม่สามารถถอดออกได้นอกเสียจากเป็นความตั้งใจของเจ้าตัวเองเพื่อป้องกันการถูกอนาจารจากผู้เล่นชาย หรือ NPC”
“ตอนนี้ระบบกิลได้เปิดเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถลงทะเบียนผ่านทอลลี่บอร์ซัมซึ่งเป็นขุนนางระดับสูงอยู่ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ฟาเลียน เขาจะไม่สนใจแม้แต่จะมองคุณเสียด้วยซ้ำนอกเสียจากคุณจะมีค่าชื่อเสียงมากพอหรือมีบุคคลพิเศษให้คำแนะนำแก่คุณ ดังนั้นโปรดเพิ่มค่าชื่อเสียง”
ข้อมูลสองชิ้นแรกไม่สำคัญสำหรับโรแลนด์ แต่เขากลับสนใจในข้อมูลชิ้นที่สาม
ประเทศที่ผู้เล่นอยู่นั้นเรียกว่าโฮลเลวิน แล้วดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฟาเลียนอยู่ที่ไหนกัน?
เขาไม่มีเบาะแสเลยแม้แต่น้อย
โรแลนด์เปิดเว็บบอร์ดขึ้นมา ก็พบว่าหลายคนก็ตั้งคำถามแบบเดียวกันกับเขา มีผู้เล่นที่ร่ำรวยหลายคนถึงขนาดเสนอเงินหลายพันเหรียญเพื่อเบาะแส
ผู้เล่นที่คุยโววางคนก็บอกว่าเขารู้ว่าฟาเลียนอยู่ที่ไหนแต่เขาไม่ยอมบอกหรอก
โรแลนด์คาดว่าคนเหล่านั้นได้รับข้อความส่วนตัวเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนในตอนนี้
คนกลุ่มแรกที่ก่อตั้งกิลด์ ไม่ว่าใครก็ต่างมีความฝันที่อยากจะคว้าเกรียติยศแบบนั้นกันทุกคน
แต่โรแลนด์ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะยังไงเพื่อนๆของเขาก็เคยพูดกันไว้ว่าจะสร้างกิลด์เล็กๆขึ้นมา และไม่ได้ต้องการแข่งขันกับพวกกิลด์ใหญ่
จู่ๆโทรศัพท์เขาก็ดังขึ้น เขารับสายขึ้นมาและปลายสายก็พูดก็ว่า “มาเจอกันหน่อย”
“เกี่ยวกับเรื่องกิลด์ภายในเกมหนะ ฉันเรียกบราซิลกับลี่หลินมาแล้ว เจอกันที่เดิมนะ”
ครึ่งชั่วโมงต่อมาโรแลนด์ไปที่บาร์ด้วยจักรยาน
ตอนนี้ยังไม่เจ็ดโมงเช้าด้วยซ้ำพนักงานภายในร้านยังไม่มาทำงาน ดังนั้นชัคจึงเป็นคนยกของมาให้เพื่อนของเขาด้วยตัวเอง
ชัครินน้ำผลไม้ให้พวกเขาทุกคนจากนั้นก็พูดว่า “ฉันว่าพวกเราน่าจะเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้สร้างกิลด์นะ”
โรแลนด์แทบจะพ่นน้ำผลไม้เข้าปากเมื่อได้ยินแบบนั้น!
“ทำไม?”
“ฉันเคยบอกพวกนายมาก่อนใช่ไหมว่าฉันเรียนเกี่ยวกับหลักคำสอนอยู่ที่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมันตั้งอยู่ที่อาณาจักรฟาเลียน และยิ่งไปกว่านั้นฉันเคยเจอทอลลี่บอร์ซัมและเคยพูดคุยกับเขาหลายครั้งแล้ว เขาเป็นคนดีเลยทีเดียว”
ทุกคนต่างหมดคำพูดเมื่อได้ยินแบบนี้
มีผู้เล่นอีกสองคนเหรอ? แม้จะสับสนแต่เบทต้าก็ไม่ได้ถามโรแลนด์ออกมา
โรแลนด์เดินเข้าไปในเมืองและพบกับฮอร์กและลิงค์ในกระท่อมของพวกเขา
โรแลนด์พบว่าพวกเขาทั้งคู่มีเฟอนิเจอร์และเสื้อผ้าใหม่โดยฮอร์กกำลังนักพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายใจส่วนลิงค์นั้นกำลังสวมผ้ากันเปื้อนสีขาวและทำอาหารอยู่
กลิ่นจะราบีลอบมาจากทางหน้าต่าง ทำให้เบทต้าต้องกลืนน้ำลาย
โรแลนด์เดินไปที่หน้าต่างและเคาะมัน “ดูคู่รักนี่สิ”
ฮอร์กนั้นค่อนข้างดีใจที่เห็นโรแลนด์ แต่เขาก็โกรธขึ้นมาทันทีมเมื่อโรแลนด์แซวเขา เขาจึงตะโกนออกไปว่า “กลับไปซะ!”
โรแลนด์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ลิงค์หันมาและยิ้มโดยไม่สนคำล้อเลียนของโรแลนด์ “เข้ามาด้านในแล้วกินข้าวด้วยกันก่อนสิ”
โรแลนด์พาเบทต้าเข้าไปในกระท่อมของพวกฮอร์กและถามว่า “ทำไมพวกนายไม่ซื้อบ้านใหม่ไปเลยละ?”
“มีปัญหานิดหน่อยน่ะ” ฮอร์กนั่งตัวตรง
“ฉันก็พอเดาได้อยู่” โรแลนด์ยิ้มออกมา “เพราะงั้นฉันถึงมาหาพวกนายที่นี่ยังไงล่ะ”
ฮอร์กถามอย่างสงสัย “นายพอรู้ไหมว่าทำไม?”
“การกระทำก่อนหน้านี้ของพวกนายมันรุนแรงและส่งผลกระทบมากเกินไป” โรแลนด์อธิบายต่อว่า “ดูเหมือนตอนนี้พวกขุนนางจะพยายามเฝ้าสังเกตุพวกเราบุตรทองคำอยู่ ดังนั้นไม่แปลกหรอกที่นายจะไม่สามารถหาบ้านได้”
“ทำไมนายถึงดูมั่นใจขนาดนั้น” ฮอว์กรู้สึกสับสนเล็กน้อย
โรแลนด์วางบัตรเชิญไว้บนโต๊ะ “ฉันและเบทต้าได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงของพวกขุนนางชั้นสูงน่ะ”
เพื่อพิสูจน์คำพูดของโรแลนด์ เบทต้าจึงนำบัตรเชิญของเขาออกมาด้วย
ฮอร์กคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ที่พวกนั้นไม่กล้าชวนพวกฉันเพราะกลัวงั้นเหรอ?”
“นั่นก็ส่วนหนึ่งแต่เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น” โรแลนด์อธิบายออกมา “พวกเขาพยายามจะแยกพวกเราออกจากกัน
ฮอร์กและลิงก์หันไปมองหน้ากัน จากนั้นฮอร์กก็พูดออกมาราวกับไม่เชื่อว่า “พวกเขาจะทำไปทำไมล่ะ? พวกเขาจะแยกพวกเราออกจากกันเพื่อ?”
“บุตรทองคำเลเวลศูนย์สองคนสามารถทำให้ขุนนางตระกูลเล็กต้องถอยหนี” โรแลนด์พูดออกมาอย่างสบายๆ “แล้วนายลองจินตนาการว่าถ้าหากมีพวกฉันที่เลเวลสามและสี่เข้าร่วมกับพวกนายล่ะ”
ฮอร์กนั้นมีประสบการณ์ในตำแหน่งรองหัวหน้ากิลด์อยู่แล้ว ดังนั้นเขาถึงเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เขาเบิกตากว้างจากนั้นก็เริ่มหรี่ตาลง “NPC ฉลาดขนาดนั้นเลยเหรอ?”
อย่างไรก็ตามเบทต้าและลิงค์ก็ดูยังไม่ค่อยเข้าใจนัก
โรแลนด์จึงอธิบายให้พวกเขาฟังว่า “ลองคิดดูสิขณะที่ฉันและเบทต้าได้ดื่มกินและเพลิดเพลินอยู่กับเหล่าสาวงาม ในขณะที่พวกนายต้องทนอยู่กระท่อมเก่าๆและขาดแคลนอาหาร”
ในที่สุดเบทต้าก็เข้าใจ
ลิงก์ถอนหายใจออกมา “ถ้าเป็นอย่างนั้นถึงพวกเราจะไม่ได้เกลียดนาย แต่พวกเราก็คงนับเป็นพวกเดียวกันไม่ได้”
“ถูกต้อง” โรแลนด์ผายมือออกมา “ตราบใดที่พวกเราแยกกันพวกเขาก็สามารถทำหลายสิ่งได้ง่ายขึ้น”
เบทต้าเหงื่อไหลอย่างหนัก “พี่โรแลนด์พี่ไม่คิดมากไปเหรอ?”
“พี่ก็หวังว่าอย่างนั้น” โรแลนด์พูดออกมาด้วยท่าทีแปลกๆ “ก่อนที่ฟอลเคิลจะขึ้นไปยังสวรรค์เขาได้เตือนไว้ว่า แม้คนบนโลกนี้จะไม่ได้รู้อะไรมากมายเท่าพวกเขา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาโง่”
ฮอร์กลูบใบหน้าของตนเองและพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ถ้าตามที่ทางผู้พัฒนาบอกไว้ละก็ มี NPC มากกว่าห้าสิบล้านตนซึ่งแตกต่างกันไป นั่นหมายความว่าหากมี NPC ที่ฉลาดและเจ้าเล่ห์อยู่หนึ่งในหมื่น มันก็ น่าจะมี NPC แบบนั้นถึงห้าแสนตนซึ่งเทียบเท่ากับจำนวนผู้เล่น ฉันว่าบางทีอาจจะมีคนถูก NPC พวกนั้นหลอกก็เป็นได้”
เมื่อคิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้ ทุกคนก็เงียบลง
ทันใดนั้นเสียงแปลกๆก็ดังขึ้น ลิงก์นึกขึ้นได้และรีบกลับไปที่ครัว และเขาก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่เลว รสชาติไม่ได้แย่นัก โรแลนด์กับเบทต้าพวกนายอยู่กินอาหารเย็นด้วยกันก่อนสิ”
“ขอบคุณ” โรแลนด์ไม่ปฏิเสธข้อเสนอ “ฉันยังไม่เคยได้กินอาหารทั่วไปของโลกนี้เลย”
หลังจากอาหารเย็นฮอร์กและโรแลนด์ก็พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน จากนั้นโรแลนด์และเบทต้าก็บอกลาและเดินจากไป
พวกเขาเดินมาถึงตรงจตุรัสก่อนหอคอยเวทย์ ในตอนนี้ก็เย็นแล้ว ตรงหน้าประตูหอคอยมีเด็กสาวคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ราวกับรูปปั้น
เธอไม่ได้ถอยหลังกลับเข้าหอคอยเวทย์จนกระทั่งโรแลนด์เดินมาใกล้
ทว่าโรแลนด์กลับไม่สังเกตุเห็น เขาพูดอยู่กับเบทต้าว่า “นายควรจะซื้อบ้านเล็กๆสักหลังในเมืองไว้สำหรับนายและสาวใช้ของนายนะ บางทีพวกเราอาจจะอยู่ที่นี่อีกยาว”
เบทต้าหน้าแดงออกมา “เธอไม่ใช่ของผมสักหน่อยครับ”
“นอกจากนั้นพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยล่ะ” โรแลนด์เตือนเขาออกมา “แม้ว่านายจะเป็นเด็กฉลาด แต่นายตามเล่ห์เหลี่ยมพวกนั้นไม่ทันหรอก”
เบทต้าคงไม่ยอมรับว่าตัวเองไร้ประสบการณ์ หากวันนี้เขาไม่ได้ยินสิ่งที่โรแลนด์พูด แต่หลังจากนั้นเขาก็ตระหนักว่าตนยังขาดประสบการณ์ทางสังคมอยู่
แต่ถึงอย่างนั้นเบทต้าก็แอบโกรธโรแลนด์อยู่ที่ล้อเลียนเขาโดยคำว่า “สาวใช้ของนาย”
ฉันเป็นคนที่ไร้เดียงส่เปรียบดั่งฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นฉันจะไม่มีทางเอาเปรียบเธอโดยเด็ดขาด
เขาโบกมือลาโรแลนด์และวิ่งจากไป
โรแลนด์กลับเข้ามายังหอคอยเวทย์ และเรียกรวมตัวนักเวทย์ฝึกหัดทั้งหมดและพูดว่า “พวกนายน่าจะได้ลองอ่านและทดสอบเวทย์และในเมื่อตอนกลางวัน ถ้าพวกนายมีคำถามพวกนายสามารถถามฉันได้ในตอนนี้ ฉันจะอธิบายตามความเข้าใจของฉัน”
นักเวทย์ฝึกหัดต่างตกตะลึง…ปกติมันจะค่อนข้างยากที่จะได้พูดคุยกับอาจารย์
ส่วนใหญ่พวกเขาจะเพียงแค่แนะนำวิธีการหรือแนวคิดและขอให้นักเวทย์ฝึกหัดเรียนรู้ด้วยตัวเอง
หากนักเวทย์ฝึกหัดไม่สามารถเรียนรู้ได้นั่นก็หมายความว่าเขานั้นโง่เกินกว่าที่จะเป็นนักเวทย์ เพราะนักเวทย์ส่วนใหญ่นั้นยุ่งมากและไม่มีเวลาให้เขานัก
พวกเขาไม่เคยเจอใครที่ใจดีแบบโรแลนด์มาก่อน
หลังจากลังเลชั่วครู่พวกนักเวทย์ฝึกหัดก็ตื่นเต้นขึ้น
พวกเขารู้ดีว่ามันยากเพียงใดที่พวกเขาจะได้พบกับโอกาสและอาจารย์แบบนี้
ดูเหมือนว่าพวกเขาโชคดีเลยทีเดียว
แสงจากหน้าต่างส่องลงบนใบหน้าของอัลโด้
เนื่องจากแสงส่องทำให้ใบหน้าด้านหนึ่งของเขาสว่าง และอีกด้านหนึ่งมืด เขาหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
เขาหัวเราะจนกระทั่งน้ำตาไหลออกมา
โรแลนด์ได้ยินความมุ่งร้ายออกมาจากเสียงหัวเราะนั่น ไม่ใช่ต่อเขาแต่เป็นต่อสิ่งอื่น
โรแลนด์เพียงแค่เฝ้าดูอย่างๆเงียบ
อัลโด้หัวเราะไม่หยุดจนกระทั่งผ่านไปหลายนาที เขาเช็ดน้ำตาอย่างสง่างามและกล่าวด้วยรอยยิ้มที่น่ายินดีว่า “ ต้องขอโทษด้วยคุณต้องตกใจแน่ๆ”
โรแลนด์ส่ายหัวออกมา
อัลโด้ลุกขึ้นยืนและมองไปทางโรแลนด์พร้อมพูดว่า “เนื่องจากคุณไม่กลัวดังนั้นฉันจะส่งแบบจำลองนี้ไปยังสาขาใหญ่ของสมาคมนักเวทย์ มันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ได้ ทางที่ดีคุณควรเตรียมตัวให้พร้อม”
อัลโด้หันกลับไปก่อนที่โรแลนด์จะพูดอะไรออกไป เมื่อโรแลนด์พบว่ามันแปลก อัลโด้ก็หันกลับมาและยืนพูดอยู่ตรงประตูว่า “เกือบลืมไปเลย ข้ามาที่นี่เพื่อบอกคุณว่าคืนนี้ลูกสาวคนเล็กของชาร์ลส์กำลังจัดงานวันเกิด จอห์นพี่ชายของเธอรู้จักชื่อของคุณจากที่ไหนสักที่เขาหวังว่าคุณจะไปร่วมงานและนี่คือจดหมายเชิญ”
จดหมายเชิญถูกวางไว้บนโต๊ะทำงานของเขา
อัลโดยิ้มให้โรแลนด์และเดินลงจากชั้นแปดกลับไปยังชั้นสอง เขาเรียกนักเวทย์ฝึกหัดทั้งหมดออกมาด้วยเสียงกระดิ่งและประกาศว่า “ต้องขอบคุณรักษาการของพวกนายนะ แบบจำลองของแขนเวทย์จะปล่อยให้เรียนรู้ฟรีอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าอย่าให้มันรั่วไหลล่ะ”
หลังจากความงุนงงชั่วครู่นักเวทย์ฝึกหัดทุกคนก็ตะโกนออกมาว่า “ขอบคุณมาก! ท่านรักษาการโรแลนด์”
“ขอบคุณท่านประธานอัลโด้!”
เมื่อมองไปที่เหล่านักเวทย์ฝึกหัดที่ดูตื่นเต้นอัลโด้ก็คัดลอกแบบจำลองของแขนเวทย์ด้วยรอยยิ้มและเดินออกไปจากหอคอยเวทย์
หลังจากอัลโด้จากไปเหล่านักเวทย์ฝึกหัดก็แขวนแบบจำลองเวทย์ไว้บนกระดานอีกครั้ง
พวกเขาจ้องมองไปที่แบบจำลองด้วยความพึงพอใจ ด้วยรายละเอียดทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้พวกเขาสามารถเรียนรู้ได้แม้ว่าจะไม่มีอาจารย์ก็ตาม
หากพวกเขายังคงไม่สามารถเข้าใจมันได้อีกละก็พวกเขาคงโง่เกินกว่าที่จะเป็นนักเวทย์
นักเวทย์ฝึกหัดทั้งหลายหันไปพูดกับผู้หญิงคนเดียวในนี้ “วิเวียนพวกเราไม่มีอะไรที่จะตอบแทนท่านรักษาการได้ ดังนั้นฝากเธอด้วยล่ะ”
แก้มของวิเวียนแดงฉานราวกับดอกกุหลาบ เธอหันกลับไปและกลับไปที่ห้องของเธอ
โรแลนด์พักผ่อนอยู่ในห้องของเขาสักพัก จากนั้นเขาก็ออกจากหอคอยเวทมนตร์เพื่อที่จะไปพูดคุยกับเบทต้า
แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปในจัตุรัสเขาก็เห็นเบทต้ากำลังเดินมาทางเขาพอดี
พวกเขาเจอกันและพากันไปนั่งในร่ม
“สรุปเป็นยังไงบ้าง” โรแลนด์ถามออกมา
เบทต้าส่ายหัว “ไม่ค่อยดีนัก ผมบอกพวกเขาถึงสถานการณ์ในตอนนี้ว่ามันเลวร้ายขนาดไหน แต่พวกเขาก็ไม่ยอมย้ายออกไป ยิ่งไปกว่านั้นคนพวกนั้นยังพยายามขอให้ผมปกป้องพวกเขาต่ออีกครับ”
โรแลนด์หัวเราะออกมาเบาๆและส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
“ผมไม่รู้ว่าเขาหน้าด้านขนาดไหนถึงกล้าขออะไรแบบนั้นออกมาได้” เบทต้ากล่าวอย่างโกรธๆ
ทว่าโรแลนด์กลับไม่แปลกใจนัก “ เป็นเพราะนายเป็นคนดีไง! อย่างที่พี่เคยบอกคนดีๆมักจะถูกเอาเปรียบ พวกคนที่ยากจนและสิ้นหวังมักจะไม่อยากปล่อยโอกาสไป ดังนั้นท่าทางชายคนนั้นค่อนข้างเป็นปกตินั่นแหละ”
“ผมเป็นโอกาสงั้นเหรอ?” เบทต้าขมวดคิ้ว
“นายคือโอกาสที่พวกเขาจะสามารถก้าวออกมาจากการเป็นชนชั้นล่าง” โรแลนด์อธิบาย “ตราบใดที่นายยังปกป้องพวกเขาอยู่ พวกเขาก็จะมีอิสระที่สิ่งอื่นๆได้อีกมากมายโดยใช้อิทธิพลของนาย แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถกลายเป็นขุนนางได้ แต่พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเหมือนอย่างตอนนี้”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเบทต้า ก็พูดว่า “ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี”
“ในชีวิตจริงพวกเราจะต้องเจอเรื่องแบบนี้ตลอดเวลานั่นแหละ” โรแลนด์กล่าว “ผู้ใจบุญบางคนจ่ายเงินค่าเล่าเรียนให้กับนักเรียนที่ยากจนตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงวิทยาลัย นักเรียนคนนั้นจะรู้สึกขอบคุณในตอนแรกแต่ในภายหลังเขาจะเกลียดคนใจบุญคนนั้นด้วยความคิดที่ว่า ‘ทำไมคุณไม่ให้เงินฉันมากขึ้นในเมื่อคุณมีเงินตั้งมากมาย?’ บางคนถึงกับฟ้องก็มี”
เบทต้าครุ่นคิดสักครู่และจดจำข่าวที่คล้ายกันได้ เขายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจเนื้อหาลึกๆของมันเมื่ออ่าน
ในตอนนี้สิ่งเดียวกันนั้นได้เกิดขึ้นกับเขาทำให้เขารค่อนข้างรู้สึกไม่สบายใจ
โรแลนด์ยิ้มและพูดต่อว่า “จริงๆแล้วคนรุ่นก่อนๆก็ทิ้งคำสอนดีๆให้ให้เราเหมือนกัน : ถ้านายให้ข้าวแก่ชายผู้หิวโหยนายจะกลายเป็นผู้ช่วยชีวิต แต่ถ้านายให้ข้าวเขาหนึ่งถังนายจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขา เป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนโดยไม่เกี่ยวกับเชื้อชาติอายุหรือเพศ ถ้าฉันเป็นผู้ชายคนนั้นฉันก็พยายามจะเอาเปรียบนายเหมือนกัน!”
ในที่สุดเบทต้าก็รู้สึกดีขึ้นด้วยคำพูดของโรแลนด์เขามองไปที่ท้องฟ้าสีครามและพูดว่า “ยังไงก็เหอะครับเด็กสาวที่พวกเราช่วยไว้บอกผมแบบส่วนตัวว่าเธออยากจะออกจากเมืองนี้ แต่เธอไม่รู้ว่าเธอจะไปอยู่ที่ไหน”
“นายมีแผนในใจบ้างรึเปล่าล่ะ?” โรแลนด์ถามเบทต้า
“ไม่มีเลยครับ” เบทต้านั้นดูสับสนเป็นอย่างมาก
เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งโรแลนด์พูดว่า “งั้นนายก็พาเธอไปกับนายสิ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเบทต้าก็ตาเบิกโพล่งออกมา
“นายเป็นขุนนางนะแม้ว่านายจะยังไม่มีอำนาจก็ตาม” โรแลนด์อธิบาย “เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอที่ขุนนางจะต้องดูแลเด็กสาว? หากพี่เดาไม่ผิดบางทีในอนาคตนายอาจจะได้ตำแหน่งและอำนาจจริงๆมาจากภารกิจบางอย่างก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้นเด็กสาวคนนี้ก็จะคุ้นชินกับงานและจะสามารถทำงานเป็นหัวหน้าสาวใช้ให้นายได้”
เบทต้าไอและหน้าแดง “ทำไมมันถึงออกมาเป็นแบบนั้นได้ละครับพี่!?”
โรแลนด์มองเขาอย่างสงสัยและพูดอย่างเหยียดหยาม “หัวหน้าสาวใช้เป็นอาชีพที่ถูกกฎหมายนะ นายคิดอะไรอยู่กันแน่?”
“ผมไม่ได้คิดอะไรสักหน่อยครับ!” เบทต้าปฏิเสธโดยไม่ลังเล
ฮ่าฮ่า! โรแลนด์ไม่เชื่อเขาอย่างแน่นอน
เบทต้ารีบเปลี่ยนหัวข้อ “ใช่แล้วมีคนส่งบัตรเชิญมาให้ผมเขาบอกว่าคืนนี้จะมีงานเลี้ยง”
“พี่ก็ได้รับมาเหมือนกัน” โรแลนด์หยิบบัตรเชิญออกจากกระเป๋ามิติและโชว์มันให้เบทต้าดู “ดูเหมือนว่าจะมีคนติดตามพวกเราอยู่สินะ”
เบทต้านำบัตรเชิญของเขาออกมาเช่นกัน บัตรเชิญของทั้งสองนั้นมีสีและการออกแบบเหมือนกัน
“ไปที่นั่นด้วยกันเถอะครับ”
“นายจะไปก็ไปเถอะ!” โรแลนด์ขมวดคิ้วและพูดว่า “แต่พี่คงไม่ไป พี่ต้องไปเพราะพวกเขาส่งบัตรเชิญมาให้พี่แบบสุ่มๆงั้นเหรอ? พวกเขาไม่ให้เกรียติฉันเลยรึไง”
เบทต้ามองเขาด้วยความประหลาดใจ “พี่โรแลนด์ผมได้ยินแต่น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของพี่นะครับ”
โรแลนด์ยักไหล่ “จริงๆแล้วพี่รู้สึกว่ามันแปลกๆ บางทีงานเลี้ยงนี้อาจจะถูกจัดขึ้นมาเพื่อพวกเราสองคนก็ได้”
เบทต้ารู้สึกมึนงงไปทันที “หือ?”
“ไปกันเถอะ พี่จะแนะนำนายให้รู้จักกับผู้เล่นอีกสองคน” โรแลนด์กล่าว “หากพวกเขาไม่ได้รับบัตรเชิญสิ่งที่พี่คิดไว้น่าจะถูกต้อง”
เมื่ออัลโด้มาหาโรแลนด์เขาก็พบว่าโรแลนด์กำลังทดลองจุดเวทย์ใหม่สำหรับความสามารถทางภาษาอยู่ในห้องทดลอง
จากการคาดคะเนของโรแลนด์ เนื่องจากเวทย์สามารถให้ผู้รับเข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูดได้ ดังนั้นมันน่าจะสามารถทำให้เขาเข้าใจสิ่งที่พวกเขาเขียนได้อย่างแน่นอนเมื่อพบเส้นทางของจุดเวทย์ที่ถูกต้อง มันน่าจะมีผลลัพธ์อื่นๆอยู่อีก หากเขาลองเชื่อมต่อจุมเวทย์นับร้อยนั่นในรูปแบบต่างๆได้
ทดลอง , ล้มเหลว และจดบันทึก… กระบวนการทั้งหมดถูกทำซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
โรแลนด์ทุ่มเทให้กับการทดลองเวทมนตร์ของเขาอย่างเต็มที่ แม้ว่าสมุดบันทึกของเขาจะไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ แต่พลังจิตของเขาที่แผ่กระจายและพังทลายออกมาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ประตูของห้องวิจัยถูกเปิดอยู่โดยมีอัลโด้จ้องมองดูพลังถูกรวบรวมและพังทลายซ้ำไปซ้ำมาอยู่ด้านนอก
เขาสังเกตเห็นใบหน้าที่เจ็บปวดของโรแลนด์เมื่อพลังจิตของเขาพังทลาย
เขายืนอยู่ที่ประตูเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง รอยยิ้มของเขาในตอนแรกหายไป
เมื่อการทดลองของโรแลนด์ ล้มเหลวอีกครั้งเขาก็เดินเข้าไป
โรแลนด์กำลังจับหัวของตัวเองด้วยความเจ็บปวด
ความเจ็บปวดทางร่างกายลดลงเหลือหนึ่งในสิบก็จริง แต่ความเจ็บปวดภายในจิตวิญญาณนั้นไม่ได้ถูกลดลงตามไปด้วย
ตอนนี้จิตวิญญาณของโรแลนด์กำลังเจ็บปวดเป็นอย่างมาก พลังทางจิตดูเหมือนจะเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเขาโดยตรง
ในฐานะคนรุ่นใหม่โรแลนด์ไม่เชื่อว่าวิญญาณมีจริง
แต่เมื่อไม่นานมานี้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป
อาจจะมีวิญญาณอยู่จริงๆก็ได้ แต่ไม่ใช่วิญญาณตามแบบความเชื่อของไสยศาสตร์ แต่เป็นตามแบบของวิทยาศาสตร์ที่บางทีมันอาจจะยังไม่ถูกค้นพบ
แก่นแท้ของพลังจิตคือการเคลื่อนไหวของจิตวิญญาณ
นี่เป็นการคาดเดาส่วนตัวของโรแลนด์ หลังจากที่ได้ทำการทดลองเวทมนตร์มากมายในเกมในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา
ความเจ็บปวดในจิตวิญญาณไม่สามารถบรรเทาได้ด้วยระบบดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงหยุดการทดลองลงชั่วคราว
โรแลนด์ได้ยินเสียงฝีเท้า เขาเงยหน้าขึ้นและยิ้ม “ประธานในที่สุดคุณก็มาที่หอคอยเวทย์สักที”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าซีดเซียวของโรแลนด์อัลโดก็แอบตกใจ แต่เขาพูดอย่างไม่เป็นทางการว่า “คุณทำงานหนักเกินไปแล้ว คุณควรพักผ่อนสักหน่อย”
“มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาสิ่งที่น่าสนใจและเราชื่นชอบ ถ้าคุณไม่พยายามอย่างหนัก คุณจะแก่ก่อนที่คุณจะรู้ตัว เมื่อถึงเวลานั้นแล้วทั้งร่างกายและเวลาของคุณจะไม่อนุญาตให้คุณทำงานหนักได้อีกต่อไป” โรแลนด์ยิ้มออกมา “น่าแปลกที่ผมได้พบกับคุณที่นี่นะท่านประธาน”
“ข้ามาที่นี่เพื่อส่งต่อข้อความ” อัลโด้ไม่พบที่นั่งสักที่ในห้องนี้และยิ่งไปกว่านั้นบรรยากาศของที่นี่ก็ไม่ค่อยดีนัก “ ทำไมเราไม่ไปคุยกันในห้องวิจัยของคุณกันละ”
“ได้เลย!”
พวกเขาสองคนมายังห้องวิจัย
เนื่องจากโรแลนด์เพิ่งย้ายเข้ามาจึงไม่มีอะไรมาต้อนรับแขกในห้องวิจัยของเขา ตามจริงแล้วเขาควรเสิร์ฟชาหรือคุกกี้ให้แก่แขก
ดังนั้นโรแลนด์จึงดูอับอายเล็กน้อย
อัลโด้ยิ้มล้อเลียนออกมาเขาพอเข้าใจว่าทำไมโรแลนด์ถึงดูมีท่าทีอับอายออกมา
ทันใดนั้นวิเวียนก็เข้ามาพร้อมกับถาด เธอวางถาดไว้ระหว่างพวกเขาและโค้งคำนับเล็กน้อย “โปรดเพลิดเพลินค่ะท่าน”
จากนั้นเธอก็จากไป
บนถาดมีไวน์สองแก้วและขนมที่ดูน่ารักเห็นได้ชัดว่าหญิงสาวเป็นคนทำมันขึ้นมา
อัลโด้ยิ้มล้อเลียนหนักยิ่งกว่าเดิม “เรามีรักษาการที่มีเสน่ห์ดึงดูดจริงๆ! เป็นเวลาสามปีแล้วที่วิเวียนอยู่ที่หอคอยเวทมนตร์แห่งนี้ แต่ข้าไม่เคยเห็นเธอกระตือรือร้นขนาดนี้”
อืม…โรแลนด์ไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไร เขาทำได้เพียงแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีความรู้สึกใดๆต่อวิเวียนด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
เขาบังเอิญเห็นร่างเปลือยเปล่าของเธอด้วยพลังจิตของเขา ทว่าเขาเคยได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของดาราหนังโป๊มาเป็นจำนวนมาก
เขาได้มีภูมิต้านทานมากพอที่จะไม่อ่อนไหวเหมือนพวกไก่อ่อน
เมื่อเห็นว่าโรแลนด์ไม่สนใจที่จะพูดเรื่องนี้อัลโด้ก็ถอนหายใจออกมา “นี้มันไม่ดีเลยนะ แม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเข้าใจในตัวของนักเวทย์ได้ แต่อย่างน้อยคุณก็สามารถพยายามเข้าใจในตัวคนอื่นได้ ข้าเคยเห็น
จอมเวทย์ผู้ทรงพลังมากมายที่ตายเพียงลำพังโดยไม่มีแม้แต่คนช่วยฝังศพ”
โรแลนด์กล่าวว่า “ฉันเคยมีผู้หญิงมาก่อนน่า!”
นี่เป็นรหัสลับระหว่างผู้ชายด้วยกัน อัลโด้รู้ดีว่าโรแลนด์นั้นหมายถึงอะไร
เขาไม่ได้สนใจวิเวียน
อัลโด้ถอนหายใจเล็กน้อยเขาคิดว่าวิเวียนนั้นค่อนข้างน่าสงสาร จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มาคุยธุระกันเถอะ ข้าเห็นแบบจำลองของแขนเวทมนตร์ที่อยู่ชั้นล่าง คุณเป็นคนค้นคว้ามันด้วยตัวเองรึเปล่า?”
โรแลนด์พยักหน้าและถามว่า “คุณสังเกตเห็นข้อผิดพลาดรึเปล่า?”
“ไม่!” อัลโกล่าวอย่างจริงจังยิ่งขึ้นว่า “มันเป็นแบบจำลองเวทย์มนตร์ที่มีค่าที่สุดที่ฉันเคยเห็น ไม่เพียงแต่เวทย์รูปแบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเวทย์รูปแบบพัฒนาอีกด้วย คุณได้เปลี่ยนแปลงเวย์ระดับศูนย์ใหม่ให้กลายเป็นเวทย์พิเศษที่ใกล้เคียงกับเวทย์ระดับสองซึ่งจะเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากสำหรับนักเวทย์ทุกคน คุณเป็นนักเวทย์ที่เก่งกาจที่สุดที่ฉันเคยเห็นมาเลย”
เวทย์ระดับสอง?
โรแลนด์โบกมือด้วยรอยยิ้ม “คุณกำลังชมฉันเกินไปประธาน ฉันเชื่อว่าหลายคนสามารถทำเช่นเดียวกันได้เพียงแค่พวกเขาไม่เคยลองทำมาก่อนเท่านั้น”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าจะพูด” อัลโดนั่งตัวตรงและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “คุณต้องเก็บมันไว้กับตัวเอง! ครั้งนี้ข้าช่วยคุณเก็บแบบจำลองไว้ได้ ในโลกเวทมนตร์อัจฉริยะมักดึงดูดความอิจฉา แม้ตอนนี้คุณจะไม่ได้อ่อนแอ แต่คุณก็ยังห่างไกลจากการเป็นปรมาจารย์นักเวทย์หรือหนึ่งในนักเวทย์ในตำนาน หากใครเรียนรู้ความสามารถของคุณคุณอาจต้องตายในทันทีหรือจบลงด้วยการถูกจับตัวไปให้คุณดัดแปลงเวทย์ของพวกเขาไปทั้งชีวิต”
โรแลนด์ที่กำลังเพลิดเพลินกับเครื่องดื่ม เขากล่าวอย่างตกตะลึงว่า “พวกเขาไม่แลกเปลี่ยนข้อมูลเวทย์กันงั้น เหรอ? หรือการแลกเปลี่ยนไม่ใช่เรื่องที่ดีงั้นเหรอ?”
“มันไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก” อัลโดพูดออกมาถากถาง “ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะผูกขาดความรู้เวทมนตร์ที่สำคัญและรักษาเกียรติศักดิ์ของตระกูลนับร้อยปีไว้ได้อย่างไร?”
โรแลนด์รู้สึกขบขันที่ได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกว่าเขาควรเรียกร้องให้มีการปฏิวัติในโลกนี้
เมื่อเห็นว่าโรแลนก์ตกตะลึงอัลโด้ก็คิดว่าโรแลนด์ยอมรับคำเตือนของเขาแล้ว เขาก็รู้สึกโล่งใจ “คุณควรเก็บมันไว้กับตัวเอง จนกว่าจะเจอคนที่คุณเชื่อใจจริงๆเข้าใจไหม?”
“ตามจริงแล้วฉันคงไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้น” โรแลนด์ตอบ
อัลโดมึนงงขึ้นมาทันที
“ในฐานะบุตรทองคำฉันนั้นเป็นอมตะ” โรแลนด์ยิ้ม “ฉันจะยังคงสอนสิ่งเหล่านี้ให้พวกนักเวทย์ฝึกหัดในหอคอยต่อไป ตราบใดที่พวกเขาต้องการละนะ และถ้าหากพวกเขาหรือใครก็ตามต้องการที่จะสังหารฉันละก็…พวกเขาจะต้องเสียใจ”
หลังจากเขาพูดจบอัลโด้ก็หัวเราะออกมาเมื่อเขาเห็นความมั่นใจของโรแลนด์
เมื่อได้ยินสิ่งที่โรแลนด์พูดนักเวทย์ฝึกหัดก็มึนงงเล็กน้อยในตอนแรก แต่แล้วพวกเขาก็รอรับชมอย่างมีหวัง
อย่างไรก็ตามโรแลนด์เป็นนักเวทย์ที่แท้จริงและอีกก้าวเดียวเขาก็จะกลายเป็นนักเวทย์ระดับแนวหน้าแล้ว เขามีความสามารถทางภาษาซึ่งนั่นหมายความว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ยาก
หากเป็นเวทย์คนอื่นบอกว่ามีเวทย์ระดับศูนย์ที่ควรค่าแก่การศึกษาละก็พวกเขาคงหัวเราะออกมาเป็นแน่ แต่หากเป็นนักเวทย์ที่แท้จริงพูดออกมามันก็คนละเรื่องกัน แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกขัดแย้งอยู่ก็ตาม
นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่มีอาจารย์ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกไม่ชินนักเมื่อมีคนมาสอน
โรแลนด์เรียกแขนเวทย์ออกมา ขณะที่นักเวทย์ฝึกหัดกำลังมองดูอยู่
มันเป็นแขนเวทย์ขนาดปกติและดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษ นักเวทย์ฝึกหัดส่วนใหญ่ผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
ในทางกลับกันวิเวียนยังคงจ้องไปที่โรแลนด์อย่างมีหวัง
“ฉันรู้ว่าพวกนายผิดหวัง” โรแลนด์มองไปรอบๆแล้วยิ้มออกมา “แต่รอดูไปก่อน”
เขาดีดนิ้วของเขาเบาๆและแขนเวทย์สีฟ้าโปร่งใสก็เพิ่มขนาดกว่าเดิมเกือบสามเท่า
คราวนี้นักเวทย์ฝึกหัดในที่สุดก็รู้สึกทึ่งขึ้นมา
แต่พวกเขาก็ยังคงไม่สนใจมันนัก
ท้ายที่สุดแขนเวทย์ก็เป็นเพียงเวทย์ระดับศูนย์ซึ่งไม่สามารถสร้างความเสียหายได้ มันจะมีประโยชน์อะไรได้แม้ว่ามันจะใหญ่ขึ้นก็ตาม?
โรแลนด์พบกับหุ่นไม้ ซึ่งมักจะเป็นเป้าสำหรับฝึกเวทย์
แขนเวทย์ของเขาจับหุ่นไม้และทุ่มมันลงกับพื้นจนกลายเป็นเศษไม้อย่างง่ายดาย
เมื่อมองไปที่เศษชิ้นส่วนที่หล่นลงมาที่บนพื้นนักเวทย์ฝึกหัดทุกคนก็อ้าปากค้าง
ตอนนี้โรแลนด์เชี่ยวชาญแขนเวทย์เป็นอย่างมากหลังจากใช้เวลาไปกับมันกว่าเดือนครึ่ง แขนเวทย์ของเขานั้นสามารถรับน้ำหนักได้กว่าสามตันและสามารถจับของที่มีน้ำหนักได้กว่าหนึ่งตัน
หนึ่งตันหมายถึงอะไร?
หมายความว่าแขนเวทย์ของเขาสามารถบิดชิ้นส่วนเหล็กขนาดเท่าแขนได้อย่างง่ายดายแล้วนับประสาอะไรกับหุ่นไม้
“แขนเวทย์นั้นเป็นเวทย์ระดับศูนย์ก็จริง แต่มันสามารถใช้ในการต่อสู้ได้หากพวกนายเข้าใจมันมากพอ”
โรแลนด์ดีดนิ้วอีกครั้ง
แขนเวทย์ถูกเปลี่ยนรูปร่างเป็นหอกยาวอย่างรวดเร็ว โรแลนด์โยนมันออกไปหอกสีน้ำเงินก็แทงทะลุหุ่นอีกตัวครึ่งบนที่ถูกแทงของมันแหลกสลายไปในทันที
“เวทย์ง่ายๆควบคุมก็ง่ายกว่าและมีความเสี่ยงน้อยกว่า” โรแลนด์อธิบาย “โดยส่วนตัวแล้วฉันคิดว่าพวกนายควรมุ่งเน้นไปที่เวทย์ระดับศูนย์อย่าง แขนเวทย์ หรือ บอลแสง ก่อนมากกว่า เนื่องจากพวกนายยังไม่สามารถร่ายเวทย์ระดับสูงได้ ทำแบบนี้จะช่วยเพิ่มพลังจิตและการควบคุมองค์ประกอบเวทมนตร์ของพวกนาย มันจะช่วยวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับเส้นทางในอนาคตของพวกนายในฐานะนักเวทย์”
ขณะที่โรแลนด์พูดแขนเวทย์เปลี่ยนจากหอกเป็นดาบโล่และในที่สุดก็กลายเป็นถุงมือ
จากนั้นเขาก้าวไปข้างหน้าและต่อยไปที่หุ่นหิน กำปั้นสีน้ำเงินขนาดมหึมาของเขาเหวี่ยงหุ่นไปติดกำแพง
เมื่อหุ่นดีดกลับมามันก็แตกออกเป็นก้อนกรวดจำนวนนับไม่ถ้วนที่กระจัดกระจายไปยังนักเวทย์ฝึกหัด
ดวงตาของนักเวทย์ฝึกหัดแทบจะโผล่ออกมาจากเบ้า
“พวกนายจะแข็งแกร่งขึ้นแม้ว่าจะใช้เวทย์ระดับศูนย์ก็ตาม” โรแลนด์ให้กำลังใจพวกเขาว่า “อย่าตั้งเป้าไว้สูงเกินไป พวกนายจะเดินได้ไกลขึ้นก็ต่อเมื่อพวกนายก้าวเดินอย่างมั่นคง”
ในขณะนี้คลาอัสยกมือขึ้น
โรแลนด์อนุญาติให้เขาพูดได้
“แต่ถ้าพวกข้าไม่สามารถใช้เวทย์ระดับหนึ่งพวกข้าจะไม่สามารถกลายเป็นนักเวทย์แท้จริงได้”
โรแลนด์หัวเราะเบาๆ “ลองคิดดูสิ หากพวกนายสามารถเอาชนะผู้ที่ใช้เวทย์ระดับหนึ่งหรือระดับสองด้วยเวทย์ระดับศูนย์ได้ จะมีอะไรน่าดีใจไปมากกว่านี้อีกหรือ?”
คลาอัสเงียบไปครู่หนึ่ง และเขาก็เข้าใจในที่สุด
“ฉันจะวาดแบบจำลองของแขนเวทย์ให้พวกนาย” โรแลนด์พูดด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย “แต่ฉันเขียนภาษาของพวกนายไม่ได้ พวกนายคนใดคนหนึ่งต้องคอยเขียนแบบจำลองและจุดเวทย์ของแขนเวทย์จากคำอธิบายของฉัน”
“ข้าทำได้ค่ะ!” วิเวียนยืนขึ้นมา
โรแลนด์มองไปที่นักเวทย์ฝึกหัดคนอื่นๆ และพวกเขามองไปที่พื้นราวกับว่าพวกเขาไม่ต้องการจะแย่งหน้าที่กับเธอ
“ก็ได้งั้นเป็นวิเวียนนะ”
วิเวียนยิ้มบางๆและหน้าแดงออกมา
ประมาณสองชั่วโมงต่อมา รายละเอียดของแบบจำลองเวทย์ของแขนเวทย์ก็ถูกเขียนลงในกระดาษขนาดใหญ่เท่าโต๊ะ ลายมือของวิเวียนนั้นถือว่าค่อนข้างเป็นระเบียบมาก
เธอออกจากห้องวิจัยของโรแลนด์พร้อมกระดาษในมือ จากนั้นเธอก็ถูกล้อมโดยเหล่าเพื่อนๆ
“วิเวียนแขวนมันไว้บนผนังเลย จะได้ไม่มีใครสามารถผูกขาดมันได้!”
“เอาอย่างนั้นแหละ!”
“ข้าไม่เคยรู้เลยว่าแขนเวทย์จะทรงพลังมากขนาดนี้”
“ใช่ยิ่งไปกว่านั้นมันสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ด้วย ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครทำแบบนั้นได้ นี่น่าจะเป็นแบบจำลองเวทย์ส่วนตัวของรักษาการโรแลนด์แน่ๆ”
“ข้าคิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
“อัจฉริยะชัดๆ เขาอาจจะแข็งแกร่งกว่าท่านประธานด้วยซ้ำ!”
“ข้าก็คิดว่าอย่างนั้นเช่นกัน”
วิเวียนแขวนกระดาษเข้ากับกระดานโดยเขย่งปลายเท้า มีทางเดินเวทย์และจุดเวทย์มากกว่าสิบแปดจุดในแบบจำลองนี้ มันซับซ้อนมาก แต่เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ พวกเขาก็พอจะทำความเข้าใจกับคำอธิบายที่อยู่ด้านล่างได้
“พวกเจ้าบอกว่าใครอัจฉริยะมากกว่าข้ากัน?”
มีใครสักคนยืนหัวเราะเบาๆอยู่หลังพวกเขา พวกนักเวทย์ฝึกหัดต่างค่อยๆหันกลับมามองพร้อมแข้งขาที่อ่อนแรง และเอ่ยทักทายผู้มาใหม่และต่างเดินหลีกออกไปโดยไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
อัลโด้อยู่ในชุดที่เป็นทางการ ดูเหมือนเขาจะเพิ่งกลับมาจากบ้านของขุนนางสักคน
วิเวียนก็รีบถอยห่างเช่นกัน
อัลโดไม่ได้โกรธอะไร ไม่มีอารมณ์เชิงลบใดๆ บนใบหน้าของเขามีแต่รอยยิ้ม จากนั้นเขาสังเกตเห็นกระดานและพูดว่า “หือมันคือแขนเวทย์…”
“เดี๋ยวนะ!” ดวงตาของอัลโดเบิกกว้าง เขารีบไปที่กระดานและลากนิ้วมือผ่านรอยขีดเขียน
“แบบจำลองเวทย์ที่เกี่ยวกับรูปแบบพัฒนาของแขนเวทย์”
อัลโดมีความรู้มากกว่าพวกนักเวทย์ฝึกหัด พวกนักเวทย์ฝึกหัดนั้นอาจจะประทับใจกับผลลัพธ์ของมัน แต่ว่ามีเพียงแค่อัลโด้เท่านั้นทีรู้ว่ามันมีคุณค่าขนาดไหน!
“ใครเป็นคนสร้างแบบจำลองเวทย์นี้” อัลโด้ตะโกนถามออกมา
นักเวทย์ฝึกหัดมองขึ้นไปด้านบน
โรแลนด์!
หลังจากไตร่ตรองสักพักอัลโด้ก็กล่าวว่า “เก็บแบบจำลองเวทย์อันนี้ซะ มันจะเป็นสมบัติของหอคอยเวทย์มนตร์และถ้าพวกเจ้าต้องการจะดูมันละก็จะต้องจ่ายสามสิบแต้มต่อครั้ง!”
อื้อหือ!
นักเวทย์ฝึกหัดต่างร้องโหยหวนด้วยความหงุดหงิด
การหาสามสิบแต้มนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่พวกเขารู้สึกไม่พอใจนักที่จะต้องจ่ายให้กับของที่มันควรจะฟรี
อัลโด้ไม่สนใจพวกเขาและขึ้นชั้นบนไปหาโรแลนด์
ทหารรับจ้างบางคนกดหัวลงต่ำและเดินออกไปอย่างเงียบๆ ไม่นานทหารรับจ้างคนอื่นๆก็ตามพวกเขาไป
หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในโรงเตี๊ยม
การสังหารเทพธิดาถือเป็นการดูหมิ่นศาสนาในโลกนี้ แม้ว่าฮอว์กจะไม่ได้กล่าวถึงชื่อของเทพธิดาคนไหนเป็นเฉพาะ แต่ทุกคนก็รู้สึกไม่สบายใจ
นอกจากนี้ความน่ากลัวของฮอร์กและลิงค์ก็แพร่กระจายไปในใจของทหารรับจ้างอีกครั้ง
ฮอร์กพูดเรื่องกัดลิ้นจนขาดหรือดิ้นจนตายออกมาง่ายๆราวกับปกติ แต่สำหรับคนอื่นๆนั้นมันน่าหวาดกลัวสิ้นดี
พวกเขาไม่ตายหลังจากกัดลิ้นเลือดของพวกเขาพุ่งออกจากปาก จากนั้นทั้งสองก็ดิ้นเหมือนปลาที่เกยตื้นแม้ว่าพวกเขาจะถูกมัดอยู่ก็ตาม
พวกเขาไม่สามารถพูดออกมาได้เมื่อลิ้นขาดออก พวกเขาทำได้แค่ส่งเสียงอู้อี้และดิ้นไปมา พวกเขาดิ้นจนกระทั่งเชือกฝังไปกับเนื้อในร่างของพวกเขา แต่พวกเขาก็หาสนใจไม่และดิ้นต่อไปจนถึงขั้นทำให้ต้นไม้สั่นไหว
แต่นั่นยังไม่หมด พวกเขาก่นด่าพวกขุนนางออกมาด้วยเสียงแปลกๆขณะที่กำลังดิ้นอยู่
เลือดไหลออกจากปากพวกเขาเมื่อพวกเขาส่งเสียงอู้อี้ออกมา และร่างกายของพวกเขาก็เริ่มมีเลือดไหลออกมาเช่นกัน
พวกทหารของขุนนาง ทหารรับจ้างที่มาดูเพื่อความสนุก และเหล่าขุนนางคนอื่นที่ได้ยินข่าวของบุตรทองคำต่างก็หัวเราะออกมาอย่างชั่วร้ายขณะที่มองพวกเขาถูกแขวนอยู่บนต้นไม้ จากนั้นเลือดก็หยดลงมาจากเท้าพวกเขากลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ และพวกเขาก็ขาดใจตายไปในที่สุด
จากนั้นสิบนาทีต่อมาทั้งสองก็ฟื้นคืนชีพและพุ่งเข้าจู่โจมพวกทหารของขุนนางด้วยดาบ
บ้าเอ้ย! สองคนนั้นต้องเป็นโรคจิตแน่ๆ!
แม้แต่พวกสาวกของลัทธิแปลกๆก็ยังคลั่งได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบของพวกเขา
จากนั้นขุนนางก็สูญเสียความกล้าหาญและหนีไป
อย่างไรก็ตามบุตรทองคำทั้งสองไม่ปล่อยให้มันไปและติดตามไป
บาร์เทนเดอร์ถูกทิ้งให้ยืนสั่นอยู่คนเดียวในโรงเตี๊ยม โรแลนด์รู้ว่าฮอร์กและลิงค์ได้สร้างชื่อให้กับตัวเองในเมืองนี้ไว้แล้ว
โรแลนด์วางเหรียญทองหกเหรียญลงบนโต๊ะและยิ้ม “นี่คือเหรียญทองที่เราตกลงกันไว้”
“ขอบใจมาก” ฮอว์กกระโดดลงจากโต๊ะและนั่งลงอีกครั้ง จากนั้นเขาก็จูบเหรียญทองและพูดด้วยความดีใจว่า “ในที่สุดพวกเราก็จะได้ใช้ชีวิตดีๆสักที”
“เราตกลงกันไว้ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอกน่า ”โรแลนด์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฮอว์กไม่คิดว่าอย่างนั้น “เอาตามจริง ผู้เล่นที่สามารถซื้อแคปซูลเสมือนจริงได้นั้นคงไม่ได้ยากจนในความเป็นจริง แต่การหาเงินในเกมนี้นั้นทำได้ค่อนข้างยาก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกคนรวยจำนวนมากจึงหวังที่จะซื้อเหรียญทอง อย่างน้อยนายก็ช่วยขายให้ฉันแทนที่จะเป็นคนอื่น”
ลิงค์ก็พยักหน้า เขาเงียบมาตลอดจนถึงตอนนี้ “เกมนี้สมจริงมากถึงขนาดมีระบบเศรษฐกิจเป็นของตัวเองด้วยซ้ำ”
น้ำเสียงของเขาค่อนข้างสุภาพและเหมาะกับนิสัยขี้อายของเขา
“จริงสิต่อจากนี้พวกเรามาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันไหม ”โรแลนด์เสนอออกมา “ฉันน่าจะอยู่ในหอคอยเวทมนตร์ไปอีกนาน หากพวกนายต้องการความสามารถทางภาษาก็มาหาฉันได้”
หลังจากนั้นโรแลนด์ก็ร่ายความสามารถทางภาษาให้กับพวกเขา “ตอนนี้ฉันอยู่เลเวลสี่ ดังนั้นความสามารถทางภาษาของฉันจึงอยู่ได้แค่สิบเอ็ดชั่วโมง มาหาฉันได้ถ้าหากพวกนายต้องการบัฟเพิ่ม”
“ขอบคุณมาก!!” ฮอว์กจับมือของโรแลนด์และเขย่าอย่างแรง “นายต้องนึกไม่ออกแน่ว่ามันทรมาณขนาดไหนที่ไม่สามารถพูดภาษาของชาวเมืองได้”
“ฉันรู้น่าว่ามันเป็นยังไง” โรแลนด์พูดอย่างเคืองๆ “ตอนที่หัวของฉันระเบิดครั้งแรกก็เพราะพยายามร่ายความสามารถทางภาษาที่เกินระดับของฉันไปนั่นแหละ”
ฮอร์กตกตะลึงชั่วครู่ก่อนหัวเราะออกมา
มื้อเย็นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะได้ทำความรู้จักกัน ดังนั้นพวกเขาจึงสนิทกันมากขึ้น
พวกเขาแลกเปลี่ยนข้อมูลพื้นฐานซึ่งกันและกัน
เขาพบว่าฮอร์กและลิงค์มาจากกิลด์ที่ชื่อปีกเงินซึ่งค่อนข้างมีอิทธิพลในหมู่ผู้เล่นเกมทั้งหลาย และในตอนนี้เกมเสมือนจริงเกมแรกได้เปิดตัวขึ้นเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะเข้ามาสำรวจและวางรากฐาน
ฮอร์กเป็นรองกิลด์ของปีกสีเงิน
“โรแลนด์นายยังไม่มีกิลด์ใช่ไหม? นายลองเข้ากิลด์พวกเราไหม? มีสาวสวยมากมายภายในกิลด์ที่ฉันสามารถแนะนำนายได้” ฮอว์กเสนออย่างเจ้าเล่ห์
โรแลนด์ส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “โทษที แต่พอดีฉันว่างแผนว่าจะสร้างกิลด์อยู่กับเพื่อนหนะ”
“น่าเสียดายจัง มันคงจะดีมากหากมีนักเวทย์คนแรกเข้ามาร่วมกิลด์กับพวกเรา!”
ฮอว์กไม่ได้พยายามตื๊อต่อ เขาเปลี่ยนประเด็นไปพูดเกี่ยวกับเรื่องของเมืองนี้
ต้องขอบคุณพวกเขาที่ทำให้โรแลนด์ได้รู้ข้อมูลบางอย่างเพิ่มขึ้น
ประมาณสองชั่วโมงต่อมาพวกเขาก็แยกย้ายกัน
โรแลนด์กลับไปที่หอคอยเวทมนตร์ เมื่อเห็นว่ายังเช้าอยู่เขาจึงเรียกนักเวทย์ฝึกหัดทั้งหมดไปที่ห้องทดลองที่ชั้นห้าสิบ
ในชั้นนี้มีห้องอยู่เพียงห้องเดียว เพดานและพื้นทำจากวัสดุป้องกันเวทมนตร์ที่สามารถต้านทานการระเบิดหรือการถูกทำลายเมื่อทำการทดลองเวทมนตร์ล้มเหลว
พื้นสีดำมีหลุมเล็กๆอยู่ซึ่งมันคือค่ายกลเวทย์แบบง่ายที่ถูกติดตั้งไว้เพื่อยกเลิกเวทมนตร์
โรแลนด์รู้สึกอึดอัดทันทีเมื่อเขาเข้ามาในห้องนี้ราวกับว่ามีใครสักคนใส่กุญแจมืออันหนักอึ้งให้กับเขา
เขายืนอยู่ที่ใจกลางของห้องล้อมรอบไปด้วยผู้ฝึกเวทที่จ้องมองเขาด้วยความหวังและความตื่นเต้น
เด็กฝึกงานเวทมนตร์เหล่านั้นไม่ได้โง่ เขารู้ว่ารักษาการเรียกพวกเขามาเพื่อสอนเวทมนตร์
“ฉันไม่รู้เกี่ยวกับความรู้ของพวกนาย ดังนั้นทุกคนช่วยบอกถึงเวทย์และวิธีการเรียนรู้ของพวกนายที”
นักเวทย์ฝึกหัดต่างตอบกลับออกมาด้วยเวทย์ที่พวกเขาคิดว่าใช้ได้ดีที่สุด
โรแลนด์รู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่ามีเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของพวกเขาเท่านั้นที่สามารถใช้เวทย์ระดับศูนย์อย่างบอลแสงหรือแขนเวทย์ได้ ส่วนที่เหลือพวกเขาทำได้ดีที่สุดก็แค่สัมผัสเวทมนตร์
นอกจากนี้เวทย์ของพวกเขาก็อยู่ได้ไม่นานและให้ผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก
อย่างแขนเวทย์ที่โรแลนด์สามารถควบคุมขนาดของมันได้ โดยสามารถเปลี่ยนจากมือมนุษย์ไปเป็นมือของไททันได้อย่างอิสระ
แต่แขนเวทย์ของนักเวทย์ฝึกหัดนั้น… มันคงเป็นปาฏิหาริย์ถ้าพวกเขาสามารถใช้มันยกของหนักห้าสิบกิโลได้
ต้องรู้ว่าแขนเวทย์นั้นเป็นเวทย์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้นักเวทย์สามารถหยิบจับสิ่งของต่างๆ
เนื่องจากร่างกายของนักเวทย์นั้นค่อนข้างอ่อนแอ พวกเขาจึงต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวก
แขนเวทย์ของโรแลนด์สามารถรับน้ำหนักได้กว่าสามตันในตอนนี้
ช่องว่างระหว่างพวกเขาใหญ่เกินไป
โรแลนด์ถอนหายใจกับการร่ายเวทย์ที่แสนน่าเบื่อของนักเวทย์ฝึกหัด “ฉันจะเริ่มจากสอนแขนเวทย์ให้พวกนายแบบละเอียด”
นักเวทย์ฝึกหัดเกือบทั้งหมดรู้สึกผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
โดยปกติที่นักเวทย์มักจะดูถูกเวทย์ระดับศูนย์
พวกนักเวทย์ฝึกหัดก็ไม่ต่างกัน
เมื่อสังเกตเห็นท่าทางของพวกเขาโรแลนด์ยิ้มก็ยิ้มออกมา “ดูเหมือนว่าพวกนายจะไม่เข้าใจจนกว่าฉันจะแสดงให้เห็น”
โรแลนด์เพลิดเพลินอยู่กับอาหารของเขาขณะสังเกตุไปยังลูกค้าโต๊ะอื่นๆ
พวกเขาส่วนใหญ่ถืออาวุธหลากหลายชนิดที่บ่งบอกว่าพวกเขาเป็นทหารรับจ้าง โรแลนด์มองเห็นบางอย่างแปลกประหลาดในตัวพวกเขา
ก่อนที่พวกโรแลนด์จะเข้ามายังโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เขาได้ยินเสียงพูดคุยดังออกมาจากข้างนอก ทว่าหลังจากพวกเขาทั้งสามเข้ามาแล้วภายในก็กลับเงียบลงทันที
ในตอนแรกโรแลนด์คิดว่าเป็นเพราะชุดคลุมเวทย์ของเขาทำให้ดูเหมือนมีอำนาจมากเกินไป ทว่าไม่นานนักเขาก็เข้าใจ จริงอยู่ที่เขาอาจจะเป็นตัวอันตราย แต่สายตาของทหารรับจ้างทั้งหลายนั้นมองไปยังฮอร์กและลิงค์
แม้ว่าพวกฮอร์กจะอยู่ในชุดที่ดูมอมแมม ทว่าพวกทหารรับจ้างก็มีท่าทีระวังตัวสูงขึ้น ต่างจากที่เขามองมาที่โรแลนด์ พวกเขามองมาที่โรแลนด์ด้วยสายตาที่ว่า ‘จะไม่วุ่นวายกับชายคนนี้’
มันต่างกันอย่างชัดเจน
“จะไม่วุ่นวายกับชายคนนี้” หมายความว่าพวกเขาจะต่อสู้กับเขาเมื่อพวกเขาไม่มีทางเลือก
สำหรับท่าทีระมัดระวังนั้นราวกับว่า “ฉันสู้พวกเขาไม่ได้ พวกเขาจะกระโดดมาทำร้ายฉันรึเปล่านะ”
เหล่าทหารรับจ้างต่างหวาดกลัวฮอร์กและลิงค์! โรแลนด์สรุปได้ดังนี้ จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าฮอร์กและลิงค์ได้กระท่อมหลังจากต่อสู้กับพวกนักเลงมาไม่กี่ครั้ง
เขายังจำสิ่งที่กลูบอกเขาในเกรย์แซนด์ได้ ย้อนกลับไปไม่นานมีบุตรสองคนประกาศกร้าวว่าพวกเขาจะไม่ยอมแพ้ในการสังหารขุนนาง
เขาหันไปมองสองคนนั้นที่กำลังกินเนื้ออย่างมูมมามและถามว่า “ใช้ได้มั้ย?”
ฮอร์กกลืนและพยักหน้า “นานมากแล้วที่ฉันได้กินเนื้ออร่อยๆแบบนี้ ร่างกายในเกมและร่างกายในความเป็นจริงแยกจากกัน แม้ว่าฉันจะเบื่อเนื้อสัตว์ในโลกจริง แต่เมื่อฉันเข้าสู่เกมร่างกายของฉันจะคอยบอกสมองของฉันว่าต้องการเนื้อ…”
โรแลนด์ยิ้มและถามอีกครั้ง “แล้วเครื่องดื่มล่ะ?”
“ไม่เลว” ฮอร์กจดจ่ออยู่กับอาหาร
“พวกนายฆ่าขุนนางเหรอ”
“พวกเราเคย…” ฮอร์กก็เงยหน้าขึ้นมา “นายกำลังหลอกถามฉัน?”
ลิงค์เงยหน้าขึ้นมามองไปยังโรแลนด์แต่แล้วก็กลับไปสนใจกับอาหารต่ออีกครั้ง
โรแลนด์หัวเราะเบาๆและพูดว่า “ฉันไม่ได้หลอกถามสักหน่อย ยังไงฉันก็สามารถหาข้อมูลจนรู้ตัวนายได้อยู่ดีนั่นแหละ พูดตามตรงฉันค่อนข้างประทับใจที่นายท้าทายขุนนาง”
“ขุนนางชั่วคนนั้นมันต้องตาย” ทันใดนั้นดวงตาของฮอร์กก็ดูโกรธแค้นขึ้นมา
โรแลนด์ค่อนข้างอยากรู้ “นายบอกฉันได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“จริงๆแล้วพวกเราไม่ได้อยากทำแบบนั้นหรอก” ฮอว์ควางสเต็กลงและถอนหายใจก่อนที่เขาจะพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ในเดือนก่อน ขณะที่ฮอร์กและลิงค์พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่ อย่างที่พวกเขาบอกว่าพวกเขากำลังดิ้นรนกับความอดอยากเนื่องจากไม่สามารถพูดคุยกับชาวเมืองได้
พวกเขาจึงออกไปล่าสัตว์ที่นอกเมือง เพื่อเติมเต็มท้องที่ว่างเปล่าของพวกเขา
ยังไงก็ตามไม่ได้มีสัตว์อยู่มากมายนัก ดังนั้นพวกเขาจึงคิดจะไปจับปลาในแม่น้ำ
แต่พวกเขาก็พบเข้ากับศพเด็กที่ดูเหมือนเป็นขอทานและพบเจอแบบนั้นหลายวันติดกัน
มีทั้งเด็กเพศชายและหญิง หน้าอกของพวกเขาเปิดกว้างและหัวใจก็หายไป
ใบหน้าของโรแลนด์ซีด เขากำถ้วยของเขาโดยไม่รู้ตัว
เขาพอจะเดาออกแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
ขณะที่เขาคิดอยู่นั่นเอง ฮอร์กและลิงค์เล่าต่อว่าพวกเขา วันรุ่งขึ้นพวกเขาจึงดักรอที่แม่น้ำและเขาก็จับคนที่มาทิ้งศพได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถสื่อสารได้แต่พวกเขาก็สอบสวนจนรู้ตัวคนร้ายได้ในที่สุด
“เป็นเพราะขุนนางนั่นเชื่อว่าเลือดจากหัวใจเด็ก สามารถทำให้เขาเยาว์วัยได้! แม้งบ้าชัดๆ”
ฮอร์กทุบโต๊ะอย่างแรงพร้อมกับมีเส้นเลือดขึ้นเต็มดวงตา
เสียงคำรามของเขาดังก้องในโรงเตี๊ยมทำให้ทุกโต๊ะเงียบลง
โรแลนด์ถอนหายใจและไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ฉันโกรธมาก ดังนั้นฉันจึงลากตัวคนร้ายไปที่บ้านของขุนนางพร้อมกับศพของเด็ก นายรู้ไหมว่าพวกมันพูดอะไรกับฉัน”
โรแลนด์ถอนหายใจ “หมอนั่นน่าจะบอกว่าเป็นเกรียติสำหรับเด็กพวกนั้นแล้วที่ได้ตายเพื่อเขาใช่ไหม”
“ฮ่าๆๆ นายฉลาดจริงๆ” ฮอว์กขบฟัน “ขุนนางคนนั้นไม่สำนึกผิดแม้แต่น้อย และมันก็จับและตัดสินเราโดยอ้างว่าเราทำร้ายพวกขุนนาง”
นี่มันเกินกว่าที่โรแลนด์คิดไว้อีก
เขารินไวน์ให้ฮอร์กและถามต่อว่า “นายหนีไปได้อย่างไร”
“พวกเราจำเป็นต้องหนี?” ฮอร์กยกยิ้มอย่างน่ากลัว “ฉันบีบคอลิงค์ในคุกให้ตายก่อนและจากนั้นฉันก็ฆ่าตัวตายด้วยการชนกำแพง หลังจากที่เราฟื้นคืนชีพในโบสถ์แห่งชีวิตเราก็ตรงไปที่คฤหาสน์ของขุนนางพร้อมไม้ในมือ”
โรแลนด์สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทหารรับจ้างที่อยู่ใกล้ๆดูท่าทางแปลกๆ ราวกับว่าพวกเขากำลังหวาดกลัว
“ตอนแรกพวกเรายังไม่มีประสบการณ์การต่อสู้มากนักดังนั้นพวกเราจึงถูกล้อมและฆ่าตายหลังจากที่พวกเราฆ่าทหารไปได้แค่สองสามคน” ฮอว์กกล่าวท่าทางตื่นเต้น “แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา อีกครึ่งชั่วโมงต่อมาพวกเราก็ฟื้นคืนชีพและบุกเข้าไปยังคฤหาสน์ขุนนางอีกครั้งและถูกสับเป็นชิ้นๆซ้ำไปซ้ำมา”
ทหารรับจ้างบางคนเดินออกไป โรงเตี๊ยมเริ่มเงียบและเงียบขึ้นเรื่อยๆ
โรแลนด์เอียงศีรษะและกล่าวด้วยความชื่นชมว่า “น่าจะต้องมีคนดูอยู่เยอะแน่ๆ”
“อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่พวกฉันไม่ได้สนใจนัก” ฮอร์กกล่าวต่อว่า “ทุกครั้งที่พวกเราตายประสบการณ์การต่อสู้ของเราจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ต่อมาหลังจากที่พวกเราฟื้นขึ้นมาชายสวมหน้ากากบางคนก็มอบอาวุธที่ขึ้นสนิมให้กับพวกเรา เมื่อมีอาวุธพวกเราก็สามารถฆ่าทหารได้มากขึ้นก่อนที่พวกเราจะตาย ในตอนนั้นขุนนางก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาเพราะทหารของเขาตายไปกว่าครึ่ง หมอนั่นสั่งให้ทหารของมันจับพวกเราและมัดพวกเราไว้กับต้นไม้โดยหมอนั่นบอกว่าจะยกโทษให้พวกเราตราบเท่าที่พวกเรายอมรับใช้มันไปตลอดชีวิต”
โรแลนด์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะหลังจากที่เขาได้ยินแบบนั้น
“ฉันถุยน้ำลายใส่หน้าหมอนั่น” ฮอว์กตบโต๊ะและตะโกนด้วยความตื่นเต้น “หมอนั่นคิดว่าพวกเราจะทำอะไรไม่ได้ เพราะพวกเขามัดดพวกเราไว้แล้ว ฉันและลิงค์จึงกัดลิ้นของตัวเองจนขาดแต่มันก็ไม่ทำให้พวกเราตาย พวกเราจึงพยายามดิ้นจนกว่าจะหลุดหรือจนเหนื่อยตาย!”
สุดยอด!
โรแลนด์อดไม้ได้ที่จะยกนิ้วโป้งของเขาออก เขากล่าวด้วยความชื่นชมว่า “พวกนายเยี่ยมจริงๆ”
ฮอร์กรับคำชมของโรแลนด์ด้วยความพึงพอใจและขณะที่ลิงค์ดูเขินๆ
“อย่างไรก็ตามเราตรงไปที่คฤหาสน์ของขุนนางทุกครั้งที่เราฟื้นคืนชีพ” ฮอร์กก็ยิ้มเยาะ “จากนั้นก็มีพวกคนใหญ่คนโตมาเจรจาให้พวกเรามีเหตุผล บ้างก็บอกว่าพวกเราจะถูกเทพธิดาทอดทิ้งเพราะไปทำร้ายขุนนาง”
จากนั้นฮอว์กก็ก้าวขาขึ้นมาบนโต๊ะ เขาดื่มไวน์จนหมดและคำรามด้วยความโกรธ “ฉันบอกพวกเขาว่ายังไงไอเจ้าขุนนางงี่เง่านั่นก็จะต้องตายและไม่มีใครหยุดและใครก็ตามที่ยืนขวางทางฉัน ไม่เว้นแม้แต่เทพธิดา ฉันจะฆ่ามันทิ้งให้หมด!”
เสียงคำรามดุดันของเขาดังก้องไปทั่วโรงเตี๊ยม!
ทหารรับจ้างทุกคนราวกับถูกแช่แข็งพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
เหตุผลของชัคดูเข้าท่า แต่โรแลนด์ไม่เห็นด้วยไปซะทุกอย่าง เขารู้สึกว่าเขาก้าวหน้าได้เร็วกว่าคนอื่นๆแค่ช่วงแรกเท่านั้น เพราะพรสวรรค์พิเศษที่ซ่อนอยู่ซึ่งเขาได้มาจากโชค
หากพรสวรรค์พิเศษแบบนี้ถูกมอบให้แบบสุ่ม นักเวทย์หลายคนคงจะลบตัวละครเพื่อสุ่มหามันเป็นอย่างแน่แท้
หลังจากที่เขากลับมาจากบาร์ โรแลนด์ก็เปิดอีกครั้งและพบว่า “พรสวรรค์พิเศษ” ได้กลายเป็นหัวข้อที่กำลังมาแรง
ผู้เล่นหลายคนบอกว่าพวกเขาจะลบและสร้างตัวละครขึ้นใหม่ในคืนนี้เพื่อหาพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่
แน่นอนว่ามีคนตั้งคำถามว่าแล้วเทียบกับการทำงานอย่างหนักเมื่อสองเดือนที่ผ่านมามันจะเสียเปล่าหรือไม่
ผู้เล่นที่ตั้งใจจะลบตัวละครบอกว่าเนื่องจากเกมยังอยู่ในเบต้า ดังนั้นพวกเขาจะลองทดสอบดู
โรแลนด์ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้สึกว่ามันน่าจะซับซ้อนมากกว่านั้น
ประการแรกแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้าง AI หลายพันล้านตัว แต่เกมก็ประสบความสำเร็จ มี AI มากมายอยู่ในเกม
ประการที่สองโรแลนด์รู้สึกว่าเกมนี้ค่อนข้างใจกว้างที่เปิดให้คนลองเล่นอัลฟ่าร่วมครึ่งล้านคน
เกมที่มีผู้เล่นกว่าครึ่งล้าน นั้นนับว่าเป็นเกมที่ได้รับความนิยม
ในทางกลับกันโลกของฟาลานนั้นสามารถเล่นได้ในเวลากลางคืนระหว่างการนอนหลับและขัดข้องกับตารางการทำงานดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงมีความกระตือรือร้นสูง
แม้ว่าผู้เล่นทั้งหมดจะไม่ได้ออนไลน์ แต่มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของพวกเขาเล่นมันทุกวัน
การทดสอบอัลฟ่าซึ่งมีผู้เข้าทดสอบกว่าห้าแสนคนนั้นยิ่งใหญ่มาก
ดังนั้นโรแลนด์จึงคิดว่านี่น่าจะเป็นวิธีโปรโมทเกม และรวบรวมเงินทุน โดยอ้างว่ามันเป็นการทดสอบอัลฟ่าเท่านั้น
แคปซูลเสมือนจริงกว่าห้าแสนเครืองในราคาห้าหมื่นเหรียญสำหรับแต่ละคน หากขายหมด บริษัท สามารถรวบรวมได้กว่าสองหมื่นห้าพันล้าน
เงินคงเพียงพอที่จะสนับสนุนการวิจัยไปอีกระยะหนึ่ง
โรแลนด์รู้สึกว่าการทดสอบอัลฟ่านั้นจริงๆแล้วก็คือการทดสอบเบต้า
เขาคิดที่จะเตือนผู้ที่ตั้งใจจะลบตัวละครของพวกเขา แต่เขาคิดอยู่พักหนึ่งและตัดสินใจที่จะปล่อยมันไป
คนพวกนี้ไม่น่าจะฟังเขา พวกเขาหลายคนต่างใช้เงินมากมายให้กับตัวละครของพวกเขาเหมือนกับลี่หลิน
นอกจากนี้สิ่งที่พวกเขาหวังว่าจะได้คือพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่
โรแลนด์พักสักครู่และไปฝึกที่สนามมวยสองชั่วโมง จากนั้นเขาก็ทานอาหารเย็นและอ่านข่าวรอให้เกมเริ่มขึ้น
หลังจากที่เขาเข้าสู่เกม เขาไม่รีบร้อนที่จะไปหาเบทต้า แต่เขาเลือกที่จะอยู่ในหอคอยเวทมนตร์และทำความคุ้นเคยกับพลังจิต
ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เข้ามา” โรแลนด์กล่าว
ประตูไม้เปิดออก เป็นวิเวียนมีท่าทีเขินอาย เธอเหลือบมองไปที่โรแลนด์และพูดว่า “ท่านรักษาการคะ มีบุตรทองคำอยากพบท่าน เขาบอกว่าเขานัดพบท่านไว้แล้ว”
เร็วมาก!
โรแลนด์พูดกับวิเวียนด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “เอาล่ะเข้าใจแล้วขอบคุณ”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ” วิเวียนตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
โรแลนด์ไม่ได้สนใจนัก เขาเดินไปตามทางของหอคอยเวทมนตร์และพบเข้ากับ “ชายหนุ่ม” ที่มีหนวดมีเคราและดูเป็นผู้ใหญ่ในเสื้อผ้าขาดๆที่หน้าประตูทางเข้า
ผู้ชายคนนี้ดูแก่มาก…โรแลนด์ถามเขาว่า “ฮอร์กเหรอ”
“ฉันเอง!”
ชายหนุ่มตัวใหญ่กว่าโรแลนด์อย่างเห็นได้ชัด เขาตื่นเต้นที่ได้เจอกับโรแลนด์และพูดว่า “ในที่สุดฉันก็เจอผู้เล่นคนอื่นที่ไม่ใช่ลิงค์สักที เกมนี้กว้างเกินไป แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเจอกับเพื่อนในโลกจริง”
จริง!
ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาโรแลนด์อยู่กับเบทต้า พวกเขาไม่เคยเห็นผู้เล่นคนอื่น
โรแลนด์มองไปรอบๆและถามว่า “เราไปหาที่คุยกันไหม”
“ได้เลย!” ฮอร์กเกาหัวของเขา “แต่ฉันคุยกับชาวเมืองไม่ได้”
โรแลนด์ร่ายวามสามารถทางภาษาให้กับตัวเขาเองและฮอร์ก จากนั้นเขาก็พูดว่า “ตอนนี้พูดได้แล้วหละ ด้วยความสามารถทางภาษา”
“เยี่ยม! สุดยอดเลย!” ฮอร์กยกนิ้วโป้งออกมา “นายเป็นนักเวทย์คนแรกจริงๆ ไม่มีอาชีพอื่นนอกจากพ่อมดที่สามารถร่ายความสามารถทางภาษาได้ในตอนนี้”
โรแลนด์ยิ้มอย่างสุภาพ
ฮอร์กถามอีกครั้ง “ฉันพาเพื่อนไปด้วยได้ไหม?”
“ได้เลย” โรแลนด์พยักหน้า เขาต้องการจะพูดคุยกับผู้เล่นคนอื่นเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล
ฮอว์กพาโรแลนด์เข้าไปในเมือง และเดินไปยังบ้านเก่าๆหลังหนึ่งที่นั่นเขาได้พบกับลิงค์ที่อยู่ในชุดขาดๆ
เขาเข้าใกล้และได้กลิ่นอุจจาระเหม็นๆลอยออกมา
โรแลนด์ตกตะลึงเมื่อเห็นกระท่อมที่ดูเก่าและสกปรก “พวกนายอยู่ที่นี่เหรอ?”
“พวกเราไม่มีทางเลือก” ฮอร์กมองท้องฟ้าน้ำตาคลอเบ้า “พวกเราไม่สามารถพูดภาษาของชาวเมืองได้และไม่มีเพื่อน เราหิวจนตายไปหลายครั้ง! แม้แต่บ้านหลังนี้ก็เป็นของที่ยึดมาได้จากพวกกลุ่มนักเลงทั้งหลาย”
ลิงค์ซึ่งดูเหมือนจะเป็นนักธนูไม่ได้พูดอะไร แต่ดวงตาของเขาเป็นสีแดงระเรื่อออกมา
“พวกนายขาดแคลนอาหารเหรอ?” โรแลนด์อ้าปากค้างอย่างหนัก “แล้วตอนนี้พวกนายกินอะไรอยู่”
“พวกเราล่าสัตว์ในป่า ในตอนแรกเราไม่สามารถจับอะไรได้เนื่องจากไม่มีประสบการณ์และเราก็ตายจากการขาดอาหารเพิ่มอีกสองสามครั้ง” ฮอว์กกล่าวราวกับว่าเขาต้องการจะลืมความทรงจำที่น่าสังเวช “ต่อมาในที่สุดพวกเราก็มีประสบการณ์มากขึ้น แต่รอบๆเมืองก็มีสัตว์อยู่ไม่มาก พวกเราวุ่นอยู่กับการล่าสัตว์เพื่อเลื่อนระดับ”
พวกเขาโชคร้ายจริงๆ!
โรแลนด์รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เกิดในเมืองเรดเมาน์เทน ซึ่งเป็นที่ที่ค่อนข้างอบอุ่น
“ไปกันเถอะ!” โรแลนด์ตบไหล่ฮอร์กและพูดว่า “ไปกินอะไรดีๆกันเถอะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายทั้งสองก็โน้มตัวเข้าใกล้โรแลนด์และจ้องมองเขาอย่างหลงใหล
ครึ่งชั่วโมงต่อมาโรแลนด์พาพวกเขาไปที่โรงเตี๊ยมดีๆแห่งหนึ่ง
ภายในโรงเตี๊ยมมีทหารรับจ้างจำนวนมากที่ดูหัวรุนแรง
ฮอร์กและลิงค์กินเนื้อในมือของพวกเขาราวกับหมาป่าที่หิวโหย เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วโรแลนด์สง่างามกว่ามาก
ในตอนนี้โรแลนด์ไม่ได้สนใจกับอาหารนัก เขาสังเกตุว่ามีบางสิ่งผิดปกติเมื่อเขาเข้ามา
เมื่อเห็นว่ากระทู้นั้นเกี่ยวกับเขา โรแลนด์จึงคลิกเข้าไปอย่างสงสัย
คนโพสต์แนะนำว่าตนเองว่าชื่ออเล็กซ์
“ฉันเรียนคณะเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ในตอนที่อยู่วิทยาลัยและจบการศึกษาไปเมื่อหลายปีก่อน ฉันทำงานเป็นนักวิจัยข้อมูลมาแปดปีแล้วและเป็นหัวหน้าของกลุ่มวิจัย ฉันสามารถประกาศด้วยความมั่นใจว่า ฉันทำแบบจำลองได้ดีกว่าที่โรแลนด์ทำ นอกจากนี้ฉันยังสังเกตเห็นข้อบกพร่องนิดหน่อยในแบบจำลองเวทย์บอลเพลิงนรกที่โรแลนด์อัปโหลดในเว็บบอร์ดก่อนหน้านี้”
“ถ้าเวทย์ภายในเกมเกี่ยวกับความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฉันควรจะแข็งแกร่งกว่าโรแลนด์ แต่ปัญหาคือฉันสามารถเลือกเวทย์ได้เพียงแค่สิงบทเท่านั้น ฉันไม่สามารถเชื่อมต่อจุดเวทย์ของบอลเพลิงนรกได้และแขนเวทย์ของฉันเปลี่ยนรูปร่างได้แค่เป็นหมัดเล็กๆแทนที่จะเป็นหอกยาว”
“นี่มันไม่ยุติธรรม!!!”
