ตอนที่229 ย่านโคมแดง
ตอนที่229 ย่านโคมแดง
เหลือบมองอาหารชุดในมือสาวรับใช้ตัวน้อย ชิงเยวี่ยหันมากล่าวกับเซียถงว่า
“ข้าพเจ้าก็เห็นว่า คุณหนูเดินทางมาไกลอาจเหนื่อยล้า กลัวว่าจะไม่ลงมากินอาหาร หากไม่ชอบอาหารแนวนี้ เช่นนั้นข้าพเจ้าจะลงไปสั่งพ่อครัวให้ปรุงอาหารชุดใหม่มาให้”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ต้องการรบกวนนายท่านชิงไปมากกว่านี้แล้ว โปรดกลับไปพักผ่อนเถิด”
น้ำเสียงเย็นชาปราศจากระลอกคลื่นอารมร์แผดดังจากปากเซียถง ทันทีที่กล่าวจบ แผ่นประตูเบื้องหน้าก็ถูกปิดลงเสร็จสรรพไม่มีทีท่าลังเลใดๆ
ชิงเยวี่ยเหม่อมองประตูตรงหน้าที่อยู่ปิดลง ยกนิ้วขึ้นถูไถจมูกเล็กน้อย และหันไปกล่าวกับสาวรับใช้ตัวน้อยที่อยู่ข้างเคียง
“อวี่เอ๋อร์ เจ้าอย่าเศร้าไปเลย”
สาวรับใช้ตัวน้อยกะพริบตาปริบ กล่าวน้ำเสียงปนเศร้าเล็กน้อยว่า
“นายท่านชิง หญิงสาวนางนี้มีอารมณ์ค่อนข้างรุนแรง ตอนที่บ่าวยกอาหารมาให้ยังไม่ทันพูดอะไรนัก นางก็มีเริ่มมีอารมณ์เสียแล้ว”
“ฮ่าฮ่า อวี่เอ๋อร์ เจ้าก็ทำงานอยู่ในร้านอาหารของโรงเตี้ยมแห่งนี้ก็สักพักแล้ว เจ้าน่าจะพบเจอคนเกือบทุกประเภท แค่นี้อย่าได้นำพาใส่ใจเลย”
ชิงเยวี่ยยกมือตบไหล่สาวรับใช้ตัวน้อยเบาๆ กล่าวปลอบโยนทีท่าดูเป็นกันเอง
ได้ยินชิงเยวี่ยกล่าวเช่นนั้น อวี่เอ๋อร์ก็ยิ้มได้อีกครั้งและกล่าวขึ้นว่า
“นายท่านชิง ท่านใจดีกับผู้หญิงทุกคนบนผืนพิภพเลยกระมัง? เหมือนว่าท่านจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของอวี่เอ๋อร์ ชิงเยวี่ยก็คล้ายจะอารมณ์ดีตามไปด้วย เขากล่าวตอบกลับไปว่า
“ผิดแล้ว ข้าคนนี้จะใจดีกับสตรีงามเท่านั้น หาใช่พวกน่าเกลียด”
“อวี่เอ๋อร์หน้าตาน่าเกลียดจะตาย แล้วไฉนนายท่านชิงถึงยังใจดีกับบ่าวปานนี้?”
อวี่เอ๋อร์เอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ใครกันที่บอกว่าอวี่เอ๋อร์น่าเกลียดกัน? เจ้าน่ะสวยที่สุดแล้ว!”
ขณะกล่าวตอบ ชิงเยวี่ยก็ขยิบตาส่งให้อีกฝ่ายไปทีหนึ่ง ขนตาระหงเรียงสวยสั่นไสวแผ่วเบางดงาม
อวี่เอ๋อร์หัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข ร่องรอยความขับข้องใจที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้าก่อนหน้าได้จางหายไปโดยสิ้นเชิง
“แล้วอาหารพวกนี้ล่ะเจ้าค่ะ? หรือจะให้ทิ้งไว้หน้าห้องพักตรงนี้?”
อวี่เอ๋อร์เหลือบมองถาดอาหารหลายหลากในมือ
“ช่างมันเถอะ ดูจากท่าทางแล้ว คนอย่างนางหากหิวคงออกไปหาอะไรกินเอง อวี่เอ๋อร์ เจ้านำกลับไปให้ท่านแม่ของเจ้ากินเถอะ!”
ชิงเยวี่ยยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าสะเอว กล่าวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ นายท่านชิง!”
อวี่เอ๋อร์ยิ้มตอบสีหน้ายิ้มแย้มเปี่ยมสุข จากนั้นทั้งสองก็เดินลงบันไดไปยังชั้นล่างด้วยกัน
เซียถงกลับมาทิ้งตัวบนเตียง ทว่าคราวนี้กลับนอนไม่หลับเสียแล้ว ก็เลยพลิกตัวกลับมานั่งขัดสมาธิบนเตียงและเริ่มต้นบำเพ็ญตบะเพื่อยกระดับความแข็งแกร่ง ในเวลานี้เหลือเพียงเส้นลมปราณและเส้นเอ็นบางจุดเท่านั้นที่ยังมีเศษก้อนพิษสีทมิฬที่ยังตกค้างอยู่อุดตัน และหากสามารถชำระกำจัดทิ้งได้ นางก็จะทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นสูงได้โดยตรง
อย่างไรเสีย นั่งขัดสมาธิได้สักครู่หนึ่ง จู่ๆ เสียงท้องร้องก็ดังครืดคราด เฉพาะยามนี้เซียถงอดรู้สึกเสียใจมิได้ หากรู้อย่างนี้ก็คงแบกกระเป๋าขนมที่อิ๋งเอ๋อร์จัดเตรียมไว้ให้มาด้วยแล้ว บทจะหิวกลับรู้สึกหิวไส้กริ้วขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
แต่นึกดูให้ดีแล้วก็ไม่น่าแปลกเท่าไหร่ ตลอดช่วงเช้าลากยาวจวบจนตอนนี้ที่ดึกดื่นแล้ว เซียถงยังไม่หาอะไรสักอย่างเข้าท้องเลยแม้แต่นิดเดียว
จู่ๆ ก็ดันนึกถึงสาวรับใช้ตัวน้อยเมื่อครู่ที่หยิบยกถาดอาหารมาให้ เสียงท้องร้องดังขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าครานี้นางจำต้องออกไปหาอะไรข้างนอกกินจริงๆ แล้ว สิ่งที่ชิงเยวี่ยพูดล้วนถูกต้องแล้ว ทั้งหมดเป็นความรับผิดขอบของเขาในฐานะทูตที่มาต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ถึงนางจะรับถาดอาหารนั่นมาก็หาได้ติดหนี้บุญคุณอันใดเลย
คล้อยหลังครุ่นคิดอยู่หลายตลบ นางก็ลุกขึ้นเปิดประตูและเดินออกจากห้องไป พอลงมาด้านล่างชั้นที่หนึ่งก็พบกลุ่มคนที่นั่งจำนวนหนึ่งเพียงสามโต๊ะ ซึ่งทุกโต๊ะมีแต่ผู้คนที่กำลังร่ำสุราอย่างเพลิดเพลิน
กวาดสายตาเฝ้าสังเกตทั้งสามโต๊ะที่ว่า โต๊ะแรกที่อยู่ฝั่งขวาเป็นเหล่าองครักษ์ประจำตัวฝ่าบาทแห่งตงหลี่ที่กำลังสังสรรค์ โต๊ะด้านซ้ายมือน่าจะเป็นคนจากจักรวรรดิหน่านเฟิง ส่วนโต๊ะตรงกลางควรเป็นผู้คนจากจักรวรรดิเป่ยฮั่นที่เพิ่งมาถึงในช่วงตกเย็น
มีสุราย่อมมีอาหารเคียงมื้อ ทางเดินโถงโดยรอบชุกชุมไปด้วยเหล่าพนักงานที่คอยยกอาหารเข้ามาต่อเนื่อง การบริการนับว่าดีเลิศเอาใจใส่โดยไม่มีลำเอียงเลือกปฏิบัติใดๆ
สงสัยว่านางจะหลับไปนานจริงๆ ถึงขนาดที่ว่าผู้คนจากทั้งสี่จักรวรรดิเดินทางกันมาครบแล้ว และดูเหมือนว่าองค์จักรพรรดิที่เหลือต่างทยอยกัน เดินทางเข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังซีฉินกันเรียบร้อย ภายในงานเลี้ยงดังกล่าวเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นย่อมมิทราบ แต่ที่แน่นอนคือ บรรดาผู้คนที่เหลือจากแต่ละจักรวรรดิล้วนกินดื่มสนทนากันอย่างสนุกสนาน ณ ที่แห่งนี้อยู่
ชิงเยวี่ยยืนอยู่ตรงมุมโถง เฝ้ามองทั้งสามโต๊ะที่กำลังกินดื่มกันอย่างสนุกสนานพร้อมรอยยิ้ม และทันใดนั้นเองก็เหลือบหางตาไปเห็นเซียถงที่ยืนมองภาพเหตุการณ์อยู่ตรงบันได สังเกตเห็นอีกฝ่ายจับจ้องไปที่อาหารบนโต๊ะทั้งสามตาเขม็ง เช่นนั้นเขาจึงเดินตรงไปหา เอ่ยถามขึ้นว่า
“คุณหนูเริ่มหิวแล้วกระมัง?”
เซียถงชำเลืองมองชิงเยวี่ยอยู่แวบหนึ่ง เปล่งเสียงเย็นชืดเอ่ยว่า
“เปล่า ข้าจะไปสูดอากาศข้างนอก”
กล่าวจบ นางก็เดินหน้าสู่ไปที่ประตูโรงเตี้ยม
“นี่ก็ยามสามแล้ว ร้านค้าด้านนอกปิดกันหมดไม่เหลือ หากจะออกไปเดินเที่ยว เกรงว่าอดใจรอพรุ่งนี้เช้าจะดีกว่า”
ชิงเยวี่ยวกล่าวไล่หลังตามมา
เซียถงกลับมิได้สนใจฟัง เดินตรงออกจากประตูโรงเตี้ยม คล้อยหลังออกมาก็พึงค้นพบว่า บรรยากาศยามค่ำคืนของที่นี่หมอกลงค่อนข้างจัด ร้านค้าทั้งหลายที่คึกคักในยามเช้า ต่างหลับใหลอยู่ภายใต้แสงจันทร์นวล
ปิดหมดแล้วจริงๆ ด้วย เช่นนั้นจะไปหาข้าวกินที่ไหนดีล่ะ? เซียถงก้มศีรษะระดมความคิดพินิจโดยไว เดินทีนางตั้งใจว่าจะลงไปหาอะไรกินชั้นล่างโรงเตี้ยมซึ่งเป็นส่วนร้านอาหารเท่านั้น แต่กลับไม่คิดไม่ฝันเลยว่า จะดันไปชนเข้ากับชิงเยวี่ยเสียได้ หากจะชวนอีกฝ่ายไปหาอะไรทานยามดึกก็น่าอายเกินไป
ยังมีร้านอาหารที่ไหนบ้างที่เปิดยามดึกดื่นปานนี้? ทันใดนั้นเอง เซียถงก็พลันนึกถึงสถานที่แห่งหนึ่งได้ทันควัน! รอยยิ้มหนึ่งเชิดปรากฏบนมุมปาก นางยกเท้าวิ่งฝุ่นตลบออกไปไกล
สถานที่แห่งนี้เป็นหออาคารสูงตระหง่านสามชั้น มีแสงสีเฉิดฉายเป็นประกายวิบวับท่ามกลางค่ำคืนหมอกหนา ตลอดซอกซอยทั่วทั้งย่านมีแต่โคมไฟสีแดงประดับตกแต่ง สายลมเย็นแห่งรัตติกาลพัดผ่าน ปรากฏสีสันแต่งแต้มสารทิศ ขนาบสองข้างทางมีร้านค้ามากมาย บรรยากาศเมามายราวกับความฝันอันงดงาม
ในมุมลับสายตากลางซอกซอยแห่งหนึ่ง เพียงเซียถงมุ่งจิตหนึ่งความคิดเคลื่อนขยับ หลิวซูก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้านาง
“หลิวซู ถอดเสื้อผ้าออกให้หมด”
ทันทีที่หลิววูโผล่หัวออกมา เซียถงก็กล่าวประโยคนี้ขึ้นทันที
“อะ-อะไร…เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร?!”
หลิวซูส่ายหน้าระรัว มองหน้าเซียถงสีหน้าดูไม่เข้าใจสถานการณ์อันใดแม้แต่น้อย ขานต่อน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า
“เจ้า…เจ้าต้องการจะทำอะไรกันแน่?”
“ถอดเสื้อผ้าของเจ้าออกให้หมด”
เซียถงกวาดสายตามองเสื้อผ้าบนตัวหลิวซูซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสยะยิ้มขึ้นทีหนึ่ง ดวงตาเป็นประกายสว่างไสวผิดวิสัยยิ่งยวด