ตอนที่21 ฟันต่อฟัน (1)
“เย่หลีเทียนน่าเกรงขามปานนั้น?”
เซียถงหยุดมองย้อนกลับไปทางอิ๋งเอ๋อร์ จะว่าไปชายคนนั้นก็ทำให้นางรู้สึกดั่งกว่ากำลังเผชิญหน้ากับจิ้กจอกมากเล่ห์กล ที่ทั้งเลือดเย็นและมากแผนการอยู่เบื้องหลัง แม้บนใบหน้าของเขาจะคงไว้ซึ่งรอยยิ้มดูเป็นมิตรปราศจากอันตราย แต่เซียถงก็สังเกตเห็นชัดแจ้งถึง แววความเหี้ยมที่เจือผสมในแววตาคู่นั้น
“แน่นอนเจ้าค่ะ! เขาเป็นบุคคลผู้ทรงอำนาจที่สุดแล้วในจักรวรรดิตงหลี่!”
อิ๋งเอ๋อร์พยักหน้ายืนยันข้อสงสัยของคุณหนู ดวงตาเรียวเล็กเผยแสดงความหลงใหลอันไร้ขอบเขต ทั้งยังกล่าวอีกว่า
“เขายังเป็นบุตรรูปงามที่สุดแห่งจักรวรรดิตงหลี่อีกด้วยเจ้าค่ะ!”
“ปานนั้นเชียว?”
เซียถงแสยะยิ้นเชิดมุมปากเล็กน้อยแล้วค่อยหันกลับไป รูปโฉมภายนอกหล่อเหลาแล้วอย่างไร? หากกมลสันดานภายในของมันสกปรกชั่วช้า ไม่ว่าหล่อสวยเพียงใดย่อมต้องส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมาในสักวัน
ทันใดนั้นเอง เซียถงสัมผัสได้ว่าบรรยายกาศรอบตัวพลันมืดขรึมลงชั่วขณะ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นจางเสวี่ยหรงยืนรออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ทั้งยังมองมาทางนางอีกด้วย วันนี้มาในชุดแพรพรรณสีชมพูอ่อน โปร่งระบายพลิ้ว ดูงดงามมากเสน่ห์หา ทว่าน่าเสียดายยิ่งนัก ที่แววความชั่วร้ายที่ส่องสะท้อนจากนัยน์ตา กลับลดทอนความดูดีไปหลายส่วน ขณะนี้นางยืนอยู่เพียงคนเดียวปรากฏผู้ใดเคียงคู่ดั่งครั้งก่อนๆ
เซียถงยังคงย่างก้าวตรงต่อไป เดินเฉียดหน้านางผ่านไปโดยตรงราวกับมองไม่เห็นอีกฝ่าย
“เซียถง ในการประลองครานี้มียอดฝีมือมากมายหลายหลากกว่าครั้งก่อนมาก ข้าขอแนะนำให้เจ้าถอนตัวออกจากการประลองเสีย ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง”
จางเสวี่ยหรงเดินเข้ามาหาอยู่ท้ายหลัง ยิ้มแช่มเอ่ยกล่าวอย่างสดใส
“โอ้? ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ เจ้าเองก็ระวังตัวด้วยเช่นกัน”
เซียถงเหลือบหางตามองอีกฝ่ายเล็กน้อย สีหน้าการแสดงออกเรียบนิ่งดูค่อนข้างเฉยชา ทว่าภายในใจกลับหัวเราะเยาะเย้ย ครั้งนี้นางวางแผนจะทำอะไรอีกล่ะ?