ผู้เขียนพิมพ์ตัวหนาและใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ในคำพูดของเขาและแสดงความสับสนด้วยเครื่องหมายตกใจถึงสามตัว
จากนั้นผู้เขียนได้พิสูจน์ข้อดีและข้อเสียของบอลเพลิงนรกด้วยข้อมูลจำนวนมากและแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของเวทย์
เขาสรุปหัวข้อของเขาดังนี้
“ฉันตรวจสอบข้อมูลของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกมันไม่น่าจะผิดพลาด แต่ฉันไม่สามารถใช้เวทย์รูปแบบพัฒนาใดๆได้ นอกจากนี้ฉันยังเรียนรู้เวทย์ได้ช้ากว่าโรแลนด์ เขากล่าวว่าตัวเองเลเวลสี่แล้วส่วนฉันละพึ่งเลเวลสองเอง ในเว็บบอร์ดนี้มีแค่กี่คนกันที่จะมีเลเวลสี่ และมีนักเวทย์กี่คนกันที่มีเวทย์มากกว่าสองบท? ชัดเจนเลยว่าโรแลนด์มีพรสวรรค์พิเศษซึ่งช่วยในการเรียนรู้ ฉันหวังว่าโรแลนด์จะเปิดเผยเรื่องนี้กับพวกเรา”
“@โรแลนด์ นายช่วยบอกเราได้ไหมว่านายมีพรสวรรค์พิเศษอะไร”
โรแลนด์กดดันมากหลังจากที่เขาอ่านกระทู้
เขาเรียนวิชาเอกการประยุกต์ใช้โปรแกรมอัจฉริยะในวิทยาลัย คณิตศาสตร์เป็นวิชาบังคับของเขาและเขาทำได้ดีกว่านักเรียนส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถเทียบกับนักเรียนเอกคณิตศาสตร์ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นผู้เขียนกระทู้นี้ควรจะจำลองรูปแบบได้ดีกว่าที่เป็นอยู่
ข้อมูลในโพสต์นั้นค่อนข้างซับซ้อน แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเขาก็สามารถเข้าใจมันได้ ตามที่ผู้เขียนกล่าวไว้กระทู้ที่โรแลนด์โพสต์มีข้อบกพร่องและข้อมูลของเขานั้นน่าเชื่อถือกว่ามาก
แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ลองทดสอบ แต่ด้วยความสามาถทางเวทมนตร์ของเขาในตอนนี้ เขาค่อนข้างเชื่อถือทฤษฎีของชายคนนี้
แต่เขาพบว่ามันแปลก มีนักเวทย์เพียงไม่กี่คนที่เข้าใจมากกว่าสองเวทย์?
เขาเลื่อนลงและดูที่การตอบกลับ
ผู้เล่นนักเวทย์ส่วนใหญ่กล่าวว่าพวกเขาสามารถใช้ได้แค่เวทย์บทเดียวหลังจากเล่นเกมมานานกว่าหนึ่งเดือน
โดยคำว่าสามารถนั้นหมายถึงเฉพาะเวทย์ที่พวกเขาสามารถใช้ได้อย่างอิสระ ไม่นับรวมเวทย์ที่ไม่สามารถใช้ได้ในบางครั้ง
ผู้เล่นนักเวทย์ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับสอง
ดังนั้นระดับของโรแลนด์และจำนวนเวทย์ที่เขารู้ จึงบ่งบอกว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในตอนนี้
“ฉันคิดว่าฉันไม่สามารถเรียนเวทย์ได้มากกว่านี้เพราะฉันโง่เกินไป แต่ตอนนี้ฉันก็โล่งใจในที่สุด ไม่ใช่เพราะฉันโง่ แต่เป็นเพราะเวทมนตร์ยากเกินไป โรแลนด์นั้นค่อนข้างเก่งจริงๆ”
การตอบกลับนี้ได้รับการกดไลค์มากที่สุด
โรแลนด์ครุ่นคิดสักครู่และถ่ายรูปความสามารถของเขาก่อนที่เขาจะโพสต์เป็นการตอบกลับ
ในความเป็นจริงเขาวางแผนที่จะโพสต์พรสวรรค์ของเขาการควบคุมเวทย์และถามผู้เล่นคนอื่นๆว่าพวกเขามีพรสวรรค์คล้ายกันหรือไม่ แต่เขาก็ยังไม่มีโอกาสทำเสียที
ตอนนี้ผู้เล่นคนอื่นถามเขา เขาจึงคว้าโอกาสและโพสต์คำถามของเขาเกี่ยวกับพรสวรรค์พิเศษทางออนไลน์
ทันใดนั้นผู้ดูแลเว็บบอร์ดก็ปักหมุดมันไว้และย้ายหัวข้อไปยังการสนทนาทั่วไป
จากนั้นผู้คนจำนวนมหาศาลก็ตอบกลับมา
“ให้ตายเถอะ ฉันไม่รู้เลยว่ามีพรสวรรค์พิเศษ มีชั้นเรียนซ่อนอยู่ด้วยเหรอ?”
“เขาได้มายังไงกัน”
“ชัดเจนแล้วว่ามันเป็นอาชีพลับ ฉันรู้จักคนหนึ่งที่มีอาชีพขุนนางผู้สูงศักดิ์”
“ฉันก็รู้เหมือนกัน เฉลี่ยค่าสถานะทั้งหมดให้เป็นเจ็ดและมีพรสวรรค์มากกว่าคนอื่นอย่างน้อยสองอย่าง แต่มันธรรมดาเกินไป”
“แล้ว ‘การควบคุมพลังเวทย์’ ของโรแลนด์ล่ะ? มีใครเคยเห็นบ้าง”
“ฉันลองหาดูแล้วแต่ก็พบว่ามันไม่มีอยู่ในลิสต์”
“ต้องแบ่งค่าสถานะเหมือนอาชีพขุนนางผู้สูงศักดิ์รึเปล่า?”
“ฉันไม่คิดอย่างนั้น โรแลนด์เคยบอกค่าสถานะของเขาแล้วไม่ใช่เหรอ? เขาได้เพิ่มคุณลักษณะส่วนใหญ่ให้กับสติปัญญาและจิตวิญญาณเช่นเดียวกับผู้เล่นนักเวทย์คนอื่นๆ “
“มันเป็นความสามารถแบบสุ่มเมื่อสร้างตัวละครรึเปล่า?”
“เป็นไปได้!”
ทุกครั้งที่โรแลนด์รีเฟรชเขาจะเห็นคำตอบใหม่มากมาย
แต่มีคำตอบเพียงไม่กี่คำตอบที่ควรค่าแก่การอ่าน
โทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เขารับสายและชัคพูดทางโทรศัพท์ว่า “มาที่เจอกันที่เดิม ฉันเห็นโพสต์ของนายในเว็บบอร์ดแล้ว ฉันก็มีเรื่องคล้ายๆกับนาย”
โรแลนด์วางสายโทรศัพท์และไปที่บาร์โดยจักรยานยน
ในห้องแพนด้าชัคกำลังนั่งรออยู่
ชัคบอกให้โรแลนด์นั่งลงจากนั้นก็รินน้ำผลไม้ ”นายมาค่อนข้างเร็วเลยกินน้ำก่อนสิ….เกี่ยวกับพรสวรรค์พิเศษฉันเองก็มีเหมือนกัน”
อืม…ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่เพียงคนเดีย “แล้วพรสวรรค์ของนายคือ?”
“เสน่ห์ที่ไม่ธรรมดา!” ชัคอธิบายว่า “ค่าเสน่ห์พื้นฐานของฉันจะเพิ่มขึ้นสามในแต่ละระดับ หมายความว่าฉันจะมีค่าเสน่ห์เกินกว่าคนอื่นๆได้”
ด้วยความตกตะลึงชั่วครู่โรแลนด์ก็ถามออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “สำหรับคนอื่นๆเต็มที่ก็คือสิบต่อระดับ แต่นายจะได้สูงถึงสิบสามต่อระดับ?”
ชัคพยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้อง!”
“จริงจัง? ในเกมนายหล่อขนาดไหนเนี่ย” โรแลนด์ส่ายหัว จู่ๆเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ไม่แปลกเลยที่นายจะกลายเป็นเซนต์ซามูไรได้ไวมาก เทพธิดาแห่งแสงน่าจะชอบหนุ่มหล่อ”
อย่างไรก็ตามชัคกล่าวอย่างสบายๆว่า “ที่จริงฉันคิดว่าของนายดีกว่าอีก การควบคุมพลังเวทย์ดูเหมือนจะเป็นความสามารถสูงสุดของนักเวทย์ ฉันบอกแล้วว่านายเรียนรู้เวทมนตร์ได้เร็วกว่าคนอื่นมาก แม้แต่คนจบเอกคณิตก็เทียบนายไม่ได้”
โรแลนด์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ฉันคงนำคนอื่นแค่ชั่วคราวแหละ เพราะยังไงก็ยังมีคนที่ฉลาดกว่าฉันอีกมาก”
“ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ ความสำคัญที่แท้จริงของการเรียนรู้คณิตศาสตร์คือการสร้างความคิดเชิงตรรกะอย่างละเอียดถี่ถ้วน อย่าบอกนะว่านายไม่รู้” ชัคหัวเราะออกมาเบาๆและพูดว่า “ถ้าคณิตศาสตร์เท่ากับเวทมนตร์ นักคณิตศาสตร์ทุกคนจะเป็นนักเวทย์ที่ยอดเยี่ยม ฉันคิดว่าเวทมนตร์น่าจะต้องใช้ความสามารถมากกว่านั้นความรู้ทางคณิตก็แค่ช่วยในช่วงเริ่มแรกแค่นั้น นักเวทย์ที่เก่งกาจน่าจะต้องการทั้งความพิถีพิถันและพรสวรรค์พิเศษเช่นการควบคุมพลังเวทย์ และนายก็มีทั้งสองอย่าง”
ผู้เล่นคนนั้นส่งข้อความหาเขาโดยตรง “นายคือโรแลนด์? นายต้องการขายเหรียญทองใช่ไหม?”
“ใช่” โรแลนด์ตอบ
“เดี๋ยวฉันจะโอนเงินให้ตามราคาตลาดนะ”
โรแลนด์กำลังจะพิมพ์ไปว่า เขาจะหาวิธีการโอนเงินที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาทั้งคู่ก่อน แต่ในขณะที่เขายังพิมพ์อยู่นั้นเขาก็ได้รับข้อความมาก่อน
มีเงินกว่าเก้าหมื่นห้าร้อยโอนเข้ามา ห้าร้อยนั้นเป็นค่าธรรมเนียมสำหรับโอนเงิน
หมอนี่กล้าได้กล้าเสียจริงๆ….โรแลนด์อ้าปากค้างและถามว่า “พี่ชายคุณไม่กลัวที่ฉันจะรับเงินแล้วหนีเหรอ”
ไม่นานข้อความของฮอร์กก็ตอบกลับมา “ฉันไม่คิดอย่างนั้น นายเป็นคนดังในเว็บบอร์ด นอกจากนี้เงินเก้าหมื่นเหรียญก็ไม่ใช่เงินที่มากนัก”
ไอ้เจ้าคนรวยเอ้ย! เขาพูดเหมือนกับที่ลี่หลินชอบพูด
“น่าประทับใจจริงๆ” โรแลนด์ส่งข้อความไป “มาหาฉันที่หอคอยเวทมนตร์ในเมืองเดลพอนคืนนี้ นายน่าจะรู้จักหอคอยเวทย์ใช่มั้ย?”
“อ่าหะ! นายเก่งจริงๆที่เข้าร่วมสมาคมของ NPC ได้ไวขนาดนี้”
“คืนนี้เจอกัน”
“โอเค”
โรแลนด์ปิดคอมพิวเตอร์และลงไปกินข้าวเช้า ก่อนจะไปยังสโมสรมวย
เขาเริ่มซ้อมกับโค้ช
ครึ่งชั่วโมงต่อมาโรแลนด์พบว่าการเคลื่อนไหวของโค้ชดูช้าลง
ก่อนหน้านี้เขาป้องกันการโจมตีของโค้ชโดยสัญชาตญาณ แต่ตอนนี้เขาสามารถเห็นการเคลื่อนไหวของมือที่สวมนวมของโค้ชได้เป็นอย่างดี
เขามีพรสวรรค์ในการต่อสู้ระยะประชิดขนาดนี้เลยเหรอ? ถ้าเขารู้ก่อนเขาคงจะเลือกที่จะเป็นนักรบ
แต่ในหมู่เพื่อนของเขาก็มีอาชีพระยะประชิดเยอะอยู่แล้ว เขาเป็นนักเวทย์นั่นหละดีอยู่แล้ว
หลังจากนั้นไม่นานโรแลนด์ก็นั่งลงและใช้ผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อ
ขณะนี้นักเรียนหลายมุงดูโทรศัพท์ของใครสักคนและพูดด้วยความประหลาดใจ
โรแลนด์ไม่ใช่พวกสอดรู้สอดดเห็น เขาเหลือบไปมองพวกเขา แต่ไม่นานก็หมดความสนใจลง
อย่างไรก็ตามก็มีคนเรียกชื่อเขา “โรแลนด์นายลองดูนี่สิ นี่มันวิเศษมาก!”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยากรู้ แต่โรแลนด์ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำตัวไม่เป็นมิตรกับคนอื่น
เขาเห็นวิดีโอในโทรศัพท์และคลิกปุ่มเริ่มเล่นอีกครั้ง
หลังจากนั้นสี่สิบวินาทีต่อมาเขาอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “เด็กสาวคนนี้น่าประทับใจมาก!”
ภายในรถบัส ประมาณสองทุ่มของเมื่อวานนี้ รถบัสกำลังเคลื่อนตัวจากชานเมืองไปยังตัวเมือง ภายในรถไม่ได้แน่นหนานักแต่ก็ไม่ได้มีที่นั่งเหลือว่างอยู่ ภายในวีดีโอแสดงให้เห็นถึงเด็กสาวน่ารักคนหนึ่งสวมหูฟังที่มีลายวงกลมสีเขียว
สักพักหนึ่งชายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อก็ขึ้นรถมา เพลงประกอบที่น่าขนลุกก็เริ่มขึ้น
ไม่กี่วิต่อมาชายคนนั้นก็หยิบมีดออกมาทำท่าทางเหมือนโจร ผู้โดยสารทั้งหมดถอยหนีด้วยความกลัว
เด็กสาวที่กำลังฟังเพลงอยู่ตกใจชั่วครู่ แต่แล้วเธอก็พุ่งไปข้างหน้าและเตะข้อมือของชายคนนั้นทำให้มีดหล่นจากมือเขา
ชายคนนั้นยังไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ เด็กสาวก็ใช้มือขวาทุบไปที่ต้นคอของเขา
โรแลนด์สามารถบอกได้ว่าการทุบนั้นรวดเร็วและโหดร้าย ชายคนนี้มีพละกำลัง แต่เขาเสียการทรงตัวหลังจากการโจมตี จากนั้นเด็กสาวก็พลิกตัวและฟาดมือขวาไปที่ไตด้านขวาของชายคนนั้น
ชายคนนั้นล้มลงและหมดสติไปในทันที
อย่างไรก็ตามเด็กสาวถอยออกและนั่งยองๆ เธอนำมือประสานกันไว้บนหัวและก้มหน้าลงไว้ระหว่างขาราวกับว่าเธอกำลังร้องไห้
ในช่วงยี่สิบวินาทีสุดท้ายของวีดีโอ ผู้ประกาศข่าวหญิงคนหนึ่งได้อธิบายว่านิ้วของเด็กสาวหักจากการโจมตี
ส่วนชายคนนั้น…คอของเขามีเพียงแค่รอยฟกช้ำ แต่ไตขวาของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก เขายังคงอยู่ในห้องไอซียูเมื่อวิดีโอถูกโพสต์
ความคิดเห็นทั้งหมดในวิดีโอนั้นต่างชมเด็กสาว
บางความคิดเห็นถึงกับบอกว่าถ้าเธอมีดาบผู้ชายคนนั้นจะหัวขาดในวินาทีแรกและเธอจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลย
เมื่ออ่านความคิดเห็นเหล่านั้นโรแลนด์ก็รู้ว่าเด็กสาวคนนั้นต้องเป็นผู้เล่นโลกของฟาลาน และเธอก็น่าจะทำได้ดีระดับนึง
เธอเคยชินกับการต่อสู้ในเกมและเธอก็เผลอทำตามสัญชาตญาณการต่อสู้ในความเป็นจริงโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตามร่างกายของเธอไม่แข็งแรงเท่าไหร่และเธอก็ไม่มีอาวุธ ดังนั้นเธอจึงบาดเจ็บเล็กน้อยแม้ว่าเจ้าโจรนั่นจะถูกล้มลงก็ตาม
โรแลนด์คืนโทรศัพท์ให้กับเพื่อนสโมสรที่เป็นมิตรและคุยกับเขาสักพัก จากนั้นเขาก็กลับบ้าน
เขาเปิดเว็บบอร์ดอีกครั้ง แทนที่จะตรวจสอบกระทู้ที่เขาโพสต์ในตอนเช้าเขากลับไปที่หัวข้อสนทนาทั่วไป
กระทู้เกี่ยวกับหญิงสาวกำลังได้รับความนิยมในเว็บบอร์ด
หลายคนถามว่าพวกเขาจะสามารถทำเหมือนกับในเกมได้หรือไม่ หากพวกเขาฝึกฝนมันในเกม
ผู้เล่นส่วนใหญ่เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถได้รับประสบการณ์ในการต่อสู้ได้ แต่คงไม่มีทางได้ทักษะประจำอาชีพ
ไม่เช่นนั้นโลกแห่งความเป็นจริงจะน่ากลัวเกินไปหากมีนักรบพุ่งจู่โจมและพ่อมดร่ายอุกกาบาตไฟตลอดเวลา
จากนั้นโรแลนด์เปิดโพสต์ตอนเช้าและพบคำตอบมากมาย
ส่วนใหญ่ถูกตอบกลับโดยนักเวทย์
พวกเขาขอบคุณโรแลนด์สำหรับคำแนะนำ
บางคนถึงกับพูดติดตลกว่าการแอบมองเด็กผู้หญิงที่มีพลังทางจิตนั้นสะดวกเพียงใด
โรแลนด์สังเกตเห็นว่ามีการตอบกลับน้อยลงมาก
จากนั้นเขาตรวจสอบจำนวนโพสต์และการตอบกลับในหัวข้อนักเวทย์ มันลดลงเมื่อเทียบกับตอนที่เกมเปิดตัวเมื่อเดือนที่แล้ว
ผู้คนยอมแพ้หลังจากเล่นมาสักพัก
โรแลนด์ถอนหายใจ
นักเวทย์เป็นอาชีพที่ยากเกินไป แตกต่างจากคลาสกายภาพที่เรียนรู้ได้ง่าย นักเวทย์จะไม่สามารถทำอะไรได้หากพวกเขาไม่เข้าใจเวทย์ และเวทมนตร์นั้นยากที่จะเรียนรู้เป็นอย่างมาก
ประสบการณ์ที่นักเวทย์ต้องประสบเจอในเกมนี้มันลำบากเกินไป
มีแค่ไม่กี่คนที่เต็มใจที่จะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการศึกษาเวทย์
เขาคาดว่าสมาชิกนักเวทย์จะลดลงอีกครึ่งหนึ่ง และหันไปเล่นอาชีพอื่นกันแทน
โรแลนด์ได้แต่หวังว่าจะมีนักเวทย์มากกว่านี้ ยิ่งมีคนในสายอาชีพเดียวกันเยอะพวกเขาก็จะสามารถวิเคราะห์เวทย์กันง่ายมากขึ้น
มันคือความแข็งแกร่งในด้านของจำนวน
เขารีเฟรชเว็บไซค์ จากนั้นเขาก็เห็นกระทู้ใหม่ที่น่าประหลาดใจที่สุด
เมื่อดูจากเวลา เขาก็เห็นว่ามันพึ่งถูกโพสต์
ชื่อกระทู้คือ “จากการตรวจสอบและวิเคราะห์ของฉัน นักเวทย์คนแรกโรแลนด์น่าจะมีความสามารถพิเศษ”
โรแลนด์รู้สึกว่าตนเองนั้นล้ำเส้นเกินไป
เมื่อตอนที่เขาสัมผัสได้ถึงพลังจิตของวิเวียน มันเหมือนกับกำลังคลอเคลียกับมือของเขา ทว่าในตอนนี้เมื่อเขาลองแผ่พลังจิตออกไปรัดตัวเธอ ไม่ใช่ว่าเขากำลังกอดเธออยู่หรอเหรอ?
นอกจากนี้เธอก็เกือบจะเปลือยเพราะพลังจิตของเขา
บรรยากาศน่าอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ และใบหน้าของวิเวียนก็แดงขึ้นเรื่อยๆ
โรแลนด์ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาค่อยๆพูดออกมาว่า “ฉันต้องการจัดการธุระส่วนตัวอีกสักพัก เธอกลับไปที่ห้องพักก่อนก็ได้”
วิเวียนพยักหน้าและหนีไปเหมือนกระต่ายน้อย
โรแลนด์รู้สึกโล่งใจ เขาไม่ใช่มือใหม่ เขาเคยมีแฟนในสมัยอยู่มหาลัย
ต่อมาพวกเขาเลิกรากันด้วยดีเนื่องจากทำงานต่างที่กันหลังจากเรียนจบ เห็นได้ชัดว่าวิเวียนยังคงเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาอยู่ แตกต่างจากแฟนเก่าของเขา
เขาไม่ได้มองเธอเพื่อเรื่องอย่างว่า
หลังจากนั้นไม่นาน โรแลนด์ก็เดินไปเปิดหน้าต่าง
ลมพัดเข้ามา เขาอยู่บนชั้นแปดซึ่งสูงจากพื้นประมาณสี่สิบเมตร
หอคอยเวทมนตร์เป็นอาคารที่สูงที่สุดในเมือง เขายืนอยู่ตรงหน้าต่างเพื่อรับลมและมองไปยังทิวทัศน์ทั่วทั้งเมือง
เมื่อจ้องมองไปที่คนเดินถนนที่ราวกับมด โรแลนด์หันกลับมาสนใจในพลังจิตอีกครั้ง
เขาแบ่งลูกบอลน้ำในจิตสำนึกของเขาออกเป็นหนวดขนาดเล็กและยาวหลายๆอันก่อนที่เขาจะขยายออกไปทุกทิศทาง
หนวดพลังจิตเหล่านั้นสามารถทะลุผ่านสิ่งของได้อย่างง่ายดายและกระจายตัวอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้ารอบตัวเขาก็อยู่ในรัศมีทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 130 เมตร
โรแลนด์สามารถมองเห็นทุกสิ่งที่อยู่ในระยะของหนวดพลังจิต
เขาสามารถรับรู้ทั้งความตื่นตกใจของนักเวทย์ฝึกหัดและโครงสร้างของหอคอยเวทมนตร์ แน่นอนหนวดจิตของเขาไม่ได้ไปมัดใครอีก
อย่างไรก็ตามความรู้สึกที่น่าอัศจรรย์นี้ก็อยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อทุกอย่างมืดลงต่อหน้าต่อตาของโรแลนด์
โรแลนด์ถูกขับออกจากภวังค์ จากนั้นเขาก็ปวดหัวเป็นอย่างมากราวกับมันจะระเบิดออกมา เขาตัวสั่นและเกือบล้มลง แต่โชคดีที่เขาจับกำแพงได้ทันเวลา
“มันไม่สมเหตุสมผล” โรแลนด์ครางด้วยความเจ็บปวดและหอบหายใจออกมา ความเจ็บปวดทำให้เหงื่อของเขาไหลออกจากหน้าผากและแก้มของเขา “ความเจ็บปวดลดลงถึงหนึ่งในสิบไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงยังเจ็บขนาดนี้”
ราวกับนิ้วเข้าไปปั่นอยู่ในหัวของเขา โรแลนด์ทุบหัวของตัวเองออกมาด้วยความเจ็บปวด
ผ่านมากสักพักในที่สุดเขาก็รู้สึกว่าปวดหัวน้อยลง เขาจับกำแพงค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้
ในเวลาไม่นานนักโรแลนด์ก็ดีขึ้นมาก เขาไม่รู้สึกอึดอัดอีกต่อไปและอาการหอบของเขาก็หายไป
วิเวียนเคาะประตูและถามอย่างเป็นห่วง “รักษาการเป็นอย่างไรบ้างคะ? พวกเรารู้สึกได้ว่าพลังจิตของท่านพังทลายลง?”
พลังจิตพังทลาย? โรแลนด์สังเกตุเห็นว่าบอลน้ำในจิตสำนึกของเขานั้นหายไป
มันถูกแทนที่ด้วยหยดเล็กๆ
เป็นอย่างนั้น!
ดูเหมือนว่าพลังทางจิตจะเชื่อมต่อกับจิตสำนึกของเขาในความเป็นจริง ร่างกายของเขาในเกมเป็นของปลอม แต่จิตสำนึกของเขาเป็นของจริง
มันเป็นคำอธิบายได้อย่างดีว่าทำไมความเจ็บปวดรุนแรงแทนที่จะลดเหลือหนึ่งในสิบ
“ฉันสบายดี ฉันแค่ทดสอบการใช้พลังจิตนิดหน่อย” โรแลนด์ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ “กลับไปทำธุระของคุณเถอะ”
“รับทราบค่ะ!” วิเวียนเข้าใจและเดินจากไป
โรแลนด์นั่งหลับตาลงบนเก้าอี้
ครึ่งชั่วโมงต่อมาหัวของเขาไม่เจ็บปวดอีกต่อไปและพลังจิตในจิตสำนึกของเขาก็กลับคืนสู่ลูกบอลน้ำขนาดใหญ่อีกครั้งดูเหมือนมันจะขยายใหญ่กว่าเดิม
โรแลนด์ทดสอบพลังจิตต่อไป
แต่คราวนี้แทนที่จะปลดปล่อยพลังจิตทั้งหมดของเขา เขาใช้วิธีแยกออกมันมาเป็นเส้นด้ายหลายๆเส้น
เขาทดสอบทีละนิดและจดบันทึก
ไม่นาน เขาน่าจะรวบรวมข้อมูลได้ครบ
เมื่อลูกบอลลดลงครึ่งหนึ่งหัวของเขาจะเริ่มเจ็บอีกครั้ง
นอกจากนี้เวทมนตร์ของเขาจะไม่เสถียรเป็นอย่างมากหากเขาใช้มันภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
แม้แต่แขนเวทย์ซึ่งง่ายพอๆกับการหายใจก็ยังใช้เวลาสองถึงสามวินาทีก่อนที่มันจะเป็นรูปเป็นร่าง
หากพลังจิตของเขาลดลงอีกเขาอาจไม่สามารถรวบรวมพลังเวทย์ได้
ในช่วงที่เขากำลังทดสอบพลังอยู่เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ผลกระทบและผลเสียของพลังจิตถูกทดสอบและบันทึกโดยโรแลนด์ จากนั้นเขาก็ร่างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์อย่างง่ายและใส่ข้อมูลเข้าไป เพื่อพยายามหาความเป็นไปได้อื่นๆ
เมื่อเห็นข้อมูลและทฤษฎีที่เป็นประโยชน์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว โรแลนด์ก็รู้สึกอดไม่ได้ที่จะตะลึงออกมา
เขาทดสอบต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งโลกกลายเป็นสีขาวดำอีกครั้ง
เขาคลานออกจากแคปซูลและเริ่มวอร์มร่างกาย ตอนนี้ยังเช้าอยู่ดังนั้นเขาจึงเปิดเข้าไปในเว็บบอร์ด
ตอนนี้เป็นช่วงที่เว็บบอร์ดกำลังคึกคักมากที่สุด
หลังจากออกจากเกม พวกเขาก็มีหลายสิ่งที่อยากจะเล่ากันฟัง
โรแลนด์ค้นหาในเว็บบอร์ดและไม่พบกระทู้เกี่ยวกับพลังจิต เขาจึงโพสต์สิ่งที่เขาพบเมื่อคืน: “เกี่ยวกับพลังจิตของนักเวทย์”
“พลังจิตของนักเวทย์นั้นอยู่ในจิตสำนึก…มันสามารถใช้ในการมองเห็นได้ แต่ระวังอย่าให้พลังจิตไปสัมผัสกับคนอื่นเพราะพวกเขาก็รู้สึกถึงมันได้เช่นกัน แล้วก็อย่าใช้พลังจิตมากเกินไปมันอาจทำให้พวกนายตายได้ สุดท้ายคือมันสามารถมองทะลุกำแพงได้!”
หลังจากโพสต์กระทู้ โรแลนด์ก็เข้าไปดูกระทู้อื่นๆต่อ
ผู้เล่นสายผจญภัยหลายคนได้ทำการทดสอบและสำรวจมากมาย
บางคนเคยพบกับเอลฟ์และคนแคระและนักภาษาศาสตร์บางคนก็สามารถพูดภาษาท้องถิ่นได้ พวกเขาพยายามเรียนรู้วิธีเขียน
ผู้เล่นคนอื่นๆกำลังรวมตัวกันในเมืองและวางแผนที่จะจัดตั้งกิลด์ของพวกเขาภายในเกม
ยิ่งมีคนทำงานเยอะภาระก็ยิ่งน้อยลง!
มีผู้เล่นที่ร่ำรวยหลายคนประกาศซื้อเหรียญทองในเว็บบอร์ด
หนึ่งเหรียญทองในตอนนี้มีมูลค่าหนึ่งหมื่นห้าพันเหรียญ
โรแลนด์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและโพสต์กระทู้ว่า: “มีใครอยู่ในเดลพอนไหม? ฉันจะขายเหรียญทองหกเหรียญ”
เมื่อเขาเข้าร่วมสมาคมคลาอัสได้มอบเหรียญทองให้เขาสิบเหรียญ
ด้วยความกังวลว่าเหรียญทองจะอ่อนค่าลงในภายหลัง โรแลนด์จึงตั้งใจที่จะขายบางส่วนออกไปก่อน
ในตอนนี้เขาไม่มีงานทำอยู่ หากไม่มีเงินเก็บเพียงพอเขาจะกังวลหากอยู่บ้านและเล่นเกมทุกวัน
สิบนาทีหลังจากที่เขาโพสต์กระทู้ผู้เล่นชื่อฮอร์กก็ทักเข้ามา
สิบเหรียญทองทุกเดือนไม่มากเท่ากับที่ชัคได้รับจากโบสถ์แห่งแสงซึ่งเป็นเหรียญทองยี่สิบเหรียญต่อเดือน
อย่างไรก็ตามควรรู้ไว้ว่าเซนต์ซามูไรเป็นหนึ่งในผู้นำในโบสถ์แห่งแสงและมีอำนาจมากมาย แม้ว่าพวกเขาจะต้องปฏิบัติตามพระสันตะปาปา แต่พวกเขาก็มีสิทธิ์สั่งสมาชิกของโบสถ์ได้
เซนต์ซามูไรเท่าเทียมกับสุภาพสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่าง
ดังนั้นยี่สิบเหรียญทองนั้นไม่มากเกินไปสำหรับตำแหน่งที่มีอิทธิพลเช่นนั้น
ในการเปรียบเทียบโรแลนด์เป็นเพียงรักษาการ เท่าที่เขารู้สมาคมนักเวทย์มีสาขาในหลายเมือง ตำแหน่งรักษาการนั้นจะได้รับเงินสิบเหรียญทองต่อเดือน และสามารถใช้ทรัพยากรอื่นๆได้
นี่เป็นสมาคมที่ร่ำรวยอย่างแน่นอน
โรแลนด์สงบสติอารมณ์และถามว่า ถ้าอย่างนั้นฉันควรเริ่มทำอะไรก่อนดี”
“ลองทำความคุ้นเคยกับหอคอยเวทย์ก่อนดีไหม” คลาอัสถามออกมาอย่างระมัดระวัง “ตอนนี้ประธานเป็นคนจัดการงานทั้งหมด ทำให้เขาค่อนข้างยุ่งเป็นอย่างมาก”
“เอาล่ะ” โรแลนด์พยักหน้าและพูดว่า “ฉันยังอ่านภาษาของพวกคุณไม่ได้ ขอใครสักคนมาช่วยสอนฉันหน่อยได้ไหม?”
วิเวียนสาวสวยที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ก้าวออกมาและเป็นอาสาออกมาด้วยรอยยิ้ม “ รักษาการข้าสามารถสอนท่านได้”
อืม…โรแลนด์มองไปที่คนอื่นๆแต่พวกเขาต่างก็หลบสายตา
“เอาหละงั้นเธอก็แล้วกัน” โรแลนด์ไม่ใช่คนอวดเก่ง นอกจากนี้เขายังใหม่ที่นี่และไม่ควรจะเอาแต่ใจเกินไป
วิเวียนยิ้มหวานออกมา
จากนั้นนักเวทย์ฝึกหัดคนอื่นๆก็แยกย้ายกันออกไป วิเวียนพาโรแลนด์ไปรอบๆหอคอยเวทมนตร์
เธอแนะนำพื้นที่สำคัญๆ เช่นห้องเก็บอุปกรณ์เวทย์ที่ชั้นสามห้องทดลองชั้นห้าแกนควบคุมที่ชั้นหกห้องสมุดชั้นเจ็ดและชั้นแปดชั้นที่เก้าและชั้นที่สิบ ชั้นที่เป็นที่อยู่อาศัยของผู้นำสมาคมนักเวทย์
โรแลนด์อยู่ในห้องสมุดเป็นเวลานาน เขาไม่สามารถเข้าใจหนังสือได้แม้แต่คำเดียว
จากนั้นเขาก็เลือกชั้นแปดเป็นที่อยู่ของเขา เพราะมันอยู่ใกล้ห้องสมุดมากที่สุด
หลังจากการเยี่ยมชมวิเวียนได้แนะนำกิจการปัจจุบันของหอคอยเวทมนตร์และงานวิจัยในชั้นแปด
ในที่สุดโรแลนด์ก็รู้ว่าทำไมหอคอยเวทย์มนตร์ถึงร่ำรวยมาก
ประการแรกสำนักงานใหญ่ของสมาคมนักเวทย์จะจัดสรรเหรียญทองหนึ่งร้อยเหรียญให้กับหอคอยเวทมนตร์สองครั้งต่อปี นายกท้องถิ่นจะมอบเงินให้หอคอยเวทมนตร์สิบเหรียญทองทุกเดือนเนื่องจากหอคอยเวทมนตร์ได้เซ็นสัญญากับเมืองไว้เพื่อช่วยในการป้องกันเมือง
นอกจากนี้ยังได้เงินจากหอการค้าและขุนนาง โดยเฉลี่ยแล้วหอคอยเวทมนตร์ซึ่งสามารถสร้างรายได้มากกว่ายี่สิบเหรียญทองในแต่ละเดือน
สุดท้ายนี้ยังมีภารกิจพิเศษ เช่น การตรวจสอบอุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับทหารรับจ้างหรือมือสังหาร หรือแม้แต่การส่งนักเวทย์ฝึกหัดเพื่อช่วยกำจัดมอนสเตอร์ งานนี้ให้รายได้มากกว่าสิบเหรียญทองต่อเดือน
โดยรวมแล้วรายได้ต่อเดือนของหอคอยเวทมนตร์นั้นมากกว่าหกสิบเหรียญทอง โรแลนด์ไม่มีปัญหาแต่อย่างใดที่โรแลนด์จะได้รับเงินเดือนสิบเหรียญทอง
ในทางกลับกันนักเวทย์ฝึกหัดค่อนข้างยากจน พวกเขาได้รับเพียงสองสามเหรียญเงินในแต่ละเดือน
โรแลนด์ถามด้วยความประหลาดใจ “เธอไม่รู้สึกว่าได้เงินน้อยเกินไปหรือ?”
“ไม่ค่ะ” วิเวียนพูดตามความเป็นจริง “หอคอยเวทมนตร์จ่ายค่าอาหารค่าที่พักและทรัพยากรการฝึกฝนของพวกเราและพวกเราแทบไม่ต้องทำงาน สามสิบเหรียญเงินที่ได้ต่อเดือนถือว่าดีอยู่แล้วค่ะ”
โรแลนด์เคาะลงบนโต๊ะทำงาน “แต่เงินเดือนของฉันสูงกว่าคุณหลายร้อยเท่า คุณไม่ขัดข้องใจหรือ?”
วิเวียนส่ายหัว เธอกล่าวว่า “มีนักเวทย์แท้จริงเพียงหนึ่งคนจากนักเวทย์ฝึกหัดนับร้อย พวกเราไม่รู้สึกขัดข้องอะไรค่ะ”
เข้าใจแล้ว!
ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาตื่นเต้นกับการมาถึงของเขาและชื่นชมเขามาก นักเวทย์แท้จริงนั้นหายากจริงๆ
“แล้วนักเวทย์ฝึกหัดกับนักเวทย์แท้จริงนั้นต่างกันตรงไหน?” โรแลนด์ถามออกมา
วิเวียนที่อยู่ในชุดคลุมวิเศษหลวมๆ อธิบายว่า “มีข้อกำหนดสองประการ ประการแรกต้องกลายเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่ง ประการที่สองเพื่อร่ายเวทย์ระดับหนึ่งได้อย่างอิสระ”
นักเวทย์ระดับหนึ่ง? โรแลนด์มองไปที่วิเวียนและถามว่า “คุณอยู่ระดับอะไร”
“ศูนย์ค่ะ” วิเวียนถอนหายใจและพูดว่า “นอกจากนี้ข้ายังไม่สามารถร่ายบอลเพลิงนรกได้อย่างอิสระจนถึงทุกวันนี้”
ศูนย์! LV0?
โรแลนด์ถามออกมาอย่างอยากรู้อยากเห็น “คุณวัดระดับของได้ยังไง”
“ท่านไม่รู้จักการปลดปล่อยพลังทางจิต?” วิเวียนปิดปากด้วยความประหลาดใจ
โรแลนด์อ้าแขนของเขาออกมา
“แบบนี้ค่ะท่าน” วิเวียนหลับตาและสาธิต
กลิ่นที่อ่อนโยนและอ่อนหวานออกมาจากหน้าผากของวิเวียนและแตะหลังมือของโรแลนด์อย่างซุกซนก่อนที่มันจะไหลย้อนกลับไป
โรแลนด์สัมผัสได้ถึงพลังทางจิต
จากนั้นวิเวียนก็ลืมตาขึ้นและกล่าวด้วยความชื่นชมว่า “ท่านอยู่ในระดับสี่ ระดับห้าคือระดับแนวหน้าหรือหัวกะทิ ประธานของเราอยู่ที่ระดับนั้น พวกท่านทั้งคู่เป็นอัจฉริยะจริงๆ”
นี่คือการปลดปล่อยพลังทางจิต?
โรแลนด์หลับตาลงอย่างตกตะลึงชั่วครู่
เขาเพ่งความสนใจของตัวเอง และเขาก็รู้สึกได้ถึงสิ่งที่คล้ายกันอยู่ในจิตสำนึก เขารู้สึกราวกับว่าพลังจิตของเขานั้นยอดเยี่ยมกว่าของวิเวียนมาก
หากพลังทางจิตของวิเวียนเปรียบได้กับหยุดน้ำพลังจิตของเขาก็เปรียบได้กับบอลน้ำขนาดยักษ์
นี่คือพลังจิต
เขารู้สึกได้มานานแล้ว เมื่อเขาร่ายเวทย์ส่วนหนึ่งของ “ลูกบอลน้ำ” นี้จะถูกดึงออกมาเสมอและส่วนที่ขาดหายไปจะค่อยๆถูกเติมเข้าไปใจจนเต็ม
เขาคิดมาตลอดว่านั่นคือ MP ของเขา แต่มันก็เป็นพลังจิตของเขาด้วย
ถ้าจะให้พูดทั้ง MP และพลังจิตก็ไม่ต่างกันนัก
นี่ฉันจะสามารถปลดปล่อยมันออกมาได้จริงๆเหรอ?
โรแลนด์พยายามดึงบางส่วนของ “บอลน้ำ” ออกมา เขาเปลี่ยนรูปร่างมันให้เป็นหนวดและมัดตัววิเวียนเอาไว้
ตามจริงแล้วเขาไม่ควรจะมองเห็นเมื่อเขาหลับตา แต่เมื่อหนวดถูกดึงออกมาจากจิตใต้สำนึกของเขา เขาก็ “เห็น” สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขา
ไม่ใช่มองเห็นจริงๆ แต่มันเป็นเรื่องของความรู้สึก เขาไม่รู้ถึงรูปร่างและลักษณะของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขา แต่เขากลับรู้สึกได้ว่ามันคืออะไร
อย่างเช่น…ส่วนโค้งนูนที่งดงามของวิเวียนที่อยู่ใต้เสื้อคลุมเวทย์หลวมๆของเธอ
บ้าเอ้ย!
เขารีบถอนพลังจิตทันที
ที่อยู่ตรงข้ามกับเขา คือวิเวียนที่กำลังหน้าแดงฉ่า
โรแลนด์รู้สึกเลือดแข็งตัวเมื่อเห็นพวกเขาจ้องมา เขาสงสัยว่าตัวเองเป็นหนูทดลองหรือเปล่า
โชคดีที่โรแลนด์ยังคงมองเห็นความชื่นชมในสายตาของพวกเขาซึ่งทำให้เขาผ่อนคลายลง
“ก่อนอื่นท่านโรแลนด์โปรดสมัครเข้าร่วมก่อนเถอะครับ” คลาอัสนำโรแลนด์ไปยังเคาน์เตอร์ จากนั้นเขาก็นั่งลงและพูดว่า “โปรดเล่าข้อมูลของท่านด้วยครับ”
“โรแลนด์ มนุษย์” เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดต่อว่า “อายุสิบเจ็ดปี เพศชาย ไม่มีกิจกรรมแปลกๆ สิ่งที่ชื่นชอบคือการอ่านหนังสือ”
ทันใดนั้น ทุกคนก็จ้องมองเขาอย่างประหลาด
สิบเจ็ดปี…คลาอัสลูบใบหน้าของตัวเองและถอนหายใจออกมาอย่างแรง ราวกับผิดหวังอะไรสักอย่าง
“หือ? อายุของฉันมีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ?” โรแลนด์ถามออกมา
“ท่านยังเด็กอยู่ ทว่าการพูดและท่าทางการเดินของท่านค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่เลยทีเดียว” ชายแก่ค่อยๆกล่าวออกมา “พวกเราคิดว่าท่านน่าจะอายุอย่างน้อยยี่สิบห้าปีพวกเราไม่นึกเลยว่าท่านจะอายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น”
จริงๆแล้วอายุจริงของเขาคือยี่สิบสี่ปี แต่บุตรทองคำทั้งหมดถูกตั้งอายุไว้ที่สิบเจ็ดปี
เขาไม่ได้คิดเลยว่าพวกเขาจะรู้อายุจริงของเขาจากการสังเกต
“พวกนายคิดไม่ผิดหรอก” โรแลนด์คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกมา “อายุร่างกายของฉันคือสิบเจ็บปี แต่อายุของจิตใจจริงๆคือยี่สิบสี่ปี”
พวกเขามองหน้ากันแต่ก็ยังคงส่ายหัวออกมาอยู่ดี
โรแลนด์คิดว่าพวกเขาทำตัวแปลกๆ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“โรแลนด์ลืมเรื่องอายุกันเถอะ” คลาอัสยื่นกระดาษบอบบางที่มีลวดลายสีเทาอันเป็นเอกลักษณ์ จากนั้นเขาก็พูดว่า “ตามคำแนะนำของประธานของเรา ท่านจะกลายเป็นรักษาการของพวกเราทันทีที่ท่านเข้าร่วมกับเราและจะมีผลบังคับใช้ทันที”
“รักษาการ?” โรแลนด์คิดว่าตัวเองเป็นคนใจเย็นมาโดยตลอด แต่เขาก็ยังต้องตกใจ “พวกนายให้อำนาจกับฉันขนาดนี้จะดีเหรอ? ฉันยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากพวกนายเลยไม่ใช่เหรอ?”
“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมท่านถึงเป็นเพียงรักษาการเท่านั้น” คลาอัสยืนขึ้นและกล่าวด้วยความชื่นชมว่า “แต่ข้าไม่สงสัยเลยว่าท่านจะกลายเป็นประธานตัวจริงในไม่ช้า ท่านมีอำนาจทั้งหมดของประธานยกเว้นสิทธิในการไล่คนออก ทรัพยากรส่วนใหญ่ในหอคอยเวทมนตร์อยู่ที่ท่าน ห้องสมุดก็เปิดให้บริการเช่นกัน โดยทั่วไปแล้วนักเวทย์ฝึกหัดจะไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าห้องสมุด”
ในบรรดาทั้งหมดโรแลนด์สนใจในห้องสมุดที่สุด
หนังสือนั้นถูกลดความสำคัญลงในยุคอินเทอร์เน็ต แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลในอินเทอร์เน็ตบางทีก็ไม่น่าเชื่อถือ
เพราะอย่างนั้นหนังสือก็ยังคงมีความสำคัญต่อการเผยแพร่ความรู้ โดยในโลกแห่งเกมที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตหรือหนังสือพิมพ์ หนังสือจึงเป็นเพียงช่องทางเดียวในการเก็บความรู้ เหตุผลหนึ่งที่โรแลนด์เข้าร่วมสมาคมสนักเวทย์ก็เพื่อพูดคุยกับนักเวทย์ที่อยู่ในหอคอยและอีกส่วนหนึ่งเพื่อยืมหนังสือเวทย์ในหอคอยเวทย์
เขาไม่คิดเลยว่าหอคอยเวทย์จะมั่งคั่ง จนถึงขั้นมีห้องสมุดอยู่ภายใน
จริงๆแล้วเขาไม่ต้องการดำรงตำแหน่งรักษาการ แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว
“เอาละ ฉันยอมเป็นรักษาการให้ก็ได้” โรแลนด์รู้ดีว่าโอกาสจะหายไปหากเขาไม่คว้ามันไว้
เมื่อโรแลนด์ยอมรับข้อเสนอนักเวทย์ฝึกหัดทั้งหมดก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นทันที
คลาอัสยิ้มกว้างพร้อมยื่นกระดาษให้กับเขาอีกครั้ง “ข้าจะเรียกท่านว่ารักษาการตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป นี่คือป้ายชื่อของท่านโปรดเก็บไว้ให้ดี
โรแลนด์รับมันไปและมองดูสัญลักษณ์ที่อยู่บนแผ่นป้ายด้วยความลำบากใจ “คือ…ฉันอ่านภาษาของพวกนายไม่ออก”
หึ…ขากรรไกรของเด็กฝึกหัดเวทย์แทบจะกระแทกพื้น
คลาอัสตะโกนออกมาด้วยความตกใจ “แล้วทำไมท่านถึงพูดภาษาของพวกเราได้…เดี๋ยวนะหรือว่าความสามารถทางภาษา!”
นักเวทย์ฝึกหัดต่างตกใจและตื่นเต้น ต่างจากอัลโด้ พวกนักเวทย์ฝึกหัดนั้นไม่ได้สังเกตเห็นบัฟบนตัวโรแลนด์
ความสามารถทางภาษาไม่มีประโยชน์ในการต่อสู้ แต่มันมีความสำคัญสำหรับนักเวทย์ มันเป็นเวทย์ระดับสองมันซับซ้อนพอๆกับเวทย์ระดับสาม
นักเวทย์ที่แท้จริงส่วนใหญ่จะไม่พยายามเรียนรู้ความสามารถทางภาษาจนกว่าพวกเขาจะไปถึงระดับแนวหน้าและมีเพียงนักเวทย์ที่มีความสามารถทางภาษาเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเดินทางไปทั่วโลก
มิฉะนั้นนักเวทย์จะไม่สามารถเข้าใจภาษาและภาษาถิ่นหลายร้อยภาษาที่พูดในประเทศอื่นๆได้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นนักภาษาศาสตร์ที่ดีที่สุดก็ตาม
มีเพียงความสามารถทางภาษาที่ช่วยพวกเขาได้
ดังนั้นแม้ว่านักเวทย์จะไม่มีความสามารถในการต่อสู้ แต่เขาก็จะเป็นแขกที่ได้รับการยกย่องจากทุกกลุ่มและทุกองค์กรตราบเท่าที่เขามีความสามารถทางภาษา
ในจำนวนนักเวทย์ที่มีน้อยอยู่แล้วนั้น นักเวทย์แนวหน้าที่มีความสามารถทางภาษายิ่งน้อยไปกว่านั้นอีก
ความสามารถทางภาษาเป็นเวทย์เกี่ยวกับการคาดเดาและทำนาย
หลังจากใช้ความสามารถทางภาษาแล้วพวกเขาก็จะเข้าใจถึง “ผลลัพธ์” ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถรับรู้คำพูดของคนอื่นในภาษาของตนได้
เวทย์ทำนายเป็นเวทย์ที่ยากที่สุดในเวทย์ทั้งเก้าประเภท ซึ่งมันถูกจัดอยู่ในเวทย์มิติ
เวทย์ต่างประเภทกันก็จำเป็นต้องใช้ความสามารถที่แตกต่างกัน ดังนั้นนักเวทย์บางคนจึงไม่สามารถใช้เวทย์จำพวกการทำนายได้
ตอนนี้โรแลนด์แสดงให้เห็นแล้วว่าเขามีความสามารถด้านภาษาซึ่งบ่งบอกว่าเขานั้นเป็นอัจฉริยะ
ด้วยการมีที่ปรึกษาเช่นนี้พวกเขาจะก้าวหน้าได้เร็วขึ้นมาก
เมื่อนึกถึงเรื่องนั้นนักเวทย์ฝึกหัดก็ยิ่งตื่นเต้น
“ท่านโรแลนด์ ข้าจะแนะนำสิทธิพิเศษของรักษาการให้ท่าน” คลาอัสรู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องผูกโรแลนด์ไว้กับหอคอยเวทมนตร์แห่งนี้ เขากล่าวว่า “ท่านสามารถแต่งตั้งนักเวทย์ฝึกหัดให้เป็นผู้ช่วยของท่านได้ ซึ่งเขาหรือเธอนั้นจะรับฟังคำสั่งและตอบสนองความต้องการต่างๆของท่าน ส่วนตัวข้าขอแนะนำวิเวียน เธอเป็นผู้หญิงที่เก่งกาจในทุกๆด้าน”
หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวยิ้มออกมาอย่างอายๆ แต่เธอก็ดูมีความสุขและไม่ต้องการปฏิเสธ
สุดยอดเลย!
มีผู้หญิงเข้าหาตั้งแต่ต้น…หากนี่เป็นนิยายบนอินเทอร์เน็ตเหล่าคนอ่านทั้งหลายจะต้องทิ้งนิยายเรื่องนี้อย่างแน่นอน โรแลนด์โบกมือและไอ “ฉันชินกับการทำงานคนเดียวมากกว่า มีอะไรอีกไหม?”
“ท่านสามารถเลือกห้องได้จากสามชั้นบนสุดของหอคอย” คลาอัสพูดออกมา “จริงๆแล้วชั้นที่หนึ่งเป็นชั้นของประธาน แต่เขาไม่ชอบความสูงจึงย้ายออกไปแล้ว”
เยี่ยมไปเลย! ตอนนี้เขาก็มีที่อยู่แล้ว เพราะยังไงเขาก็ไม่สามารถทนอยู่โรงแรมไปได้ตลอดหรอก
คลาอัสคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “นอกจากนั้นท่านจะได้รับค่าตอบแทนจากการทำงานของท่านเป็นเงินสิบเหรียญทองในทุกๆเดือน”
โรแลนด์ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรดีเมื่อได้ยินเรื่องนี้
ที่นี่เป็นสลัมมีคนยากไร้ในชุดขาดวิ่นเต็มไปหมด ในขณะที่โรแลนด์และเบทต้านั้นอยู่ในชุดคลุมเวทย์และชุดขุนนาง พวกเขาดูต่างออกไปจากที่นี่โดยสิ้นเชิง ดังนั้นคนอื่นๆโดยรอบจึงจ้องมองมาที่พวกเขา ทว่าเมื่อพวกเขาหันกลับไปมองคนเหล่านั้น พวกนั้นก็จดจ่ออยู่กับงานราวกับว่าไม่เคยจ้องมองมายังพวกเขา
บรรยากาศค่อนข้างอึดอัด
โรแลนด์ลุกขึ้นยืนและพูดว่า “พี่จะไปลงทะเบียนที่สมาคมนักเวทย์ก่อน ส่วนนายก็ดูแลเด็กสาวต่อไปสักอีกสองสามวัน ถ้าเป็นไปได้นายแนะนำให้พวกเขาย้ายไปเมืองอื่นดีกว่านะ”
เบทต้าเหม่อมองบนฟ้าและพูดอย่างลังเล “ผมกลัวว่าพวกเขาจะไม่ฟังผมนะสิครับ”
“ถ้าพวกเขาไม่ฟังก็ไม่เป็นไร” โรแลนด์พูดออกมาแบบง่ายๆ “พวกเราไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้ตลอดชีวิต ถ้าหากพวกเขาไม่เต็มใจที่จะย้ายมันก็เป็นความผิดของพวกเขาเองหากมีอะไรเกิดขึ้น และสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเราสามารถทำให้พวกเขาคือล้างแค้นให้พวกเขาเมื่อพวกเรามีเวลา”
เบทต้ามองมาทางเขาด้วยความแปลกใจ “พี่โรแลนด์ดูค่อนข้างไม่สนใจพวกเขาเลยนะครับ”
โรแลนด์ยิ้มและพูดว่า “เราไม่สามารถมอบความเมตตาและความจริงใจทั้งหมดให้กับคนแปลกหน้าได้ หากเราพยายามเต็มที่เพื่อคนแปลกหน้า แล้วเราจะแสดงท่าทียังไงกับคนที่เรารักเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่คนแปลกหน้า”
เบทต้าคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ผมจะปกป้องพวกเขาอีกสองวันและพยายามเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาย้ายออกไป ถ้าพวกเขาไม่ฟังผมก็คงแค่เดินออกมา”
เมื่อเห็นว่าเบทต้าทำตามคำแนะนำของเขา โรแลนด์ก็เดินแยกออกไป
ยี่สิบนาทีต่อมาเขาก็มาถึงยังหอคอยเวทย์
หอคอยสีงาช้างนั้นดูทั้งงดงามและลึกลับยามกระทบเข้ากับสงอาทิตย์ที่ตกดิน
โรแลนด์เดินไปยังทางเข้าและถูกยามสองคนขัดขวางอีกครั้ง
แต่คราวนี้โรแลนด์นำตราทองแดงออกมา
เมื่อเห็นลายเปลวเพลิงบนตราทองแดงทหารยามก็เคลื่อนตัวหลีกไปทันที
เขาตบเบาๆไปยังเสื้อคลุมของตัวเองก่อนเดินเข้าไปในหอคอยเวทย์และพบว่ามันสว่างราวกับกลางวัน
ใต้เท้าของเขานั้นเป็นพื้นเรียบราวกับกระจก จนเขาสามารถมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองได้
คริสตัลแวววาวที่เป็นเอกลักษณ์ถูกติดไว้ตรงผนังทุกๆสิบเมตร
ในพื้นที่โถงกลางนั้นแทบไม่มีอะไรเลยนอกจากบันไดสีเทาตรงกลางซึ่งเป็นทางขึ้นสู่ชั้นสอง
โรแลนด์เดินไปที่บันได แต่กลับมีคนลงมาอย่างรวดเร็วว
เขาเป็นชายหนุ่มอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบสามปี
เขามีผมสั้นสีดำดวงตาสีน้ำตาลจมูกคล้ายเหยี่ยวและมีท่าทีแข็งแกร่ง เขาตกตะลึงชั่วครู่เมื่อเห็นโรแลนด์ก่อนที่เขาจะถามอย่างสงสัยว่า “คุณเป็นใครกัน?”
เขาไม่คิดว่าโรแลนด์เป็นผู้บุกรุก
ที่นี่คือหอคอยเวทย์ มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่กล้าหาเรื่องดินแดนของนักเวทย์
นอกจากนี้โรแลนด์ยังสวมเสื้อคลุมเวทย์ซึ่งสามารถบ่งบอกได้ว่าเขานั้นเป็นนักเวทย์
ดังนั้นชายหนุ่มจึงค่อนข้างเป็นมิตรกับเขา
โรแลนด์หยิบตราสีทองแดงออกมาอีกครั้ง “ฉันมาที่นี่เพื่อลงทะเบียน”
เมื่อเห็นตราและได้ยินคำพูดของโรแลนด์ ชายหนุ่มก็ตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “คุณคือบุตรทองคำที่จะมาเข้าร่วมกับพวกเราใช่ไหม?”
“ฉันโรแลนด์” โรแลนด์รับตรากลับคืนพร้อมถามกลับด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วนายล่ะ?”
“ข้าคลาอัส” ชายหนุ่มยังดูตื่นเต้นอยู่ “ท่านโรแลนด์พวกเรากำลังรอท่านอยู่เลย โปรดตามข้ามา”
เขานำทางและพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “ท่านโรแลนด์รู้ไหมว่าตอนนี้สมาคมนักเวทย์เราขาดแคลนสิ่งใด?”
“ขาดแคนเหรอ…พวกนายขาดเงินทุน?”
โรแลนด์มองไปโดยรอบ ทั้งคริสตัลที่ใช่เป็นตะเกียงและพื้นทางเดินที่ดูคลาสสิก สมาคมแบบนี้จะขาดเงินได้จริงๆเหรอ?
“ไม่ได้เกี่ยวกับเงินทองหรอก” คลาอัสพูดออกมาขณะเดินนำทาง “เป็นเรื่องเกี่ยวกับบุคลากรครับ ประธานของพวกข้านั้นยุ่งอยู่ตลอดและแทบจะไม่มีเวลามาสอนพวกเราเลย นักเวทย์ฝึกหัดกว่าสิบคนต้องนั่งเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ด้วยความที่เวทมนตร์นั้นยากเกินไป พวกข้าจึงแทบจะไม่มีความคืบหน้าใดๆเลย”
ตอนนี้โรแลนด์ขึ้นมาอยู่บนชั้นสองแล้ว
โรแลนด์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนถามออกมา “คุณกำลังจะบอกว่าฉันนั้นต้องสอนพวกคุณ?”
“ใช่แล้ว” คลาอัสกล่าวออกมาอย่างจริงจัง “ท่านอัลโด้ได้แจ้งให้เราทราบถึงการมาของท่าน พวกเรากำลังรอท่านอยู่เลย”
โรแลนด์ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “แต่ฉันก็ยังใหม่กับเวทมนตร์เหมือนกัน ฉันไม่มั่นใจนักว่าจะสอนพวกนายได้อย่างไร”
ทันใดนั้นคลาอัสก็หันกลับมาและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นเพียงนักเวทย์ฝึกหัดและไม่ได้ยอดเยี่ยมเหมือนดั่งท่าน แต่ข้าก็เห็นด้วยกับคำพูดของท่านอัลโด้ที่ว่าเวทมนตร์นั้นไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้นัก”
อืม…ก็จริงอยู่
อันที่จริงฉันเข้าร่วมกับพวกนายเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม” โรแลนด์รู้สึกว่าเขาควรพูดให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้พวกเขาผิดหวังในภายหลัง “ฉันไม่ได้รู้เกี่ยวกับเวทมนตร์มากนัก นายยังอยากจะเรียนรู้กับฉันอยู่ไหม?”
แม้ว่าจะมีเวทย์อีกมากมายที่เขายังไม่รู้จัก แต่โรแลนด์ก็มีความมั่นใจ หลังจากได้ฝึกฝนอย่างหนักและได้รับประสบการณืมากมายในการควบคุมเวทย์และการสร้างแบบจำลองเวทย์
หากพวกเขาต้องการเรียนรู้จริงๆ เขาก็จะไม่ลังเลที่จะสอน
“แน่นอน! ท่านถ่อมตัวเกินไปแล้วท่านโรแลนด์” คลาอัสกล่าวอย่างคาดหวัง “ท่านอัลโด้บอกว่าท่านเป็นนักเวทย์แท้จริงที่เข้าใกล้ระดับแนวหน้าและพวกข้าเป็นแค่นักเวทย์ฝึกหัดเท่านั้น ท่านแข็งแกร่งกว่าพวกเรามาก”
ต่างจากชั้นแรกที่ว่างเปล่า ในชั้นที่สองนั้นมีห้องอยู่มากมายทำให้โถงกลางนั้นเล็ก และแน่นอนตรงกลางของชั้นมีบันไดเพื่อขึ้นไปสู่ชั้นที่สาม
“ได้โปรดรอสักครู่!”
คลาอัสใช้พลังเวทย์ลั่นระฆังที่ส่องแสงอยู่ตรงเคาน์เตอร์ข้างบันได
เสียงดังก้องกังวาน
ในไม่ช้าเสียงเดียวกันก็ดังขึ้นจากชั้นสามและชั้นสี่
เสียงสะท้อน?
ขณะที่โรแลนด์กำลังคิดอยู่นั้นประตูในห้องต่างๆก็เปิดออกและมีคนต่างวัยและต่างเพศสองสามคนในชุมคลุมเวทย์เดินออกมา
นอกจากนั้นเขายังได้ยินเสียงฝีเท้าจากบันได
นักเวทย์ฝึกหัดสองคนรีบวิ่งลงมาจากทางบันได
ในไม่ช้าพวกเขานั้นก็มารวมตัวกันอยู่ด้านหน้าโรแลนด์และคลาอัส
พวกเขามองไปยังโรแลนด์ด้วยความหวังและความตื่นเต้นราวกับพบเจอสมบัติล้ำค่า
โรแลนด์ออกจากคฤหาสน์ของอัลโด้พร้อมกับตราทองแดง โดยมีอัลโด้คอยพูดย้ำๆให้เขาไปยังหอคอยเวทย์และรีบสมัครให้เร็วเท่าที่จะเป็นไปได้
โรแลนด์ไม่ได้ตรงไปยังหอคอยนักเวทย์ เขาตัดสินใจกลับไปพักที่แลมป์เกิร์ลก่อนเป็นอันดับแรก
ถึงแม้ว่าผู้เล่นไม่จำเป็นต้องนอน ทว่าพวกเขาก็อาจจะเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักเกินไปได้ โดยทั่วไปพวกเขาสามารถฟื้นฟูความเหนื่อยล้าได้ภายในยี่สิบนาที
ขณะที่โรแลนด์กำลังคิดเกี่ยวกับภารกิจ ก็มีใครบางคนเคาะประตูเข้ามา
เขาเปิดประตู และพบว่าคนที่เคาะเป็นผู้หญิง เขาจำได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เขาพบในเกรย์แซนด์ กระบนใบหน้าเธอค่อนจ้างเป็นที่จดจำ
เธอดูอึดอัดเมื่อได้พบกับโรแลนด์
“เธอต้องการอะไร?” โรแลนด์ถามหลังจากสังเกตเธออยู่ครู่หนึ่ง
หญิงสาวคนนี้เงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะก้มหัวให้เขา เธอรวบรวมความกล้าและพูดว่า “ลิซ่านั้นเป็นน้องสาวของข้าเอง ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นคนช่วยเธอจนกระทั่งเมื่อวาน ข้าขอขอบคุณท่านมาก”
หลังจากจากพูดจบเธอก็โค้งคำนับให้กับโรแลนด์
จากนั้นเธอก็กล่าวต่อ “แต่ครอบครัวของข้านั้นยากจนเกินกว่าที่จะจ่ายเงินสองเหรียญทองคืนแก่ท่าน สิ่งที่มีค่าที่สุดภายในครอบครัวของข้าคือร่างกายของข้า ดังนั้นข้าขอรับใช้ท่านช่วงหนึ่งเพื่อตอบแทนได้หรือไม่”
เมื่อมองไปยังเธอโรแลนด์ก็ส่ายหน้าออกมา “ไม่จำเป็น นอกจากนี้คนที่ช่วยเธอไว้คือเบทต้าเพื่อนของฉัน บางที…หมอนั่นอาจจะยอมรับค่าตอบแทนของคุณ”
จากที่โรแลนด์สังเกต เบทต้านั้นดูเหมือนยังบริสุทธิ์อยู่ นี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้เรียนรู้วิธีเข้าหาผู้หญิง
ทว่าหญิงสาวกลับยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
โรแลนด์พูดปลอบเธอไป “มั่นใจได้ว่าพวกเราจะไม่เรียกร้องให้พวกเธอจ่ายเงินคืน มีอะไรอีกไหม?”
เธอส่ายหน้าออกมา
โรแลนด์จึงปิดประตู
เธอมองไปยังประตูที่ถูกปิดและหันกลับไปด้วยความผิดหวัง
จริงๆแล้ว เธอได้เสนอตัวเธอให้กับชายหนุ่มที่ดูหล่อเหลากว่าและดูเหมือนจะเป็นขุนนาง แม้เขาจะดูเขินอายแต่เขาก็ปฏิเสธเธออย่างจริงจัง
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงมาที่นี่ เพื่อเสี่ยงโชคอีกสักครั้ง
เธอรู้สึกขอบคุณพวกเขาจากใจจริงที่ช่วยน้องสาวของเธอ ทว่าลึกลงไปในใจของเธอนั้น เธอรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่เธอจะได้เป็นภรรยาของขุนนาง ถ้าเป็นแบบนั้นเธอจะได้รับสิ่งต่างๆมากกว่าที่อยู่ในเกรย์แซนด์
ทว่าพวกเขาทั้งคู่ก็ปฏิเสธเธอ
ดูเหมือนว่าเธอจะไม่น่ารักพอและไม่สามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้
เธอได้รับการทักทายจากเพื่อนร่วมงานของเธอ ที่รู้ว่าเธอถูกปฏิเสธเพราะรูปลักษณ์ที่ไม่งดงาม พวกนั้นเข้ามาเพื่อปลอบเธอ
เธอยิ้มออกมาอย่างยินดี แต่ในใจจริงๆแล้วเธอรู้สึกแย่เป็นอย่างมาก เธอรับรู้ได้ว่าจริงๆนั้นไม่มีใครเห็นใจเธอเลย ลึกเข้าไปในดวงตาของพวกเธอนั้นกำลังเยาะเย้ยเธออยู่
ในฐานะคนประเภทเดียวกันเธอย่อมรู้ดีกว่าใครๆ
เมื่อได้ยินคำปลอบประโลมทั้งหลาย เธอก็ยิ้มหวานขึ้นกว่าเดิมราวกับซึ้งใจในพวกเธอ
ในฐานะของเพื่อนร่วมงานมันเป็นเรื่องสำคัญที่เธอจะต้องรักษาความสัมพันธ์แบบผิวเผินกับพวกเธอเอาไว้
หลังจากพักอยู่ครู่หนึ่ง โรแลนด์ได้ฝึกฝนความสามารถทางภาษาต่อในห้องของเขา เวทย์นี้มีจุดเวทย์เยอะมากและมันไม่น่าจะมีผลเพียงแค่อย่างเดียว เช่นเดียวกับเวทย์บอลเพลิงนรกมันต้องมีเวทย์ที่พัฒนาแล้วของความสามารถทางภาษาอยู่อีกแน่ๆ
เขาทดสอบจุดเวทย์ทีละจุดและจดลงบนสมุดของเขา สองชั่วโมงต่อมาเขานวดหัวที่มึนเล็กน้อยก่อนจะออกจากเมืองไปยังป่า
ด้วยความจำของเขา เขากลับมายังจุดที่พบรอยลากในป่าอีกครั้ง โชคดีที่พื้นที่เกิดเหตุยังไม่ถูกทำลาย เขาเดินวนรอบและอัดวีดีโอค้นหาเบาะแสที่เป็นไปได้
ทว่าเขาก็ไม่พบกับอะไรเลย
ไม่มีเลือด , ไม่มีเศษเสื้อผ้า และไม่มีคราบอสุจิ
หากที่นี่เป็นสถานที่เกิดเหตุ เมื่อพิจารณาจากบาดแผลของหญิงสาว เลือดควรกระจายไปทั่ว แต่น่าแปลกที่ไม่พบอะไรเลย
โรแลนด์เดินตามรอยลากเข้าไปในถ้ำอีกครั้ง
กลิ่นเหม็นรุนแรงมากขึ้นหลังผ่านไปหนึ่งวัน หลุมนั้นยังไม่ได้ถูกปิดและเมื่อดูจากรอยเท้าแล้วเหมือนยังไม่มีใครมาที่นี่
เขาปิดจมูกและถ่ายรูปศพอีกหลายรูปภายในถ้ำ จากนั้นเขาก็ปิดหลุมโดยใช้แขนเวทย์
“หลับให้สบาย ฉันจะล้างแค้นให้พวกเธอเอง” โรแลนด์พึมพำออกมา
โรแลนด์กลับไปยังเมืองและพบเข้ากับเบทต้า
เบทต้านั่งอยู่บนเนินเขาและจ้องมองไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ด้านล่าง
โรแลนด์เดินเข้าไปหาเขาและถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
“เด็กสาวตื่นแล้วครับ” เบทต้ากล่าวออกมาด้วยท่าทางหมดหวัง “เหมือนที่พี่คิดไว้เลยครับ เหมือนเธอจะไม่เห็นคนร้าย คนร้ายเข้าโจมตีเธอจากทางด้านหลังและขู่จะฆ่าเธอหากเธอหันหลังกลับ เธอกลัวเกินกว่าที่จะขัดขืนและทำได้เพียงแค่หมอบลงและทำได้เพียงหลับตาและปล่อยให้ชายคนนั้นทำต่อไป แต่ท้ายที่สุดคนร้ายก็พยายามจะฆ่าเธอ เธอบอกว่าเธอรู้สึกเย็นบริเวณหน้าอกก่อนจะหมดสติไป มันน่าจะเป็นอาวุธเหล็กแน่ๆ”
ดวงตาของโรแลนด์เป็นประกายเมื่อได้ยินแบบนั้น “ดาบน้ำแข็ง!”
หลังจากงุนงงอยู่ครู่หนึ่งเบทต้าก็เข้าใจในที่สุด “ใช่เลยครับ! ในถ้ำและสถานที่เกิดเหตุต่างไม่มีเลือด ผมสงสัยว่าฆาตรกรทำได้ยังไง แต่ผมก็คิดไม่ออกเลยว่าเป็นไปได้ยังไง พี่นี่อัจฉริยะจริงๆครับ!”
ถ้ามันเป็นดาบน้ำแข็งเวทย์สาเหตุที่ไม่มีเลือดก็สมเหตุสมผล
โรแลนด์หัวเราะเบาๆออกมา “แน่นอน พี่ดูโคนันไปมากกว่าสามร้อยตอนเชียวนะ”
เบทต้าหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินดังนั้น สักพักเขาก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “แต่ที่เกิดเหตุไม่มีคราบอสุจินะครับ พี่จะอธิบายได้ยังไง”
อันที่จริงโรแลนด์ก็พอจะเดาได้อยู่ ทว่ามันก็ดูน่าขยะแขยงและดูโรคจิตเกินไป โรแลนด์จึงไม่คิดจะบอกกับเบทต้าที่ยังอ่อนต่อโลกอยู่
ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเรื่องและพูดว่า “พี่ไปหาอัลโด้มาเมื่อไม่นานมานี้”
“โอ้? พี่ตั้งใจจะเข้าร่วมสมาคมนักเวทย์?”
“นั่นเป็นเหตุผลหนึ่ง ตอนแรกพี่คิดว่าอัลโด้น่าจะเป็นผู้ต้องสงสัยเนื่องเขาค่อนข้างตัณหาจัดและฉลาด” โรแลนด์มองไปที่ก้อนเมฆและพูดออกมา “ดังนั้นพี่เลยขอพบเขาโดยอ้างว่าเพื่อต้องการเข้าสมาคมนักเวทย์ แต่ท้ายที่สุดพี่คิดว่าเขาไม่น่าใช่ฆาตรกร เพราะบ้านเขานั้นเต็มไปด้วยสาวใช้สวยๆมากมาย มันไม่มีเหตุผลที่เขาต้องตามล่าหญิงสาวหน้าตาบ้านๆ ถึงอย่างนั้นด้วยความที่คนร้ายใช้เวทย์ดาบน้ำแข็ง ความเป็นไปได้ที่เขาจะเป็นฆาตรกรก็สูงขึ้นอีก”
ค่าประสบการณ์ที่โรแลนด์ได้รับจากการสำเร็จเวทย์ระดับสองนั้นเหนือความคาดหมายของเขา มันเป็นหลักฐานที่ดีว่าความสามารถทางภาษานั้นยากขนาดไหน
เขาร่ายความสามารถทางภาษาใส่ตัวเองและออกจากโรงแรมไป
กลูได้วาดที่อยู่ของอัลโด้มาให้เขาแล้ว ถึงแม้ว่าแผนที่นั้นจะดูค่อนข้างน่าเกลียด แต่โรแลนด์ก็ยังพออ่านมันได้
เขาเดินตามแผนที่ ในที่สุดโรแลนด์ก็มาถึงคฤหาสน์ทางทิศเหนือของเมือง
รอบๆคฤหาสน์ถูกล้อมรอบไปด้วยรั้วทองแดง มีสนามหญ้าโล่งเตียนและมีสีเขียวเช่นเดียวกับอาคารเล็กๆที่มีผนังสีขาวและกระเบื้องสีแดง
มียามสองคนอยู่หน้าประตู
โรแลนด์เดินเข้าไปหาพวกเขาและพูดว่า “ฉันอยากพบกับคุณอัลโด้ในฐานะนักเวทย์”
พวกยามเห็นเขาอยู่ในชุดคลุมเวทย์ แต่พวกเขาก็ยังคงลังเล หนึ่งในพวกนั้นถามว่า “หากท่านต้องการจะพบเจ้านายของพวกเรา โปรดแสดงบัตรเชิญ หรืออะไรก็ตามที่สามารถแสดงตัวตนของท่านได้”
เป็นมารยาทพื้นฐานของชนชั้นสูงในฮอลเลวินที่คนสองคนที่ไม่คุ้นเคยกันจะนัดหมายก่อนเข้าเจอกัน โรแลนด์นั้นในฐานะแขกที่มาโดยไม่ได้บอกกล่าวนั้นถือว่าผิดมารยาท
อย่างไรก็ตามโรแลนด์นั้นอยู่ในชุดคลุมเวทย์พวกเขาไม่กล้าที่จะทำกิริยาหยาบคาย
“บอกเขาไปว่าฉันไม่ได้เป็นเพียงแค่นักเวทย์แต่ยังเป็นบุตรทองคำอีกด้วย”
สีหน้าของพวกยามเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำว่าบุตรทองคำ
หนึ่งในพวกเขานั้นพูดอย่างรีบร้อน “ได้โปรดรอสักครู่ ข้าจะรีบไปแจ้งให้นายท่านทราบ”
หนึ่งในยามนั้นรีบวิ่งเข้าไปในคฤหาสน์ ส่วนอีกคนเมื่อเห็นว่าโรแลนด์มองมายังเขา เขาก็ยิ้มอย่างประจบและกังวล
ต้องขอบคุณผู้เล่นสองคนนั้นที่ต่อสู้กับขุนนางอย่างป่าเถื่อนในเดลพอน
พวกเขาอาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักนัก แต่พวกเขานั้นน่าจะน่าเกรงขามน่าดู
ไม่นานยามคนแรกก็วิ่งกลับมาพร้อมพูดในขณะที่หอบอยู่ “เจ้านายข้าขอเชิญท่านเข้าไป”
โรแลนด์พยักหน้าให้กับยามแล้วค่อยๆเดินไปที่คฤหาสน์ตามทางเดินหิน
ที่ประตูคฤหาสน์มีชายชราผมขาวยืนอยู่ เขาโค้งคำนับให้โรแลนด์เล็กน้อยและกล่าวว่า “ท่านบุตรทองคำเจ้านายที่เคารพของพวกเรากำลังรอท่านอยู่ในห้องวิจัยในชั้นที่สาม ได้โปรดตามข้ามา”
“ช่วยนำทางด้วย”
โรแลนด์พูดออกมาอย่างไม่รีบร้อนและเดินตามชายชราเข้าไปในคฤหาสน์
ในฐานะของคนธรรมดา โรแลนด์ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับของหรูหรานัก เขาจึงไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งของภายในคฤหาสน์นั้นฟุ่มเฟือยมากเพียงใด
อย่างไรก็ตามสาวใช้หลากหลายคงภายในคฤหาสน์ก็เป็นหลักฐานแสดงถึงความมั่งคั่งของอัลโด้ได้เป็นอย่างดี
พวกสาวใช้นั้นต่างมีสุขภาพดีและผิวขาว เห็นได้ชัดว่าพวกเธอมีชีวิตที่ดี
พวกเธอนั้นค่อนข้างสวยเลยทีเดียว
ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงพูดกันว่าอัลโด้ชอบสาวสวย
พวกสาวใช้นั้นต่างกระตือรือร้น พวกเธอรวมกันเป็นกลุ่มสองถึงสามคนและมองดูโรแลนด์อย่างใคร่รู้และกระซิบกระซาบกัน
โรแลนด์คอยสังเกตปฏิกิริยาของพวกสาวใช้ขณะเดินตามชายชราไปยังชั้นสาม
ชายชราเคาะลงบนประตูสีน้ำตาลเทา
“เข้ามา”
เสียงสุขุมและมั่นคงของผู้ชายดังขึ้นจากด้านหลังของประตู
ชายชราโค้งคำนับและเปิดประตูก่อนที่เขาจะเชิญให้โรแลนด์เข้าไป
โรแลนด์เข้ามายังห้องวิจัย เขาเห็นชายวัยกลางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ขาวและสวมชุดคลุมเวทย์สีเทาเปล่งประกาย
“ความสามารถทางภาษา?” อัลโด้ยืนขึ้นและมองไปยังโรแลนด์ด้วยความประหลาดใจ “คุณสามารถร่ายเวทย์นี้ได้อย่างสมบูรณ์งั้นเหรอ?”
โรแลนด์มึนงงเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “เวทย์นี้ยากมากงั้นเหรอ?”
โรแลนด์ได้ฝึกฝนมันมาร่วมเดือน เขารู้ดีว่ามันท้าทายแต่ถ้าดูจากท่าทางของอัลโด้แล้ว เวทย์นี้ดูยากกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก
“ใช่แน่นอน โปรดนั่งลงก่อน” อัลโด้สงบลงและนั่งลงด้วยเช่นกัน เขาสบตาโรแลนด์ด้วยความนับถือและยิ้มว่า “คุณบอกว่าคุณเป็นบุตรทองคำซึ่งเป็นที่โปรดปรานของเทพธิดาแห่งชีวิตและจะไม่แก่หรือตายใช่หรือไม่?”
“ฉันมั่นใจว่าฉันไม่มีทางตาย แต่ยังไม่มั่นใจเรื่องความแก่สักเท่าไหร่” โรแลนด์อธิบายออกมา
“แล้วอะไรทำให้คุณมาที่นี่ล่ะ?” อัลโด้พูดแบบติดตลกว่า “คุณไม่ได้มาเพื่อสร้างปัญหาใช่ไหม? ตระกูลยาโลวขัดแย้งกับบุตรทองคำสองคนเรื่องผู้หญิงและถูกบังคับให้ต้องหนีไปเมืองหลวง”
เพราะผู้หญิง! อัลโด้ก็ค่อนข้างเจ้าชู้เช่นกัน ดังนั้นความคิดเขาน่าจะถูกต้องแน่นอน
โรแลนด์ส่ายหน้าปฎิเสธออกมา “ไม่แน่นอน”
เขาได้ลองสังเกตเหล่าสาวใช้ในคฤหาสน์นี้ พวกเธอนั้นอยู่สุขสบาย แม้ฐานะของพวกเธอจะน่าอับอาย แต่อย่างน้อยพวกเธอก็สามารถอยู่อย่างอบอุ่นและอิ่มท้องได้
ในช่วงสองวันที่ผ่านมาโรแลนด์เห็นขอทานเป็นจำนวนมากซึ่งขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้า เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วพวกสาวใช้ราวกับอาศัยอยู่บนสวรรค์
แล้วคุณมีจุดประสงค์อะไรถึงมาที่นี่? ”อัลโด้จับคางของตนเองด้วยมือซ้ายและพูดว่า “ได้โปรดยกโทษให้กับความตรงไปตรงมาของข้า แต่ข้ายังมีอีกหลายสิ่งที่ต้อองทำ ข้าไม่อยากเสียเวลาโดยไร้ประโยชน์”
โรแลนด์ต้องยอมรับว่าท่าทางของอัลโด้นั้นทำให้เขาเป็นสุภาพบุรุษที่สง่างาม
โรแลนด์ยิ้มและพูดว่า “ฉันต้องการเข้าร่วมสมาคมนักเวทย์”
“อะไรนะ?” อัลโด้ตกตะลึง “คุณต้องการเข้าร่วมกับพวกเรางั้นเหรอ?”
โรแลนด์พยักหน้าด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นท่าทางของอัลโด้
“จริงจังงั้นเหรอ? คุณไม่ได้หลอกข้าใช่ไหม” อัลโด้ทุบโต๊ะและลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนเขาจะตื่นเต้นมาก
โรแลนด์รู้สึกประหลาดใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอัลโดถึงมีท่าทางเช่นนี้
“ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ” อัลโด้ตบไปที่ไหล่ของโรแลนด์ด้วยความตื่นเต้น “คุณรู้ไหมว่าฉันเป็นเพียงนักเวทย์อย่างเป็นทางการคนเดียวในเมืองเดลพอน? พวกนักเวทย์ฝึกหัดเหล่านั้นโง่เง่าอย่างไม่น่าเชื่อ พวกนั้นสามารถใช้ได้เพียงเวทย์ระดับศูนย์ บางคนสามารถเชี่ยวชาญเวทย์ระดับหนึ่งได้หนึ่งถึงสองบท แต่ก็แทบใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ พวกเขามีความรู้ทางทฤษฎีเวทย์น้อยมาก และไม่มีใครสักคนที่ข้าสามารถคุยด้วยได้”
“มันวิเศษมากที่คุณจะมาเข้าร่วมกับเรา”
อัลโด้จับมือโรแลนด์แน่นในขณะที่พูด เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
โรแลนด์ถึงกับหมดคำพูด การเข้าร่วมสมาคมนักเวทย์นั้นง่ายถึงเพียงนี้? ทำไมพวกยามที่หน้าหอคอยเวทย์และกลูถึงบอกว่ามันยากนัก? เขาคิดว่ามันอาจจะมีบททดสอบเพื่อเข้าร่วมเสียอีก
ถึงแม้ว่าหลายส่วนของวีดีโอจะถูกเบลอ แต่พวกเขาก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
การตอบกลับพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่โรแลนด์รีเฟรชหน้าจอ การตอบกลับก็จะถูกเลื่อนไปยังหน้าถัดไปเสมอ
“บ้าเอ้ย! ทำไมคนถ่ายถึงไม่ฆาตกรนั่นว่ะ?”
