ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง – ตอนที่ 405 ความเกลียดชังของหลินหว่านเอ๋อร์ (1)

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

ตอนที่405 ความเกลียดชังของหลินหว่านเอ๋อร์ (1)

ตอนที่405 ความเกลียดชังของหลินหว่านเอ๋อร์ (1)

เซียถงย่อตัวให้ต่ำเข้าไว้เพื่อหลบซ่อนตัวให้ปลอดภัย จนกว่าจะเสาะหาโอกาสเหมาะสมหนีออกไปจากที่นี่ ทันใดนั้น เสียงระเบิดลือลั่นก็ดังขึ้น เศษเตียงไม้ชิ้นให้ที่นางใช้เป็นโล่ป้องกันถูกทำลายเป็นผุยผงในเสี้ยวพริบตา กระแสลมปราณหอบใหญ่ตลบเข้าซัดร่างของนางจนปลิวกระเด็นดุจว่าวสายปานขาดกระจุย เซียถงนอนกลิ้งหลายตลบ มอบแน่นิ่งอยู่คาพื้น

“เซียถง ข้าจะสังหารเจ้าทิ้งก่อนเป็นคนแรก!”

คณบดีซัดเกลียวคลื่นพลังลมปราณสีม่วงจัดจ้าน โจมตีใส่นางหวังปลิดชีพในหนึ่งกระบวน

เซียถงนอนหมดสภาพอยู่บนพื้น อาศัยเพียงเกราะลมปราณอันน้อยนิดที่คลุมเคลือบทั่วกายาในเวลานี้ ย่อมไม่มีทางต้านรับการโจมตีอันทรงพลังนี้ไว้ได้

“หนีไปซะ!”

เย่หลีเทียปราดพุ่งกระโจนเข้าช่วยเหลือ พอคว้าตัวนางได้ก็ออกแรงโยนข้ามหน้าต่างบานนั้นออกไปโดยตรง

ชั่วขณะที่ร่างบินผ่านหน้าต่างออกไป เซียถงเหลือบหางตาไปเห็นภาพวาดบนผนังข้างกันพอดิบพอดี ไม่ปล่อยไว้ให้เสียเปล่า จึงรีบเอื้อมมือไปกระชากมันติดมือมาด้วย ร่างของนางกระเด็นข้ามหน้าต่างออกมายังภายนอกพร้อมภาพวาดดังกล่าว นางบังคับแผ่นหลังลงก่อนเป็นส่วนแรก เสียงกระแทกแผ่นพื้นดัง ‘อัก’ หัวสมองเซียถงเบลอไปชั่วขณะ

รีบตั้งสติพลิกตัวขึ้นจากภาคพื้นโดยเร็ว ถึงแม้ทุกอากัปกิริยาจะดูเชื้องช้าไปเสียหมด แต่การตอบสนองของนางยังถือว่าดีเยี่ยม รวมไปถึงการตัดสินใจต่างๆ ก็เช่นกัน

“หว่านเอ๋อร์! หว่านเอ๋อร์ของข้า!! เซียถง รีบพาหว่านเอ๋อร์กลับมาเดี๋ยวนี้!”

แลเห็นภาพวาดบนผนังถูกช่วงชิงออกไป คณบดีถึงกับหน้าถอดสีวิตกจริต พุ่งตัวติดตามกระโดดข้ามผ่านบานหน้าต่าง ไล่ล่าเซียถงอย่างเอาเป็นเอาตาย

“หยุดเดี๋ยวนี้! คู่ต่อสู้ของท่านคือข้าผู้นี้! คิดจะแตะต้องนาง ก็ข้ามศพข้าให้ได้เสียก่อน!”

เย่หลีเทียนทะยานเข้าขวางทางพร้อมกระบี่ในมือ จากนั้นทั้งสองก็พัลวันเปิดศึกสัประยุทธ์เดือดเป็นคำรบสองอีกครา

เซียถงเอนตัวพิกพักข้างกำแพงหินบริเวณนั้น หายใจถี่ระรัวหอบเหนื่อยเหน็ด แต่สายตายังคงเฝ้าระวังการต่อสู้เบื้องหน้าชนิดไม่มีคลายอ่อน

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ขุมพลังที่แท้จริงของเย่หลีเทียนและคณบดีต่างอยู่ที่ขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้าครึ่งขั้นเท่ากัน แต่จะเป็นฝั่งเย่หลีเทียนที่ค่อนข้างเสียเปรียบกว่า เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสทั้งภายในและภายนอกของเขาที่ยังไม่หายดี รวมไปถึงประสบการณ์ความเจนจัดด้านการต่อสู้ที่ดูเป็นรองอีกฝ่ายขั้นหนึ่ง พินิจจากท่วงท่ากวัดแกว่งคมกระบี่ที่เริ่มไม่มั่นคงสั่นคลอน ยิ่งเวลาผ่านไป ใบหน้าของเขาก็ยิ่งซีดเซียวลง นี่หาใช่สัญญาณที่ดี เกรงว่าผลแพ้ชนะใกล้จะถูกตัดสินในอีกไม่นานแล้ว

