ตอนที่ 71 ผู้ไม่เต็มใจเสี่ยงจะไม่ได้สิ่งที่ยิ่งใหญ่
หยุนลี่จงกังวลยิ่งนักว่าแม่เฒ่าจูจะรู้เรื่องขายที่ดินและขัดขวางจนเสียเรื่อง ผู้เฒ่าหยุนจะเสียอกเสียใจ อีกทั้งยังกังวลว่าน้องชายคนที่สามของตนจะก่อเรื่องวุ่นวาย…
“ท่านพ่อ ผู้เข้าสอบคนอื่นเริ่มจ่ายเงินกันแล้ว ข้าเกรงว่าหากเราชักช้ากว่านี้มันจะสายไป!”
“เจ้าใหญ่ ข้าขอถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย…” ผู้เฒ่าหยุนมองไปข้างหน้าพร้อมครุ่นคิด
“ขอรับ ท่านพ่อถามมาได้เลย!”
“เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ว่าจะผ่านการทดสอบในฤดูใบไม้ร่วงจริง ๆ?”
“แน่ใจขอรับ!” หยุนลี่จงพยักหน้าด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ท่านพ่อ ข้าอ่านตำราอย่างหนักมาตลอดสิบปีเพื่อสิ่งนี้จริง ๆ ขอรับ!”
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง
ผู้เฒ่าหยุนทอดสายตามองไปข้างหน้าด้วยแววตามุ่งมั่นก่อนหันกลับมาพลางถอนหายใจ “อืม กลับกันเถอะ”
หยุนลี่จงก้มศีรษะพลางครุ่นคิดก่อนเดินตามบิดาออกไป
ลานบ้านตระกูลหยุน
ห้องในปีกตะวันออกและปีกตะวันตกของบ้านต่างมืดมิด
“ท่านพ่อไปพักผ่อนก่อนเถิด” หยุนลี่จงกล่าวด้วยความเคารพ
ชายชราโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
“ท่านพ่อว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” แม่นางจ้าวนั่งอยู่ข้างเตียงในห้องปีกตะวันออกเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ท่านพ่อขายที่ดินให้กับตระกูลกั๋วที่อาศัยอยู่หมู่บ้านใกล้เคียงไปเมื่อไม่กี่วันก่อน”
“ขายที่ดินรึ? ที่ดินทำมาหากินที่ผู้เฒ่าสองคนช่วยกันลงทุนลงแรงมาหลายปีน่ะหรือ?” แม่นางจ้าวเอ่ยถามด้วยความตกใจ “ถ้าที่ดินผืนนั้นถูกขายแล้วเราจะทำมาหากินกันอย่างไร?”
“ตระกูลกั๋วบอกให้เราเก็บโฉนดที่ดินไว้ก่อน และพวกเขาจะมาทำสัญญาส่งมอบที่ดินเมื่อพ้นฤดูเก็บเกี่ยว” หยุนลี่จงถอดชุดจื๋อตัว*ออกก่อนพับเก็บตรงหัวเตียง
*ชุดจื๋อตัว คือ เสื้อคลุมของผู้ชายจีนแบบดั้งเดิม
แสงไฟสลัวของตะเกียงน้ำมันวูบไหวเล็กน้อย
“แล้วชิ่วเอ๋อล่ะ? ท่านว่าอย่างไร?” แม่นางจ้าวเอ่ยถาม
“ดูสิ่งที่ท่านพ่อทำสิ” หยุนลี่จงนอนหนุนแขนของตนเองพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ครั้งนี้ข้าไม่พลาดแน่”
“นั่นคือทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลเลยนะ หากแบ่งให้ชิ่วเอ๋อหนึ่งเหวิน พวกเราก็จะได้เงินน้อยลง!” แม่นางจ้าวกล่าวตำหนิ “คงถึงเวลาที่ลูกชายคนโตของเราต้องแต่งงานแล้วล่ะ ท่านคิดเรื่องนี้ไว้หรือยังเจ้าคะ?”
หยุนลี่จงสั่นเท้าอย่างสบายอารมณ์ “ต้าหลางเป็นบัณฑิตมากพรสวรรค์ เจ้าจะกังวลเพื่ออะไร? เพียงแค่เขาพยักหน้าหญิงสาวก็เข้าหาเขาเป็นพรวนแล้ว ไม่มีใครกล้าปฏิเสธหรอก!”
หยุนโม่คือหลายชายคนแรกของตระกูลหยุน เขามีคิ้วหนา ตาโต และใบหน้าหล่อเหลาซึ่งได้มาจากผสมผสานที่ลงตัวของกรรมพันธุ์ของบิดาและมารดา หลายชายคนแรกของตระกูลจะเรียกว่าต้าหลาง
ขณะนี้หยุนโม่อายุสิบหกปีแล้ว เขามีรูปร่างผอม สูง และสง่างาม นอกจากนี้หยุนโม่ยังได้รับการศึกษามาตั้งแต่ยังเยาว์วัย อีกทั้งยังมีนิสัยเงียบขรึม
หยุนลี่จงกล่าวว่าตนไม่กังวลเรื่องลูกสะใภ้แม้แต่น้อย เด็กสาวมากมายที่อายุเท่ากับหยุนโม่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านไป๋ซีและหมู่บ้านใกล้เคียงเช่น หมู่บ้านหลิ่วชู่ต้องมีใจให้ลูกชายของเขาบ้างล่ะ เพียงแต่หยุนโม่ซื่อบื้อและไม่รับรู้เท่านั้น
แม่นางจ้าวมองหยุนลี่จงด้วยสายตาขุ่นเคือง
“ชิ่วเอ๋อก็เช่นกัน พวกเขาตกลงหมั้นหมายและส่งสินสอดมาให้ถึงหน้าประตูบ้าน แล้วนางทำเป็นรูปเป็นร่างได้บ้าง? ชิ่วเอ๋ออ่านตำราไม่ออก เล่นกู่ฉิน* หมากล้อม เขียนตัวอักษร หรือแม้แต่วาดภาพไม่ได้ด้วยซ้ำ นางเกียจคร้านและไม่มีความสามารถ แต่ก็ยังทะเยอทะยานที่จะแต่งงานกับตระกูลขุนนาง…”
*กู่ฉิน เป็นเครื่องดนตรีโบราณประเภทเครื่องสายของจีน
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า? มีเรื่องวิวาทอะไรกันอีก?” หยุนลี่จงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายพลางเหลือบมองภรรยา
“น้องสาวผู้แสนดีของท่านอิจฉาที่เห็นเซียงเอ๋อสวมรองเท้าปักคู่ใหม่ นางจึงมาขอให้ข้าทำให้อย่างไรล่ะ!” แม่นางจ้าวพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “นางยังอยากได้ลูกปัดมรกตอีกด้วย ช่างไม่สำเหนียกเลยว่าชีวิตของเซียงเอ๋อกับนางแตกต่างกันอย่างไร!”
หยุนลี่จงอ้าปากหาว “แค่รองเท้าปักเพียงคู่เดียว เจ้าก็ทำให้นางเสียสิ”
“เวลาพูดนะง่าย แต่เงินเล่า? ท่านจ่ายเงินให้ข้าสิ” แม่นางจ้าวยืนขึ้นพลางแบมือออกมา
“จะเอาเท่าไหร่?”
“รองเท้าผ้าแพร ลูกปัดมรกต และด้ายสีทองไม่ได้ราคาถูกเลย เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าปักผ้าเช็ดหน้าให้นาง และยังคงต้องการ…”
แม่นางจ้าวโกรธเคืองยิ่งนักที่หยุนชิ่วเอ๋อต้องการครอบครองทุกสิ่ง นางไม่มีการศึกษา ทว่ายังฝันเฟื่องอยากจะเป็นสะใภ้ขุนนาง!
“ท่านแม่เชื่อฟังชิ่วเอ๋อทุกคำพูด เจ้าต้องเกลี้ยกล่อมนางไปเรื่อย ๆ หากไม่เต็มใจเสี่ยงจะไม่ได้สิ่งที่ยิ่งใหญ่…” หยุนลี่จงมองแม่นางจ้าวขณะยื่นมือออกไปจับมือของนาง
แม่นางจ้าวปัดมือของสามีทิ้งก่อนลงจากเตียงไป
“เจ้าจะทำอะไร?”
“ข้ายังมีปิ่นปักผมอยู่ และข้าจะขายมันเพื่อซื้อของมาปักรองเท้าให้น้องสาวที่แสนดีของท่าน” แม่นางจ้าวบ่นขณะค้นกล่องเครื่องประดับ
“นั่นเป็นของมีค่าที่ข้ามอบให้เจ้าตอนที่ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้นี่ เจ้าบอกว่าจะเก็บมันไว้ไม่ใช่หรือ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หัวใจของแม่นางจ้าวก็อัดแน่ไปด้วยความเศร้าโศก
แรกเริ่มเดิมทีแม่นางจ้าวตกหลุมรักความทะเยอทะยานและความหล่อเหลาของหยุนลี่จงในวัยหนุ่ม นางต้องการติดตามเขาและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกที่ แม้แม่สื่อจะเตือนว่าอย่างแต่งงานกับคนในตระกูลหยุนก็ตาม
ครั้งหนึ่งแม่นางจ้าวเคยวาดฝันไว้เช่นนั้น แต่นางไม่คิดว่า…
“เจ้าจะขายเครื่องประดับทอง เงิน ผ้าไหม และผ้าแพรไม่ได้นะ” หยุนลี่จงกล่าวตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้
“จดจำสิ่งที่ท่านพูดภายในวันนี้ไว้ หากได้เป็นขุนนางแล้วท่านอย่ามีมากชู้หลายเมียจนลืมข้าแล้วกัน…” แม่นางจ้าวมองเข้าไปในกล่องก่อนหยิบปิ่นปักผมสีดอกเหมยขึ้นมาและปิดฝากล่องเครื่องประดับ
หยุนลี่จง “มันเป็นเรื่องธรรมดา…”
ปีกตะวันตกของบ้าน
แม่นางเหลียนเป็นลมหมดสติอย่างกะทันหัน ทำให้หยุนลี่เต๋อผู้ซื่อบื้อตกใจกลัวจนใบหน้าหมองคล้ำพลันแปรเปลี่ยนเป็นซีดเซียว
หยุนลี่เต๋อรีบคว้ามือแม่นางเหลียนพร้อมพูดตะกุกตะกัก “จะ… เจ้าเป็นอะไรไป? ไม่สบายหรือ? กะ… เกิดอะไรขึ้น?”
“ข้าไม่รู้… จู่ ๆ ทุกอย่างก็มืดลง…” แม่นางเจ้าเอนกายพิงหัวเตียงก่อนทอดสายตามองหยุนเชวี่ย
แม่นางเหลียนสับสนยิ่งนัก เนื่องจากขณะที่นางกำลังง่วนอยู่กับงานบ้านอยู่ เสี่ยวอู่ก็วิ่งมาหานางอย่างรวดเร็วพลางกระซิบว่า “พี่สาวขอให้ท่านแม่แกล้งเป็นลม”
จากนั้นนางจึงได้ยินเสียงกรีดร้องของหยุนเชวี่ย “ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! เกิดเรื่องแล้ว! ท่านแม่เป็นลม ท่านพ่อไปดูท่านแม่ก่อนเถิด!”
แม่นางเหลียนนอนบนเตียงพร้อมกับความรู้สึกงุนงง เมื่อเห็นว่าภายในบ้านเกิดความโกลาหล
จากนั้นหยุนลี่เต๋อก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามา
เมื่อมองไปที่ชายผู้ซื่อสัตย์และแสนดี นัยน์ตาของแม่นางเหลียนก็เต็มไปด้วยความกังวลและหวาดกลัว เหงื่อเย็นพลันผุดออกมาตรงหน้าผาก แม้จะรู้สึกเสียใจไม่น้อย ทว่าลึก ๆ แล้วหัวใจของนางกลับอัดแน่นไปด้วยความรักและห่วงใย
“ท่านแม่ต้องอ่อนเพลียมากแน่ ๆ เจ้าค่ะ”
หยุนเชวี่ยนั่งลงข้างเตียงพลางเบะปากและกะพริบตาด้วยความรู้สึกโศกเศร้า ดวงตาสีเข้มของนางฉายแววความเหนื่อยล้า ช่างน่าสงสารยิ่ง…
เสี่ยวอู่ยืนมองอยู่ด้านข้างอย่างเงียบ ๆ
บทละครของพี่รองสมจริงมากจนคนที่มองดูต่างรู้สึกเศร้าใจ…
“เยี่ยนเอ๋อ รินน้ำให้แม่ของเจ้าที” หยุนลี่เต๋อจับมือแม่นางเหลียนแน่นราวกับจะไม่มีวันปล่อยไป
“เจ้าค่ะ” หยุนเยี่ยนพยักหน้าด้วยความสับสน
‘ท่านแม่สบายดี แต่เหตุใดท่านพ่อถึงหวาดกลัวเช่นนั้น?’
“ข้าสบายดี” แม่นางเหลียนรู้สึกผิดเล็กน้อยก่อนใช้ศอกยันกายเพื่อลุกขึ้นนั่ง
“เจ้าเป็นลมนะ จะสบายดีได้อย่างไร?” หยุนลี่เต๋อปฏิเสธ “เจ้าต้องพักผ่อนสักสองสามวัน อย่าออกไปทำงานเลย”
“จะทำอย่างไร…”
“เหตุใดถึงทำงานไม่ได้เล่า? ข้าหายดีแล้ว ท่านยังกังวลอะไรอีก?”
หยุนลี่เต๋อออกคำสั่งพลางใช้แขนแข็งแกร่งช้อนตัวแน่แม่นางเหลียนขึ้น “นอนลงแล้วพักผ่อนเสีย”
ใบหน้าของแม่นางเหลียนแดงก่ำ “ท่านจะทำอะไร? เด็ก ๆ ดูอยู่…”