“อย่าว่าหมอนี่เลย เขายังไม่รู้ว่าฆาตกรคือใครด้วยซ้ำไม่ใช่เหรอ? นอกจากนี้อย่างน้อยเขาก็ช่วยชีวิตเด็กสาวไว้ได้ กระซิกๆ หมอนี่ใจกว้างจริงๆ สองเหรียญทองสามารถแลกเป็นเงินได้ว่าสองหมื่นแปดพันเหรียญ มันคุ้มค่าจริงๆเหรอที่จะใช้เงินขนาดนั้นเพื่อช่วย NPC?”
“ยังมีคนคิดว่าตัวละครภายในเกมเป็นแค่ NPC อยู่อีกเหรอ? พวกนายไม่รู้สึกถึงความแตกต่างของเทคโนโลยีระดับสูงอีกเหรอ?”
“ฮี่ฮี่ ผู้เล่นบางส่วนก็ยังโง่เง่า นี่มันก็ร่วมเดือนแล้วนะ แม้แต่คนที่โง่ที่สุดยังรู้ได้เลยว่ามันมีบางสิ่งต่างออกไป”
“เกมนี้มันอะไรกันเนี่ย? แคปซูลนั้นไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเรามั้ง?(ล้อเล่น) แต่ไม่ว่ายังไงคดีนี้ก็ต้องถูกตัดสิน ฉันจะช่วยสืบสวนเอง”
“โรแลนด์หาตัวฆาตกรให้เจอและฆ่ามันซะ แล้วเดี๋ยวฉันจะเปย์นายหนักๆเอง”
“น่าเสียดายที่ฉันอยู่ไกลจากเดลพอนเกินไป ไม่อย่างนั้นฉันก็คงจะไปช่วยแล้ว”
โรแลนด์ไล่อ่านคอมเมนต์ไปเรื่อยๆจนในที่สุดเขาก็พบกับข้อมูลที่เขาต้องการ
“ผมทำงานที่สำนักงานตำรวจมาร่วมสามสิบปี ผมเคยทำคดีเกี่ยวกับฆาตรกรรมมามากกว่าร้อยครั้ง นี่เป็นหมายเลขโซลเชียลของผม : 24xxxxxxx”
โรแลนด์รีบแอดเพื่อนเขาไปทันที เขายังออนไลน์อยู่ เขาถามมาว่า “โรแลนด์?”
“นั่นผมเอง”
“เข้าเรื่องเลยละกันนะ ผมดูวีดีโอของคุณมาสามรอบแล้ว แต่ผมไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุจริงดังนั้นผมจริงสามารถสรุปข้อมูลได้แค่สามอย่างเท่านั้น”
“อะไรบ้างครับ?”
“อย่างแรกคือถ้ำไม่ใช่สถานที่เกิดเหตุแต่เป็นแค่ที่ทิ้งศพเท่านั้น อย่างที่สองนี่น่าจะเป็นฆาตรกรต่อเนื่องจากประสบการณ์ของผมและจากสีของกระดูก คนๆนี้น่าจะฆ่าเด็กสาวทุกเดือน อย่างที่สามคุณจำเป็นต้องปกป้องเด็กสาวคนนั้น ผมคิดว่าเธอไม่น่าจะเห็นฆาตรกรแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย”
“ทำไมคุณถึงคิดว่าเด็กสาวไม่เห็นฆาตรกรล่ะ?”
“ตอนที่ฆาตกรรมน่าจะเป็นตอนที่ตะกร้าหล่น สถานที่มันค่อนข้างวุ่นวาย ผมมั่นใจกว่า 80% ว่าฆาตกรนั้นข่มขืนและถึงลงมือฆ่าเธอ ทว่ากลับไม่มีเสื้อผ้า , รอยเลือด หรือคราบน้ำอสุจิหลงเหลืออยู่ในวีดีโอที่คุณโพสต์เลยนั่นหมายความว่าฆาตรกรลงมือทำความสะอาดพื้นที่ก่อเหตุอย่างระมัดระวัง”
“ไม่มีทางที่จะตัวฆาตกรได้เลยเหรอครับ?” โรแลนด์ถามออกมา
“ถ้าเป็นทุกวันนี้ พวกเราสามารถเก็บคคราบน้ำเชื้อในร่างเด็กสาวเพื่อมาทดสอบพันธุกรรมของฆาตกรได้ แต่ว่ามันไม่ฐาน DNA อยู่ในโลกของเกม ถ้านายอยากจะหาตัวฆาตกร นายต้องเตรียมตัวสืบสวนระยะยาวได้เลย”
โรแลนด์รู้สึกหัวอุ่นเล็กน้อยเมื่อได้เห็นดังนั้น
จากนั้นชายคนนี้ก็ส่งข้อความมาเพิ่ม “แต่อย่างน้อยนายก็สามารถจำกัดกลุ่มของคนร้ายให้แคบลงได้ คนร้ายนั้นรอบคอบมาก เขาน่าจะเป็นคนใจเย็นและชื่นชอบในการสะสมเสื้อผ้า”
เข้าใจล่ะ!
โรแลนด์ขอบคุณเขา เขาก็ประหลาดใจเช่นเดียวกันที่ชายคนที่เล่นเกมเสมือนจริงคนนี้มีอายุค่อนข้างเยอะแล้ว ค่อนข้างประทับใจเลยทีเดียว
โรแลนด์ใจเย็นลงและเริ่มอ่านการตอบกลับอื่นๆ ความโกรธของเขายังไม่หายไปมันเพียงแค่ถูกฝังไว้ชั่วคราวเท่านั้น
หลังจากทานอาหารเช้า โรแลนด์ก็ไปฝึกยังสโมสรมวย
ฝึกไปได้สักระยะ โค้ชก็สั่งให้เขาหยุดและมองเขาด้วยท่าทีแปลกๆ “คุณดูหงุดหงิดเล็กน้อยอยู่นะวันนี้”
โรแลนด์เงียบไปสักพัก ก่อนจะถอดนวมออกและพูดว่า “มีบางอย่างเกิดขึ้นน่ะ”
“อย่าให้มันมารบกวนคุณเลย” โค้ชมองไปที่โรแลนด์และกล่าวว่า “คุณเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก ถ้าคุณฝึกต่อไปอีกสักสองเดือนผมคงไม่อาจเทียบคุณได้ ทว่าคนที่มีพรสวรรค์มักจะมีนิสัยมุทะลุ หนึ่งในสามของเพื่อนผม ติดคุกหนึ่ง , อีกคนยังคอยหาเรื่องต่อสู้ต่อไปเรื่อยๆ และสุดท้ายคือคนที่มีชีวิตที่สงบสุข
“ขอบคุณครับ” โรแลนด์พูดอย่างสุภาพ จากนั้นเขาก็ถามด้วยความสงสัยว่า “คุณเป็นแบบที่สาม?”
“ไม่ผมเป็นแบบแรก” โค้ชยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “นั่นเป็นเหตุผลรู้ดีว่าคนเรามีโอกาสเพียงแค่เล็กน้อยที่จะเปลี่ยนชีวิตหลังออกมาจากคุก แม้แต่ครอบครัวก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย หลานของผมพลาดการเป็นสัตวแพทย์เพราะความสัมพันธ์กับผม เขามีโอกาสที่ดีแท้ๆ!”
โค้ชดูโดดเดี่ยวภายใต้แสงไฟ “ผมรู้สึกเสียใจกับเขามาก”
“คนหนุ่มควรสุขุมให้มาก” โค้ชตบไหล่โรแลนด์และพูดว่า “บางครั้งความผิดพลาดอาจจะตามหลอกหลอนคุณไปทั้งชีวิต”
โรแลนด์ตกอยู่ในความเงียบ
เขากลับมายังบ้านในตอนบ่าย เขาเข้าไปเช็คเว็บบอร์ดและพบว่าเขาได้ทิปมาจำนวนมหาศาลจากผู้เล่นที่ขอให้เขาช่วยจัดการฆาตกร
โรแลนด์ยิ้มออกมาและเข้าเกมอีกครั้งเมื่อถึงสี่ทุ่ม
เขารออยู่หลายนาทีในโลกสีขาวดำ จากนั้นเวลาภายในเกมก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
โรแลนด์มองไปยังคู่สามีภรรยาที่ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความสุข เขาพูดกับเบทต้าว่า “นายจะต้องปกป้องเด็กสาวคนนั้นไปอีกสักวันสองวันเผื่อฆาตกรมันจะกลับมา นอกจากนี้เมื่อเธอตื่นขึ้นมาถามด้วยว่าเธอเห็นฆาตกรหรือไม่”
“ทำไมพี่ไม่มาปกป้องเด็กสาวแล้วให้ผมไปหาฆาตรกรล่ะครับ?”
“เพราะค่าเสน่ห์นายสูงกว่าพี่” และโรแลนด์ก็พูดต่อว่า “และค่าความฉลาดของพี่สูงกว่านาย”
เบทต้าหมดคำพูดไป
โรแลนด์ไม่ได้เริ่มสืบสวนทันทีหลังออกจากโบสถ์ไป กลับกันเขากลับไปยังแลมป์เกิร์ลและล็อคตัวเองเพื่อฝึกฝนความสามารถทางภาษา
เขามีอารมณ์หลากหลายหลังจากได้คุยกับโค้ช
เขาเหลือเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นเพื่อจะสามารถพิชิตความสามารถทางภาษาได้ เขารู้สึกว่ามันใกล้จะสำเร็จแล้ว
หลังจากพบเจอกับฉากฆาตรกรรมน่าสะอิดสะเอียน , ช่วยเด็กสาว และได้พูดคุยกับโค้ช เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าความสามารถของตัวเองเพิ่มขึ้น
มันไม่ใช่ทางร่างกาย แต่มันเป็นเกี่ยวกับที่เขาสามารถควบคุมความคิดและจิตใจของตัวเองได้
เขารู้สึกว่าตนเองควบคุมอารมณ์ได้ง่ายขึ้น
เขาฝึกฝนความสามารถทางภาษาซ้ำไปเรื่อยๆ โดยไม่ย่อท้อต่อความล้มเหลว เขาจะพักเมื่อเขาปวดหัวและเริ่มฝึกต่อเมื่อหายแล้ว
จากเช้าไปเที่ยง จากเที่ยงไปมืด เขาไม่ได้หยุดแม้แต่น้อย
เขาจดจ้องไปที่เวทมนตร์ของเขา
ในที่สุดเมื่อค่ำคืนกำลังจะหมดลง เขาสำเร็จในการร่ายความสามารถทางภาษาเป็นครั้งแรก
จุดเวทย์ทั้งสามสิบเจ็ดจุดต่างเชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์
“คุณได้เรียนรู้เวทย์ระดับสอง ‘ความสามารถทางภาษา’ EXP +445 เลื่อนระดับเป็น LV4”
เมื่ออ่านข้อความ โรแลนด์ก็ค่อยๆลุกขึ้นยืน
ในตอนแรกโรแลนด์ก็คิดว่ามันแพง แต่ว่าเขาก็รู้ว่าเขาคิดผิด
สองเหรียญสำหรับชีวิตถือว่าเป็นข้อตกลงที่ยุติธรรม เขามองว่ามันแพงเนื่องจากเขานำไปเทียบกับที่อื่น
ฟอลเคิลในเมืองเรดเมาน์เทนนั้นเป็นนักบวชของโบสถ์แห่งชีวิตเช่นเดียวกัน ทว่าเขาไม่เคยคิดค่ารักษาใดๆเลย
ฟอลเคิลนั้นบริการให้ฟรีและนักบวชคนนี้เรียกเก็บเงินสองเหรียญทอง ทำให้ดูเหมือนว่านักบวชคนนี้จะเป็นคนขี้โกง
แต่จริงๆแล้วนักบวชคนนี้ก็เสนอเพียงแค่ราคาทั่วไป มีผู้คนเพียงเล็กน้อยที่อาศัยอยู่ในเมืองเรดเมาน์เทนแต่กับเมืองเดลพอนนั้นมีประชากรนับล้านอาศัยอยู่ ถ้าเขารักษาฟรี นักบวชวัยกลางคนคนนี้คงตายเพราะโหมงานหนัก
บนแท่นบูชาบาดแผลของเด็กสาวก็เริ่มถูกรักษา เธอดูสุขภาพดีขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งลมหายใจของเธอยังสามารถได้ยินได้
เขาถอนหายใจออกมาจากนั้นเขาก็นำเหรียญทองสองเหรียญที่พึ่งได้รับมาและมอบมันให้กับนักบวช
เมื่อเห็นแบบนั้น ทหารก็กล่าวกับเบทต้าและโรแลนด์ดด้วยความนับถือว่า “คุณช่างใจดียิ่งนัก ข้าจะไปตามตาเฒ่าวินเซนต์มารับตัวลูกสาวของเขาไป”
หลังจากทหารออกไป โรแลนด์และเบทต้าก็นั่งลงบนเก้าอี้หินและหายใจอย่างหนัก พวกเขาล้ามากหลังจากวิ่งติดต่อกันเป็นเวลานานพวกเขาไม่อยากจะยืนขึ้นเสียด้วยซ้ำ
นักบวชวัยกลางคนนั้นมีผมสีน้ำตาลสั้นและไม่มีหนวดเครา เขาโยนเหรียญทองสองเหรียญไปมา เขาจ้องมองมาทางโรแลนด์และเบทต้าด้วยความสนใจและในท้ายที่สุดเขาก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มแปลกๆว่า “สองเหรียญทองเพื่อช่วยชีวิตจัณฑาลที่ไม่งดงามนัก คุณนี่ใจกว้างจริงๆ”
เบทต้าขมวดคิ้วเขาไม่พอใจที่ได้ยินแบบนั้น
ต่างจากเบทต้า โรแลนด์เคยทำงานมาเป็นปีและมีประสบการณ์ทางสังคมที่มากกว่า เขารู้ว่าคำพูดถากถางของนักบวชวัยกลางคนนั้นจริงๆแล้วเป็นคำชม
เขายิ้มไปที่นักบวชแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ทว่าเบทต้ากลับพูดออกมาด้วยความโกรธว่า “คุณสามารถช่วยชีวิตคนได้อีกมากมาย ทำไมคุณถึงเก็บค่ารักษาแพงขนาดนี้? คุณจะทอดทิ้งคนยากไร้ที่กำลังจะตายงั้นเหรอ? ทำไมโบสถ์แห่งชีวิตถึงต้องการเงินมากกว่าช่วยชีวิตคน?”
นักบวชมองไปยังเบทต้าด้วยรอยยิ้ม “ท่านโกรธข้าเหรอ นายน้อย”
เบทต้าต้องการจะพูดต่อ แต่โรแลนด์ก็ห้ามเขาไว้ “หยุดพูดได้แล้ว นายกำลังเข้าใจเขาผิดไป”
เบทต้านั้นเชื่อฟังโรแลนด์ ดังนั้นเขาจึงหยุดพูดแต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นด้วย
ชายวัยกลางคนมองเบทต้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าคงจะไม่พูดอะไรหากท่านเพียงแค่ถามคำถามข้า ทว่าเมื่อท่านสงสัยในความศรัทธาของข้า ข้าคงต้องขออธิบายสักหน่อย”
เบทต้าก็ยังคงโกรธอยู่เหมือนเดิม
“ข้าสามารถบอกได้ว่าท่านก็รู้เวทมนตร์เช่นเดียวกัน ดังนั้นท่านน่าจะรู้ดีเกี่ยวกับเวลาของการร่ายเวทย์ สำหรับข้า ข้าสามารถร่ายการรักษาขั้นสูงได้ทั้งหมดหกครั้งเหมือนที่ข้าพึ่งร่ายไปก่อนหน้าในทุกๆสามชั่วโมง ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าข้าสามารถทำแบบนั้นได้แปดครั้งต่อวันนั่นรวมถึงถ้าข้าไม่ได้หลับด้วยละนะ”
เบทต้าขมวดคิ้วและพูดว่า “แต่อย่างน้อยคุณก็สามารถช่วยคนแปดคนได้แทนที่จะปฏิเสธคนธรรมดาด้วยรักษาที่แพงหูฉี่
ได้อาศัยอยู่ในเมืองเรดเมาน์เทนมานานกว่าเดือน เบทต้าจึงรู้ว่าครอบครัวธรรมดาไม่สามารถแม้กระทั่งเก็บเงินได้หนึ่งเหรียญทองตลอดทั้งปี
นั่นหมายถึงสองเหรียญทองนั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถจับต้องได้ ถ้าพวกเขาเกิดต้องการรักษาจริงๆ มันไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะสามารถจ่ายเงินค่ารักษาได้
“นั่นเป็นเหตุผลที่ท่านยังเป็นนายน้อยอยู่ไงล่ะ” นักบวชวัยกลางคนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มแปลกๆ “ท่านอาจจะเป็นคนใจดี แต่ท่านซื่อตรงเกินไป”
เบทต้ายิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้น และสงสัยว่านักบวชคนนี้จะแก้ตัวยังไง
ในขณะที่โรแลนด์ก็ยังเดาไม่ออกเช่นกันว่าเขาจะพูดอะไรออกมา
“จริงอยู่ที่สามัญชนทั้งหลายจะขอบคุณข้าถ้าข้าช่วยพวกเขาแบบฟรีๆ แต่ผู้คนมากมายจะถูกฆ่าทางอ้อม” นักบวชพูดออกมาอย่างเรียบง่าย
เบทต้าจึงพูดสบประมาทเขาขึ้นมา “จะเป็นไปได้ยังไง?”
“โบสถ์แห่งชีวิตนั้นมีการแจกจ่ายอาหารให้ผู้ยากไร้อยู่ทุกวัน สามารถพูดได้เลยว่าถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากพวกเราพวกเขาจะตาย” นักบวชพูดออกมาและวางตัวเป็นผู้มีพระคุณ “แล้วเงินค่าอาหารพวกนั้นมาจากไหนกันละ? จากขุนนางอย่างพวกท่านไง”
เบทต้ากำลังจะแย้งว่าตนเองไม่ใช่ขุนนาง แต่เมื่อเขานึกถึงตัวตนในฐานะขุนนางผู้สูงศักดิ์เขาก็ไม่ได้แย้งออกไปแต่พูดออกไปว่า “แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะสามารถรักษาสามัญชนในราคาที่ถูกลงได้”
โรแลนด์ถอนหายใจออกมา เมื่อเห็นว่าเบทต้าไม่เข้าในสิ่งที่นักบวชต้องการจะสื่อ
นักบวชชายก็หัวเราะออกมา “หากข้าใช้เวทย์ของข้าทั้งหมดไปกับสามัญชน แล้วเราจะหาเงินได้จากไหนละ? นอกจากนี้ขุนนางยังยึดในศักดิ์ศรีและระยะห่าง ถ้าข้ารักษาสามัญชนแบบฟรีๆ พวกเขาจะไม่มายังโบสถ์แห่งนี้ เพราะพวกเขาจะคิดว่าสามัญชนอยู่เหนือกว่าพวกเขา หากไม่มีขุนงานและเงินของพวกเขานั้น พวกเราจะไม่สามารถหาอาหารให้พวกเราเองได้ แล้วพวกเราจะช่วยคนยากไร้ได้อย่างไร?”
เบทต้าอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่เขาก็เงียบไป
เขาไม่รู้ว่าจะโต้แย้งอะไรได้อีก
นักบวชมองไปที่เบทต้าด้วยรอยยิ้มจางๆ “ข้าไม่ขอให้ท่านเข้าใจข้า ทว่าโปรดอย่าสงสัยความศรัทธาของข้า ความกรุณาของเทพธิดาแห่งชีวิตนั้นมีมอบให้แก่ทุกคน พักที่นี่เสียเถิด นานๆทีข้าถึงจะได้พบเห็นขุนนางที่จิตใจดีเช่นท่าน”
นักบวชจากไปเมื่อพูดจบ
เบทต้าตกอยู่ในห้วยงความคิด เขาพึ่งอายุสิบแปดปีและยังเป็นนักเรียนอยู่ จริงๆแล้วเขายังไม่เคยเจอสภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกแบบนี้
โรแลนด์ไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาแค่นักพักอยู่เฉยๆเพียงเท่านั้น
มันน่าจะดีกว่าที่ให้เบทต้าได้รับบทเรียนจาก NPC ภายในเกม มากกว่ากับคนจริงในความเป็นจริง
ทันใดนั้นเอง ก็มีกลุ่มคนมายังโบสถ์ มีชายหลายคนอยู่ในเสื้อเก่าๆพุ่งเข้ามา พวกเขาดูดีใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นเด็กสาวบนแท่นบูชา
จากนั้นเวลาก็ถูกหยุดลงอีกครั้ง หมดเวลาสำหรับวันนี้แล้ว
เหมือนเช่นเคย โรแลนด์ไปอาบน้ำหลังออกจากแคปซูล เขาเปิดเว็บบอร์ดและอัปโหลดวีดีโอที่เขาได้บันทึกไว้ก่อนหน้า ด้วยหัวข้อกระทู้ว่า “ต้องการนิติวิทยาศาสตร์หรือตำรวจเพื่อค้นหาเบาะแส” วีดีโอดังกล่าวเกี่ยวกับศพในถ้ำ
แน่นอนว่าอวัยวะส่วนบุคคลของเหยื่อถูกเซ็นเซอร์เอาไว้
เขาช่วยเด็กสาวไว้ได้และจบภารกิจแล้ว แต่โรแลนด์กลับคิดว่ามันยังไม่จบ
เขาต้องการที่จะเปิดเผยเบื้องหลังของการฆาตรกรรม
ไม่ถึงสิบนาที กระทู้ก็ถูกปักหมุดไว้และการตอบกลับก็ทะยานขึ้นสูง
ข้อความตอบกลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
เสียงเหยียบใบไม้ดังไปทั่วป่า เบทต้าแบกร่างของเด็กสาวไว้ ทว่าเขาก็ยังคงวิ่งเร็วยิ่งกว่าโรแลนด์ที่มือเปล่า
ถ้าโรแลนด์ไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่ บางทีเขาอาจจะถูกทิ้งไว้อยู่ด้านหลัง
ถึงอย่างนั้นเมื่อพวกเขาออกจากป่า เบทต้าก็ห่างนำหน้าเขาร่วมร้อยเมตร
อย่างไรก็ตามเบทต้าก็หยุดและหอบหายใจอย่างหนักเมื่อเขามาถึงยังเมือง เพราะเคอร์ฟิวทำให้เขาไม่สามารถเข้าไปในเมืองได้
ไม่นานนักโรแลนด์ก็ตามมาทัน เขาไม่มีแม้กระทั่งเวลาปาดเหงื่อ เขาลองแตะไปที่จมูกของเด็กสาวและยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจแผ่วเบา เขาขวมดคิ้วเมื่อเห็นประตูปิดอยู่
“ประตู….ไม่เปิด!” เบทต้าหอบหายใจอย่างหนักและพูดว่า “พวกเราควรทำยังไงกันดี?”
เขาสามารถรู้ได้เช่นกันว่าเด็กสาวกำลังจะตาย ยิ่งเธอได้รับการรักษาเร็วเท่าไหร่เธอก็จะยิ่งมีโอกาสรอดมากขึ้นเท่านั้น
ทหารบนกำแพงเมืองมองมาที่เบทต้าและโรแลนด์อย่างกังวล
มีนัดเดินทางที่พลาดที่จะเข้าเมืองในทุกวัน แต่พวกเขามองไปยังชายหนุ่มทั้งสองซึ่งดูเหมือนจะเป็นพวกมีอำนาจด้วยความประหลาดใจ โดยสงสัยว่าทำไมหนึ่งในพวกนั้นถึงแบกเด็กสาวร่างเปลือยไว้อยู่
พวกเขานั้นพอจะคาดเดาได้ แต่ทว่าไม่มีใครแสดงตัวและรักความยุติธรรมขนาดนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงกรอกตาราวกับไม่เห็นอะไร
“เปิดประตูซะ” โรแลนด์ตะโกนใส่พวกทหาร “พวกเรามีเด็กสาวที่ใกล้ตายต้องการการรักษาด่วน!”
พวกทหารนั้นเห็นเด็กสาวที่อยู่ในแขนเบทต้า ทว่าพวกเขาก็มองหน้ากันและส่ายหัวออกมาโดยไม่พูดอะไร
“เธอตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตจริงๆ ฉันรู้ว่าพวกนายมีกฎ แต่พวกนายยกเว้นให้หน่อยได้ไหม? อย่างน้อยแค่เปิดช่องเล็กๆให้พวกเราสักคนพาเด็กสาวเข้าไปก็พอ”
โรแลนด์ตะโกนออกมา ทว่าพวกทหารก็ไม่ขยับ
พวกพ่อค้าและนักเดินทางที่อยู่ด้านนอกต่างโล่งใจ
ขุนนางสองคนที่พยายามจะช่วยเด็กสาวไม่น่าจะใช่คนเลว
ไม่มีการตอบกลับใดๆจากทหารที่อยู่ด้านบน โรแลนด์รู้สึกอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น
เบทต้ามองไปที่เด็กสาวในอ้อมแขนและเสนอว่า “ทำไมพวกเราไม่พังมันเข้าไปล่ะครับ?”
เสียงของเขาไม่ได้ดังนัก ทว่าตอนนี้มันเป็นคืนที่เงียบสงบ
พวกทหารต่างเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็วและเอื้อมมือไปจับอาวุธ
แต่ทว่า เมื่อผู้พูดนั้นดูเหมือนจะเป็นขุนนาง พวกเขาก็ไม่กล้าทำจริงๆ
ถ้าเป็นพ่อค้าหรือนักเดินทางที่ทำเช่นนี้ ผลลัพธ์คงจะต่างกัน
มีโอกาสที่พวกเขาจะตายโดยลูกศร
“ลองดูอีกครั้งกันเถอะ” โรแลนด์กล่าวออกมา ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นถึงสิ่งที่กลูเคยพูด ดังนั้นเขาจึงตะโกนออกไป “พวกเราเป็นบุตรทองคำ และตอนนี้พวกเราพยายามจะช่วยเหลือคน พวกนายน่าจะรู้ดีว่าบุตรทองคำสองคนก่อนหน้าทำอะไรไปบ้างไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่อยากให้พวกเราเป็นศัตรูของนาย เปิดประตูซะ ถ้าพวกนายไม่สามารถตัดสินใจได้แจ้งหัวหน้าพวกนายซะ ฉันรู้ว่าหัวหน้าพวกนายอยู่ด้วย”
บุตรทองคำ!
พวกทหารมองหน้ากันด้วยความสับสน ในฐานะทหารพวกเขาย่อมรู้ถึงความขัดแย้งระหว่างบุตรทองคำสองคนและขุนนางผู้มีอำนาจเมื่อเดือนก่อน
พวกเขาไม่กล้ายั่วยุสัตว์ประหลาดที่สามารถคืนชีพได้
“ฉันจะให้เวลาพวกนายห้านาที พวกเราจะบุกเข้าไปหากไม่ได้รับการตอบกลับภายในห้านาที และอย่าหาว่าเราโหดร้ายละกัน!”
บอลแสงทั้งสี่ลอยอยู่รอบตัวโรแลนด์ ทว่าเพื่อกดดันให้หนักขึ้น เขาร่ายบอลเพลิงขึ้นในใจจากนั้นก็ปาบอลเพลิงสีฟ้าไปยังพื้นที่ว่างเปล่าด้านหลังเขา
ภายใต้สายตาของทุกคนที่จับจ้อง บอลเพลิงลอยไปกว่าร้อยเมตรและระเบิดออก
มันเหลือทิ้งไว้เพียงหลุมที่ลึกกว่าสองเมตร และเพลิงที่ยังคงเผาไหม้อยู่บนพื้น
มันรุนแรงมากพอที่จะเป่าประตูเมือง
ทุกคนต่างเหงื่อไหลออกมาเมื่อเห็นสิ่งนี้ เวทมนตร์นั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากสำหรับพวกเขา
ทันใดนั้นเอง หัวหน้าทหารก็ปรากฏตัวออกมาบนกำแพง เขามองไปยังโรแลนด์และเบทต้าด้วยท่าทางเย็นชา “พวกคุณจะพิสูจน์ยังไงว่าพวกคุณคือบุตรทองคำ?”
“พวกเราควรตายเพื่อนายสักครั้งหนึ่งมั้ยล่ะ?” โรแลนด์ยิ้มเยาะและพูดว่า “แน่นอนสิ่งแรกที่พวกเราจะทำหลังจากคืนชีพคือฆ่าแกทิ้งซะ ชีวิตของแกจะเป็นของฉัน ฟังดูเป็นไง?”
หัวหน้าทหารหนุ่มรู้สึกปวดหัว มีเพียงพวกบ้าเท่านั้นที่จะแลกชีวิตของตัวเองกับสัตว์ประหลาดที่ไม่มีวันตาย
“อ่า พวกคุณสามารถเข้ามาได้!” หัวหน้าทหารตะโกนไปยังเหล่าทหาร “เปิดช่องสำหรับพวกเขา นอกจากนี้เตรียมธนูไว้ให้พร้อม หากมีใครยกเว้นบุตรทองคำทั้งสองนี้เข้ามาฆ่ามันทิ้งซะ!”
ทั้งโรแลนด์และเบทต้าก็โล่งใจเมื่อได้ยินแบบนั้น
ไม่นานนักประตูเมืองก็ส่งเสียงดังขึ้นและมีช่องว่างเปิดออก โรแลนด์และเบทต้าพุ่งเข้าไป โรแลนด์คว้าทหารไว้นายหนึ่งและถามว่า “โบสถ์แห่งชีวิตอยู่ที่ไหน?”
“ในทางตะวันออกเฉียงเหนือ” ทหารพูดออกมา เขามองไปยังเด็กสาวในอ้อมแขนของเบทต้าและพูดว่า “นั้นลิซ่าไม่ใช่เหรอลูกสาวของตาแก่วินเซนต์? เกิดอะไรขึ้นกับเธอ? ช่างมันผมจะนำทางคุณไปเอง”
จากนั้นทหารคนนั้นก็วางอาวุธลงและเริ่มวิ่ง
เบทต้าและโรแลนด์ตามเขาไป
เขาหันไปพูดกับเพื่อนของตัวเองอย่างเร่งรีบว่า “นายปิดประตูไปนะ ฉันจะรีบพาพวกเขาไปยังโบสถ์แห่งชีวิต”
เพราะเคอร์ฟิวทำให้มีคนอยู่บนถนนเพียงเล็กน้อย แต่ก็สามารถพบเห็นเกวียนขุนนางได้บ้าง
ขุนนางไม่ได้ถูกจำกัดโดยเคอร์ฟิว
พวกเขาทั้งสามวิ่งอย่างรวดเร็ว ฝีเท้าของพวกเขาเสียงเหมือนกับฝนที่ตกลงบนถนน
สิบนาทีให้หลัง พวกเขาก็มาถึงโบสถ์ขนาดใหญ่
ประตูสีน้ำตาลถูกปิดอยู่ แต่แสงเทียนก็รั่วไหลออกมาจากช่องใต้ประตู
ทหารทุบไปยังประตูและโรแลนด์ก็ทำเช่นเดียวกัน
เบทต้าลองทดสอบลมหายใจของเด็กสาวและตะโกนออกมาก “เธอไม่หายใจแล้ว แต่ตัวยังอุ่นอยู่”
บ้าเอ้ย!
ด้วยความกังวล โรแลนด์คิดจะยิงบอลเพลิงนรกเพื่อทำลายประตู และมันก็เปิดออกในที่สุด
นักบวชชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาวเปิดประตูออกมาอย่างบึ้งตึง เขากำลังจะระบายความโกรธออกมา ทว่าความโกรธของเขาก็หายไปเมื่อเห็นเด็กสาวที่กำลังจะตายในอ้อมแขนของเบทต้า เขาโบกมือและตะโกนออกมาว่า “เข้ามา!”
พวกเขาเข้าไปในโบสถ์ ชายนักบวชวัยกลางคนตะโกนออกมา “วางเธอลงที่แท่นบูชาซะ”
พวกเขาทำตามคำสั่ง เบทต้าวางเด็กสาวลงบนโต๊ะตรงกลางโถงสวดมนตร์
ชายวัยกลางคนรีบร่ายเวทย์อย่างรวดเร็วต่อหน้าโต๊ะ
บอลแสงสีเขียวปรากฏตรงหน้าเขาก่อนที่มันจะค่อยๆจมลงไปในร่างเด็กสาว
แผลที่ถูกแทงของเด็กสาวหายไปจากการรักษา ใบหน้าของเธอกลายเป็นสีอมมพูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
จากนั้นชายวัยกลางคนก็หันกลับมาและยื่นมือไปหาเบทต้า “ขอบคุณที่ใช้บริการ ทั้งหมดสองเหรียญทอง”
เชี้ยเอ้ย! โคตรแพง?
โรแลนด์คิดในใจ
ตามหลักแล้ว ถ้ามีสัตว์อสูรดุร้ายอยู่ใกล้เมืองมันมักจะโดนกำจัดไปแล้ว
แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าบางตัวอาจจะโผล่มาเพราะหลงหรือหิวโหย
ในกรณีนี้ เด็กสาวที่หายตัวไปคงจะไม่ได้พบจุดจบที่ดีนัก
กลางคืนมาถึงอีกครั้ง โรแลนด์อัญเชิญบอลแสงสี่ลูก ทว่าพวกเขาไม่พบอะไรเลยหลังสำรวจอยู่สักพัก
โรแลนด์แนะนำว่า “ทำไมพวกเราไม่ลองแยกกันดูล่ะ?” ที่นี่มันค่อนข้างกว้างมาก ด้วยการมองเห็นในที่มืดของนาย นายน่าจะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ไม่ว่าพวกเราจะเจอเด็กสาวที่หายไปหรือไม่ให้พวกเรารวมตัวกันที่หน้าประตูเมืองโอเคไหม”
“ครับ…” เบทต้าค่อนข้างลังเลแต่ท้ายที่สุดเขาก็พยักหน้าออกมา
จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็แยกกัน
ที่นี่นั้นเงียบแต่ก็ยังมีเสียงน่ากลัวดังอยู่เรื่อยๆจากนั้นหลังจากที่พวกเขาแยกกันมันก็ยิ่งเงียบงันและน่าขนลุกยิ่งขึ้น
ในรัศมีสามสิบเมตรรอบๆบอลแสงนั้นสว่างราวกับกลางวัน ทว่าห่างออกไปนั้นมืดสนิท
มันมืดสนิทราวกับจะมีอะไรพุ่งออกมาได้ตลอดเวลา
เสียงกรอบแกรบดังขึ้นทุกครั้งที่โรแลนด์เหยียบลงบนใบไม้แห้ง เสียงที่เบาที่สุดในตอนกลางวันยังสามารถได้ยินชัดเจนได้ในตอนนี้
โรแลนด์ค่อนข้างกลัวสภาพแวดล้อมแบบนี้เช่นกัน แต่เขาก็กัดฟันและมองหาทางไปต่อ
หลังจากผ่านไปยาวนาน เขาก็พบเข้ากับรอยเท้า
บนใบไม้แห้ง มีรอยเดินเท้าไปยังด้านหน้า
โรแลนด์รู้สึกดีใจมากที่เขาพบเข้ากับรอยเท้า
ห้านาทีให้หลัง เขาก็พบเข้ากับสถานที่ที่ใบไม้ดูระเกะระกะ มีตระก้าสีเทาหล่นอยู่และมีเห็ดสีขาวกระจายเต็มไปหมด
บนใบไม้แห้งมีรอยดินถูกลากไปยังส่วนลึกของความมืด
โรแลนด์วิ่งออกไปด้วยความเสียใจ
สิบนาทีต่อมาเขาก็พบเข้ากับถ้ำที่อยู่ตีนเขา
รอยลากมาหยุดที่ถ้ำแห่งนี้
โรแลนด์แทบจะไม่อยากเข้าใกล้ถ้ำเมื่อเขาพบว่ามันมีกลิ่นเหม็นรุนแรง
มันมีกลิ่นปลาผสมปนเปไปกับกลิ่นขี้แพะ
โรแลนด์ส่งบอลแสงลอยเข้าไปเพื่อสำรวจขนาดของถ้ำและพบว่ามันลึกมาก
ฉันควรเข้าไปคนเดียวดีไหม? โรแลนด์คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็รวมบอลแสงให้เป็นลูกเดียวจากนั้นยิงมันขึ้นฟ้าและระเบิดเหมือนกับพลุ
ท้องฟ้าที่มืดมิดส่องสว่างออกมาราวๆสามวิก่อนที่มันจะกลายเป็นเส้นแสงตกลงมาราวกับสายฝน
โรแลนด์เรียกบอลแสงสี่ลูกขึ้นมาอีกครั้ง
สี่นาทีต่อมาเขาก็ยิงบอลแสงอีกรอบ
จากนั้นเขาก็ทำซ้ำต่อไปเรื่อยๆ
ไม่นานนักเบทต้าก็มาถึงพร้อมหอบอย่างหนัก
“พี่โรแลนด์ พี่เป็นคนจุดพลุแสงเองเหรอครับ!” เบทต้าหายใจเข้าอย่างรวดเร็วและพูดว่า “พี่เจออะไรเหรอครับ?”
โรแลนด์พยักหน้าและพูดว่า “พี่เจอตะกร้าและก็เห็ด นอกจากนี้ยังมีรอยลากไปทางถ้ำด้วย”
ดวงตาของเบทต้าเป็นประกาย “ที่นี่แน่นอนครับ ในฐานะครึ่งนักรบ ผมจะนำเอง ส่วนพี่โรแลนด์ก็คอยใช้เวทย์เพื่อควบคุมศัตรูเหมือนเดิมนะครับ”
เบทต้าดึงดาบยาวออกมาจากกระเป๋ามิติและเดินเข้าไปในถ้ำ
โรแลนด์เดินตามเข้าไป
กลิ่นเหม็นรุนแรงมากขึ้นเมื่อพวกเขาเข้าไปในถ้ำ
ทั้งสองใช้มือข้างหนึ่งปิดจมูกโดยทันที
ถ้ำนั้นชื้นและมีน้ำเกาะอยู่เต็มผนัง
ภายในถ้ำนั้นสูงกว่าสองเมตร พวกเขาสามารถเดินได้โดยไม่ต้องก้มหัวลง นอกจากนี้ยังกว้างพอที่จะเดินข้างกันไป
บอลแสงลอยนำหน้าไปและส่องแสงทางเดินให้พวกเขา
ถ้ำนั้นลาดชัน ความกังวลของพวกเขาเพิ่มมากขึ้น แต่พวกเขาก็ยังไม่พบอันตรายใดๆก่อนที่พวกเขาจะไปถึงยังท้ายถ้ำ
มุมมองของพวกเขากว้างขึ้น และพวกเขาก็มองเห็นพื้นที่ใต้ดิน
“ทำไมที่นี่ถึงไม่มีอะไรเลย?” เบทต้าถามออกมาด้วยความสับสน
พื้นที่นั้นไม่ได้กว้างนัก ไม่ว่าใครก็สามารถเห็นทุกๆอย่างได้เพียงแค่มองแบบผ่านๆ
ไม่มีอะไรเลยนอกจากโคลนสีน้ำตาล
“นอกจากนี้ เหมือนกลิ่นเหม็นที่นี่จะอ่อนลงด้วย” โรแลนด์พูดออกมา “ลองค้นหาที่นี่ดู บางทีอาจจะมีประตูลับหรือบางอย่างอยู่”
พวกเขาทั้งคู่ค้นหาอยู่ครู่หนึ่งและเบทต้าก็พูดขึ้นมาว่า “พี่โรแลนด์ดูนี่สิ!”
โรแลนด์เดินไปและมองไปยังจุดที่เบทต้าชี้
โคลนตรงนี้ก็ดูธรรมดาทั่วไป แต่ว่ามันดูจะค่อนข้างใหม่กว่าโคลนที่อยู่รอบๆ
ภายใต้สถานการณ์ปกติความแตกต่างเล็กๆน้อยๆอาจจะถูกเมินไปได้ ทว่าโรแลนด์และเบทต้านั้นกำลังค้นหาประตูลับกันอยู่ดังนั้นมันจึงง่ายมากที่พวกเขาจะสังเกตุเห็นสิ่งที่ผิดปกติ
แขนเวทย์ทั้งสองถูกเรียกออกมาและเริ่มขุดเข้าไปในโคลน
“มีบางอย่างผิดปกติชัดเจนเลย” โรแลนด์ควบคุมแขนเวทย์และพูดว่า “โคลนตรงนี้อ่อนกว่าปกติ”
เบทต้าก้าวไปข้างหน้าเพื่อพร้อมที่จะสู้
ไม่นานนัก โรแลนด์ก็ขุดผ่านผนังและหลุมสีดำก็ปรากฏต่อหน้าพวกเขา กลิ่นน่ารังเกียจกระจายอยู่รอบตัวพวกเขา
โรแลนด์ขยายหลุมนั้นด้วยแขนเวทย์และเคลื่อนบอลแสงไปด้านใน
จากนั้นทั้งคู่ก็หน้าซีด
ศพจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ด้านใน
ศพส่วนมากนั้นเป็นซากกระดูกแห้งๆ ทว่ามีสองศพที่ยังคงสภาพมนุษย์อยู่
ทั้งสองต่างเป็นผู้หญิงร่างเปลือย
หนึ่งในพวกนั้นเน่าเปื่อยและเต็มไปด้วยหนอนจำนวนมากกำลังเลื้อยอยู่ในเนื้อของเธอ
ส่วนอีกศพมีบาดแผลถูกแทงที่หน้าอกด้านซ้าย แต่เลือดนั้นแห้งไปหมดแล้ว
โรแลนด์และเบทต้าตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เชี้ยเอ้ย!
เบทต้าอ้าปากค้าง ทันใดนั้นเขาก็นั่งยองและอ้วกออกมา
โรแลนด์กำหมัดแน่น เขาก็รู้สึกอยากอาเจียนเช่นกัน ทว่าเขาก็กลั้นมันไว้ได้
ใบหน้าของเขาตึงเครียด เขาเดินเข้าไปและสังเกตศพที่พึ่งตายของเด็กสาว
นี่น่าจะเป็นเป้าหมายที่พวกเขามองหา เพราะเธอนั้นถูกเน้นให้เด่นโดยระบบ
พวกเรามาช้าเกินไป! โรแลนด์ทั้งรู้สึกโกรธและสิ้นหวัง บางทีเด็กสาวอาจจะตายตั้งแต่พวกเขารับภารกิจแล้วก็ได้
ทันใดนั้นการแจ้งเตือนก็ดังขึ้นมาอย่างกระทันหัน
ภารกิจสำเร็จ EXP +184
ใครมันจะไปสนใจภารกิจกันหะตอนนี้!
โรแลนด์สาปแช่งอยู่ในใจ เขาถอดเสื้อคลุมเวทย์ออกและนำมันมาคลุมร่างเด็กสาว เขากำลังคิดว่าจะฝังร่างเด็กสาวไว้ที่ไหนดี ทันใดนั้นเขาก็สังเกตว่าเด็กสาวยังตัวอุ่นอยู่และร่างกายยังไม่แข็ง
ตามจริงแล้ว ร่างกายของเธอควรจะแข็งทื่อและตายไปนานแล้ว!
บางทีเธออาจจะ….
โรแลนด์นำนิ้วมือมาวางไว้ตรงจมูกของเด็กสาว จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่อ่อนแรง
เชี้ย
โรแลนด์ตะโกนและอุ้มเด็กสาวขึ้นมาอย่างระวังแต่รวดเร็ว เขารีบออกไปจากห้องลับนี้ และพบว่าเบทต้ายังคงปิดปากอยู่ เขาเตะไปยังชายหนุ่มทันที
โรแลนด์ตะโกนออกมา “นายทำอะไรอยู่? รีบแบกเธอเร็ว! เธอยังมีชีวิตอยู่! นายแข็งแกร่งและรวดเร็วเนื่องจากเป็นนักรบครึ่งหนึ่ง! รีบพาเธอกลับไปเมืองและหาหมอซะ!”
จริงๆแล้วมันดูเหมือนง่ายแต่มันยาก
บางคนสามารถมีหาเงินกว่าสิบล้านได้ง่ายๆ ทว่าบางคนกว่าจะเก็บเงินได้สักล้านอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิต ช่องว่างของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน
สำหรับคนธรรมดาเวทมนตร์นั้นทั้งลึกลับและซับซ้อน พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะฝันว่าเข้าใกล้พวกมัน นั่นจึงเป็รผลว่าทำไมทั่วทั้งเมืองถึงดูสกปรกยกเว้นแต่เพียงตรงจตุรัสใกล้หอคอยเวทย์
“ถ้าท่านต้องการที่อยู่ของท่านอัลโด้ ข้าสามารถวาดแผนที่คร่าวๆให้ท่านได้” กลูพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนี้ท่านอัลโด้นั้นชื่นชมในสตรีเป็นอย่างมาก ถ้าหากท่านนำทาสที่งดงามไปกับท่าน ท่านจะยิ่งมีโอกาสได้พบเขาสูงขึ้น”
ทาส?
โรแลนด์นั้นจะไปพบอัลโด้ แน่นอนว่าไม่มีทาสไปด้วย เขาพูดตอบกลูไปว่า “ขอบคุณสำหรับข้อมูล ฉันต้องจ่ายค่าข้อมูลรึเปล่า?”
“ไม่เป็นไรขอรับ มันเป็นเกรียติของข้าที่ได้รับใช้ท่าน” กลูโบกมือของเขาอย่างนอบน้อม “ข้าหวังเพียงว่าท่านจะสามารถจดจำคนไร้เกรียติอย่างข้าได้เมื่อท่านแข็งแกร่งขึ้น”
“ขอบคุณ” โรแลนด์ยืนขึ้นแต่ไม่ได้ให้สัญญาใดๆตอบกลับ
เขานั้นจะแข็งแกร่งอย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไรผู้เล่นก็ไม่มีวันตาย ทว่าเขาให้สัญญาไม่ได้ว่าเมื่อเขามีชื่อเสียงเขาจะจำชายหน้าหนวดนี่ได้
เพราะถึงอย่างไรกลูก็ดูต่างจากคนอื่นๆแค่เล็กน้อย
ดังนั้นโรแลนด์จึงทำแค่เพียงขอบคุณอย่างจริงใจเท่านั้น
กลูมองเขาด้วยท่าทางแปลกๆ
โรแลนด์กลับไปยังแลมป์เกิร์ล เพราะเขาคิดว่าความสามารถทางภาษาของเขาใกล้หมดลงแล้ว
ในช่วงเดือนที่ผ่านมาเขานั้นเรียนรู้ศัพท์พื้นฐานของฮอลเลวินซึ่งเป็นประเทศที่เขาอยู่ในตอนนี้ ทว่าเขานั้นก็ยังคงไม่เข้าใจศัพท์เฉพาะหรือพวกคำที่ซับซ้อนได้ เนื่องจากตำแหน่งที่ใหญ่โตในสมาคมนักเวทย์ของอัลโด้ เขาจะต้องเป็นชายที่มีความสามารถและความรู้ โรแลนด์ไม่อยากจะทำตัวหยาบคายเมื่อเขาไปพบเขา
เขาเดินผ่านโสเภณีที่ทรงเสน่ห์ทั้งหลาย และตรงเข้าไปยังห้องของเขา
เมื่อโรแลนด์เข้าไป ก็มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งมองไปยังห้องของเขาและหยอกล้อกันเอง ผู้หญิงสวยๆถูกผลักออกไป ทว่าเธอก็หัวเราะและกระโดดกลับไปและเล่นสนุกกับเพื่อนๆของเธอ
โรแลนด์ฝึกความสามารถทางภาษาในห้องของเขา
ถึงแม้ว่าเขาจะต้องเรียนการทำสมาธิก่อนเพื่อให้เขาสามารถใช้เวทย์ที่เหนือกว่าระดับของตัวเองได้ แต่มันก็ไม่ผิดอะไรที่เขาจะพยายามเชื่อมต่อจุดเวทย์
หัวของเขาเริ่มเจ็บอีกครั้ง โรแลนด์พักอยู่ครู่หนึ่งและเริ่มฝึกต่อ
โดยไม่สังเกต รุ่งเช้าก็มาถึงอีกครั้ง มีบางคนเคาะประตู
โรแลนด์เปิดประตูและพบว่านั่นคือเบทต้า
หน้าเขาแดงไปด้วยความอับอาย หลังจากเขาเข้ามาในห้อง เขามองไปรอบๆและก็ไม่พบผู้หญิง ในที่สุดเขาก็เริ่มคลายกังวล
โรแลนด์พูดพร้อมรอยยิ้มบนหน้า “นายโดนผู้หญิงในชั้นแรกล่ามาเหรอ?”
ความอับอายกลืนกินทั่วทั้งตัวของเบทต้าอีกครั้ง “ไม่ครับ ไม่มีอะไรอย่างนั้น”
โรแลนด์รู้ว่าเขาน่าจะคิดถูก เขาหัวเราะออกมา “นายควรจะเลือกที่นัดให้ดีกว่านี้นะ”
“ผมจะไปรู้ได้ยังไงกันครับ…” เบทต้าพูดเสียงเบา “….ว่าโรงแรมจะเป็นแบบนี้”
หลังจากแกล้งเบทต้าจนพอใจ โรแลนด์ก็ถามออกมา “นายเจอข้อมูลอะไรที่มีประโยชน์รึเปล่า”
“ผมได้เควสมาสองเควสครับ ผมจะแชร์กับพี่นะ” เบทต้าค่อนข้างดูมีความสุข “พวกมันทั้งคู่เป็นเควสสีเขียว”
หมอนี่โชคดีชะมัดเขาหาเงินและเควสได้อย่างง่ายดาย ช่วงนี้โรแลนด์ใช้เวลาทั้งหมดอยู่ในเว็บบอร์ดเมื่อเขาไม่ได้เล่นเกม หลายคนต่างบอกว่าเควสหายากมาก ถึงแม้ว่าจะมีกิจกรรมมากมายภายในเกม ไม่ว่าจะเป็นการเรียนเวทมนตร์หรือฝึกดาบที่ให้ค่าประสบการณ์ ทว่าเควสนั้นให้ค่าประสบการณ์มากที่สุดแล้ว
การทำภารกิจให้สำเร็จนั้นเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการเลื่อนระดับ แต่ปัญหาคือเควสนั้นหายากเกินไป
เควสทั้งาองอันคือ “ตามหาเด็กหญิงที่หายไป” และ “สัตว์ประหลาดในท่อระบายน้ำ”
โรแลนด์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นเควสอันแรก มันทำให้เขาคิดถึงเควสตามหาหลานชายที่เมืองเรดเมาน์เทน
ท้ายที่สุด สองตายายนั่นก็เผาตัวเองไปพร้อมกับความสิ้นหวัง
“เด็กสาวนั่น…” โรแลนด์ถามเบทต้า “…คงไม่ใช่ลูกสาวคนเดียวหรอกใช่ไหม”
“ไม่ครับ!” เบทต้าส่ายหน้าและบอกว่า “ผมได้ถามมาแล้ว เธอมีพี่น้อง นอกจากนั้นการหายตัวไปของเธอนั้นยังค่อนข้างลึกลับ”
เบทต้าก็ได้รับบทเรียนแล้วเช่นกัน เขาจึงถามข้อมูลก่อนรับเควส
“งั้นไปกันเถอะเริ่มจากเควสแรก นายมีเบาะแสอะไรไหม?” โรแลนด์ถามออกมา
เบทต้ากล่าวว่า “ครับ มีคนพบเห็นเธอล่าสุดในป่านอกเมือง เธอไปเพื่อเก็บเห็ดจากนั้นเธอก็หายตัวไป”
“สัตว์อสูร?” โรแลนด์ถาม
เบทต้าส่ายหน้าออกมา “ผมก็ไม่แน่ใจครับ”
“ช่างมันก่อนละกัน” โรแลนด์นำชุดคลุมเวทย์ออกมาจากกระเป๋ามิติ “ถ้าพวกเรารีบไปตั้งแต่ตอนนี้ บางทีพวกเราอาจจะช่วยชีวิตเด็กสาวคนนั้นด้วย”
เบทต้าก็คิดแบบนั้นเช่นกัน
พวกเขาทั้งคู่เดินผ่านล็อบบี้และออกจากโรงแรมไป
พวกผู้หญิงที่อยู่ตรงล็อบบี้มองพวกเขาอย่างเงียบๆ ทันทีที่พวกเขาออกมาด้านนอก เบทต้าก็ถามโรแลนด์ด้วยความแปลกใจว่า “ทำไมพวกเธอถึงไม่มาเกาะแกะเมื่อผมอยู่กันพี่กัน? ตอนที่ผมพึ่งมาถึง พวกผู้หญิงพวกนั้นเกือบจะลากผมไปด้วยซ้ำ”
“เพราะฉันเป็นนักเวทย์น่ะ” โรแลนด์พูดพร้อมรอยยิ้ม “สามัญชนในเกมพวกเขาต่ากลัวนักเวทย์ นายทั้งหล่อ , ใส่เสื้อผ้าที่หรูหรา และดูใจดีอีก นั่นก็น่าจะเป็นเหตุผลที่พวกนั้นไม่กลัวนาย”
โรแลนด์มีค่าเสน่ห์เริ่มต้นคือ 5 และสำหรับเบทต้าคือ 7 ยิ่งถ้าพวกเขาเลเวลเพิ่มขึ้นค่าเสน่ห์ของพวกเขาก็จะยิ่งห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขาคุยกันเรื่อยๆจนออกจากเมืองไป หลังจากพวกเขาออกมาไม่นานประตูเมืองก็ปิดลง
เดลพอนเป็นเมือที่เคอร์ฟิวทุกเย็น โชคดีที่พวกเขาออกมาทัน
พระอาทิต์ตกดินทำให้ต้นไม้ทาทิศตะวันตกขอเมือกลายเป็นสีแดงราวกับถูกชโลมไปด้วยเลือด
“เด็กสาวหายไปในป่าทางนั้น” เบทต้าพูดขึ้นขณะเดินอยู่ “ว่ากันว่ามีบางคนอยู่นอกป่าและได้ยินเสียงคำรามที่น่ากลัวดังออกมา”
อ่าห์…โรแลนด์รู้สึกราวกับว่านี่เป็นตอนเปิดเรื่องของหนังสยองขวัญ
พวกยามไม่รู้วิธีได้รับใบรับรองงั้นเหรอ?
มันดูเหมือนจะเป็นการหลอกลวง พูดกันตามตรงพนักงานขององค์กรณ์ควรรู้เกี่ยวกับกฎพื้นฐานขององค์กร ทว่าในเมื่อยามไม่รู้เกี่ยวกับมัน แสดงว่าองค์กรณ์นี้เก็บความลับได้อย่างยอดเยี่ยมและปฏิเสธคนนอกแบบง่ายๆ
โรแลนด์รู้สึกว่ามันดูสมเหตุสมผล
ดังนั้นเป้าหมายหลักในตอนนี้ของเขานั้นคือหาวิธีเข้าร่วมสมาคมนักเวทย์และนั่นเป็นบททดสอบที่เขาต้องผ่านมันไปให้ได้
โรแลนด์ออกจากจัตุรัสและพบเข้ากับโรงแรมแลมป์เกิร์ล แต่หลังจากนั้นเขาก็ออกมาพร้อมก่นด่าเบทต้าที่เจอที่แบบนี้
ด้านนอกมันเป็นโรงแรมทว่าจริงๆแล้วมันเป็นซ่อง มีกลุ่มสาวเซ็กส์ซี่นั่งยั่วยวนรอลูกค้าอยู่ตรงล็อบบี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมมันถึงชื่อแลมป์เกิร์ล
แต่ทว่า โรแลนด์ก็ได้จองห้องไว้ เพราะถึงอย่างไรเบทต้าก็บอกว่าจะมาเจอกันที่นี่และโรแลนด์ก็ไม่สามารถส่งข้อคความไปคุยกับเขาเหมือนเกมอื่นๆได้ เขาแค่ต้องกันเลือกสถานที่นัดเจอใหม่หลังจากพวกเขาได้เจอกัน
โรแลนด์ต้องการถามแหล่งที่จะสามารถหาข้อมูลได้ ทว่าทุกคนกลับออกห่างจากเขา ตอนแรกเขาคิดว่าอาจเป็นเพราะเขาแปลกหน้า แต่มันก็ดูไม่สมเหตุสมผล
มีคนอยู่ตั้งมากมายในเมืองนี้ ไม่มีใครสามารถจะรู้จักหรือคุ้นชินกับคนได้ทั้งเมืองหรอก
ดังนั้นปัญหาน่าจะอยู่ที่ตัวเขาเอง
เสื้อผ้านี่เอง!
ชุดคลุมเวทย์ที่ฟอลเคิลมอบให้เขาแม้ว่าจะไม่ใช่ของคุณภาพสูงนัก ทว่าแม้แต่คนธรรมดาก็ยังมองเห็นการไหลเวียนของเวทมนตร์อย่างเจือจาง
อ่าห์…เขาเจอร้านตัดเสื้ออยู่บนถนน เจ้าของร้านนั้นกลัวจนไม่กล้าพูดออกมาเมื่อนักเวทย์เดินเข้าไป
ทว่าเขาก็ผ่อนคลายลงในที่สุดหลังจากเห็นความเป็นมิตรของโรแลนด์
เขาวัดความสูงและขนาดตัวของโรแลนด์ จากนั้นก็ไปเตรียมเสื้อผ้าธรรมดาๆให้กับโรแลนด์
จากนั้นเขาก็เก็บเสื้อคลุมเวทย์ลงในกระเป๋ามิติและถามเจ้าของร้านถึงวิธีการหาข่าวและข้อมูลต่างๆ
เจ้าของร้านตัดเสื้อบอกเขาเกี่ยวกับโรงเตี๊ยมที่ชื่อเกรย์แซนด์
โรแลนด์รู้ได้ทันทีที่มาถึงว่าทำไมที่นี่ถึงเป็นแหล่งข่าว
มันเป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ ในชั้นแรกสำหรับดื่มสังสรรค์มีพื้นที่เกือบสองพันตารางเมตร
ในชั้นที่สองซึ่งมีขนาดพอๆกัน ถึงดันพยุงเอาไว้ด้วยเสาหินขนาดใหญ่หลายสิบต้น
ผู้คนมากมายต่างอัดกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้
เมื่อโรแลนด์มาถึงเขาไม่ได้เป็นจุดสนใจมากนัก
เขาไม่ได้ใช้เวทย์หรือสวมชุดที่สะดุดตา ดังนั้นเมื่อเขาจึงดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป
เสียงในนี้ค่อนข้างดัง มีลูกค้าเมากึ่มๆนั่งคุย,หัวเราะ หรือแม้กระทั่งตะโกนอวดเบ่งอยู่
มีเด็กนั่งดริ้งมากมายคอยให้บริการลูกค้าอย่างเซ็กซี่
เต็มไปด้วยกลิ่นฮอร์โมนและความปรารถนา
โรแลนด์นั่งอยู่ในมุมว่างๆ ก้นของเขายังไม่ทันแตะเก้าอี้เสียด้วยซ้ำก็มีผู้หญิงกลิ่นตัวแรงและตามตัวของเธอเต็มไปด้วยกระเข้าใกล้เขา
เธอเบียดเข้ามาใกล้โรแลนด์ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกหนาวขึ้นมา เธอก้มหัวลงและพบว่าเก้าอี้ของเธอถูกยึดติดโดยน้ำแข็ง
นอกจากนี้ดูเหมือนน้ำแข็งจะเริ่มกระจายมายังเท้าของเธอ
ทันทีที่ตั้งสติได้ เธอก็พยายามจะหนี คนธรรมดาไม่มีใครอยากจะยุ่งเกี่ยวกับนักเวทย์นัก
โรแลนด์พูดว่า “โปรดเรียกผู้จัดการของโรงเตี๊ยมนี้มาที ฉันมีเรื่องอยากจะถาม”
โรงเตี๊ยมนั้นเสียงดัง ทว่าเธอก็ได้ยินสิ่งที่โรแลนด์พูดชัดเจน
เอาจริงๆแล้วเธอก็ค่อนข้างน่ารัก ทว่าโรแลนด์กลับไม่ชื่นชอบกระบนหน้าเธอนัก ถึงแม้ว่าจะมีบางคนคิดว่ามันน่ารักก็ตาม
เธอพยักหน้าอย่างรวดเร็วและจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นาน ชายหน้าหนวดก็เดินเข้ามา
ผมของเขาราวกับอิฐสี่เหลี่ยม และชุดสีดำของเขาทำมาจากผ้าราคาแพง เขาถามโรแลนด์อย่างเบาๆว่า “ท่านผู้ใช้เวทย์ ท่านเรียกผมใช่หรือไม่?”
โรแลนด์พยักหน้า
“ข้าเป็นผู้จัดการของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ดูเหมือนว่าท่านจะต้องการข้อมูลใช่หรือไม่?” สายตาของชายคนนั้นมองไปที่โรแลนด์และพูดออกมาว่า “ท่านสามารถเรียกข้าว่ากลูได้”
“ยินดีที่ได้รู้จักคุณกลู” โรแลนด์หยักหน้าอีกครั้งและยิ้มออกมาโดยไม่สนใจเสียงรอบข้าง “ฉันโรแลนด์ เป็นบุตรทองคำ”
มันเป็นการตั้งค่าของเกมไว้อยู่แล้วว่าผู้เล่นนั้นคือบุตรทองคำ ในเมื่อฟอลเคิลรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ คนในเมืองนี้ก็น่าจะรู้เช่นเดียวกัน
“บุตรทองคำ?” เขารู้สึกงุนงง กลูถามออกมาว่า “บุตรทองคำที่สามารถคืนชีพจากความตายได้?”
โรแลนด์พยักหน้า
ทันทีที่เห็นเขาพยักหน้า กลูก็รู้สึกปวดหัวอย่างหนัก
แม่แต่ศัตรูที่น่าหวั่นเกรงที่สุดก็ยังมีจุดอ่อน ทว่าศัตรูที่สามารถคืนชีพได้เรื่อยๆนั้นสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับจุดอ่อนของตัวเองจากการตายได้จนกระทั้งไม่มีจุดอ่อน
“คุณได้ยินเรื่องของพวกเรามากจากไหน?” โรแลนด์ถามออกมา
กลูพูดออกมาด้วยหัวใจที่เต้นแรง “มีบุตรทองคำสองคนมาที่เมืองเมื่อเดือนก่อน พวกเขาไปมีเรื่องกับเหล่าขุนนางเข้าและถูกฆ่าจนอ่อนแอลงไปหลายครั้ง แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถสังหารองครักษ์ของขุนนางไปได้มากมาย”
น่าชื่นชน…มีผู้เล่นสองคนกล้าท้าทายขุนนางตั้งแต่ยังเลเวลต่ำ
โรแลนด์ถามออกมาด้วยความอยากรู้ว่า “แล้วตอนนี้พวกนั้นอยู่ไหน?”
“มันเป็นไปไม่ได้ที่ขุนนางคนนั้นจะสู้กับศัตรูที่เป็นอมตะ ดังนั้นเขาจึงย้ายไปเมืองหลวงพร้อมกับครอบครัวและองครักษ์ที่ยังเหลืออยู่ พวกบุตรทองคำก็ไล่ตามพวกเขาไป” กลูพูดออกมาอย่างสิ้นหวัง “พวกเขาทั้งสองนั้นตั้งใจที่จะสังหารขุนนางคนนั้นให้ได้”
โรแลนด์ประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผู้เล่นสองคนสังหารคนไปมากมายถึงขนาดนั้น
NPC ที่ไม่ต่างอะไรไปจากคนจริงๆ พวกเขาไม่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฆาตกรเวลาสังหาร NPC เลยเหรอ?
บางทีพวกเขาอาจจะเป็นพวกโรคจิต?
คิดอยู่ครู่หนึ่ง โรแลนด์ก็ไล่ความคิดนั้นออกไป ก่อนถามกลูว่า “ฉันมาที่นี่เพื่อสอบถามเกี่ยวกับวิธีเข้าร่วมสมาคมเวทย์”
กลูมองไปยังโรแลนด์ด้วยความประหลาดใจครู่หนึ่งก่อนพูดว่า “แน่นอน คนธรรมดานั้นจำเป็นต้องมีใบรับรอง แต่สำหรับท่านมันไม่จำเป็น”
“ทำไมล่ะ?” โรแลนด์ถามออกมาอย่างประหลาดใจ “ฉันถูกหยุดไว้โดยพวกยามน่ะ”
“ถ้าท่านสามารถใช้เวทย์ได้ ท่านสามารถไปหาท่านอัลโด้ประธานสมาคมนักเวทย์ได้โดยตรง เขาจะมอบใบรับรองให้แก่ท่าน”
“ง่ายขนาดนั้นเลย?” โรแลนด์ถึงกับตกใจ
กลูส่ายหน้าออกมา “ไม่ครับท่าน จริงๆมันยากมากๆ คนธรรมดาไม่สามารถเชี่ยวชาญเวทย์ได้ อย่างน้อยในเดลพอนนี้ก็มีคนไม่เกินสิบในล้านคนที่สามารถเป็นนักเวทย์ได้”
ถนนกว้างปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหลังประตูเมือง มีทางแยกทุกๆสิบเมตร สิ่งก่อสร้างสร้างสี่เหลี่ยมที่สูงต่างระดับกันสูงขึ้นไปยังสุดสายตา
มีพ่อค้าเร่มากมายอยู่ตามถนน และมีขอทานร่างผอมแห้งอยู่หลายคนซึ่งวางชามเก่าๆไว้อยู่เบื้องหน้า
ในเมื่อมันยังเช้าอยู่ ทำให้มีคนอยู่บนถนนไม่มากนัก ทว่ามันก็ดูค่อนข้างมีชีวิตชีวา
โรแลนด์และเบทต้าอุดจมูกโดยทันทีเมื่อพวกเขาเดินเข้ามาด้านใน มันเหม็นมาก
อุจจาระทั้งของคนและสัตว์อยู่เกลื่อนเต็มถนน พวกมันนั้นลอยอยู่ตรงท่อน้ำทิ้ง
เมืองเรดเมาน์เทนนั้นอาจจะไม่ได้สะอาดนัก แต่ว่ามันก็สะอาดกว่าที่นี่
ถึงอย่างไรก็ตามนี่ก็ยังคงเป็นยุคกลางอยู่
โรแลนด์และเบทต้าต่างดึงดูดความสนใจของคนโดยรอบ ทว่าคนส่วนใหญ่กลับรีบหลบสายตาหลังจากจ้องไปที่พวกเขา
ไม่มีใครอยากมีปัญหา
เบทต้าก็รู้สึกได้ถึงมัน ขณะที่กำลังปิดจมูกอยู่เขาก็พูดขึ้นมาว่า “ผมรู้สึกว่าคนในเมืองนี้ค่อนข้างกลัวขุนนาง ทั้งพวกพ่อค้าและคนในพื้นที่ต่างก็ระวังตัวกันอย่างมาก ในเมืองเรดเมาน์เทนคนที่นั่นดูจะไม่ได้กลัวผมขนาดนี้เลย”
โรแลนด์คิดสักครู่ก่อนยิ้มออกมา “เมืองเรดเมาน์เทนเป็นแค่เมืองที่อยู่ห่างไกล คนที่มีตำแหน่งสูงสุดที่นั่นมีแค่ฟอลเคิลและนายก พวกเขาทั้งคู่ต่างใจดี เป็นธรรมดาที่พวกชาวเมืองจะไม่เคยได้รับการข่มขู่จากพวกขุนนาง แต่เมืองที่มีประชากรเกือบล้านนั้นต่างออกไป บางทีอาจจะมีพวกกลุ่มตัวปัญหาที่มักคอยสร้างเรื่องอยู่ที่นี่ก็ได้”
เบทต้าหยุดคิดและเข้าใจว่ามันก็สมเหตุสมผลดี เมื่อที่ที่หนึ่งมีคนเยอะ เป็นธรรมดาที่จะมีคนแปลกๆปะปนอยู่เยอะเช่นเดียวกัน
พวกเขาเดินไปตามถนน ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างหลีกเลี่ยงพวกเขา
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เจอกับแอ่งน้ำเสียอยู่ด้านหน้า
แอ่งน้ำนั้นทั้งยาวและกว้างอยู่เต็มถนน โรแลนด์และเบทต้าไม่สามารถกระโดดข้ามไปได้
ผู้สัญจรโดยมากมักจะเดินเขย่างผ่านมันไป โดยไม่สนใจอึและฉี่ที่อยู่ในนั้น ในฐานะสามัญชนพวกเขาไม่ได้ใส่ใจนัก
ขุนนางต่างโดยสารด้วยรถม้าพวกเขาจึงไม่ต้องกังวลกับมัน
ในตอนนั้นเอง ชายหนุ่มที่อยู่บนชั้นสามของตึกจากทางด้านขวาของโรแลนด์และเบทต้าก็มองมายังพวกเขาด้วยความสนใจ
“ขุนนางหนุ่มและผู้ใช้เวทย์ที่ข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน” ชายหนุ่มหลันกลับไปและพูดกับเพื่อนของเขาว่า “ดูเหมือนพวกเขาจะมีปัญหาเสียแล้ว เจ้าคิดว่าพวกนั้นจะทำยังไง?”
ขุนนางอีกสองสามคนมาใกล้หน้าต่างและมองลงไป
หนึ่งในพวกเขากล่าวว่า “ข้าคิดว่าพวกเขาจะอ้อมไป”
อีกคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าข้าเป็นพวกนั้น ข้าจะโปรยเหรียญออกมาและให้พวกชั้นต่ำก้มลงบนพื้น เพื่อให้ข้าเหยียบตัวพวกมันไป”
“ไม่เลวเลย”
ขุนนางคนอื่นๆต่างเห็นด้วย ขุนนางที่เป็นเจ้าของความคิดนี้รู้สึกพึงพอใจ
ขุนนางอีกคนก็กล่าวว่า “ถ้าข้าเป็นพวกนั้น ข้าจะเดินกลับไปจ้างรถม้า พวกนั้นไม่ใช่คนในพื้นที่ พวกเขาอาจจะหลงได้หากเดินอ้อม และการใช้สามัญชนเพื่อเป็นที่เหยียบนั้นยุ่งยากและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพวกเขา”
“ฮ่ะๆๆๆๆ จอห์นเจ้ายัง ‘เมตตา’ เหมือนเคยเลยนะ”
ขุนนางหนุ่มที่ชื่อจอห์นยิ้มออกมา “มาพนันกันเถอะ”
“พนันอะไร?”
“ถ้าสองคนด้านล่างนั่นใช้ทั้งสามวิธีที่พวกเรากล่าวถึง ข้าจะจ่ายค่าเที่ยววันนี้เอง”
“แล้วถ้าพวกเขาใช้ทางอื่นล่ะ?”
“ถ้างั้นพวกเจ้าทุกคนต้องไปร่วมงานวันเกิดของพี่สาวข้าในวันมะรืน”
“ฮ่ะๆๆๆ ได้เลยไม่มีปัญหา”
ทุกคนต่างยินดีกับข้อเสนอนี้ ทั้งได้สนุกอยู่ที่นี่หรือไปร่วมงานปาร์ตี้ของพี่สาวจอห์นต่างก็ดีทั้งคู่ แม้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงก็ตามพวกเขาก็ไม่มีอะไรเสีย
ตรงถนน เบทต้ากำลังเซ็งอยู่ทางด้านหน้าของแอ่งน้ำ เขาพูดว่า “ทำไมเราไม่ลองอ้อมกันดูล่ะครับ?”
“ไม่จำเป็น”
โรแลนด์ชี้นิ้วและไอเย็นก็เริ่มควบแน่นและพุ่งออกมาและทอดยาวออกมาเป็นทางเดินน้ำแข็งอยู่บนแอ่งน้ำ
นี่เป็นเวทย์ที่พัฒนามาจากวงแหวนเยือกแข็งที่เขาพึ่งได้รับมาเมื่อเร็วๆนี้ มันไม่ได้ทรงพลังนัก ทว่าโรแลนด์กลับคิดว่ามันมีประโยชน์ในการแช่แข็งอย่างรวดเร็วในบางโอกาส อาทิเช่นในตอนนี้”
ในชั้นสาม ขุนนางหนุ่มทั้งหมดต่างตกอยู่ในความเงียบ ท้ายที่สุดจอห์นก็หัวเราะออกมา “เป็นผู้ใช้เวทย์ที่น่าสนใจมาก ข้าไม่เคยเห็นใครใช้พลังเวทย์สิ้นเปลืองแบบเขามาก่อน”
เบทต้าก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน “เวทมนตร์นี่มีประโยชน์จริงๆ”
พวกสามัญชนโดยรอบนั้นต่างถูกทำให้ตกใจเพราะเวทมนตร์ ทว่าพวกเขาก็ใจเย็นลงเมื่อเห็นว่าโรแลนด์และเบทต้าไม่ได้ต้องการทำร้ายพวกเขา
หลังจากเดินบนสะพานน้ำแข็ง พวกเขาทั้งคู่ก็เริ่มเดินทางต่อ
พวกเขาได้ถามยามมาแล้วในตอนที่พวกเขาเข้าเมือง หอคอยสีขาวซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดภายในเมืองนั่นคือสาขาของสมาคมนักเวทย์
หอคอยเวทย์นั้นอยู่ในท้ายสุดของทางเดิน
เดลพอนนั้นเป็นเมืองที่ใหญ่ถึงแม้ว่าหอคอยจะดูเหมือนอยู่ใกล้แต่จริงๆแล้วมันอยู่ไกลออกไป
พวกเขาใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงเพื่อมายังหอคอย
พวกเขาพบว่าพวกเขานั้นอยู่ในจัตุรัสที่สร้างมาจากอิฐสีขาวและสีน้ำเงิน มันสะอาดและไม่มีขยะกระจัดกระจายเหมือนภายในเมือง
หอคอยเวทย์นั้นทำมาจากหินสีขาวล้วนๆ ไม่มีรอยเชื่อมต่อกัน ราวกับว่าเป็นหินหนึ่งก้อนที่ถูกสร้างโดยธรรมชาติ
หอคอยนั้นค่อนข้างใหญ่ มันกว้างอย่างน้อยกว่า 7 เมตรในรัศมี
เมื่อเงยมองหน้าขึ้นไปยังหอคอย โรแลนด์สึกได้ถึงลวดลายคลื่นที่มองไม่เห็นกำลังออกไปด้านนอก
“นั่นมันสิ่งมีชีวิตเวทย์?” โรแลนด์พึมพำออกมาเบาๆ
ในตอนนั้นเอง เบทต้าก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “พี่โรแลนด์ผมไม่ไปกับพี่นะ ยังไงซะผมก็ไม่ใช่นักเวทย์ ผมอยากไปดูรอบๆเมืองและลองหาเควสดู!”
โรแลนด์ขมวดคิ้วและถามว่า “แล้วพวกเราจะเจอกันยังไง?”
“ผมเห็นโรงแรมเล็กๆที่ชื่อแลมป์เกิร์ลระหว่างทางที่มาที่นี่ ผมจะอาศัยอยู่ที่นั่น พี่สามารถมาหาผมได้ตลอดที่โรงแรมนั่น”
“อ่าหะ” โรแลนด์พยักหน้าและกล่าวว่า “ที่นี่เป็นเมืองใหญ่ ก็ไม่เลวที่พวกเราจะลองแยกกันสำรวจดู”
เบทต้าโบกมือลาโรแลนด์ก่อนวิ่งออกไปด้วยความตื่นเต้น
เขามองไปยังประตูทางเข้าสมาคม โรแลนด์เดินเข้าไปใกล้
เมื่อเขามาถึงยังประตู หนึ่งในยามทั้งสองหยุดเขา “ต้องขอโทษด้วย ทว่าหอคอยเวทย์จะเปิดให้เพียงแค่สมาชิกเท่านั้น คุณมีใบรับรองการเป็นนักเวทย์หรือไม่?”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง โรแลนด์ถามออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วผมต้องทำยังไงถึงได้ใบรับรองมา?”
ยามดูกระอักกระอ่วน “ต้องขอโทษด้วยแต่ข้าก็ไม่มั่นใจเช่นกัน
ผู้เล่นนั้นไม่จำเป็นต้องนอนภายในเกม กลางวันและกลางคืนเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเท่านั้น ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเช้าแล้วก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกง่วงแต่อย่างใด พวกเขามาถึงเมืองเดลพอนในที่สุด
พวกเขาไม่ได้รู้เลยว่าเดลพอนนั้นกว้างใหญ่ขนาดไหน จนพวกเขาใกล้เข้ามา
สายตาของพวกเขามองไปยังกำแพงที่ราวกับไร้ที่สิ้นสุดซึ่งสร้างจากหินขนาดยักษ์
มีคบเพลิงถูกตั้งไว้อยู่ในทุกๆสิบเมตรของกำแพงเมือง มันอาจจะไม่สว่างเท่าบอลแสงของโรแลนด์ ทว่ามันกลับแผ่กว้างอย่างน่าอัศจรรย์ราวกับมังกรเพลิง
กลุ่มทหารกำลังเฝ้าระวังอยู่ที่กำแพงเมือง พวกเขาส่วนใหญ่เริ่มจับจ้องมาที่โรแลนด์และเบทต้า
ที่ปลายของทางเดินนั้นคือประตูเข้าเมือง มีกลุ่มคนหลายกลุ่มกำลังนั่งผิงกองไฟกันอยู่ตามถนน และมีบางคนพูดคุยกัน
โรแลนด์และเบทต้านั้นดึงดูดความสนใจของทุกคนเมื่อพวกเขามาถึง ยังไงก็ตาม บอลเวทย์ทั้งสี่ส่องสว่างรอบๆตัวพวกเขาไม่มีทางไม่เป็นจุดสนใจได้หรอก เมื่อพวกเขาใกล้เข้ามา ประตูเมืองก็สว่างราวกับกลางวัน พวกนักเดินทางทั้งหลายต่างเริ่มแสบตา
ทหารบนรอบกำแพงเมืองเริ่มรู้สึกวิตกกังวล ผู้ใช้เวทย์นั้นมักจะเป็นสัญลักษณ์ของพลังและความลึกลับเสมอ
เมื่อโรแลนด์และเบทต้ามองไปยังพวกเขา พวกเขารีบหลบสายตาไปทันที
พวกเขาไม่กล้าที่จะยั่วยุผู้ใช้เวทย์และขุนนางหนุ่ม
โรแลนด์และเบทต้านั่งอยู่ตรงมุมที่ว่าง แถวยังอีกยาว เกือบทุกเมืองนั้นจะปิดในยามค่ำคืนและที่นี่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หลังจากนั่งลงพวกเขาก็เริ่มสังเกตไปรอบๆ
มีเกวียนกว่าสิบคันอยู่ในแต่ละกลุ่ม ถึงแม้ว่าเกวียนพวกนั้นจะถูกปิดไว้ด้วยผ้าน้ำมัน แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีของอยู่ด้านใน
นักเดินทางส่วนใหญ่นั้นมักจะเป็นเพศชาย ในรอบมีผู้หญิงอยู่เพียงแค่คนเดียวซึ่งนั่งผิงกองไฟถัดออกไปจากโรแลนด์และเบทต้า ผู้หญิงคนนั้นทั้งสูงและเต็มไปด้วยมัดกล้ามหากไม่ได้สังเกตุหน้าอกที่นูนออกมานั่นคงไม่มีใครคิดว่านี่เป็นผู้หญิง
พวกนั้นเป็นพ่อค้าและผู้คุ้มกัน?
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก พวกเขานั้นปล่อยให้โรแลนด์และเบทต้าสำรวจพวกเขา
เสียงกระซิบพูดคุยกันก่อนหน้าหายไป เหลือเพียงเสียงลมและเสียงประทุของเปลวเพลิง
โรแลนด์และเบทต้าไม่ได้พูดคุยและทำอะไรกัน เพราะพวกเขากำลังโดนครอบงำอยู่โดยบรรยากาศโดยรอบ
เมื่อเบทต้าเริ่มเบื่อเขาก็หยิบฟืนและงูที่เขาเก็บได้ตามทางออกมา เขาก่อกองไฟด้วยเพลิงมังกร
จากนั้นเขาก็เริ่มแล่เอาเกล็ดงู ก่อนที่จะนำไปเสียบไม้และย่าง
โรแลนด์ถึงกับหมดคำพูดเมื่อเห็นเบทต้าทำมันอย่างคุ้นชิน
นอกจากนี้เขาไม่ใช้เพลิงมังกรในการต่อสู้ เพียงเพื่อต้องการใช้มันทำอาหาร
เสียงกระซิบรอบข้างเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ โรแลนด์หันไปรอบๆและมองพวกเขา เสียงเหล่านั้นเงียบลงในทันทีราวกับกดปิดทีวี
โรแลนด์จ้องไปที่พวกเขาและหลังจากนั้นก็หันกลับมาสนใจเนื้อ
หลายคนถอนหายใจออกมา
จากที่โรแลนด์ได้ยินดูพวกเขาตกใจเป็นอย่างมาก
“โอ้พระเจ้า นั่นมันอุปกรณ์มิติ”
“ขุนนางหนุ่มคนนี้มาจากไหนกัน?”
“ไม่ใช่ว่ามันน่าเสียดายเหรอที่เก็บของพวกนั้นไว้ในอุปกรณ์มิติ”
หลังจากโรแลนด์จ้องไปยังพวกเขา พวกเขาก็หยุดพูดกันทันที
นี่พวกเรามีปัญหาแล้วรึเปล่าที่เปิดเผยสมบัติไป? โรแลนด์นั้นกังวลทว่าจากนั้นเขาก็คิดถึงเรื่องอื่น
เขาเป็นผู้เล่นที่ไม่มีวันตาย นอกจากนี้กระเป๋ามิตินั้นถูกมอบให้โดยระบบ และจะไม่มีอะไรดรอปออกมาเมื่อเขาถูกฆ่า เขาสามารถตามล้างแค้นได้เมื่อเขาเกิดใหม่
หลังจากคิดได้เขาก็เลิกสนใจพวกนั้นและสังเกตไปยังสภาพแวดล้อมโดยรอบ
มันเป็นที่ราบเตียนมีแม่น้ำอยู่ด้านหลังของเมือง ภายใต้ความมืดมิดมีแสงปรากฏอยู่ในระยะไกลๆ
มีเพียงสถานที่ที่มีน้ำมากเพียงพอเท่านั้นที่จะสามารถบอกได้ว่านี่เป็นเมืองที่ดูสง่างาม
หลังจากนั้นเนื้องูก็สุก เบทต้าก็เริ่มทาเกลือลงบนเนื้อ
เขายื่นให้กับโรแลนด์
โรแลนด์ต้องยอมรับว่าเบทต้านั้นทำได้ดี เนื้องูนั้นทั้งกรอบและอร่อย
ทว่ามันก็ไม่ได้รสชาติอร่อยเหมือนกับเนื้องู
หลังจากพวกเขาอิ่มท้อง เบทต้าก็เริ่มฝึกเพลงดาบ
เขานั้นไม่ใช่คนที่ฉลาดนัก ทว่าเขาก็เป็นคนที่มักจะได้เกรดดีเพราะพยายามอย่างหนัก ด้วยความคิดของเขา มันไม่น่าจะยากนักที่เขาจะสามารถเข้ามหาลัยดังๆได้
ความขยันนั้นเป็นนิสัยของเขา แต่ว่ามันน่าอายออกไม่ใช่เหรอที่จะต้องฝึกดาบต่อหน้าคนแปลกหน้า?
แน่นอนว่าไม่! เขาเคยเข้าร่วมการประกวดสุนทรพจน์ในโรงเรียนมาแล้วหลายครั้ง
สำหรับเบทต้าการพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ดูเกินจริงต่อหน้าผู้ฟังนับร้อยนั้นเป็นประสบการณ์ที่น่าอายมาก
อย่างไรก็ตามเขาก็ผ่านพ้นมันมาได้อย่างสวยงาม ดังนั้นการฝึกดาบต่อหน้านักเดินทางเหล่านี้ไม่ได้ท้าทายอะไรเขาเลยแม้แต่น้อย
ในที่อีกฝ่ายหนึ่งโรแลนด์นั้นกำลังเริ่มฝึกความสามารถทางภาษา
ทุกครั้งที่ล้มเหลวพลังเวทย์จะกระจายออกไปซ้ำไปซ้ำมา นักเดินทางคนอื่นต่างมองโรแลนด์ที่หอบออกมาด้วยความเจ็บปวดโดยไม่ต้องพูดอะไรออกมา โรแลนด์นั้นไม่เคยสนใจว่าคนอื่นจะมองเขายังไงตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่ในเมืองเรดเมาน์เทนแล้ว
ในสถานการณ์ปกติ นักเวทย์มักจะหมดสติไปเมื่อล้มเหลวติดต่อกัน
ทว่าโรแลนด์กลับยังคงแข็งแรง เขาพักเพียงครู่เดียวและเริ่มฝึกฝนต่อ
เหล่าพ่อค้าและผู้คุ้มกันต่างขบขันไปกับการออกกำลังกายยามดึกของเบทต้าและโรแลนด์
พวกเขาจะเบ่งให้ใครดูกัน?
ทว่าเมื่อสี่ชั่วโมงผ่านไป พวกนักเดินทางทั้งหลายต่างชื่นชนออกมา
พวกเขาอาจจะไม่รู้อะไรหลายๆอย่าง ทว่าพวกเขารู้ดีว่าการฝึกฝนอย่างหนักนั้นดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
และเวลารุ่งสางก็มาถึง พวกยามนำคบเพลิงออกจากกำแพงและเปิดทางเข้าเมือง
ทุกคนต่างลุกขึ้นยืน โรแลนด์และเบทต้าต่างก็หยุดซ้อม
พวกเขารอให้พวกพ่อค้าไปก่อน เพราะถึงอย่างไรพวกนั้นก็มาก่อน
ทว่าน่าประหลาดที่พวกพ่อค้าและผู้คุ้มกันต่างไม่ขยับและมองไปยังโรแลนด์และเบทต้า
“หรือพวกเขาพยายามจะส่งสัญญาณให้พวกเราไปก่อน?” เบทต้าถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
“พวกเขาอาจจะเกรงใจในตัวตนของขุนนางแบบนาย” โรแลนด์พูดออกมา “ลำดับชั้นนั้นมีผลอย่างมากในโลกนี้ ในฐานะสามัญชนพวกเขาคงไม่กล้าเดินนำหน้านาย”
พวกนักเดินทางต่างมองมาอย่างเงียบๆ เบทต้ารู้สึกไม่สบายใจ “นี่มันไม่ถูกต้อง”
“ไปเถอะน่านายน้อย” โรแลนด์ยิ้มและพูดออกมา “นายจะยิ่งทำให้พวกเขาเสียเวลาถ้านายอืดอาด”
“ครับ!” เบทต้าถอนหายใจและเดินเข้าเมือง
โรแลนด์เดินตามเขาไป
เหล่าพ่อค้าและผู้คุ้มกันต่างรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองเข้าเมืองไปในที่สุด
“พี่ไม่ได้เล่นมุข” โรแลนด์ถอนหายใจและพูดว่า “มันมาเพื่อพูดเกี่ยวกับกระเป๋าตังค์ของมันจริงๆ”
ขณะที่เขาพูดอยู่ วิญญาณโปร่งแสงเริ่มตระกายออกมาจากโลงศพและกรีดร้องออกมาจากซึ่งมันอยู่ห่างจากพวกเขาราวๆสามเมตร เมื่อสังเกตดีๆ พวกเขาก็เห็นเพียงแค่เจตนาสังหารในนัยน์ตาของมัน
พวกเขาทั้งสองถอยหลังออกมา เบทต้าหยิบดาบยาวออกมาและกลืนน้ำลาย “มันดูน่าแขยงมาก พี่โรแลนด์เคยสู้กับมันมาก่อนไหมครับ?”
“พี่จะไปเคยได้ยังไงล่ะ?” โรแลนด์พูดออกมาอย่างสิ้นหวัง “ที่พี่เคยเห็นมาก่อนก็มีแค่วิญญาณฟอลเคิล แต่พี่จะกล้าโจมตีฟอลเคิลได้ยังไงกัน?”
“พี่ครับ ฝากวางแผนด้วย” เบทต้าหยุดถอยและหยุดอยู่ตรงหน้าโรแลนด์ “พี่ควรรีบคิดหน่อยนะครับ”
จู่ๆเจ้าวิญญาณร้ายก็มีหอกโปร่งแสงอยู่ในมือ เห็นได้ชัดว่ามันมุ่งร้ายและกำลังจะเริ่มแล้ว โรแลนด์รู้ดีว่าเขาไม่สามารถถอยได้อีกแล้ว เพราะอย่างไรก็ตามจากที่เล่ากันมาวิญญาณมักจะแข็งแกร่ง
“พี่จะลองพยายามจัดการมันดู” โรแลนด์หยิบไม้คทาออกมาจากกระเป๋ามิติก่อนพูดว่า “กระโดดเดี๋ยวนี้”
เบทต้าไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาก็ทำตามคำสั่งของโรแลนด์ ด้วยความที่เป็นนักรบอยู่ครึ่งหนึ่งเขากระโดดสูงเกือบสองเมตร
เมื่อเบทต้ากระโดด โรแลนด์ก็ชี้คทาลงต่ำไปยังด้านหน้า
วงแหวนเยือกแข็ง!
เขาร่ายเวทย์ออกมาโดยไร้เสียง
วงแหวนเยือกแข็งเป็นเวทย์ลำดับที่สามที่โรแลนด์ได้รับมา เขาสามารถร่ายมันโดยไร้เสียงได้
วงแหวนสีขาวปรากฏออกมาบนพื้นและแช่แข็งทุกสิ่งที่มันสัมผัส
วิญญาณนั้นดูไร้สติปัญญา มันไม่แม้แต่จะหลบ ขาของมันจึงถูกแช่แข็งไปในทันที มันพยายามดิ้นรนและส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา
มันน่าจะดีกว่านี้ถ้าหากมันไม่ส่งเสียงโหยหวน
โรแลนด์รู้สึกอยากจะอุดหูตัวเอง
เบทต้าโล่งใจที่เห็นวิญญาณถูกควบคุมเอาไว้ “เยี่ยมมากเลยพี่ ตาผมแล้ว! ชาร์จ!”
พร้อมกับเสียงประหลาด เบทต้าพุ่งตรงไปยังวิญญาณร้ายราวกับเงา ทว่าพื้นในตอนนี้นั้นเป็นน้ำแข็งทำให้เขาลื่นและเสียการทรงตัวพร้อมล้มลงในขณะวิ่ง
จากนั้นเขาก็กลิ้งไปบนพื้นและชนเข้ากับผีที่กำลังดิ้นอยู่ราวกับลูกโบว์ลิ่งความเร็วสูง
โรแลนด์มองเบทต้ากลิ้งผ่านวิญญาณไปและกลิ้งไปชนผนังพร้อมร้องออกมา
นี่มัน…ไม่ใช่ความผิดของเขานะ
โรแลนด์กลับมาตั้งสติหลังจากจิตหลุดไปเล็กน้อย เขาร่ายบอลเพลิงนรกอย่างง่ายๆและพุ่งโจมตีไปยังวิญญาณร้าย
ในตอนนั้นเอง ระหว่างที่โรแลนด์กำลังรวบรวมพลังเวทย์ของตนเอง บอลเพลิงก็ระเบิดและฉีกกระชากวิญญาณร้ายเป็นชิ้นๆ
เพลิงของเขาละลายกระทั่งน้ำแข็งที่อยู่บนพื้นจนกลายเป็นน้ำ
ศัตรูนั้นหายไปแล้ว ทว่าโรแลนด์ก็ยังคงระวังตัวอยู่ ถึงอย่างไร ในหลายๆเรื่องราววิญญาณก็มักจะขึ้นชื่อว่าเป็นอมตะ
เขากลัวว่าเจ้าวิญญาณร้ายจะโผล่ขึ้นมาจู่โจมระหว่างเขาคลายการระวังตัว
ทว่าดูเหมือนจะไม่มีวี่แววของวิญญาณร้ายหลังจากรอมาสักพัก และไอเย็นภายในอากาศก็เริ่มหายไป
วิญญาณร้ายนั้นจากไปแล้ว แต่เบทต้ายังอยู่ เขากำลังคลานออกมาจากกำแพง
เบทต้าดูค่อนข้างน่าตลก เสื้อผ้าของเขาเต็มไปด้วยฝุ่น และมีรอยแผลอยู่หลายจุดบนใบหน้า โรแลนด์เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
“พี่โรแลนด์ แล้วเจ้าวิญญาณนั่นล่ะ?” เบทต้าลุกขึ้นและมองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง
โรแลนด์มองไปรอบๆและพูดว่า “อาจจะตายไปเพราะบอลเพลิงแล้วมั้ง ดูมันค่อนข้างจะอ่อนแอ”
เบทต้าโล่งอกและนำดาบยาวเก็บเข้ากระเป๋ามิติและพูดว่า “มันน่าจะเป็นมอนสเตอร์ประเภทหนึ่ง มันน่าจะกันการโจมตีทางกายภาพทั้งหมด ผมพยายามจะฟันขามันตอนที่ผมผ่านมันไป แต่เหมือนว่าการโจมตีของผมจะไม่ส่งผลกับเจ้าวิญญาณนั่น”
โรแลนด์พยักหน้ารับและกล่าวว่า “อ่าห์ก็คงเหมือนเกมอื่นๆที่วิญญาณจะแพ้การโจมตีทางเวทย์”
“ครั้งหน้าผมจะเผาพวกมันด้วยเพลิงมังกร” เบทต้าดูแค้น “ผมน่าจะใช้มันเลยตั้งแต่มันมา ผมเกือบสลบไปเพราะชนกำแพงเมื่อกี้”
โรแลนด์เกือบหลุดขำออกมาเมื่อเขานึกถึงตอนที่เบทต้ากลิ้งราวกับบอลที่กรีดร้องออกมา
เมื่อเห็นท่าทางของโรแลนด์เบทต้าก็พูดออกมาด้วยความไม่พอใจ “ถ้าพี่จะขำพี่ก็ขำออกมาเถอะครับ แต่พี่ไม่ได้แกล้งผมใช่ไหม?”
“แน่นอนว่าไม่!” โรแลนด์ตะโกนกลับมาโดยไร้ความลังเล
“ลืมมันเถอะครับ” เบทต้ามองที่โรแลนด์และพูดว่า “พวกเรามาแบ่งเหรียญกันเถอะครับ ผมไม่คิดว่าวิญญาณร้ายจะมาทวงกระเป๋าตังค์ต่อแล้ว”
โรแลนด์เห็นด้วย
เมื่อเก็บเงินส่วนของตัวเองเข้าไปยังกระเป๋ามิติ โรแลนด์ก็ฝังสุสานด้วยแขนเวทย์
จากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆกลับไปยังถนนหลัก
ในตอนนี้นั้น มันมืดเป็นอย่างมาก พระจันทร์ถูกบดบังโดยเมฆ ทำให้พวกเขาไม่สามารถมองเห็นอะไรในป่าได้เลย
ต้องขอบคุณที่โรแลนด์สามารถสร้างบอลแสงได้ เขาสร้างบอลแสงขึ้นมาสี่ลูกเพื่อส่องแสงไปโดยรอบ
ยามมืดมิดนั้นถูกปกครอบไปด้วยสัตว์กลางคืน และพวกมันหลายชนิดล้วนเป็นนักล่าที่ดุร้าย
พวกสัตว์กลางคืนส่วนมากนั้นจะกลัวแสง ขณะที่โรแลนด์และเบทต้าเดินทางอยู่ ก็มีสิ่งมีชีวิตที่มีดวงตาสีเขียวร้องออกมาก่อนจะหลบเข้าไปในป่าใกล้ตัวมันและจากไป
หลังจากเป็นแบบนั้นอยู่หลายครั้ง เบทต้าก็พูดออกมาว่า “พวกมันเป็นกลุ่มหมาป่าน่ะครับ ทั้งรวดเร็วและตอบสนองใช้ได้”
โรแลนด์มองไปทางที่มืดและถามออกมาอย่างประหลาดใจว่า “นายมองเห็นพวกมันด้วย?”
“ในฐานะที่เป็นพ่อมดสายเลือดมังกร ผมมีความสามารถมองเห็นในที่มืด +2 ครับ” เบทต้าอธิบายออกมา “มันช่วยให้ผมสามารถมองเห็นทุกสิ่งได้ในระยะห้าสิบเมตร”
โรแลนด์เดาะลิ้นออกมา “ขุนนางผู้สูงศักดิ์มีพรสวรรค์ที่หลากหลายจริงๆ”
“แล้วพี่เลือกพรสวรรค์อะไรมาเหรอครับ?” เบทต้าถามด้วยความอยากรู้
“ยกเลิกท่าทางในการร่ายเวทย์และควบคุมพลังเวทย์” โรแลนด์อธิบายออกมา “พรสวรรค์แรกก็ตรงตัวเลย ส่วนควบคุมพลังเวทย์คือเพิ่มจำนวนองค์ประกอบเวทย์ที่พี่สามารถควบคุมได้… แต่จริงๆแล้วมันก็แปลกๆ การควบคุมเวทย์เป็นพรสวรรค์ที่ถูกบังคับให้เลือกและไม่สามารถเปลี่ยนได้ ดังนั้นจริงๆแล้วพี่ได้เลือกแค่พรสวรรค์เดียว”
เบทต้างุนงงเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าทุกอาชีพต่างเลือกได้สองพรสวรรค์เหรอครับ”
“นั่นแหละที่พี่สงสัยบางทีอาจจะเป็นเพราะพรสวรรค์นี้ที่ทำให้พี่สามารถรวบรวมพลังเวทย์ทั้งหมดไว้ในเวทย์บทเดียวได้” โรแลนด์ยักไหล่และพูดว่า “มีอีกหลายสิ่งในเกมเลยที่พวกเราจะต้อง….พวกเราถึงแล้ว”
พวกเขาทั้งคู่พูดไปด้วยเดินไปด้วย โดยไม่รู้ตัว พวกเขาก็ออกมาจากป่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นที่ราบ
บนขอบฟ้ามีแสงที่คลุมเครือและสั่นไหวอยู่
มันเป็นภาพลวงตาที่เกิดขึ้นเมื่อคบไฟบนกำแพงเมืองถูกลมพัด
มันคือเมืองเดลพอน!
โรแลนด์เคยได้ยินเบทต้าพูดถึงพรสวรรค์ซึ่งช่วยให้เขาหาเงินได้มาก่อน
ทว่าพรสวรรค์นั้นก็ไม่เคยปรากฏออกมาให้เห็นจนกระทั่งตอนนี้
โรแลนด์รู้สึกสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับพรสวรรค์ที่ช่วยให้สามารถเก็บเงินได้
“เอาล่ะไปหาเงินกันเถอะ”
พวกเขาสองคนปีขึ้นยอดเขา โดยมีเบทต้าเดินนำหน้า ถึงอย่างไรเบทต้านั้นก็เป็นอาชีพกึ่งแนวหน้าและมีความสามารถในการต่อสู้แนวหน้าดีกว่าโรแลนด์ เขาสามารถรับมือกับสัตว์อสูรและงูได้อย่างง่ายดาย
พวกเขาไม่ได้เจองูมากนักในระหว่างเดินทาง แต่ว่าก็มีบางตัวเข้าจู่โจมเบทต้า
ทว่าการตอบสนองของเบทต้านั้นเร็วกว่า เขาหั่นพวกมันเป็นชิ้นๆก่อนเก็บเข้ายังกระเป๋ามิติ
โรแลนด์งงไปทันที “นายทำอะไรน่ะ?”
“ผมว่าจะเก็บเอาไว้ย่างครับ”
“นายจะย่างงู?” โรแลนด์ถามออกมาเขานั้นเป็นคนเมืองใต้แท้ๆ “ไม่ใช่ว่างูสมควรเอาไปทำซุปมากกว่าเหรอ?”
แต่เบทต้าก็แย้งออกมา “ทุกอย่างย่างได้ทั้งนั้นแหละครับ! ดังนั้นมันไม่มีปัญหาหรอครับที่จะย่างงูกัน”
โรแลนด์ถูกทำให้พูดไม่ออก
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็มาถึงยอดเขา
ป่าตรงนี้ไม่ได้หนาแน่นเท่ากับตรงทางลาดชันที่พวกเขาเดินขึ้นมา เบทต้ามองไปบนฟ้าจากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆ “ที่นี่แหละครับ”
หลังจากพูดจบ เบทต้าก็นำดาบยาวออกมาจากกระเป๋ามิติและเริ่มขุดทันที
“เดี๋ยว!”
โรแลนด์รีบหยุดเขาและพูดว่า “ถ้านายดาบนายขุดเดี๋ยวมันจะพังเอานะ”
จากนั้นขณะที่เบทต้ากำลังมองมาด้วยความตกใจ เขาสร้างแขนเวทย์ขึ้นมาและแปลกมันให้เป็นพลั่ว จากนั้นก็เริ่มขุดอย่างรวดเร็ว
“พี่ทำแบบนั้นได้ด้วย?” เบทต้าเดาะลิ้น “นักเวทย์เป็นอาชีพที่ขึ้นอยู่กับจินตนาการ ถ้านายคิดว่ามันแย่มันก็จะแย่ หากนายคิดว่ามันดีมันก็จะดี ความแตกต่างระหว่างผู้เชี่ยวชาญและมือสมัครเล่นนั้นกว้างมาก”
โรแลนด์ใช้แขนเวทย์ขุดต่อไปเรื่อยๆและพูดว่า “ฉันคิดว่ามันก็ไม่ได้ยากนัก นายสามารถเรียนรู้จากคนอื่นได้ เหมือนกับไฟที่จะเผาไหม้รุนแรงขึ้นหากเติมฟืนเข้าไป”
เบทต้าพยักหน้า “พี่พูดถูกครับ”
พวกเขาทั้งคู่ต่างไม่คุ้นชินกับเวทมนตร์ หรือมากกว่านั้นผู้เล่นส่วนใหญ่ก็ยังคนเป็นมือใหม่อยู่
หลังจากขุดไปหลายเมตร โรแลนด์ก็เริ่มรู้สึกล้า หลังจากใช้เวทย์เป็นเวลานานเขาก็รู้สึกเหนื่อยพอสมควร
เบทต้าเช็คดูอีกครั้งและพูดว่า “ใกล้แล้วครับพี่ ขุดต่อไปครับ”
“อ่าห์!” โรแลนด์ถอนหายออกมา
หลังจากหลายสิบนาทีผ่านไป หลุมนั้นลุกเกือบสองเมตรแล้ว ในที่สุดแขนเวทย์ก็ขุดเจอบางสิ่งที่ไม่ใช่ดิน ดูเหมือนมันจะเป็นไม้ผุๆ
โรแลนด์และเบทต้ามองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น
หลังจากนั้น สิ่งที่ถูกฝังอยู่ในดินก็ปรากฏต่อหน้าพวกเขา
มันเป็นสุสานเล็กๆที่สูงกว่าสองเมตรมีรูปทรงโค้งงอ
สุสานนี้เสียหายเป็นอย่างมาก อาจจะเป็นเพราะอยู่มานานมาก โรงศพนั้นผุพัง มีโครงกระดูอยู่ด้านใน และมีขิ้นส่วนเสื้อผ้าขาดๆอยู่บนตัวของโครงกระดูก มีกลิ่นแปลกๆลอยขึ้นมาจากด้านล่าง
ทางมุมด้านซ้ายของสุสานมีไหสีดำตั้งอยู่
“เงินอยู่ในไหนั่นครับ!” เบทต้ากล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น
โรแลนด์ใช้แขนเวทย์เพื่อจับแจกันก่อนจะเขวี้ยงมันลงพื้น
ไหแตกออกมา เหรียญที่เปล่งประกายก็กระจายออกมา
มีเหรียญมากกว่าสองร้อยเหรียญเงิน และมีกระทั่งเหรียญทองสี่เหรียญ
ตอนนี้อัตราการแลกเปลี่ยนคือ 97 เหรียญเงินต่อหนึ่งเหรียญทอง ดังนั้นรวมๆแล้วเบทต้าเก็บเงินได้เกือบๆห้าเหรียญทองซึ่งเป็นเงินกว่าหกหมื่นห้าพันเหรียญ
“เป็นพรสวรรค์ที่น่าเหลือเชื่อมาก!” โรแลนด์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา “นายสามารถหาเงินมากมายขนาดนี้ได้ง่ายๆแบบนี้เลย?”
เบทต้ายิ้มมุมปากออกมาด้วยความพอใจ เขาแบ่งเงินทั้งหมดเป็นสองกองและดันกองหนึ่งไปทางโรแลนด์ “พี่ครับพวกเราแบ่งเงินเท่าๆกันนะครับ”
โรแลนด์มึนไปทันที “ฉันจะได้ส่วนแบ่งด้วยเหรอ?”
“แน่นอนครับ”
โรแลนด์ถามต่อไปทั้งๆที่ยังงงอยู่ “นายรู้รึเปล่าว่าเหรียญพวกนี้สามารถเปลี่ยนเป็นเงินจริงได้เท่าไหร่?”
“ก็แค่สามหมื่นเหรียญเองครับ”
แค่….สามหมื่น?
นั่นเป็นเงินแค่เล็กน้อยสำหรับหมอนี่เหรอ?
เมื่อมองไปยังท่าทางจริงจังของเบทต้า โรแลนด์ก็รู้สึกว่าตนเองถูกคนรุ่นหลังทิ้งไว้เสียแล้ว ถึงแม้ว่าเบทต้ายังเป็นมือใหม่ในหลายๆด้าน แต่โรแลนด์ก็ได้เห็นถึงน้ำใจของเขา
สิ่งที่โรแลนด์ทำหลังจบมัธยมน่ะเหรอ?
เขามักจะเล่นเกมกับชัคที่ร้านเน็ตหรือที่บ้านพร้อมกับโซดาเสมอ
เขาไม่เคยได้รับเงินมากกว่าสามหมื่นเหรียญมาก่อน ถ้าเกิดว่าเขาเก็บเงินได้กว่าหกหมื่นเหรียญในตอนที่เล่นอยู่กับชัค ตัวเขาจะยอมแบ่งให้กับชัครึเปล่านะ?
อาจจะแบ่ง….หรืออาจจะไม่แบ่ง
มันเป็นสิ่งที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน
ทันใดนั้นเอง เบทต้าก็มองไปยังโครงกระดูกและพูดด้วยเสียงแปลกๆว่า “นี่คือการปล้นสุสานรึเปล่าครับ?”
ก็อาจจะนะ แต่มันไม่ได้มีกฎหมายในเกมห้ามไว้สักหน่อย
ความยินดีจากโชคหล่นทับถูกแทนที่ด้วยเหตุผล พวกเขาทั้งคู่ต่างลังเลเกี่ยวกับเหรียญพวกนั้น
ยังไงก็ตามพวกเขาก็นับว่าเป็นพลเมืองที่ชอบด้วยกฎหมายพวกเขาไม่เคยเป็นโจรปล้นสุสานมาก่อนในชีวิตจริง แน่นอนว่าถ้าเป็นเกมอื่นๆ พวกเขาคงปล้นแม้กระทั่ง NPC ที่บริสุทธิ์ทั้งหลาย ทว่าเกมนี้มัยสมจริงมากมันทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาอาจจะก่ออาชญากรรมขึ้นถ้าเอาเงินพวกนั้นไป
ขณะที่พวกเขากำลังลังเลกันอยู่ก็มีบางอย่างพุ่งเข้ามาที่สุสาน
มีพลังความมืดบางอย่างรวมตัวกันที่สุสาน และเงามนุษย์โปร่งแสงก้ปรากฏตัวขึ้นภายในโลงศพ
เมื่อเห็นดังนั้นทั้งคู่ก็ถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้มันมืดมากแล้ว และอากาศเย็นก็กระจายไปทั่ว
วิญญาณ! โรแลนด์รู้ทันทีว่ามันคืออะไร เพราะเขาเคยเห็นวิญญาณฟอลเคิลมาก่อน
ทว่าวิญญาณดวงนี้ดูจะดุร้ายกว่าฟอลเคิล ตาสีส้ม ใบหน้าที่บิดเบี้ยว และมีพลังทางจิตที่ดูประหลาดและน่าขยะแขยง
“ฉันไม่ชอบมันเลยสักนิด”
เบทต้าก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เขาถอยหลังออกไปและตบแขนตัวเองอย่างกระอักกระอ่วน
“บางทีมันอาจจะเป็นจิตชั่วร้าย” โรแลนด์มองไปยังไหที่แตกและพูดว่า “บางทีมันอาจจะมาหาเราเพื่อคุยเกี่ยวกับค่าเสียหายที่พวกเราต้องชดใช้ที่ทำกระเป๋าตังค์ของมันพัง”
ฮ่ะๆๆ! เบทต้าหัวเราะฝืนๆออกมาและพูดว่า “พี่โรแลนด์มุกโคตรฝืด”
เขาเปิดกระทู้ขึ้นมา และพบว่ามีการตอบกลับมากกว่าสองหมื่นครั้งทั้งๆที่เขาพึ่งโพสต์ไปตอนเช้า โรแลนด์อดขำไม่ได้เมื่อเริ่มอ่านการตอบกลับเหล่านั้น
“โรแลนด์แกเป็นไองั่งไร้การศึกษา แกไม่รู้หรอกว่านางฟ้าคืออะไร…แม้งเอ้ย หน้าอก , ก้น และขานั่น ข้ายอมรับก็ได้ว่านางเป็นนางฟ้าสำหรับข้าจริงๆ”
“นี่คือทูตสวรรค์ของโบสถ์แห่งชีวิต? อ่าห์ดูเหมือนฉันจะไม่สามารถทอดทิ้งนักบวชที่อยู่บนไม้กางเขนนั่นได้และฉันคงต้องคิดเกี่ยวกับความศรัทธาของตัวเองใหม่”
“อ่าห์ ฉันเสร็จแล้ว”
“เฮ้ นายยังดีไม่พอหรอกนะ ฉันเสร็จไปสี่ครั้งแล้ว และกำลังจะเริ่มครั้งที่ห้า”
“นี่พวกนายทำตัวให้ลามกน้อยลงกว่านี้หน่อยได้ไหม? ใครก็ได้มอบรายละเอียดของนางฟ้าคนนี้ให้ฉันที ฉันอยากจะสร้างตัวละครใหม่”
“ตื่นได้แล้วสาวน้อย เธอไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหน้าตัวเองได้หรอก”
“มีผู้หญิงเล่นเกมนี้ด้วย? ฉันนึกว่าความเจ็บหนึ่งในสิบจะทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่กลัวเสียอีก”
“นายไม่เข้าใจอะไรเลย ผู้หญิงเผชิญกับความเจ็บปวดอยู่ตลอดทั้งจากการเป็นตะคริวและการตั้งท้อง แม้จะเป็นความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่สุดภายในเกมก็ไม่อาจเทียบได้นับประสาอะไรกับแค่หนึ่งในสิบ ขณะที่ผู้ชายไม่สามารถทนความเจ็บปวดได้เท่ากับผู้หญิง แต่จะว่าไปนางฟ้านี่ปวดประจำเดือนด้วยรึเปล่านะ?”
“ปวดเมนส์รึเปล่าไม่รู้ แต่นางฟ้านั่นต้องมาเป็นเมียฉัน!”
“ใครก็ได้ตีเจ้าโง่นั่นแล้วปลุกเขาที!”
“ผมแก่เกินกว่าที่จะสนใจในผู้หญิง แต่ว่าชื่อกระทู้ ‘พบเจอกับนางฟ้า’ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับมีหญิงสาวที่น่ารักร้องเพลงอยู่ข้างหูผมเลย”
“ฉึก! นายรู้จักอนิเมะเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วด้วย? นายต้องอายุสี่สิบแล้วแน่ๆ”
“นายกำลังหักหลังตัวเองอยู่เหมือนกันที่พูดมันออกมา”
“เดี๋ยวนะ…ทำไมฉันถึงได้ยินว่า ‘พบเจอกับอาเบะล่ะ?’”
“เพื่อนนายกำลังแพร่พิษออกมา! ฉันรู้ว่านายพูดถึงอะไร แต่มันก็อดที่จะเสิร์จในบิริบิริไม่ได้ฉันอยากจะร้อง”
“ฉันก็จะฟังมันด้วย!”
จากนั้นกว่าพันข้อความตอบกลับก็กลายเป็นเรื่องพบเจออาเบะ
โรแลนด์รู้ว่ามันคงไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่เขาก็ไม่อาจกลั้นความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองได้เขาจึงเข้าไปดูมันในบิริบิริ จากนั้นเขาพูดอะไรไม่ออกกว่าครึ่งชั่วโมง
เนิร์ดพวกนั้นอันตรายอย่างมาก แต่ว่าพวกเขาคงจะเป็นผู้เล่นส่วนใหญ่ ยังไงก็ตามจากการทำงานมาหลายปีพวกเขาก็น่าจะเก็บเงินห้าหมื่นเหรียญได้ พวกวัยรุ่นทั้งหลายที่ยังเรียนอยู่หรือพึ่งทำงาน คงยากที่พวกเขาจะซื้อแคปซูลได้
และก็เป็นพวกเนิร์ดนั่นเองที่ให้ทิปเขาอีกสามหมื่นเหรียญ พอมองไปที่ตัวเลขยิ่งทำให้เขารู้สึกสนใจทำงานลดลงไปอีก
สี่ทุ่มของคืนนั้นเองโรแลนด์เข้าเกมอีกครั้ง
เบทต้ายืนอยู่ถัดจากเขาไป
“พวกเราควรเริ่มเดินทางได้แล้ว” โรแลนด์มองไปยังกระท่อมของเขาที่อยู่ใกล้ๆ จริงๆแล้วเขาค่อนข้างชอบที่นี่ “ไปเมืองอื่นจากถนนหลักกันเถอะ”
เบทต้าก็รู้สึกเสียใจเช่นเดียวกัน เขาชอบที่จะเล่นกับเด็กๆที่นี่ ในวัยเด็กของเบทต้านั้นเขามักจะถูกหลอกหลอนด้วยหนังสือและการเรียน ทำให้เขาไม่มีเวลาเล่นมาก่อนจนกระทั่งเร็วๆนี้ นี่ถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงชอบอยู่กับคนอื่นๆ
พวกเขาทั้งสองมาถึงทะเลสาบจากทางสะพาน
เด็กๆกำลังเล่นกันอยู่และไม่ได้สังเกตเห็นโรแลนด์และเบทต้า
ตามจริงแล้วพวกเขาควรจากไปเงียบๆ
ทว่าเบทต้าก็ลังเลและพูดว่า “พี่โรแลนด์รอสักแปปนะครับ ผมจะไปบอกลาพวกนั้นหน่อย”
ก่อนที่โรแลนด์จะตอบตกลง เบทต้าก็วิ่งไปหาพวกนั้นเสียแล้ว
โรแลนด์ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงและเดินไปพิงราวสะพาน ที่นี่เงียบสงบ ทีเพียงเสียงปลากระโจนอยู่ในทะเลสาบ
ทางที่ดีที่สุดเขาควรรีบออกเดินทางโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นการบอกลาจะกลายเป็นการทรมาณ
อย่างที่เขาคิดไว้สิบนาทีต่อมาเบทต้าเดินกลับมาพร้อมกับกลุ่มเด็กที่กำลังร้องไห้และปาดน้ำตาอยู่
พวกเขาทั้งคู่อยู่ในเมืองมาระยะหนึ่ง เบทต้านั้นเล่นกับพวกเด็กๆ ย่างขาแมงมุมให้พวกเขา และเล่าเรื่องต่างๆให้พวกเขาฟัง พ่อแม่ของพวกเขายังไม่ดีเท่าเบทต้าเลยด้วยซ้ำ
พ่อแม่ของเด็กยากจนพวกนี้นั้นมักจะยุ่งอยู่ตลอดเวลาและมีเวลาให้ลูกของตัวเองน้อยมาก ดังนั้นเบทต้าจึงเป็นพี่ชายที่สมบูรณ์แบบสำหรับพวกเขา
เด็กๆต่างรู้สึกไว้ใจเขาและปฏิบัติกับเขาเหมือนคนในครอบครัว
แต่ตอนนี้เขาต้องจากไปแล้ว ทำให้พวกเขารู้สึกเศร้า
“ไปกันเถอะ” โรแลนด์ยืนตัวตรงก่อนโบกมือลาเด็กๆและค่อยๆเดินจากไป
เบทต้าเดินตามโรแลนด์ไปแต่เขาก็ต้องหันไปมองทุกๆครั้งที่เขาเดินจากไป
เด็กๆต่างอยู่บนสะพานไม่ได้ตามพวกเขาไป ทว่าเมื่อพวกเขาอยู่ห่างออกไปพวกเด็กๆต่างก็ร้องไห้ออกมา
เบทต้าหยุดอยู่หลายครั้งและทำท่าจะวิ่งกลับไป
แต่ทุกครั้งโรแลนด์จะเตือนเขาว่า “อย่าหยุด เดินตามฉันมา”
ทั้งสองเดินห่างออกมาเรื่อยๆ เสียงร้องไห้ของเด็กๆก็เริ่มหายไป
หลังจากนั้นพวกเขาก็มองกลับไป เมืองเรดเมาน์เทนนั้นถูกบดบังไปด้วยต้นไม้เรียบร้อยแล้ว
ตามจริงแล้วพวกเขาควรไม่ได้ยินเสียงร้องไห้อีกต่อไป
พวกเขาทั้งคู่เดินต่อไปอย่างเงียบๆ โรแลนด์ได้ยินเสียงเบทต้าหอบหายใจ
เขาร้องไห้หรอ?
โรแลนด์ไม่ได้หันกลับไปมองเพียงแต่เดินไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ
ถนนนั้นเต็มไปด้วยหลุมและบ่อทว่าพวกเขาทั้งคู่ต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญและไม่ได้รู้สึกลำบากออะไร
นกประหลาดแผดเสียงร้องภายในป่าลึกก้องไปยังภูเขาทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาอยู่ห่างไกลจากโลกมนุษย์
ถนนทอดยาวไปป่า พวกเขาเดินในร่มมากว่าครึ่งวัน และตอนนี้พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว
โลกนั้นมืดมิด
โรแลนด์ร่าย “บอลแสง” ออกมา
มันเป็นเวทย์ระดับศูนย์ซึ่งไม่สามารถทำดาเมจได้ แต่ว่ามันสามารถใช้ให้แสงสว่างได้
ทันใดนั้นเอง เบทต้าก็เข้ามาใกล้เขาและพูดว่า “พี่โรแลนด์รอเดี๋ยวก่อนครับ”
ความเศร้าหมองของเบทต้าถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้น เขาสมกับเป็นนักผจญภัย
“หือ? มีอะไร?” โรแลนด์ถามออกสงสัย
“มีเงินให้พวกเราเก็บครับ!”
มีเงินให้พวกเราเก็บ? ในตอนนั้นโรแลนด์ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการสื่ออะไร
“พรสวรรค์ของผมทำงานน่ะครับ” เบทต้าชี้ไปยังหุบเขาทางซ้ายมือและพูดว่า “มันมีแสงสีทองออกมาจากทองฟ้าทางด้านนั้นที่มีแต่ผมที่มองเห็นน่ะครับ มันเป็นสัญลักษณ์ของเงินครับ”
จากนั้นโรแลนด์ก็คิดว่ามันไร้สาระ มันจะมีเทพอยู่บนโลกได้ยังไง? นี่ก็แค่เกม…อย่างไรก็ตามเขาก็สังเกตเห็นความไม่สมเหตุสมผลบางอย่าง
ถ้านี่เป็นเกมการมีเทพอยู่ก็คงไม่แปลกอะไร แต่เหล่า NPC พวกนั้นก็ไม่ธรรมดาและเรียบง่ายเหมือนกับเครื่องมือทั่วไป แล้วเทพจะเป็นตัวแทนของอะไรกัน? โรแลนด์เคยคิดว่าเพนกวินคอโปเรชั่นใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตเกมนี้ออกมา
อย่างไรก็ตามเมื่อมีการมาถึงของนางฟ้า โรแลนด์กลับรู้สึกว่านี่มันเหนือกว่าเทคโนโลยีขั้นสูงเสียอีก
บางทีมันอาจจะเป็นบางสิ่งที่ไม่เป็นที่ยอมรับ
เขาถอนหายใจออกมาและคิดว่าตนเองนั้นคิดมากเกินไป
มันเป็นนิสัยของเขาที่มักจะคิดเมื่อเจอสิ่งใหม่ๆ พูดได้ยากว่ามันเป็นนิสัยที่ดี
การคิดแบบเลี่ยงไม่ได้นี้ทั้งทำให้เขาเสียเวลาและไม่สามารถตัดสินใจกะทันหันได้
มันก็ดีถ้าหากเขาสามารถคิดบางอย่างออกมาได้ ทว่าหากเขาคิดผิดเขาก็ทำได้เพียงหงุดหงิดกับความคิดของตัวเองแค่นั้น
ด้วยความคิดที่มากมาย โรแลนด์จึงไปรอในร่มเงาของต้นไม้
ชาวบ้านต่างแยกย้ายกันเมื่องานศพจบลง โรแลนด์สังเกตุเห็นใบหน้าของพวกเขาเพียงเพื่อดูว่าไม่มีใครเห็นอะไรที่ไม่ปกติ
หลังจากนั้นไม่นานนัก เบทต้าที่เหงื่อท่วมไปทั้งตัวก็พุ่งมาหาเขาพร้อมถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกันครับ? ผมเห็นเสาแสงและบางอย่างที่เหมือนจะเป็นนก พี่ไปกระตุ้นเควสอะไรเข้ารึเปล่าครับ พี่โรแลนด์?”
เหมือนว่าเบทต้าจะเห็นมัน
หรือว่าผู้เล่นทั้งหมดจะสามารถมองเห็นมันได้?
ความคิดของโรแลนด์ล่องลอยไปอีกครั้ง ก่อนที่ไม่กี่วิต่อมาเขาจะตอบกลับไปว่า “วิญญาณของฟอลเคิลถูกรับไปโดยนางฟ้า”
โรแลนด์บอกกับเขาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และเบทต้าก็ฟังด้วยความตกใจ
เบทต้าถึงกับเงียบไปเมื่อได้ยินดังนั้น
โรแลนด์ทำได้เพียงแค่ยิ้ม เบทต้าดูเหมือนจะเป็นพวกคิดเยอะอีกคนเหมือนกับเขา
“เกมนี้มีอะไรแปลกๆสำหรับผม” ไม่นานนักเบทต้าก็มองไปยังท้องฟ้าสีครามด้วยสีหน้าจริงจัง
โรแลนด์พยักหน้าออกมาอย่างเห็นด้วย
จากนั้นโลกก็กลายเป็นสีขาวดำ เวลาของวันนี้หมดลงแล้ว
โรแลนด์ตื่นขึ้นมาภายในแคปซูล เขาไปอาบน้ำและเปิดคอมพิวเตอร์
เขาเข้าไปเช็คยังเว็บบอร์ด หัวข้อเกี่ยวกับบอลเพลิงนรกไม่ได้เป็นประเด็นร้อนอีกต่อไป ตอนนี้ผู้เล่นต่างพูดถึงเหตุการณ์ที่น่าสนใจและสิ่งใหม่ๆที่พบภายในเกมนี้
มีหัวข้อที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมอยู่ในบทความตอนนี้
มันก็กว่าสองเดือนแล้วที่เกมได้เปิดทำการ ผู้เล่นชายหลายคนเคยทดลองมีเซ็กส์กับเหล่า NPC ผู้หญิง
ผู้หญิงบางคนโดยเฉพาะคนที่เต็มไปด้วยสเน่หายังเคยร่วมหลับนอนกับ NPC ที่เป็นขุนนางและได้รับทรัพยากรจำนวนมหาศาล
หัวข้อในครั้งนี้คือการมีเซ็กส์กับ NPC ในเกมสามารถเป็นที่ยอมรับได้หรือไม่
โรแลนด์พบว่ากระทู้นี้ค่อนข้างไร้สาระ จากการประกาศของทางการ ผู้เล่นทุกคนภายในเกมล้วนแล้วแต่เป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังมีวิธีตรวจสอบที่แน่นอนว่าคนที่ใช้แคปซูลอยู่นั้นเป็นผู้ใหญ่หรือไม่
ก็ในเมื่อผู้เล่นทุกคนล้วนแต่เป็นผู้ใหญ่ทั้งหมด ดังนั้นพวกเขาสามารถตัดสินใจกันเองได้
โรแลนด์ได้ข้อมูลมาเพียงเล็กน้อยจากเว็บบอร์ด เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนอัปโหลดวีดีโอที่เขาได้อัดไว้ก่อนหน้าและตั้งชื่อกระทู้ว่า “พบเจอนางฟ้า”
จากนั้นเขาก็ออกจากบ้านและไปทานอาหารเช้าที่ร้านแถวบ้าน ก่อนที่เขาจะไปสโมสรมวยด้วยมอเตอร์ไซค์ของเขา
มันยังคงเช้าอยู่ นอกจากพนักงานและโค้ช มีผู้เรียนอยู่เพียงแค่สามคนในสโมสร
และโรแลนด์เป็นคนที่สี่
โค้ชกำลังแนะนำเด็กสาวที่ดูแข็งแรงคนหนึ่งอยู่ เขาสอนเธอถึงวิธีการออกแรงเตะ เมื่อเขาเห็นว่าโรแลนด์เดินเข้ามา เขาก็ยิ้มและทักททายว่า “คุณเป็นนักเรียนที่ขยันที่สุดที่ผมเคยพบมา คุณมาเร็วเสมอและกลับเป็นคนสุดท้ายเป็นประจำ”
“ผมจ่ายเพื่อสิ่งนี้อยู่แล้ว” โรแลนด์ยักไหล่ก่อนพูดว่า “นอกจากนี้ตอนนี้ผมว่างงานอยู่ ผมมีบางสิ่งที่ต้องทำอยู่”
โค้ชเป็นชายวัยกลางคนที่อยู่ในเสื้อกล้าม กล้ามเนื้อของเขาไม่ได้ดูสะดุดตานัก ทว่าเขานั้นทั้งแข็งแรงและยืดหยุ่น เขาหยิบนวมมาสองคู่และยื่นให้กับโรแลนด์คู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดว่า “คุณยืดกล้ามเนื้อมาครึ่งเดือนแล้ว คงได้เวลาฝึกจริงๆสักที แต่ก่อนหน้านั้นผมขอทดสอบความเร็วในการตอบสนองและสัญชาติญาณในการต่อสู้ของคุณก่อน”
โรแลนด์สวมถุงมือและถามว่า “พวกเขาจะทดสอบกันยังไง? ซ้อมต่อสู้เหรอ?”
“ใช่แล้ว”
ขณะที่กำลังคุยกันอยู่ โค้ชก็พุ่งเข้าต่อยตาซ้ายของโรแลนด์อย่างกะทันหัน
จากนั้นโรแลนด์ก็ถอยหลังทำให้โค้ชพลาดเป้า
“หือ?”
เขารู้สึกงงไปชั่วขณะ แต่โค้ชก็ยังยกขาขึ้นและเตะต่อ
ทว่าเขาแทบจะไม่ขยับเลยเมื่อเห็นโรแลนด์ถอยหลังหลบการโจมตีของโค้ชอย่างรวดเร็ว
โค้ชนั้นไม่ได้เตะออกมาจริงๆ เขาเพียงแค่วัดการตอบสนองของโรแลนด์เท่านั้น นี่ไม่ใช่การต่อสู้จริง
“คุณตอบสนองได้เร็วมาก”
โค้ชลดหมัดลงก่อนจะเข้าใกล้โรแลนด์พร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมประเมินว่า…”
ปัง!
หลังจากการปะทะกัน โรแลนด์ก็ถอยออกไปสามก้าว พร้อมกับนวมที่ป้องกันใบหน้าเขาไว้ เขาค่อนข้างตกใจพอสมควร
โค้ชยิ่งมองมาก็ยิ่งสงสัย เขาขยับมือขวาก่อนเผลอพูดออกมาอย่างตกใจ “คุณมีการมองเห็นแบบไดนามิกแน่นอนเลย!”
ใครก็ตามที่ไม่ได้ตาบอดต่างก็มีการมองเห็นแบบไดนามิก แต่สิ่งที่โค้ชกำลังจะสื่อถึงคือผู้ที่มีการตอบสนองอย่างรวดเร็ว
หมัดของโค้ชนั้นเร็วแค่เขาไม่ได้ออกแรงมากนัก
โรแลนด์หยุดและวางมือของเขาลง “คุณมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัวเลย”
“อ่าหะ ผมรู้แล้วหละว่าผมจะสอนคุณยังไงดี” โค้ชเดาะลิ้นของเขาด้วยความประหลาดใจ “การตอบสนองของคุณรวดเร็วมากถึงแม้ว่าคุณจะไม่เคยฝึกฝนมาก่อนก็ตาม ถ้าคุณฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กละก็ คุณอาจจะสามารถเข้าชกในระดับแชมเปี้ยนชิปได้ ผมเกลียดคนมีพรสวรรค์แบบคุณมากที่สุด ดังนั้นผมจะไม่สอนคุณแบบสุดความสามารถ”
โรแลนด์หัวเราะออกมา “โค้ชไม่ลำเอียงไปหน่อยเหรอ?”
โค้ชหัวเราะออกมาและเริ่มสาธิตท่าเริ่มต้นสามท่า
จากนั้นเขาก็ขอให้โรแลนด์ฝึกเริ่มฝึกท่าก่อน
ภายในสโมสรโรแลนด์ฝึกท่าทั้งสามอย่างหนักจนตัวของเขาท่วมไปด้วยเหงื่อ เขาไม่ได้ออกจากสโมสรจนกระทั่งเที่ยง
เขากลับมาอาบน้ำอีกรอบที่บ้าน อย่างไรก็ตามเหงื่อทำให้เขาเหนียวตัวและรู้สึกอึดอัด
ด้วยความผ่อนคลาย เขาเปิดคอมพิวเตอร์และเข้าไปยังเว็บบอร์ด
มีการแจ้งเตือนจากระบบเข้ามาสองหน้า
ส่วนใหญ่นั้นเป็นทิป
เป็นกระทู้มาแรงอีกแล้วใช่ไหม?
โรแลนด์เปิดกระทู้ที่เขาโพสต์ไว้เมื่อตอนเช้าด้วยความสงสัย
สายลมพัดพาความร้อนผ่านไป ผ้าคลุมของโรแลนด์ปลิวไสวไปตามแรงลม ทว่าเสื้อคลุมขอบเขียวของฟอลเคิลกลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
ดูเหมือนฟอลเคิลจะอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ทางกายภายแล้ว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งโรแลนด์ก็ถามออกมาว่า “คุณขอให้ผมรีบออกจากเมืองเรดเมาน์เทนงั้นเหรอ?”
มันไม่ใช่ความคิดสุ่มๆ มันเป็นสิ่งที่เขาคิดได้เมื่อนึกถึงประโยคทั้งหมด
ฟอลเคิลยิ้มและพูดว่า “เจ้าฉลาดจริงๆ ข้าหวังว่าเจ้าจะออกจากเมืองนี้เร็วเท่าที่เป็นไปได้”
“ทำไมคุณถึงอยากให้พวกเราไปนักล่ะ?” โรแลนด์ถามออกมาด้วยความสงสัย
“มันไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าหรอก มันเกี่ยวกับพวกเขา” วิญญาณของฟอลเคิลมองลงไปยังเมืองอย่างอ่อนโยนพร้อมพูดว่า “เจ้าทำลายสมดุลของเมืองนี้ ข้าไม่ได้จะต่อว่าเจ้า เจ้าทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ทว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับเมืองนี้”
โรแลนด์ที่ยืนอยู่ข้างฟอลเคิลถามออกมาด้วยความสนใจว่า “ผมไม่ได้สังเกตุเลยว่าผมมีอิทธิพลต่อเมืองนี้ในทางไหน”
“เจ้าแตกต่าง” ฟอลเคิลมองโรแลนด์พร้อมพูดว่า “เจ้าและบุตรทองคำที่มาถึงนั้นแตกต่างจากพวกเรา เจ้าไม่ได้ถ่อมตัวหรือทำตัวหยิ่งผยอง เจ้าปฏิบัติต่อทุกสิ่งอย่างเท่าเทียม มันเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับเด็กๆในเมืองนี้”
โรแลนด์รู้สึกมึนงง “ทำไมล่ะ?”
“เพราะพวกเขาไร้ซึ่งอำนาจ” ฟอลเคิลพูดอย่างสิ้นหวัง “พวกเขาไม่มีภูมิหลังครอบครัวที่โดดเด่น พวกเขาไม่สามารถแม้กระทั่งอ่านได้ด้วยซ้ำ ทว่าเขากลับเรียนรู้วิธีการจัดการกับปัญหาต่างๆจากเจ้า เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาเต็มไปด้วยศักดิ์ศรีแต่ไร้ซึ่งอำนาจและต้องเผชิญหน้ากับขุนนางหรือผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่ง”
คำพูดของเขาตรงไปตรงมา แต่สำหรับโรแลนด์มันทิ่มแทงใจเขาเกินไป มันค่อนข้างน่าตกใจ เสียงร้องของแมลงและนกรอบข้างราวกับดังขึ้นจากเดิม
เขากลืมน้ำลายเข้าไปโดยไม่รู้ตัวและพูดว่า “โลกใบนี้โหดร้ายขนาดที่คนคนหนึ่งไม่สามารถปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองได้เลยเหรอ?”
“ทำได้ถ้าพวกเขาแกร่งพอ ทว่าพวกเขานั้นไม่ใช่” ฟอลเคิลพูดออกมา “โลกของบุตรทองคำนั้นเป็นโลกที่ทุกคนต่างอยู่กันอย่างสงบสุขและไม่มีการเลือกปฏิบัติตั้งแต่ต้นใช่ไหม?”
แน่นอนว่าไม่! หลังจากเงียบลงสักพักโรแลนด์ก็ยิ้มอย่างขมขื่น “เข้าใจแล้ว”
จากนั้นเขามองไปยังฟอลเคิลพร้อมกับพบอะไรแปลกๆ “ทำไมรู้สึกเหมือนว่าความคิดของคุณถึงดูคล่องแคล่วขึ้นเมื่อคุณเป็นวิญญาณ?”
ฟอลเคิลตอบออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อายุที่มากขึ้นส่งผลต่อความสามารถอย่างชัดเจน ตัวข้าในตอนนี้มาจากสมัยที่ข้าแข็งแกร่งที่สุดในชีวิต”
โรแลนด์ถอนหายใจออกมา เขาก็รู้สึกเช่นกันว่าทั้งเขาและเบทต้าอาศัยอยู่ในเมืองนี้มานานเกินไปและเริ่มส่งผลบางอย่างกับเมืองแล้ว เขามองไปยังทะเลสาบเขาเห็นเบทต้ากำลังเล่นดาบกับเด็กๆอยู่ “คุณตระหนักถึงความผิดปกตินี้ได้ตอนไหนกัน?”
“ครึ่งนาทีก่อนที่ข้าจะตาย ข้าคิดหลากหลายสิ่ง” ฟอลเคิลส่ายหน้าออกมา “ในความเป็นจริง เมืองนี้ทั้งเล็กและมีประชากรน้อย เจ้าสามารถส่งผลกระทบกับพวกเขาได้ง่าย ทว่าเมืองใหญ่นั้นแตกต่าง มีกว่าล้านคนอาศัยอยู่ที่เดลพอล ถ้าเจ้าไปยังที่นั้นเจ้าจะเป็นเพียงแค่ขวดหมึกที่ถูกโยนลงมหาสมุทรจะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง”
“อ่าหะ ผมเข้าใจ” เมื่อรู้ว่าฟอลเคิลยังไม่ตายจริงๆเขาจริงหยอกล้อเขาเล็กน้อย “ผมจะจากไปหลังจากวางดอกไม้ไว้หน้าหลุมศพของคุณ”
ฟอลเคิลงงไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “มันคงจะแปลกถ้าเจ้าทำอย่างนั้น… มีกิลด์นักเวทย์อยู่ที่เดลพอลเจ้าสามารถเข้าร่วมกับพวกเขาได้ เพื่อที่จะได้เรียนรู้พื้นฐานต่างๆ ทว่าเจ้าต้องระวังตัวไว้ให้ดีนักเวทย์นั้นต่างเชื่อกันว่าผู้ที่อยู่รอดคือผู้ที่เหมาะสม เจ้าจะต้องระวังตัว ไม่เช่นนั้นนักเวทย์คนอื่นจะฆ่าเจ้าทิ้ง นอกจากนั้นพวกนักเวทย์นั้นดูฉลาดไปซะหมดสำหรับข้า”
“กิลด์ของนักเวทย์ เข้าใจแล้ว!” โรแลนด์คิดกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ผมจะอยู่กับคุณจนกว่าคุณจะไปสรวงสวรรค์”
“ไม่จำเป็นหรอก เพราะท่านทูตสวรรค์ได้มาถึงแล้ว” ฟอลเคิลชี้ไปยังท้องฟ้า
วงแหวนสีทองปรากฏขึ้นบนทองฟ้าในสักที่หนึ่ง จากนั้นมันก็ขยายขึ้นเรื่อยๆและกลายเป็นกระจกสีทองขนาดมหึมาครอบคลุมครึ่งหนึ่งของท้องฟ้า
พืชสีเขียว , ทะเลสาบ และจุดเล็กๆที่น่าจะแทนมนุษย์สามารถมองเห็นได้อย่างเลือนรางจากในกระจก
มันเป็น…ทางเข้าสู่สรวงสวรรค์รึเปล่า? โดยไม่รู้ตัวโรแลนด์ก็เริ่มบันทึกเหตุการณ์ไว้
สำหรับโรแลนด์นี่เปฌนปรากฎการณ์ที่น่าสนใจ ทว่ากลับฟอลเคิลนั้นนี่คือความฝันทั่วทั้งชีวิตของเขา
“สวรรค์!” ฟอลเคิลมองไปยังฟากฟ้าก่อนอ้าแขนอย่างเร่งรีบราวกับเขาพยายามจะโอบกอดบางสิ่ง
เสาแสงสีเขียวปกคลุมไปยังเขา
พลังแปลกๆของเสาแห่งแสงทำให้โรแลนด์รู้สึกอึดอัด เขาเผลอถอยหลังออกมา
เสียงดนตรีแปลกใหม่ดังก้องไปบนฟากฟ้า ขนนุกสีดสดใสนับไม่ถ้วนร่วงลงมาปกคลุมทั่วทั้งเมือง นางฟ้าที่สูงราวๆ 1.75 เมตร ค่อยๆลอยลงมาจากบนฟ้าและลงมาอยู่ต่อหน้าฟอลเคิล
ฟอลเคิลคุกเข่าลงข้างหนึ่งก่อนพูดออกมาด้วยความเคารพว่า “ท่านนางฟ้าผู้แสนงดงามและน่าเกรงขราม ข้าขอต้อนรับการมาถึงของท่าน”
นางฟ้าผู้นี้นั้นไร้ซึ่งที่ติใดๆบนใบหน้าและร่างกาย เธอพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ฟอลเคิลด้วยการอุทิศตนและการมีส่วนร่วมของเจ้า เข้าได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในสรวงสวรรค์ในฐานะวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เจ้าจะมีชีวิตอมตะและไร้ซึ่งโรคภัยและความเจ็บปวด”
“เป็นเกรียติแก่ข้ามาก!” ฟอลเคิลสั่นเทิ้มไปด้วยความยินดี
นางฟ้าพยักหน้าออกมาด้วยความพึงพอใจ จากนั้นนัยน์ตาสีฟ้าของเธอก็จ้องมองไปยังโรแลนด์ “นักเวทย์มนุษย์? เจ้ามีวิญญาณที่พิเศษ”
โรแลนด์ขมวดคิ้วและก้าวถอยหลังออกมา นางฟ้านั้นดูเป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุดที่เขาเคยพบแต่เธอก็อันตรายมากเช่นเดียวกัน
“พิเศษยังไง?” โรแลนด์ถามกลับและเดินกลับไปด้านหน้า
เธอสังเกตเห็นความระแวงมาจากดวงตาของโรแลนด์ เธอหัวเราะเล็กน้อยและย้ายสายตาของเธอมาที่ฟอลเคิล
“ไปกันเถอะฟอลเคิล เจ้าไม่เกี่ยวข้องกับโลกทางนี้อีกแล้ว” เสียงของนางฟ้าดูเมตตาเป็นอย่างมาก
“ครับ!” ฟอลเคิลยืนขึ้น
นางฟ้าสะบัดปีกของเธอและค่อยๆบินขึ้นไป ฟอลเคิลลอยขึ้นฟ้าไปพร้อมกับเสาแห่งแสง เขาโบกมือลาให้กับโรแลนด์ จากนั้นเขาก็เล็กลงไปเรื่อยๆ
ไม่กี่นาทีให้หลัง เขาก็หายเข้าไปในกระจกสีทอง
โรแลนด์โบกมือให้กับท้องฟ้าจากนั้นก็เอามือลง
กระจกนั้นหายไปแล้ว เสียงดนตรีก็เช่นกัน
ท้องฟ้ากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ชาวบ้านที่กำลังภาวนาต่อฟอลเคิลยังคงอยู่ที่สวนด้านหลัง
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สังเกตเห็นปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติเมื่อครู่
โรแลนด์รู้สึกหนาวเมื่อลมพัดผ่านร่างของเขาถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงฤดูร้อนอยู่ก็ตาม
เขาตระหนักว่าเกมนี้ซับซ้อนกว่าที่เขาเคยจินตนาการไว้มาก
นี่เทพ…มีอยู่จริงๆเหรอ?”
เหมือนกับที่โรแลนด์คิดเอาไว้ ฟอลเคิลเสียแล้ว
ชายชราหลับสนิทอยู่บนเตียงภายในโบสถ์พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
ชาวบ้านต่างหลั่งไหลเข้าไปในโบสถ์โดยไม่มีใครพูดคุยกัน
ผู้หญิงอารมณ์อ่อนไหวบางคนแอบปาดน้ำตาอย่างเงียบๆ
พวกเขารู้ว่าฟอลเคิลรอวันนี้มาตลอด มันเป็นความปรารถนาของนักบุญทุกคนที่จะต้องการไปยังสรวงสวรรค์
แต่สำหรับชาวบ้านนั้น พวกเขาได้สูญเสียนักบวชที่เป็นคนในครอบครัวและผู้ปกป้องพวกเขาไป
ช่วงหลายสิบปีที่ฟอลเคิลอาศัยอยู่ในเมืองเรดเมาน์เทน เขาปฏิบัติต่อชาวบ้านอย่างเป็นกันเองและเจรจากับนายกให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนธรรมดานั้นไม่ยากลำบาก
ชีวิตคือชีวิตเมื่อฟอลเคิลยังอยู่
ตอนนี้เขาได้จากไปแล้ว ชาวบ้านจำเป็นต้องดิ้นรนเพื่ออยู่รอด
พวกเขารู้สึกสูญเสีย
เมื่อนายกมาถึงชาวบ้านต่างหลีกทางให้เขา
โรแลนด์ก็มาถึงเช่นกันชาวบ้านก็หลีกทางให้เขาเช่นกัน
นายกนั้นมีหนวดเคราและเป็นชายวัยกลางคนที่หล่อเหลา เขามองไปยังฟอลเคิลที่อยู่บนเตียงอย่างเศร้าสร้อย ในมือของเขาถือไม้เท้าสีดำเอาไว้อยู่
เขาไม่ได้หันหลังไปมอง ทว่าเหมือนเขาจะสัมผัสได้ถึงโรแลนด์ เขาถามด้วยความเศร้าว่า “เขาได้พูดอะไรก่อนที่เขาจะจากไปรึเปล่า?”
โรแลนด์หยุดพร้อมกับส่ายหน้าออกมา
นายกถอนหายใจให้กับใบหน้าที่ยิ้มอย่างมีความสุขของฟอลเคิล เขาหยิบดอกไม้ที่เหี่ยวย่นออกมาจากกระเป๋าของเขาและวางไว้บนหน้าอกของฟอลเคิล
ชาวบ้านต่างมีท่าทางแปลกๆเมื่อได้เห็นดอกไม้นี้
โรแลนด์ไม่ได้สังเกตท่าทางของพวกเขา เขาค่อนข้างเศร้า ฟอลเคิลช่วยเขามากมายในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาในฐานะของผู้แนะนำในโลกนี้ เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะไม่ได้พบฟอลเคิลอีกครั้ง
เขาจมอยู่ในความโศกเศร้าและไม่ได้สังเกตพฤติกรรมของคนอื่นๆ
นอกจากนี้ โรแลนด์คิดว่ามันเป็นปกติที่จะมอบดอกไม้ให้ผู้ตาย
เขาไม่ได้รู้เลยว่า ตามธรรมเนียมของเมืองเรดเมาน์เทนนั้นดอกไม้ดังกล่าวจะถูกมอบโดยบุตรชายให้แก่บิดาที่ล่วงลับไปแล้ว
“ฝังเขา” นายกพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์
ชายหนุ่มสี่คนเดินเข้ามาและย้ายร่างของฟอลเคิลอย่างระมัดระวังไปยังโรงศพที่ได้เตรียมการมานานแล้ว
ฟอลเคิลทิ้งโลงศพไว้ข้างเตียงเมื่อเขารู้ว่าเขากำลังจะตาย
โลงศพถูกปิดและยกออกไป ผู้คนต่างหลีกทางให้
ชายหนุ่มหลายคนได้ขุดหลุมเตรียมไว้ที่สวนด้านหลัง มีป้ายแผ่นหินสี่เหลี่ยมวางไว้อยู่ด้านหน้า
โลงศพถูกลากเข้าไปในหลุม ผู้หญิงบางคนปิดปากเพื่อไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา
นายกมองไปบนท้องฟ้า ตาของเขาแห้งกร้าน อากาศที่ดีที่สุดสำหรับงานศพคือวันที่ฝนตกหรือวันที่มีเมฆมาก ทว่าวันนี้กลับเป็นวันที่แดดออกและมีแสงจ้าออกมา
นายกเกือบจะลืมตาไม่ขึ้น
โรแลนด์ไม่ได้ไปร่วมวงกับพวกเขา เขาถอยออกมาและยืนมองชาวบ้านเติมเต็มสวนหลังโบสถ์ ยังคงมีชาวบ้านอีกมากที่ยืนอยู่เงียบๆอยู่นอกโบสถ์
บางทีอาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่โรแลนด์ได้เข้าร่วมงานศพ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเขาอยู่ในเกม บางทีเขาก็รู้สึกมันไม่จริง เขาเศร้าก็จริง ทว่าเขาก็รู้สึกอยากจะหัวเราะขึ้นมาด้วยเหตุผลบางอย่าง
คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตระหนักว่าที่เขาอยากจะหัวเราะเป็นเพราะว่าใบหน้าที่ยิ้มแย้มของฟอลเคิล ฟอลเคิลเป็นชายชราที่ร่าเริงเสียจริงที่สามารถยิ้มออกมาอย่างมีความสุขแม้ว่าจะเป็นวันตายของเขา
จากนั้นเขาก็ปล่อยผ่านความคิดนั้นไป ถ้าหากผู้ตายไม่คิดว่าการตายนั้นน่ากลัวอะไร เขาก็ไม่ควรรู้สึกเศร้าให้แก่ฟอลเคิล ทว่าเขาก็รู้สึกแย่เล็กน้อยที่ไม่สามารถมีโอกาสได้พูดคุยกับฟอลเคิลอีก
เขาถอนหายใจออกมายาวๆ และคิดว่ากำลังจะจากไป ทว่าเขาเห็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลในชุดคลุมสีขาวยืนอยู่ตรงหน้าเขา ชายคนนั้นยิ้มออกมาอ่อนโยนและดูคุ้นเคย ทว่าโรแลนด์ก็ถอยหลังออกมาโดยไม่รู้ตัว
เป็นเพราะว่าชายหนุ่มตรงหน้าเขานั้นโปร่งแสง โรแลนด์สามารถมองทะลุตัวเขาไปยังไม้ด้านหลังได้
นี่เขาเป็นผีหรือเป็นสกิลล่องหนบางอย่างกันแน่?
ชายหนุ่มหัวเราะออกมา “อะไรกันเจ้าจำข้าไม่ได้เหรอ?”
เสียงของเขานั้นทั้งดูอบอุ่นและคุ้นเคย…ดวงตาเขาเบิกกว้างพร้อมมองไปที่สวนด้านหลังของโบสถ์ที่โลงศพถูกฝังอยู่โดยไม่รู้ตัว เขามองกลับมายังชายหนุ่มตรงหน้าพร้อมถามออกมาอย่างไม่มั่นใจว่า “ฟอลเคิล?”
“ข้าเอง!” ชายหนุ่มพยักหน้าออกมา
โรแลนด์มองไปรอบๆอีกครั้งและพบว่าไม่มีใครเห็นฟอลเคิลเลย ถึงแม้ว่าบางคนจะมองมาทางเขา แต่พวกเขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นอะไรที่ผิดปกติ
“คนธรรมดามองไม่เห็นข้าหรอก” ฟอลเคิลยิ้มออกมาและพูดว่า “มีเพียงคนที่มีพลังวิญญาณเพียงพอเท่านั้นที่จะสามารถพูดคุยกับข้าได้”
“นี่คุณตายจริงๆใช่ไหม?” โรแลนด์เดินสำรวจฟอลเคิลอย่างไม่รู้ตัวก่อนถามออกมาอย่างสงสัยว่า “คุณเป็นวิญญาณใช่ไหม?”
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับมุมมอง! สำหรับคนธรรมดาข้านั้นตายไปแล้ว เพราะพวกเขาไม่สามารถมองเห็นหรือพูดคุยกับข้าได้ และข้าก็ไม่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาได้ ดังนั้นฟอลเคิลจะไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิตของพวกเขาอีกต่อไป” ฟอลเคิลชี้ไปที่หัวของโรแลนด์และพูดว่า “แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญเช่นเจ้า ข้ายังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่อยู่ในรูปแบบที่ต่างจากเดิมเท่านั้น”
คำพูดของฟอลเคิลดูสมเหตุสมผล โรแลนด์รู้สึกว่าเขายังมีชีวิตอยู่เพียงแค่กลายเป็นวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเขายังไม่ได้จากไปไหน โรแลนด์ก็ไม่ได้เศร้าอีกต่อไป
เขาถามว่า “แผนต่อไปของคุณคืออะไร? เดินเล่นในหมู่บ้านทั้งๆที่เป็นวิญญาณ?”
“ข้าจะไปยังสรวงสวรรค์” ฟอลเคิลยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ข้าบอกเจ้าไว้แล้วนี่”
“แต่….” โรแลนด์มองไปรอบๆและถามว่า “ยังไงล่ะ?”
“ทูตของเทพธิดาจะมารับข้าไป และประตูสู่สวรรค์จะเปิดออก อีกไม่นานนักหรอก”
โรแลนด์พยักหน้าออกมา “อ่าหะ”
ตามจริงเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ฟอลเคิลพูดออกมา
“ก่อนที่ข้าจะไปข้าอยากจะบอกอะไรกับเจ้าสักหน่อย” ฟอลเคิลพูดพร้อมยิ้มอย่างหยอกล้อ “เจ้ากำลังมีช่วงเวลาที่ลำบากกับเวทมนตร์อยู่ใช่ไหมล่ะ?”
โรแลนด์พยักหน้า ความสามารถทางภาษานั้นทำให้เข้าปวดหัวหนักมาก
“นักเวทย์นั้นต่างจากพ่อมดและนักบวช” ฟอลเคิลอธิบายออกมา “เวทย์ของเจ้าจะขึ้นอยู่กับความเข้าใจในองค์ประกอบเวทย์ ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการร่ายเวทย์ของเจ้านั้นสูงกว่าพวกข้ามาก จอมเวทย์จะเข้าสู่ชั้นยอดได้เมื่อสามารถใช้เวทย์ระดับสองได้ เจ้ายังอยู่อีกไกล ทว่าเจ้าก็เรียนรู้อย่างสองอย่างเกี่ยวกับเวทย์ระดับสองแล้ว มันน่าชื่นชมมาก”
“แล้วผมควรทำอะไรต่อดี” โรแลนด์ถามออกมา
“เรียนรู้เวทย์ระดับหนึ่งเพิ่มขึ้นและสร้างรากฐานของตัวเองไว้ เจ้าจะสามารถเรียนมันได้เมื่อเจ้าเก่งพอ” ฟอลเคิลพูดออกมา “หรือเจ้าสามารถเรียนเกี่ยวกับการทำสมาธิแบบพิเศษซึ่งเป็นสกิลเฉพาะของนักเวทย์ที่สามารถช่วยการฝึกฝนจิตใจของเจ้าได้ เมื่อเจ้าเชี่ยวชาญการทำสมาธิแบบพิเศษแล้ว เจ้าจะสามารถใช้เวทย์ที่สูงกว่าระดับของเจ้าได้”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกนักเลงก็จากไปทั้งน้ำตาพร้อมหน้าที่บวมฉ่ำและรอยฟกช้ำตามตัว ดูน่าเวทนาเป็นอย่างมาก
“เควสเสร็จสิ้น EXP +137 ชื่อเสียงในเมืองเรดเมาน์เทน +10”
“คุณถึงเลเวล 3 แล้ว คุณสมบัติของคุณเพิ่มขึ้น”
เมื่ออ่านการแจ้งเตือน โรแลนด์ก็รู้สึกสบายเป็นอย่างมากราวกับได้ยาวิเศษ สิ่งที่มีความสุขในชีวิตนี้คือได้คลายเครียดและได้ของตอบแทนมหาศาล
เบทต้ากล่าวว่า “ผมเลเวล 2 แล้ว ผมคิดว่าผมต้องล่าแมงมุมยักษ์ต่ออีกสัก 2-3 อาทิตย์เสียอีก แต่ว่าพวกนักเลงนั่นก็เข้ามาเสนอค่าประสบการณ์ให้พวกเราด้วยตัวเอง ถ้าพวกเขามาอีกสัก 2-3 ครั้ง ผมว่าพวกเราน่าจะขึ้นถึงเลเวล 5 ได้เร็วๆนี้”
เขาดูโลภเป็นอย่างมาก โรแลนด์ยิ้มออกมาและกล่าวว่า “ตอนนี้กว่าครึ่งเมืองเห็นเรากำราบพวกนักเลงไป แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกดีที่ได้เห็น ทว่าพวกเขาก็อาจจะคิดว่าเราเป็นพวกป่าเถื่อนได้ ถ้าเราทำแบบนั้นอีกก็มีโอกาสที่พวกเราจะเปลี่ยนจากนักล่ามังกรกลายเป็นมังกรเสียเอง
เบทต้าคิดอยู่ครู่หนึ่งและก็เห็นด้วยกับเขา “ก็เป็นไปได้นะครับ”
หลังจากนั้นพวกเขาก็เห็นเด็กๆยืนมองพวกเขาด้วยท่าทางเลื่อมใส
พวกนักเลงนั้นกล้าหาเรื่องภายในเมืองเรดเมาน์เทนเพราะว่าพวกเขานั้นเกี่ยวข้องกับนายก
ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงไม่กล้ายั่วยุพวกนั้น ถ้าเกิดฟอลเคิลไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกนั้นจะยิ่งป่าเถื่อนกว่านี้อีก ทว่าเมื่อฟอลเคิลแก่ขึ้นเรื่อยๆ พวกนั้นก็เริ่มวางท่ามากขึ้นจากแต่ก่อน
หลังจากได้บทเรียนวันนี้ พวกนั้นคงเลิกกร่างไปสักพัก
เด็กส่วนมากนั้นมาจากครอบครัวที่ยากจนซึ่งเคยชินกับการถูกกลั่นแกล้ง บุคลิกของพวกเขาเลยได้รับผลกระทบจากความกลัว
พวกผู้ใหญ่ต่างก็ไม่กล้าทำอะไรหกคนนี้ ตามจริงแล้วเด็กๆของพวกเขาก็กลัวพวกเขาเองด้วยซ้ำ ทว่าโรแลนด์และเบทต้าแสดงให้พวกเขาเห็นว่ามีสิ่งอื่นที่สามารถทำได้นอกจากแค่นั่งกลัวและอดทน
เด็กๆนั้นเป็นนักเลียนแบบที่ยอดเยี่ยม เขามักจะทำตามสิ่งที่เป็นต้นแบบของเขาเสมอ
ตอนนี้เด็กๆต่างรวมตัวกันที่ทะเลสาบมากขึ้นเรื่อยๆ โดยส่วนใหญ่นั้นจะมาเรียนเพลงดาบพื้นฐานจากเบทต้า
บางคนก็หวังว่าจะได้เรียนเวทย์จากโรแลนด์…น่าเสียดายแม้ว่าโรแลนด์จะพยายามชี้นำพวกเขา แต่ไม่มีใครเลยที่สามารถสัมผัสถึงเวทมนตร์ได้
ท้ายที่สุดเด็กทั้งหมดจึงเรียนเพลงดาบของกองทัพจากเบทต้า
โรแลนด์รู้สึกดีใจที่เขารอดพ้นไปได้ จากนั้นเขาก็มุ่งเน้นความสนใจไปที่ความสามารถทางภาษาเวทย์ระดับสอง
จุดเวทย์นั้นหนาแน่นอย่างน่าตกใจ เนื่องจากเบทต้าสามารถใช้ความสามารถทางภาษาได้ โรแลนด์จึงลองปรึกษาเขาดู
ทว่าเบทต้าเพียงแค่โบกมือพร้อมพูดว่า “พ่อมดสายเลือดมังกรไม่จำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ใดๆเลย สิ่งที่พวกเราต้องทำก็แค่เรียกชื่อของสกิลเพื่อใช้มัน ดังนั้นผมไม่สามารถสอนอะไรพี่ได้”
ท้ายที่สุด โรแลนด์จึงตัดสินใจที่จะฝึกด้วยตัวเอง
วันเวลาผ่านไป ในทุกๆวันโรแลนด์ใช้เวลาระหว่างวันของเขาไปกับสโมสรมวยและใช้เวลากลางคืนเพื่อเข้าเกม
ตอนนี้ชีวิตของเขาก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง เขาสุขภาพดีกว่าแต่ก่อน ทว่าเขากลับรู้สึกตัวเองหายใจถี่ขึ้นในชีวิตจริง
มันไม่ใช่ความรู้สึกทางกาย ทว่าเป็นความรู้สึกทางใจ
เขาเหมือนรู้สึกว่าในอากาศมีบางอย่างขาดหายไป
ทว่ามันก็ไม่ใช่ว่ารู้สึกอย่างรุนแรงหรือเป็นบ่อยนัก ดังนั้นเขาจึงเลือกที่ปล่อยผ่านมันไป เขาคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะคุณภาพอากาศในชีวิตจริงนั้นแย่กว่าในเกมเป็นอย่างมาก
ครึ่งเดือนผ่านไปราวกับกระพริบตา ในช่วงนี้โรแลนด์และเบทต้าแต่ละคนล่าแมงมุมเกิน 60 ตัวไปแล้ว ทว่ามันก็ยังคงเหลืออีกเยอะ
เป็นเพราะป่าเมเปิลมีขนาดใหญ่เกินไป หลังจากกวาดล้างแมงมุมที่นี่แล้วแมงมุมที่อยู่อีกด้านหนึ่งของสันเขาก็จะย้ายเข้ามา
มันไม่แย่นักที่มีแมงมุมเข้ามาไม่หยุดหย่อนเพื่อนำมันเป็นเนื้อสำหรับเด็กๆ แต่ว่าโรแลนด์ก็ยังขมวดคิ้วออกมาอยู่ดี”
วันใดวันหนึ่งเขาและเบทต้าก็ต้องจากเมืองนี้ไป และที่นี่ก็ยังคงอยู่ใต้การคุกคามของแมงมุมอยู่ดี แล้วพวกชาบบ้านจะจัดการกับพวกมันยังไง?
ถัดจากทะเลสาบ จะเห็นเบทต้ากำลังเล่นกับเด็กๆ เด็กบางคนนั้นมีพรสวรรค์สามารถเรียนรู้ท่าเคลื่อนไหวพื้นฐานได้ และเบทต้าก็ได้เข้าไปร่วมซ้อมกับพวกเขา
แน่นอนไม่สามารถการซ้อมแบบตัวต่อตัว เบทต้าต้องรับมือกับเด็กห้าคนพร้อมๆกัน
ชายหนุ่มผมทองและหน้าตาดีแบบฉบับขุนนางยืนอยู่ตรงกลางและรับมือกับแท่งไม้ที่โจมตีเข้ามา การโจมตีของพวกเด็กๆนั้นค่อนข้างรุนแรง ผู้ใหญ่ทั่วไปไม่อาจสามารถรับมือกับทีมเวิร์คของพวกเขาได้ แต่เบทต้ากับรับการโจมตีของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
แม้แต่การโจมตีที่เล็กไปที่หลังของเขา เขาก็สามารถหลบได้โดยง่าย
การฝึกแบบนี้มีประโยชน์เหรอ? แน่นอน! โรแลนด์สามารถบอกได้ทันทีว่าเบทต้า นั้นวาดดาบได้รวดเร็วและมั่นคงขึ้น
ในขณะที่เบทต้ากำลังก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ โรแลนด์กลับติดขัดเกี่ยวกับการวิจัยเวทย์ของเขา
ความสามารถทางภาษานั้นซับซ้อนยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้เยอะ มันมีจุดเวทย์ถึง 372 จุด
โครงสร้างทางคณิตมันใหญ่เกินกว่าที่เขาจะสามารถบันทึกมันได้
โรแลนด์ค่อนข้างหดหู่กับความคืบหน้าที่ช้าของตัวเอง
เขานั่งอยู่ตรงราวสะพานมองเบทต้าฝึกฝนอยู่กับเด็กๆ
เสาควันพุ่งขึ้นในขณะที่พระอาทิตย์กำลังตกดิบ เสียงกบร้องและเสียงใบไม้ดังขึ้นมาในโสตประสาทของเขา
โรแลนด์สูดหายใจเข้าลึก
ชีวิตที่นี่ดูทั้งสงบสุขและสวยงามมาก เขาไม่ควรจะมัวแต่หดหู่
เขากำลังจะลองพยายามอีกครั้ง ทว่ากลับมีเสียงระฆังดังขขึ้นมาจากทางโบสถ์ของเทพธิดาแห่งชีวิต
มันดังสะท้อนเข้าไปในใจของทุกคนสามครั้ง
ชาวบ้านทั้งหมดต่างปล่อยเรื่องงานทิ้วไว้พร้อมเดินขึ้นเขาไปอย่างเงียบๆ
เด็กๆต่างก็เงียบลงเช่นกัน พวกเขามองไปยังโบสถ์ที่อยู่ห่างออกไปอย่างพร้อมเพรียง ราวกับพวกเขากำลังสูญเสียบางอย่าง
เบทต้ารู้สึกมึนงง เขาหันไปถามโรแลนด์ว่า “เกิดอะไรขึ้นครับพี่? มีการเรียกรวมตัวฉุกเฉินเหรอครับ?”
โรแลนด์ก็เดาไม่ออกเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เขาปิดตาพร้อมกับส่ายหัว
ขณะนั้นเอง เด็กทีกำลังยืนมองไปที่เท้าของตัวเองด้วยความหงุดหงิดก็พูดออกมา “ทุกๆครั้งที่เสียงระฆังดังขึ้นสองครั้ง หมายความว่าใครสักคนในเมืองจะถูกฝังไว้ที่หลังภูเขา”
เบทต้าถามออกมาด้วยท่าทีตกใจว่า “แล้วสามครั้งล่ะ?”
“ผมไม่รู้” เด็กน้อยตอบออกมาเสียงเบา
เด็กทั้งหมดล้วนไม่รู้แต่ชาวบ้านทั้งหมดรู้
ชาวบ้านเกือบทั้งหมดกำลังเดินไปที่วัด โรแลนด์อ้าปากเล็กน้อยและพูดเสียงแหบว่า “ฉันจะไปดูสักหน่อยนะ”
เมื่อเห็นเด็กที่ผิวเหลืองผมแห้งท่าทางดูขาดสารอาหารกลุ่มนั้นแล้ว เบทต้าก็เข้าใจในสิ่งที่โรแลนด์พยายามจะสื่อทันที
เขาย่างขาแมงมุมทั้งหมดที่เขาเหลืออยู่
ในขณะที่โรแลนด์ไปซื้อเกลือยังโรงเตี๊ยมเลววิว เมื่อเขากลับมาขาแงมุมทั้งหมดก็สุกแล้ว
แมงมุมยักษ์นั้นมีขาที่ยาว โรแลนด์นำดาบที่เขาซื้อมาจากช่างตีเหล็กซึ่งยังไม่เคยใช้ออกมาตัวพวกมันเป็นสี่ส่วน จากนั้นเขาก็เกลือและเรียกเหล่าเด็กๆมา
ถ้าให้เบทต้าเป็นคนเรียกเด็กๆคงไม่กล้าเข้าใกล้
แต่โรแลนด์นั้นต่างออกไป เขาอาศัยอยู่เมืองเรดเมาน์เทนนานกว่าเดือนแล้วและเคยเล่าเรื่องต่างๆให้เด็กๆฟังตอนที่ว่าง แน่นอนว่าเป็นตอนที่เขายังมีความสามารถทางภาษาอยู่
ดังนั้นเด็กๆที่คุ้นเคยกับโรแลนด์ จึงเดินไปหาเขาเมื่อเขาโบกมือเรียก
“เข้าแถวกัน มีพอสำหรับทุกคน” โรแลนด์ยื่นส่วนของขาแมงมุมให้เด็กที่อยู่ตรงหน้า
เด็กคนนั้นมองไปยังขาแมงมุมที่น่าอร่อยบนมือของเขาอย่าไม่เชื่อสายตา
เขาไม่ได้กลัวขาแมงมุม เมื่อยาวที่เขาหิวจัด เขาเคยแทะเปลือกไม้เสียด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ปลาที่เขาเคยได้กินล้วนแต่เป็นปลาตัวเล็กๆ เนื่องจากปลาตัวใหญ่ต้องนำไปขายเป็นเงินเพื่อซื้อเสื้อผ้าและน้ำมัน
ผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองเรดเมาน์เทนมักจะใช้ชีวิตอยู่กับทะเลสาบ ทว่ามีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้ลิ้มรสของเนื้อปลา
นายกนั้นเป็นเจ้าของทั้งเมืองเรดเมาน์เทนและทะเลสาบ ดังนั้น 6% ของปลาที่ชาวบ้านจับได้หรือเงินที่ได้จากการขายปลาจะถูกมอบให้นายก
เมื่อนายกพบว่าชาวบ้านโกหกเกี่ยวกับจำนวนปลาหรือเงินที่ได้ พวกเขาเหล่านั้นก็จะถูกขับออกจากเมืองเรดเมาน์เทน
นายกคนนี้ถือว่าเป็นคนมีเมตตามากคนหนึ่ง หากเป็นนายกคนอื่นๆละก็พวกเขาจะสั่งแขวนคอคนโกหก
เหล่าเด็กน้อยมองไปที่ขาแมงมุมด้วยความประหลาดใจ แทนที่จะกินมัน พวกเด็กๆกลับมุ่งตรงไปยังบ้านโดยตั้งใจว่าจะแบ่งมันให้กับคนในครอบครัว
เด็กทุกคนที่ได้รับขาแมงมุมทำเหมือนกันหมด ยกเว้นบางคนที่หิวจัด พวกเขาแอบกินไปคำเล็กๆระหว่างทางกลับบ้าน
ครึ่งชั่วโมงให้หลัง เด็กทั้งหมดต่างแยกย้ายกันด้วยความสุขหลังจากได้ขาแมงมุม
โรแลนด์และเบทต้านั่งอยู่ข้างๆกันบนสะพาน พวกเขากินขาแมงมุมที่เหลืออยู่และมองไปยังทิวทัศน์ที่งดงามของทะเลสาบ
เมื่อจัดการขาแมงมุมจนเสร็จ เบทต้าก็ถามขึ้นมาว่า “พวกเราจะทำอะไรต่อดีครับ?”
โรแลนด์มองไปยังป่าเมเปิลที่อยู่ห่างออกไปก่อนถามออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “นายยังต้องถามอีกเหรอ?”
ในวันต่อๆมามันไม่ใช่ช่วงเวลาที่โชคดีนักของแมงมุมยักษ์ เพราะเจ้านักล่าที่โหดร้ายทั้งสองนั่นบุกเข้ารังของมันทุกวัน เด็กภายในเมืองต่างก็จะได้รับขาแมงมุมย่างในตอนเย็น
เด็กๆนั้นเป็นกลุ่มคนที่มีปัญหาน้อยที่สุด เมื่อโรแลนด์และเบทต้าดีกับพวกเขา พวกเขาก็จะเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น
โรแลนด์ยังคงฝึกความสามารถทางภาษาอยู่และไม่ใช้เวลากับเด็กๆนานนัก แต่ในอีกฝั่งหนึ่งเบทต้านั้นกำลังสอนเด็กๆเกี่ยวกับพื้นฐานเพลงดาบของเขา
ดังนั้นในทุกๆเย็นจะมีกลุ่มเด็กโบกแท่งไม้ไปมาอยู่ริมทะเลสาบ
เหล่าชาวบ้านเริ่มมองเบทต้าเป็นมิตรมากขึ้น
และก็มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในเจ็ดวันให้หลัง
ในวันนั้นช่วงเย็น เมื่อโรแลนด์และเบทต้ากำลังวุ่นกับการย่างขาแมงมุมอยู่ ก็มีนักเลงเข้ามาเรื่องพวกเขา พวกนั้นไล่เด็กให้ไปไกลๆและพูดกับโรแลนด์ด้วยความโกรธว่า “มันไม่แฟร์ไม่ใช่เหรอที่พวกเจ้าไม่ยอมเก็บเนื้อไว้ให้พวกข้าเลย?”
คนบางคนก็ช่างไร้เหตุผล พวกเขาคิดว่าพวกเขาควรได้รับทุกสิ่งทุกอย่างแบบที่คนอื่นได้ หากพวกเขาไม่ได้ละก็พวกเขาก็จะออกมาโวยวาย
โรแลนด์มองไปยังหกคนนั้น และพบว่าสามคนในนั้นเคยมีเรื่องกับเขามาก่อน
เมื่อเดือนก่อนที่พวกเขาสู้กันที่โรงเตี๊ยมเลควิว
ดังนั้นไม่ว่าใครก็ต่างบอกได้ว่าหกคนนี้ไม่ใช่คนดีนัก โรแลนด์โบกมือไล่และพูดว่า “ออกไป! พวกนายไม่มียางอายเหรอที่ยังขอคนอื่นเขาทั้งๆที่ตัวเองเป็นผู้ใหญ่น่ะ?”
ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหน้านั้นก็โกรธขึ้นมา พร้อมตวาดออกมา “ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าเป็นพ่อพระรึไง? พวกข้าก็เป็นชาวบ้านยากจนเหมือนกัน ทำไมเจ้าถึงไม่ช่วยพวกข้าล่ะ? พวกเด็กเหลือขอพวกนั้นไม่ต้องการอาหารของเจ้าหรอก ยังไงที่บ้านก็ไม่ปล่อยให้พวกนั้นอดตายหรอก”
โรแลนด์ถอนหายใจออกมาพร้อมมองไปยังพวกเขา “ทำแบบนี้สนุกนักรึไง?”
โรแลนด์นั้นเป็นผู้ใหญ่ ทว่าในเกมเขามีอายุแค่ 17 ปีและไม่เป็นพิษเป็นภัยกับคนแปลกหน้าทั้งหลาย
นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุด ท่าทางของโรแลนด์นั้นดูเป็น “คนดี” และคนดีมักจะถูกเอาเปรียบ
เจ้าพวกนั้นหัวเราะออกมาอย่างหนัก ก่อนหัวหน้าของพวกมันจะเห่าออกมาว่า “ไม่ใช่หรอก พวกข้ารู้ดีว่าพวกข้าเอาชนะแกไม่ได้ แต่ว่าก็ไม่เป็นไรข้าจำหน้าเด็กพวกนั้นได้ แกคงไม่สามารถอยู่ในเมืองได้ตลอดเวลาหรอก เมื่อแกจากไป พวกข้าจะไปทุบตีเจ้าเด็กพวกนั้นและพวกครอบครัวของมัน แกคิดว่ายังไงล่ะ?”
พวกเด็กๆต่างวิ่งหนีไปทันทีเมื่อได้ยินคำขู่ พวกเขามองไปยังชายหนุ่มด้วยสายตาโมโห
โรแลนด์มองไปทางเขาพร้อมยิ้มออกมา
เบทต้าที่กำลังย่างขาแมงมุมอยู่ก็ปรากฏตัวขึ้น และยืนขึ้นอย่างกระตือรือร้น
พวกนักเลงนั้นดูเหมือนจะจัดโรแลนด์และเบทต้าไว้ในประเภทคนนอกที่ใจดีและไม่สร้างปัญหา
พวกเขาไม่รู้เลยว่าทั้งสองนั้นเป็นผู้เล่น
โรแลนด์มองไปที่เบทต้าด้วยรอยยิ้ม “นายได้รับเควสแล้วใช่ไหม?”
เบทต้าเริ่มวอร์มนิ้วมือพร้อมยิ้มขู่ออกมา “ครับ!”
“จัดการตัวสร้างปัญหาทั้งหก (ธรรมดา)”
มันเป็นแค่เควสสีขาว…ทว่าสำหรับโรแลนด์และเบทต้าแล้วมันเป็นเควสหายากสีทอง เพราะมันนั้นช่วยสนองความต้องการของพวกเขา
ชายหนุ่มนั้นรู้สึกไม่ค่อยดีนักเมื่อเห็นสีหน้าของพวกเขา เขาคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ว่าทั้งโรแลนด์และเบทต้านั้นต่างไม่ใช่พวกชอบคุยนัก
โดยไม่เสียเวลาใดๆ พวกเขาตรงไปยังกลุ่มนักเลงพวกนั้น
พวกนักเลงอาจจะดูน่ากลัวสำหรับชาวบ้าน ทว่าพวกเขานั้นไม่สามารถโต้กลับสองผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ได้
โรแลนด์และเบทต้านั้นไม่ได้ใช้อาวุธและสกิลใดๆ พวกเขาจัดการนักเลงหกคนภายใน 20 วิ ด้วยมือเปล่า
จากนั้นพวกเขาก็เตะไปที่นักเลงอย่างหนักหน่วง
“พวกคนข้างนอกทำร้ายพวกข้า!”
“ช่วยข้าด้วย!”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นจากทางทะเลสาบ ชาวบ้านหลายคนต่างก็ได้ยิน ทว่าพวกเขาก็เลือกที่จะไม่สนใจและทำธุระของตัวเองต่อไป
โรแลนด์และเบทต้านั้นก็ไม่ได้มีความคิดที่จะหยุดมือ
ระบบยังไม่ได้บอกว่าพวกเขาทำเควสสำเร็จ
ดังนั้นพวกเขาจึงทุบตีต่อไป
โรแลนด์ยิ้มให้กับเพื่อนหน้าโง่ของเขาก่อนจะพูดว่า “ทำไมนายไม่เปลี่ยนอาชีพซะละ? เลเวลโดยเฉลี่ยของตอนนี้ยังไม่สูงมาก นายน่าจะตามทันนะ”
ลี่หลินส่ายหน้าออกมา “ไม่ล่ะ ถึงแม้ว่าขุนนางจะชอบหาเรื่อง แต่ฉันก็เป็นเพื่อนกับ NPC ตั้งมากมายแล้ว ถ้าฉันลบตัวละครไป ฉันไม่คิดว่าพวกนั้นจะยังจำฉันได้ ถึงแม้ว่าฉันสามารถดึงดูดพวกเขาได้จากตัวตนใหม่ แต่พวกเขาก็จะดูแลฉันแตกต่างออกไป ดังนั้น…ฉันขอผ่าน”
ทุกคนต่างเห็นด้วยกับสิ่งที่ลี่หลินพูด
โดยเฉพาะเบทต้าที่เคยดูถูก เขายังคงจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้
ชัคคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดว่า”ฉันพบว่า NPC ในเกมนี้นั้นเหมือนจริงเป็นอย่างมาก แม้ฉันจะยังอยู่ที่โบสถ์แห่งแสงไม่นานนัก แต่ฉันก็ได้เห็นการแบ่งฝ่ายและการต่อสู้กันเอง ถ้าเรื่องราวพวกนี้ถูกวางไว้โดยผู้พัฒนา มันก็ดูเลวร้ายเป็นอย่างมาก นี่พวกเขาต้องทำหนักขนาดไหนกัน?”
ฮัสเซอเรตพูดต่อว่า “ช่างเรื่องความสมจริงไปเถอะ ที่ฉันรู้ทั้งหมดก็คือเกมนี้โคตรสนุก มีแก๊งค์มากมายภายในเมืองที่พยายามเข้าหาและจ้างฉัน ฉันกำลังพิจารณาข้อเสนอพวกนั้นอยู่ แต่ว่าพวกเขาทั้งหมดนั้นมีชื่อเสียงในทางที่ไม่ค่อยดี
“จะดีกว่านะถ้านายไม่เข้าไปยุ่งกับพวกนั้น เกมนี้มันเหมือนจริงมาก ฉันกลัวว่าบุคลิกของนายในชีวิตจริงจะมีผลกระทบไปด้วยหากนายทำบางอย่างที่ไม่ดีภายในเกม” โรแลนด์พูดออกมา
ฮัสเซอเรตพยักหน้ารับ “อ่าหะฉันจะ คิดดูถ้าฉันสามารถเข้าร่วมกลุ่มที่มีชื่อเสียงที่ค่อนข้างดีได้”
โรแลนด์มองไปยังทุกคนและพูดว่า “ทำไมพวกเราไม่มาพูดเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเราและแผนในอนาคตสักหน่อยล่ะ?”
ลี่หลินพูดออกมาว่า “กิลด์นักรบมาหาฉันและบอกว่าพวกเขาต้องการตัวฉัน”
ราฟเฟลก็พูดต่อว่า “ฉันก็ว่าจะไปเข้ากิลด์นักรบเหมือนกัน”
บราซิลหยักไหล่และพูดว่า “ฉันว่าจะไปจับลูกเสือดาวมาเลี้ยงเป็นคู่หูน่ะ และว่าจะลองสำรวจรอบๆเมืองดูก่อน”
ชัคเองหลังก่อนจะพูดว่า “ฉันต้องศึกษาหลักคำสอนอยู่ที่โบสถ์แห่งแสงน่ะ ทั้งยาวนานและน่าเบื่อมาก บิชอปที่สอนฉันอยู่บอกว่าฉันนั้นเคร่งครัดไม่พอที่จะเป็นเซนต์ซามูไร ทว่าฉันก็เป็นไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงขอให้ฉันไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่นั่นฉันจะได้รับการคุ้มครองจากเทพธิดาแห่งแสง ด้วยโชคใดๆก็ตาม ฉันว่าจะลองไปที่นั่นและพบเธอดูสักหน่อย ฉันเคยได้ยินเสียงของเธอมาก่อนซึ่งไพเราะมากทีเดียว
ท้ายที่สุดโรแลนด์ก็พูดว่า “เบทต้าและฉันรับเควสมาเมื่อวาน แล้วพวกเราทำมันเละเลย”
เบทต้าที่กำลังกินแตงโมอยู่ ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและอับอาย
โรแลนด์ก็พูดต่อว่า “ดังนั้นฉันเลยว่าจะไปกวาดล้างพวกมอนสเตอร์แถวใกล้ๆเมืองดู ส่วนหนึ่งเพื่อเก็บค่าประสบการณ์ และอีกส่วนเพื่อกู้คืนชื่อเสียงของพวกเราภายในเมืองน่ะ”
“อ่าหะ ในเมื่อพวกเราทั้งหมดต่างมีเป้าหมายเป็นของตัวเอง ก็เอาตามนั้นไปก่อน” ชัคนั่งตัวตรงและพูดว่า “ฉันจะลองหาสัตว์เลี้ยงที่บินได้ดูในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่พวกเราจะรวมตัวกันได้ภายในเกม”
“มีสัตว์เลี้ยงที่บินได้ด้วยเหรอ?” บราซิลตาโตขึ้นมา “ฉันไม่รู้มาก่อนเลย บางทีฉันควรจับสัตว์เลี้ยงที่บินได้เพื่อฉันจะได้ขี่มัน”
ชัคพูดออกมาอย่างสิ้นหวัง “พวกสัตว์เลี้ยงที่บินได้ต่างก็มีแต่เลเวลสูงๆทั้งนั้น อาจจะใช้เวลาทั้งชีวิตในการจับมันเลยก็ได้”
ทุกคนต่างหัวเราะออกมา
หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันสักพักก่อนแยกย้ายหลังจากจากเขาอัปโหลดแผนที่ลงในกลุ่มแชท
โรแลนด์เข้าไปเช็คเว็บบอร์ดของเขาอีกครั้งเมื่อถึงบ้าน และพบว่าเขาก็ยังคงเป็นที่พูดถึงอยู่ จากนั้นเขาเลยยอมแพ้และเข้านอนไปในที่สุด
หลังจากงีบไปสักพัก เขาออกไปยังสนามมวยบนถนน
สิ่งอำนวยความสะดวกและสภาพแวดล้อมในสโมสรก็ไม่เลวและโค้ชก็ดูน่าเชื่อถือ ดังนั้นเขาจึงสมัครสมาชิก
เขาอยากที่จะเรียนต่อยมวยเพราะวีดีโอที่เขาเห็นเมื่อเช้า
ชายที่สามารถใช้เพลงดาบได้ สามารถยกระดับคุณสมบัติของตัวเองภายในเกมได้ ซึ่งมันดูน่าทึ่งมาก
นักเวทย์นั้นมักจะอ่อนแอในการต่อสู้ระยะประชิดเสมอ หากเขาเรียนมวยล่ะก็อย่างน้อยเขาก็มีโอกาสในการรอดจากศัตรูที่เข้าใกล้เขาเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ด้วยเวทยืที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและความเร็วความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นหากเขาเรียนรู้มวย
หลังจากจ่ายค่าสมาชิก โค้ชก็ไม่ได้สอนเขาต่อยมวยทันที แต่ช่วยเขายืดกล้ามเนื้อเป็นอันดับแรก
โรแลนด์ออกกำลังกายไปหลายท่า ดังนั้นเขาจึงแทบขยับขาไม่ไหวในระหว่างทางกลับบ้านหลังจากยืดกล้ามเนื้อ
ขาของเขาปวดตลอดเวลา มันค่อนข้างเจ็บพอสมควร
ท้ายที่สุด ในตอนสามทุ่มครึ่งโรแลนด์ก็เข้าสู่เกมด้วยความกระตือรือร้น
เขาปรากฏตัวในโลกที่เต็มไปด้วยอากาศบริสุทธิ์อีกครั้ง เขารู้สึกผ่อนคลายจากก้นบึ้งของหัวใจเมื่อมายังโลกนี้
ถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นโรแลนด์ก็เดินลงจากภูเขาไปหาเบทต้าที่อยู่ข้างทะเลสาบ
“ไปกันเถอะ” โรแลนด์กวักนิ้วเรียกเบทต้าจากสะพาน
เบทต้าก็กระโดดมาหาเขา
พวกเขาสองคนไปยังป่าเมเปิล ชาวบ้านบางคนต่างมองพวกเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ
ในขณะที่ทางฟอลเคิลกำลังมองพวกเขาไปยังป่าเมเปิลด้วยความสบายใจ
โรแลนด์เคยกำจัดแมงมุมยักษ์ด้วยตัวเองมาก่อน แล้วตอนนี้เขามีเบทต้าเพิ่มเข้ามา คนที่สามารถต่อสู้ได้ทั้งในระยะประชิดและเวทมนตร์ เขารู้สึกมั่นใจเป็นอย่างมาก โรแลนด์ควบคุมแมงมุมด้วยแขนเวทย์จากนั้นเบทต้าก็สังหารพวกมัน ไม่มีแมงมุมยักษ์ที่รอดจากเงื้อมมือพวกได้เกินสิบวิ
หลังจากฆ่าแมงมุมยักษ์ไปสักพัก เบทต้าก็ตัดขาแมงมุมและเก็บมันไว้ในกระเป๋ามิติ
โรแลนด์รู้สึกอดที่จะถามออกมาไม่ได้ “นี่นายจะย่างขาแมงมุมจริงๆหรอ”
เบทต้าพยักหน้ารับ พร้อมน้ำหลายไหลออกมา
หลังจากฆ่าแมงมุมเพิ่มอีกสองตัว มันก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว พวกเขากลับไปยังเมืองเรดเมาน์เทน
เบทต้าหยิบกิ่งไม้แห้งมามากมายในขณะที่อยู่ในป่าเมเปิล เขาวางกองกิ่งไม้แห้งและพ่นเพลิงมังกรออกมาใส่กองไม้ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มย่างขาแมงมุมและกินมัน
ขาแมงมุมนั้นยาวและมีเปลือกสีแดงพร้อมหนามแหลมอยู่บนตัวมัน
นี่พวกมันกินได้จริงๆเหรอ?
หลังจากผ่านไปสักพัก กลิ่นหอมของเนื้อที่ไม่สามารถอธิบายได้ก็กระจายออกมา
“เสร็จแล้ว”
เบทต้าโยนขาแมงมุมให้โรแลนด์และหยิบขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่ง โดยไม่สนความร้อน พวกเขาทุบเปลือกและกัดเข้าไปยังเนื้อสีเหลืองทองที่อยู่ด้านใน
“อร่อยมาก นี่อร่อยยิ่งกว่าปูมะพร้าวอีก!” เบทต้าเคี้ยวและพูดออกมาไม่เป็นภาษา
โรแลนด์ก็ลองกัดดู รสชาติดีมาก
ทันใดนั้นเองเขาก็มองไปรอบๆและเห็นกลุ่มเด็กสวมเสื้อผ้าที่มอมแมมอยู่บนสะพานกำลังจ้องมองมาทางพวกเขาและเลียนิ้วอย่างน่าสงสาร
ทันใดนั้นโรแลนด์ก็คิดอะไรออก “เบทต้า ย่างขาแมงมุมทั้งหมดซะ ฉันคิดวิธีที่จะกู้ชื่อเสียงของพวกเราได้แล้ว”
เขาเปิดเว็บบอร์ดขึ้นหลังจากกลับมาบ้าน อย่างที่คิดไว้ชื่อของเขาถูกกล่าวถึงในหลากหลายกระทู้
ในกระทู้ การระเบิดตัวเองของบอลเพลิงนรก ก็มีผู้ตอบกลับมาแล้วกว่าสี่พันครั้ง
ไม่ใช่แค่นักเวทย์และพ่อมด ผู้เล่นทั้งหมดของเกมนี้ต่างเข้ามาร่วมด้วย การประกาศจากเว็บไซค์ทำให้โรแลนด์กลายเป็นจุดสนใจ
โดยพวกเขาส่วนมากพูดเกี่ยวกับว่าโรแลนด์นั้นเป็นใครกันแน่
จากที่ประกาศได้บอกไว้ ความสามารถภายในเกมนั้นส่วนหนึ่งมาจากความสามรถในชีวิตจริง ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถรวบรวมพลังเวทย์ไว้ในบอลเพลิงได้
นักเวทย์หลายคนต่างบอกว่าพวกเขาสามารถใช้ได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
สิบถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ของพลังเวทย์ในเวทย์บทหนึ่ง ถ้าพวกเขาใช้มันมากกว่านี้ หัวของพวกเขาก็จะระเบิดออก
ดังนั้นพวกเขาจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าพรสวรรค์แบบไหนในชีวิตของโรแลนด์กันที่ทำให้เขาสามารถมีความสามารถแบบนี้ในเกมได้
มีคนวิเคราะห์อย่างมากมาย ทว่ากลับมีกระทู้หนึ่งที่สะดุดตาโรแลนด์เป็นพิเศษ
โรแลนด์คลิ๊กเข้าไปยังกระทู้นั้น และพบว่ามันเป็นวีดีโอ
ในวีดีโอนั้นมีนักรบถือดาบมือเดียวกำลังต่อสู้กับเหล่าก็อบลินด้วยฝีเท้าที่คาดเดาไม่ได้และน่าประทับใจ
เหล่าก็อบลินต่างตายลงโดยไม่มีอะไรกระเด็นมาโดนชุดของเขาเลยด้วยซ้ำ
จากที่ผู้โพสต์วีดีโอเล่ามาคือ เขานั้นฝึกฝนดาบมาตั้งแต่ยังเด็กและสามารถชนะชายสองคนได้ด้วยแท่งไม้ในชีวิตจริง ในเกมนั้นไม่มี NPC ในเลเวลเดียวกันสามารถเป็นคู่มือให้เขาได้ เมื่อเขาสามารถทำแบบนี้ได้ แสดงว่าคนอื่นๆที่มีพรสวรรค์ต่างก็สามารถทำสิ่งที่คล้ายๆกันได้ เพราะอย่างนั้นการที่โรแลนด์สามารถรวบรวมพลังเวทย์ทั้งหมดลงในเวทย์บทเดียวได้ ก็เพราะเขาอาจจะมีพรสวรรค์เช่นเดียวกัน
โดยส่วนตัวเขาคิดว่าโรแลนด์น่าจะเป็นหมอผี
อย่างแรกคือ หมอผีนั้นเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ในชีวิตจริง พวกเขาทั้งร่ายเวทย์ , เต้นรำ และใช้เทคนิคมายากล หากมีพรสวรรค์ไม่เพียงพอ มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่พวกเขาจะได้เป็นหมอผี
การคาดเดาของเขาได้รับการยอมรับจากกลุ่มชาวเน็ตโดยส่วนมาก
หลังจากนั้นการตอบกลับของกระทู้นี้ทั้งหมดต่างเหมือนกันหมด
“ขอทำความเคารพ ท่านโรแลนด์หมอผีผู้ยิ่งใหญ่”
“ขอทำความเคารพ ท่านโรแลนด์หมอผีผู้ยิ่งใหญ่”
โรแลนด์ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมา เมื่อเห็นการตอบกลับพวกนี้
พวกนั้นคิดกันอย่างจริงจังว่าฉันคือหมอผี….คนพวกนั้นน่ากวนใจจริงๆ!”
ขณะที่โรแลนด์กำลังงงกับมันอยู่ เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
“เจอกันที่เดิม ขาดนายแค่คนเดียวแล้ว”
เขาจำเสียงนั้นได้โดยไม่จำเป็นต้องมองเบอร์ด้วยซ้ำ
เมื่อโรแลนด์มาถึงยังห้องแพนด้าในบาร์ เขาเห็นคนในห้องหกคนกำลังพูดคุยกันอยู่”
พวกเขาทักทายเขาอย่างเรียบง่ายเมื่อเขาเดินเข้ามา โรแลนด์พบที่นั่งว่างแล้วจึงนั่งลง
หลังจากเขานั่ง ชัคก็พูดออกมาว่า “เอาล่ะหยุดคุยกันก่อน มีเรื่องสำคัญที่ฉันอยากจะพูด”
จากนั้น เขาก็วางรูปที่ปริ้นออกมาไว้บนโต๊ะ
“7 จุดที่มาร์คไว้บนแผนที่นั่งคือจุดเกิดของพวกเราทั้งหมด” ชัคถอนหายใจและพูดว่า “แผนที่นี้มีสัดส่วน 1:50000 ระยะห่างของพวกเราทั้งเจ๊ดคนไกลจนน่ากลัวเลยหละ”
พวกเขาทั้งหมดมองไปยังแผนที่และขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงขนาดของแผนที่
“อาจจะใช้เวลาชั่วชีวิตเลยก็ได้กว่าพวกเราจะรวมตัวกันได้” ฮัสเซอเรตคนที่ผอมที่สุดในกลุ่มกล่าวออกมา “นอกจากนี้เกมนี้แม้งโคตรลำเอียงกับโจรเลย ฉันถูกจับเข้าคุกไปสามครั้งแล้วเนี่ย แม้งเอ้ย พวกยามจับฉันทุกครั้งที่พวกเขาเห็นฉันแม้ว่าฉันยังไม่ทันได้ขโมยอะไรเลย ทำไมพวกนั้นถึงเกลียดฉันขนาดนั้นกัน?”
ทุกคนต่างหัวเราะกับคำบ่นของฮัสเซอเรต
ด้วยบุคลิกของเขา ทำให้เขาชอบเล่นอาชีพจำพวกลอบจู่โจมในหลายๆเกม และเขาก็ทำได้ค่อนข้างดีเสียด้วย
เกมส่วนใหญ่ เมื่อโจรถูกจับได้ว่ากำลังขโมยของอยู่ พวกเขาสามารถหนีจากความวุ่นวายได้ด้วยการซ่อนตัวในเงามืด
ทว่ามันกลับไม่ได้ผลในโลกของฟาลัน เหล่า NPC ล้วนจำได้ว่าใครเป็นคนใครขโมยของพวกเขาเหมือนกับในชีวิตจริง
ราฟเฟลดับบุหรี่ของเขาก่อนพูดว่า “มันก็เดือนนึงแล้ว พวกเราพอจะเข้าใจบทสนทนาประจำวันได้แล้วตอนนี้ ทว่าปัญหาอยู่ที่ว่าพวกเราไม่มีแหล่งข้อมูล พวกขุนนางในเมืองต่างรังเกียจและคอยกลั่นแกล้นพวกเรา”
ลี่หลิน , ฮัสเซอเรต และบราซิล ต่างพูดซ้ำออกมาพร้อมกัน พวกเขาโดนรังแกโดยเหล่าขุนนางเป็นประจำตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมา
“จริงเหรอ?” โรแลนด์พูดออกมาด้วยท่าทีที่อึ้งเล็กน้อย “นายกของเมืองเรดเมาน์เทนก็เป็นขุนนางเหมือนกัน แต่เขาก็ทักทายฉันทุกครั้งที่เขาพบฉัน”
ชัคก็พยักหน้าด้วยเช่นกัน “ขุนนางที่ฉันเจอส่วนมากก็สุภาพเช่นเดียวกัน”
ทุกคนหันไปมองยังเบทต้าที่กำลังแทะแตงโมอยู่
เบทต้าคายเม็ดออกมาพูดว่า “ในเกมผมเป็นขุนนาง ผมสามารถเข้าพบขุนนางได้หมดตราบใดที่ผมแต่งตัวเป็นทางการ
อ่า….ดูเหมือนจะมีการแบ่งแยกอย่างชัดเจน
บราซิลยิ้มอย่างขมขื่น “นี่มันไม่แฟร์เลย ทำไมพวกนายถึงสามารถเป็นจุดสนใจได้ตั้งแต่ต้นเกมกัน?”
โรแลนด์ก็คิดว่ามันแปลกเช่นกัน นี่พวกเขาทำอะไรไปรึเปล่า?
โรแลนด์หันไปมองชัคและเบทต้า จากนั้นเขาก็เข้าใจบางอย่างและตบมือออกมา “ฉันว่าฉันรู้แล้วหวะ”
“คายมันออกมาซะ” ลี่หลินพูด เขายังคงใจร้อนเหมือนดั่งเคย “อย่ายึกยักที่จะพูด”
โรแลนด์ชี้นิ้วมาที่ตัวเอง “ผู้ใช้เวทย์แท้ๆ”
หลังจากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ชัค “คนของศาสนาที่สามารถใช้เวทย์ได้”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่เบทต้า “ขุนนางและผู้ใช้เวทย์”
เขาชี้ไปที่ฮัสเซอเรตพร้อมยิ้มออกมา “หัวขโมย”
และชี้ไปยังลี่หลิน “คนเถื่อนขี้โมโห”
และชี้ไปยังราฟเฟิล “คนเถื่อนที่ใช้โล่”
สุดท้ายเขาก็ชี้ไปยังบราซิลพร้อมหัวเราะออกมา “คนเถื่อนที่ยิงนกด้วยธนู”
พวกเขาทั้งสี่คนเป็นผู้เล่นสายกายภาพทั้งหมด หลังจากอึ้งไปสักพักพวกเขาก็ต่างก่นด่าออกมา “เชี่ยไรเนี่ย!”
โลกของฟาลันนั้นมีการตั้งค่าสังคมไว้ในช่วงยุคกลาง ในยุคที่ไม่มีอารยธรรมใดๆและมีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมน้อยมาก เป็นเรื่องธรรมดาที่เหล่านักเวทย์จะถูกมองว่าเป็นผู้มีความรู้
สำหรับพวกที่เล่นสายกายภาพอย่างลี่หลิน…..ทำไมพวกเขาจะไม่โดนทำตัวหยาบคายใส่ละ ก็ในเมื่อพวกเขายังไม่แม้แต่จะเข้าใจสิ่งที่ชาวบ้านพูดด้วยซ้ำ?”
ถึงแม้ว่าพวกคนชั้นล่างจะไม่กล้าแสดงท่าทีออกมา แต่กับเหล่าขุนนางล่ะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะยอมเสวนากับพวกสายกายภาพ
เมื่อคิดได้แบบนั้น ลี่หลินและคนอื่นๆ ต่างก็ไม่สามารถเศร้าไปได้กว่านี้อีกแล้ว
โลกนั้นหยุดลง…เวลาของวันนี้หมดลงแล้ว
โรแลนด์ปีนออกมาจากแคปซูล โรแลนด์รู้สึกค่อนข้างสบายตัว อาจจะเป็นเพราะเขาได้นอนหลับเต็มอิ่มและตื่นเช้าเป็นประจำ
ก่อนหน้า เขาแทบจะไม่เคยนอนก่อนตีสองเลย
แต่ตอนนี้ เขานอนตอนสี่ทุ่มและตื่นตอนหกโมงเช้าในทุกวัน ร่างกายของเขาได้ฟื้นตัวเต็มที่ในระหว่าง 8 ชั่วโมง
ทว่าเขากลับไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีนัก
ฟอลเคิลบอกว่าตัวเองกำลังจะตาย นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาตกใจมาก
เขาไม่เคยพบเห็นใครพูดว่าตนเองกำลังจะตายแบบสบายๆอย่างงั้นมาก่อนในชีวิตเขา
ไม่ใช่เขาว่ากันว่าความตายคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดหรอกเหรอ? ทำไมชายชราถึงพูดราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยล่ะ ราวกับแค่บอกว่าจะไปกินข้าวเย็น หรืออาบน้ำ?
ความศรัทธาช่วยได้ขนาดนั้นเลย?
โรแลนด์นั่งอยู่นิ่งๆบนเก้าอี้ของเขาสักพัก หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปยังเว็บบอร์ด
เขาได้รับทิปมาอีกชุดหนึ่ง โดยอาจจะมากกว่าสองหมื่นเหรียญเสียอีก อย่างน้อยสองกระทู้ก่อนหน้าของเขาก็ถูกปักหมุดเอาไว้
ด้วยทิปจำนวนมหาศาลที่เขาได้รับจากชาวเน็ต ยิ่งตอกย้ำให้โรแลนด์คิดว่าเขาควรจะลาออกจากงานและมุ่งมันไปในการเล่นเกม
โรแลนด์อาจจะไม่ได้ทำเงินมากเท่ากับชัคและเบต้า ทว่าเพียงแค่สองโพสต์ก่อนหน้าเขาก็ได้รับเงินมาราวๆแสนเหรียญแล้ว
มันก็รับได้อยู่
ในเว็บบอร์ดนั้นมีกว่าพันข้อความกำลังพูดคุยเกี่ยวกับบอลเพลิงนรกของโรแลนด์ที่ดูรุนแรงเกินไป มีกระทู้ใหม่ๆเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้
มันเป็นการโต้เถียงกันระหว่างพ่อมดและนักเวทย์
มีขาประจำรายหนึ่งเรียบเรียงพรสวรรค์ที่สามารถเลือกรับได้ของทั้งพ่อมดและนักเวทย์เมื่อตอนสร้างเกม เขาสรุปไว้ว่า “ถ้าอิงตามที่พรสวรรค์ที่พบเรียบเรียงมา มันเห็นได้ชัดเจนว่าพ่อมดควรจะมีเวทมนตร์ที่รุนแรงกว่านักเวทย์ในเลเวลเดียวกัน ทว่าบอลเพลิงนรกของโรแลนด์นั้นแรงอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วถ้าเป็นเวทย์ที่ระดับสูงกว่านั้นล่ะ? มันจินตนาการได้ไม่ยากเลยว่า เมื่อเกิดสงครามกิลด์ขึ้น โรแลนด์จะสามารถทำลายกิลด์เล็กๆได้ด้วยเทคนิคของเขา”
ข้อความตอบกลับที่กล่าวว่าเห็นด้วยนั้นส่วนมากจะมาจากเหล่าพ่อมด
แต่นักเวทย์นั้นอีกเรื่อง พวกเขาต่างบอกว่าพวกพ่อมดก็แค่อิจฉา
ในตอนนี้พวกคลาสระยะประชิดทั้งหลายก็เข้ามาร่วมวงด้วยแล้ว พวกเขาต่างลุกขึ้นมาเนื่องจากสัมผัสได้ถึงความกดดันที่ว่าหากนักเวทย์นั้นเก่งเกินไป แล้วพวกเขาจะมีประโยชน์อะไรในอนาคต?”
นักเวทย์บางคนก็เชื่อว่าโรแลนด์นั้นใช้แฮก เพราะระยะของเวทย์นั้นดูกว้างเกินไป
แต่คนอื่นๆก็สวนกลับไปในทันทีว่าแค่กลไกพื้นฐานของเกมนี้ก็ยังไม่สามารถระบุได้ด้วยซ้ำ พวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีใครสามารถคิดค้นโ)รแกรมโกงได้เร็วขนาดนี้
ถ้าพวกเขาเก่งขนาดนั้น ทำไมไม่ไปพัฒนาเกมเสมือนจริงออกมาบ้างล่ะ
ความรู้สึกบางอย่างของโรแลนด์ก็คิดว่ามันไม่น่าจะใช่เช่นกัน บอลเพลิงนรกนั้นรุนแรงเกินไปจริงๆ
นี่เขาได้ใช้ประโยชน์จากระบบที่พวกเขายังไม่ได้แก้รึเปล่า?
เขาเข้าไปเช็คยังเว็บไซค์ทางการแต่ก็ไม่พบการอัปเดตใดๆทั้งสิ้น
การประกาศครั้งล่าสุดในเว็บไซค์ทางการมีขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน
ถ้าพูดกันตามจริง เว็บไซค์ทางการของโลกฟาลันนั้นดูธรรมดามาก
ภาพลักษณ์ก็ดูธรรมดาและมีเพียงแค่สองหัวข้อ คือการประกาศและวีดีโอ
มันมีการประกาศอยู่แค่ 2-3 ครั้งและมีวีดีโอโฆษณาอยู่แค่อันเดียว
มันดูเหมือนเว็บไซค์ของเกมที่กำลังจะล้มละลาย
เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะไปล้างหน้าแปรงฟัน และออกจากบ้านไปยังบริษัท
โรแลนด์ตรงไปยังแผนกทรัพยากรบุคคลและใบลาออกไปที่โต๊ะของผู้จัดการ
ผู้จัดการดูสีหน้าไม่ดีเมื่อเห็นจดหมายนี้ “ผมไม่อนุญาต”
“อนุญาตหรือไม่ ผมก็จะไม่มาทำงานอีก” โรแลนด์พูดออกมาอย่างเฉยชา “ผมคิดเกี่ยวกับเรื่องลาออกมาสักพักแล้ว แต่ก็ยังไม่เจองานดีๆจนกระทั่งเร็วๆนี้”
ผู้จัดการดันแว่นของเขาขึ้นพร้อมพูดว่า “บริษัทนี้ไม่เคยทำอะไรกับนายเลยนะ แล้วทำไมนายถึงลาออกโดยไร้เหตุผลล่ะ?”
“คุณหน้าด้านพูดออกมาได้” โรแลนด์ยิ้มเยาะออกมา “พวกเราเริ่มงานตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงสามทุ่มของทุกวัน และทำงานหกวันต่อสัปดาห์โดยไม่ได้เงินเพิ่มใดๆ” แล้วนายยังจะกล้าพูดได้อีกหรอว่าบริษัทนั้นไม่เคยทำอะไรกับเรา? หรือนายอยากจะให้พวกเราทำงาน 24 ชั่วโมงต่อวันล่ะ?”
ผู้จัดการลี่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ก่อนที่พวกเขาจะจับมือกันเบาๆ
โรแลนด์นำของส่วนตัวบางอย่างออกมาจากในตึกของบริษัท เพื่อนร่วมงานบางคนที่เขารู้จักต่างพูดกับเขาด้วยความอิจฉาเมื่อรู้ว่าเขานั้นลาออกแล้ว
ไม่มีใครอยากจะทำงานหนักหรอกถ้ามีทางเลือก
ถ้าเขาหางานที่ดีกว่านี้ได้พวกเขาออกนานแล้ว
โรแลนด์นั้นแค่ทำตามเสียงหัวใจตัวเองเท่านั้น
ของส่วนตัวเล็กน้อยของเขาถูกวางไว้ตรงตะกร้าของมอเตอร์ไซค์ของเขาได้อย่างพอดี
เขาขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป ทั้งผมและความคิดของเขาต่างยุ่งเหยิงไปด้วยเสียงของสายลม
เขารู้สึกสบายใจขึ้นเยอะหลังได้ออกจากงาน ทว่าเขาก็รู้สึกเหมือนสูญเสียอนาคตไป
เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นเมื่อเขาใกล้ถึงบ้าน
ชัคพูดผ่านทางโทรศัพท์ว่า “มีประกาศใหม่ปล่อยออกมาแล้วจากเว็บไซค์เกี่ยวกับนักเวทย์น่ะ มีชื่อของนายถูกกล่าวถึงด้วยนะ ตอนนี้นายดังแล้ว”
โรแลนด์รู้สึกงงไปเล็กน้อย
หลังจากนั้นเขาจึงวางสายและเข้าไปเช็คประกาศล่าสุดผ่านทางโทรศัพท์
เกี่ยวกับพลังโจมตีของเวทย์ที่พัฒนาแล้วของบอลเพลิงนรกของนักเวทย์
เขาเข้าไปยังหัวข้อนั้นทันที
“พวกเราได้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดเกี่ยวกับบันทึกการเล่นเกมของโรแลนด์ในช่วงเดือนที่ผ่านมาและเราได้ปรึกษากับทางผู้พัฒนามาแล้วกว่าสามวัน สรุปได้ว่าสิ่งที่โรแลนด์ทำในเกมนั้นไม่ได้อยู่ในข้อห้ามแต่อย่างใด ความรุนแรงของเวทย์นั้นขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ส่วนบุคคล ถ้าคุณไม่พอใจกับอาชีพของตนเองล่ะก็ คุณสามารถไปร้องขอกับเทพธิดาแห่งชีวิตและยืนยันการสร้างตัวละครใหม่ได้ นอกจากนี้พวกเราขอแจ้งให้ทราบอีกครั้งว่าความสามารถของคุณภายในเกมนั้นเชื่อมโยงกับความสามารถของคุณจริงๆ ดังนั้นอย่าหน้ามืดตามัวไปลอกสิ่งที่คนอื่นทำ”
อ่า….เว็บหลักยังตรงไปตรงมาเหมือนเคย
ทว่าโรแลนด์กลับรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง
การประกาศนี้เท่ากับว่าเขาไม่มีความผิดใดๆ แต่มันก็ทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจมากทีเดียว
เขาเข้าไปยังเว็บบอร์ด อย่างที่คิดไว้คนส่วนมากต่างพูดถึงเขา
มันเป็นคืนที่นอนไม่หลับคืนหนึ่ง ชาวบ้านต่างเข้าบ้านกันไปหมดแล้ว ทว่าภายในห้องของพวกเขายังคงมีแสงจากตะเกียงอยู่
น้ำมันนั้นมีราคาแพงมากในโลกนี้ ดังนั้นตะเกียงจะไม่ถูกจุดขึ้นหากไม่มีอะไรสำคัญ
แต่กระนั้น ชาวบ้านกว่าครึ่งก็พร้อมใจกันจุดตะเกียงออกมา แสงของมันกระทบเข้ากับทะเลสาบพร้อมกับพระจันทร์เสี้ยว ทำให้คืนนี้ดูเงียบสงัดมากยิ่งขึ้น
บางครั้งลมจากทะเลสาบก็พัดมาอย่างเย็นสบาย
เบทต้านอนพิงอยู่กับราวสะพานและมองไปยังทะเลสาบที่อยู่ห่างออกไป ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
โรแลนด์ขุดหลุมใกล้ๆบ้านพร้อมนำเถ้าถ่านจากในบ้านฝังเอาไว้
จากนั้นเขาก็ตั้งไม้กางเขนและป้ายหิน
หลังจากนั้นเขาก็พบเข้ากับชายหนุ่มที่ยังดูมึนงงอยู่บนสะพาน
โรแลนด์หยุดอยู่ข้างๆเบตต้าก่อนจ้องมองไปยังแสงสะท้อนของทะเลสาบแบบเดียวกับที่เบทต้าทำ
เบทต้าหันหน้าหนีพร้อมแอบเช็ดตาของเขาด้วยขอบเสื้อ
“คิดอะไรอยู่ล่ะ?” โรแลนด์ถามหลังจากผ่านไปอย่างยาวนาน
“ไม่มีอะไรครับ”
ชายหนุ่มตอบกลับมาเสียงแหบแห้ง โรแลนด์แอบเห็นรอยน้ำตาบนหน้าของเขา
โรแลนด์ถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ก่อนจะนึกถึงฟอลเคิลที่มีท่าทางที่ผิดหวังก่อนจะจากออกไป
“พี่โรแลนด์ ผมขอโทษ ผมทำมันพัง” เบทต้าพูดออกมาอย่างเบาๆ
ชายหนุ่มเสียใจอย่างแท้จริง โรแลนด์มองไปที่เขาสักพัก ก่อนจะยิ้มออกมา “นายเสียค่าชื่อเสียงไปเท่าไหร่ล่ะ?”
“สามสิบครับ” เบทต้าเผยอปากของเขาออกมา
เขาไม่ได้เสียใจที่ต้องเสียค่าชื่อเสียง เขาเพียงแค่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรบางอย่างผิดไป เขาเห็นว่า NPC เป็นเพียงกลุ่มข้อมูล ทว่าคู่สามีภรรยาคู่นั้นก็ทำให้เขาเห็นแล้วว่าพวกเขาต่างมีจิตวิญญาณ ความคิด และท่าทางเป็นของตัวเอง
ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติและสมจริงไปหมด
“ของฉันลดลงไป 10 น่ะ พวกชาวบ้านลำเอียงนิดๆล่ะนะ เพราะฉันอยู่มานานและพวกเขาก็รู้จักฉันดีกว่า ดังนั้นพวกเขาเลยไม่โหดร้ายกับฉันนัก” โรแลนด์พูดออกมา “มันพิสูจน์ทฤษฎีของฉันได้แล้วว่านี่ไม่ใช่แค่เกมธรรมดา”
เบทต้าฝืนยิ้มออกมาและพูดว่า “ทว่าพวกเขาก็อยู่ในเกมจริงๆ ผมรู้ว่าพี่คิดอะไรอยู่ ถ้าชีวิตมีพื้นฐานมาจากคาร์บอนและซิลิโคนได้ ดังนั้นพวกมันก็สามารถมาจากข้อมูลได้เช่นกัน ทว่ามันเป็นไปได้จริงๆหรอที่จะสามารถพัฒนาเกมที่มีชีวิตแบบนี้ออกมาได้?”
“ถ้า NPC เหล่านี้ล้วนมีชีวิตจริงๆ ทำไมผู้พัฒนาเกมถึงไม่ระบุตั้งแต่ต้น?”
เบทต้าพูดดังขึ้นดังขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะตะโกนออกมา
โรแลนด์แสดงความเห็นออกมาว่า “บางทีพวกผู้พัฒนาเกมอาจจะไม่รู้สิ่งที่พวกเขากำลังสร้างอยู่ก็ได้”
“พี่คิดว่าเป็นไปได้เหรอครับ?” เบทต้าพูดออกมาอย่างไม่เห็นด้วย
โรแลนด์ตอบกลับไปว่า “ใครจะรู้ล่ะ? ไม่มีใครสามารถให้คำตอบเราได้”
หลังจากนั้นพวกเขาก็เงียบลง มีเพียงเสียงสายลมที่ดังขึ้นเท่านั้น
หลังจากสักพักหนึ่งโรแลนด์ก็ถามอีกครั้งว่า “นายคิดจะทำอะไรต่อไปล่ะ?”
“ไปที่เมืองอื่นครับ” เบทต้าพูดออกมาอย่างสิ้นหวัง “ผมไม่เป็นที่ต้อนรับของที่นี่ มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ต่อไป”
โรแลนด์ลุกขึ้นยืนพร้อมพูดอย่างสบายๆขณะจ้องมองไปยังดวงดาวที่อยู่ห่างไกลว่า “นายเลือกที่จะหนีแบบนั้นแทนที่จะพยายามชดเชยสิ่งที่นายทำลงไปหรอ?”
เบทต้าหันหน้ากลับมาพร้อมถามว่า “พี่มีอะไรแนะนำไหมครับ?”
“มันมีรังแมงมุมยักษ์ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของเมืองนี้” โรแลนด์พูดออกมาอย่างช้าๆ “ฉันเคยลองฆ่ามันมาก่อนทว่าฉันก็ยอมแพ้เพราะจำนวน นอกจากนี้นายก็รู้ว่านักเวทย์ยังไม่ค่อยมีความสามารถในการต่อสู้สักเท่าไหร่ บางทีถ้านายร่วมมือกับฉัน…”
เบทต้าถามออกมาอย่างสนใจว่า “พวกมันกินได้ไหมครับ? ผมจำได้ว่าขาแมงมุมทอดที่เคยกินนั้นอร่อยมาก”
เมื่อเห็นชายหนุ่มเริ่มอารมณ์ดีขึ้นโรแลนด์ก็ยิ้มออกมา “นายเคยเห็นแมงมุมยักษ์ในชีวิตจริงรึไงล่ะ?”
เบทต้าพูดออกมาจากความทรงจำว่า “พวกมันก็แค่ปูมะพร้าวน่ะครับ”
“ไม่ใช่ว่าพวกมันก็เป็นปูเหรอ? เดี๋ยวก่อนนะ บางทีพวกมันอาจจะเป็นล็อบสเตอร์?” โรแลนด์พูดออกมาอย่างสงสัย
“พวกมันทั้งหมดเป็นสัตว์มีปล้องเหมือนกันครับ ผมเลยคิดว่าพวกมันทั้งหมดนั้นเป็นแมงมุม”
โรแลนด์ยิ้มออกมา “ถ้านายคิดแบบนั้นมันก็มีเหตุผล”
เบทต้ารู้สึกดีขึ้นมากหลังได้พูดเกี่ยวกับของกิน จากนั้นเขาก็พูดว่า “งั้นเดี๋ยวผมของฝึกเพลงดาบก่อนนะครับ”
“นายสามารถใช้เพลงดาบได้?” โรแลนด์ประหลาดใจเป็นอย่างมาก “นายเรียนมาจากโรงเรียนเหรอ”
เบทต้าส่ายหัวออกมา “ไม่ครับ มีทหารผ่านศึกอยู่ในหมู่บ้านที่ผมเกิด ผมจ่ายเขาไปสามเหรียญเงินเพื่อของเรียนวิชาของเขา มันเป็นเพียงท่าง่ายๆไม่กี่ท่า แต่ผมพบว่ามันฝึกยากพอสมควร”
“สามเหรียญเงิน…” โรแลนด์ถอนหายใจออกมา ทำเหมืองมากกว่าหนึ่งเดือน เขาเก็บเงินได้เพียงสามเหรียญเงินเท่านั้น
เบทต้าดูรวยยิ่งกว่าโรแลนด์เสียอีกแม้ว่าเขาจะเข้ามาเล่นหลังโรแลนด์เกือบครึ่งเดือน
เมื่อคิดได้แบบนั้นโรแลนด์จึงถามออกมาว่า “นายหาเงินมาจากไหนกัน?”
เบทต้าตอบกลับมาว่า “ขุนนางผู้สูงศักดิ์มีความสามารถติดตัวที่ชื่อว่า “โชคชะตา” ซึ่งทำให้ผมสามารถเก็บเงินได้! ผมเก็บได้เกือบสามเหรียญทองแล้วครับ”
อั๊ก!
โรแลนด์รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เจ้าพี่น้องสองคนนี้โคตรรวยในเกม
ชัคเป็นเซนต์ซามูไรได้รับเงินรายเดือนกว่ายี่สิบเหรียญทอง หรือแปลงเป็นเงินจริงกว่าสองแสนเหรียญ
ขณะที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาเพียงแค่เก็บเงินโดยไม่ต้องทำงาน…บางทีโรแลนด์ก็รู้สึกค่อนข้างอิจฉาพวกเขา
ถ้าเป็นไปได้เขาก็หวังว่าจะสามารถเล่นเกมง่ายๆโดยไม่ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อแลกกับเงิน ทว่าความจริงนั้นโหดร้าย
เขาทำได้พียงแค่จบลงที่การทำเหมือง
หลังจากนั้นเบทต้าก็เริ่มฝึกเพลงดาบ ในขณะที่โรแลนด์กลับไปยังกระท่อม
เขาพบฟอลเคิลยืนอยู่รออยู่หน้ากระท่อม
ฟอลเคิลเดินเข้ามาเมื่อสังเกตเห็นเขา ภายใต้แสงจันทร์เขาดูเป็นชายแก่ธรรมดาที่อยู่ในชุดคลุมสีเขียว
“ทำไมเราไม่คุยกันหน่อยล่ะ?”
โรแลนด์พยักหน้า
เมื่อมองลงไปยังเมืองที่อยู่ใต้ภูเขา ฟอลเคิลก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนัก “พวกเรารู้อยู่แล้วว่าหลานของเจมส์ตายไปนานแล้ว”
“โรแลนด์ยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนส่ายหน้าออกมาราวกับช่วยไม่ได้”
จริงๆแล้วตามสภาพของเจมส์แล้ว พวกเขาจะอยู่ได้อีกไม่นานนัก ทว่ามันก็ดีกว่าที่พวกเขาจะตาย” ฟอลเคิลถอนหายใจออกมาอย่างหนัก “ทว่าในเมื่อพวกเขาตายแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องทนทุกข์กับโรคและได้อยู่กับหลานของพวกเขาตลอดไป”
โรแลนด์ไม่รู้จะพูดอะไรดี เขารู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าในเสียงของฟอลเคิล
“อีกไม่นานข้าก็จะตายเช่นกัน”
โรแลนด์ไม่เข้าใจว่าฟอลเคิลต้องการจะพูดอะไรในตอนแรก แต่ไม่นานนักเขาก็หันไปมองยังฟอลเคิล
“อย่าตกใจไปนักเลย ในฐานะของนักบวช ข้ารู้ดีอยู่แล้วว่าข้าจะถูกอัญเชิญไปโดยเทพธิดาที่ข้านับถือ” ฟอลเคิลพูดออกมาอย่างสบายๆ “ข้าจะไปยังสรวงสวรรค์ในอีกสามเดือน…อย่าเศร้าไปเลยเข้าควรมียิ้มอย่างมีความสุขให้ข้า”
“ทำไมล่ะ? ในเมื่อถ้าคุณตาย ทุกอย่างที่คุณมีก็จะหายไป”
“ไม่หรอก เหล่านักบวชจะอาศัยอยู่ในสรวงสวรรค์อย่างชั่วนิรันดร์หากพวกเขาไม่ทำผิดอะไรร้ายแรง”
ทว่าโรแลนด์กลับไม่เชื่อในนรกสวรรค์มันดูไร้สาระและคาดเดาไม่ได้
เวลากลางคืนภายในป่านั้นเงียบสงบ
สภาพแวดล้อมโดยรอบดูน่าหวาดหวั่น เต็มไปด้วยเศษกระดูก และโทเท็มไปทุกที่ กลิ่นของร่างที่เน่านั้นน่าขยะแขยงเป็นอย่างมาก
ทว่า โรแลนด์ก็ไม่ได้กลัวขนาดนั้น
เขาเจอกับพลั่วหลายอันภายในรังของโทรลล์ อุปกรณ์พวกนี้น่าจะเป็นของชาวนาที่ถูกจับและถูกกินโดยพวกโทรลล์
โรแลนด์ขุดหลุมลึกด้วยพลั่วในมือและเคลื่อนย้ายกระดูกเหล่านั้นด้วยแขนเวทย์อย่างระมัดระวังก่อนจะฝังกระดูกทั้งหมดไว้ด้วยกัน
เขาขุดหลุมเล็กๆและปักไม้กางเขนจากแท่งไม้เล็กที่เคยใช้ทำโทเทมมาก่อน
“ฉันไม่รู้จักชื่อพวกนาย ทว่าในเมื่อพวกนายทั้งหมดล้วนเป็นเหยื่อ ดังนั้นมันก็น่าจะไม่มีปัญหาที่พวกนายจะอยู่ด้วยกัน”
โรแลนถอนหายใจออกอย่างหนักหน่วง
หลังจากใช้เวลาร่วมเดือนอยู่ที่นี่ เขาไม่สามารถทำเหมือน NPC ภายในเกมเป็นเพียงกลุ่มข้อมูลได้ เขาคิดว่า NPC นั้นแทบไม่ต่างจากคนจริงๆ
นี่เขายังอยู่ในเกมจริงๆรึเปล่า
มันเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างขัดแย้งกัน
ในตอนนี้ก็ดึกเป็นอย่างมากแล้ว การฝังศพทำให้เขาเสียเวลาไปพอสมควร เขาเริ่มต้นเดินทางกลับไปยังเมืองเรดเมาน์เทน
เมื่อคิดถึงระยะทาง เขาก็อดพึมพำออกมาไม่ได้ว่า “ฉันหวังว่าฉันน่าจะเทเลพอร์ตได้…ฉันต้องหาเวทย์เกี่ยวกับมิติและเวลาให้ได้ มันจะมีประโยชน์ทั้งในการต่อสู้และการเดินทาง”
เพราะการเดินทางที่ยาวนาน ทำให้โรแลนด์ตัดสินใจเลือกสกิลที่เขาควรจะเชี่ยวชาญออกมา
ทางฝั่งของเบทต้าเขานั้นมาถึงเมืองเรดเมาน์เทนในตอนเช้า
ตลาดนั้นจบลงเรียบร้อยแล้ว เขาพบคู่ชายและหญิงชราอยู่ข้างๆทะเลสาบ
ด้วยแสงสีแดงยามเช้ากระทบเข้ากับทะเลสาบ คู่ชายและหญิงชราต่างจ้องมองไปยังเส้นขอบฟ้าจากข้างบ้านไม้ของพวกเขา
เบทต้าเดินเข้าไปใกล้พวกเขาและพูดออกมาอย่างสบายๆว่า “ผมพบสิ่งที่คุณต้องการแล้ว หลานชายของพวกคุณนั้นตายแล้ว”
“หลานชายของพวกข้ายังไม่ตาย!” หญิงชรากระทืบเท้าออกมาพร้อมตะโกนว่า “เจ้าหนุ่มเจ้าหมายความว่าอะไรกันแน่! แกพูดว่าหลานของพวกข้าตายไปแล้วงั้นหรอ? ข้าจะทุบเจ้า…”
นี่คงเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ระบบตั้งไว้…เบทต้าคิดออกมาและนำหัวกะโหลกออกมาให้หญิงชรา
หญิงชราตัวแข็งไปทันที ทว่าสายตาที่มึนงงของเธอกลับเปร่งประกายออกมา
เธอรับหัวกะโหลกนั่นมาก่อนกอดมันอย่างแน่นด้วยความอ่อนโยน
“ดีแล้วที่เจ้ากลับมา” แสงสีรุ้งเปล่งประกรายออกมาจากตาของหญิงชรา เธอนำหัวกะโหลกมายื่นตรงหน้าของสามีของเธอและพูดว่า “ดูนี่สิ หลานชายของพวกเรากลับมาแล้ว!”
ชายชราเองก็ยิ้มอย่างมีความสุขด้วยเช่นเดียวกัน
เขาลูบเส้นผมที่แห้งเหี่ยวของหลานชายพร้อมพูดว่า “ข้าไม่ทำโทษเจ้าหรอกที่เจ้าหนีไป ไปกินข้าวเช้ากันเถอะ…”
พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปในบ้านพร้อมหัวกะโหลก
เบทต้ารู้สึกประหลาดที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้
ทว่าเขาก็ไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่า มันแปลกตรงไหน
NPC ภายในเกมนี้ล้วนเหมือนจริง ทว่าการแสดงออกของพวกเขาก็แปลกเกินไป ไม่ใช่ว่าปกติพวกเขาควรร้องไห้เมื่อเห็นหัวกะโหลกของหลานชายหรอ?
อาจจะมีบางอย่างผิดพลาดที่ข้อมูลในการแสดงอารมณ์…มันไม่สมเหตุสมผลเกินไป
ด้วยความคิดเหล่านั้นทำให้เขาถอยออกไปและเดินดูรอบๆบ้าน
เขาควรจะไปหาภารกิจอื่นได้แล้ว ทว่าเสียงในใจของเขากลับบอกให้เขาหยุดและมองดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับชายและหญิงชรา
เสียงหัวเราะอย่างยินดีดังออกมาจากภายในบ้าน แตกต่างจากบรรยากาศที่เศร้าหมองก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง
คงจะต้องมีอะไรผิดปกติในข้อมูลแน่ๆ
เบทต้าพึมพำออกมาอีกครั้งและพยายามจะจากไป ทว่าขาของเขากลับไม่เคลื่อนไหว ราวกับถูกตอกไว้กับพื้น
เขายังคงรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆแต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ชายและหญิงชราก็เดินออกมาจากบ้าน
พวกเขาทั้งคู่นั้นดูมีความสุข ชายชราไปขายอาหารที่ตลาด และหญิงชราก็ไปเก็บฟืนจำนวนมาก
พวกเขาต่างใช้ชีวิตราวปกติ หลังจากนั้นก็มีควันลอยมาจากทางห้องครัวเมื่อถึงตอนเย็น มันราวกับพฤติกรรมทั่วไปของ NPC คนอื่นๆในเกมนี้ ชีวิตของพวกเขาต่างเหมือนกันทั้งหมดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เบทต้าพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติหลังจากสังเกตมาทั้งวัน ทว่าเขากลับยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่นานนักโรแลนด์ก็กลับมาถึง
ด้วยความที่เป็นนักเวทย์เขาไม่แข็งแรงเท่าเบทต้าคนที่มีอาชีพลับ เขาต้องพักถึงสองครั้งก่อนจะกลับมาถึงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
โรแลนด์ยิ้มออกมาเมื่อเห็นเบทต้า “นายมันไม่ส่งเควสอีกหรอ? ฉันคิดมาระหว่างทางว่าการบอกพวกเขาว่าหลานชายของพวกเขานั้นตายไปแล้วดูจะรุนแรงเกินไป ทางที่ดีพวกเราควรเก็บเป็นความลับจากพวกเขา…”
โรแลนด์ตกตะลึกไปทันที ที่เขาสังเกตเห็นไฟกำลังลุกไหม้บ้านที่อยู่ข้างทะเลสาบ…พระอาทิตย์ยักไม่ตกเต็มที่ จากมุมมองของเขา เขาเห็นเปลวเพลิงอยู่ทางด้านขวาไม่ไกลจากพระอาทิตย์
“นั่นบ้านของเจมส์นี่!”
โรแลนด์ตะโกนออกมาพร้อมวิ่งไปด้านหน้า ด้วยความที่เขาฝึกเวทย์อยู่ใกล้ๆทะเลสาบ ทำให้เขารู้จักและพยักหน้าทักทายคู่สามีภรรยาอยู่ตลอดเมื่อได้เจอกัน”
เบทต้าหน้าซีดไปทันทีที่เห็นบ้านไฟไหม้
โรแลนด์ตรงไปยังบ้านหลังนั้น ก่อนจะยิงวงแหวนน้ำแข็งไปยังเปลวไฟที่อยู่ในบ้าน ทว่าเขาก็ยอมแพ้ไปด้วยความผิดหวังหลังจากลองสังเกตุดีๆ
เปลวเพลิงนั้นใหญ่เกินไปมันเผาแม้กระทั่งบ้านไม้ ใครก็ตามที่อยู่ภายในบ้านคงตายไปหมดแล้ว
เบทต้าก็มาถึงแล้วเช่นกัน ใบหน้าของเขาซีดลงเรื่อยๆ ร่างกายของเขาสั่นไปทั้งตัว
ท้ายที่สุด เขาก็กัดฟัดพูดออกมาว่า “พี่โรแลนด์…หัวกะโหลกที่พวกเราพบเกี่ยวข้องกับหลายชายของคู่สามีภรรยาคู่นี้”
อะไรนะ!
ใจของโรแลนด์เย็นยะเยือกไปในทันที
เขาราวกับถูกแช่แข็ง จนไม่สามารถขยับได้
เปลวเพลิงดึงดูดชาวบ้านมามากมาย พวกเขาต่างมุ่งมั่นที่จะดับไฟ ทว่าพวกเขาก็ต้องส่ายหน้าออกมาและยอมแพ้เมื่อพวกเขาเห็นบ้านที่เต็มไปด้วยสีแดงจากเปลวเพลิง
บางคนพึมพำออกมาว่า “ทำไมบ้านของเจมส์ถึงไฟไหม้ล่ะ? ใครมาถึงคนแรก?”
“คุณโรแลนด์และขุนนางคนหนึ่งน่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่”
“ใครพอจะรู้บ้าง?”
ในที่สุดฟอลเคิลก็มาถึงเขาหันไปถามโรแลนด์ว่า “เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่โรแลนด์?”
เบทต้าที่กำลังสั่นและหน้าซีดอย่างน่ากลัว เขาหันหน้าหนี และไม่กล้ามองไปยังกลุ่มชาวบ้าน
“ผมพบกะโหลกของแซมและนำมันมาให้กับคู่สามีภรรยาเจมส์” โรแลนด์ตอบอย่างใจเย็นพร้อมถอนหายใจออกมา
ชาวบ้านคนอื่นๆต่างจ้องมองมาที่โรแลนด์และเบทต้าอย่างเงียบๆ และสลายตัวไปในที่สุด
เปลวเพลิงยังคงไม่มอบดับลงจนกระทั่งรุ่งเช้ามาถึง
ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลยนอกจากเถ้าถ่านและเปลวควัน
“ภารกิจเสร็จสิ้น EXP +37 , ชื่อเสียงในเมืองเรดเมาน์เทน -10”
การแจ้งเตือนปรากฎขึ้นมาอยู่หน้าสายตาของโรแลนด์
โรแลนด์นั้นอยู่ที่เมืองเรดเมาน์เทนมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ทว่าเขาก็ยังไม่ได้พบเจอเข้ากับภารกิจใดๆเลย แต่ว่าเบทต้ากลับเจอมันได้อย่างรวดเร็ว
คิดไปคิดมามันก็พอเข้าใจได้ โรแลนด์นั้นไม่สามารถใช้ความสามารถทางภาษาได้ และภารกิจต่างๆจำเป็นต้องมีการสนทนา ไม่เหมือนกับเกมอื่นๆที่จะมีเครื่องหมายตกใจสีทองอยู่เหนือหัว NPC เพื่อบอกให้ผู้เล่นรับรู้ว่ามีเควส
แต่ว่าหมอนี่ไปเจอกับภารกิจได้ยังไงในเมื่อเขาเป็นคนพูดน้อยมาก?
นอกจากนี้….เขาจะต้องรีบเรียนความสามารถทางภาษาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“โอเค งั้นมาร่วมทีมกัน นายจะได้แชร์เควสให้ฉันได้”
พวกเขาทั้งคู่ต่างเป็นพวกไปไหนไปกันทั้งคู่ ไม่นานนักพวกเขาก็สร้างทีมด้วยเมนูจากระบบ และหลังจากนั้นเบทต้าก็แชร์ภารกิจให้แก่เขา
“ค้นหาหลานที่หายตัวไปของชายชรา”
ชื่อของภารกิจนั้นเป็นสีเขียว และตามด้วยคำว่า “ยอดเยี่ยม”
เมื่อสังเกตเห็นว่าโรแลนด์ดูสับสน เบทต้าเลยอธิบายว่า “ผมเคยได้รับภารกิจสีขาวมาก่อน แต่ว่าของรางวัลนั้นไม่ค่อยดีนัก ผมได้มาแค่ดาบเหล็กยาวธรรมดาๆอันหนึ่งแค่นั้น”
เบทต้านำดาบยาวออกมาจากกระเป๋ามิติและโบกมันไปมา “อันนี้แหละครับ”
“นี่นายได้รับเสื้อผ้ากับอาวุธพวกนี้จากภารกิจทั้งหมดเลยหรอ?” โรแลนด์ถามออกมาอย่างสงสัย
เบทต้าพยักหน้ารับและถามกลับว่า “ไม่ใช่ว่าพี่ก็ได้รับชุดมาจากภารกิจหรอ?”
โรแลนด์ส่ายหน้าออกมา “ไม่ล่ะ นี่ก็เป็นของขวัญจากชายแก่คนหนึ่งน่ะ”
เบทต้าปรบมือออกมาพร้อมพูดว่า “ดูเหมือนว่าความสนิทสนมก็มีผลภายในเกมนี้ด้วยสินะ”
ถึงแม้ว่าเบทต้าจะพึ่งจบจากมัธยม แต่เขาก็นับได้ว่าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงคาดเดาเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว
โรแลนด์หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดออกไปว่า “ก็ใช่ แต่ฉันไม่แนะนำให้นายทำเหมือนกับว่า NPC เกมนี้เหมือน NPC ใน sandbox ที่พวกเราเคยเล่น พวกเขาค่อนข้างฉลาดเลยทีเดียว”
เบทต้าพยักหน้าและพูดอย่างสบายๆว่า “ผมรู้ครับ ปัญญาประดิษฐ์ของเพนกวินคอโปเรชั่นนั้นราวกับมีชีวิตจริงๆ”
“สำหรับฉันแล้วพวกเขาเหมือนกับเป็นมุนษย์จริงๆเลยหละ” โรแลนด์พูดออกมาพร้อมขมวดคิ้ว
“ฮ่ะๆๆๆๆๆ” เบทต้าหัวเราะออกมา “พี่คิดมากไปแล้ว พี่โรแลนด์ เกมนี้ถูกควบคุมด้วย AI พวกเขาเป็นแค่กลุ่มข้อมูลเท่านั้นแหละ”
โรแลนด์ถอนหายใจออกมา “ในตอนมหาลัยฉันเรียนเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ระบบอัจฉริยะ หรือพูดง่ายๆก็คือฉันทำเกี่ยวกับ AI นั่นแหละ เท่าที่ฉันรู้ก็คือมันมีเงื่อนไขเยอะมากถึงจะสามารถสร้างโลกที่ใหญ่โตและสร้าง NPC ได้ราวกับมนุษย์ขนาดนี้ ฉันไม่คิดว่าจะมีใครสามารถทำได้”
“แต่เกมนี้ก็ทำมันได้นิครับ” คำพูดของเขาก็ยังคงตรงประเด็นเหมือนเช่นเคย เบทต้ายักไหล่และพูดออกมา “นอกจากนี้…อัจฉริยะมักจะทำอะไรเหนือความคาดหมายเสมอ”
โรแลนด์พูดออกมาทั้งยิ้มอย่างฝืนๆว่า “คงมีแค่คำตอบนี้ละนะที่อธิบายได้”
“อ่าครับ แล้วพวกเราควรเริ่มเลยไหมครับพี่โรแลนด์?” เบทต้ามองมาทางเขาด้วยความคาดหวัง
พวกเขานั่งกันอยู่บริเวณหน้ากระท่อมของโรแลนด์ โรแลนด์ชี้ไปยังบริเวณเชิงเขา วันนี้เป็นวันที่ตลาดเปิด ดังนั้นผู้คงจำนวนมากจึงหลั่งไหลกันเข้ามาในเมืองเรดเมาน์เทน
บนถนนอัดแน่นไปด้วยพ่อค้าเร่และลูกค้ามากมาย
เสียงฝูงชนที่ดังมาจากด้านล่างราวกับเกิดการก่อจลาจล
“นายไม่อยากเข้าร่วมเทศกาลหน่อยหรอ?” โรแลนด์ถามออกมา เนื่องจากพบว่ามันค่อนข้างน่าสนใจ “ตลาดแบบนี้น่าจะแปลกใหม่สำหรับนายใช่ไหม? รุ่นนายโตมากับช็อปปิ้งออนไลน์นี่”
เบทต้ายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ผมไม่สนใจหรอกครับ ผมแค่อยากเลเวลอัพ ,ท้าทายกับภารกิจที่ซับซ้อน และพบเจอสัตว์ประหลาดกับพื้นที่ใหม่ๆแค่นั้น”
ดูเหมือนว่าหมอนี่อยากผจญภัยสินะ?
โรแลนด์ยืนขึ้นและพูดว่า “งั้นก็ไปกันเถอะ”
พวกเขาออกจากเมืองเรดเมาน์เทนโดยผ่านทางสะพานที่วุ่นวาย จากภารกิจที่ได้รับมา ดูเหมือนเด็กนั่นจะป่าวประกาศว่าตัวเองจะเป็นทหารรับจ้างแล้วเดินทางไปรอบโลก จากนั้นเด็กนั่นก็ไปยังทิศตะวันตกพร้อมกับดาบ”
ตะวันตก….
โรแลนด์คลับคล้ายคลับคลาว่าฟอลเคิลเคยเล่าให้เขาฟังว่ามีฝูงโทรลล์ซ่อนตัวอยู่ในป่าห่างออกไปเพียงไม่กี่สิบกิโลเมตรจากทิศตะวันตก โทรลล์นั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง และนอกจากนี้พวกมันยังมีฝีมือในการล่าอยู่บ้าง ดังนั้นพวกมันเลยไม่เคยถูกกำจัดมาก่อน
เมื่อคิดเกี่ยวกับมัน โรแลนด์ก็พึมพำออกมาว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าเด็กโง่นั่นพยายามพิชิตโทรลล์หรอกนะ? เขาคงไม่บ้าขนาดนั้นใช่ไหม?”
เบทต้าได้ยินก็พูดออกมาว่า “มันเป็นแค่การตั้งค่าน่ะครับ ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเหตุผลหรอก ยังไงมันก็เป็นเพียงแค่ภารกิจสำหรับเพิ่มเลเวลแค่นั้น”
ทว่าโรแลนด์ก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ดี
ด้วยความช่วยเหลือจากระบบ โรแลนด์และเบทต้าก็พบเข้ากับโทรลล์ในช่วงเย็นหลังจากเดินหากันมาทั้งวัน
ที่มันค่อนข้างน่าขนลุกและเต็มไปด้วยกระดูกโทเทม
โทรลล์ผิวเขียวหลายสิบตัวต่างนั่งล้อมรอบกองไฟ ภายในหม้อหินที่ตั้งอยู่บนไฟนั้นดูเหมือนกำลังปรุงชิ้นส่วนของมนุษย์อยู่
มันมีโทรลล์อยู่ทั้งหมด 13 ตัว โดยมีเลเวลระหว่าง 1 และ 2 ไม่แปลกใจว่าทำไมพวกมันถึงเป็นภัยคุกคามสำหรับนักเดินทาง
โรแลนด์ที่หมอบอยู่ถามออกมาว่า “พวกเราควรวางแผนการต่อสู่ไหม?”
“ไม่จำเป็นหรอกครับ ผมเคยฆ่าพวกโทรลล์มาก่อน ระวังหลังให้ด้วยนะครับพี่โรแลนด์” เบทต้ายืนขึ้นและพุ่งเข้าจู่โจมทันที
ไม่ต่างจากที่เบทต้าบอกไว้ การสังหารโทรลล์นั้นง่ายดายสำหรับเขาเป็นอย่างมาก
เขาทั้งรวดเร็วและแข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้นเขาสามารถใช้เวทมนตร์ได้ระหว่างการต่อสู้
เขาทำลายรังของโทรลล์ราวกับเสือหลุดเขาฝูงแกะ เพียงแค่สามนาทีโทรลล์ก็ล้มตายไปกว่าครึ่ง และอีกครึ่งที่เหลือก็ถูกสังหารด้วยบอลเพลิงนรกและแขนเวทย์ของโรแลนด์
เลือดกระจายไปทั่วพื้น
เบทต้าเช็ดเลือดออกจากหน้าของตัวเอง และด้วยความช่วยเหลือของระบบเขากะบเข้ากับเป้าหมายหลักของภารกิจซึ่งเป็นหัวกระโหลกอยู่บนโทเทมประหลาด
“นี่คือเป้าหมายของภารกิจของพวกเราสินะ” เบทต้ายิ้มออกมาและหยิบหัวกะโหลกออกจากโทเทม
“นายไม่คิดว่ามันน่าขยะแขยงหรอ?” โรแลนด์ถามออกมาพร้อมขมวดคิ้ว
เบทต้าที่กำลังเล่นกับหัวกะโหลกที่อยู่ในมือ โดยไม่ลำยากใจอะไรเลย ตอบกลับมาว่า “พวกมันเป็นเพียงแค่ข้อมูลนะครับ ใจเย็นๆครับ”
“เอาล่ะ พี่โรแลนด์กลับไปจบภารกิจกันเถอะครับ”
โรแลนด์มองโทเทมกระดูกที่อยู่โดยรอบ พวกมันล้วนแล้วแต่เคยเป็นมนุษย์มาก่อนที่จะถูกกิน บางส่วนยังคงอยู่ในหม้อด้วยซ้ำ เมื่อคิดอยู่สักพักเขาก็พูดออกมาว่า “ทำไมนายไม่กลับไปก่อนละ? ฉันว่าจะฝังกระดูกพวกนี้สักหน่อย”
เบทต้ามองมาทางเขาอย่างประหลาดใจ “พี่โรแลนด์ พวกมันก็เป็นแค่ข้อมูลน่า พี่กังวลเกินไปแล้ว”
โรแลนด์หยุดสักครู่ก่อนพูดว่า “แค่คิดว่าฉันเป็นคนหัวแข็งก็แล้วกัน”
เบทต้าถอนหายใจออกมาและกล่าวว่า “งั้นผมจะรอพี่ที่เมืองนะ”
หลังจากนั้นเขาก็กลับออกไปคนเดียว
ด้วยความที่เป็นคนรวย ทำให้ลี่หลินเติมเกมเป็นจำนวนมากในทุกๆเกม
เขานั้นจะแข็งแกร่งที่สุดในเกมที่เกี่ยวกับการจัดการ ทว่าเขานั้นมักจะเล่นเกมต่อสู้และแข่งขันกันเองไม่ค่อยดีนัก เขาใจร้อนเกินไป ทันทีที่เขาเห็นศัตรูเข้าจะพุ่งเข้าหาโดยไม่สนว่ามันจะเป็นกับดักรึเปล่า
สิ่งแรกที่เขาทำเมื่อเล่นเกมใหม่ๆคือเติมเงิน
แน่นอนเขาก็ไม่พลาดในคราวนี้เช่นกัน
เมื่อเห็นชัคปฏิเสธเงินของเขา ลี่หลินก็โกรธขึ้นมาทันที “ทำไมนายถึงพูดอะไรแบบนั้นกับเพื่อนที่โตมาด้วยกันห๊ะ! ฉันเกลียดคนอย่างแกมาก แกมันเอื้อเฟื้อมากเกินไป นายไม่รู้จักที่จะยำเกรงต่อเงินของฉันเลย”
ลีหลินทุบโต๊ะด้วยใบหน้าที่แดงฉ่า “จำเป็นต้องทำแบบนี้รึไง? ห๊ะ! มันจำเป็นจริงๆใช่ไหม?”
“เออๆ อย่าโกรธไปนักเลยน่ะ” ชัคตบไปที่ไหล่ของลี่หลินและพูดว่า “เอาเป็นว่า 1 เหรียญทอง ต่อ 13 แกรนด์นะ ฉันจะขายนายทั้งหมด 10 เหรียญ โอเคมั้ย?”