ตรงกันข้ามกับคณบดี ยิ่งชายแก่คนนี้ได้รับบาดเจ็บมากเท่าไหร่ ทั้งกระบวนโจมตีและการเคลื่อนไหวก็ยิ่งดูบ้าดีเดือดมากขึ้นเท่านั้น หากปล่อยให้ต่อสู้กันต่อไปนานกว่านี้ เกรงว่าเย่หลีเทียนพลาดท่าถูกฆ่าทิ้งแน่นอน

“อัครมหาเสนาบดีเย่ คาดเดาไม่ผิด คงฝึกปรือวรยุทธ์นอกรีต ไม่ก็ศาสตร์วิปลาสสักแขนงหนึ่ง? และเหตุที่สามารถฟื้นคืนความแข็งแกร่งได้เร็วปานนี้ ก็อาศัยการดูดเลือดกลืนพลังชีวิตคนอื่นมาเติมเต็ม? แต่อาศัยแค่เลือดของปรมาจารย์เสวี่ยเพียงคนเดียว กลับยื้อชีวิตของเจ้าได้ไม่นานนัก บางที…ข้าอาจพอช่วยเหลืออะไรได้ กลับไปจักรวรรดิซีฉินด้วยกัน แล้วข้าจะเสาะหาสาวพรหมจารีให้เจ้าดูดกินเลือดของพวกนางไปตลอด จะทูลขอร้องให้องค์จักรพรรดิซีฉิน พระราชทานทั้งเงินทองและยศยศถาบรรดาศักดิ์ตามที่เจ้าปรารถนา มัวแต่ทำตัวอุจอู่อยู่แต่ในตงหลี่ เจ้ามีแต่จะขาดทุน”

คณบดีรีบปลุกปั้นสร้างฝัน พรรณนาถึงอนาคตอันไร้ขีดจำกัดให้ฟัง ทั้งหมดก็เพื่อเกลี้ยกล่อม หวังชักชวนเย่หลีเทียนเข้ามาเป็นพวก

“ตงหลี่หาใช่ดินแดนที่ท่านจะเหยียบย้ำได้ตามใจชอบ ผู้ใดพูดจาดูถูกดูแคลนดินแดนแห่งนี้ ก็หาได้ต่างอะไรจากการลบหลู่ราชวงศ์ตงหลี่!”

เย่หลีเทียนก่นเสียงเย็นชา สถบโต้ตอบสวนทันที ได้ยินดังนั้น ดวงตาเซียถงเป็นประกายเฉียบแหลมขึ้นโดยพลัน เฉพาะยามนี้ ตัวนางเพิ่งจะค้นพบได้ว่า ชายหนุ่มคนนี้มีสายเลือดรักชาติอยู่มิใช่น้อยเลยจริงๆ

“แต่จะเป็นเยี่ยงไร หากข้านำความจริงที่แสนดำมืดของเจ้าเปิดเผยต่อสาธารณชน? เคยคิดหรือไม่ว่า คนจากทั่วตงหลี่จะจัดการยังไงกับเจ้า?”

คณบดีกล่าว

“ไม่ว่าจะเป็นยังไง วันนั้นท่านกลับไม่มีชีวิตอยู่แล้ว”

เย่หลีเทียนเสียบกระบี่ปักพื้น ค้ำยันร่างตนเองยืนหยัดขึ้นมา

ดุจดั่งลูกไฟสีม่วงจัดจ้านประกายเงินสองดวง เข้าโรมรันสัประยุทธ์เดือดเป็นฉากเป็นคราที่สาม

เซียถงที่เฝ้าสังเกตการณอยู่ด้านข้าง มีร้องอุทานส่งเสียง ‘อ๊ะ’ เป็นระยะ หากยังปล่อยให้การต่อสู้ดำเนินต่อไป เกรงว่าเย่หลีเทียนมีปัญหางานเข้าแน่นอน และหากปล่อยให้เขาตาย เหยื่อรายต่อไปของคณบดีคงหนีไม่พ้นนางแล้ว

แววตาเปี่ยมล้นแววตื่นตระหนก เร่งคิดหาวิธีระดมสมองอย่างหนัก และอึดในต่อมา จู่ๆ นางก็ชูภาพวาดในมือขึ้นมา ตะโกนเสียงลือลั่นใส่ทางคณบดี

“ท่านคณบดี หากยังไม่หยุดมือ ข้าจะฉีกภาพวาดของหลินหว่านเอ๋อร์ทิ้งซะ!”

