ตอนที่64 หวนคืนสู่วัง (2)
ไป๋หลี่อวี๋อิงวางก้อนหมึกเขียนคิ้วลง ยกเรียวนิ้วขาวผ่องขึ้นสัมผัสใบหน้าอันเรียบเนียน มุมปากเชิดสูงกระตุกขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มด้วยความพึงพอใจ โบกมือกวัก สั่งให้สาวรับใช้ที่อยู่ด้านหลังดูแลเอาใจใส่กับผมยาวสลวยของตนต่อ
“วันนี้ข้าถูกพี่สาวของนังเซียเสวี่ยเหลียนเฆี่ยนตีมาด้วย น่าหงุดหงิดจริงๆ!”
สักครู่ต่อมา ไป๋หลี่อวี๋อิงก็นึกถึงบาดแผลบริเวณแขนที่ได้รับมาสดๆ ร้อนๆ ยืดเหยียดแขนออกมาพร้อมถกแขนเสื้อขึ้น จะเห็นได้ว่า บนผิวพรรณสีขาวผ่องประดุจหิมะกลับมารอยแผลสีแดงเลือดไม่เข้าพวกลากยาวมาเกือบครึ่งนิ้ว บางจุดเริ่มช้ำกลายเป็นสีเขียวอมม่วง ยิ่งเห็นแบบนั้นนางยิ่งกัดฟันกรอด หงุดหงิดใจเข้าไปใหญ่
“องค์หญิงอวี๋อิง เดี๋ยวข้าวิ่งไปหยิบผงรักษาแผลอักเสบมาทาให้ดีกว่าเจ้าค่ะ”
สาวรับใช้ที่ยืนหวีผมเผ้าอยู่ด้านหลัง เอ่ยถ้อยคำวาจาสุภาพระมัดระวัง ชะโงกหน้ามองอีกฝ่าย กล่าวเสนอแนะขึ้นคำหนึ่ง
“ไม่จำเป็น หึหึ ขนาดมันตีข้าปานนี้ เสด็จพ่อไม่เพียงแต่จะไม่ถือโทษเอาความ แต่ยังจะมอบเห็ดหลินจือมรกตให้อีก! ข้าหงุดหงิดมาก! หงุดหงิดมากจริงๆ! หากรู้ตั้งแต่แรกว่า เสด็จพ่อที่จะมอบเห็ดหลินจือมรกตแก่มัน ปานนี้ข้าคงแอบเอาเชื้อราม่วงโรยใส่เห็ดหลินจือมรกตให้มันกินจนตายไปนานแล้ว!”
ไป๋หลี่อวี๋อิงหุบแขนเสื้อลง ทั่วใบหน้าส่อแววหดหู่ใจ นี่เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ ที่นางรู้สึกถึงความพ่ายแพ้
เซียถงที่อิงแอบแนบตัวดักฟังอยู่บนหลังคา ปั้นหน้าประหลาดใจในทันใด มันควรจะเป็นไป๋หลี่อวี๋อิงมิใช่รึ ที่เป็นคนนำเชื้อราม่วงใส่ในกล่องบรรจุเห็ดหลินจือมรกต? หลังสงบสติลงอารมณ์ลงได้ นางก็เริ่มประเมินสถานการณ์ใหม่ตั้งแต่ต้น ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า มีบางอย่างไม่ถูกต้องจริงๆ หากเชื้อราม่วงในกล่องบรรจุเห็ดหลินจือมรกตเป็นฝีมือของไป๋หลี่อวี๋อิงจริงๆ นางคงไม่จำเป็นต้องวางยาพิษลงในกาน้ำชาให้ซ้ำซ้อน? และคงไม่ชักพากองทหารและไป๋หลี่เย่มาหาเรื่องนางขนาดนั้นเช่นกัน?
ยิ่งนึกมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่า จะไม่ใช่ฝีมือของไป๋หลี่อวี๋อิงจริงๆ ส่งผลให้เซียถงสรุปความได้ทันที กลับกลายเป็นคนอื่นที่ลอบใส่เชื้อราม่วงลงในกล่องบรรจุ คล้อยหลังเข้าใจทุกสิ่งอย่าง เพลิงความโกรธที่มีต่อไป๋หลี่อวี๋อิงภายในใจของนางก็ดับมอดลงทันที มีดสั้นในมือถูกถอดถอน เก็บกลับเข้าใต้แขนเสื้อยาวอย่างเงียบงัน หันกลับออกไป เตรียมมุ่งหน้าไปยังพระตำหนักองค์จักรพรรดิที่ฝ่าบาทอยู่ ในเมื่อไม่ใช่ยาพิษของไป๋หลี่อวี๋อิง หนทางสุดท้ายของนางที่ยังหลงเหลืออยู่คือ การมุ่งหน้าไปขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาท
กล่าวว่า เห็ดหลินจือมรกตที่ได้รับไปเป็นพิษร้าย การจะถามหายาถอนพิษย่อมต้องร้องขอจากเขาโดยธรรมชาติ
พอกระโดดขึ้นมาถึงหลังคาเหนือพระตำหนักองค์จักรพรรดิ และเคลื่อนแผ่นกระเบื้องออกเพื่อสอดส่องอีกครา ยามนี้เซียถงพลันต้องรู้สึกประหลาดใจที่ค้นพบว่า ยามนี้เย่หลีเทียนไม่อยู่แล้ว แต่กลับกลายเป็นไป๋หลี่หานแทนที่ปรากฏขึ้นในตัวพระตำหนัก ทั้งสองกำลังนั่งริมจิบชาในถ้วย พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องบริหารบ้านเมือง บรรยากาศดูกลมเกลียวสนิทสนมกันมาก
แต่นี่เก็ผ่านไปสักพักใหญ่แล้ว ไป๋หลี่หานก็ยังคุยไม่เสร็จสักที และตัวเซียถงเอง ก็ไม่สามารถรั้งรอเวลาได้นานไปเกินกว่านี้แล้วเช่นกัน ในท้ายที่สุด ด้วยความอับจนหนทางและสถานการณ์ที่บีบคั้น นางจึงร่อนลงมาจากบนหลังคา ปรากฏกายออกมาโดยตรง ทันทีที่ปลายเท้าสัมผัสพื้น เงาร่างของไป๋หลี่หานที่มีปฏิกิริยาก่อนใคร ก็พุ่งโฉบเข้าหา ยกฝามือขวาขึ้นมาผนึกเป็นเกราะลมปราณเตรียมจะระเบิดศีรษะในบัดดล แต่พอเห็นหน้าเท่านั้น ไป๋หลี่หานถึงกับหยุดชะงักทุกการเคลื่อนไหว แข็งค้างอยู่แบบนั้น
เซียถงมิได้สนใจการกระทำของอีกฝ่ายแต่อย่างใด รีบคุกเข่าลงกับพื้น แผดเสียงคำรามส่งมอบแก่ฝ่าบาทขึ้นลั่นว่า
“ชีวิตของแม่หม่อมฉันตกอยู่ในอันตราย ฝ่าบาทโปรดช่วยเหลือ!”
ฝ่าบาทที่เพิ่งได้สติฟื้นขึ้นมาก็ตกใจอย่างยิ่ง จู่ๆ ก็เห็นสตรีชุดดำปรากฏตัวขึ้นในกลางพระราชตำหนักของเขาในกลางดึก ทีแรกกำลังจะอ้าปากตะโกนเรียกทหารยามด้านนอกประตูให้บุกเข้าจับกุมตัว แต่ชั่วอึดใจต่อมา พอเห็นว่าเป็นเซียถงจริงๆ แววความตกลึงก็ส่อแสดงทั่วใบหน้า
พอไป๋หลี่หานเห็นว่า คนที่ตนเกือบชักนำลมปราณหอบใหญ่ระเบิดศีรษะทิ้งเป็นเซียถงจริงๆ เขาก็ลอบสลายเกราะลมปราณที่ผนึกกำลังอยู่บนฝ่ามือทิ้งไปอย่างลับๆ
“เซียถง! นี่เจ้ากล้ามากที่บุกเข้าวังหลวงในยามวิกาลเช่นนี้!”
ฝ่าบาทเพ่งสายตามองนาง สีหน้าทั้งโกรธและตกใจในเวลาเดียวกัน รัศมีแรงกดดันแห่งราชาหอบหนึ่ง แผ่ซ่านเล็ดลอดออกมาจากร่าง
เซียถงยังคงกล่าวขานเสียงดังลั่นต่อหน้าฝ่าบาทโดยไม่มีเกรงกลัวต่อว่า
“ในเมื่อฝ่าบาทมอบเห็ดหลินจือมรกตแก่หม่อมฉัน แล้วไฉนถึงต้องลอบใส่เชื้อราม่วงลงไปด้วย?”
เนื่องด้วย เซียถงได้รับสิ่งนี้มาจากมือของฝ่ายบาท ดังนั้นนางเองก็มีสิทธิ์ข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องเชื้อราม่วงกับฝ่าบาทได้เช่นกัน
พอได้ยินเช่นนั้น ฝ่าบาทถึงกับขมวดคิ้วย่น แววความโกรธเกรี้ยวถูกเผยแสดงออกมาผ่านใบหน้า
“ในเมื่อข้าตั้งใจจะให้เห็ดหลินจือมรกตแก่เจ้าแล้ว ไยข้าถึงต้องลอบใส่เชื้อราม่วงลงไปด้วย? หากข้าต้องการจะฆ่าเจ้าจริงๆ เหตุใดต้องเลือกใช้วิธีสกปรกต่ำช้าเช่นนี้ให้บารมีมัวหมอง?”
ใครๆ ต่างก็ทราบ เชื้อราม่วงเป็นพิษร้ายแรง และหากใช้ร่วมกับเห็ดหลินจือมรกตยิ่งทวีความร้ายแรงเข้าไปใหญ่ นี่เป็นความรู้พื้นฐานก็ว่าได้ ใครๆ ต่างก็ทราบดี แล้วคิดหรือว่า ตัวเขาจะใช้วิธีเช่นนี้เพื่อจัดการสาวน้อยคนหนึ่ง?
รู้ถึงไหนอายถึงนั่น!
“ข้ายังไม่ได้ทิ้งกล่องบรรจุเห็ดหลินจือมรกตไป หลักฐานยังคงมีพร้อม ยามที่ข้ากลับถึงจวน ก็ได้นำเห็ดหลินจือมรกตไปเคี่ยวเป็นน้ำแกง พอเห็นท่านแม่เพิ่งกลับมาถึง และกำลังเหนื่อยๆ ก็เลยตักแบ่งน้ำแกงเห็ดหลืนจือมรกตให้ชามนึง แต่ใครจะไปทราบ ทันทีที่ท่านแม่ทานลงไป ก็ถึงกับชักดิ้นชักงอและเป็นลมหมดสติลงไป จากนั้นข้าจึงย้อนกลับไปตรวจสอบกล่องบรรจุเห็ดกลับมา ก่อนพบว่า มีเชื้อราม่วงอยู่จริงๆ ภายในหนึ่งชั่วยาม หากนางไม่ได้กลืนโอสถปราณระดับสองลงไปก็จะตายทันที ยามนี้ถือเป็นช่วงเวลาคับขันยิ่งยวด ฝ่าบาทโปรดเมตตาช่วยเหลือ!”
เซียถงส่งสายตาจับจ้องฝ่าบาทด้วยความกังวล
เมื่อได้ยินที่เซียถงกล่าวมา ฝ่าบาทก็โบกมือ ปั้นท่าทางครุ่นพินิจอยู่สักพัก ก่อนจะกล่าวว่า
“โอสถปราณระดับสอง ข้ามีแต่กลับไม่มาก”
“ฝ่าบาทโปรดช่วยแม่หม่อมฉันด้วย!”
ทันทีที่สิ้นเสียง เซียถงก้มลงกราบแทบเท้า ศีรษะจรดติดพื้น ร่างกายแทบจะอิงแอบแนบพื้นแล้วก็มิปาน แสดงให้เห็นว่า ยามนี้นางยอมจำนนต่อฝ่าบาทผู้นี้โดยสมบูรณ์
ไป๋หลี่หานกดสายตามองลงไปที่นาง สายตาหรี่แคบลงเล็กน้อย ตั้งแต่พบเจอกับนาง เซียถงมีนิสัยมั่นใจและภาคภูมิในตัวเอง มักจะยกตัวเองอยู่สูงกว่าคนอื่นเสมอมา และไม่เคยพบเคยเห็นแม้สักครั้ง ที่นางจะยอมงอต่อใครผู้ใด
ฝ่าบาทกดสายตาลง เฝ้ามองเซียถงที่กำลังคุกเข่าโค้งศีรษะจรดพื้นอยู่ตรงปลายเท้าของตน มุมปากเผยรอยยิ้มแสยะกว้างแสนเจ้าเล่ห์ ดวงตาเป็นประกายวิบวับ ก่อนจะกล่าวน้ำเสียงเนิบนาบขึ้นว่า
“เซียถง โอสถปราณระดับสองนับเป็นสิ่งที่หายากยิ่งในจักรวรรดิตงหลี่ กระทั่งข้าเอง กว่าจะสรรหาได้มาแต่ละเม็ด นับว่ายากเย็นแสนเข็ญ”
“หากฝ่าบาทต้องการสิ่งใด หม่อมฉันยินดีมอบให้ไม่มีข้อแม้!”
ตอนนี้ไม่เหลือเวลาเล่นละครอ้อมค้อมกันอีกต่อไป เซียถงเงยหน้าขึ้นสบตาฝ่าบาท กล่าวเข้าประเด็นโดยตรง
“ตราบเท่าที่ข้ามีอยู่ ย่อมมอบให้โดยไม่คิดตระหนี่!”
“เช่นนั้นก็ส่งคัมภีร์วรยุทธ์ของเจ้ามา”
แก้วตาคู่นั้นของฝ่าบาทฉายแววละโมบส่องสะท้อนออกมา ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่า วรยุทธ์ต่อสู้ที่เซียถงได้รับสืบทอดมาจะได้จากเฒ่าประหลาดที่เป็นเซียนโอสถจริงๆ