จางเสวี่ยหรงหันศีรษะซ้ายทีขวาที แลมองโดยรอบอยู่ปราดหนึ่ง เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครสังเกตหรือสนใจทางนี้ ท่าทีของนางพลันแปลกไปเล็กน้อย เอนตัวเข้าไปชิดใกล้เซียถงพร้อมทั้งหยิบถุงใส่เงินจำนวนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อออกมา เอ่ยกระซิบข้างหูเซียถงว่า
“เซียถง หากเจ้ายอมถอนตัว ข้าจะมอบเงินจำนวนห้าร้อยเหรียญเงินแก่เจ้า”
หากไม่มีเซียถงอยู่สักคน ฉายาสตรีผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งจักรวรรดิตงหลี่จะตกกลายเป็นของนางอย่างไม่ต้องสงสัย และโอกาสที่จะได้อภิเษกสมรสกับองค์รัชทยาทไป๋หลี่เย่ก็จะสูงขึ้นมากอีกด้วย
“นามขานสตรีผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งจักรวรรดิ เจ้าเห็นว่ามันไร้ค่าปานนั้นเชียว? ถึงเสนอราคามาเพียงห้าร้อยเหรียญเงินเท่านั้น?”
เซียถงเคลื่อนสายตาลงไปจับจ้องถุงเงินในมืออีกฝ่ายที่ยื่นเข้ามาให้ ก่อนเลิกคิ้วเอ่ยถามสวนกลับไป
ต้องการซื้อข้าด้วยเงิน? แต่ให้มาแค่นี้นับว่าประเมินกันต่ำเกินไป
“หากเช่นนั้น พันเหรียญเงินเป็นอย่างไร?”
จางเสวี่ยหรงขมวดคิ้วแน่นครุ่นคิดอย่างหนักจนใบหน้าแดงก่ำ จนท้ายที่สุดต้องตัดใจยอมเสนอราคาใหม่อีกครั้ง ถึงขนาดกัดฟันกรามขบแน่นเปล่งเสียงเล็ดลอดออกมาดั่งใจจะขาด เพราะหนึ่งพันเหรียญเงินนี่ถือเป็นขีดกำจัดของนางแล้ว
เซียถงอยากจะหยอกล้อกับนางอีกสักหน่อย จึงจงใจถ่วงเวลาทำเป็นครุ่นคิดปล่อยให้อีกฝ่ายกังวลไปแบบนั้น ส่วนที่ว่าจะรับข้อเสนอหรือไม่ นางตอบได้ทันทีว่า ไม่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม หากสิ่งที่จางเสวี่ยหรงนำมาต่อรองกับนางเป็น เห็ดหลินจือมรกต นางก็พร้อมละทิ้งฉายาสตรีที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งอาณาจักรทิ้งไปโดยไม่มีลังเล
“คุณหนู เราได้สินสอดของฮูหยินหลี่คืนมาหมดแล้ว แถมเงินที่ได้รับกลับมาก็เป็นจำนวนไม่น้อยเลย”
อิ๋งเอ๋อร์มองว่า ดูยังไงก็ไม่คุ้มกันเลย จึงโน้มศีรษะกล่าวให้เซียถงฟัง
“นี่ข้ากำลังสนทนาอยู่กับคุณหนูของเจ้า ทาสจัณฑาลหรือมีสิทธิ์กล่าวแทรกขัดจังหวะ?”
จางเสวี่ยหรงหงุดหงิดอย่างยิ่งที่เห็นอิ๋งเอ๋อร์บังอาจกล่าวแทรกแซง พ่นลมหายใจใส่เฉือกใหญ่ นางยกมือขึ้นเตรียมตัวจะตบหน้าสั่งสอนอิ๋งเอ๋อร์ฉะใหญ่
อิ๋องเอ๋อร์ตื่นตกใจอย่างยิ่ง รีบหลับตาปี๋รอโดนตบทั้งอย่างนั้น จะอย่างไรนางก็เป็นเพียงทาส ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะหลบเลี่ยงได้อยู่แล้ว
ขณะที่หวดฝ่ามือเข้าใส่ กลับถูกเซียถงหยุดไว้กลางอากาศ
“จางเสวี่ยหรง หากต้องการให้ข้าถอนตัวจากการประลองเพื่อแลกกับแค่เศษเงิน เกรงว่าเจ้าจะไร้เดียงสาเกินไป”
เซียถงคำรามเสียงกังวาน คว้าถุงเงินจากมืออีกฝ่าย มาเดาะเล่นอย่างสนุกสนาน
ผู้คนโดยรอบล้วนถูกสุ้มเสียงกังวานลั่นของเซียถงชักพาหันขวับกันมามอง ไม่นานนัก ก็กลายมาเป็นจุดสนใจในเวลาต่อมา
ทันทีทันใด เซียถงก็ยกถุงเงินขึ้นสูงอยู่เหนือหัวของจางเสวี่ยหรง พร้อมเปิดปากถุงเทเงินโปรยใส่อีกฝ่าย และหัวเราะเยาะเย้ยกล่าวว่า
“แค่หนึ่งพันเหรียญเงินยังต้องคิดมากขนาดนี้ สงสัยจวนของท่านแม่ทัพจะเป็นพวกขี้งกกันทั้งบ้าน แต่น่าเสียดายนัก เหรียญเงินเหล่านี้ไม่สามารถซื้อตัวข้าได้!”
เทเหรียญเงินราดใส่หัวจางเสวี่ยหรงจนหมด ยามนี้สายตาคู่นั้นของนางส่อแววดูแคลนเสมือนกำลังมองคนโง่ไร้สาระ
“นี่คือสิ่งที่ผู้คนในจวนท่านแม่ทัพสั่งสอนกันมารึไง? ใช้เงินซื้อชัยชนะ? น่าเสียดายนัก…เพราะเงินมิใช่ทุกอย่างหากไม่มากพอ”
“นี่ นี่ ข้าไม่คิดเลยว่า บุตรสาวแห่งจวนแม่ทัพจะทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้จริงๆ”
“แค่พันเหรียญเงิน? ครอบครัวของท่านายพลฟังว่ามั่งคั่งร่ำรวย มีกินมีใชตลอดชาติ ไม่เพียงจะไร้ยางอายเท่านั้น แถมยังเป็นพวกขี้งกอีกด้วย”
“….”
เสียงซุบซิบมากมายหลายหลากดังหึ่งขึ้นปะปนกันไป ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่จางเสวี่ยหรง ไม่ว่าจะด้วยความขุ่นเคืองหรือดูถูก
“เซียถง! อย่าให้ข้าบังเอิญพบเจ้าบนสนามประลอง! มิฉะนั้นเตรียมขายหน้าได้เลย!”
จางเสวี่ยหรงรีบก้มตัวลงไปเก็บเหรียญเงินที่ตกกระจายทั่วพื้น แม้จะรู้สึกอับอายขายขี้หน้าอย่างไรกลับต้องขบฟันทน
“ข้าจะรอ”
เซียถงแสยะยิ้มเย็นและพาอิ๋งเอ๋อร์จากออกไป
จางเสวี่ยหรงหอบกองเหรียญเงินวิ่งฝ่าออกไปท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาของฝูงชน
“คุณหนู ตอนนี้ท่านหล่อมากเลยเจ้าค่ะ!”
อิ๋งเอ๋อร์แลบลิ้นเชิงหยอกล้อใส่ทางเซียถง ขณะเอียงหูฟังบทสนทนาของผู้คนโดยรอบ ทีแรกนางคิดว่า ตนเองต้องโดนตบสั่งสอนจริงๆแน่นอน แต่ใครจะไปคิดว่า สุดท้ายกลับเป็นคุณหนูผู้แสนจองหองแห่งจวนแม่ทัพที่ต้องแบกหน้าเดินจากออกไปพร้อมความอับอายแทน
เซียถงมิได้พูดอะไรและเดินตรงต่อไปเคียงข้างอิ๋งเอ๋อร์ เดิมทีนางเองก็ไม่มีเจตน่คิดจะเปิดเผยการกระทำของจางเสวี่ยหรงต่อหน้าสาธารณะ หากอีกฝ่ายไม่ล้ำเส้นข้า ข้าเองก็ไม่ล้ำเส้นคนอื่นก่อนเช่นกัน ส่วนเรื่องติดสินบนกันแบบนี้ก็แค่เรื่องธุรกิจเท่านั้น ในส่วนนี้เซียถงย่อมเข้าใจดี แต่การที่อีกฝ่ายคิดจะใช้กำลังตบหน้าคนของตน ในส่วนนี้นางไม่สามารถยอมรับได้ ดังนั้น จางเสวี่ยหรงจึงสมควรได้รับโทษ เป็นเหตุผลให้นางจงใจตะโกนเสียงดังเพื่อทำให้อีกฝ่ายอับอาย
พอไปถึงสนามประลองหมายเลขหนึ่ง ศึกแรกซึ่งเป็นคู่เปิดสนามได้เริ่มต้นขึ้นไปแล้ว พอมองดูฉลากในมือตัวเองที่เป็นหมายเลขสี่สิบหก ก็คิดกับตัวเองว่า คงยังไม่ได้ลงสนามในรอบเช้าแน่นอน จึงเดินขึ้นอัฒจันทร์ไปหาที่นั่งสงบๆพักพิงกับอิ๋งเอ๋อร์
คู่เปิดสนามมีระดับชั้นลมปราณอยู่เพียงขอบเขตเสาหลักเหลือง ในสายตาของเซียถงประหนึ่งว่ากำลังมองเด็กข้างบ้านต่อยตีกันเฉยๆ ซึ่งเป็นอะไรที่จืดชืดและน่าเบื่ออย่างยิ่ง คล้อยหลังเผลองีบไปสักพัก จึงสะกิดแขนอิ๋งเอ๋อร์ พาย้ายไปที่สนามประลองหมายเลขสองแทน
พอมาสนามนี้ ก็เห็นชายร่างกำยำไว้เคราหนากระโดดขึ้นบนสนามประลองหมายเลขสอง พร้อมเหวียงค้อนยักษ์สองมืออย่างองอาจ ตะโกนลั่นขึ้นว่า
“ข้าคือหมายเลขสิบ! ผู้ใดหมายเชขสิบเอ็ดจงโผล่หัวออกมาซะ! มัวหดหัวอยู่ที่ไหน? ออกมา!”
ชายร่างกำยำผู้นี้ดูทรงพลังแข็งแรงอย่างยิ่ง ด้วยลักษณ์ร่างกายที่ทั้งสูงทั้งใหญ่ และสีหน้ายังดูป่าเถื่อนดุร้าย ผนวกเข้าอาวุธที่เป็นค้อนยักษ์จับสองมือเสมือนปีศาจควายจากนรก ก็ทำเอาฝูงชนจำนวนมากรอบข้างสะดุ้งตกใจ
“ข้าอยู่นี่”
ทันใดนั้นพลันปรากฏชายร่างสูงโปร่งกระโดดออกจากท่ามกลางฝูงชนขึ้นสนามประลอง จับจ้องชายร่างกำยำไว้เคราหน้าอย่างเยือกเย็น
“โอ้? เป็นเจ้ารึที่ต้องสู้กับข้า?”
ชายร่างกำยำเคราหนาแสยะยิ้มจับจ้องชายร่างสูงโปร่งตรงหน้า นัยน์ตาท่อประกายเร้นแฝงไปด้วยความรังเกียจอยู่หนึ่งส่วน คล้อยหลังยิ่งแสยะยิ้มกว้างดูน่าขยะแขยงยิ่ง ก่อนกรรมการในสนามส่งสัญญาณเริ่มการประลอง มันก็ค้อนขึ้นเหนือหัวควงหมุนติ๊ว
“เช่นนั้นเตรียมรับมือ!”
ชายร่างสูงโปร่งเพียงพยักหน้าตอบเล็กน้อย ชายร่างกำยำเคราหนาก็รุกโจมตีเหวียงค้อนโถมแรงหวดใส่ด้วยสองมือ ช่างเป็นการโจมตีที่ทั้งทรงอานุภาพและรวดเร็วเกินคาด! ทำให้ผู้ชนโดยรอบนั่งไม่ติดเก้าอี้ ลุกฮือด้วยความตื่นเต้น