ได้ยินประโยคถ้อยคำนี้ เสมือนสายอสนีฟันฟาดผ่าเข้ากลางหัว คณบดีหยุดมือไปชั่วขณะ รีบวิ่งปรี่เข้ามาหวังจะหยุดยั้งการกระทำของเซียถง แผดคำรามอย่างเกรี้ยวโกรธว่า

“เจ้า! เจ้ากล้าดียังไง?!”

เย่หลีเทียนไล่ติดตามอีกฝ่ายดั่งเงา ยกกระบี่เตรียมจ่อจ้วง หวังแทงทะลวงแผ่นหลังของอีกฝ่าย ในขณะที่คณบดีเองก็หาได้สนใจระวังหลังใดๆ ไม่ มุ่งจิตสังหารใส่เซียถงต้องการจะฆ่าให้ตายด้วยกระบี่ในมือเช่นกัน

เซียถงกระตุกยิ้มบาง ชูภาพวาดในมือขึ้นเป็นตัวประกันและกล่าวข่มขู่ขึ้นอีกว่า

“สังหารข้าเพียงหนึ่งชีวิต เพื่อแลกกับการจากลากับหลินหว่านเอ๋อร์ไปตลอดกาล นี่คุ้มค่าแล้วกระมัง? ฟังว่า ภาพวาดรูปเหมือนของหลินหว่านเอ๋อร์ ไม่น่าจะหาได้อีกแล้วบนผืนพิภพ ต่อให้มีคล้ายคลึงกัน แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ…ภาพนี้มีจิตวิญญาณของนางสิงสู่อยู่!”

ชั่วพริบตาที่ปลายกระบี่แหลมเจียนเสียบทะลุภาพวาด คณบดีตัดสินใจเฮือกสุดท้าย เปลี่ยนทิศทางคมกระบี่เบี่ยงหันออกไปกะทันหัน ปราดพุ่งจู่โจมใส่ทางเย่หลีเทียน ร่ายบรรเลงฟันฟาดใส่อีกฝ่ายที่ไล่ติดตามอยู่ด้านหลังแทน

เย่หลีเทียนซึ่งเตรียมพร้อมรับมืออยู่แล้ว หาได้หวั่นเกรง สามารถดึงอีกฝ่ายออกห่างจากเซียถงได้อีกครา

คณบดีเผยจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดออกมาแล้ว เขาทนไม่ได้จริงๆ หากต้องเห็นภาพวาดนี้ถูกฉีกทำลายลง เซียถงยิ้มกริ่มเป็นสุขใจ สองมือชูภาพวาดในมือขึ้นสูงอย่างไม่มีลดละ กล่าวปั่นประสาทข่มขู่ต่อเนื่องไม่หยุดหย่อนว่า

“ท่านคณบดี อันที่จริงหาใช่ท่านคนเดียวที่ได้ยินเสียงของหลินหว่านเอ๋อร์ในภาพวาดนี่ แต่ข้าเองก็ได้ยินเช่นกัน! นางพรรณนากับข้าต่างๆ นานาว่า รังเกียจท่านสุดหัวใจเพียงใด ทั้งยังกล่าวสัตย์สาบาน ขอชีวิตหน้า อย่าได้เกิดร่วมภพร่วมชาติกันอีก! ยิ่งได้เห็นท่านกำลังจะตายเช่นนี้ นางยิ่งรู้สึกมีความสุข นางอดทนรอแทบไม่ไหวแล้ว ที่จะได้กินเลือดกินเนื้อท่าน”

“นี่เจ้าพูดจาไร้สาระอันใด!? หว่านเอ๋อร์น่ะ…นางไม่มีทางพูดแบบนั้น!”

คณบดีตะคอกสวนกลับเสียงดังสนั่น เร่งยกกระบี่ตบเท้าเข้าประจัญบานใส่เซียถง ต้องการจะฉีกปากฆ่านางให้ตาย แต่ชั่วจังหวะนั้น เขาก็เปิดช่องโหว่จุดใหญ่บริเวณบาดแผลฉกรรจ์บนหน้าอก และมีหรือที่เย่หลีเทียนจะปล่อยผ่านไปโดยเปล่า?

เขายกกระบี่เสียบทะลุซ้ำแผลเดิมบนหน้าอกของอีกฝ่ายเต็มแรงไร้ปรานี ธารโลหิตสีแดงