โชคดีที่เขาตาเร็วมือไว จึงสามารถคว้าข้อมือเรียวบางของนางเอาไว้ได้
ก่อนหน้านี้ถูกนางตบหน้าก็ถือว่าแล้วกันไปเถอะ แต่ครั้งนี้อยู่ต่อหน้าคนนอกแท้ ๆ นางยังกล้าลงไม้ลงมือกับเขา …..โม่เยว่โกรธสุดขีดแล้วจริง ๆ ออกแรงกระชากนางเข้ามาในอ้อมแขนเต็มแรง
“หยุนหว่านหนิง! ข้าเป็นสามีของเจ้านะ!”
เขาถลึงตามองนางอย่างดุดัน “เจ้ารนหาที่ตายรึ?!”
“สามีแล้วจะทำไมล่ะ? แทนที่จะต้องมีสามีที่เอาแต่สงสัยข้าอยู่ได้ทั้งวี่ทั้งวัน ไม่สู้ให้ข้ากลายเป็นหม้ายไปเลยเสียยังดีกว่า!”
หยุนหว่านหนิงไม่มีท่าทีหวั่นกลัวเลยแม้แต่น้อย
เรื่องที่นางต้องเผชิญหน้ากันจัง ๆ กับโม่เยว่แบบนี้ มันไม่ได้เพิ่งจะเกิดขึ้นวันสองวันนี้เสียเมื่อไหร่
ในทางกลับกัน นี่กลับทำให้ซ่งจื่ออวี๋รู้สึกลำบากใจไม่น้อย เขาหันหลังแล้วเดินออกไปด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน ไปยืนรออยู่ข้างนอกเพื่อให้ทั้งสองคนทะเลาะกันให้เสร็จก่อนค่อยเข้าไป
“เมื่อครู่นี้เจ้ากับข้ายังคุยกันดี ๆ อยู่เลย เจ้าก็เริ่มสงสัยข้าอีกแล้ว! เจ้าเองลองคิดดูให้ดี ๆ อีกครั้งซิ ว่าเงื่อนไขข้อที่สองคืออะไร แล้วท่องมาให้ข้าฟังหนึ่งรอบแบบอย่าให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว!”
หยุนหว่านหนิงโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
เมื่อเห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของนาง โม่เยว่ก็อดหวนนึกถึงคืนที่พวกเขาทะเลาะกันไม่ได้……
นางก็โกรธมากจนใบหน้าดวงเล็ก ๆ นี้บิดเบี้ยวไปเช่นกัน
ระลอกความรู้สึกผิดสายหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ เขาทำได้แค่หันหน้าหนีไปอีกด้าน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้อสอง ไม่ว่าในสถานการณ์ไหนก็ไม่อนุญาตให้สงสัยในตัวข้า! ทุกสิ่งที่ข้าทำจะไม่นับว่าเป็นการทำเพื่อเจ้าทั้งหมด แต่เพื่อหยวนเป่า! ข้ายังคงยึดตามคำพูดประโยคเดิม เจ้ากับข้าคือคนที่ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ข้าไม่มีทางทำร้ายเจ้า”
“ท่องอีกรอบ!”
หยุนหว่านหนิงยังโกรธไม่หาย
“หยุนหว่านหนิง อย่าให้มันมากเกินไปนะ! ข้ายอมถอยให้แล้วเจ้าก็ควรมีขอบเขตบ้าง!”
โม่เยว่ก็โกรธแล้วเหมือนกัน
“ข้าให้เจ้าท่องอีกรอบ!”
หยุนหว่านหนิงออกแรงเหยียบหลังเท้าของเขาหนัก ๆ ไปครั้งหนึ่ง “มีแต่การท่องจำให้มากขึ้นอีกหลาย ๆ รอบ เจ้าถึงจะจำมันได้อย่างขึ้นใจ!”
โม่เยว่เจ็บจนสะอึก รีบปล่อยมือนางแล้วก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เขาถูกบังคับจนไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้แค่ท่องเงื่อนไขนั้นซ้ำอีกครั้ง
“ในเงื่อนไขข้อนี้ ประโยคที่สองคืออะไร?”
หยุนหว่านหนิงมองเขาอย่างเย็นชา เหมือนครูสอนภาษาที่ถามคำถามในชั้นเรียนก็ไม่ปาน สายตาเช่นนั้นของนางทำให้หัวใจของโม่เยว่ขมวดเกร็งขึ้นมาทันที จู่ ๆ ก็เบนสายตาหนีไปทางอื่นด้วยความรู้สึกร้อนตัวน้อย ๆ
“ทุกสิ่งที่ข้าทำจะไม่นับว่าเป็นการทำเพื่อเจ้าทั้งหมด แต่เพื่อหยวนเป่า!”
เขาตอบ
“ถูกต้อง เจ้าจงจำไว้ให้ดีล่ะ! ถ้าไม่ใช่เพราะหยวนเป่า ข้าจะไม่มีวันช่วยเจ้าเด็ดขาด”
หยุนหว่านหนิงกัดฟันพูด
ในใจของโม่เยว่รู้สึกผิดมากขึ้นเรื่อย ๆ
เขารู้ดีกว่าใคร ๆ ว่าหยุนหว่านหนิงรักหยวนเป่ามากแค่ไหน หยวนเป่าคือชีวิตของนาง!
เพราะหยวนเป่า นางจะไม่มีวันทำอะไรเขาแน่นอน….. ในทางตรงกันข้าม เขากลับทำให้นางโกรธเคืองหลายต่อหลายครั้ง วันนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองอาจจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้
แต่เพราะคำพูดแบบไม่คิดของเขา เพราะความสงสัยของเขา นางจึงโกรธขึ้นมาอีกแล้ว!
โม่เยว่ก้มหน้าลง น้ำเสียงอ่อนลงไปหลายส่วน
“หนิงเอ๋อร์ ขอโทษด้วย ล้วนเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง”
เขาขอโทษอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “ข้าเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ไม่ยอมไว้ใจใครทั้งนั้น เจ้าให้เวลาข้าอีกสักนิดเถอะ ข้าสัญญาว่าหลังจากนี้ข้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างแน่นอน!”
“หา? พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วรึ? ท่านอ๋องถึงกับยอมรับความผิดของตัวเอง”
หยุนหว่านหนิงแค่นยิ้มเย็นชา
โม่เยว่ก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขายอมเห็นนางกระทืบเท้าพลางชี้จมูกด่าเขาแบบโหด ๆ เสียยังดีกว่า
ก็ไม่อยากได้ยินคำพูดประชดประชัน หรือต้องเห็นสายตาเย็นชาไม่แยแสของนาง
บางทีอาจเป็นเพราะการปรากฏตัวของซ่งจื่ออวี๋ ในใจของเขาจึงรู้สึกถึงวิกฤตบางอย่าง?
หรือบางทีอาจเพียงเพราะ เพื่อหยวนเป่าโดยบริสุทธิ์ใจจริง ๆ?
โม่เยว่หาเหตุผลไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ตอแยต่อแบบไม่เลิกรา แค่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อร์ พวกเราคุยกันดี ๆ ได้หรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าประตูห้องหนังสือปิดอย่างแน่นหนา ก็รู้ว่าซ่งจื่ออวี๋อยู่ข้างนอก
ครั้งนี้ ไม่ได้มีบุคคลที่สามอยู่ในห้องหนังสือแล้ว…..
เขาก้มหน้ายอมรับผิด ก็ไม่นับว่าเป็นอะไร!
ลูกผู้ชายอกสามศอกอย่างเขา ยืดได้ก็หดได้!
ภรรยาของตัวเอง ถ้าเขาไม่รักจะให้ใครมารักล่ะ?
โม่เยว่ท่องคำพูดสองสามประโยคนี้ซ้ำ ๆ ในใจไม่หยุด…. เป็นโม่จงหรานที่พร่ำสอนคำพูดเหล่านี้ให้เขามาตลอดช่วงหลายวันมานี้ ซึ่งโม่เยว่เองก็ท่องจำได้อย่างแม่นยำชนิดไม่มีตกหล่นแม้แต่น้อย
“ มาเถอะ ดื่มชาสักหน่อย อย่าโกรธเลยนะ ”
โม่เยว่ยิ้ม พลางรินชาให้นางกับมือตัวเอง
อ๋องหมิงผู้สง่างามเช่นเขา
ในสายตาของคนอื่น เป็นตัวตนที่สูงส่งและน่าเกรงขามตั้งขนาดไหน?
วันนี้ปิดประตูแน่น ไม่เพียงยอมรับความผิดเสียงอ่อนเสียงหวาน ยังรินน้ำชาให้นางอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนด้วย……
หยุนหว่านหนิงก็ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล ไม่รู้จักให้อภัยคนเสียหน่อย
การใช้ชีวิตของทั้งสองที่ผ่านมา ก็ไม่ใช่ว่าลุ่ม ๆ ดอน ๆ แบบนี้มาตลอดหรือ?
ทะเลาะกันได้ แต่หลังจากทะเลาะกันเสร็จก็โยนความคับข้องใจทั้งหมดออกจากสมองไป แล้วตั้งหน้าตั้งตาเดินไปข้างหน้าต่อไม่ดีกว่าหรือ?
นางรับถ้วยชา ก่อนจะแค่นเสียงเบา ๆ ขึ้นมาเสียงหนึ่ง “ข้าก็บอกเจ้าไปอย่างชัดเจนแล้วนะว่า ทั้งหมดที่ข้าทำไปก็เพื่อประโยชน์ของเจ้าทั้งนั้น อย่าได้สงสัยในตัวข้า เจ้าก็เอาแต่ไม่ยอมฟัง”
“ได้ ๆ ข้าจะตั้งใจฟังแน่นอน”
โม่เยว่นั่งลงข้าง ๆ นาง “เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่า สรุปแล้วเขาเป็นใครกันแน่”
หยุนหว่านหนิงมีท่าทียอมโอนอ่อนผ่อนตามลงมาบ้างแล้ว เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เขาเป็นลูกศิษย์ของเสวียนซันเซียนเซิงจริงๆ”
หยุนหว่านหนิงขมวดคิ้วพลางตอบคำถาม
นางยกถ้วยชาขึ้น จิบน้อย ๆ ไปอึกหนึ่ง จากนั้นก็ถือถ้วยชานั้นไว้ในมือ “เจ้าอย่าไม่เชื่อเชียวล่ะ! ข้าไปพบเสวียนซันเซียนเซิงมาแล้วจริง ๆ ทั้งยังหว่านล้อมจนสามารถพาตัวลูกศิษย์เพียงคนเดียวของเขาลงจากภูเขามาได้ด้วย”
“นั่นเป็นเพราะว่าเสวียนซันเซียนเซิงลงจากภูเขาไม่ได้”
“โอ๋?!”
โม่เยว่ถึงกับตกตะลึงอึ้งค้าง “เจ้าหาตัวเสวียนซันเซียนเซิงพบได้อย่างไรน่ะ?”
“ข้าไปสอบถามมาจากท่านตา จากนั้นข้าก็ไปตรวจสอบข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกมากมาย ในที่สุดก็พอจะยืนยันได้ว่า สถานที่ที่เสวียนซันเซียนเซิงไปปลีกวิเวกตามลำพังนั้นอยู่ที่ไหน”
หยุนหว่านหนิงก็ไม่ได้ปิดบังเขาเช่นกัน
ติดที่ว่าเสวียนซันเซียนเซิงไม่อยากถูกคนนอกรบกวน ทั้งไม่อยากให้คนอื่นรู้จักสถานที่ปลีกวิเวกของเขามากนัก…….
แต่หยุนหว่านหนิงก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เขาอยู่บนภูเขาหยุนอู้
“ช่วงนี้ที่ข้าออกบ้านแต่เช้ากว่าจะกลับมาก็ค่ำ ล้วนเป็นเพราะไปขอร้องเสวียนซันเซียนเซิงนี่แหล่ะ”
นางจ้องเข้าไปในดวงตาของโม่เยว่ พูดด้วยน้ำเสียงติดจะพร่ำบ่นน้อย ๆ ว่า “ข้าสู้อุตสาห์ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อเจ้า แต่เจ้ากับท่านแม่กลับเข้าใจข้าผิด! บัญชีนี้ข้ายังไม่ได้สะสางกับเจ้าเลยนะ”
เมื่อเห็นท่าทางสุดแสนจะน้อยเนื้อต่ำใจของนาง โม่เยว่ก็ใจอ่อนยวบ “ขอโทษนะ หนิงเอ๋อร์……”
“เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไปเถอะ ตอนนี้เรื่องทุกอย่างชัดเจนได้ก็ดีแล้ว”
หยุนหว่านหนิงก็ไม่ใช่คนที่ชอบหมกมุ่นกับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว แค่พูดขึ้นว่า “เดิมทีซ่งจื่ออวี๋จะออกเดินทางทัศนาจรในสี่แคว้น”
“แต่เพราะเสวียนซันเซียนเซิงจากภูเขาไม่ได้ ข้าจึงส่งข้อความแบบพิเศษเฉพาะไปขอให้เขากลับมา แล้วขอให้ตามข้าลงมาจากภูเขา”
“ไม่ว่าอะไรเขาก็ทำได้หมด เมื่อเทียบกับคนละโมบที่หวังจะกอบโกยชื่อเสียงอย่างหลิวต้าเหวินนั่นแล้ว เรียกได้ว่าห่างไกลกันคนละชั้นเลย เสวียนซันเซียนเซิงเก่งกาจมีความสามารถขนาดไหน ข้าได้เห็นมากับตาตัวเองเลยล่ะ! ดังนั้นซ่งจื่ออวี๋จะเก่งกาจสามารถขนาดไหน เจ้าไม่จำเป็นต้องเสียเวลานึกสงสัยเลยด้วยซ้ำ”
แค่ทักษะวิชาสร้าง “ภาพลวงตา” ของเสวียนซันเซียนเซิงอย่างเดียว ก็ทำให้หยุนหว่านหนิงตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างได้แล้ว ถึงกับคิดไปด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังฟังเทพนิยายสุดมหัศจรรย์พันลึกอยู่
ดังนั้นสำหรับซ่งจื่ออวี๋คนนี้ นางจึงมีความรู้สึกเชื่อมั่นไว้ใจอย่างมาก!
ในใจของโม่เยว่ยังคงนึกสงสัยอยู่บ้าง
แต่เพราะนางพูดมาขนาดนี้แล้ว หลังจากได้รับ “บทเรียนราคาแพงจากอดีต” ที่บังอาจนึกสงสัยในตัวนาง เขาก็ไม่กล้าพูดคัดค้านอะไรออกมาอีก
ในที่สุดเขาก็พยักหน้า “ได้! แล้วจากนี้เจ้าวางแผนไว้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ?”
หยุนหว่านหนิงจึงไปเชิญซ่งจื่ออวี๋เข้ามา ร่วมกันหารือเรื่องที่จะทำต่อจากนี้ไปกับโม่เยว่สามคน
เพื่อขจัดความสงสัยของโม่เยว่ นางจงใจให้ซ่งจื่ออวี๋แสดงฝีไม้ลายมือ ด้วยการใช้เคล็ดวิชาที่ธรรมดาพื้นฐานที่สุดอย่างเคล็ดวิชา: เจี่ยกว้า
โดยขอให้ซ่งจื่ออวี๋เสี่ยงทายออกมาว่า วันพรุ่งนี้โม่จงหรานจะตัดสินให้หลิวต้าเหวินถูกตัดหัวหรือไม่ รวมถึงคำพูดที่โม่จงหรานจะพูดออกมาทั้งหมด ให้ทำการเสี่ยงทายออกมาให้เขาดู
ก่อนหน้านี้โม่จงหรานส่งตัวหลิวต้าเหวินไปขังไว้ที่คุกหลวง บอกแค่ว่าจะตัดสินโทษประหารชีวิตในภายหลัง
แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการตัดสินโทษประหาร มาตอนนี้พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ โม่เยว่ก็เก็บความคิดระแวงสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ
เขาแค่ต้องรอให้ถึงเวลาประชุมราชการเช้าวันพรุ่งนี้ แล้วรอฟังว่าโม่จงหรานจะพูดว่าอย่างไร จะตรงกับคำทำนายที่ซ่งจื่ออวี๋เสี่ยงทายออกมาหรือไม่….. หากว่าไม่ตรงกัน นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าเขาก็เป็นได้แค่พวกที่รู้อะไรแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น
แต่ถ้าตรงกัน ย่อมแสดงให้เห็นว่าซ่งจื่ออวี๋คนนี้ เป็นคนเก่งกาจชนิดที่หาตัวจับได้ยากจริง ๆ!
ทุกอย่างล้วนต้องรอให้ถึงเช้าวันพรุ่งนี้ คำตอบทั้งหมดก็จะได้รับการเปิดเผยแล้ว…..