ลี่หลินใจเย็นลงและพูดว่า “ก็แค่นั้นแหละ”
ตามจริงแล้ว ชัคและโรแลนด์ก็พอรู้ว่าลี่หลินจะรู้สึกตัวเองค่อนข้างต่ำต้อย โดยเฉพาะยิ่งหมอนั่นเผชิญหน้ากับชัค
เขาเป็นคนรวย ทว่าเมื่อตอนที่เขาเข้าร่วมกองทัพในตอนมัธยม
แฟนของเขาก็เกิดนอกใจในตอนที่เขาอยู่ในกองทัพ เขาขออนุญาตลากลับมาในช่วงปีใหม่ โดยหวังว่าจะมาเซอร์ไพรส์แฟน ทว่าเขากลับได้พบกับเธอพร้อมชู้รักแทน
หลังจากเขาออกมาจากกองทัพ เขาก็มีแฟนมาหลากหลายคน ทว่าไม่มีใครทนเขาได้เกินสี่เดือนเลยสักคน
เขาชอบที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับชัค ทว่าในท้ายที่สุดลี่หลินก็พบว่าสิ่งเดียวที่เขาเหนือกว่าชัคนั่นก็คือเงิน
ดังนั้นเขาจึงมีนิสัยค่อนข้างรุนแรง และน้อยคนนักที่จะเข้าใจเขา
แน่นอนว่าไม่มีเพื่อนคนไหนดูถูกเขาเลย พวกเขาโตมาด้วยกันและยิ่งไปกว่านั้นบ้านของพวกเขายังอยู่ใกล้กันจนถึงทุกวันนี้
ด้วยการที่อยู่ด้วยกันตลอดตั้งแต่เด็ก พวกเขาสนิทกันยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆเสียอีก
การกระทำของพวกเขาทำให้เบทต้าได้เปิดกว้างขึ้น
เขาไม่เคยรู้เกี่ยวกับชีวิตของพี่ชายและเพื่อนๆของเขาเลยจนกระทั่งวันนี้
สองชั่วโมงต่อมา โรแลนด์ก็กลับมายังบ้าน
เขาเข้าไปเช็คบทความ และพบว่าผู้คนกำลังชื่นชมและยินดีกันอยู่ในโพสต์ของเขา
จอมเวทและพ่อมดต่างทะเลาะกันอย่างรุนแรง
พ่อมดต่างเรียกร้องว่า ด้วยพรสวรรค์ของอาชีพ พลังทำลายล้างของเวทมนตร์ควรที่จะรุนแรงกว่านักเวทย์ และนักเวทย์นั้นควรจะขึ้นชื่อเรื่องจำนวนเวทย์ที่หลากหลายและความยืดหยุ่นในการต่อสู้
ทว่ากลับกลายเป็นว่า นักเวทย์สามารถปรับเปลี่ยนความรุนแรงของเวทย์ได้อย่างอิสระ โดยเวทย์ที่พวกเขานั้นรวบรวมพลังเวทย์ทั้งหมดและร่ายออกมาจะมีความน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
แค่ส่วนหนึ่งของเวทย์บอลเพลิงนรกในวิดีโอของโรแลนด์ ก็เป็นตัวอย่างแล้วว่า พลังทำลายนั้นรุนแรงพอๆกับเวทย์หมู่ระดับสูง
พ่อมดในเลเวลเดียวกันแค่ทำลายต้นไม้ด้วยบอลเพลิงยังไม่ได้ด้วยซ้ำ
ดังนั้นเหล่าพ่อมดจึงเชื่อกันว่านี่น่าจะเป็นข้อผิดพลาดของระบบที่ต้องแก้ไข
ทว่าเหล่านักเวทย์ก็เถียงกลับมาว่ามันไม่ใช่ข้อผิดพลาดของระบบ พวกเขาต้องแลกความสามารถในการร่ายเวทย์โดยอัตโนมัติเพื่อที่จะสามารถดัดแปลงเวทย์และจัดการกับเวทมนตร์ได้อย่างอิสระ
นอกจากนี้ ยังมีอาชีพระยะประชดทั้งหลายคอยสุมไฟอย่างสนุกสนาน
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดขึ้นในช่วงครึ่งวันเท่านั้น ทั้งเว็บบอร์ดต่างก็มาโต้เถียงถึงเรื่องนี้
โรแลนด์ผู้ซึ่งเป็นผู้เริ่มต้นของหายนะ ได้รับทิปกว่าสองหมื่นเหรียญและยังโดนรีพอร์ตกว่าร้อยครั้งโดยอ้างว่าเขาจงใจเผยแพร่บัคของเกม
โรแลนด์ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรดี เมื่อมองไปยังทิปและรีพอร์ตที่ได้
ถ้ารู้ว่ามันจะเป็นอย่างนี้เขาคงไม่โพสต์วิดีโอออกมา เขาเพียงแค่ต้องการให้กำลังใจเหล่านักเวทย์แค่นั้นไม่ได้ต้องการสร้างปัญหาอะไรเลย
เมื่อถึงตอนเย็น ทางเว็บไซค์อย่างเป็นทางการก็ประกาศออกมาว่า
ความหมายโดยนัยที่บอกผ่านบรรทัดต่างๆก็ยังคงชัดเจนเหมือนเช่นเคย
“การตั้งค่าทั้งหมดภายในเกมล้วนสมเหตุสมผลแล้ว หากคุณคิดว่านักเวทย์ขี้โกงเกินไป พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นพวกคุณย้ายมาเล่นนักเวทย์”
พ่อมดทั้งหมดต่างสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธเมื่อเห็นประกาศออกมา และนักเวทย์ต่างยินดีกับชัยชนะ
โรแลนด์ก็โล่งใจออกมาด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่าจะโหดไปสักหน่อย แต่เขาก็ชอบเงื่อนไขของนักเวทย์ในตอนนี้ซึ่งท้าทายและสนุกเป็นอย่างมาก
เวทย์จำเป็นต้องเรียนรู้ด้วยสติปัญญามากกว่าแค่กดใช้อย่างน่าเบื่อ
เมื่อตกดึกโรแลนด์ก็เข้าไปภายในเกมอีกครั้ง
เขาตั้งใจว่าจะเริ่มเรียนความสามารถทางภาษาก่อน
เขาได้คัดลอกโครงสร้างคณิตศาสตร์มาจากบทความมาแล้ว
ทว่า เพียงแค่มองอย่างผ่านๆ โรแลนด์ก็ทิ้งมันไปในทันที
มันดูยุ่งเหยิงเกินไป จุดเวทย์ของโครงสร้างนี้ดูแน่นราวกับจะทะลักออกมา
ณ ตอนนี้ โรแลนด์ยิ่งรู้สึกสงสัยว่าตัวเองน่าจะเป็น นักเวทย์คณิต
ทว่าไม่กี่วิต่อมา เขาก็เริ่มตั้งใจศึกษาโครงสร้างของความสามารถทางภาษาอีกครั้ง
วันถัดๆไปต่างก็ซ้ำซากและเหมือนเช่นเคย
เขาใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำเหมืองและศึกษาโครงสร้างเวทย์ และเมื่อเบื่อเขาก็จะไปล่าแมงมุมยักษ์ในป่าเมเปิลเล่น
หลังจากการต่อสู้หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็สามารถควบคุมพลังเวทย์ที่ปล่อยออกไปได้ และเขาก็ค้นพบอีกว่าแขนเวทย์สามารถใช้สำหรับยืดแขนเขาได้
ตราบเท่าที่เขาตั้งใจ เขาสามารถจัดการเจ้าแมงมุมลงได้อย่างแม่นยำโดยส่งบอลเพลิงยัดเข้าไปในปากมัน ซึ่งนั่นทำให้ตัวมันระเบิดออกมาอย่างชัดเจน
นี่เป็นวิธีที่สง่างามเป็นอย่างมากในการต่อสู้ของนักเวทย์
โรแลนด์ได้ความวิธีนี้มาโดยความไม่ตั้งใจ
นอกจากนี้ยังมีสกิลแปลกๆอย่างอื่นอีกที่เขาพบ
อาทิเช่น เมื่อจุดเวทย์ของแขนเวทย์ถูกอดกลั้นเอาไว้ เวทย์ที่ออกมาจะกลายเป็นหอกยาวสองเล่ม โรแลนด์ไม่รู้ว่ามันแสดงผลได้ดีในการต่อสู้ระยะประชิดหรือไม่ ทว่ามันสามารถหั่นเจ้าแมงมุมยักษ์เป็นชิ้นๆได้อย่างง่ายดาย
วงแหวนน้ำแข็งควรเปลี่ยนเป็นดาบน้ำแข็ง….,มันไม่ได้รุนแรงนักทว่ามันก็สามารถใช้ในการขัดจังหวะได้ และการควบคุมผลของวงแหวนน้ำแข็งของเขาก็ดีขึ้น
นอกจากนี้ สะกดจิตสามารถใช้จับปลาได้ หลังจากเขาร่ายเวทย์สะกดจิตไป ปลาตัวใหญ่ก็จะจมลงยังใต้ทะเลสาบเพื่อรอเวลาถูกจับ
ในขณะที่เขากำลังทดลองใช้เวทย์อย่างสนุกสนานอยู่นั่นเอง เวลาก็ผ่านไปกว่าสิบวันแล้ว
ตลาดที่เมืองเรดเมาน์เทนที่จะจัดขึ้นเพียงปีละ 2 ครั้ง นั้นได้จัดขึ้นในวันนี้
เบทต้านั้นมาจากเมืองล็อคพร้อมกับชาวบ้านอีกหลายคนเพื่อมาพบกับโรแลนด์
เบทต้านั้นมีผมสีทองและสวมเสื้อผ้าที่ดูสวยงามภายในเกม เขามีบรรยากศของชนชั้นสูง ทำให้ชาวบ้านไม่กล้าที่จะเข้าใกล้
“นี่เป็นผลจากพรสวรรค์ของผมน่ะครับ โดยผลคือจะมีบรรยากาศขุนนางโดยธรรมชาติ” เบทต้าอธิบายออกมาเมื่อเห็นโรแลนด์ดูสับสน นอกจากนี้เขายังพูดต่อว่า “พี่โรแลนด์ครับ พอดีผมได้เควสมาแล้วอยากจะมาแบ่งกับพี่”
โรแลนด์รู้สึกมึนงงทันที “เควส?”
เขาใช้เวลาอยู่ในเมืองเรดเมาน์เทนมาอย่างยาวนาน ทว่าเขากับไม่เคยกระตุ้นเควสใดๆได้มาก่อนเลย
โรแลนด์เคยได้ยินเรื่องของลูกพี่ลูกน้องของชัคมาก่อน แต่พวกเขาไม่เคยเจอหน้ากัน โดยได้ยินมาว่าเขาอาศัยอยู่เมืองอื่นและไม่ได้ย้ายเข้ามาจนกระทั่งช่วงๆนี้
“สวัสดีเบทต้า” โรแลนด์ทักทายด้วยรอยยิ้มพร้อมถามว่า “นายรู้ได้ยังไงว่า นายมีจุดเกิดใกล้ ๆ ฉัน”
บางทีอาจเป็นเพราะไม่คุ้นชินกับคนแปลกหน้า ดังนั้นเบทต้าจึงมีรอยยิ้มที่อึดอัดเล็กน้อย “พอดีผมได้ยินเข้าตอนที่พี่คุยกับพี่ชัคเมื่อวานนี้ แล้วพอดีผมเกิดที่หมู่บ้านล็อคและชาวบ้านมักจะพูดถึงการไปค้าขายที่เมืองเรดเมาน์เทน”
“นายเข้าใจสิ่งที่พวกชาวบ้านพูดด้วยงั้นหรอ?” โรแลนด์ถามออกมา
เบทต้าพยักหน้าและพูดต่อ “ขุนนางผู้สูงศักดิ์ เป็นคลาสที่ผสมกันระหว่าง นักรบ และ พ่อมดสายเลือดมังกร โดยในคลาสนี้สามารถเลือกเวทย์ได้ 2 อย่างในตอนเริ่มต้น ผมเลยเลือก พ่นไฟ และก็ ความสามารถทางภาษา”
โรแลนตกใจไปครู่หนึ่ง “ขุนนางผู้สูงศักดิ์ ฟังดูเหมือนคลาสที่หายากเลย”
“ครับ มันเป็นอาชีพลับ” เบทต้ายิ้มและพูดว่า “เมื่อเพิ่มค่าสถานะทั้งหมดของตัวเองเป็น 7 แต้ม แต้มโบนัสที่ได้มาในตอนแรกก็เพียงพอแล้วสำหรับการที่จะเปลี่ยนอาชีพเป็น ขุนนางผู้สูงศักดิ์ คลาสนี้มีความสามารถพิเศษต่างๆและสกิลที่หลากหลาย ในฐานะมือใหม่แล้วแม้ว่าในภาพรวมของมันจะอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น แต่ทว่ามันก็ไม่ใช่คลาสที่แย่สำหรับมือใหม่อย่างผม ผมก็เลยเลือกคลาสนี้”
โรแลนด์ยิ้มและคิดว่าเจ้าลูกพี่ลูกน้องทั้งสองนี้นั้นค่อนข้างโชคดี
คนหนึ่งได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเซนต์ซามูไร และอีกคนพบอาชีพลับอย่างง่ายดาย
พวกเขาเริ่มสนิทกันมากขึ้นหลังจากคุยกันสักพัก โรแลนด์พบว่าเบทต้านั้นค่อนข้างรอบรู้เลยทีเดียว
เขาไม่เหมือนกับเด็กที่พึ่งจบมัธยม แต่เหมือนกับผู้ใหญ่คนหนึ่ง
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เขาได้รับการศึกษาที่ดี
หลังจากนั้น ลี่หลินก็เดินเข้ามา
เขาทุบโต๊ะด้วยความเศร้าโศกและตะโกนออกมาด้วยความโกรธว่า “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน!”
โรแลนด์และชัคถอนหายใจออกมาพร้อมกัน พวกเขาหยิบโทรศัพท์สีดำรุ่นเดียวกันออกมาวางไว้บนโต๊ะ
ลี่หลินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเครื่องหนึ่งแล้วเขวี้ยงมันออกไป
โทรศัพท์กระแทกเข้ากับพื้นและแตกกระจาย
ลี่หลินคว้าโทรศัพท์อีกเครื่องและเขวี้ยงมันอีกครั้งหนึ่ง
โทรศัพท์เครื่องที่สองก็พังด้วยเช่นกัน
จากนั้นลี่หลินก็มองไปที่เบทต้าด้วยความโกรธ
เบทต้ามองไปยังโทรศัพท์สองเครื่องที่พังไปแล้วและมองไปยังลี่หลินด้วยความสับสน
ในตอนนั้นเอง ชัคเคาะโต๊ะและพูดอย่างสบายๆ ว่า “มอบโทรศัพท์ของนายไปให้เขา”
เบทต้ารู้สึกสับสนแต่เขาก็ทำตามคำสั่งของพี่ชาย เขาหยิบโทรศัพท์ที่ดูเก่าออกมา
เสียงแตกหักดังขึ้น….แล้วมันก็พังเหมือนสองเครื่องแรก
จากนั้นลี่หลินก็กระทืบโทรศัพท์อย่างบ้าคลั่งพร้อมพ่นคำสาปแช่งออกมา “นางตัวดี! ฉันดีกับแกขนาดนี้! แกกล้านอกใจฉันไปนอนกับชายคนอื่นได้ยังไง? ฉันหน้าตาไม่ดีงั้นหรอ”
ลี่หลินเหลือบไปมองหน้าหล่อๆของชัคโดยไม่ตั้งใจ จากนั้นเขาก็กระทืบโทรศัพท์พังๆนั้นด้วยความบ้าคลั่ง “แต่ฉันมีเงินนะเว้ย….แกจะชอบอะไรได้นอกจากเงินกัน”
เบทต้าตกใจเป็นอย่างมาก
ทว่าชัคและโรแลนด์กลับดูไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย และยังพูดคุยกันปกติด้วยเสียงเบาๆ
ในที่สุดความโกรธของลี่หลินก็ถูกระบายออกหลังจากที่เขากระทืบเท้าเป็นเวลาหลายสิบนาที เขาหยิบซิมการ์ดจากโทรศัพท์ที่พังแล้วขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ
“หยวนหยวนหนีไปแล้วงั้นเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าลี่หลินนั่งลงแล้ว ชัคก็ถามออกมาในขณะที่เขากำลังกินแตงโม
หลินตอบอย่างโกรธๆว่า “ฉันไม่อยากคุยกับพวกผู้ชายหน้าตาดี ไปให้พ้นเลย”
ชัคส่ายหัวและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ฉันเกิดมาก็เป็นแบบนี้แล้ว ช่วยไม่ได้”
ลี่หลินรู้สึกดีขึ้นมากหลังจากระเบิดอารมณ์เสร็จแล้ว เขาถอนหายใจและพูดว่า “ผู้หญิงทุกคนที่ฉันคบด้วย นอกใจฉันหมดเลย”
โรแลนด์พูดออกมาว่า “ทำไมนายถึงหาแฟนจากใน ไนต์คลับล่ะ ? โอกาสที่นายจะได้เจอกับผู้หญิงดีๆนั้นมีน้อยมาก ให้ฉันลองถามญาติฉันให้ไหมเผื่อจะได้คนที่จริงใจน่ะ”
หลี่หลินโบกมืออย่างแรง “ไม่! ผู้หญิงเหล่านั้นจริงจังเกินไป ฉันยังเด็กเกินไปที่จะแต่งงาน”
เบทต้านั่งฟังพวกเขาคุยกันแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว เขารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่โทรศัพท์ของเขาต้องพบเจอเป็นอย่างมาก
แม้เขาจะมีเงินเก็บพอที่จะสามารถซื้อเครื่องใหม่ได้ แต่มันก็น่าหงุดหงิดอยู่ดีที่โทรศัพท์เขาพังเพราะเหตุผลไร้สาระ
ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่กับตัวเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นและลี่หลินก็เดินไปเปิดมัน
จากนั้นเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับกล่องสามใบในมือ
เขามอบกล่องให้ทุกคน
เบทต้ารับกล่องมา และพบว่ามันคือโทรศัพท์รุ่นล่าสุด
ชัคนั้นใส่ซิมการ์ดลงในโทรศัพท์เครื่องใหม่ของเขาอย่างรวดเร็ว เขายิ้มแล้วพูดว่า “รับไปเถอะ หมอนี่มันรวย แค่นี้ไม่กระทบขนหน้าแข้งหรอก”
เบทต้าหันไปมองอีกด้านและพบว่าโรแลนด์ก็กำลังใส่ซิมการ์ดอยู่เช่นกัน เขาจึงรู้สึกโล่งใจจากนั้นก็ฉีกกล่องออกมา
เขานั้นกำลังอยากได้โทรศัพท์ใหม่อยู่พอดี เขาใช้เครื่องเก่านั้นมานานกว่า 5 ปีแล้ว
ลี่หลินกินแตงโมอยู่เงียบๆ ทันใดนั้นเขาก็หันไปพูดกับโรแลนด์ว่า “ฉันเห็นวิดีโอที่นายโพสต์ในเว็บบอร์ดแล้ว โคตรแรงเลย!”
โรแลนด์หัวเราะออกมาเบาๆ “ฉันสามารถโจมตีแบบนั้นได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ ถ้าศัตรูไม่ถูกฆ่า ก็จะเป็นฉันที่ตายเอง”
ลี่หลินกลอกตา “แค่นั้นก็เกินพอแล้ว นายไม่คิดหรอว่าการโจมตีแบบนั้นจะทำลายศัตรูทั้งหมดในการต่อสู้แบบกลุ่ม?”
“มันจะโดนพวกพ้องไปด้วยนะสิ” โรแลนด์กล่าวอย่างหมดหนทาง “เกมนี้มันสมจริงมากๆ ไม่มีระบบระบุเป้าหมายด้วยซ้ำ”
ลี่หลินตะลึงไปในทันที “ก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี งั้นฉันก็คงเป็นนักรบคลั่งต่อไปนั่นแหละ”
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบางอย่างออกและพูดกับชัคว่า “ฉันจำได้ว่านายได้รับค่าจ้างในฐานะเซนต์ซามูไรใช่ไหม”
“ก็ใช่ 20 เหรียญทองต่อเดือน” ชัคกล่าว “เหรียญทองค่อนข้างมีค่ามากในเกมนี้”
ลี่หลินมองไปยังชัคอย่างอิจฉา “นายรู้ไหมว่าเหรียญทองในเว็บบอร์ดมีมูลค่าเท่าไหร่?”
“เท่าไหร่” ชัคดูไม่ได้สนใจนัก
“13 แกรนด์” (1 แกรนด์ราคาเท่ากับ 1000 เหรียญ)
โรแลนด์ที่กำลังดื่มน้ำแทบจะพ่นมันออกมา
ชัคก็ตะลึงไปเช่นกันและถามออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “นายพูดจริงเหรอเนี่ย?”
“แน่นอนที่สุด!” ลี่หลินถอนหายใจและกล่าวว่า “ปัญหาหลักคือเหรียญทองเหล่านี้ได้รับยากเกินไป ทำไมนายไม่ขายให้ฉันสัก 10 เหรียญล่ะ?”
ชัคส่ายหัวออกมา “พวกเราเปรียบเหมือนพี่น้องกันน่า ฉันรับเงินของนายไว้ไม่ได้หรอก มาที่เมืองที่มีโบสถ์แห่งแสงสิ แล้วฉันจะให้คนเอาเหรียญทองไปให้นาย”
หลังจากไฟมอดดับลง โรแลนด์ก็ปัดเศษใบไม้และขี้เถ้าออกจากร่างกาย ก่อนจะเดินกลับไปยังเมืองเรดเมาน์เทน
เขาเคลื่อนที่ได้ช้ามากๆ เนื่องจากไร้ซึ่งพลังเวทย์ การฟื้นฟูที่ได้จากอุปกรณ์ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ดูเหมือนถ้าไม่มีพลังเวทย์ ร่างกายเขาจะอ่อนแอลง
เมื่อเขามาถึงยังสะพานก็พบเข้ากับกลุ่มของชาวบ้าน เขาถูกต้อนรับโดยฟอลเคิลและกลุ่มชาวบ้าน
เมื่อเห็นว่าเขากลับมาแล้ว ชาวบ้านก็ตะโกนร้องออกมาอย่างยินดี บ้างก็ถามถึงอาการบาดเจ็บต่างๆ
ฟอลเคิลเข้ามาใกล้และร่ายความสามารถทางภาษาให้แก่เขา หลังจากนั้นเขาก็พูดออกมาทั้งรอยยิ้มว่า “สิ่งที่เจ้าทำลงไป มันค่อนข้างอึกทึกคึกโครมน่ะ”
โรแลนด์มองกลับไป ก็พบกับจุดสีดำในหุบเขาที่เต็มไปด้วยสีเขียว มันดึงดูดสายตาได้ราวกับจุดหัวล้านของหญิงสาวที่งดงาม
โรแลนด์หัวเราะและยิ้มออกมาอย่างกระอักกระอ่วน
“ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้ละ?”
ชาวบ้านต่างมองเขาด้วยความหวัง ทุกคนในเมืองเรดเมาน์เทนต่างเกลียดเจ้าแมงมุมยักษ์และหวังว่าจะมีใครสักคนสังหารพวกมันทิ้งซะ
“มันเป็นการต่อสู้ครั้งแรกของฉันน่ะ ฉันทั้งกังวลและด้วยความไร้ประสบการณ์เลยใช้พลังมากจนเกินไป” โรแลนด์กล่าวออกมาด้วยท่าทางที่เขินอาย “ฉันฆ่าแมงมุมไปได้เพียงตัวเดียวเท่านั้นเอง”
หลังจากเงียบลงสักพัก ชาวบ้านต่างก็ส่งเสียงแสดงความยินดีกันออกมา พวกเขาเกลียดเจ้าแมงมุมนั่นมาก ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้
ชาวบ้านที่อัธยาศัยดีบางคนเข้ามาใกล้โรแลนด์และตบบ่าเขา และพากันชวนเขาไปที่บ้าน
โรแลนด์ปฎิเสธคำชวนของพวกเขาอย่างสุภาพ เขารู้อยู่แล้วว่าพวกเขานั้นแค่ชวนเป็นมารยาทเท่านั้น
หลังจากนั้นชาวบ้านก็เริ่มแยกย้ายกันออกไป เหลือเพียงแค่โรแลนด์และฟอลเคิลอยู่บนสะพาน
พระอาทิตย์กำลังตั้งตรง เมื่อแสงสีแดงของพระอาทิตย์สาดส่องสะท้อนไปกับเงาของทะเลสาบและคลื่น มันงดงามราวกับว่าทะเลสาบกำลังถูกแผดเผาอยู่
ฟอลเคิลมองตรงมายังเขาและพูดว่า “เจ้าดูเปลี่ยนไปนะ”
“มันเห็นได้ชัดขนาดนั้นเลยหรอ?” โรแลนด์ประหลาดใจเล็กน้อย เขาพิงไปที่ราวสะพานและพูดออกมาขณะมองไปยังหุบเขาที่ห่างไกล “ผมแค่นึกความฝันของตัวเองออก หรืออะไรบางอย่างที่ผมเคยตามหาในอดีต ผมเคยคิดว่าความแฟนตาซีที่ไร้เหตุผลจะถูกทำลายด้วยความจริงไปเสียแล้ว ทว่าตอนนี้มันก็เกิดขึ้นให้ผมได้พบเจออีกครั้ง”
ฟอลเคิลมองเห็นประกายแสงประหลาดในนัยน์ตาของโรแลนด์ แม้จะเห็นเพียงแค่เบาบางแต่มันก็ให้ความรู้สึกสว่างไสว
ครั้งหนึ่ง ฟอลเคิลเองก็เคยมีนัยน์ตาแบบนั้นเช่นเดียวกัน
“แล้วเจ้าคิดจะเปลี่ยนแผนรึเปล่าล่ะ?” ฟอลเคิลถามออกมา
โรแลนด์ส่ายหน้าออกมา “ไม่ผมจะยังคงท่องเที่ยวและเดินไปรอบๆเหมือนเดิม”
น้ำเสียงของโรแลนด์นั้นฟังดูลึกลับยากจะเข้าใจ เพราะเสียงสายลมจากทะเลสาบ
ฟอลเคิลประหลาดใจไปเล็กน้อย คำตอบที่ได้นั้นยังคงเหมือนเดิมทว่าน้ำเสียงที่ตอบกลับมากลับอ่อนโยนลงมาก
กระนั้นฟอลเคิลก็ยังได้ยินความมุ่งมั่นในเสียงของเขา
ก่อนหน้าคำตอบของโรแลนด์นั้นเฉยชาราวกับถูกบังคับ
ทว่าตอนนี้เขาราวกับพบเป้าหมายของตัวเองแล้ว
คำตอบเดียวกันทว่ากับให้ความรู้สึกที่ต่างกันเหลือเกิน
ฟอลเคิลมึนงงเล็กน้อยก่อนส่ายหัวออกมา เขาจำสิ่งต่างๆได้มากมาย เขาจำได้เมื่อครั้งยังหนุ่มเขาเคยมีความทะเยอะทะยานแบบเดียวกัน
โรแลนด์หยิบคทาออกมาก่อนจะยื่นให้เขา “นี่ของคุณ มันเป็นตัวช่วยที่ดีมาก”
“มันเป็นของขวัญสำหรับเจ้า” ฟอลเคิลหันหลังและเดินจากไปขณะพูดออกมาว่า “ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าติดค้างข้าอยู่ ก็ฆ่าเจ้าแมงมุมเพิ่มอีกสักสองสามตัวสิ”
นี่น่าจะเป็นเควส ทว่าเขากลับไม่ได้รับการแจ้งเตือนใดๆจากระบบ เมื่อคิดได้ดังนี้เขาก็มองไปยังแผ่นหลังของฟอลเคิล
เขาเดินกลับไปยังกระท่อม หลังจากทานขนมปังที่ซื้อมาจากโรงเตี๊ยมเลควิว เขาก็เริ่มศึกษาแบบโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ของเวทย์บทใหม่ๆเพิ่มเติม
เวลาเริ่มไหลผ่านไป มันดูเหมือนจะแค่ครู่เดียว ทว่าโรแลนด์ก็ถึงเวลาต้องออกเกมแล้ว
หลังจากเขาออกมาจากแคปซูลเกม เขาคัดลอกวิดีโอที่เขาต่อสู้กับแมงมุมยักษ์เอาไว้และโพสต์มันลงบทความ
หลังจากนั้นเขาก็เขียนว่า
“บางทีนักเวทย์อาจจะไม่ได้ร่ายเวทย์ได้ง่ายดายอย่างที่พ่อมดทำได้ หรือเลเวลอัพอย่างรวดเร็วเหมือนนักบวช ทว่าพวกเราก็มีจุดเด่นของตัวเอง พวกเราสามารถวิเคราะห์เวทย์ , ดัดแปลง และสามารถสร้างเวทมนตร์ใหม่ๆได้ ฉันไม่เคยลองต่อสู้ในเกมมาก่อนจนกระทั่งเมื่อวานนี้ ฉันลองใช้พลังเต็มที่ในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งจากเวทย์ระดับหนึ่งบอลเพลิงนรก ทว่ามันก็รุนแรงเป็นอย่างมาก แล้วถ้าเป็นเวทย์ระดับสองล่ะ? แล้วถ้ายิ่งพวกเราเลเวลเพิ่มขึ้นอีกล่ะ? ตามความเห็นส่วนตัวฉันคิดว่านักเวทย์น่าจะเป็นพวกเก่งช้า ทว่าพวกเขาจะสามารถกำหราบผู้ใช้เวทย์ทั้งหมดได้ในอนาคต
หลังจากเขียนเสร็จ เขาก็โพสต์ลงไป
ไม่นานนักก็มีคนตอบกลับมา
คอมเมนต์ตอบกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากรีเฟรชกระทู้ก็พบว่ามีการตอบกลับมากกว่า 20 ครั้ง
“ไหนนายบอกว่านายไม่ใช่มือวางระเบิดผู้บ้าคลั่งไงละ?”
“ไม่อยากจะเชื่อเลย คุณสามารถดึงพลังเวทย์ทั้งหมดมารวมไว้ในเวทย์บทเดียวได้ ฉันก็เป็นนักเวทย์เหมือนกัน แต่ฉันสามารถดึงพลังเวทย์ออกมาได้แค่ 30% เอง”
“ลุงแซมสงสัยว่าคุณครอบครองอาวุธที่มีพลังทำลายสูง โปรดมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ FBI ด้วย
“ไม่ยุติธรรมเลย ฉันเป็นพ่อมดเลเวล 2 แต่ว่าบอลเพลิงนรกของฉันทำลายได้แค่ต้นกล้าของต้นไม้แค่นั้นเอง ตามจริงแล้วเวทย์ของพ่อมดน่าจะรุนแรงกว่านักเวทย์ในระดับเดียวกันสิ
“ฉันว่าฉันจะลบตัวละครไปเล่นนักเวทย์หละ เสียงและภาพเอฟเฟคของการระเบิดมันดูน่าตื่นเต้นมาก”
“โรแลนด์ คุณต้องการแฟนคลับเดนตายรึเปล่า? ฉันอยากเป็นเพื่อนคุณ…”
“ไปให้พ้นนายไม่ใช่แฟนคลับตัวจริงหรอกน่า”
โรแลนด์ส่ายหัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนพวกเขาเริ่มเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่นกันแล้ว
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขากดรับสายจากนั้นเสียงของชัคเพื่อนเขาก็ดังออกมา
“พวกมาเจอกันที่เดิมหน่อยสิ ลูกพี่ลูกน้องของฉันที่เล่นเกมนี้ด้วยน่ะ จากที่มันหมอนั่นเล่าดูเหมือนหมอนั่นจะเกิดใกล้ๆกับเมืองเรดเมาน์เทนน่ะ”
“โอเค เดี๋ยวฉันไปหา”
โรแลนด์วางสายพร้อมขี่มอเตอร์ไซค์ไปยังบาร์ เขาเดินตรงไปยังห้องประจำของเขา ก่อนเขาจะพบเข้ากับเด็กหนุ่มอายุประมาณ 18 ปี หน้าตาคล้ายๆชัค
ชัคกำลังนอนอยู่บนโซฟาอย่างอารมณ์ดี และแนะนำว่า “นี่เบทต้า ลูกพี่ลูกน้องฉันเอง หมอนี่เรียนหนักมาตั้งแต่ประถมแล้ว แถมลุงฉันยังไม่อนุญาตให้เขาเล่นเกมอีก ทว่าตอนนี้การสอบมหาลัยจบลงเรียบร้อยแล้ว หมอนี่เลยว่างน่ะ”
“สวัสดีครับ พี่โรแลนด์”
เบทต้าทักทายโรแลนด์ด้วยรอยยิ้ม
โรแลนด์อยู่บนถนนขณะจ้องมองไปยังไม้เท้าเวทย์ในมือเขา
ไอเทมเวทย์นั้นมีราคาแพงมาก ทว่าฟอลเคิลก็ยังมอบไม้เท้าให้เขา บางทีอาจจะเป็นเพราะค่าความสัมพันธ์ของเขากับ NPC ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด หรืออาจจะเป็นเงื่อนไขของเควส หรืออาจจะเพียงแค่ว่าฟอลเคิลมอบให้เขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
เป็นธรรมดาที่โรแลนด์จะรู้สึกสับสน เพราะตอนนี้เขาอยู่ในเกม
ตามสามัญสำนึกแล้ว เมื่ออยู่ในเกม ไอเทมก็ควรจะเกี่ยวข้องกับเควส
แต่ถึงอย่างนั้น โรแลนด์ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเรียบง่ายแบบนั้น ไม่ว่าจะฟอลเคิลหรือผู้คนภายในหมู่บ้านต่างทำให้เขาประทับใจในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณ มีอารมณ์เป็นของตัวเองแทนที่จะเป็นแค่ NPC ถึงแม้พวกเขาจะเป็นเพียงปัญญาประดิษฐ์ตามที่เกมอวดอ้าง โรแลนด์ก็ไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขาต่างจากคนจริงๆเลย
นี่เขาอยู่ในเกมเสมือนจริงหรือเปล่า?
หรือมันคือโลกจริงๆที่มีมนุษย์อาศัยอยู่กันแน่?
คนเหล่านี้ล้วนมีภาษา , วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ เป็นของตัวเองด้วยซ้ำ
ทีมผู้ผลิตเกมจะสามารถสร้างสิ่งต่างๆมากมายได้ถึงขนาดนี้เลยหรอ?
โรแลนด์คิดว่าไม่น่าใช่ พวกเขาสามารถทำได้ถึงขนาดนี้บางทีอาจจะเพราะจ้าง Think tank เพื่อสร้างเรื่องราวประวัติศาสตร์และวางอนาคตของโลกใบนี้เอาไว้ (Think Tank คือสถาบันที่ทำการค้นคว้า ศึกษา วิจัย วิเคราะห์นโยบายสาธารณะ)
นี่เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลมาก
ทันใดนั้นหน้าต่างระบบก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เพื่อยืนยันว่าเขายังอยู่ภายในเกม
ชื่อ: คทาเศษเสี้ยวไพลิน (ยอดเยี่ยม)
คุณสมบัติ: ความรุนแรงในการร่ายเวทย์ +2, การฟื้นฟูพลังเวทย์ +1
คำอธิบาย: ไม้เท้าที่ค่อนข้างธรรมดา ทว่าหากคุณรักษามันดีๆมันก็จะสามารถอยู่กับคุณได้ตลอดทั้งชีวิต
จากนั้นเขาก็มองไปที่ร่างกายของตัวเอง หน้าต่างโปร่งแสงอีกบานก็โผล่ขึ้นมา
ชื่อ: เสื้อคลุมเวทย์สีขาว (ยอดเยี่ยม)
คุณสมบัติ: การฟื้นฟูพลังเวทย์ +2
คำอธิบาย: เสื้อคุมที่ไม่น่าดึงดูด มันคล้ายจะเป็นอุปกรณ์ชิ้นแรกสำหรับมือใหม่
โรแลนด์ถอนหายใจออกมา เขาไม่รู้ว่าในมุมมองของผู้เล่นคนอื่นต่อ NPC ภายในเกม ทว่าสำหรับเขานั้น เขาไม่สามารถลงมือกับ NPC ที่เหมือนมนุษย์ขนาดนี้เพื่อเพิ่มประสบการณ์เหมือนในเกมอื่นๆได้
แต่ว่า เขาก็ไม่มีปัญหาสำหรับการฆ่าสัตว์ป่าหน้าตาประหลาด
ตอนนี้ป่าเมเปิ้ลก็อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
โรแลนด์มองไปที่คทาและดาบยาวของเขา พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเดินเข้าไปภายในป่าอย่างช้าๆ
ยิ่งเขาเดินเข้าไปลึกมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ บรรยากาศภายในป่าก็จะมืดลงเรื่อยๆ
บางครั้งความเงียบก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงร้องของนกจากสักที่ภายในป่า
โรแลนด์เดินย่ำไปบนทางที่ถมแน่นไปด้วยใบไม้เน่าเหม็น ซึ่งจะมีเสียงดังออกตอลดเวลาที่เขาเดิน
เขาเริ่มรู้สึกถึงกลิ่นเหม็นเน่าแปลกๆ
ถึงจะรู้ว่าตัวเองสามารถคืนชีพได้ถ้าหากตาย แต่โรแลนด์ก็ยังแอบรู้สึกกลัวสภาพแวดล้อมเช่นนี้อย่างช่วยไม่ได้
เขาเดินไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวังและความตื่นตัว แม้แต่เสียงที่เบาที่สุดก็ยังทำให้เขาหัวใจกระตุก เขามองไปยังแหล่งที่มาของเสียง โดยส่วนใหญ่มันมักจะเกิดจากสิ่งมีชีวิตที่เขาไม่คุ้นชิน
ความกลัวและความคาดหวังแบบพิเศษนี้ทำให้เขาหวนนึกถึงตอนที่เขาเล่น Resident Evil 2 ตอนแปดขวบ
มันทั้งขวัญผวาและสนุกในคราเดียวกัน
นาทีต่อมา โรแลนด์สังเกตุเห็นใยแมงมุมสีขาวที่แตกหักอยู่ด้านล่างของต้นไม้รอบตัวเขา นอกจากนี้เขายังได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกำลังเหยียบใบไม้และกิ่งไม้อยู่ด้านหน้าเขา
มันต้องเป็นเจ้าแมงมุมยักษ์อย่างแน่นอน
โรแลนด์นั่งยองๆก่อนพยายามหายใจให้เบาที่สุด
แมงมุมยักษ์สีแดงเข้มก็ปรากฏกายในความมืดอย่างช้าๆ
ดูเหมือนเจ้าแมงมุมจะยังไม่สังเกตเห็นเขาทว่าหัวใจของเขากลับเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อแมงมุมเข้ามาใกล้ เขาจำข้อความข้อความหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่เขาเคยอ่านบนโลกอินเตอร์เน็ตได้ว่า
ความลังเลหมายถึงความล้มเหลว เฉกเช่นสิงโตที่จะทุ่มสุดตัวแม้จะจับกระต่ายเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น!
เขารวบรวมพลังเวทย์ทั้งหมด ก่อนที่โรแลนด์จะปล่อยบอลเพลิงสีฟ้าขนาดราวอ่างน้ำออกมา
หลังจากยิงมันออกไป โรแลนด์ก็รีบวิ่งหนีและหมอบลงกับพื้นทันที
บอลเพลิงมีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อมันลอยออกไป ไม่นานนักมันก็พุ่งตรงไปยังแมงมุมยักษ์
สัตว์ป่าล้วนแล้วแต่กลัวไฟ เจ้าแมงมุมยักษ์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
บอลเพลิงยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะระเบิดออกมาด้วยความเร็วสูง
เสียงและเปลวเพลิงของการระเบิดราวกับเป็นหลักฐานว่าระเบิดพึ่งถูกจุดชนวนออกมา
ก่อนที่เจ้าแมงมุมยักษ์จะรู้ตัว มันก็ถูกกลืนกินโดยเปลวเพลิงจนหมด
จากนั้นเปลวเพลิงและควันก็พวยพุ่งออกมาราวกับเป็นดอกเห็ดขนาดเล็ก
ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่นอกรัศมีของการระเบิด แต่โรแลนด์ก็ถูกแรงระเบิดมหาศาลผลักร่างของเขาลอยออกไป
เขาถูกพัดกระเด็นไปพร้อมกับกองใบไม้แห้งก่อนจะร่วงลงพื้น จากนั้นไออากาศร้อนก็พัดผ่านศีรษะของเขาไป
โชคดีที่ใบไม้นั้นหนาพอที่จะป้องกันไม่ให้เขาได้รับบาดเจ็บ
เขาพยายามที่จะลุกขึ้นยืน เพียงเพื่อที่จะแสดงสีหน้าพูดไม่ออกจากสิ่งที่เขาได้ก่อเอาไว้
เบื้องหน้าเขานั้นเป็นหลุมขนาดใหญ่ มีลาวาสีแดงเข้มไหลอยู่ด้านล่าง ต้นไม้ในบริเวณใกล้เคียงถูกไฟเผาและโค่นลง พื้นที่กว้างราวๆครึ่งสนามฟุตบอลถูกระเบิดจนพังเละ ต้นไม้หลายต้นเอนเอียงไปตามแรงระเบิด
ภายในรัศมีของการระเบิดไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย นอกจากลำต้นของต้นไม้ที่เหลือเพียงแค่เศษเถ้าถ่านเท่านั้น
พลังทำลายนี่มัน….โรแลนด์ล้มลงไปกับพื้น
พลังเวทย์ของเขาถูกใช้ไปจนหมด พลังของบอลเพลิงคราวนี้รุนแรงยิ่งกว่าตอนที่เขาใช้ที่เมืองเรดเมาน์เทนเสียอีก
อาจเป็นเพราะเลเวลของเขามากขึ้น และเพราะคทานั่นช่วยเพิ่มพลังเวทย์ของเขา!
ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม พลังทำลายของมันก็เกินกว่าที่โรแลนด์คาดคิดไว้มาก
แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คลาสที่โจมตีระยะประชิด จะสามารถทำแบบเดียวกันนี้ได้ในช่วงต้นเกม
และเขาก็ไม่คิดว่าพวกพ่อมดสามารถทำได้เช่นเดียวกัน
ว่ากันว่าพลังการร่ายเวทย์ของพ่อมดนั้นถูกกำหนดไว้แล้วโดยจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนของพลังได้
นั่นหมายความว่า…ถ้าเทียบกับรถยนต์แล้วพ่อมดจะเป็น AT หรือเกียร์ออโต้ และนักเวทย์จะเป็น MT หรือเกียร์ธรรมดา
อย่างที่ทุกคนรู้ รถที่ดีที่สุดสำหรับการแข่งล้วนแล้วแต่เป็น MT
โรแลนด์พยายามขยับร่างกายให้พ้นจากจุดระเบิด ทว่าร่างกายเขาก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงใดๆ
โชคดีที่ป่าค่อนข้างชื้น จึงทำให้ไฟไม่ลุกลามและแผดเผาร่างของเขา
เขานั่งอยู่เฉยๆพร้อมเพลิดเพลินไปกับฉากน่าหวาดกลัวที่เขาเป็นคนสร้างขึ้นมาด้วยความหลงใหลและพึงพอใจ
มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่เขาสามารถมีพลังทำลายได้ถึงระดับนี้
สิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในโลกความเป็นจริงนั้นสามารถทำได้ในเกม ในโลกใบนี้ที่เกือบจะสมบูรณ์แบบนี้ เขาสามารถทำสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนได้
ความฝันที่ต้องการเป็นนักเวทย์ในวัยเด็กนั้นได้ถูกเติมเต็มแล้ว
โรแลนด์ยิ้มและหัวเราะออกมาด้วยความปรารถนาและความมุ่งมั่นที่เขาไม่ได้รู้สึกมาหลายปีแล้ว
โลกแฟนตาซีแห่งดาบและเวทมนตร์ล้วนแต่เป็นความโรแมนติกในใจของชายหนุ่มทุกคน
ในช่วงเที่ยงมีประกาศอย่างเป็นทางการออกมา ข้อความนั้นเขียนออกมาโดยใช้ภาษาที่สละสลวยและสุภาพ ทว่ามันก็สามารถสรุปเป็นประโยคสั้น ๆได้ว่า ก็เลิกไปสิ ถ้าไม่อยากเล่น และเราจะคืนเงินเต็มจำนวนสำหรับค่าแคปซูล
เมื่อพิจารณาถึงราคาของแคปซูลมือสองในตลาดซึ่งแพงกว่าของแท้สองหมื่นเหรียญแล้ว คงมีแค่พวกโง่เท่านั้นแหละที่ขอคืนสินค้า คำประกาศของผู้พัฒนาเต็มไปด้วยความแน่วแน่และหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก
แต่ก็ไม่แปลกพวกเขามีเหตุผลที่จะภูมิใจหลังจากได้สร้างเกมนี้ขึ้นมา อย่างน้อยโรแลนด์ก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น เขาคิดว่าเกมนี้น่าจะมีพื้นฐานมาจากเกม “รังลับและมังกร” แต่เขาก็ไม่รู้เกี่ยวกับรายละเอียดของ “รังลับและมังกร” มากนัก แต่เขาก็พอรู้มาว่านักเวทย์จะต้องเรียนรู้เวทย์ด้วยตัวเองภายใต้กฎของเกม
ผู้พัฒนานั้นถือเป็นตัวแทนของกฎภายในเกม
นอกจากนี้อาชีพนักเวทย์ยังถูกจัดไว้อยู่ในระดับแรร์อีกด้วย
โรแลนด์ประเมินว่าผู้พัฒนาพยายามใช้กลยุทธ์นี้เพื่อจำกัดจำนวนนักเวทย์ภายในเกม และพยายามผลักดันให้พวกเขาไปเล่นคลาส พ่อมด , นักบวช และคลาสระยะประชิดอื่นๆ
ถ้าหากเป็นกรณีนั้นละก็ หมายความว่าผู้พัฒนาวางแผนมาดีมาก ยังไงก็ตามจอมเวทย์มักจะเป็นคลาสที่แข็งแกร่งมากภายในเกมแฟนตาซีเกือบทั้งหมด เพราะอย่างนั้นคลาสนี้จึงมักจะถูกเรียกว่า ปรมาจารย์นักเวทย์
หากมีผู้เล่นในคลาสที่แข็งแกร่งมากเกินไป สมดุลของเกมจะถูกทำลายลงได้
การเพิ่มความยากในการเล่นคลาสนั้นๆอย่างมีนัยยะสำคัญ จึงเป็นวิธีที่ไม่แย่นักที่จะจำกัดจำนวนประชากร ท้ายที่สุดผู้เล่นส่วนใหญ่ก็มักจะเห็นตรงกันว่าคลาสที่เล่นยากและใช้ทรัพยากรเยอะ มักจะเป็นคลาสที่ทรงพลังในอนาคต
แน่นอนหลังผู้พัฒนาตอบกลับมาเช่นนี้ ย่อมเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในอินเตอร์เน็ตแน่นอน บริษัทคู่แข่งต่างฉวยโอกาสนี้ใส่ร้ายป้ายสี คำด่ามากมายปรากฏขึ้นในทุกหัวข้อของเกมนี้ โลกอินเตอร์เน็ตต่างวุ่นวายไปหมด
แต่ท้ายที่สุด เวิร์ลออฟฟาลาน เกมเสมือนจริงเกมแรกของโลกนั้น ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างล้นหลามตั้งแต่เริ่มเปิดตัว
ยอดขายแคปซูลในช่วงแรกนั้นไม่ดีนัก เพราะถึงอย่างไรก็ตามเพนกวินคอโปเรชั่นก็มักจะมีชื่อเสียในด้านการลอกเลียนแบบ ผู้คนต่างไม่เชื่อว่าพวกเขาจะพัฒนาเกมเสมือนจริงได้
บริษัทแบบนี้จะคว้าความสำเร็จที่แม้แต่บริษัทชั้นนำยังทำไม่ได้มาครองงั้นหรอ?
ด้วยความคิดเช่นนี้ หลายคนจึงล้อเลียนเพนกวินคอโปเรชั่นอย่างสนุกปากในโลกออนไลน์ทั้งในและต่างประเทศ แคปซูลห้าแสนชิ้นแรกนั้นเริ่มทยอยขายหมดในช่วงครึ่งปี
โรแลนด์เองก็ไม่เชื่อว่าเพนกวินคอโปเรชั่นจะสามารถพัฒนาเกมเสมือนจริงออกมาได้ แต่ว่าเกม MMORPG ที่เขาเคยเล่นในวัยเด็กก็ล้วนแล้วแต่มีเพนกวินคอโปเรชั่นเป็นผู้พัฒนา
เพนกวินคอโปเรชั่นเป็นผู้มอบความสุขให้แก่เขาในยามเด็ก ด้วยเหตุผลนั้นโรแลนด์จึงตัดดสินใจที่จะซื้อแคปซูล ถึงอย่างไรก็ตามเพนกวินคอโปเรชั่นก็เป็นบริษัทใหญ่ ถึงแม้มันจะไม่ใช่เกมเสมือนจริงอย่างที่คิดไว้ อย่างน้อยมันก็ควรจะเป็นอะไรที่ใกล้เคียงกัน ไม่อย่างนั้นเพนกวินคอโปเรชั่นคงไม่ทำโฆษณาหนักขนาดนี้
ไม่มีใครคิดเลยว่าเกมนี้จะเสมือนจริงอย่างที่อ้างเอาไว้
ในฐานะที่เป็นเกมเสมือนจริงเกมแรกของโลก มันคือจุดเปลี่ยนของยุคสมัย ไม่ว่าความไม่พึงพอใจของผู้เล่นจะมีมากขนาดไหนก็ตาม พวกเขาก็คงไม่ยอมทิ้งโอกาสที่จะเล่นเกมนี้ไป ผู้เล่นที่คิดว่านักเวทย์นั้นยากเกินไปอาจจะบ่นและเลิกเล่นแค่ชั่วคราว แต่คงเป็นไปยากที่จะเลิกเล่นหรือขายแคปซูลเกมทิ้ง
ไม่อย่างนั้น ราคาของแคปซูลมือสองคงไม่เพิ่มขึ้นถึงสองหมื่นเหรียญ
โรแลนด์ปิดบทความลงและเล่นเกมที่เขาเคยชอบ ทว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกสนุกไปกับมันเลย…เขาออกกำลังกายบนลู่วิ่งครึ่งชั่วโมงและออกไปขี่รถเล่น เขารู้สึกว่าการชมวิวทิวทัศน์บนถนนนั้นสนุกยิ่งกว่าเล่นเกมเดิมๆในห้องของตัวเอง
ณ กลางดึก เมื่อเขากำลังจะเข้าเกม จู่ๆเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่ค่อยได้สนุกกับเกมทั่วไปมาหลายวันแล้ว หรือว่าเกมเสมือนจริงนี้จะช่วยรักษาโรคติดเกมคอมพิวเตอร์ของเขาได้
หลังจากคิดถึงเรื่องนั้นอยู่สักพักโรแลนด์ก็กลับเข้าสู่เกมอีกครั้ง
โรแลนด์ไม่ได้กลับไปทำเหมืองต่อ เนื่องจากเขาเก็บเงินได้ 2 เหรียญเงินแล้ว โดยร้อยเหรียญทองแดงจะมีค่าเท่ากับหนึ่งเหรียญเงิน ตอนนี้เขาร่ำรวยยิ่งกว่าคนครึ่งเมืองแล้ว
เขาไม่ได้เบื่อการทำเหมือง อย่างไรก็ตามก็คงไม่มีใครทำเงินได้มากมายจากมัน เขารู้สึกว่าเมื่อเขาเลเวล 2 แล้ว เขาควรทดสอบความสามรถในการต่อสู้ของตน และเจ้าแมงมุมยักษ์นั่นน่าจะเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุด
เขามาที่โบสถ์และฟอลเคิลก็บังเอิญอยู่ที่นั่นพอดี ดังนั้นเขาจึงขอความสามารถทางภาษาจากนั้นก็กลับไปที่เมืองเพื่อซื้อดาบยาวจากช่างตีเหล็ก แม้ว่านักเวทย์ที่ใช้ดาบยาวจะดูแปลก แต่ว่าเขายังไม่มีเวทย์ที่ใช้สำหรับปกป้องตัวเอง ดังนั้นหากแมงมุมเข้ามาประชิดตัวเขา ดาบยาวน่าจะได้ใช้งาน
จากนั้นเขาก็ไปซื้อสมุนไพรที่ช่วยห้ามเลือดจากร้านขายของชำ หลังจากเก็บของทุกอย่างไว้ในกระเป๋ามิติ เขาก็เดินข้ามสะพานไปยังนอกตัวเมือง
บนสะพานทางเข้าเมืองเขาก็พบเข้ากับฟอลเคิลอีกครั้ง
ลมจากทะเลสาบทั้งเย็นสบายและสงบ ชายชราผมขาวหลังค่อมยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นโรแลนด์
“ฟอลเคิลทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่? ไม่ใช่ว่าคุณต้องชี้นำผู้ศรัทธาอยู่ที่โบสถ์หรอกหรือ?”
“เมื่อกี้แจ็ควิ่งมาหาข้าจากร้านช่างตีเหล็ก และบอกข้าว่าเจ้าซื้อดาบยาวไป ดังนั้นข้าจึงมารอเจ้าที่นี่”
โรแลนด์เห็นถึงเหงื่อบนหน้าผากของฟอลเคิล ชายชราพยายามหายใจอย่างช้าๆ ขณะเอามือไขว้หลังไว้
“ผมจะไปลองทดสอบเวทย์น่ะ การฝึกมันช่วยได้แค่บางส่วน ความสามารถของเวทย์จะวัดได้จากการต่อสู้จริงเท่านั้น”
“เจ้าจะไปสู้กับแมงมุมยักษ์งั้นหรือ?” ฟอลเคิลถามออกมา
โรแลนด์พยักหน้าออกมา
“เจ้าสามารถคืนชีพได้ สำหรับเจ้าการต่อสู้มันก็คงเป็นเพียงแค่ความบันเทิงอย่างหนึ่ง ทว่าการตายหลายๆครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องดี” ฟอลเคิลเขานำมือที่ไขว้หลังไว้ออกมาพร้อมกับนำคทาทรงตรงที่มีเม็ดไพลินเล็กๆติดอยู่ตรงปลายออกมา “นี่คือไม้เท้าที่ข้าเคยใช้เมื่อตอนหนุ่มๆ เจ้าเอามันไปใช้เถอะ”
คนที่เคยเล่นเกมมาก่อนจะรู้ดีว่าไอเทมเวทย์มักจะมีราคาแพง จากการเก็บเงินที่ได้จากการขุดแร่ในช่วงนี้ เขารับรู้ได้ถึงอำนาจของเงินภายในเกมนี้
ขนมปังน้ำผึ้งราคาเพียง 2 เหรียญทองแดง แต่ที่จริงแล้วน้ำผึ้งถือว่าเป็นของหวานที่หรูหรา มีชาวบ้านน้อยคนนักที่จะสามารถซื้อมันได้ นอกจากนี้เบียร์หนึ่งถังใหญ่ที่เพียงพอที่จะเติมเต็มท้องของผู้ใหญ่หลายคนก็ราคา 2 เหรียญทองแดงเช่นเดียวกัน
หนึ่งเหรียญทองแดงสามารถซื้อ ข้าวสารได้สองกิโลกรัม , ปลาแม่น้ำหนึ่งกิโลกรัม และผลไม้อีกหลายกิโลกรัม
ช่วงนี้โรแลนด์ทานอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยมเลควิวอยู่ตลอด ในช่วงที่ความสามารถทางภาษายังแสดงผลยังอยู่เขามักจะได้ยินเสียงคุยโม้ของลูกค้ารายอื่นๆออกมาเสมอ
เขาจำคำพูดหนึ่งได้ไม่ลืม
ไอเทมเวทย์ที่ถูกที่สุดราคาก็ปาเข้าไปกว่า 10 เหรียญแล้ว
โรแลนด์ได้หยิบขนมปังน้ำผึ้งที่ซื้อไว้ขึ้นมา ขณะที่เขากำลังจะกินมัน โลกภายในเกมก็ถูกหยุดและกลายเป็นสีขาวดำ
24 ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว โรแลนด์ถอนหายใจก่อนออกจากเกม นานแล้วที่เขาไม่ได้ติดเกมหนักขนาดนี้ เกมในตลาดส่วนใหญ่มักจะคล้ายๆกันไปหมด เขามักจะรู้สึกเบื่อหลังได้เล่นเกมใหม่ๆภายในไม่กี่วัน แม้ว่ามันจะเป็นเกมระดับ AAA ทั้งหมดก็ตาม เพราะเขามักจะรู้สึกราวกับว่าเคยเล่นเกมพวกนี้มาก่อน
ทว่าโลกของฟาลานนั้นต่างออกไป มันเป็นเกม MMORPG เสมือนจริงเกมแรกของโลก ด้วยการดึงจิตสำนึกของพวกเขาออกไปจากความเป็นจริง ผู้เล่นสามารถผจญภัยในโลกอื่นได้ภายใต้ตัวตนอื่นๆ
โลกแห่งนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีใครสามารถสำรวจทั้งโลกได้ภายในเวลาทั้งชีวิตของพวกเขา NPC ที่เหมือนจริงหลายพันล้านตนและเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันกว่าร้อยเผ่า… โรแลนด์รู้สึกสนุกและตื่นเต้นกับมันมาก
เขารู้สึกโชคดีที่ตัดสินใจซื้อแคปซูล มันมีเพียงแค่ห้าแสนชิ้นจากทั่วทั้งโลกเท่านั้น คนที่พลาดในการซื้อต้องรออีกนานกว่าที่เพนกวินคอโปเรชั่นจะเปิดขายแคปซูลชุดถัดไป
หลังจากที่เขาออกจากเกมแล้ว โรแลนด์ก็ไปออกกำลังกายบนลู่วิ่งราวๆเวลาครึ่งชั่วโมงตามปกติ จากนั้นเขาก็ทานอาหารเช้าและเข้าไปตรวจสอบบทความอีกครั้ง
เหมือนที่เขาคาดเอาไว้ ผู้คนต่างเรียกร้องไห้เพนกวินคอโปเรชั่นเร่งขายแคปซูลชุดถัดไปออกมา บางคนถึงขั้นเสนอเพิ่มเงินให้อีกหมื่นเหรียญสำหรับของมือสอง
หลังจากสุ่มอ่านบางกระทู้ เขาก็เลือกไปที่หัวข้อของผู้ร่ายเวทย์ และโพสต์โครงสร้างจุดเวทย์ของแขนเวทมนตร์และจุดต่างๆที่น่าสนใจ เขายังบอกอีกด้วยว่าเมื่อผู้เล่นเลเวลอัพแล้วพวกเขาจะได้รับกระเป๋ามิติมาครอบครอง หลังจากโพสต์เสร็จ เขาก็เข้าไปดูยังบทความอื่น
เขาไม่คิดว่าตัวเองเป็นผู้เล่นที่ฉลาดที่สุดภายในเกม เพราะถึงอย่างไรก็มีคนอีกมากมายที่รู้เกี่ยวกับสูตรคณิตศาสตร์ มันก็แค่นักเวทย์หลากหลายคนที่ชาญฉลาดในชีวิตจริงอาจจะยังไม่เคยคิดเกี่ยวกับมันมาก่อน ซึ่งโรแลนด์ก็แค่เปิดประตูให้พวกเขา ซึ่งพวกเขาก็จะเดินเข้าไปอย่างแน่นอน
อย่างที่โรแลนด์คาดเอาไว้ มีกระทู้ใหม่ๆในหัวข้อผู้ใช้เวทย์เพิ่มเข้ามาอีกเพียบ มีกระทู้หนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาๆได้เป็นอย่างดี
“ตราบใดที่เราจำจุดเวทย์แล้วลองร่ายมันให้สำเร็จสักครั้งหนึ่งได้ เราจะสามารถเรียนเวทย์นั้นได้ ฉันเป็นนักเวทย์ที่เชี่ยวชาญเวทย์ลุ่มหลง เวทย์ที่ฉันรู้มีเพียงแค่ สะกดจิต , ควบคุมสัตว์ และ โน้มน้าวจิตใจ ฉันลองจำแบบจำลองและจุดเวทย์ของบอลเพลิงนรกในกระทู้นั้นไปด้วยความตั้งใจ จากนั้นหลังลองร่ายและประสบความล้มเหลวกว่าสิบครั้ง ฉันก็ร่ายมันสำเร็จในที่สุด จากนั้นสัญลักษณ์ของเวทย์บอลเพลิงนรกก็ปรากฎขึ้นในสมุดเวทย์ของฉัน เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเราสามารถเรียนเวทย์อื่นๆเพิ่มเติมได้ ฉันได้บันทึกจุดเวทย์ของสะกดจิตและโพสต์ไว้ให้พวกคุณด้วย ในท้ายที่สุดขอแสดงความนับถือต่อ โรแลนด์ เดอะ ไพโอเนีย์” (ไพโอเนียร์ = ผู้บุกเบิก)
ผู้บุกเบิก….โรแลนด์ค่อนข้างรู้สึกอายพอสมควร เขาส่งทิปให้ผู้เล่นหญิงคนนี้ที่มีชื่อว่าเซเรน่าทั้งหมดสิบเหรียญ ก่อนที่เขาจะคัดลอกโครงสร้างเวทย์ทั้งสี่ของเวทย์สะกดจิต
จากนั้นเขาก็ไปคัดลอกโครงสร้างเวทย์จากผู้เล่นอีกสามคนภายในกระทู้ แน่นอนเขาไม่ลืมที่จะมอบทิปให้พวกเขาคนละสิบเหรียญ
ตอนนี้เขาได้รับโครงสร้างจุดเวทย์มาทั้งหมดสี่แบบ ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเวทย์ระดับหนึ่ง ได้แก่ สะกดจิต , เสริมพลัง , วงแหวนเยือกแข็ง และ กระสุนเวทย์
โรแลนด์คัดลอกโครงสร้างเวทย์ทั้งสี่และนำเข้าไปในแคปซูลด้วยแฟลชไดรฟ์ จากนั้นเขาก็เข้าไปยังกระทู้ที่เขาพึ่งสร้างไว้พบว่าตอนนี้เขาได้รับทิปเพิ่มมาอีกกว่าพันเหรียญ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสามารถหาเงินได้ง่ายดายขนาดนี้
หลังจากนั้นเขาก็ออกจากบ้านไปยังบาร์ด้วยมอเตอร์ไซค์ เมื่อตกดึกเขาก็รีบกลับและเข้าไปยังแคปซูลเพื่อเข้าสู่โลกของเกม
ภายในโลกแห่งเกมเริ่มวันใหม่ โรแลนด์ออกไปขุดแร่ในตอนเช้าและใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดในตอนบ่ายและตอน
เขาไม่รู้เลยจะกระทั่งเขาได้ลองฝึกจึงทำให้เขาได้รู้ว่ามันยากขนาดไหนที่จะเรียนเวทย์ใหม่ๆ ไม่เหมือนกับเวทย์ที่อยู่ในสมุดเวทย์ของเขาอยู่แล้ว ซึ่งมันจะสร้างกราฟโครงสร้างสามมิติและจุดเวทย์ขึ้นมาภายในจิตสำนึกของเขา ทว่าเวทย์ใหม่นั้นไม่มีอะไรเลย โรแลนด์ต้องสร้างพื้นที่ของจุดเวทย์ด้วยตัวเอง ก่อนจะต้องเติมจุดเวทย์ภายในหัวให้ถูกต้องเพื่อลองร่ายมัน
การสร้างแบบจำลองของจุดเวทย์จากโครงสร้างที่เขาคัดลอกมาเพียงอย่างเดียวก็ทำให้โรแลนด์เสียเวลามากโข ในโครงสร้างเวทย์แต่ละอันเขาต้องเสียเวลามากกว่าสิบชั่วโมงและล้มเหลวอีกหลายสิบครั้ง กว่าที่สัญลักษณ์ของพวกมันจะปรากฏขึ้นในสมุดเวทย์ของเขา
จากนั้นเพื่อให้ “ชำนาญ” ในเวทย์เหล่านั้น โรแลนด์ก็ยังคงทดสอบและสรุปผลของจุดเวทย์แต่ละจุด
หลังจากผ่านไปหลายวัน สัญลักษณ์สีทองสี่อันก็ปรากฎขึ้นที่สมุดเวทย์ของโรแลนด์ หลังจากชำนาญในเวทย์ทั้งสี่ ในที่สุดโรแลนด์ก็เลเวลสอง ทว่าเขาไม่ได้มีความสุขมากนัก เพราะเขามั่นใจว่าในอนาคตจะมีนักเวทย์น้อยลงและน้อยลงเรื่อยๆแน่นอน
ชีวิตของนักเวทย์นั้นลำบากเกินไป การเรียนรู้เวทย์ใหม่ๆนั้นจำเป็นต้องมีเซ้นส์ที่ดี ,ความเข้าใจทางคณิตศาสตร์และตรรกะ และความอบทนเป็นอย่างมาก
โรแลนด์รู้ว่ามีคนอีกมากภายในเกมที่ชาญฉลาดกว่าเขา ทว่าไม่ใช่พวกเขาทั้งหมดจะเล่นนักเวทย์ อย่างไรก็ตามภายในเกมนี้มีสายอาชีพอีกมากมาย และต่างคนย่อมมีความชอบที่ต่างกันออกไป
จะต้องมีนักเวทย์อีกหลายคนที่ด้อยกว่าเขาในแง่ของความสามารถรอบด้านเหล่านั้น ท้ายที่สุดพวกเขาก็จะหมดความอดทน หากต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ในการเรียนรู้เวทย์
บางคนอาจจะไม่สามารถเรียนเวทย์ใหม่ๆได้ เพราะขาดความเข้าใจและความคิดแบบตรรกะ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถเรียนเวทย์ระดับหนึ่งได้ แต่มันก็ยังมีเวทย์ระดับสูงขึ้นไปอีก พวกจะมีความอดทนมากพอหรอ?
เมื่อมองไปยังพ่อมดและนักบวชที่สามารถใช้เวทย์ที่ทรงพลังด้วยการร่ายธรรมดาๆโดยไม่จำเป็นต้องมาจำมัน และยิ่งไปกว่านั้นเวทย์ใหม่ๆก็จะปรากฎให้ใช้งานทันทีที่พวกเขาเลเวลเพิ่มขึ้น เหล่านักเวทย์ยิ่งไม่พอใจกันเข้าไปใหญ่จนต้องออกมาเรียกร้อง
พวกเขาร้องขอผ่านบทความให้ผู้พัฒนาลดความยากในการเล่นนักเวทย์ลง
ทว่า โรแลนด์คิดว่ามันคงไม่ได้ผล
หลังจากผ่านไปอีกวันภายในเกม เมื่อโรแลนด์ออกจากเกมและเข้าไปที่บทความ เขาก็พบว่าในหัวข้อผู้ใช้เวทย์กำลังยุ่งวุ่นวาย นักเวทย์หลายคนต่างออกมาโพสต์ว่า ถ้าผู้พัฒนาไม่ลดความยากในการเรียนรู้เวทย์ของนักเวทย์ลง พวกเขาจะลบตัวละครและขอเงินคืน
โรแลนด์ถอนหายใจออกมา อย่างที่คิดเอาไว้ คงต้องรอดูว่าผู้พัฒนาจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
พวกขี้เมาและโรแลนด์เดินออกมาจากโรงเตี๊ยม พนักงานสาวแอบมองออกมาจากภายนอกโรงเตี๊ยม ทว่าก็ไม่กล้าออกไปห้ามพวกเขา เธอได้ยินเสียงต่อสู้และเสียงคำราม หลังจากนั้นไม่นาน โรแลนด์ก็กลับเข้ามาโรงเตี๊ยมเพื่อกินขนมปังที่เหลืออยู่พร้อมรอยคล้ำรอบตา
พนักงานสาวรู้อยู่แล้วว่าโรแลนด์ต้องชนะ แต่ว่าเธอก็หัวเราะเบาๆออกมากับลุคใหม่ของโรแลนด์
โรแลนด์รู้สึกมึนเล็กน้อย
เขาไม่ได้รับการแจ้งเตือนใดๆจากระบบว่าเขาได้รางวัลหรือทำภารกิจสำเร็จ หมายความว่าการต่อสู้เมื่อกี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภารกิจใดๆ เขารู้สึกไม่คุ้มค่ากับการทดสอบเลย แม้ว่าเขาจะสามารถจัดการพวกขี้เมาได้ แต่ก็ต้องแลกกับถูกต่อยที่หน้าไปหลายหมัด แม้ว่าจะไม่ได้เจ็บมากแต่รอยช้ำบนหน้าก็ทำให้ใบหน้าของเขาดูตลก
โรแลนด์จัดการขนมปังทั้งหมดจนเสร็จและจ่ายเงินอีกเล็กน้อยสำหรับน้ำผลไม้ หลังจากนั้นเขาก็เรอออกมาด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะเดินตามทางไปยังฝั่งตะวันออกของทะเลสาบ
พื้นที่ตรงนี้อยู่บริเวณตีนเขาและมักถูกปกคลุมด้วยเงาของภูเขาในตอนบ่าย เนื่องด้วยอากาศที่เย็นและไม่มีแสงแดด จึงไม่มีชาวบ้านมาปลูกบ้านอยู่ในบริเวณนี้ สถานที่แห่งนี้ก็เลยว่างเปล่า
โรแลนด์พบว่าตรงนี้นั้นเหมาะจะฝึกเวทมนตร์เป็นอย่างมาก เขาเริ่มวาดโครงสร้างของจุดเวทย์ “บอลเพลิงนรก” ลงบนพื้นทราย เห็นได้ชัดว่าการวิเคราะห์โดยใช้หลักคณิตศาสตร์นั้นได้ผลเป็นอย่างมาก เขาสามารถวิเคราะห์พวกมันได้ทั้งหมดตราบที่มีข้อมูลเพียงพอ
คณิตศาสตร์นั้นเป็นวิชาภาคบังคับของมหาลัย ซึ่งเขาไม่ค่อยจะถนัดนัก แต่ว่าเขาก็สามารถผ่านมันมาได้ เขาเริ่มคำนวณเป็นเวลานานก่อนจะพบเส้นทางที่ดีที่สุดสำหรับจุดเวทย์ทั้งสาม ซึ่งประกอบไปทั้งความเร็ว , พลังทำลาย และ ระยะ นอกจากนี้ยังสามารถการันตีความเสถียรได้อีกด้วย
หลังจากเขาทดลองเส้นทางของจุดเวทย์ทั้งสาม ทันใดนั้นเองเขาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ
เขาเลเวลอัพ
ไม่มีเอฟเฟคพิเศษใดๆ ไม่มีเพลงแสดงความยินดี เขาแค่เลเวลเพิ่มขึ้นอย่างเรียบง่ายและกระทันหัน
นอกจากนี้โรแลนด์ยังสังเกตเห็นว่าสัญลักษณ์ของบอลเพลิงนรกที่อยู่ในสมุดเวทย์ในระบบได้มีตัวอักษรสีทองอยู่ข้างหลังว่า “ชำนาญ” การเรียนเวทมนตร์สามารถช่วยให้ตัวละครเลเวลอัพได้ด้วย?
นั่นคงเป็นเหตุผลเดียวที่สามารถอธิบายได้
เป็นวิธีเพิ่มเลเวลที่เหมาะกับคลาสวิชาการอย่าง “นักเวทย์” มาก โรแลนด์ยิ่งรู้สึกว่าเกมน่าสนใจมากขึ้นไปเรื่อยๆ ระบบของเกมทำหน้าที่เพียงแจ้งเตือนอย่างเรียบง่ายเท่านั้น ไม่มีการบอกใบ้ถึงเควส , มินิแมพ หรือ รายละเอียดของตัวละคร ผู้เล่นจะได้รู้ถึงคุณลักษณะของตัวละครเพียงแค่ตอนสร้างเท่านั้น ไม่มีหลอดเลือดหรือชื่ออยู่เหนือหัว NPC ทุกอย่างแม้งสมจริงไปหมด
หลังจากเลเวลอัพ โรแลนด์ก็รู้สึกราวกับว่าเขาแข็งแกร่งและคล่องแคล่วขึ้นเล็กน้อย แต่ที่สำคัญที่สุดเขาสามารถสัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของพลังเวทย์ภายในร่าง
ก่อนหน้านี้เขาต้องร่ายเวทย์ติดต่อกันเพื่อสัมผัสถึงพลังเวทย์ ทว่าในตอนนี้เขาสามารถสัมผัสถึงมันได้อย่างสบายๆราวกับธาตุอากาศ โดยมันกำลังถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างช้าๆ
นี่ต้องเป็นองค์ประกอบของเวทมนตร์แน่ๆ
แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงจริงๆ คือเสียงแจ้งเตือนของระบบอีกครั้งนึง
ถึงผู้เล่น เมื่อคุณถึงระดับ 1 แล้ว นั่นหมายความว่าคุณกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างเป็นทางการแล้ว ระบบกระเป๋ามิติเปิดให้ใช้งาน คุณสามารถเรียกใช้ระบบนี้ด้วยการพูดคำว่า “กระเป๋ามิติ” ภายในใจ โปรดทำความเข้าใจระบบนี้ด้วยตัวของคุณเอง ขอให้สนุก
นั่นหมายถึงระบบกระเป๋ามิติสามารถใช้งานได้แล้ว โรแลนด์ปรบมือด้วยความปลาบปลื้ม ถึงจะเป็นครั้งแรกที่เล่นเกมเสมือนจริง ทว่าใครก็ตามที่พอจะรู้เรื่องเกมก็ต้องรู้ถึงความสะดวกของกระเป๋ามิติดี มันช่วยให้เราไม่ต้องแบกของไปมาภายในเกมเสมือนจริงนี้
ในไม่ช้าโรแลนด์ก็เรียกกระเป๋ามิติขึ้นมาในใจตามคำแนะนำของระบบ พื้นที่ลูกบาศก์โปร่งแสงถูกคลี่ออกต่อหน้าต่อตาเขา แม้ว่ามันจะอยู่ข้างๆเขา แต่โรแลนด์ก็รู้ว่ามันเป็นภาพที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะมองเห็น
กระเป๋ามิตินี้มีพื้นที่กว้างราวๆ 8 ลูกบาศก์เมตร
มันก็ใหญ่ใช้ได้มั้ง? โรแลนด์ลองโยนหินและทรายเข้าไปในกระเป๋ามิติ ก่อนที่เขาจะโยนกิ่งไม้และน้ำเข้าไปเพิ่ม ในไม่นานเขาก็สามารถสรุปประโยชน์ของมันได้
น้ำหนักของสิ่งต่างๆไม่ได้ส่งผลถึงกระเป๋ามิติ หมายความว่าเขาสามารถเก็บของทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย เพราะยังไงมันก็ไม่มีอะไรเสียหายอยู่ดี ในเมื่อมันไม่มีน้ำหนัก
ภายในกระเป๋ามิตินั้นจะสามารถถนอมอาหารได้หรือไม่และทำได้นานแค่ไหน ? นั่นเป็นอีกเรื่องสำคัญที่จะต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อหาคำตอบ
โรแลนด์มองไปรอบ ๆ จากนั้นเขาก็เริ่มร่ายเวทย์อย่างรวดเร็ว
X23 … Z88
มันเป็นวิธีร่ายเวทย์ที่ดีที่สุดสำหรับบอลเพลิงนรก ซึ่งโรแลนด์ค้นพบมันผ่านแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ โดยรวมแล้วสามารถพูดได้ว่า มันมีประสิทธิภาพดีที่สุดทั้งในด้านความเร็ว พลัง ระยะ และความเสถียร
บอลเพลิงสีฟ้าสดขนาดราวๆกำปั้นพุ่งไปยังน้ำในทะเลสาบ ฟองอากาศผุดขึ้นมาเล็กน้อย ในไม่ช้าปลาขนาดเล็กสามตัวก็ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ
โรแลนด์ถอดเสื้อคลุมของเขาและลงไปในน้ำ เขาโยนปลาสีเงินสามตัวนั้นเข้าไปในกระเป๋ามิติ แม้พวกมันจะสลบไปแต่พวกมันก็ยังมีชีวิตอยู่ พวกมันพยายามดิ้นขัดขืนอยู่สักพัก และในทันทีที่มันถูกโยนเข้าไปในกระเป๋ามิติพวกมันก็ตายลงในทันที
แสดงว่าภายในกระเป๋ามิติไม่สามารถเก็บสิ่งมีชีวิตไว้ได้
โรแลนด์บันทึกลงในสมุดบันทึกของเขา เขาไม่สามารถทดสอบประสิทธิภาพในการคงสภาพของสิ่งของภายในกระเป๋ามิติได้ในตอนนี้ แต่เขาน่าจะรู้ได้ภายในวันสองวันนี้
ในตอนนี้เขาชำนาญในการร่ายบอลเพลิงนรกแล้ว ระดับของเขาก็เพิ่มขึ้นแล้ว นอกจากนี้เขายังได้กระเป๋ามิติมาอย่างไม่ทันตั้งตัว โรแลนด์จึงหันความสำคัญทั้งหมดไปยังเวทมนตร์ระดับศูนย์ของเขา “แขนเวทมนตร์”
มันเป็นเวทย์ที่ไว้ใช้ควบคุมโดยไม่สร้างความเสียหายมากนัก ตามคำอธิบายของเวทย์ มันจะสร้างแขนที่มองไม่เห็นด้วยเวทมนตร์เพื่อคว้าวัตถุ , ขนาดของแขน , แรงจับ และระยะนั้น ขึ้นอยู่กับกับเลเวลของนักเวทย์ การเชื่อมต่อของจุดเวทย์และปริมาณพลังเวทย์
หลังจากทดลองล้มเหลวอยู่หลายครั้ง… ทว่าอาจเป็นเพราะเขามีพัฒนาการและมีการรับรู้เวทย์ที่ดีขึ้น เขาจึงไม่รู้สึกเหนื่อยและเจ็บตัวเหมือนคราวที่พยายามร่ายบอลเพลิงนรกแล้วล้มเหลว
ในไม่ช้าโรแลนด์ก็สามารถวาดโครงสร้างจุดเวทย์ของแขนเวทมนตร์ได้สำเร็จ รวดเร็วยิ่งกว่าตอนที่เขาพยายามวิเคราะห์บอลเพลิงนรกมาก
หลังจากนั้นเขาได้เดินกลับไปและซื้อขนมปังเพิ่มที่โรงเตี๊ยมเลควิว ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นอาหารมื้อเย็นและส่วนหนึ่งเป็นของว่างยามดึก เขาโยนมันเข้าไปในกระเป๋ามิติ เขายังซื้อโคมไฟที่มีขายในโรงเตี๊ยมกลับไปด้วย เพื่อที่หลังจากนี้ เขาจะได้ใช้เวลาทั้งคืนในการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์สำหรับแขนเวทมนตร์ ในที่สุดเมื่อรุ่งเช้ามาถึง โรแลนด์ก็ค้นพบเส้นทางจุดเวทย์ที่ดีที่สุดของแขนเวทมนตร์ ก่อนที่เวลาภายในเกมจะหยุดอีกครั้งเพียงแค่ 10 นาที
แขนเวทมนตร์ในสมุดเวทย์กลายเป็น “ชำนาญ” แล้ว แต่เลเวลของโรแลนด์ไม่ได้เพิ่มขึ้นเหมือนครั้งก่อน… เขาคิดว่าเป็นเพราะค่าประสบการณ์ที่จำเป็นสำหรับการเลื่อนเลเวลในขั้นถัดไปนั้นคงจะมากขึ้น ดังนั้นการเรียนเวทย์เพิ่มแค่อย่างเดียว คงจะไม่เพียงพอที่จะเลื่อนเลเวล
ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว ทุกอย่างดูเหมือนกำลังถูกละลายภายใต้แสงอาทิตย์ ไม่ว่าต้นไม้ บ้านเรือน หรือถนนต่างก็ถูกบิดเบือนไปด้วยไอร้อน
โรแลนด์กลับไปยังโบสถ์บนภูเขาด้วยเส้นทางเดิม เขาเห็นฟอลเคิลกำลังรักษาผู้หญิงร่างอวบคนหนึ่งอยู่ โดยรอบเต็มไปด้วยเสาแสงส่องสว่าง หญิงคนนั้นหัวเราะออกมาด้วยความผ่อนคลายในไม่กี่วิหลังจากนั้นเธอก็รีบจากไปทันที
หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วฟอลเคิลก็หันมาร่ายความเชี่ยวชาญทางภาษาแก่โรแลนด์ก่อนถามว่า “เจ้าได้รับเงินมาทั้งหมดเท่าไหร่ละ”
“ยี่สิบแปดเหรียญทองแดงน่ะ” โรแลนก็หยิบเหรียญออกมาจากกระเป๋าแล้วถามว่า “นี่เหรียญทองแดงใช่ไหม”
ฟอลเคิลนำมือไขว้ไว้ด้านหลังพร้อมยิ้มและเดินเข้ามาใกล้โรแลนด์ “เจ้าได้รับมากกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก ข้าคิดว่าสำหรับมือใหม่อย่างเจ้าคงได้ไม่เกินสิบเหรียญทองแดง ยี่สิบแปดเหรียญทำให้เจ้าอิ่มท้องไปได้อีกหลายวันเลยหละ”
โรแลนด์ยิ้มตอบกลับแต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรออกไป จากนั้นจึงพูดว่า “ที่ไหนที่ฉันสามารถสั่งอาหารในเมืองได้บ้าง ฉันเริ่มหิวพอสมควรเลย”
“เลี้ยวขวาลงภูเขาไปและเดินไปตามทาง เจ้าจะพบกับโรงเตี๊ยมหลังเดินผ่านสะพานไป อาหารภายในโรงเตี๊ยมนั้นทั้งให้เยอะและราคาถูก แต่แน่นอนมันไม่ได้รสชาติยอดเยี่ยมนัก ข้าไม่มั่นใจว่าเจ้าจะชื่นชอบมันหรือไม่”
“สำหรับตอนนี้ อาหารอะไรก็ถือว่าถูกปากทั้งหมดนั่นแหละ” โรแลนด์ยักไหล่ก่อนออกจากโบสถ์หลังจากขอบคุณฟอลเคิล ตามที่ฟอคเคิลแนะนำมา โรแลนด์ก็พบโรงเตี๊ยมอยู่ภายใต้แดดร้อน
มีตัวอักษรภาพสามตัวอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม ความสามารถทางภาษาสามารถทำให้เชี่ยวชาญทางด้านความคิดและทำให้สามารถพูดคุยกันได้ ทว่ามันก็ไม่ได้ช่วยให้เขาทำความเข้าใจกับตัวอักษร
โรงเตี๊ยมไม่ได้ใหญ่นัก ด้วยความกว้างที่ไม่น่าจะเกินสองร้อยตารางเมตร ประตูเป็นประตูไม้เตี้ยซึ่งทำให้มองเห็นข้างในจากด้านนอกได้
มีโต๊ะเก่าๆที่ถูกทำความสะอาดเป็นอย่างดีอยู่หลายตัว วางล้อมไว้ด้วยเก้าอี้ทรงกลม กลิ่นหอมของขนมปังและกลิ่นเปรี้ยวของแอลกอฮอลล์ลอยคละคลุ้งอยู่ทั่ว นอกจากนี้โรแลนด์ยังเห็นชายหลายคนกำลังชนแก้วสีเทาใบใหญ่และเสียงโห่ร้องมึนเมากันอยู่
โรแลนด์ผลักประตูและเดินเข้าไป พนักงานเสิร์ฟสาวที่ยืนรออยู่ตรงเคาน์เตอร์รีบต้อนรับในทันที “ยินดีต้อนรับท่านเข้าสู่โรงเตี๊ยมเลควิว ท่านจะรับอะไรดีคะ?”
งั้นหมายความว่าตัวอักษรหน้าประตูคงหมายถึง “เลค , วิว , โรงเตี๊ยม” สินะ
ระหว่างที่พนักงานเสิร์ฟสาวมองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ โรแลนด์ก็ถอยหลังกลับมาที่ประตูก่อนถ่ายภาพไปสี่ภาพ ก่อนเขาจะจดความหมายของรูปภาพลงบนสมุด
ถึงแม้ว่าความสามารถทางภาษาจะไม่ได้สอนภาษาเขาในทันที แต่ว่าเขาก็สามารถใช้มันเรียนรู้ในทางอ้อมได้ และยิ่งไปกว่านั้นเวทย์นี้ดูเหมือนจะสามารถใช้ได้กับทุกภาษา
โรแลนด์รู้สึกดีใจที่เขาได้รู้เคล็ดลับนี้ เขาเข้าไปในโรงเตี๊ยมอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าพนังงานสาวมองเขาแปลกๆ เขารู้ว่าพฤติกรรมแปลกๆของเขาเมื่อกี้ต้องทำให้เธอประหลาดใจ
“คุณมีอะไรที่ถูกและอร่อยบ้างไหม?” โรแลนด์นั่งลงตรงเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ก่อนถามออกมาด้วยรอยยิ้ม “อย่าแนะนำอะไรที่แพงเกินไปล่ะ ฉันไม่มีเงินมากนัก”
พนักงานเสิร์ฟไม่ได้สวยนัก ทว่าก็ยังสาวและมีชีวิตชีวา ใบหน้าของเธอมีรอยกระอยู่รอบๆจมูก ตาเธอกลมโตสีฟ้า และประดับประดาด้วยรอยยิ้มและความสบายใจ
“งั้นข้าขอแนะนำเป็นขนมปังน้ำผึ้ง” พนักงานสาวที่อยู่ในชุดผ้าลินินแต่เพียงแต่ดูสะอาดและทันสมัยกว่า “ข้ารู้ว่าท่านเป็นฮีโร่ที่ช่วยเด็กทั้งสามคนไว้ ถ้าข้าเป็นเจ้าของร้าน ข้าจะขายให้เจ้าครึ่งราคาเลย”
“งั้นเอาขนมปังน้ำผึ้งมาชิ้นนึงละกัน”
“ได้โปรดรอสักครู่” สาวเสิร์ฟเดินเข้าไปในครัว ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกับจานที่ใส่ขนมปังทรงยาวที่ทาหน้าไว้ด้วยน้ำผึ้งสีเหลืองทอง “นี่คือขนมปังที่ท่านสั่ง ราคาทั้งหมดคือ 2 เหรียญทองแดง”
ขนมปังน้ำผึ้งนั้นใหญ่มาก ราคาสองเหรียญทองแดงถือว่าค่อนข้างถูก อย่างน้อยก็สำหรับโรแลนด์ เขาวางเงินเอาไว้ ในขณะเดียวกันสาวเสิร์ฟก็จ้องมองที่มือเขาอย่างประหลาด
เขามองไปที่มือของตัวเองและพบว่ามีรอยแผลพุพองขนาดใหญ่อยู่สองจุด เขาของกดไปที่แผลนั้นแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บใดๆแม้ว่ามันจะดูน่ากลัวมาก อาจจะเป็นเพราะว่าความเจ็บปวดของเขาถูกลดลงเหลือเพียง 1 ใน 10
มันเป็นผลมาจากการทำเหมืองแต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรในเมื่อมันไม่ได้เจ็บ เขาคิดจะไปขุดต่อเพื่อทำเงินเพิ่มในพรุ่งนี้เช้า
โรแลนด์กัดไปที่ขนมปังหลังจากนั้นท่าทางเขาก็เปลี่ยนไปในทันที น้ำผึ้งนั้นเยี่ยมมาก ขนมปังก็ดีใช่ย่อย แต่โดยรวมรสชาติของมันก็ไม่ได้เยี่ยมยอดนัก มันทั้งแข็งและมีกลิ่นแปลกๆ
ไม่แปลกใจที่ฟอลเคิลกล่าวว่าอาหารในโรงเตี๊ยมอาจจะไม่ถูกปากเขา
สาวเสิร์ฟเห็นท่าทางของโรแลนด์ก็รู้ทันที เธอยิ้มออกมา “มันไม่ค่อยอร่อยนักใช่มั้ยล่ะ? ทว่าขนมปังของพวกเราก็เรียกได้ว่าเยี่ยมที่สุดในเมืองนี้แล้ว บางทีมันอาจจะดูแย่ไปหน่อยสำหรับผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่าน”
“ผู้ยิ่งใหญ่? เขาก็แค่เด็กเหลือขอน่า”
หนึ่งในกลุ่มพวกผู้ชายที่กำลังดื่มกันอยู่หันหน้าและตะโกนออกมา “เจ้านั่นไม่มีข้อดีอะไรเลยด้วยซ้ำนอกจากหน้าตา มันก็แค่โชคดีหละน่าที่ช่วยเด็กพวกนั้นได้ ข้าก็ทำได้เหมือนกันแหละน่า ทำไมถึงยกย่องหมอนั่นนัก?”
โรแลนด์ก็รู้ดีว่าตัวเองค่อนข้างมีชื่อเสียงภายในเมือง ทว่าเขาไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองนั้นมีชื่อเสียงค่อนข้างมาก เด็กเหล่านั้นเป็นทั้งอนาคตของครอบครัว , ของเมือง และจังหวัด ลูกหลานเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญในทุกๆที่
การช่วยเหลือเด็กนั้นมักได้ความรู้สึกขอบคุณยิ่งกว่าผู้ใหญ่เสียอีก
แน่นอนว่า ถ้ามีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด ส่วนใหญ่ความเกลียดชังมักจะมาจากความอิจฉา
โรแลนด์มองไปยังขี้เมาทั้งสามคน แต่ก็ไม่พบอะไรที่น่ากังวลเกี่ยวกับพวกเขาเลย พวกเขาเป็นเพียงชายวัยกลางคนที่ไร้ซึ่งเอกลักษณ์ที่น่าจดจำใดๆ
นี่ฉันเผลอกระตุ้นภารกิจบางอย่างเข้ารึเปล่า? โรแลนด์คิดอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยจิตวิญญาณที่ชื่นชอบการทดลองของเขา เขาจึงลองพูดอย่างยั่วยุว่า “หยุดพูดไร้สาระเถอะ อยากออกไปสู้กันข้างนอกรึเปล่าล่ะ?”
ชายพวกนั้นปาแก้วลงพื้น เบียร์สีเหลืองสดสาดไปทั่วร้าน ขณะที่พนักงานเสิร์ฟสาวร้องออกมา ชายพวกนั้นคว่ำโต๊ะแล้วเดินเข้าหาโรแลนด์อย่างหาเรื่อง
กาเลนนั้นเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองนี้ ด้วยเหตุผลง่ายๆว่า พ่อของเขาเป็นนายกของเมือง และเขาก็เป็นเจ้าของเหมือง แม้กำไรจากแร่ทั้งหลายจะไม่มากนัก แต่มันก็พอทำให้เขาสบายได้
กาเลนมองโรแลนด์หัวจรดเท้า ท้ายที่สุดเห็นแก่หน้าของฟอลเคิลเขาจึงพูดขึ้นมาว่า “เอาเถอะ ในเมื่อท่านฟอลเคิลแนะนำเจ้ามา ข้าจะรับเจ้าไว้ละกัน ทว่าข้าเป็นคนยุติธรรม ดังนั้นเงินที่ข้าจะมอบให้จะขึ้นอยู่กับแร่ที่เจ้าขุดได้โดยไม่มีสิทธิพิเศษอื่นๆ เป็นอย่างไร?”
ฟอลเคิลกระแอมออกมาเล็กน้อยและพูดว่า “ไม่มีปัญหา”
หลังจากนั้นเขาก็ตบไหล่โรแลนด์และเดินจากไป กาเลนเปิดประตูทางเข้าบ้านหิน และกลิ่มอับชื้นของกองหินก็กระจายออกมา แร่หลากชนิดถูกกองสุมไว้ภายใน
กาเลนหยิบจอบและตะกร้าจากนั้นก็โยนไปให้โรแลนด์ ก่อนพูดว่า “นี่คือเครื่องมือของเจ้า เจ้าสามารถเริ่มงานได้ทันที…. เดี๋ยวก่อนเจ้าชื่ออะไรนะ ถ้าจำเป็นต้องทำใบสมัคร”
กาเลนหยิบปากกาขนกและเปิดสมุดขึ้นมาจากนั้นเขาก็เริ่มเขียนอย่างบรรจง “พูดชื่อและอายุของเจ้าด้วย”
“โรแลนด์ 17 ปี”
ในโลกจริงนั้นโรแลนด์อายุ 24 แล้ว ทว่าตัวละครภายในเกมถูกตั้งค่าไว้ที่ 17 ปี ซึ่งเป็นวัยที่อยู่ระหว่างวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ดังนั้นเขาจึงให้ข้อมูลของโลกนี้ไปแทน ยังไงก็เหอะเขาก็ดูเด็กเกินกว่าจะบอกว่าตัวเองอายุ 24 ปี และกาเลนก็คงไม่เชื่ออยู่ดี
กาเลนเขียนชื่อเขาลงไปในสมุด โรแลนด์จึงแอบมองสิ่งที่เขาเขียนก่อนพบว่าตัวอักษรที่เขาเห็นเป็นสัญลักษณ์รูปภาพ โดยไม่ได้มีตัวอักษรบ่งชี้ที่ชัดเจน มันจึงยากจะพูดว่านี่คือตัวอักษรพื้นฐานจริงๆหรือแค่รสนิยมของกาเลนเท่านั้น
ในท้ายที่สุด กาเลนก็โบกมือให้เขา โรแลนด์เริ่มเดินเข้าไปภายในถ้ำพร้อมจอบและตะกร้า
ถ้ำค่อนข้างกว้างมาก แต่ก็พอเข้าใจได้เพราะอย่างไรอากาศก็จำเป็นสำหรับการทำเหมือง มีตะเกียงน้ำมันถูกติดไว้อยู่ทุกๆ 12 เมตร ผนังค่อนข้างชื้น โรแลนด์สัมผัสได้ถึงน้ำจากบริเวณผนัง
โรแลนด์ลากตะกร้าเดินไปด้านหน้า ตามทางมีทั้งหลุมและเศษหินวางกองเต็มไปหมด หลังจากผ่านไปหลายนาที ในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงอยู่ด้านหน้า หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มเห็นกลุ่มคนกำลังทำงานอยู่ในท้ายถ้ำในจุดที่ต่างกัน
นี่มันเหมือนของจริงชัดๆ พื้นที่กว้างมาก ภายในถ้ำสูงราวๆสิบกว่าเมตรและกว้างราวๆสามสิบเมตรจากปากทางเข้า ที่นี่ค่อนข้างมืดแม้จะมีโคมไฟแขวนอยู่บนผนังก็ตาม
โรแลนด์กระโดดลงจากพื้นด้านบน มีบางคนสังเกตถึงเสียง ทว่าในไม่นานก็กลับไปสนใจกับการขุดแร่ต่อเวลาในเหมืองนี้เป็นเงินเป็นทอง
สังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบ โรแลนด์ก็ไปที่มุมหนึ่งและเลียนแบบท่าทางของคนงานเหมืองคนอื่นๆ
หลังจากทำงานบากบั่นในเหมืองทั้งวัน เขาก็ได้เพียงแร่ทองแดงบริสุทธิ์ 5 อันเท่านั้น….
เสียง เคร้ง เคร้ง เคร้ง ดังอยู่โดยรอบ โรแลนด์จำเสียงนี้ได้ดี เมื่อตอนที่เกม MMORPG กำลังเป็นที่นิยมอยู่ ในตอนนั้นเขามีอายุเพียงสิบขวบ เขาเก็บเงินค่าอาหารเช้าทั้งเดือนเพื่อซื้อบัตรเล่นเกมรายเดือน ในตอนนั้นเขาจะเข้าไปทำเหมืองวันละสองชั่วโมงเพื่อจ่ายค่าเกมด้วยการขายเหรียญภายในเกมที่เขาเล่น
สิ่งที่ทำให้เขาประทับใจที่สุดในการเล่น MMORPG คือการทำเหมือง และเขาก็ยังคงทำเหมืองต่ออีกครั้งในโลกเสมือนจริง เขารู้สึกราวกับว่าเขามีโชคชะตาที่จะต้องเป็นคนงานเหมือง
การทำเหมืองเป็นงานที่ลำบาก ทว่ากับพวกผู้เล่น รวมแม้กระทั่งผู้ใช้เวทย์อย่างโรแลนด์ที่มีร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนทั่วไป ในตอนแรกที่เริ่มขุดโรแลนด์รู้สึกว่าจอบของเขามันจะชนกับหินแข็งๆและติดอยู่ตามรอยแยกต่างๆตลอด ทว่าภายในครึ่งชั่วโมงให้หลังเขาก็รู้สึกเริ่มจับเคล็ดลับมันได้
หินสีเหลืองและสีขาวถูกขุดออกมา โรแลนด์หยิบมันขึ้นมาสังเกตโดยครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็โยนมันทิ้งไปและเริ่มทำงานต่อ ณ ตอนที่กาเลนเปิดที่เก็บแร่ให้เขาดู เขาได้ถ่ายรูปแร่ต่างๆเก็บเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งนั่นทำให้เขาสามารถแยกหินธรรมดาออกจากแร่ที่มีค่าได้
แน่นอนว่ามันไม่ได้แม่นยำ 100% แต่อย่างน้อยก็คงดีกว่าเดาไปเรื่อย
หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง คนงานเหมืองคนอื่นๆก็นั่งลงและหยุดพัก ขณะที่โรแลนด์ก็ยังมุ่งมั่นทำงานต่อไป คนงานคนอื่นๆหันมามองและชี้มาที่เขา บางคนถึงกับหัวเราะใส่ พวกเขานั้นกำลังล้อเลียนโรแลนด์อยู่เพราะคิดว่าเขาคงทนขุดไปได้อีกไม่นานแน่ๆ
โรแลนด์ไม่สนใจพวกนั้นและทำงานต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มรู้สึกเหนื่อย
พวกคนงานเหมืองพวกนั้นพักอยู่ครู่เดียวและเริ่มทำงานต่อ อีกหนึ่งชั่วโมงให้หลังพวกเขาก็เริ่มเหนื่อยอีกครั้ง แต่ทว่าโรแลนด์ก็ยังคงขุดต่อไป คราวนี้ไม่มีใครสนใจจะแกล้งโรแลนด์อีกพวกเขาแค่มองดูอย่างเงียบๆเท่านั้น
หลังจากพัก พวกเขาก็เริ่มขุดต่อ ทว่าเมื่อผ่านไปไม่นานพวกเขาก็นั่งพักอีกหนึ่งชั่วโมง โดยที่โรแลนด์ยังเหวี่ยงจอบของเขาออกไปอยู่เรื่อยๆ
พวกคนงานมองไปทางชายหนุ่มด้วยความเหลือเชื่อ บางคนถึงขั้นทนไม่ไหวและแอบเข้าใกล้โรแลนด์เพื่อดูแร่ในตะกร้าและดูผนังที่โรแลนด์ขุดไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน
โรแลนด์งัดหินที่อยู่ในกำแพงออกมาและโยนมันเข้าตะกร้า เขาหันไปยิ้มให้กับคนที่พยายามเข้าใกล้เขาพร้อมทั้งเดินออกจากเหมืองพร้อมทั้งตะกร้าที่หนักอึ้ง
ในตอนนั้น ความสามารถทางภาษาได้หมดลงทำให้เขาไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้
พวกคนงานได้แต่มองชายหนุ่มเดินออกไป ตะกร้าของพวกเขายังว่างกว่าอีกครึ่งแต่พวกเขาหมดกะจิตกระใจเสียแล้ว
โรแลนด์ออกจากถ้ำพร้อมกับตะกร้า มันใช้เวลาสักพักเพื่อให้เขาปรับตัวกับแสงอาทิตย์ภายนอก ในท้ายที่สุดเขาก็นำตะกร้ามาวางไว้บนโต๊ะของกาเลน
ตะกร้านั้นหนักมาจนทำให้โต๊ะเกือบพังเลยทีเดียว กาเลนสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันอย่างรุนแรง เขาตั้งสติได้หลังจากเห็นตะกร้าและโรแลนด์ที่ยืนอยู่
ทว่าโรแลนด์ไม่สามารถเข้าใจประโยคยาวๆที่กาเลนพูดออกมาได้ เขาทำเพียงได้แค่ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “โทษที ความสามารถทางภาษาของฉันหมดไปแล้ว”
กาเลนงุนงงไปในทันทีเพราะเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่โรแลนด์พูด แต่ทว่าเขาเป็นพ่อค้าที่เดินทางไปทั่วเขาก็พอเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้
มันมีสิ่งอื่นอีกที่เขาอยากจะพูด ทว่าเขาก็ทำได้เพียงแค่เงียบปาก เขาวางตะกร้าลงบนพื้นก่อนตรวจดูหินที่ปะปนอยู่ในตะกร้า เขาโยนสิ่งไร้ค้าทิ้งไป และแยกมันเป็น 3 กอง ตามคุณภาพ ในท้ายที่สุดเขาเริ่มนับมันและวาง 28 เหรียญไว้บนโต๊ะ
โรแลนด์หยิบเหรียญเหล่านั้นขึ้นมา พร้อมเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร
พวกเขาสี่คนพูดคุยกันอยู่ภายในบาร์ต่อราวๆสามชั่วโมงก่อนจะแยกย้ายกันตอนเที่ยง โรแลนด์ขี่มอเตอร์ไซค์ของเขากลับบ้านโดยพบเจอกับแสงแดดในตอนกลางวัน สิ่งแรกที่เขาทำหลังกลับมาถึงคือปรับแอร์ให้อุณหภูมิต่ำสุดเท่าที่จะเป็นไปให้ และปล่อยให้ลมพัดผ่านตัวเขาไป
หลังจากเริ่มเย็นขึ้น โรแลนด์ก็เปิดคอมพิวเตอร์ของเขาและเข้าไปยังบทความอีกครั้ง เพียงแค่เห็นว่าช่องจดหมายเต็มไปด้วยข้อความ โรแลนด์ก็รู้สึกงุนงงทันทีที่เห็นการแจ้งเตือนที่มากมายมหาศาล
เขาสูดหายใจเข้าไปลึกๆ ก่อนจะเริ่มอ่าน ส่วนมากจะเป็นการแจ้งเตือนการได้รับทิป ในตอนแรกเขาคิดว่าระบบคงผิดพลาด ทว่าหลังจากเช็คข้อความไปบางส่วน เขาก็พบว่าเข้าได้รับทิปจริงๆ บ้างก็เป็นค่าเข้าบทความ 1 เหรียญ บ้างก็หลาย 10 เหรียญ
ในบทความนี้ เงินภายในบทความจะมีค่าเท่ากับเงินจริง หมายความว่าในทุกๆเหรียญที่เขาได้รับก็หมายถึงเงินจริงๆที่เขาได้
ทิปทั้งหมดมาจากที่เดียวกัน “ประสบการณ์การใช้บอลเพลิงนรกของโรแลนด์” ที่เขาพึ่งโพสต์ไปไม่นานมานี้ เขารีบเข้าไปในหัวข้อนักเวทย์และเห็นกระทู้ของเขาถูกปักหมุดเอาไว้บนสุด
เขาคลิกเข้าไปในกระทู้และเห็นทุกคนกำลังชื่นชมเขาอยู่
“ฉันนับถือเจ้าของโพสต์นี้จริงๆ ฉันขอมอบทิป 2 เหรียญด้วยความนับถือ”
“วิเคราะห์เวทย์ด้วยสูตรคณิตศาสตร์แม้งโคตรอัจฉริยะเลย! ฉันจะจำจุดเวทย์ที่ระเบิดตัวเองของคุณเอาไว้ แล้วจะรีบไปลองในคืนนี้ นี่ทิป 5 เหรียญ”
“บอลเพลิงนรกกลายเป็นการระเบิดตัวเอง นายจะต้องเป็นมือวางระเบิดในอนาคตแน่นอน ฉันมีเงินไม่มากนัก แต่นี่ 2 เหรียญถือว่าเป็นการแสดงการสนับสนุนของฉันละกัน”
มีคำขอบคุณแบบนี้อยู่อีกมาก ทิปที่ได้อยู่ระหว่าง 1 เหรียญจนถึง 20 เหรียญ แน่นอนผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ทิปและเข้ามาเพียงแค่หาความสนุกเท่านั้น
พ่อมดบางคนเข้ามาและพยายามเบี่ยงเบนประเด็น แต่พวกเขาก็ถูกดันตกออกไปโดยคำชื่นชม โดยไม่มีใครให้ค่านัก
โรแลนด์กลับเข้ามาดูในบัญชีกลาง เขาจับหน้าผากตัวเองและมองดูอย่างรวดเร็ว เขาพบว่ามีเงินกว่าห้าหมื่นเหรียญฟอรั่มและตัวเลขกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นเงินจริงเขาก็จะมีเงินห้าหมื่นเหรียญถึงแม้จะถูกหักค่าดำเนินการไปบางส่วน
นี่มันค่าจ้างตลอดทั้งปีของเขาเลย และเขาพึ่งใช้เงินทั้งหมดไปกับค่าแคปซูล เขาคาดหวังว่าเขาคงได้เงินคืนเล็กน้อยจากค่าแคปซูลหลังจากโพสต์ประสบการณ์ภายในเกมของตัวเอง
นี่หมายความว่ามีหลายพันคนมอบทิปให้เขา คนที่มีเงินพอจะซื้อแคปซูลเกมได้ต้องไม่ใช่พวกยากจนอยู่แล้ว ยังไงแคปซูลก็ราคาสูงถึงห้าหมื่นเหรียญซึ่งไม่ได้ถูกเลย
โรแลนด์รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่สามารถทำเงินได้ แต่เขาก็มีความรู้สึกซับซ้อนเล็กน้อยอย่างไรก็ตามเขาไม่ใช่ผู้เล่นมืออาชีพ และไม่เคยคิดที่จะหาเลี้ยงชีพด้วยการเล่นเกม
เขาแลกเหรียญฟอรั่มให้กลายเป็นเงินจริง หลังจากได้รับข้อความว่ามีเงินโอนเข้ามาห้าหมื่นเหรียญ เขาก็ยิ้มออกมาและเดินลงไปกินมื้อเที่ยง จากนั้นเขาขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป หลังจากกลับมาแล้วเขาก็ใจเย็นลง ความตื่นเต้นกับเงินโบนัสเริ่มหมดลง
เขาเคยเล่นเกมอื่นๆอยู่ช่วงหนึ่ง ทว่าเมื่อเขาได้ลองเล่นเกมเสมือนจริงแล้ว เขาก็หมดความสนใจในเกมอื่นๆไปในทันที แม้กระทั่งเกมที่เขาเคยชื่นชอบก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้อีกแล้ว
สำหรับเขาเวลาไม่เคยเดินช้าแบบนี้มาก่อน
ในที่สุด ก็มาถึงเวลา 21.45 เขาสวมชุดนอนและนอนลงบนแคปซูล แคปซูลถูกปิดโดยอัตโนมัติ แสงสีเขียวปรากฎอยู่ตรงหน้าเขา เขาเริ่มหลับตาและหลับไปในที่สุด
เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเขากลับเข้ามาสู่ภายในเกม โลกภายในเกมยังคงเป็นสีขาวดำอยู่ กระทั่งฟอลเคิลก็กำลังลุกขึ้นยืนอยู่ข้างๆเขา
โรแลนด์ไม่สามารถขยับตัวได้ เขารออยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานนักโลกก็กลับมามีสีสันอีกครั้ง และโรแลนด์ก็ได้ยืนขึ้น เขาไม่ได้รู้เลยว่าโรแลนด์ได้ออกจากโลกนี้ไปแล้วครั้งหนึ่ง
เขายืนหลังค่อม ก่อนหันหน้ามาทางโรแลนด์แล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่สามารถคุ้นเคยกับเวทมนตร์ได้ภายในชั่วข้ามคืนหรอก ข้าแนะนำให้เจ้าไปหางานทำและเริ่มเก็บเงินก่อน เมื่อไหร่ที่เจ้าสามารถร่ายเวทย์ได้ เมื่อนั้นเจ้าก็น่าจะมีเงินเพียงพอสำหรับแผนอื่น
โรแลนด์รู้สึกว่ามันฟังดูเข้าท่า ทว่าเขาก็ส่ายหน้าออกมาหลังจากคิดไปครู่หนึ่ง “ผมไม่สามารถพูดภาษาของพวกคุณได้ ผมคิดว่าผมไม่น่าจะสามารถหางานได้”
“ข้ามีงานให้เจ้าทำ” ฟอลเคิลกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “มันมีเหมืองอยู่ทางด้านหลังภูเขา สิ่งที่เจ้าต้องทำก็มีเพียงขุดหาแร่เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสนทนาใดๆ มีอาหารให้ฟรี แถมรายได้ค่อนข้างเยี่ยมอีกด้วย”
การทำเหมือนในเกมอื่นๆถือว่าเป็นทางที่ดีที่จะทำให้รวย ทว่ามันก็พูดได้ยากว่าจะเป็นอย่างนั้นในเกมนี้ ทว่าโรแลนด์ก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าและตอบรับไปว่า “ขอบคุณ แต่ผมกลัวว่าผมจะไม่มีแรงมากพอ อย่างไรก็ตามการทำเหมืองนั้นถือเป็นงานที่หนักเอาเรื่อง”
“ผู้เชี่ยวชาญทุกคนล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา” ฟอลเคิลยิ้มออกมา “แม้แต่เหล่าผู้ใช้เวทย์ก็ยังมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนธรรมดาเลย ข้าสามารถจัดการล้มชายหนุ่มสองคนด้วยมือเปล่าได้ด้วยซ้ำ เมื่อข้ายังหนุ่ม”
โรแลนด์ยังไม่ค่อยมั่นใจนัก ทว่าเขาก็สามารถบอกได้ว่าตัวเขาค่อนข้างแข็งแกร่งขึ้นมากเมื่ออยู่ภายในเกม แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ใช้เวทย์
ฟอลเคิลนำทางโรแลนด์ไปยังเมือง เมื่อผ่านทางเดินที่อยู่ติดกับทะเลสาบไป ผู้คนมากมายต่างเข้ามาทักทายฟอลเคิล โรแลนด์สามารถบอกได้เลยว่าฟอลเคิลค่อนข้างเป็นที่น่านับถือในที่แห่งนี้
สิบนาทีต่อมา ฟอลเคิลพาโรแลนด์เดินไปทางหุบเขาซึ่งอยู่ทางใต้ของทะเลสาบ มันมีถ้ำอยู่ตรงนี้ ซึ่งภายนอกของมันเต็มไปด้วยกองหินสีเขียวฟ้า ไกลออกไปมีบ้านหินหลังใหญ่ซึ่งดูเหมือนจะเป็นโรงเก็บของ มีชายวัยกลางคนผิวเข้มนอนอยู่ที่ด้านนอกโกดัง
ฟอลเคิลเดินไปทางเขาและเคาะไปที่โต๊ะไม้เก่า
ชายวัยกลางคนตื่นขึ้นทักที หลังจากเห็นฟอลเคิลเขาก็พูดอย่างประจบประแจงทันที “ท่านฟอคเคิลอะไรทำให้ท่านเดินทางมาถึงนี่กัน?”
“กาเลน ข้ามาคนทำงานมาให้เจ้า” ฟอคเคิลตบไปที่หลังของโรแลนด์และพูดว่า “เขาเป็นเด็กใหม่หนะ แต่ข้ามั่นใจว่าเขาจะไม่ทำให้เจ้าเสียใจแน่”
ชายวัยกลางคนที่ชื่อกาเลนมองสำรวจรูปร่างของกาเลนและพูดออกมาอย่างลังเลว่า “ท่านครับ เด็กหนุ่มคนนี้ดูค่อนข้างบอบบางและมีการศึกษาเกินกว่าที่จะทำงานหนักแบบนั้นนะครับ”
ฟอลเคิลถอนหายใจและหัวเราะออกมาเบาๆก่อนพูดว่า “เจ้าคิดว่าเขาจะทำงานที่นี่ยาวนานงั้นหรือ? ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้เข้าเมืองเลยสินะช่วงนี้?”
เมืองเรดเมาน์เทนนั้นไม่ใช่เมืองที่ใหญ่มาก ข่าวส่วนใหญ่จะแพร่ไปอย่างรวดเร็ว มันค่อนข้างแปลกที่กาเลนจะไม่รู้จักโรแลนด์
ชายวัยกลางคนส่ายหน้าออกมา “ข้าพึ่งมาจากเมืองราวด์วู๊ดในเช้านี้ ข้าค่อนข้างล้ามากดังนั้นข้าจึงเผลอหลับไป ทว่าข้าก็พอได้ยินเรื่องราวบางส่วนภายในเมือง แต่ข้าไม่รู้รายละเอียดนัก”
ภายใต้แสงจากหน้าจอ โรแลนด์พิมพ์ลงบนคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็ว หลังจากบทความเสร็จสิ้นเขาก็อัปโหลดวีดีโอแล้วโพสมันลงไป เขาหยุดพักนิ้วอยู่ครู่หนึ่ง โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมา
เขามองไปที่เบอร์บนหน้าจอก่อนจะตัดสินใจรับสาย ไม่มีคำทักทายใดๆ เขาเพียงแค่พูดไปอย่างเรียบง่ายว่า “เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่แย่เท่าไหร่ ฉันได้เลื่อนคลาสเป็นเซนต์ซามูไรแล้วน่ะ” ชายหนุ่มที่มีเสียงอันน่าหลงใหลพูดออกมา “แล้วนายละ? จากที่อ่านมาในบอร์ดดูเหมือนว่าอนาคตของนักเวทย์จะไม่รุ่งนี่?
โรแลนด์พูดกลับไปว่า “ฉันโอเคน่า ฉันเริ่มจับทางมันได้แล้ว”
“งั้นก็โชคดีละกัน” ชายหนุ่มพูดอย่างจริงใจ “นายไม่ได้ทำงานไม่ใช่หรอวันนี้? ไปรวมตัวกันที่ประจำหน่อยไหม ฉันโทรเรียกราฟเฟิลมาแล้ว เกมนี้มันทั้งซับซ้อนและกว้างอย่างน่าตกใจเลย คงยากที่พูดคุยรายละเอียดทั้งหมดผ่านทางโทรศัพท์น่ะ”
“ก็จริง เดี๋ยวฉันออกไปหา”
โรแลนด์วางสายโทรศัพท์ก่อนคว้าเสื้อยืดออกมาใส่ และบอกผู้ปกครองที่อยู่ในห้องนั่งเล่นก่อนจะขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป
โรแลนด์นั้นอาศัยอยู่ในเมืองทางใต้ที่อากาศร้อนจัด แดดร้อนจัดแม้จะยังอยู่ในช่วงเช้าก็ตาม โรแลนด์พยายามหลบแดดด้วยการขี่ไปตามเงาของต้นไหม้ ทว่าเหงื่อเขาก็ยังคงไหลออกมาราวกับน้ำ
อากาศภายในเมืองค่อนข้างร้อนชื้น มีโรงงานขนาดใหญ่อยู่เล็กน้อยและเต็มไปด้วยต้นไม้ บ้านเกิดของโรแลนด์มีสภาพอากาศที่ค่อนข้างดีและฟ้าโปร่ง ทว่าเขากลับรู้สึกว่ามีกลิ่นประหลาดปะปนอยู่ในอาศัย แต่นั่นก็คงแค่คิดไปเอง
สิบนาทีหลังจากนั้น เขาก็มาถึงบาร์เครื่องดื่ม แม้ว่าจะยังไม่ใช่เวลาที่ร้านเปิดแต่ประตูก็เปิดรอไว้อยู่แล้ว โรแลนด์รีบจอดรถก่อนเดินเข้าไปด้านใน
แอร์ภายในบาร์ทำให้โรแลนด์รู้สึกได้คืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ในบาร์นั้นตกแต่งไปด้วยโทนสีเหลืองอ่อน เขาทักทายกับพนังงานสาวสวยที่อยุ่ตรงเคาน์เตอร์ก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้องที่ชั้นสองซึ่งมีตราแพนด้าติดอยู่ตรงหน้าประตู
เสียงเพลงเบาๆกล่อมอยู่ภายในห้อง มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา , ผิวขาว , ตาดำ , ปากแดง และ ฟันขาวใสนั่งอยู่บนเก้าอี้สีเหลือง เขากำลังนั่งลิ้มรสเรดบลูและแตงโมที่อยู่ตรงหน้า
โรงแลนด์นั่งลงตรงข้ามเขาก่อนหัวเราะออกมาเบาๆว่า “เรดบลูและแตงโม….นายจะโด๊ปยาตั้งแต่เช้าเลนรึไง? เมื่อคืนจัดหนักมางั้นหรอ?”
หนุ่มหล่อคนนี้ชื่อว่าชัค พวกเขาเป็นทั้งเพื่อนซี้และเพื่อนบ้านกันตั้งแต่ประถมยันมหาลัย พวกเขาไม่ใช่พี่น้องกันแต่สนิทยิ่งกว่านั้นเสียอีก พวกเขาไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมใส่กัน
ชัควางกระป๋องลงก่อนพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ฉันไม่มีตัวเลือกนี่หว่า การแต่งงานก็เหมือนสุสานของความรัก เซ็กส์ทั้งหมดกลายเป็นภาคบังคับน่ะ หากฉันไม่ได้ทำการบ้านอย่างหนัก ฉันก็ไม่สามารถเข้าเกมได้ทันเวลานี่
ชายหนุ่มหน้าตาดีทุกคนต้องเคยมีประสบปัญหาถูกไล่ตามด้วยหญิงสาวมากมาย ชัคนั้นหน้าตาดีระดับที่ว่าเทียบได้กับดาราดังๆ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นคนที่ไม่ดื่นและไม่สูบบุหรี่ งานอดิเรกของเขาก็มีเพียงแค่เล่นเกมเท่านั้น ดังนั้นผู้หญิงหลายคนจึงเข้าหาเขาไม่หยุด
ภรรยาของชัคนั้นเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น แน่นอนว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นของโรแลนด์ด้วย เธอมีชื่อว่า เฉินหางต้าน ในบรรดาคนที่ตามจีบเขาทั้งหมด เธอเป็นคนที่งดงามและกล้าหาญมากที่สุด
เธอตามจีบชัคมาตั้งแต่ ม.ต้น เธอกระทั่งข่มขู่ครอบครัวตัวเองเพื่อให้พวกเขาส่งเธอไปเรียนมัธยมปลายที่เดียวกับชัค พอจบการศึกษาเธอก็ยื่นต่อมหาลัยที่เดียวกับชัคและอาสาซักเสื้อผ้าให้เขาอีกด้วย
เป็นธรรมดาพวกเขาจะแต่งงานกัน หลังจบออกมา
ชัคเป็นเจ้าของบาร์แห่งนี้ ทว่ากลับเป็นเฉินหางต้านที่เป็นคนดูแลกิจการทั้งหมด เธอรักสามีเธอมากถึงขนาดที่ไม่อยากให้เขาทำงานหนัก
ห้องป้ายแพนด้าคือห้องที่เขาสงวนไว้เป็นพิเศษสำหรับเขาและเพื่อนๆเท่านั้น เขาไม่เคยเปิดสำหรับสาธารณะ
“นายพูดเหมือนกับชีวิตแต่งงานมันยากซะอย่างงั้น”
โรแลนด์รู้ดีว่าชีวิตหมอนี่ค่อนข้างสะดวกสบาย มีงานง่ายๆทำ แม้บาร์จะไม่ได้ทำให้เขาร่ำรวยนัก แต่ชีวิตเขาก็ดีกว่าคนทั่วไปแน่นอน นอกจากนี้ยังมีภรรยาที่แสนดี ที่ทำให้ผู้ชายทุกคนต้องอิจฉา
“จากที่เว็บไซค์ทางการประกาศ เซนต์ซามูไรดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในสามคลาสที่ขี้โกงนี่ นายไปทำอะไรมาถึงเปลี่ยนคลาสได้ไวขนาดนั้น?”
ชัคตอบออกมาด้วยความสับสนว่า “ตอนแรก ฉันก็คิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้ยาก ตัวละครของฉันเป็นนักกวี ฉันไปที่โบสถ์แห่งแสงและเคารพต่อรูปปั้นของเทพธิดาด้วยความสามารถทางภาษา และทันใดนั้นฉันก็ได้รับการเปลี่ยนคลาสในทันที ฉันก็ยังรู้สึกงงๆกับมันอยู่”
“คลาสนี้เป็นยังไงบ้าง?” โรแลนด์ถามออกมาด้วยความสงสัย
ชัคหยิบแตงโมขึ้นมาชิ้นหนึ่งก่อนพูดว่า “ฉันยังไม่ได้ลองสู้กับใครเลย ทว่าอภิสิทธิ์ของคลาสนี้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ผู้คนภายในโบสถ์แห่งแสงพากันตกใจเมื่อเห็นว่าฉันกลายเป็นเซนต์ซามูไร พวกเขามอบอาวุธ ชุดเกราะ และเงิน 20 เหรียญทองให้ฉัน โดยพวกเขาบอกฉันว่าฉันจะได้รับเงินนั้นในทุกๆเดือน
โรแลนด์ถอนหายใจออกมาอย่างสิ้นหวัง สิ่งที่พวกเขาพบเจอต่างกันมากเกินไป เขายังไม่สามารถร่ายเวทย์ได้ด้วยซ้ำ ทว่าเพื่อนของเขากลับเริ่มทำเงินได้แล้ว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ หมอนี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด หมอนี่จะโชคดีไปถึงไหน?
ระหว่างที่โรแลนด์กำลังรู้สึกแย่อยู่ ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก ชายหนุ่มสองคน คนหนึ่งอ้วนคนหนึ่งผอมก็เดินเข้ามา พวกเขาเต็มไปด้วยเหงื่อและนั่งลงโดยไม่ทักทายโรแลนด์และชัค พวกเขาจะไม่ทำอะไรทั้งสิ้นจนกว่าจะได้กินแตงโม
“วันนี้แม้งโคตรร้อนเลย เหมือนไขมันกำลังจะละลายออกมาเลย”
คนที่พูดออกมาคือชายร่างอ้วนชื่อว่า ราฟเฟิล เขาไม่สูงนัก ใบหน้าของเขาอ้วนกลมแลดูน่าขบขัน
“เพราะนายอ้วยเกินไปต่างหาก ฉันยังไม่เหงื่อออกขนาดนั้นสักหน่อย”
ชายร่างผอมตอบกลับมา เขาสูงถึง 183 เซนติเมตร เพราะว่าดูผอมเกินไป เขาเลยดูราวกลับเป็นเสาไฟฟ้า เขาถูกเพื่อนๆเรียกว่า บราซิล เพราะเขาชื่นชอบฟุตบอลทีมชาติบราซิล และมักจะใส่ชุดทีมชาติบราซิลอยู่เสมอ
เขาใช้ชื่อเดียวกันนั้นภายในเกม
โรแลนด์มองออกไปด้านนอกก่อนถามว่า “แล้วลี่หลิน กับ ฮัสเซอเรตล่ะ”
ชัคโบกแขนของเขาก่อนพูดว่า “พวกนั้นติดงานน่ะ กว่าจะว่างก็คงคืนนี้ มาพูดเกี่ยวกับตำแหน่งของพวกเราภายในเกมก่อนดีกว่า”
ราฟเฟิลและบราซิลส่ายหน้าออกมา เพราะพวกเขาไม่สามรถพูดภาษาท้องถิ่นได้ ราฟเฟิลนั้นเล่นเป็นนักรบโล่ ขณะที่บราซิลนั้นเป็นนักธนู ในพวกเขาไม่มีใครที่สามารถร่ายเวทย์ได้เลย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าใจในสิ่งที่ NPC พูด ที่พวกเขารู้ก็มีแค่พวกเขาอยู่คนละเมืองกัน
ชัคเล่าว่า “ฉันอยู่ในเมืองที่ชื่ออิสนัสน่ะ ทว่าก็ไม่รู้ที่ตั้งที่ชัดเจน แต่ว่าถ้าดูจากขนาดแล้วมันน่าจะเป็นเมืองขนาดกลาง”
โรแลนด์บอกสถานที่อยู่ของเขาแก่เพื่อนๆ เมืองเรดเมาน์เทน จากนั้นก็พูดว่า “เกมนี้กว้างมากๆ ดูเหมือนพวกเราจะแยกกันหมดเลย ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือพวกเราควรทำงานด้วยตัวเองกันไปก่อนและค่อยวางแผนอื่นกันเมื่อเราเริ่มชินกับเกมนี้”
ชัคพยักหน้าและพูดว่า “น่าจะเป็นสิ่งเดียวที่พวกเราทำได้ในตอนนี้ล่ะนะ”
หลังเสียงแคร๊กดังขึ้น หลังจากนั้นประตูแคปซูลก็เปิดออก และโรแลนด์ที่อยู่ในชุดนอนก็ซวนเซออกมา เขาตบไปที่หน้าของตัวเองเบาๆและตระหนักว่าตัวเขานั้นตื่นอย่างเต็มที่ ไม่ได้รู้สึกเหมือนว่าเล่นเกมมาทั้งคืนเลยสักนิด
คิดไปคคิดมามันก็สมเหตุสมผล ร่างกายเขาได้พักผ่อนถึง 8 ชั่วโมง มีเพียงแค่จิตใต้สำนึกของเขาเท่านั้นที่อยู่ในเกม ดังนั้นร่างกายของเราก็ไม่ควรเหนื่อยเป็นปกติ
เขามองไปยังแคปซูลเสมือนจริงที่มีรูปทรงไข่ พูดกันตามตรงมันกูน่าเกลียดมาก เหมือนเตียงรูปไข่ ที่มีไฟ LED กระพริบอยู่เล็กน้อย และมีสายไฟอยู่สองเส้นข้างๆหมอน ไม่มีอะไรน่าชื่นชมเลยแม้แต่น้อย
ไม่มีอาหารเหลวหรือสายที่เชื่อมต่อกับระบบประสาทแบบที่นิยายวิทยาศาสตร์ว่าเอาไว้ แต่ทว่าเจ้าแคปซูลนี่ก็สามารถพาเขาเข้าไปยังโลกเสมือนได้
นอกจากนี้เวลาภายในเกมยังต่างจากภายนอกกอีกด้วย โดยหนึ่งชั่วโมงในโลกแห่งความจริงเทียบเท่ากับสามชั่วโมงภายในเกม
เกมเปิดให้เล่นแค่ช่วง 4 ทุ่ม จนถึง 6 โมงเช้าแค่นั้น โดย 8 ชั่วโมงในโลกจริงนั้นเทียบเท่ากับหนึ่งวันในเกม นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเกมถึงหยุดลงในตอนเช้าของวันที่สอง เวลานั้นเป็นไปตามความเป็นจริง
วันนี้เป็นวันเสาร์เขาไม่ได้ไปทำงานในวันนี้ โรแลนจึงออกกำลังกายบนลู่วิ่งราวๆครึ่งชั่วโมง ก่อนไปอาบน้ำ และทานขนมปังและน้ำเปล่าเป็นอาหารเช้า หลังจากนั้นเขาก็เปิดคอมพิวเตอร์และเข้าไปที่บอร์ดสนทนาของเกม
อย่างที่คิดไว้เลย บอร์ดสนทนาแทบระเบิด
แค่ชั่วโมงเดียวก็มีกระทู้เพิ่มเข้ามานับแสน และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โรแลนด์เข้าไปอ่านในบางกระทู้ ชาวเน็ตบางส่วนก็ออกมาชื่นชมเกมนี้ว่าทำได้เหมือนจริงแบบที่โฆษณาเอาไว้ บางส่วนก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเพนกวินคอโปเรชั่นที่มีชื่อเสียงในทางที่ไม่ค่อยดีนัก จะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีอันน่าเหลือเชื่อนี้ออกมาได้
โรแลนด์ก็รู้สึกสงสัยเหมือนกัน ทว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย นี้เป็นเกมเสือนจริงเกมแรกของโลก ดังนั้นแทนที่จะมาสงสัยแหล่งเทคโนโลยีของเพนกวินคอโปเรชั่น เขาเพียงแค่ดูอย่างผิวเผินและหัวเราออกมาอย่างหนักจนน้ำตาแทบร่วง
หลายคนชื่นชมเกมนี้เป็นอย่างมาก บ้างก็บอกว่า NPC ล้วนแล้วแต่ดูมีชีวิตชีวา บ้างก็พูดถึงธรรมชาติที่งดงาม บ้างก็คิดว่าเกมนี้ถูกออกแบบระบบมาเป็นอย่างดี ทว่าก็มีกระทู้หนึ่งที่อยู่บนท็อป และมีจำนวนไลค์และดิสไลค์มากพอๆกัน
ในกระทู้นี้พูดถึงการที่ ผู้เล่นสามารถจีบ NPC ได้ เจ้าของกระทู้นั้นเป็นนักกวีที่พบเห็นได้ยาก พ่อมดนั้นต่างจากคลาสอื่นๆเพราะมีค่าสเน่ห์ที่สูงทั้งยังมีความสามรถทางภาษาที่ทำให้เขาใจในสิ่งที่ NPC พูด
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้โรแลนด์ก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย… ทำไมพ่อมดแค่อ่านชื่อก็ร่ายเวทย์ได้แล้วล่ะในเมื่อจอมเวทย์ต้องมานั่งเชื่อมจุดเวทมนตร์? นี่มันเลือกปฏิบัติกันชัดๆ
อย่างไรก็ตามเขาก็อดทนอ่านมันต่อไป ไม่นานนักเขาก็หัวเราะออกมา
ใช้ประโยชน์จากค่าเสน่ห์และความสามารถทางภาษา ทำให้เขาจีบหญิงสาวได้หลายคนหลังเริ่มเล่นเกม ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้พบกับบางสิ่งที่น่าตกตะลึง เขาพบว่าเขาสามารถมีเซ็กส์กับ NPC ภายในเกมได้ ซึ่งมันทั้งสมจริงและน่าเร้าใจ
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ทำให้โรแลนด์หลุดขำออกมา พวกเขาทั้งสองคนก็ถูกจับได้โดยสามีของผู้หญิง หลังจากนั้นเขาก็โดนสามีของผู้หญิงพร้อมชาวบ้านนับสิบจับตัวเอาไว้
ถึงแม้ว่านักกวีจะเป็นคลาสที่มีความสามารถที่ซับซ้อนและสามารถต่อสู้ได้อย่างดีเยี่ยม ทว่าตอนนั้นเขาเปลือยอยู่ , ไม่มีอาวุธ และเลเวลยังต่ำอยู่อีกด้วย เขาไม่ใช่คู่มือของชายฉกรรจ์นับสิบ หลังจากถูกกำราบลง เขาก็ถูกกดลงพื้นและถูกตัวน้องชายทิ้งด้วยมีดคมกริบ
“เลือดท่วมพื้นไปหมดเลย! มันไม่ได้เจ็บมากขนาดนั้นก็จริง แต่ลองนึกถึงบาดแผลทางจิตใจดูสิ ลองถูกใครบางคนเล็ม “น้องชาย” พวกนายออกทีละนิดด้วยมีดคมๆดูสิ? แค่นึกถึงผมก็ปวดใจแล้ว
ข้อความตอบกลับภายในกระทูล้วนแล้วแต่เป็นอีโมจิรูปหัวเราะล้วนๆเลย
มีผู้เล่นทุกประเภทจริงๆสินะ… โรแลนด์กุมท้องของเขาไว้หลังหัวเราะออกมาอย่างหนัก ในที่สุดเขาก็ปิดกระทู้นั้นลงและเข้าไปที่หัวข้อข้อมูลเสนอแนะ
เป็นธรรมดาที่จะมีกระทู้ไม่มากนักบนหัวข้อนี้ โรแลนด์เลื่อนอ่านบางหัวข้อและพบว่าส่วนมันค่อนข้างไร้สาระ ถ้าเกมปรับตามใจพวกนี้ละก็เกมได้เละแน่ๆ อาทิเช่น บางคนขอให้เปลี่ยนภาษาของทุกเผ่าพันธ์ภายในเกมให้กลายเป็นภาษาจีนเพื่อให้ผู้เล่นสามารถเข้าใจ NPC ได้ง่ายขึ้น
เขานึกภาพนักเวทย์ผมบลอนด์กำลังร่ายเวทย์เป็นภาษาจีน รู้สึกแปลกตาชอบกล
โรแลนด์อ่านต่อไปเรื่อยๆและพบกับบางกระทู้ที่มีประสบการณ์คล้ายๆกับเขา มีผู้เล่นบางคนแนะนำว่าควรลดความยากในการร่ายเวทย์ของนักเวทย์ลง เนื่องจากคลาสอื่นๆสามารถต่อสู้ได้หมดแล้วยกเว้นก็แต่นักเวทย์
นักรบมีพละกำลังที่สูงส่ง โจรมีจุดเด่นที่ความรวดเร็วและสามารถโจมตีระยะไกลได้ พ่อมดก็เป็นนักเวทย์โดยกำเนิด นักบวชไม่จำเป็นต้องต่อสู้และอยู่ภายใต้การปกป้องของนักรบ สิ่งพวกเขาต้องทำคือร่ายเวทย์รักษาเท่านั้น ทว่านักเวทย์ช่างน่าสงสาร เทียบกันแล้วสู้ระยะประชิดก็ไม่ได้ร่ายเวทย์ก็ไม่ได้ หัวพวกเขาจะระเบิดออกทันทีที่เขาร่ายเวทย์ที่เหนือกว่าระดับของตัวเอง
ผู้เล่นที่เป็นหัวหน้ากิลได้แสดงความคิดเห็นในกระทู้นั้นว่า “โดยเฉพาะเวทย์ระดับสอง พวกเขาจะหัวระเบิดทันทีที่พลาด นักเวทย์ในกิลฉันเคยหัวระเบิดกันมาหมดแล้ว บางคนมากกว่าหนึ่งครั้งด้วยซ้ำ พวกผู้หญิงตอนนี้ใกล้จะมีบาดแผลในใจแล้วเนี่ย ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังไม่มีนักเวทย์คนไหนร่ายเวทย์สำเร็จเลย ไปเชื่อลองไปดูที่หัวข้อของผู้ใช้เวทย์ดูสิ ขอร้องหละผู้พัฒนาเกมได้โปรดมอบความหวังให้พวกเราด้วย
โรแลนด์รู้สึกดีขึ้นมากหลังพบว่าตัวเองไม่ใช่คนเดียวที่พบเจอกับประสบการณ์หัวระเบิด เขาออกจากหัวข้อคำแนะนำและเข้าไปยังหัวข้อผู้ใช้เวทย์ อย่างที่เขาคิดไว้ ผู้เล่นที่เป็นนักเวทย์ต่างพากันคร่ำครวญอยู่ที่นี่
พวกเขาบ่นเกี่ยวกับความทุกข์ใจและความเศร้าหมองที่พวกเขาได้รับเมื่อโดนแรงสะท้อนจากเวทมนตร์ หัวระเบิดอาจจะดูเป็นวิธีการตายที่ไม่แย่นัก แต่เชื่อเถอะว่ามันเป็นการตายที่เลวร้ายมาก ตาที่กระเด็นออกจากเบ้า และเหลือดที่ไหลนองออกมา แม้ว่าความเจ็บปวดจะถูกลดลงเหลือเพียง 1 ใน 10 แต่มันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก
โรแลนด์อ่านกระทู้ในหัวข้อนี่อยู่พักใหญ่ ก่อนจะพบว่า ยังไม่มีนักเวทย์คนไหนเลยอ้างตัวว่าพวกเขาร่ายเวทย์สำเร็จแล้ว ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งพ่อมดกำลังเยาะเย้ยหรือบ้างก็เชียร์ให้พวกเขาลบตัวละครทิ้งและมาเล่นพ่อมดแทน
คงปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ…โรแลนด์นำดิสก์แบบพกพาเชื่อมไปยังแคปซูลและนำการทดลองของเขาบางส่วนออกมาและโพสถ์รูปของโครงสร้างทั้งสี่ของเวทมนตร์ลงไป และตั้งชื่อกระทู้ว่า “ประสบการณ์ของโรแลนด์ในการใช้บอลเพลิงนรก”
ชาวบ้านหลายคนรีบขึ้นมายังภูเขาพร้อมคบเพลิงเพื่อมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขารู้สึกตกใจกับสิ่งที่พวกเขาเห็นเป็นอย่างมาก ภาพต้นไม้กำลังถูกเผาไหม้ ชายหนุ่มประหลาดที่ชื่อโรแลนด์นอนกึ่งตายอยู่บนพื้นพร้อมยิ้มกว้างไปบนท้องฟ้า
หน้าของเขาทั้งดำและแดง เต็มไปด้วยรอยพุพอง ผมส่วนใหญ่ของเขาถูกเผาจนหมด
รอบตัวของชายหนุ่มเต็มไปด้วยเพลิงสีฟ้าสด ซึ่งยังคงไม่หายไปแม้จะอยู่บนพื้นทราย
พวกชาวบ้านรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนช่วยเหลือพวกเด็กทั้งสามที่อยู่ในเมือง พวกเขากำลังจะเข้าไปช่วยเหลือทันใดนั้นหอลเคิลก็รีบห้ามพวกเขาและพูดว่า “ไฟสีฟ้าพวกนั้นคือเวทมนตร์มันจะกลืนกินทุกสิ่งที่มันสัมผัส เจ้าจะกลายเป็นผุยผงภายในสองนาทีหากแตะต้องมันเข้า
ฟอคเคิลเป็นนักบวชที่น่ายกย่องภายในเมืองเรดเมาน์เทนแห่งนี้ ชาวบ้านจึงเชื่อฟังคำพูดเขาโดยปราศจากคำถามใดๆ
ทันทีที่ฟอลเคิลเตือนออกไป พวกชาวบ้านก็ไม่กล้าแม้แต่ขยับตัว
ฟอลเคิลโบกมือของเขาและพูดว่า “ไม่มีอะไรร้ายแรงที่นี่ พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะเรียกพวกเจ้าเองถ้าข้าต้องการความช่วยเหลือ”
พวกชาวบ้านรีบสลายตัวอย่างรวดเร็ว พวกเขาเป็นแค่คนธรรมดา เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะหวาดกลัวกับบางสิ่งเช่นเวทมนตร์หรือภูตผี และจะยินดีเป็นอย่างยิ่งถ้าได้อยู่ห่างจากพวกมัน
หลังจากนั้นไม่นาน ก็เหลือเพียงฟอลเคิลอยู่ ณ ที่เกิดเหตุ
เมื่อมองไปยังเปลวเพลิงสีฟ้าที่กระจัดกระจายอยู่ เขาก็ไม่ได้ฝืนเดินเข้าไป ถึงแม้เขาจะเป็นนักบวช แต่เขาก็ไม่กล้าดูถูกเปลวเพลิงพวกนี้ ในสายตาเขาเพลิงพวกนี้สามารถเผาเขาให้เป็นเถ้าถ่านได้เช่นเดียวกัน
เขาจับจ้องไปยังชายหนุ่มที่ดูไหม้เกรียม ทว่ากลับกำลังยิ้มอย่างมีความสุข เขาถอนหายใจออกมาด้วยความอิจฉา เขารอเฉยๆเกือบ 20 นาที จนกระทั่งเปลวเพลิงพวกนั้นหายไปเนื่องจากพลังเวทย์ที่อยู่ภายในหมดลง
หลังจากนั้น ฟอลเคิลก็เดินเข้าไปใกล้โรแลนด์และร่ายเวทย์รักษาและความชำนาญทางภาษาให้แก่เขา เสาแสงสีขาวคลอบคุมไปยังชายหนุ่มและสว่างไสวไปโดยรอบ
“มันคุ้มค่ารึเปล่า”
“ครับมันคุ้มค่ามาก” การรักษาไม่ได้ออกผลในทันทีมันค่อนข้างใช้เวลาอยู่เล็กน้อย ทว่ามันก็ยังคงเร็วกว่าการฟื้นตัวตามธรรมชาติ ร่างกายของโรแลนด์ทั้งระบมและอ่อนแรงไปหมด แต่เมื่อความเจ็บปวดถูกลดเหลือเพียง 1 ใน 10 มันก็แค่รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเท่านั้น เมื่อได้ยินคำถามของฟอลเคิล โรแลนด์ก็ตอบกลับไปโดยไร้คำลังเลว่า “การเปิดเผยจุดเวทมนตร์ก็ไม่ต่างอะไรจากการค่อยๆเปิดกระโปงของเทพธิดาแห่งโชคชะตาทีละนิด มันทำให้รู้สึกเสียวซ่านไปทั้งตัวเลย”
ค่อก , ค่อก… ฟอลเคิลไอออกมาอย่างหนัก ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นสาวกของเทพธิดาแห่งชีวิต แต่เขาก็นับถือในเทพองค์อื่นๆด้วยเช่นกัน คำพูดของโรแลนด์เป็นการดุหมิ่นอย่างชัดเจน เขาทำได้แค่แกล้งเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่โรแลนด์พูด
แต่แน่นอน ถ้าโรแลนด์เปรียบเทียบประสบการของเขาเป็นการเปิดกระโปรงของเทพธิดาแห่งชีวิตละก็ฟอคเคิลคงไม่สามารถใจเย็นได้ขนาดนี้
“ขอโทษที่ทำลายกำแพงโบสถ์คุณไป” โรแลนด์เงยหน้ามองไปยังฟอลเคิลขณะนอนอยู่บนพื้น ไม่ใช่เขาชอบแหงนหน้ามองคนอื่นแต่ว่าตอนนี้เขาไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้น “พักก่อนเถอะ ข้าเรียกร้องค่าตอบแทนแน่ แต่ในตอนนี้เจ้าไม่มีเงินไม่ใช่รึ”
“มันก็แค่กำแพง…โบสถ์ก็โทรมมากอยู่แล้ว ข้าวางแผนไว้นานแล้วหละว่าจะปรับปรุงมัน” ฟอลเคิลหลังกลับไปและมองไปยังกำแพงที่ถูกทำลาย เปลือกตาเขาสั่น ไม่ใช่เพราะเสียใจเรื่องกำแพง ทว่าเขาตกใจกับพลังของเวทมนตร์ต่างหาก เขาบอกได้ทันทีว่าโบสถ์ไม่ใช่เป้าหมายของการโจมตี มันเป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่ผนังก็ยังถูกทำลายลง มันไม่ยากที่จะคาดเดาถึงอานุภาพของเวทมนตร์บทนั้น
โรแลนด์เรียนรู้การควบคุมพลังเวทย์ภายในสองชั่วโมง ใช้เวลาเพียงครึ่งวันเพื่อวาดแผนผังเวทมนตร์ และถึงขั้นทำให้เวทมนตร์ทรงพลังขึ้นจากการจำลองเวทย์ได้ “อัจฉริยะ” ก็ไม่เพียงพอที่จะอธิบายความรู้อันไม่น่าเชื่อของเขาได้ ที่สำคัญเขายังคงเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่ม
โรแลนด์ใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นว่าฟอลเคิลไม่ได้โกรธ อย่างไรก็ตามฟอลเคิลได้ช่วยเขาไว้เยอะมาก ถ้าทำให้ฟอลเคิลโกรธเข้า เขาต้องรู้สึกแย่แน่ๆ…. โรแลนด์วางแผนไว้ในใจว่า ครั้งหน้าเขาควรจะหาพื้นที่โล่งๆสำหรับฝึกเวทมนตร์
ฟอลเคิลนั่งลงข้างๆโรแลนด์และพูดออกมาว่า “ลูกชาย ร่างกายเจ้ายังฟื้นตัวได้ไม่มาก ทำไมเราไม่คุยกันสักหน่อยละ?”
“เป็นความคิดที่ไม่เลว” โรแลนด์เห็นด้วยกับข้อเสนอ เพราะว่านอนอยู่บนพื้นเฉยๆนั้นน่าเบื่อมาก “เราจะพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไรล่ะ”
ฟอลเคิลมองตรงไปยังพระจันทร์แล้วพูดว่า “มาคุยกันเกี่ยวกับมิติของเจ้ากัน”
หลังจากลังเลอยู่สักพัก โรแลนด์ก็พูดว่า “ผมไม่สามารถเล่าให้คุณฟังได้มากนัก เพราะก่อนที่เราจะมาที่นี่ เราได้ทำข้อตกลงว่าจะไม่เผยแพร่รายละเอียดของมิติที่เราจากมา”
ในตอนนี้ โรแลนด์ไม่รู้เลยว่าไม่เพียงแต่ทำข้อตกลงเท่านั้นแต่มันยังมีระบบตรวจจับอัตโนมัติอีกด้วย ที่จะตรวจจับชื่อของสิ่งที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งถูกระบุและปิดบังเอาไว้ เช่น โทรศัพท์ และ คอมพิวเตอร์
ฟอลเคิลยิ้มออกมา “ช่างน่าเสียดาย แต่ข้าสงสัยเกี่ยวกับโลกของเจ้าจริงๆ ถ้างั้นทำไมไม่ให้ข้าเล่าประสบการณ์การผจญภัยในตอนหนุ่มของข้าให้เจ้าฟังละ?”
“ผมจะตั้งใจฟังเป็นอย่างดีเลย”
โรแลนด์ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆฟอลเคิลถึงพูดเรื่องในวัยหนุ่มของเขาขึ้นมา ทว่ามันก็ค่อนข้างน่าสนใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันช่วยฆ่าเวลาได้ดี อีกส่วนเป็นเพราะประสบการณ์ของฟอลเคิลอาจจะเป็นประโยชน์เมื่อเขาออกจากเมืองนี้ไป
ด้วยเสียงที่ช้าและมั่นคงของชายชรา เขาเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่เขายังเห็น ,คนที่เขาแอบชอบคนแรก ,ความฝันของเขา ,ความสิ้นหวัง ,ความยินดี และความดื้อรั้น… ราวกับม้วนหนังสือชีวิตของชายชราถูกกางออกตรงหน้าเขา
ไม่ว่าใครก็ตามต่างสนใจในชีวิตของคนอื่น โรแลนด์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แม้เรื่องราวในชีวิตของเขาจะได้ยิ่งใหญ่ แต่เขาก็ยังคงมีเรื่องราวที่โดดเด่นและน่าสนใจ
คนหนึ่งเล่า คนหนึ่งฟัง ค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว และในเวลาไม่นานรุ่งเข้าก็มาถึง ต้องขอบคุณเวทย์รักษาที่ช่วยให้เขาฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วและสามารถที่จะลุกขึ้นมานั่งได้ เมื่อดูจากความเร็วในการรักษาเขาน่าจะกลับมาแข็งแรงได้เร็วๆนี้
“เรื่องมันก็เป็นแบบนั้นหละ และข้าก็กลายมาเป็นสาวกของเทพธิดาแห่งชีวิตและย้ายมาอยู่ในเมืองเรดเมาน์เทน”
พระอาทิตย์เริ่มขึ้นมาแล้ว แสงสีส้มสาดส่องมาจากทางทิศตะวันออก เมื่อโบสถ์ตั้งอยู่ในทิศเดียวกัน มันก็สาดแสงสีทองมาทางพวกเขา
ฟอลเคิลทำท่าจะลุกขึ้น แต่ทันใดนั้นเขาก็หยุดนิ่งราวกับเวลาถูกแช่แข็งไว้ โรแลนด์รู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก ก่อนจะพบว่าเขาเองก็ไม่สามารถขยับร่างกายได้เช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้นโลกทั้งใบก็หยุดนิ่งลงและแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวดำ
“ขณะนี้เกมหมดเวลาให้บริการแล้ว กรุณารอเปิดอีกครั้งในเวลาต่อไป”
เมื่ออ่านข้อความแจ้งเตือนตรงหน้าจบ โรแลนด์ก็ออกจากเกม แม้จะไม่ค่อยพอใจก็ตาม
ความตื่นเต้นของโรแนด์ไม่ใช่เรื่องแปลก ใครๆก็อยากจะเลือกสกิลและนำเข้ามาใช้อย่างง่ายดายภายในเกม ทว่าความยากในการเรียนรู้การร่ายเวทย์ในเกมนี้เหนือความคาดหมายเขาไปมาก
และนี่ก็แค่เวทมนตร์ระดับหนึ่ง ส่วนเวทย์ระดับสองหัวเขาจะระเบิดทันทีที่พลาด โรแลนด์จำได้ดีถึงแผนภาพที่เต็มไปด้วยจุดเนืองแน่น ในตอนที่เขาพยายามจะร่ายความเข้าใจทางภาษาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เขารู้สึกอยากจะบ้าตาย
แล้วเวทย์ระดับสาม , สี่ และ ห้าหละ? มันจะมีจุดจำนวนเท่าไหร่ที่ผู้ร่ายต้องทำเรียนรู้และทำความเข้าใจ?
โรแลนด์นอนลงไปบนเตียงด้วยความท้อแท้ พระอาทิตย์เริ่มตกดินแล้ว กระท่อมของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเงาของต้นไม้บนภูเขา เมื่อต้นไม้ถูกลมพัดปลิวไสว จุดแสงก็สาดส่องเข้ามาลงบนพื้นภายในเงา
โรแลนด์มองไปยังทิวทัศน์ที่สวยงามจากทางหน้าต่าง ฟังเสียงของลมและเสียงร้องของนก ธรรมชาติคือสิ่งเยียวยาจิตใจได้ดีที่สุด อารมณ์ของโรแลนด์ค่อยๆดีขึ้น เขายืนขึ้นและกลับไปวาดโครงสร้างด้วยไม้ของเขา
ในเมื่อจุดเวทมนตร์ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เขาอาจจะสามารถสร้างระบบพิกัดเพื่อช่วยในการจดจำตำแหน่งได้ จอมเวทย์ฝึกหัดนั้นจำเป็นต้องร่ายคาถาเพื่อร่ายเวทย์ระดับต่ำ โรแลนด์คาดเดาว่าการร่ายคาถาไม่ได้มีไว้เพื่อเพิ่มพลังเวทย์ ทว่ามันมีไว้ช่วยจำเส้นทางของจุดเวทย์
ถ้าอย่างนั้นจะดีกว่าไหม ถ้าเขาอ่านจุดเหล่านั้นเป็นพิกัด?
โรแลนด์ทำสัญลักษณ์พิกัดของจุดเวทย์และเริ่มคิดอย่างหนัก เขาสร้างพิกัดแบบพื้นฐานที่ประกอบด้วยแกน x , y และ z และตัวเลข แน่นอนเพื่อความแม่นยำในแต่ละจุด โรแลนด์จึงแบ่งโครงสร้างออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆกัน
ตอนนี้เริ่มมืดแล้ว เขากำหนดหมายเลขของจุดทั้งหมด ก่อนจะเข้าไปพักในกระท่อม เขาดมกลิ่นของอาหารที่เขาเหลือไว้จากมื้อกลางวันและก็พบว่ามันไม่แย่นัก เขาเริ่มกินมันอีกครั้ง เขาค่อนข้างหิวหลังจากใช้ความคิดอย่างหนังตั้งแต่ช่วงบ่าย
ขณะที่กำลังทานมื้อเย็น เขาไม่ได้ทันสังเกตว่าฟอลเคิลเดินมาดูตรงโครงสร้างทั้งสี่ส่วนที่เขาวาดไว้ ชายชราสังเกตุมันครู่หนึ่งและพูดอย่างชื่นชมว่า “นี่มันรายระเอียดต่างๆที่แสดงถึงรูปแบบจุดของเวทมนตร์ ถึงแม้ว่าที่วิเคราะห์อยู่นี่จะเป็นเวทย์ระดับต่ำสุด ทว่าเจ้าโครงสร้างทั้งสี่นี้ก็มีมูลค่ากว่าสิบเหรียญทองแล้ว นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าอัจฉริยะ”
ฟอลเคิลเดินกลับไปยังโบสถ์โดยที่มือทั้งสองข้างไขว้หลังไว้ เขาเป็นนักบวช เขารู้ดีว่าโครงสร้างเวทมนตร์นั่นมีค่ามาก ทว่าเขาก็ไม่ได้สนใจ เขาเพียงแค่มาเฝ้าดูว่าโรแลนด์ทำอะไรไปถึงไหนแล้วเท่านั้น
หลังจากทานข้าวเย็นอย่างเร่งรีบ โรแลนด์ก็กลับมาทำโครงสร้างต่อ เขาบันทึกโครงสร้างทั้งสี่และจุดต่างๆไว้ด้วยฟังก์ชั่นภาพถ่ายของระบบ อย่างไรก็ตาม ความจำของคนเรานั้นมีจำกัด แต่ภาพถ่ายนั้นต่างออกไป เพียงแค่เขาดึงภาพจากแคปซูลเสมือนจริงไปไว้ในในดิสก์แบบพกพา มันก็อยู่ไปตลอดจนกว่าเขาจะลบมันทิ้ง
“ถ้าเพียงแค่ระบบมีโปรแกรมจำลองโครงสร้างละก็…” โรแลนด์พึมพัมออกมาและเขียนข้อมูลลงบนสมึกบันทึกของระบบ “เริ่มทดลองจากเส้นนี้ก่อนละกัน”
X23, Y1, Z56… Z55 ผิดพลาด
หัวของโรแลนด์เจ็บปวดไปหมด หลังจากเขาเริ่มฟื้นฟู เขาก็บันทึกถึงสาเหตุของความผิดพลาดลงบนสมุด : จุด A และ จุด B ไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้
X23… Z47, ผิดพลาด, สาเหตุ: มีจุดที่เชื่อมต่อกันเยอะเกินไป ทำให้เส้นทางเวทย์ระเบิดออก
X23… Z11, ผิดพลาด, สาเหตุ: จุดเชื่อมต่อกันเร็วเกินไป
X23… Z12, ผิดพลาด, สาเหตุ: จุด C และ จุด D ไม่สามรถเชื่อมต่อกันได้
X23… Z09, สำเร็จ!
มองดูลูกบอลไฟสีส้มขนาดเท่าไข่ไก่กำลังลอยไปด้านหน้าอย่างช้าๆและค่อยๆสลายหายไป โรแลนด์กำหมัดแน่นพร้อมตะโกนออกมาด้วยความยินดี
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เริ่มระงับความตื่นเต้นและจดเส้นที่สำเร็จลงบนสมุด พร้อมกับโน้ตไว้ว่า: สามารถร่ายบอลไฟขนาดเล็กได้ แต่มันอ่อนแอและช้าเกิดกว่าจะไปใช้ในการต่อสู้
หลังจากนั้นโรแลนด์ก็เริ่มทดสอบเส้นอื่นๆต่อและพบว่ามันสำเร็จมากกว่าล้มเหลว ทว่ามันก็ยังคงเป็นแค่บอลไฟขนาดเล็กที่ไม่น่าพึงพอใจทั้งพลังและความเร็ว บางครั้งพวกมันก็รุนแรงและมีสีฟ้าซึ่งมีอุณหภูมิพื้นผิวมากกว่าสองพันดรีกรี แต่ว่ามันช้ามากๆช้าขนาดที่เด็กยังหลบได้สบาย บ้างก็เร็วแต่ไม่เสถียร พวกมันพุ่งตรงไปหลายเมตรทันทีหลังร่ายออกมาก
เส้นมากมายถูกจดลงบนสมุดของโรแลนด์ และมีไฮไลท์อยู่ตรงจุดสำคัญหลายจุด
สูตรทางคณิตของบอลเพลิงนรกถูกสร้างขึ้นแล้วในขั้นต้น สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการตัดส่วนที่ไม่สำเร็จและพิสูจน์ต่อไป โรแลนด์มั่นใจว่าเขาจะหาเส้นที่ดีที่สุดได้หลังจากการทดลองอีกไม่กี่ครั้ง
ทว่าเขาก็ไม่ควรมองโลกในแง่ดี เพราะอุบัติเหตุมักจะเกิดเมื่อมองโลกในแง่ดีเกินไป
มันเป็นคืนที่ฟ้าโปร่งและสว่างไสว โรแลนด์ได้ทดสอบเวทย์ของเขาอยู่หลังโบสถ์ เพราะบอลไฟที่สำเร็จของเขาไม่ได้ลอยไปไกลนัก เขาจึงลดการระมัดระวังตัวลงและคิดว่าบอลเพลิงนรกคงไม่ได้ทรงพลังมากนัก ทว่าเมื่อเขาเชื่อมต่อเส้นใหม่ได้เสร็จสิ้น เขาก็ตระหนักว่าเจ้าสิ่งนี้มันอยู่เหนือการควบคุมของเขา
โรแลนด์รู้สึกว่าพลังเวทย์ภายในร่างถูกสูบออกไปอย่างบ้าคลั่งและลดปริมาณลงอย่างรวดเร็ว บอลเพลิงก่อนหน้านี้ใหญ่สุดก็แค่กำปั้น แต่ว่าตรงหน้าเขาไม่เพียงแต่จะมีสีน้ำเงินเพียงเท่านั้นแต่ยังใหญ่โตยิ่งกว่าอ่างน้ำ
มันคงจะไม่เหมาะที่จะเรียกมันว่าบอลไฟขนาดเล็กในเมื่อมันใหญ่ขนาดนี้
พลังเวทย์ของโรแลนด์เกือบถูกใช้ไปทั้งหมดกับบอลเพลิงยักษ์ลูกนี้ มันสูญเสียการควบคุมจากผู้สร้าง ก่อนจะพุ่งไปยังโบสถ์
เมื่อเห็นท่าทางไม่ดี โรแลนด์เลยรีบตะโกนแจ้งเตือน ทันใดนั้นบอลเพลิงก็หยุดลง ก่อนขยายขนาดเป้นสามเท่า ก่อนจะควบแน่นกันจนเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่ส่องแสงแสบตาและส่งเสียงทำลายแก้วหู
การระเบิดนั้นรุนแรงถึงขั้นทำให้โรแลนด์หูอื้อไปชั่วขณะ แสงสว่างวาบนั้นกินเวลาแค่ช่วงวิเดียวก่อนที่เปลเพลิงที่ไร้ที่สิ้นสุดจะพุ่งออกไปและชนเข้ากับพื้นที่โดยรอบ พร้อมกับสร้างคลื่นอันหน้าหวาดกลัวไปบนอากาศ
โรแลนด์ที่ยืนห่างจากการระเบิดราวๆ 6 เมตร ปลิวออกไปไกลกว่า 3 เมตร โดยไม่แตะพื้น ในที่สุดเข้าก็ทรงตัวได้หลังจากปลิวไปอีกกว่า 5 เมตร เขารู้สึกราวกับถูกชนโดยรถบรรทุก ทั่วทั้งร่างของเขาโดยเฉพาะใบหน้าต่างโดนไฟครอก แม้ว่าความเจ็บปวดจะถูกลดลงเหลือเพียง 1 ใน 10 แต่ว่าเขาก็ยังคงรู้สึกราวกับว่ามีใครราดน้ำมันเดือดๆลงบนแก้มของเขา
ต้นไม้ที่อยู่ห่างจากการระเบิดประมาณสิบห้าเมตร ล้มลงกับพื้นจากแรงระเบิด จากนั้นไฟจากเวทมนตร์ก็ร่วงลงไปบนกิ่งไม้และเผาไหม้จนกลายเป็นเสาเพลิงขนาดใหญ่
กำแพงด้านหลังของโบสถ์พังไปกว่าครึ่ง
เสียงของการระเบิดอันน่าหวั่นเกรงดังไปถึงเมืองเรดเมาน์เทนที่อยู่เชิงเขา ผู้คนในเมืองต่างตื่นขึ้นด้วยเสียงกรีดร้อง , เสียงก่นด่า , เสียงตะโกน , เสียงร้องไห้ และเสียงเห่าหอนของสุนัข ในเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวายไปหมด
ท้ายที่สุด โรแลนด์ก็จัดการมื้อนี้เสร็จอย่างลำบากด้วยส้อมและมีด แม้ว่าเขาจะรู้สึกยินดีกับของขวัญที่ชาวบ้านเตรียมไว้ให้เขา แต่พูดตรงๆ อาหารนั้นไม่ได้รสชาติดีนัก มันน่าจะสุกเกินและมีอะไรผิดเพี้ยนในสูตร
สเต็กปลากับเห็ด และ ไก่ฟ้ากับมะเขือเทศนึ่ง…. โรแลนด์คงจะคว่ำโต๊ะทิ้งแน่ๆถ้ามันมาเสิร์ฟในร้านอาหารจริงๆ ทว่าเมื่อเขาอยู่ในเกม เขาก็ต้องรับกับมันให้ได้
นอกจากนี้ส้อมและมีดยังทำมาจากไม้ มันทื่อจนทำให้โรแลนด์รู้สึกลำบากในมื้ออาหารแสนสุขของเขา อันที่จริงแล้วภายในเกมนี้มีเพียงแค่ผู้มีอิทธิพลและเหล่าขุนนานเท่านั้นที่จะมีมีดและส้อมเหล็ก
แม้กระทั่งจานยังทำจากไม้ มันคาดเดาถึงความยากจนของเหล่าผู้คนที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ได้ไม่ยาก ครอบครัวของเด็กสามคนนั้นคงต้องพยายามอย่างมากในการทำมื้ออาหารอันยอดเยี่ยมให้โรแลนด์
หลังจากมื้อเที่ยง ดีบัฟอ่อนแรงของโรแลนด์ก็หายไป โรแลนด์รู้สึกกระฉับกระเฉงและเต็มไปด้วยพลังงานอีกครั้ง
มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาด เมื่อตอนเขาอยู่ในสถานะอ่อนแรง ราวกับทั้งร่างถูกปิดไว้ด้วยม่าน ทว่าเมื่อสถานะอ่อนแรงหายไป ไม่เพียงแต่ม่านนั้นจะหายไป แต่ทุกอย่างกลับดูสว่างไสวยิ่งกว่าเดิมราวกับมีสปอตไลท์ส่องลงมายังบนโลก
ตอนนี้อารมณ์ของเขาดีขึ้นมาก และสบายใจขึ้น โรแลนด์เริ่มสังเกตกระท่อมของตัวเองด้วยความสนใจ ภายในตัวบ้านมีพื้นที่ราวๆ 30 ตารางเมตร นอกจากเสาหลักของตัวบ้านที่ทำจากไม้แล้ว บ้านทั้งหลังถูกสร้างขึ้นจากหญ้าแห้ง แม้กระทั่งพื้นของตัวบ้านก็ยังทำมาจากหญ้า
หญ้าแห้งเป็นสีเหลืองทองและยังคงมีกลิ่นของแสงอาทิตย์ ในความเป็นจริงบ้านแบบนี้คงดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก ทว่าที่นี่มันก็เป็นเพียงแค่กระท่อมธรรมดา
ตู้เสื้อผ้าและเตียงก็เรียบง่าย พวกมันประกอบจากแผ่นไม้หลากหลายแผ่นและมีกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของงานไม้อยู่
โรแลนด์รู้สึกขอบคุณพวกชาวบ้านเป็นอย่างมาก เขาคงต้องเสียเวลาเป็นวันถ้าเขาต้องสร้างมันขึ้นมาเอง ทว่าพวกชาวบ้านกลับทำเสร็จภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
ตอนนี้เขาก็มีที่พักแล้ว โรแลนด์จึงไม่รีบร้อนไปที่เมืองอีกแต่อย่างใด เขาตัดสินใจจะอยู่ที่นี่และหางานเพื่อเลี้ยงชีพก่อน เขาคงจะยังไม่ออกเดินทางไปไหนจนกว่าจะคุ้นชินกับเวทย์ทั้งสามของเขาก่อน
นอกจากนี้เขาอาจจะถูกฆ่าอีก ถ้าพบกับสัตว์ประหลาดแบบเจ้าแมงมุมยักษ์นั้น
โรแลนด์นอนพักอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปทางด้านหลังของโบสถ์ เพื่อฝึกร่ายเวทย์
เขาเรียกหนังสือเวทมนตร์จากระบบ และมองไปที่เวททั้งสามของเขา
บอลเพลิงนรก (เวทย์ระดับ 1)
มือเวทมนตร์ (เวทย์ระดับ 0)
ความเข้าใจทางภาษา (เวทย์ระดับ 2)
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะเปิดใช้งานบอลเพลิงนรก เหมือนกับครั้งแรกที่เขาใช้ความเข้าใจทางภาษา วงกลมประหลาดที่เต็มไปด้วยจุดสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นมาหัว จุดเริ่มต้นนั้นดูเหมือนว่าจะใหญ่กว่าจุดอื่นๆ กำลังกระจายเส้นสีแดงไปยังจุดอื่นๆ
เหมือนกับครั้งแรก เส้นสีแดงแตกออกหลักจากสั่นอยู่ครู่หนึ่ง ต่างกันตรงที่ผลกระทบเบากว่าครั้งที่แล้วมาก หัวของเขาไม่ได้ระเบิดออก เขายังคงมีชีวิตอยู่มีเพียงแค่อาการปวดหัวเล็กน้อย
“เกมนี้แม้งโคตรสมจริง น่าท้าทายมาก” โรแลนด์ช่วยไม่ได้ที่จะวิจารณ์ออกมา “แล้วนักเวทจะอยู่กันยังไงละเนี่ย ถ้าแม้งร่ายเวทย์ยากขนาดนี้?”
แต่ก็ทำได้เพียงแค่บ่น สุดท้ายเขาก็ทดลองซ้ำอีกหลายครั้ง มีครั้งหนึ่งที่อาการปวดหัวหายไป แต่ก็ยังไม่สำเร็จอยู่ดี ผ่านไปกว่าสิบนาทีความพยายามของเขาก็ยังคงล้มเหลว
หลังจากร่ายเวทย์ซ้ำๆนับสิบครั้ง จมูกของโรแลนด์ก็เริ่มจะมีเลือดไหลออกมา ทว่าโรแลนด์กลับเพียงแค่ปิดจมูกและหัวเราะออกมาเบาๆ เป็นเรื่องจริงสินะที่เขาว่ากันว่าความล้มเหลวเป็นมารดาของความสำเร็จ ถึงแม้ว่าเขาจะยังร่ายเวทย์ไม่สำเร็จ ทว่าเขาก็ได้ค้นพบสิ่งที่คาดไม่ถึง
ทันใดนั้นรัศมีอันสว่างไสวก็ปรากฏขึ้นเหนือหัวของโรแลนด์และครอบคลุมตัวเขา ในไม่ช้าความเจ็บปวดในหัวของเขาก็ถูกบรรเทา เขาหันหลังกลับไปก็พบกับฟอคเคิลกำลังเดินเข้ามาอย่างช้าๆ
“ขอบคุณครับ” โรแลนด์โบกมือไปให้ชายชรา
ฟอคเคิลเดินเข้ามาใกล้โรแลนด์ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ทว่าภายในใจเขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาสามารถบอกได้ว่าทันทีว่าโรแลนด์นั้นทั้งฉลาดและเกิดมาเพื่อเป็นนักเวทย์โดยแท้ ทว่าศักยภาพของชายตรงหน้าก็ยังคงเหนือกว่าที่เขาจินตนาการไว้
โดยทั่วไปแล้วแล้ว นักเวทย์ส่วนมากจะต้องพักมากกว่า 3 วัน หากพวกเขาร่ายเวทย์พลาด 2-3 ครั้งติดต่อกัน ไม่อย่างนั้นสมองพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บ ทว่าชายหนุ่มคนนี้พลาดไปกี่ครั้งกันแล้ว? ไม่ต่ำกว่า 15 ครั้งแน่นอน เท่าที่เขาเห็น ทว่าเขาก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังถึงแม้ว่าเลือดกำเดาเขาจะไหลอยู่ก็ตาม
พวกบุตรทองคำเป็นสัตว์ประหลาดแบบนี้กันหมดรึเปล่า?
“เจ้าพบอะไรบ้างไหม?” ฟอลเคิลระงับความตกใจของตนไว้ ก่อนถามออกมาด้วยเสียงต่ำ
“ผมรู้แล้วว่าเวทมนตร์คืออะไร”
โรแลนด์กางแขนออกมา และบอลโปร่งแสงก็ปรากฏขึ้นบนมือของเขา มันดูสวยงามมาก
“พลังงานเวทย์ธาตุไฟ” ฟอลเคิลพึมพำออกมาอย่างอิจฉาและปรารถนา แต่ไม่นานนักเขาก็ระงับอารมณ์ตัวเองลงได้ “ตอนนี้เจ้าเข้าใจเกี่ยวกับพลังเวทย์แล้ว คงจะอีกไม่นานที่จะสามารถร่ายเวทย์ได้”
ทว่าโรแลนด์กลับถอนหายใจออกมา “มันมีจุดมากเกินไปในคาถา ผมคงไม่สามารถจำได้หมดแม้ว่าจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้ก็ตาม นอกจากนี้จุดที่ต่างกันก็ให้ผลลัพธ์กับเวทมนตร์ต่างกัน”
ความผิดพลาดของเขาไม่เพียงแต่สอนวิธีการใช้เวทมนตร์ให้แก่เขา แต่ว่ามันยังช่วยทำให้เขารู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างจุด ทว่าปัญหามันคือมันมีจุดมากเกินไป และมันก็ยังยากที่จะคุมการไหลเวียนของพลัง ซึ่งยิ่งทำให้การร่ายเวทย์ยากยิ่งขึ้นไปอีก
ฟอลเคิลหันกลับไป เขาไม่ต้องการจะอยู่ตรงนี้อีกต่อไป สิ่งสุดท้ายที่คนธรรมดาอยากจะเห็นก็คงเป็นอัจฉริยะที่เติบโตอย่างรวดเร็วจนพวกเขาต้องอิจฉา ทว่าตามคำสอนของเทพธิดาแห่งชีวิต ความริษยานั้นเป็นบาป
แม้ฟอลเคิลจะเดินจากไปแล้ว แต่เสียงเขาก็ยังคงลอยมาจากที่ไกลอย่างเศร้าสร้อย
“นักเวทย์ฝึกหัดนั้นต้องเริ่มจากท่องบทเวทย์เพื่อร่ายเวทย์”
โรแลนด์แข็งทื่อไปในทันทีราวกับถูกฟ้าผ่า เขาเข้าใจแล้ว
เขาหยิบกิ่งไม้และเริ่มวาดตำแหน่งของจุดต่างๆบนพื้น เขาสังเกตมันอย่างตั้งใจอยู่สักพัก ก่อนจะเริ่มนับจำนวนจุดทั้งหมด เขาเริ่มเข้าใจมันแล้วในตอนแรกแต่หลังจากนั้นเขาก็เงียบไป ในท้ายที่สุดเขาก็โมโหออกมา
เขาโยนแท่งไม้ทิ้งก่อนก่นด่าไปบนท้องฟ้าว่า “ไอพวกหัวกรวยเอ้ยยย นี่มันสูตรคณิตไม่ใช่รึไง? มันจำเป็นรึไง? ที่แกต้องทำออกมาให้ซับซ้อนขนาดนี้? ฉันแค่ต้องการเล่นเกม! พวกแกเกลียดอะไรนักเวทย์กันแน่?”
โรแลนด์คืนชีพขึ้นมาอีกครั้งที่แท่นบูชา ณ โบสถ์ของเทพีแห่งชีวิต เปลือยเปล่าอีกครั้ง แต่เขารู้สึกสงบมากกว่าครั้งที่แล้ว เขาเปิดระบบขึ้นมาแล้วพบว่าเขาได้รับดีบัพอ่อนแอเป็นเวลา 2 ชั่วโมง
ในเกมทั่วไปนั้น ดีบัฟจะมาแสดงผลในการลดค่าสถานะต่างๆ เพื่อให้ผู้เล่นต้องหยุดรอจนกว่าจะหมดเวลา แต่เกมนี้ไม่ใช่อย่างนั้น
ในตอนนี้ โรแลนด์รู้สึกราวกับว่าไม่สามารถขยับตัวได้ เข้าหอบหายใจอยู่บนแท่นบูชา สักพัก้ขาก็ลุกขึ้น
ไม่มีใครอยู่ในโบสถ์ มีเพียงแค่โรแลนด์อยู่คนเดียว เขายิ่งรู้สึกสบายใจขึ้นไปอีก เขานั่งลงบนเก้าอี้เพื่อพักสักครู่ ก่อนจะเผลอหลับไป
หลังจากนั้นสักระยะหนึ่ง ประตูของโบสถ์ก็ถูกเปิดออก ฟอลเคิลเดินเข้ามาพร้อมกับเสื้อผ้าสีขาว เขาไม่ได้ประหลาดใจที่เห็นโรแลนด์อยู่ในสภาพเปลือยอีกครั้ง
โรแลนด์ตื่นขึ้นมาโดยเสียงรบกวน เขารีบนำมือไปปิดส่วนลับของเขาไว้ ทว่าเขาก็ผ่อนคลายลงเมื่อพบว่านั่นคือฟอลเคิล
ฟอลเคิลร่ายความชำนาญทางภาษาเขาอีกครั้งและยื่นเสื้อผ้าให้เขา จากนั้นเขาก็พูดว่า “สวมมันซะสิ เจ้าลูกชาย”
โรแลนด์สังเกตุไปยังเสื้อผ้าที่เขาได้รับ มันเป็นชุดคลุมชาวสีน้ำเงินใสมีแถบเรืองแสงไหลเวียนอยู่บนชุด มันไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน จนเขาอดวิจารณ์ไปไม่ได้ว่า “นี่ต้องเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์แน่ๆ”
“ใช่แล้ว” ฟอลเคิลยิ้มออกว่าก่อนพูดว่า “มันเคยเป็นชุดของข้าสมัยเป็นทหารรับจ้างน่ะ มันสามารถช่วยพัฒนาผลของเวทมนตร์ได้เล็กน้อย แม้ว่ามันจะเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ แต่มันก็ไม่ได้มีค่ามากนัก ข้าเพียงแค่เก็บมันไว้เป็นความทรงจำ”
“ผมไม่สามารถรับมันไว้ได้” โรแลนด์ส่ายหน้า
ฟอลเคิลยิ้มออกมา “แต่เจ้าไม่มีชุดแล้วนิ”
โรแลนด์รู้สึกว่ามันก็สมเหตุสมผล ดังนั้นเขาจึงรับชุดคลุมนี้ไว้ก่อนจะเริ่มสวมใส่มัน มันพอดีตัวเขาอย่างน่าประหลาด หลังจากสวมเสื้อผ้าเสร็จ เขาก็รู้สึกมึนหัวขึ้นมาอีกครั้งและล้มลงบนเก้าอี้
“เกิดอะไรขึ้น?” ฟอลเคิลสามารถบอกได้ว่าโรแลนด์ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก
“ผมแค่เหนื่อยจากการคืนชีพติดต่อกันนะ” โรแลนด์พูดออกมาอย่างขมขื่น
ฟอลเคิลเงียบไปสักพัก และพูดออกมาว่า “ขอบคุณที่ช่วยเหลือพวกเด็กๆนะ”
โรแลนด์พูดอย่างประหลาดใจว่า “คุณรู้แล้วงั้นหรอ?”
“ทำไมจะไม่ล่ะ ไม่อย่างนั้นข้าจะมาที่ทำไม” ฟอลเคิลยิ้มออกมา “เด็กสามคนนั้นวิ่งกลับไปพร้อมน้ำตา ถึงคำอธิบายจะไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว แต่พวกเขาก็พยายามจะบอกพวกเราว่าพวกเขาพบเข้ากับเจ้าแมงมุมยักษ์และได้เจ้าช่วยสละชีวิตเพื่อช่วยเหลือพวกเขาไว้”
โรแลนด์พบว่ามันมีอะไรแปลกๆ “ถิ่นของพวกแมงมุมอยู่ไม่ไกลจากเมืองนัก ทำไมคุณถึงไม่จัดการพวกมันให้หมดเสียล่ะ? ไม่งั้นพวกมันอาจจะกลายเป็นภัยพิบัติร้ายแรงได้ถ้ามันบุกมาที่เมือง”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ฟอลเคิลก็ตอบกลับมาอย่างขมขื่น “พวกแมงมุมยักษ์เหล่านั้นเป็นสัตว์ประหลาด คนธรรมดาไม่สามารถเอาชนะมันได้ นอกจากนี้ มันยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก มีเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นจึงจะสามารถกำจัดมันได้ แต่ปัญหาก็คือข้าเป็นผู้เชียวชาญเพียงคนเดียว ณ เมืองเรดเมาน์ และข้าก็ถนัดด้านการรักษามากกว่าการต่อสู้”
ชายแก่ทำท่าทางราวกับว่าช่วยไม่ได้ จริงๆแล้วมีกรณีที่แมงมุมยักษ์สังหารผู้คนราวๆนับสิบเหตุการณ์ต่อปี และเหยื่อส่วนมากจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่จะค่อนข้างวิ่งได้เร็วกว่าและบ่อยครั้งนักที่จะสามารถหนีรอดมาได้ แต่เหล่าเด็กน้อยไม่ได้โชคดีขนาดนั้น
“ถ้าฉันสามารถใช้เวทมนตร์ได้ละก็ การต่อสู้ก็คงไม่ยากมานัก” โรแลนด์รู้สึกค่อนข้างโกรธที่เขาพลาดในการขยี้เจ้าแมงมุมนั่นในตอนที่เขาสามารถทำได้ “คุณช่วยสอนผมเกี่ยวกับเทคนิคในการใช้เวทให้ผมหน่อยได้ไหม?”
ฟอคเคิลจ้องไปที่โรแลนด์สักพักและยิ้มออกมา เขาเคยมีความมุ่งมั่นแบบเดียวกันตอนเขายังหนุ่ม ทว่าความทะเยอทะยานก็ไม่สามารถชดเชยความไร้ความสามารถของเขาได้ ทว่าชายหนุ่มตรงหน้าเขาต่างออกไป เขาสามารถรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนที่ฉลาดและได้รับการศึกษาที่เพรียบพร้อม
“มีผู้ใช้เวทย์อยู่ 3 ประเภท ข้าคือนักบวช ส่วนเจ้าจอมเวทย์ นอกจากนี้ก็ยังมีพวกพ่อมด ข้าไม่สามารถสอนสิ่งที่ซับซ้อนให้เจ้าได้ เพราะถึงอย่างไร ข้าก็เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญระดับล่างเท่านั้น” ฟอลเคิลพูดออกมาช้าๆ “ทว่า ข้าสามารถสอนเกี่ยวกับพื้นฐานได้ ในการร่ายเวทนั้น นักเวทย์ต้องเชื่อมจุดเวทมนตร์ ยิ่งเชื่อมได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งใช้เวลาร่ายน้อยลงเท่านั้น เจ้าควรเริ่มจากเวทพื้นฐานก่อน เพื่อให้หัวของเจ้าระเบิดออกจากแรงสะท้อนของเวทมนตร์เมื่อเจ้าพลาด”
ฟอลเคิลชี้ไปที่หัวของตัวเองอย่างหยอกเย้า
โรแลนด์หัวเราะออกมาเล็กน้อย นั่นเป็นประสบการณ์ที่น่าอายมาก
“เจ้าควรออกไปหาอะไรกินก่อน แล้วค่อยมาเรียนรู้เวทมนตร์ในภายหลัง” ฟอลเคิลชี้ไปยังทางออกและพูดว่า “โดยปกติคนเราจะอ่อนแอเมื่อท้องว่าง”
โรแลนด์รู้สึกอยากกินอะไรสักอย่าง ตอนนี้เขาหิวมากๆ เกมนี้สมจริงแม้กระทั่งการจำลองความรู้สึกหิว ทว่าเขาก็ยิ้มขมขึ้นมาและพูดว่า “ผมไม่มีเงินเลย”
“ถ้าปล่อยให้ผู้กล้าของพวกเราหิวโหย คงเป็นความน่าอับอายของพวกเราชาวเรดเมาน์เทน” ฟอลเคิลช่วยพยุงเขาและพาตัวเขาออกไป โรแลน์ประหลาดใจที่ชายชรามีแรงมากขนาดนี้ แม้ว่าเขาจะดูเหมือนคนแก่ใกล้ตายก็ตาม
หลังจากกพวกเขาออกมาจากโบสถ์ โรแลนด์ก็ประหลาดใจอีกครั้งที่พบกระท่อมเล็กๆถูกสร้างไว้ข้างๆกับโบสถ์ มันไม่ได้กว้างขวางนัก แต่มันก็มีทั้งเตียง , ตู้เสื้อผ้า , โต๊ะ , เก้าอี้ และฟอร์นิเจอร์อื่นๆ บนโต๊ะนั้นมีอาหารร้อนๆวางอยู่บนจานไม้
กลุ่มคนนับสิบต่างเพศต่างอายุต่างมายืนรออยู่ตรงทางลงเขา มีเด็กที่ดูคุ้นๆอยู่ด้วย โรแลนด์ก็จำเด็กพวกนั้นได้และโบกมือไปทางพวกเขา ทันใดนั้นพวกชาวบ้านทั้งหมดก็ก้มหัวลงให้แก่เขา โดยเฉพาะเด็กสามคนนั้นก้มลงจนหัวเกือบจะแตะพื้นอยู่แล้ว
โรแลนด์ถึงกับมึนงง
ฟอลเคิลตบที่หลังของโรแลนด์เบาๆก่อนพูดว่า “เจ้าสมควรได้รับมัน”
“พวกเขาล้วนแต่ยากจนและไม่มีเงินมากนัก พวกเขาทำได้แค่ตอบแทนโดยการสร้างกระท่อมและทำอาหารบางอย่างให้คุณเท่านั้น อย่าจู้จี้ไปนักเลย”
พระอาทิตย์ตอนเที่ยงกำลังแผดเผา โรแลนด์ไม่รู้ว่าควรอธิบายความรู้สึกนี้ยังไงดี เขาได้แต่ยิ้มและแตะไปที่หลังหูของตัวเอง
หลังจากตอบแทนเขา ชาวบ้านก็เดินจากไป ฟอลเคิลช่วยพาโรแลนด์เข้าไปยังกระท่อมและนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนเขาจะเดินออกไป
โรแลนด์มองอาหารที่อยู่บนโต๊ะ ที่กำลังอุ่นๆ แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็บ่นออกมาอย่างเสียมิได้ว่า “ไม่มีตะเกียบหรอ….ฉันไม่ถนัดใช้ส้อมและมีดเลย”
โรแลนด์เป็นแฟนคลับของหนังลึกลับและหนังสยองขวัญ เขาเคยจินตนาการมากมายว่าเขาจะทำอย่างไรเมื่อเจอกับสัตว์ประหลาดหรือผี
ในจินตนาการของเขา เขาทั้งกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว แม้ว่าจะเจ็บหนักขนาดได้แต่เขาก็ยังคงสามารถดิ้นรนหลบหนีออกมาได้
ทว่า เมื่อเขาได้เจอมันตัวเป็นๆ เขาก็รู้ตัวว่าสิ่งที่เขาจินตนาการไว้ก็เป็นเพียงแค่ความฝันไร้สาระที่ถูกค้อนที่เรียกว่าความจริงทำลายลงอย่างง่ายดาย
และนอกจากนี้สิ่งที่เขาพบก็ไม่ใช่ค้อนแห่งความจริง มันเป็นเพียงแค่เกมเท่านั้น
เจ้าแมงมุมยังไม่เห็นตัวโรแลนด์ ถ้าโรแลนด์ต้องการหนี เขาน่าจะรอดไปได้ แต่เมื่อเขาเห็นเด็กสามคนที่กำลังร้องและสั่นไปด้วยความกลัว เขาก็พบว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะวิ่งหนีไป
คนเราสามารถมีข้ออ้างเป็นหมื่นที่จะอ่อนแอ ทว่ามีเพียงเหตุผลเดียวที่จะกล้า
โรแลนด์นั่งยองๆและพบเข้ากับก้องหินและเศษไม้ เขาบิดปลายของเศษไม้ให้แหลมขึ้น
“ฉันเป็นผู้เล่น และนี่มันก็แค่เกม ไม่จำเป็นต้องกลัวไป”
โรแลนด์พึมพำกับตัวเอง ทันใดนั้นเองเจ้าแมงมุมก็พุ่งเข้าชนกับต้นไม้อีกครั้ง แม้ว่าจะอยู่ห่างออกมาหลายสิบเมตร แต่เขาก็เห็นเปลืองไม้กำลังจะแตกหัก และ รู้สึกถึงพื้นดินที่สั่นไหว
เด็กทั้งสามกำลังจะล่วงลงมาพวกเขาดูหวาดกลัวมาก พวกเขากรีดร้องและตะโกนออกมาทั้งน้ำตาและน้ำมูกที่ไหลเวียนออกมาเลอะอยู่เต็มหน้า ไม่มีอะไรจะน่าสงสารไปกว่านี้อีกแล้ว
เขาไม่สามารถรอได้อีก
โรแลนด์กำหินแน่นก่อนขว้างออกไป และตะโกนออกมา “เจ้าสัตว์ประหลาด มาทางนี้สิ”
ถึงแม้โรแลนด์จะขว้างไม่แม่นนัก แต่ตัวของแมงมุมก็ใหญ่เกินกว่าที่เขาจะพลาดเป้าได้ หินชนเข้ากับร่างกายของมันเกิดเป็นเสียงโลหะ ก่อนที่มันจะกระเด็นไปทางอื่น
เมื่อสัมผัสได้ถึงการโจมตีจากทางด้านหลัง แมงมุมยักษ์ก็ขยับขาทั้ง 8 และหมุนตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว
โรแลนด์ถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเห็นหน้าตาอันน่ารังเกียจของมัน ดวงตาสีแดงนับร้อยของมันทับซ้อนกันอยู่บนหัว ถ้ามีผู้ป่วยโรคกลัวรูเห็นเข้าละก็คงสูญสิ้นความกล้าที่จะสู้กับมัน
ที่น่าหวาดไปผวาไปยิ่งกว่านั้นคือ เคียวคู่หนึ่งที่งอกอยู่ระหว่างปากของมัน มันดูทั้งยาวและคม และมีหนามแหลมๆติดอยู่ตรงปลาย มันจินตนาการได้ไม่ยากเลยว่าบาดแผลที่เคียวนั่นสร้างมันจะเลวร้ายขนาดไหน
มันเป็นธรรมดาของสัตว์นักล่า
โรแลนด์มีความคิดที่จะใช้เวทมนตร์ เขาจำได้ว่านอกเหนือจากความชำนาญทางภาษา เขายังมีเวทระดับ 1 อยู่อีกสองบท ชื่อว่า “บอลเพลิงนรก” และ “แขนเวทมนตร์” ที่เขาได้รับมันมาตอนสร้างตัวละคร
ทว่าถ้าเขาพลาด หัวของเขาก็อาจจะระเบิดอีกครั้ง โรแลนด์ทิ้งความคิดนี้ไป ถ้าเกิดเขาตายก่อน คงไม่มีใครช่วยเด็ก 3 คนนี้แน่
เจ้าแมงมุมยักษ์มองไปที่โรแลนด์สักพักหนึ่ง ก่อนหันกลับไปชนต้นไม้อีกรอบ เด็กๆก็เริ่มกรีดร้องออกมาทันที
โรแลนด์ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาสูดลมหายใจเข้าและตรงไปยังเจ้าแมงมุมที่ดูเหมือนจะดูไม่สนใจที่เขาเข้าไปใกล้มันเลยแม้แต่น้อย โรแลนด์ยกกิ่งไม้ขึ้นก่อนจะตีไปที่ข้อต่อตรงขาขวาสุดของมัน
เขารู้ว่าเจ้านั่นมีร่างกายที่แข็งแกร่งจากการขว้างหินไปก่อนหน้า ดังนั้นเขาจึงเลือกโจมตีไปที่ข้อต่อแทน จากความเข้าใจทางชีวภาพของเขา ข้อต่อถือว่าเป็นจุดอ่อนสำหรับสัตว์ส่วนใหญ่
แท่งไม้ตีเข้าไปที่ข้อต่อของแมงมุมอย่างหนักหน่วง โรแลนด์รู้สึกประหลาดใจที่พบว่าตัวเขาดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิด ขนาดผู้ใช้เวทย์อย่างเขาที่มีความแข็งแกร่งอยู่เพียง 5 จุด เขานึกไม่ออกเลยว่าพวกนักรบจะแข็งแกร่งขนาดไหนด้วยค่าความแข็งแกร่งเริ่มต้น 10 จุด
ของเหลวสีเขียวกระเด็นออกมาจากขาของเจ้าแมงมุมยักษ์เมื่อมันถูกตี มันกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจและโกรธแค้น มันหมุนตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว และใช้เคียวสีดำสนิทจู่โจมไปยังศัตรู
อย่างไรก็ตามโรแลนด์ได้เตรียมตัวมาก่อน เขารีบกระโดดถอยหลังทันทีที่เห็นเจ้าแมงมุมหมุนตัวมา เขากระโดดออกมาได้ไม่ไกลนัก เพราะเขาไม่ใช่คลาสนักรบที่เต็มไปด้วยความว่องไว เขี้ยวทั้งสองข้างมันมันเจาะทะลุขาของเขาและยึดเขาไว้กับพื้น
มันเจ็บมาก….แต่ยังพอทนไหว ยังไงเขาก็เหลือความเจ็บปวดเพียง 1 ใน 10 เท่านั้น
เจ้าแมงมุมตัวมหึมาคร่อมไปยังตัวของโรแลนด์และลากเขาไป เหลือทิ้งไว้เพียงรอยเลือดทางยาวบนพื้น
เมื่อเห็นว่ามันล่าเหยื่อได้สำเร็จ มันก็อ้าปากออกอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นเอง โรแลนด์ก็นำไม้แทงเข้าไปที่ปากของเจ้าแมงมุมเพื่อขัดมันไว้ หลังจากนั้นก็ตะโกนไปทางต้นไม้ “ลงมาเร็วเข้าและวิ่งหนีไป”
เขาพูดจบเพียงเท่านั้น เพราะเจ้าแมงมุมยกตัวเขาขึ้นก่อนจะทุบเขาลงกับพื้นสองครั้งติด เพราะความเจ็บปวดอย่างรุนแรง เขาเลยเริ่มรู้สึกมึนหัวเกินกว่าที่จะพูดอะไรได้อีก
เด็กทั้งสามปีนลงมาจากต้นไม้ตกใจเล็กน้อย เด็กชายสองคนกรีดร้องและวิ่งหนีไปในทันที ทว่าเด็กผู้หญิงร่างผอมบางกลับเดินไปหยิบกิ่งไม้เพื่อจะต่อสู้ แม้จะสั่นอย่างช่วยไม่ได้ก็ตาม
โรแลนด์ตะคอกด้วยความโมโหเมื่อเห็นเธอ “ยัยเด็กบ้า วิ่งหนีไปซะ!”
เด็กคนนั้นรู้สึกสับสนเมื่อได้ยินโรแลนด์ตะคอกใส่ หลังจากนั้นเธอก็ทิ้งแท่งไม้และเริ่มวิ่งหนีไปพรางร้องไห้ไปพราง โรแลนด์รู้สึกสบายใจที่เห็นเธอลับสายตาไป สำหรับผู้เล่นการตายก็ไม่นับว่าเป็นอะไร แต่ทว่าสำหรับเด็กผู้หญิงถ้าเธอตาย เธอต้องหายไปอย่างแน่นอน
เขาจำได้ว่า ตามที่เกมได้โฆษณาเอาไว้ว่า NPC ทุกตนล้วนแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พวกเขามีชีวิตเป็นของตัวเอง พวกเขาสามารถเติบโตและแก่เฒ่าได้ พวกเขาสามารถประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวได้ เมื่อพวกเขาตาย พวกเขาจะไม่กลับมาเกิดใหม่
นี่ฉันพึ่งช่วยชีวิตไปใช่ไหม? โรแลนด์ยิ้มให้กับตัวเองขณะที่เจ้าแมงมุมยักษ์ยังคงยกตัวเขาและทุบลงไปกับพื้นซ้ำไปซ้ำมาถึง 5 รอบด้วยกัน จากนั้นร่างจิตสำนึกของเขาก็ถูกแยกออกมาจากร่างกาย
สำหรับมุมมองบุคคลที่ 3 เขาเห็นเจ้าแมงมุมฉีกร่างกายของเขาทิ้ง เลือดกระจายไปเต็มพื้น ถึงอย่างนั้นโรแลนด์ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธ เพราะเขารู้ดีว่าเจ้าแมงมุมจะอยู่ได้อีกไม่นาน ยังไงซะเจ้าแมงมุมก็ไม่สามารถกินอะไรได้จนกว่าจะจัดการไม้แหลมที่อยู่ในปากมันได้
ความตายกำลังรอมันอยู่
ทันใดนั้นเองก็มีข้อความปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา ‘คุณอยู่ไกลจากจุดเกิดที่ใกล้ที่สุดมาก คุณต้องการวาร์ปไปที่จุดเกิดหรือไม่’
โรแลนด์เลือกตกลง
เดินมาจากทางยอดเขาลงมาตามเส้นทางใช้เวลาทั้งหมด 10 นาทีเท่านั้น มีหลายคนกำลังยืนรอต้อนรับเขาอยู่ด้วยรอยยิ้มที่ตกขบขัน บ้างถึงขั้นทำมือเพื่อแสดงถึงรูปทรงและขนาดของอวัยวะบางอย่างของโรแลนด์ ซึ่งเรียกเสียงหัวเราจากรอบข้างได้อย่างดี
หน้าของโรแลนด์ร้อนผ่าว ทว่าเขาแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรและเดินผ่านพวกเขาไป เขารู้สึกได้ว่าเขายังคงถูกมองอยู่ แม้ว่าจะเดินห่างออกมาหลายเมตรแล้วก็ตาม
นี่มันไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีสำหรับผู้เล่นใหม่แน่นอน
ถ้าหากมันเกิดขึ้นในโลกจริงละก็ เขาก็คงต้องลงทุนย้ายไปเมืองอื่น แต่นี่มันในเกม…. แม้ว่าจะน่าอายไม่ต่างกันก็เถอะ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเมื่อพบว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงแค่ NPC
ทว่า การตอบสนองของคนเหล่านี้ล้วนแต่สมเหตุสมผล อย่างที่เกมได้กล่าวไว้เลย NPC ทุกคนต่างเป็นเหมือนคนจริงๆ
ระหว่างเดินไปเรื่อยๆ โรแลนด์ก็พบว่าชาวบ้านต่างวิ่งวุ่นอยู่รอบตัวเขา บ้างก็เดินอย่างเร่งรีบ บ้างก็วุ่นอยู่กับเครื่องใช้ และบางคนก็กำลังแบกหามสัมภาระให้ผู้อื่น
พวกเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่ดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป พวกเขาทั้งหมดมีผิวที่ดำคล้ำอยู่ในชุดลินิน บ้างก็มีหญิงสาวผิวขาวเดินอยู่บนถนน
เทียบกับพวกเขาแล้ว โรแลนด์น่าจะดูประหลาดที่สุด
ถึงแม้ว่าเขาจะสวมเสื้อผ้าลินินสีเทาน้ำตาลเหมือนคนอื่นๆ ทว่าด้วยผิวของเขาที่ขาวยิ่งกว่าหญิงสาวเหล่านี้เสียอีก แทบจะบอกได้เลยว่าเขาไม่เคยผ่านความลำบากมาก่อน
ดังนั้นคนอื่นๆต่างจ้องมองมาที่เขาในทุกๆที่ที่เขาเดินผ่าน
โรแลนด์ไม่สนใจสายตาของคนอื่น และเดินไปถึงยังสะพานในที่สุด เขาจำเส้นทางภายในเมืองในอย่างคร่าวๆเมื่อตอนที่เขามองลงมาจากทางยอดเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องไปถามทางคนอื่น
สะพานหินที่กว้างและตรงยาว ทั้งสองข้างมีทะเลสาบที่ส่องแสงระยิบระยับ เมื่อลมชื้นจากทางทะเลสาบพัดขึ้นมาสัมผัสกับหูของเขา เขารู้สึกราวกับว่าบินได้
โรแลนด์อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปดูทะเลสาบ คลื่นน้ำกระเพื่อมราวกับพลอยไพลินเมื่อมองจากด้านบน เขาอาจจะมองเห็นทะเลสาบทั้งหมดเมื่อมองลงมาจากยอดเขา แต่ตอนนี้เขายืนอยู่บนสะพาน ทะเลสาบดูราวกับไร้ที่สิ้นสุด
เรือที่อยู่ห่างออกไป ชาวประมงต่างหว่านอวนไปพลางร้องเพลงไปพลาง
เมื่อเดินถึงอีกฝั่งเขาเห็นเข้ากับเด็กสามคน ชายสองคน หญิงหนึ่งคน อายุราวๆ 7 ปี แต่ละคนกำลังหิ้วตะกร้า อยู่ในชุดที่เต็มไปด้วยรอยปะ เด็กพวกนั้นกระโดดมาที่หลังของโรแลนด์
ชี้นิ้วมาทางโรแลนด์พร้อมหัวเราะ
ในตอนนั้น ความชำนาญทางภาษายังไม่หมด โรแลนด์ยังเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาพูด
“แม่บอกว่าเขาชอบแก้ผ้าหละ”
“ปู่ของฉันบอกว่า เขาอาจจะมีอะไรผิดปกติที่หัว”
“พ่อบอกว่าเขาพยายามล่อลวงผู้หญิง แต่ล่อลวงนี่อะไรกันหละ”
โรแลนด์หันกลับไปมองเด็กๆอย่างช่วยไม่ได้
ว้าว…..
เด็กๆรีบวิ่งไปที่อีกฝั่งของสะพานราวกับว่ากลัวเขาจะทำร้าย ก่อนที่พวกเขาจะทำหน้าเยาะเย้ยเขาอย่างสบายใจ
อารมณ์เที่ยวชมเมืองของเขาถูกทำลายลงด้วยเด็กพวกนี้ โรแลนด์ถูมือของเขาเข้าด้วยกันและเดินต่อไป เด็กทั้งสามเริ่มวิ่งออกไปไกลจนเขามองไม่เห็นแล้ว
เกวียนลากำลังข้ามสะพานผ่านมาทางนี้ ตอนแรกโรแลนด์กะขอโบกรถเพื่อติดไปด้วย แต่แล้วเขาก็ยอมแพ้ เมื่อสังเกตเห็นอุจจาระและของแปลกถูกขนอยู่ บนเกวียนนั้นมันดูน่าขยะแขยงเกินไป
หลังจากข้ามสะพานเสร็จ โรแลนด์ออกจากเมืองและเดินไปตามทางชนบท เขาบอกได้เลยว่าถนนนั้นมีทั้งหลุมทั้งบ่อและขรุขระถึงแม้ว่าเขายังใส่รองเท้าอยู่ก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นเขาค่อนข้างคุ้นชินกับถนนลาดยางมะตอยในเมืองมากกว่า ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเหนื่อยไม่น้อยกับการเดินบนเส้นทางนี้
แต่น่าแปลก เขาไม่รู้สึกเหนื่อยอีกต่อไปหลังเดินต่อเกือบชั่วโมง
อาจจะเพราะว่า นี่เป็นตัวละครในเกม โรแลนด์พยายามคิดถึงความเป็นไปได้
เมืองเรดเมาน์เทนถูกทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ เสียงรอบข้างเริ่มเงียบลงเรื่อยๆ ถัดจากถนนไปเป็นป่า เขาเห็นเกวียนลาเป็นบางครั้งหลังเดินออกมาจากเมือง แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาได้ยินมีเพียงเสียงลมกระทบกับใบไม้ เสียงร้องประหลาดของนกแปลกๆ มันยิ่งเพิ่มความอ้างว้างให้แก่ป่าเป็นอย่างดี
หลังจากโรแลนด์ข้ามเนินเขา ต้นไม้รอบข้างเขาก็เปลี่ยนเป็นต้นเมเปิ้ล เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกนอกจากเสียงของลม ไม่มีกระทั่งเสียงของแมลง โรแลนด์จำได้ว่านี่เป็นถิ่นของแมงมุมขนาดยักษ์
เจ้าแมงมุมพวกนั้นจะใหญ่เท่าไหร่กันเชียว? โรแลนด์ค่อนข้างรู้สึกสงสัย แต่ทว่าเขาก็ต้องยอมแพ้กับความคิดนี้ กำหนดการของเขาคือไปยังเมืองและหาผู้เล่นคนอื่น นอกจากนี้ในเมืองน่าจะมีระบบขนส่งที่ดีกว่า เขาน่าจะหางานและข้อมูลต่างๆได้ง่ายขึ้น เขาควรอยู่ในเมืองจนกว่าจะรวบรวมเงินได้เพียงพอแล้วค่อยย้ายไปยังเมืองอื่นหลังจากเจอเพื่อนๆของเขา
ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว แสงแดดเริ่มแผดเผา โรแลนด์นั่งหลบอยู่ในร่มเงาของต้นไม้ และตัดสินใจพักสักครู่
เมื่อเขานั่งลงแล้ว จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้เบาๆ
ไม่มีใครอยู่ตรงถนน และรอบข้างก็เงียบสงบเป็นอย่างมาก โรแลนด์มองไปรอบๆแต่ก็ไม่พบอะไรมีเพียงแค่ต้นไม้และใบไม้หลากสีเท่านั้น
เขายิ้มออกมาเบาๆและคิดว่าตัวเองคงจะหูฝาดไป เพราะตรงนี้ไม่มีใครอื่นเลยนอกจากเขา นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเล่าผีออกมาแน่ๆ
เอนตัวพิงไปกับต้นไม้ โรแลนด์ใช้มือข้างหนึ่งพัดใส่ตัวเขาและนั่งฟังเสียงร้องของลมอย่างสงบสุข ทว่าไม่กี่วิถัดมาเขาก็รีบกระโดดพุ่งไปในป่า
เขาได้ยินเสียงกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง แม้มันจะดูเบาบางแต่เขาก็รู้สึกคุ้นๆกับเสียงนี้ ทันใดนั้นเขาก็นึกได้ว่ามันน่าจะเป็นเสียงร้องของเด็กหนึ่งในสามคนที่ล้อเลียนเขาเมื่อชั่วโมงก่อน น่าจะเป็นเสียงของเด็กผู้หญิง เพราะเสียงของเธอแหลมเป็นอย่างมาก
เด็กทั้งสามคนอยู่ทางด้านหน้าของเขา
แมงมุมยักษ์ เด็กน้อย…. เป็นไปได้รึเปล่าว่า?
เสียงกรีดร้องชัดขึ้นทันทีที่เขาพุ่งเข้าไปในป่า ไม่นานนักเขาก็พบกับเงาสลัวอยู่ใต้ต้นไม้ กลิ่นเหม็นจากใบไม้เน่าลอยคลุ้งไปทั่ว นอกจากนี้ยังมีใยสีขาวขึงติดอยู่กับราก
ทันใดนั้นเองเสียงร้องของเด็กๆก็ดังขึ้นอยู่ไม่ไกล
โรแลนด์รีบวิ่งผ่านต้นเมเปิ้ลแปลกๆที่สูงกว่าสองเมตรไป และพบเข้ากับฉากสุดขนลุก
เด็กสามคนอยู่บนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ และแมงมุมยักษ์กำลังเขย่าต้นไม้อยู่ด้านล่าง หลังจากเขย่าไปไม่กี่ครั้งต้นไม้ก็เริ่มสั่นไหว ขณะที่เด็กๆที่อยู่ด้านบนต่างหวีดร้องด้วยความหวาดกลัว
เจ้าแมงมุมนี่มันตัวใหญ่ขนาดไหนกันแน่? อย่างน้อยๆก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 1.5 เมตร เมื่อพิจารณาจากขาของมันคงกว้างไม่ต่ำกว่า 2 เมตร เป็นแน่
บ้าเอ้ย… ยังไงโรแลนด์ก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาอยู่ดี ขาของเขาสั่นจนไม่สามารถควบคุมได้เมื่อเขาได้เห็นสัตว์ประหลาดที่ไม่คาดฝัน
เขาเดินตามชายชราออกมาจากโบสถ์ แสงอาทิตย์ไม่ได้รุนแรงมากนักในตอนเช้า แต่มันก็ทำให้เขาต้องหลับตาเมื่อเผชิญหน้ากับมัน
ไม่กี่วิต่อมา โรแลนด์ก็คุ้นชินกับแสง เขาลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เขาเห็นคือท้องฟ้าโปร่ง มันดูไม่เหมือนกับสังคมปัจจุบันที่กว่าครึ่งถูกปกคลุมไปด้วยมลพิษ
ด้านล่างท้องฟ้านั้นมีทะเลสาบที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่ซึ่งเต็มไปด้วยใบไม้สีดำ เมื่อสังเกตดีๆ โรแลนด์ก็พบว่ามันคือเรือขนาดเล็ก
สิ่งก่อสร้างมากมายต่างขนาดและสีสันอยู่บริเวณทะเลสาบ ในสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นเต็มไปด้วยผู้คน ราวกับกลุ่มมด
มีสะพานขนาดใหญ่ตั้งขวางไว้อยู่กลางทะเลสาบ ทำให้ทะเลสาบถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
โรแลนด์หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปและรับฟังเสียงลมจากบนยอดเขา รู้สึกสงบมาก ผ่านไประยะหนึ่งเขาก็พูดกับชายชราว่า “ที่นี่ถูกเรียกว่าเรดเมาน์เทนงั้นหรอ มันควรถูกเรียกว่าเมืองแห่งทะเลสาบมากกว่า
คิ้วของฟอลเคิลกระตุกลงเหมือนกับว่าเขาไม่พอใจนัก “มันไม่ใช่ชื่อที่ดี…. โรแลนด์ เจ้าวางแผนที่จะทำอะไรต่อไป”
ไม่ใช่ชื่อที่ดี? เพราะว่ามันฟังดูไม่ดี หรือเพราะเหตุผลอื่น?โรแลนด์ครุ่นคิดแต่เมื่อสังเกตุเห็นว่าฟอลเคิลท่าทางไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เขาก็เลือกที่จะไม่ถามต่อไป โรแลนด์ค่อนข้างยกย่องผู้ผลิตเกมนี้ที่สร้างทั้งฉากและเหล่า NPC ที่ดูมีชีวิตชีวาได้ขนาดนี้
ยิ่งไปกว่านั้นเกมนี้เลียนแบบสัมผัสของมนุษย์ได้อย่างแม่นยำ ยกเว้นก็แต่ความเจ็บปวดที่ลดเหลือเพียง 1 ใน 10 แต่ก็อย่างว่าถ้ามันถูกสร้างมาเสมือนจริงตอนที่ถูกทำร้ายหรือถูกฆ่ามันคงทรมานน่าดู คงมีเพียงแค่พวกมาโซคิสต์เท่านั้นแหละที่จะรับไหว
โรแลนด์คิดถึงเกี่ยวกับคำถามนั้นสักพัก ก่อนจะตอบกลับไปอย่างไม่แน่ใจว่า “เดินทางและเที่ยวเล่น น่าจะนะ”
ฟอลเคิลมองไปยังโรแลนด์ด้วยความประหลาดใจ ตาที่เกือบจะปิดของเขาขยายขึ้น “เรียบง่ายถึงเพียงนี้? ไม่ใช่ว่าเจ้าควรมีความฝันอันยิ่งใหญ่ อาทิเช่น การช่วยโลก , กำจัดปีศาจร้าย หรือ สังหารมังกร?”
โรแลนด์ยิ้มให้กับฟอลเคินด้วยความประหลาดใจและขบขัน เขาตอบกลับไปอย่างช้าๆว่า “ผมเป็นแค่คนธรรมดา ผมไม่รู้นะว่าคุณจินตนาการถึงบุตรทองคำไว้อย่างไร… นั่นเป็นสิ่งที่พวกคุณเรียกพวกเราใช่ไหม? แต่ว่าพวกเราส่วนใหญ่มาที่โลกนี้เพื่อความสนุก บางทีความฝันของพวกเราอาจจะเปลี่ยนไปในภายหลัง แต่ว่านี่คือเป้าหมายของพวกเราตอนนี้…”
โรแลนด์หมายความตามนั้นทั้งหมด ในตอนแรกเขาคิดว่าเขาน่าจะได้รับเควส ทว่าเขาก็พบว่ามันไม่น่าเป็นไปได้เมื่อพิจารณาจากตัวฟอลเคิลที่ดูเหมือนคนแท้ๆยิ่งกว่า NPC เสียอีก
โรแลนด์ไม่ใช่คนบ้า เขารู้ว่าการพูดคุยกับ NPC และคนจริงๆนั้นต่างกัน ทว่า แทนที่จะคิดว่าฟอลเคิลจะเป็น NPC เขากับรู้สึกว่าเขาได้คุยกับคนจริงๆมากกว่า
เขาไม่ได้พูดคุยอย่างจริงจังกับชายชราที่ดูสุภาพคนนี้นัก แต่อย่างน้อยเขาก็ควรที่จะจริงใจและซื่อสัตย์
ฟอลเคิลมองไปที่โรแลนด์ด้วยความรู้สึกประหลาด เขาไม่เคยพบเห็นกับคนแบบโรแลนด์มาก่อน คนที่มีร่างกายเป็นอมตะ แต่ความฝันของเขากลับเป็นเพียงการเสาะแสวงหาความสนุกเท่านั้น
ถ้าเกิดใครสักคนบนโลกใบนี้มีความสามารถระดับนี้คงมีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแค่จะเติมเต็มความฝันของตน แต่อาจรวมไปถึงการพิชิตโลกอีกด้วย
แต่ทว่าบุตรทองคำตรงหน้าเขา เพียงแค่ต้องการความสำราญ? คงไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้แน่เพราะมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ทว่าฟอลเคิลเชื่อ เขาพบพานผู้คนที่ต่าง ดุร้ายมามากมาย แต่ชายตรงหน้าเขานั้นไร้เดียงสาราวกับเด็กทารก
“ในมิติที่เจ้าเดินทางมามันคงปราศจากสงครามและการฆ่าฟันสินะ” ฟอลเคิลมองไปยังชายหนุ่มและถอนหายใจ “มันคงเยี่ยมยอดมากใช่ไหม”
“จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ขนาดนั้น” โรแลนด์ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “แม้ว่าประเทศที่ผมมาจะค่อนข้างปลอดภัย สงบสุขและเจริญรุ่งเรือง บางทีก็มีสิ่งที่น่าเหลือเชื่อเกิดขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับผม
สำหรับโรแลนด์มันเป็นคำอธิบายที่เรียบง่าย แต่ทว่าสำหรับฟอลเคินนี่เป็นการคุยโวโดยแท้ ชุดคุลมสีขาวของผมปลิวไสวไปตามลมเย็นยามเช้า ฟอลเคิลถอนหายใจออกมาอย่างหนักและกล่าวว่า “ถ้าเพียงแค่ข้าได้อาศัยอยู่ในโลกของเจ้าก็คงดี”
โรแลนด์มองไปยังนักบวชชราด้วยความสนใจ
ต้องขอบคุณคณะที่เขาเรียนมา ที่ทำให้เขาเคยได้พบกับ AI ที่มีขื่อเสียง แม้ว่าเขาไม่เคยได้รู้จักกับ AlphaGo แต่เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับสิริ
สิริทำได้ค่อนข้างดีสำหรับบทสนทนาประจำวัน และในการทำตัวคล้ายคนปกติ ทว่าในบทสนทนาที่ลึกเข้าไป เกี่ยวกับชีวิต , เหตุการณ์โลก หรือประวัติศาสตร์ต่างๆ สิรินั้นฉลาดไม่พอและมักจะตอบกลับมาแข็งๆแบบเครื่องจักร
ทว่าชายชราตรงหน้าเขา กลับไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นอาการโศกเศร้าหรืออิจฉาในบทสนทนา
โรแลนด์ไม่มั่นใจว่าเพนกวินคอร์ปอเรชั่นทำมันสำเร็จได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นทางเว็บไซค์ทางการได้ระบุไว้ว่ามีเหล่าปัญญาประดิษฐ์มากกว่า 150 ล้านตน อาศัยอยู่ในโลกใบนี้ และ NPC ทุกคนสามารถเปรียบได้ดั่งกับมนุษย์คนหนึ่ง
เพจกวินคอร์ปอเรชั่นใช้เทคโนโลยีอะไรกันแน่ เมื่อไหร่กันที่บริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการลอกเลียนแบบสินค้าพัฒนาได้ถึงขนาดนี้
ก่อนที่เขาจะเริ่มเล่นเกม โรแลนด์ไม่ค่อยเชื่อกับคำโฆษณานัก ยังไงซะทุกบริษัทก็จำเป็นต้องกระตุ้นยอดขายอยู่แล้ว แต่ว่าเขามั่นใจได้เลยว่าหลังจากเขาได้พบชายชราที่ชื่อฟอลเคิล เขาไม่สามารถจินตนาการได้ถึงความน่าตื่นเต้นบนโลกนี้ได้ ยิ่งถ้า NPC ทุกตนมีบุคลิกและจิตวิญญาณเป็นของตัวเองอีก
มุมมองที่สมจริง และ NPC ที่ยอดเยี่ยม…. ในที่สุดโรแลนด์ก็ได้พบกับความหลงใหลในการเล่นเกมที่เขาไม่ได้รู้สึกมันมานานแล้ว
ขาตบไปที่ต้นขาของตัวเองอย่างแรงก่อนถามว่า “คุณฟอลเคิล ผมจะไปเมืองที่ใกล้ที่สุดนั่นได้อย่างไร”
ฟอลเคิลรู้สึกประหลาดใจ ชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะใจเย็นไปเสียทุกเรื่อง จู่ๆเขาก็กระตือรือร้นขึ้นมา ตาของชายคนนี้ยังคงใสกระจ่าง แต่เหมือนจะมีประกายแสงใหม่เพิ่มเข้ามา
“เดินลงไปตามถนนทางทิศตะวันตก หากเจ้าเดินเท้าไปเจ้าจะพบกับคนที่ชื่อเดลฟอล ใน 4 ชั่วโมง” ฟอลเคิลพักครู่หนึ่งก่อนพูดต่อว่า “ทางที่ดีเจ้าไม่ควรออกนอกเส้นทาง มันมีป่าเมเปิ้ลอยู่ถัดจากทางเข้าเมืองเรดเมาน์เทน มันมีแมงมุมขนาดมหึมาอาศัยอยู่ ตามปกติแล้วมันจะไม่มายุ่มย่ามในถิ่นของพวกเรา ทว่าบางครั้งเมื่อมันหิวจัด มันจะบ้าคลั่งและออกมาไล่ล่ามนุษย์
“ขอบคุณ”
โรแลนด์โบกมือลาฟอลเคิลก่อนเดินไปตามบันไดสีเทาบนถนนที่อยู่ในแนวภูเขา แสงอาทิตย์ยามเช้ายังคงสาดส่องแสงสีส้มออกมา และสายลมอ่อนๆที่พัดเข้ามาราวกับผ้าคลุมกาย เสียงสวดมนตร์ของชาวเมืองดังเข้ามาในหูของโรแลนด์
โรแลนด์ต้องการที่จะอ้าแขนขึ้นมาเพื่อโอบกอดท้องฟ้าและเหล่ามวลเมฆ ทว่าเขาเกรงว่ามันจะดูโง่เง่าเกินไป
เขาเพียงแค่อ้าปากและพึมพำออกมาเบาๆว่า “ฟาลัน ฉันมาแล้ว”
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 4 : เมืองเรดเมาน์เทน
หนึ่งในพวกเขามีชายชราที่ดูเหมือนกำลังจะตาย อีกหนึ่งเป็นชายหนุ่มที่เปลือยเปล่า
โรแลนด์เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับศาสนามาบ้าง แน่นอนว่าไม่ใช่แบบที่เคร่งครัดนัก เขาเคยได้ยินมาบ้างว่านักบวชบางคนนั้นชื่นชอบเด็กชายเป็นอย่างมาก ด้วยตัวละครของโรแลนด์อายุเพียง 17 ปี เขายังคงแนเด็กในสายตาของชายแก่รึเปล่า?
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันทีและระวังตัวมากขึ้น เขากระโดดถอยห่างออกมา โดยมีแท่นบูชากั้นระหว่างพวกเขาไว้ เขาก็รู้สึกปลอดภัยขึ้น
อาจเป็นเพราะผลกระทบของการคืนชีพหายไปแล้ว เขาถึงรู้สึกสบายตัวขึ้น เขานำมือมาปิดส่วนลับของเขาไว้และจ้องเขม็งทางนักบวชชรา
ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเขาไม่กลัวชายชราที่อายุมากขนาดนี้ เพราะเขาสามารถจัดการชายได้อย่างง่ายหายหากเขาสร้างปัญหา แต่ทว่าเขาอยู่ภายในโลกของเกมเสมือนจริง และชายชราก็เป็นนักบวชของโบสถ์แห่งชีวิต
แตกต่างจากนักบวชอ้วนๆที่หมกมุ่นอยู่กับเด็กหนุ่ม นักบวชภายในเกมนี้สามารถร่ายเวทย์ได้
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มทำท่าระมัดระวังตัว ฟอลเคิลยิ้มให้แก่เขา อาจจะเพราะเขาดูน่าเชื่อถือ ชายหนุ่มจึงคลายความระมะระวังลงเล็กน้อย เขาใช้ประโยชน์จากจุดนี้ ยกมือขึ้นชี้ไปทางหน้าผากของเด็กหนุ่ม
โรแลนด์คิดไม่ถึงว่าคนแปลกหน้าจะร่ายเวทย์ใส่เขาโดยไม่มีแม้แต่คำเตือน บอลแสงสีเขียวพุ่งตรงไปยังชายหนุ่ม มันไม่ได้รวดเร็วนัก โรแลนด์รีบหลบอย่างรีบร้อน แต่ทว่าบอลแสงก็ยังคงไล่ตามเขาแล้วพุ่งเข้าชนหัวเขาในที่สุด ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นบางอย่างเชคล้างเจลลี่ และแทรกซึมเข้าไปในกะโหลก และ สมองของเขา
โรแลนด์คิดไว้ว่านักบวชนั่นต้องการจะฆ่าเขา อย่างไรก็ตาม มันเกิดขึ้นได้พบเห็นได้ไม่ยากที่ผู้เล่นจะถูกฆ่าโดย NPC เขาคิดว่าเขาต้องเจ็บปวดจากการระเบิดหัวอีกครั้ง แต่เขาก็ได้แปลกใจ เพราะเขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆที่หัวของเขา
“พ่อหนุ่ม เจ้าน่าจะเข้าใจข้าแล้ว”
มันไม่ใช่ภาษาที่โรแลนด์เคยพบมาก่อน แต่ทว่าเขากลับเข้าใจสิ่งที่นักบวชพูด
โรแลนด์ตกตะลึงไปในทันที ก่อนเขาจะเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด เขาจับหน้าผากของเขาไว้และพูดออกมาว่า “ความชำนาญทางภาษา? คุณได้โปรดรอสักครู่ ให้ผมได้ใส่เสื้อผ้าก่อน”
แน่นอนว่าโรแลนด์ไม่คนที่ชื่นชอบการเปลือยกาย หลังจากนั้นเขาก็พบเข้ากับตัวเลือก ‘กู้คืนร่างกาย’ ในหน้าเมนู และกดลงไปเพื่อยืนยัน
ร่างไร้หัวของโรแลนด์กลายเป็นลูกบาศน์สีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนภายในเวลาชั่วอึดใจ และกลายเป็นริบบิ้นสวยงามลอยกลับเข้ามาในตัวโรแลนด์ เศษซากสมองและเลือดของเขากลายเป็นจุดสีขาวและลอยกลับเข้าร่างกายของเขาเช่นกัน
มันเป็นภาพที่สวยงาม ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งวิหารก็กลับกลายมาเป็นปกติ คลาบเปื้อนบนตัวของฟอลเคินก็หายไปด้วยเช่นกัน
เปลี่ยนจากบ้านของฆาตรกรอันน่าสยดสยอง กลายเป็นโบสถ์ที่เต็มไปด้วยความสงบ
จิตสำนึกของโรแลนด์ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ : คุณกู้คืนร่างกายและฟื้นคืนค่าประสบการณ์ทั้งหมด 50% จากค่าประสบการณ์ทั้งหมดก่อนที่คุณตาย จำนวนค่าประสบการณ์ที่ฟื้นคืนมาเท่ากับศูนย์
เพราะหัวของเขาระเบิดทันทีหลังเขาเกิดได้ไม่นาน เขายังไม่ได้รับค่าประสบการณ์ใดๆมาก่อน เป็นธรรมดาที่จะไม่มีอะไรฟื้นคืนมา
ทันทีที่ลูกบาศก์ระยิบระยับนั่นกลับคืนสู่ร่างของเขา เสื้อผ้าก็ถูกเพิ่มเข้ามา แน่นอนว่ามันเป็นชุดที่เขาใส่ตอนเริ่มแรก
โรแลนด์รู้สึกมั่นใจมากขึ้นหลังจากได้ใส่เสื้อผ้า เขาพยักหน้าและพูดว่า “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ ความชำนาญทางภาษานี่มีผลนานเท่าไหร่”
“ประมาณ 3 ชั่วโมง” ฟอลเคิลตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเหมือนชายชราทั่วไป เขาค่อนข้างมั่นใจว่าชายแปลกหน้าคนนี้คือบุตรทองคำ จากปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้น “ถ้าฉันหนุ่มกว่านี้ มันคงอยู่ได้ราว 5 ชั่วโมง”
ชายแก่ทุกคนล้วนแต่ชอบระลึกถึงความสามารถครั้งอดีตของตน แม้แต่นักบวชชรา ที่เป็น NPC ก็ไม่มีข้อยกเว้น โรแลนด์แอบหัวเราอยู่ในใจก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ข้าชื่อโรแลนด์ แล้วท่านผู้อาวุโสล่ะ”
“ฟอลเคิล”
เมื่อแนะนำชื่อตัวเสร็จ ฟอลเคิลก็มองชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า สังเกตจากพฤติกรรมก็บอกได้ว่าชายกนุ่มไม่ใช่คนที่ยึดถือเรื่องมารยาทมากนัก อาจจะเป็นเป็นเพราะบรรยากาศแปลกรอบตัวเขาก็ได้ บางทีเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจทำตัวหยาบคาย
ฟอลเคิลเป็นทั้งนักบวช ผู้สูงวัย และเคยเป็นทหารรับจ้างมาก่อน สำหรับคนทั่วไปแล้วเขาราวกับเป็นผู้สูงส่ง แต่พูดกันตามเนื้อแท้แล้ว ฟอลเคิลเป็นเพียงคนธรรมดาที่ดูพิเศษขึ้นมาหน่อยเพียงเท่านั้น และเป็นเพียงคนที่ไร้ข่าวสารหลังมาปักหลักอยู่ที่นี่
ในหลายๆจังหวะ ข้อมูลไม่ใช่แค่ข้อมูล แต่มันคือความรู้
สูญเสียแหล่งข้อมูลและความรู้ทั้งหมดเมื่ออาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆแห่งนี้ ฟอลเคิลรู้ดีว่าเขาพัฒนาขึ้นเพียงเร็วน้อยภายในช่วงทศวรรตที่ผ่านมา ถ้าจะมีอะไรเปลี่ยนไป ก็มีเพียงเขาที่แก่ขึ้นแค่นั้น
แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้เสียใจกับมัน การได้รับใช้เทพธิดาในเมืองแห่งนี้เป็นสิ่งที่เขาภูมิใจที่สุดในชีวิต
บุตรทองคำที่ยืนอยู่หน้าเขาเหมือนสามารถพูดคุยกันได้ง่าย แต่ว่าเขาก็ไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกมา ตามเหตุผลแล้ว เมื่อเขาสามารถคืนชีพมาบนแท่นบูชาสำหรับเทพธิดา นั่นก็หมายความหมายเขาต้องใกล้ชิดกับเทพธิดามากแน่ๆ
“โรแลนด์ เจ้าคงจะเป็นบุตรทองคำใช่หรือไม่” ฟอลเคิลเสี่ยงถามออกไป เขาไม่สามารถระงับตัวเองได้อีกแล้ว ยิ่งเขาเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มคนนี้ “ไม่กี่วันก่อน เทพธิดาได้ทิ้งคำทำนายซึ่งระบุไว้ว่าบุตรทองคำจะเดินทางมาจากมิติอื่นและมาอาศัยอยู่กับเรา”
นั่นเป็นบทบาทของผู้เล่นในเกมนี้? โรแลนด์รู้สึกว่านี่มันน่าสนใจมาก ในเกมส่วนใหญ่จะตั้งค่าให้ผู้เล่นเป็นผู้กอบกู้ หรือ ผู้แข็งแกร่ง , บุคคลพิเศษ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาถูกต้อนรับโดยบทบาทผู้ต่างถิ่น
แต่ทว่า มันก็สมเหตุสมผลใช้ได้ ดีกว่าที่จะมีผู้กอบกู้กว่าห้าพันคน
โรแลนด์พยักหน้ารับ “ผมอาจจะเป็นบุตรทองคำที่คุณพูดถึงก็ได้ และแน่นอนผมมาจากต่างมิติ….ผมขอถามอะไรคุณสักอย่างได้ไหม?”
ฟอลเคินยิ้ม “ได้ทุกอย่างเลย”
“ผมอยู่ที่ไหน” โรแลนด์มองไปรอบๆและถามออกมา “ผมรู้ว่าที่นีคือโบสถ์ของเทพธิดาแห่งชีวิต แต่สิ่งที่ผมอยากรู้ก็คือที่ที่ผมอยู่ตอนนี้”
ฟอลเคิลหันไปเปิดประตู แสงอาทิตย์แทรกเข้ามายังโบสถ์ราวกับลำธารสีส้มที่เต็มไปด้วยแสงสว่างและความอบอุ่น
ท่ามกลางแสงอาทิตย์ราวกับมีออร่าอยู่รอบตัวเขา นักบวชก็หัวมายิ้มให้กับโรแลนด์
“ยินดีต้อนรับสู่ เมืองเรดเมาน์เทน”
ฟอลเคิลเป็นนักบวชเพียงคนเดียวที่โบสถ์แห่งชีวิตในเมืองเรดเมาน์เทน
เขาเคยเป็นทหารรับจ้างมาเป็นเวลา 2 ปี เขาเดินทางไปยังหลากหลายที่เมื่อครั้งเยาว์วัย แม้ว่าตอนนี้เขาจะย้ายมาอยู่ที่เมืองเรดเมาน์เทน แต่เขาก็คิดว่าตัวเองเป็นที่มีประสบการณ์ชีวิตมากคนหนึ่ง
ทว่าวันนี้ เขารู้สึกราวกับตัวเองอ่อนต่อโลกเกินไป เราไม่รู้จักวิธีฆ่าตัวตายแบบใหม่นี้ ถึงกับระเบิดหัวของตัวเองทิ้งด้วยแรงสะท้อนจากเวทมนตร์ ผู้ใช้เวทย์ทุกคนคงประทับใจกับการระเบิดหัวอันแม่นยำนี้
ฟอลเคิลปิดปากของเขาลงในที่สุด ชายหนุ่มที่จู่ก็ประกฎตัวขึ้นน่าจะเป็บุตรทองคำอมตะ ที่ปรากฏตัวขึ้นในวันนี้ตามคำทำนาย ซึ่งถูกเล่ากล่าวไว้ว่าเขาจะปรากฎตัวขึ้นมาที่แท่นบูชาในวิหารทุกครั้งที่เขาตาย
แต่ถ้าไม่ละ ? มีวิหารแห่งชีวิตอีกมากมายบนโลกนี้ แต่กลับมีบุตรทองคำอยู่เพียงหยิบมือ เขาอาจจะไม่ได้ฟื้นขึ้นมาที่วิหารแห่งนี้อีกก็ได้ ถ้าอย่างงั้น เขาควรจะทำอย่างไรกับร่างไร้หัวนี่ และ สถานที่ที่ดูเหมือนมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นนี่ดี
เขาเป็นนักบวชที่ซึ่งนับหน้าถือตาในเมืองเรดวู๊ดมานับ 10 ปี เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะพบอะไรอย่างนี้ก่อนตาย และนี่มันใกล้เวลาสวดมนตร์ของเมืองแล้ว ถ้าชาวบ้านเห็นเขายืนอยู่ภายในโบสถ์ที่เปื้อนเลือดพร้อมร่างไร้หัวล่ะก็
เขาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า ชาวบ้านจะคิดยังไง
โบสถ์แห่งชีวิตใช้เวลานับ 10 ปี เพื่อสร้างรากฐานกับหมู่บ้าน ถ้าหากชาวบ้านสูญเสียความศรัทธาไปกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ล่ะ เขาคงละอายใจที่จะต้องพบหน้ากับท่านเทพธิดาเมื่อเขาถูกเรียกไป
ฟอลเคิลรู้สึกปวดหัวอย่างหนัก
สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็เกิดขึ้น ประตูไม้ด้านหลังของฟอลเคิลค่อยๆเปิดออก หญิงร่างอวบกรีดร้องขึ้นราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการกรีดร้อง เมื่อเธอเห็นฉากสยองขวัญ เธอล้มลงไปกับพื้นเมื่อฟอลเคิลหันกลับไปพร้อมกับเศษสมองและเศษเลือดที่คลุมไปทั้งตัวของเขา “อย่าพึ่งกลัวไป ซูซาน” ฟอลเคิลพูดออกมา “ข้าคือฟอลเคิล เกี่ยวกับเรื่องนี้…”
“อะไรน่า ท่านคือบาทหลวงฟอลเคิลงั้นหรอ?” หญิงร่างอวบนามซูซานเริ่มใจเย็นลงหลังจากได้ยินเสียงของฟอลเคิล เธอลุกขึ้นและก่นด่าไปที่ร่างไร้หัวของโรแลนด์ “ท่านนักบวชเจ้านี่คือโจรใช่หรือไม่? ท่านทำได้เยี่ยมไปเลย รอข้าสักพัก ข้าจะไปเรียกคนอื่นมาช่วยท่าน เจ้านี่ช่างโง่เง่าเสียจริงที่กล้ามาปล้นท่าน”
หลักจากพูดจบ เธอก็ไปร้องขอความช่วยเหลือ “ใครก็ได้ช่วยหน่อย! ท่านนักบวชเฒ่าได้ฆ่าโจรไป มาช่วยท่านนักบวชขนย้ายศพออกไปที…”
เมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกน ฟอลเคินก็ยิ้ม พร้อมกับน้ำตาไหลออกมา
ทันทีที่คนกลุ่มใหญ่มาถึง ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ทั้งหมด โดยเด็กจะถูกกันไว้ให้อยู่ข้างนอก พวกเขาถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเห็นภาพอันน่าสยดสยอง พวกเขาก่นด่าเจ้าโจรชั่ว ที่เข้ามาปล้นวิหาร ไม่มีใครสงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าฟอลเคิลเป็นฆาตกร
หลังจากพูดคุยกันสักพักพวกก็เริ่มเก็บกวาด บ้างก็นำผ้ามาถูพื้น บ้างก็นำผ้ามาห่อศพไปเผาทิ้ง
ผู้คนต่างเข้ามาแวะเวียนถามเขาว่า เขาบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า พวกเขาใส่ใจเขาเป็นอย่างมาก บางคนถึงกระทั่งช่วยเช็คคราบเลือดบนตัวของเขา
ไม่มีใครเลย แม้กระทั่งฟอลเคิล มองเห็นร่างจิตสำนึกของโรแลน์ที่ยืนอยู่ข้างๆศพของเขา พูดให้ถูกคือเขาจะไม่สามารถถูกมองเห็นได้ เมื่อเขาอยู่ในร่างจิตใต้สำนึก
ในที่สุดโรแลนด์ก็กลับมาคิดเรื่องของตัวเอง ความเจ็บปวดที่เขาคาดไม่ถึงว่าจะได้รับ เขามั่นใจแล้วว่าที่เขาตายเพราะหัวระเบิดนั้นเป็นเพราะเขาร่ายเวทย์ไม่ถูกต้อง
นี่เป็นหนึ่งในการตายที่น่าหัวเราะที่สุดที่เขารู้จัก เขาคงหัวเราะไม่หยุดแน่ๆถ้ามันเกิดกับคนอื่น แต่ทว่าเมื่อเขาโดนเสียเอง เขาก็ทำได้แค่ร้องคร่ำครวญเท่านั้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมความยากของคลาสนักเวทที่เว็บทางการประกาศไว้จึงสูงถึง 10 ดาว ซึ่งเป็นคลาสที่ยากที่สุดในบรรดาคลาสทั้งหมด ในขณะที่คลาสพ่อมด และนักบวช ที่เป็นผู้ใช้เวทย์เหมือนกันกลับมีความยากในการเล่นเพียง 5 ดาว
โรแลนด์นึกขึ้นได้ว่าคำชี้แจงที่เขาอ่านก่อนเข้าเกมนั้นบอกไว้ว่า หากผู้เล่นตายพวกเขาจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาภายในไม่กี่วิ หลังจากร่างจิตสำนึกของพวกเขาพบโบสถ์แห่งชีวิต และนอนลงบนแท่นบูชา
เขาสังเกตเห็นว่าผู้คนกำลังสนใจอยู่กับร่างกายของเขา ในร่างจิตสำนึก เขาทำได้เพียงมองเห็นเท่านั้น เขาไม่สามารถได้กลิ่น , รส หรือมีความรู้สึกใดๆ เขารู้สึกกลัวและประหม่าที่อยู่ภายในสภาพแวดล้อมที่กีดกันประสาทสัมผัสเขาเป็นเวลานาน
เขารีบปีนขึ้นไปบนแท่นบูชาและเอนตัวนอนลง กระโปรงหินของเทพธิดาอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง
แน่นอน มันไม่มีอะไรอยู่ใต้กระโปรง มันมีเพียงแค่โครงหินอย่างเรียบง่ายอยู่เท่านั้น ไม่มีอะไรน่าดูสักนิด
ในขณะที่โรแลนด์กำลังคิดบางอย่างอยู่ ดวงตาของรูปปั้นเทพธิดาก็เรืองแสงสีเขียวส่องลงมายังร่างจิตสำนึกของเขา
ร่างจิตสำนึกของเขารู้สึกอบอุ่น พลังงานบางอย่างไหลเข้าสู่ร่างเขา หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกหน้ามืดเล็กน้อย ทันทีที่เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนแท่นบูชา
เขายืนขึ้น และพบว่าเหล่า NPC ที่กำลังวุ่นอยู่กับการเคลื่อนย้ายร่างเขา กำลังจ้องมองมาด้วยท่าทางตกใจจนอ้าปากค้าง
ในเวลานั้นเอง เขาก็รู้สึกหนาวเล็กน้อย เขาเลยลองก้มหัวลงไปดูเหมือนกับว่าเขาจะไม่มีทางดูแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว
เขาเปลือยอยู่ ไม่มีแม้กระทั่งเศษผ้า
โรแลนด์อับอายมากจนอยากจะฆ่าตัวตาย หลังจากพยายามสงบสติอารมณ์อีกครั้ง เขามองไปที่ฝูงชนและสงสัยว่าเขาจะหลุดพ้นจากเหตุการณ์น่ากระอักกระอ่วนนี้ไปได้อย่างไร แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ เขาไม่รู้ว่าเขาจะอธิบายเหตุการณ์นี้ได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่รู้แม้แต่ภาษาที่พวกเขาใช้
มันชัดเจนแล้วว่า เขาไม่สามารถใช้ความชำนาญด้านภาษาได้ในตอนนี้
ทันใดนั้นเอง ชายชราก็พูดบางอย่างกับฝูงชน หลังจากนั้นฝูงชนก็สลายออกจากโบสถ์ไป คนสุดท้ายปิดประตูให้ด้วยซ้ำ
โบสถ์กลับมามืดมิดอีกครั้ง ร่างไร้หัวของเขายังนอนอยู่บนพื้น แม้ว่าเลือดบนหน้าของนักบวชชราจะหายไปแล้ว แต่ทว่าชิ้นส่วนสมองของเขาก็ยังติดอยู่บนเสื้อผ้า ซึ่งมันดูค่อนข้างน่าขนลุก
แต่ทว่า โรแลนด์ก็ไม่ได้กลัวแต่อย่างใด เพราะเลือดและเศษซากต่างๆที่เขามองเห็นถูกเบลอด้วยสี่เหลี่ยมเล็กๆภายในเกม
มันเป็นเพดานที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
หลังจากโรแลนด์ลืมตาขึ้น เขาก็พบเข้ากับรูปปั้นสตรีขนาดมหึมาอยู่เหนือหัวของเขา มันทำมาจากหินสรดำ และมีอณูสีเขียวไหลผ่านอยู่บนพื้นผิว แต่เมื่อเขาพยายามสังเกตละอองสีเขียวนั่งอีกครั้ง มันก็หายไปเสียแล้ว
โรแลนด์ลุกขึ้นนั่งก่อนจะพบว่าตัวเองอยู่บนแท่นสีฟ้าที่ดูคล้ายจะเป็นแท่นบูชา ที่มีไว้สำหรับการบูชายัญในสมัยช่วงยุคกลาง มันทั้งเย็นยะเยือกและหยาบกระด้าง
กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ลอยคลุ้งอยู่กลางอากาศ เขามองไปรอบข้างและพบเข้ากับหญ้าประหลาดกำลังถูกเผาอยู่ที่ด้านล่างของรูปปั้นเทพธิดาที่อยู่ไม่ไกลจากเขานัก หญ้านั้นคล้ายจะเป็นต้นเวิร์มวู๊ด ที่ใบของมันเต็มไปด้วยหนามแหลม
เดี๋ยวนะ…..กลิ่น?
เขายังคงได้รับกลิ่นและยังมีความรู้สึก? โรแลนด์ลองแตะไปยังแท่นบูชานี่อีกครั้ง เขาสัมผัสได้ถึงความหยาบกระด้านและความเย็น จากนั้นเขาก็ลองสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง คราวนี้เขาได้กลิ่นทั้งจากแปลกๆมาจากทั้งต้นหญ้าประหลาดนั่น และ กลิ่นขมๆมาจากทางแท่นหินนั่น
นี่ฉันไม่ได้ถูกสะกดจิตอยู่ใช่ไหม นี่ฉันอยู่ในเกมเสมือนจริงงั้นหรอ? มันดูเหมือนจริงเหลือเกิน…. โรแลนด์มองไปที่มือของเขาที่ดูบอบบางและผอมเพรียว อย่างที่คิดนี่เป็นมือของผู้ใช้เวทย์
เขาลองหยิกมือตัวเองดู มันยังคงรู้สึกเจ็บอยู่….แต่ไม่มากขนาดนั้น ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่ ยังไงก็ตาม ก่อนที่เขาจะเข้าเกม เขาได้อ่านประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้ว ที่ว่าความเจ็บปวดในเกมจะลดลงเหลือเพียง 1 ใน 10
โรแลนด์ลุกขึ้นจากบนแท่นบูชา เขามองไปรอบๆและสังเกตเห็นว่า เขาอยู่ในสิ่งก่อสร้างที่ทำมาจากหิน มีรูปปั้นเทพธิดา , แท่นบูชา , และเก้าอี้ที่เรียงกันเป็นแถว เมื่อดูลักษณะการจัดเรียยงทั้งหมดแล้ว ดูเหมือนที่นี่จะเป็นโบสถ์เล็กๆ
เมื่อกระโดดออกจากแท่นบูชา เขาก็เริ่มสังเกตุร่างกายของตัวเอง เขาอยู่ในชุดสีเทาและน้ำตาลซึ่งทำมาจากผ้าลินินซึ่งไม่ค่อยรู้สึกสบายนัก รองเท้าของเขาก็ทั้งเก่าและบาง เขายังคงรู้สึกถึงหินเย็นๆที่เท้าของเขาระหว่างเดินอยู่เลย
มันเหมือนจริงมาก… โรแลนด์ถอนหายใจก่อนนำมือไปสัมผัสกับแท่นบูชา หินนี่เหมือนจริงมาก มีแม้กระทั่งรูเล็กๆบนพื้นผิวเหมือนกับของจริงเลย เขาไม่ได้คาดหวังว่าเกมเสมือนจริงนี้จะเหมือนของจริงได้ขนาดนี้ เหมือนขนาดที่เพนกวินคอโปเรชั่นเคยกล่าวไว้ว่า นี่ไม่ใช่เกม VR ปลอมๆที่สร้างขึ้นมาเพื่อหลอกเอาเงินจากผู้ใช้บริการ
เทคโนโลยีถูกพัฒนามาถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? และทำไมมันถึงถูกพัฒนาขึ้นโดยเพนกวินคอโปเรชั่นละ? โรแลนด์ถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย อย่างน้อยแคปซูลสำหรับเล่นเกมนี้ที่เขาซื้อมาในราคากว่า 50000 เหรียญ ก็คุ้มค่าแน่นอน
เขาพยายามสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบและพยายามปรับตัวให้เข้ากับร่างกายใหม่ของเขา ทันใดนั้นประตูเก่าๆของโบสถ์ก็ถูกเปิดออกมา
ในขณะที่ประตูกำลังถูกเปิด ชายชราหลังค่อมก็เดินเข้ามา คิ้วของเขายาวและเป็นสีขาวทั้งหมด มันยาวเลื้อยจนถึงแก้มผอมๆของเขา เปลือกตาเขาหย่อนยานจนเกือบจะปิดตาทั้งสองข้างของเขา เขาอยู่ในชุดคลุมสีขาวที่ดูเหมือนว่าจะมีสัญลักษณ์ต้นไม้อยู่ตรงกลางของชุดของเขา
ก่อนที่จะเริ่มเกม โรแลนด์ได้ศึกษาเกี่ยวกับพื้นฐานของเกมนี้มาจากเว็บไซค์ทางการมาแล้ว ถ้าเขาจำไม่ผิด ดูเหมือนชุดนั่นจะเป็นชุดของโบสถ์แห่งชีวิต มีแค่นักบวชของโบสถ์แห่วงชีวิตเท่านั้นที่สวมใส่มัน
ในตอนแรกที่ชายชราเห็นโรแลนด์ เขาก็ดูตกใจเป็นอย่างมาก แต่แล้วเขาก็ค่อยๆผ่อนคลายลง
การเปลี่ยนแปลงท่าทาง ไหนจะการเคลื่อนไหวบนใบหน้าและดวงตานั่นอีก ราวกับว่าเป็นคนตัวเป็นๆมากกว่าเพียงแค่ NPC ภายในเกม
ในเกม VR ที่เขาเคยเล่น การเปลี่ยนแปลงสีหน้าของ NPC ถือว่าเป็นจุดบกพร่องมาโดยตลอด ไม่ว่าเหล่า NPC เหล่านั้นจะดูเสมือนจริงขนาดไหน ถึงแม้ว่า NPC เหล่านั้นจะมีท่าทางที่ดูขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อพวกเขาเปลี่ยนแปลงท่าทางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่กับมัน
แต่ทว่าตอนนี้ โรแลนด์กลับรู้สึกเหมือนได้พบกับคนเป็นๆ…. นี่ใช่ผู้เล่นเหมือนกับเขารึเปล่า?
เขาทิ้งความคิดนี้ไปในทันที เขาเป็นผู้เล่นกลุ่มแรกในเกมนี้ มันไม่มีทางที่จะมีผู้เล่นกลายเป็นนักบวชได้เร็วขนาดนี้ ที่สำคัญกว่านั้น รูปลักษณ์ของผู้เล่นทุกคนจะออกมาเป็นมนุษย์ในช่วงเยาว์วัย แต่ที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นเป็นชายชราที่ดูไร้เรี่ยวแรง
แต่ถึงอย่างนั้น ชายชราก็ดูสมจริงเกินไป โรแลนด์รู้สึกราวกับว่านี่คือคนจริงๆถึงแม้เขาจะอะเอาแต่จ้องมองโรแลน์โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
ไม่ว่าจะเป็นดวงตา , ท่ายืน , การกระพริบตา , ไฝบนใบหน้า หรือแม้กระทั่งผิวสีเหลืองที่แห้งกระด้าง…. เขาเห็นแม้กระทั่งการกระตุกบริเวณขมับของชายชราเพราะเหลือไหลเวียน
โรแลนด์ไม่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเกมใดๆ แต่เขาก็เป็นคนที่เล่นเกมมาเป็นจำนวนมาก เขาเล่นมาตั้งแต่แพ็คแมนในยุคแรกจวบจนกระทั่งเกม VR ที่ยอดเยี่ยมในตอนนี้ แม้ว่าเกมในปัจจุบันจะสามารถ NPC ที่ยอดเยี่ยมออกมาได้ แต่พวกเขาก็ยังขาดสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด นั่นก็คือ จิตวิญญาณ
ทว่าชายชรากลับให้ความรู้สึกเหมือนคนจริงๆที่มีจิตวิญญาณ มากกว่าจะเป็นเพียงแค่กลุ่มข้อมูลที่ห่มหนังมนุษย์ แม้ว่าเขาจะยังคงยืนอยู่เฉยๆเท่านั้น
นี่เป็น NPC ที่คอยให้คำแนะนำใช่รึเปล่า? แต่ว่าทางเว็บไซค์ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับ NPC ที่คอยให้คำแนะนำไว้เลย …. เขารู้สึกสับสน ดังนั้นจึงถามออกมาว่า ‘สวัสดี เอ่อคือ…ที่นี่ที่ไหนเหรอครับ’
ชายชรารู้สึกตกใจไปครู่หนึ่งก่อนจะโบกมือและพูดออกในภาษาที่เขาไม่รู้จัก
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจ แต่โรแลนด์ก็พอจะสามารถคาดเดาได้จากสีหน้าของชายชราว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ โรแลนด์พูด
ให้ตายเถอะ! โรแลนด์ได้แต่สาปแช่งผู้ผลิตเกมนี้เกี่ยวกับความสมบูรณ์แบบที่มากเกินไป นี่พวกเขาตั้งค่าภาษาที่แตกต่างกันทั้งหมดสำหรับ NPC บนโลกใบนี้งั้นหรอ? ถ้าข้อมูลจากเว็บไซค์ทางการถูกต้องละก็ มันจะมีประเทศและเผ่าพันธุ์อยู่อย่างมากมาย ถ้าแต่ละประเทศและเผ่าพันธุ์ต่างๆมีภาษาเป็นของตนเองอีกล่ะ นี่พวกเขาทำงานมากขนาดไหนถึงจะผลิตเกมนี้ออกมาได้เนี่ย?
ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงๆ Blizzard และ Ubisoft ก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าเพนกวินคอโปเรชั่น
แม้ว่าจะไม่พอใจ แต่โรแลนด์ก็มีทางออก เขานึกขึ้นได้ว่าเขามีความสามารถในการเข้าใจภาษา ซึ่งเป็นเวทย์มตร์ระดับสอง ที่เขาได้รับมาตอนสร้างตัวละคร
ในเกม Sandbox ทั้งหลายที่เขาเคยเล่น ถึงแม้ว่าตัวละครจะใช้ภาษาเดียวกันทั้งหมด แต่ทว่าผู้เล่นจากหลายหลายประเทศต่างก็ต้องเห็นหรือเคยได้ยินศัพท์แปลกที่ทำให้ต้องเดากันบ้าง ต้องขอบคุณเกมเหล่านั้นหละนะ
เขารู้สึกโชคดีที่มีประสบการณ์เล่นเกมมามากมาย เขาเรียกระบบขึ้นมาในใจ อาจจะดูเงอะงะไปในบ้างในตอนแรก ยังไงก็ตามเกมเสมือนจริงก็ยังต่างจากเกม VR ค่อนข้างมาก แต่ทันทีที่เขาเรียกระบบขึ้นมาได้เขาก็ได้พบเข้ากับทักษะที่อยู่ในตำราเวทย์ เขาเลือกไปที่ความเชี่ยวชาญภาษา
ทันใดนั้นตารางแปลกๆที่เต็มไปด้วยจุดสีฟ้า ก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าเขา
จุดสีฟ้าที่ดูเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นเริ่มส่องแสงระยิบระยับและกลายเป็นสีแดงกระจายไปยังจุดอื่นๆภายในพริบตา
นี่คือวงเวทย์?
ขณะที่โรแลนด์กำลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้อื่นๆ จู่เส้นสีแดงที่เชื่อมระหว่าง 2 จุด ก็เริ่มสั่นไหว จากนั้นมันก็สั่นหนักขึ้นเรื่อยๆ จู่โรแลนด์ก็รู้สึกปวดหัวหนักขึ้นเรื่อยๆ
เกิดอะไรขึ้น?
โรแลนด์เล่นเกมมากว่า 20 ปี แต่ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเล่นเกมเสมือนจริง เขาไม่มีประสบการณ์ใดเลย และไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรกับสถานการณ์ในตอนนี้
หลายวิถัดมา เส้นสีแดงก็เริ่มฉีกขาดขณะสั่นไหวอย่างรุนแรง แต่ก่อนหน้านั้น ความเจ็บปวดที่หัวของโรแรนด์ก็รุนแรงขึ้นจนเขาแทบทนไม่ไหว ราวกับมีเข็มติดอยู่ในหัวของเขา
ทันทีที่เส้นสีแดงฉีกขาด สติของโรแลนด์ก็หลุดออกจากร่างภายในเกม จากนั้นเขาก็พบเข้ากับเรื่องประหลาด ร่างภายในเกมของเขานั้นหัวระเบิด
ศพไร้หัวหล่นลงบนพื้นอย่างรุนแรง เลือดสาดกระเห็นไปยังทุกพื้นที่
สติสำนึกของโรแลน์ที่ยืนอยู่ข้างๆศพ ราวกับวิญญาณโปร่งแสง เขาตกใจเป็นอย่างมากและไม่รู้ควรทำตัวอย่างไร
เส้นผม , ใบหน้า และเสื้อผ้าของชายชราล้วนปกคลุมไปด้วยเลือด เขาอ้าปากที่เหลือฟันเพียงเล็กน้อยของเขาออกมาด้วยความตกใจ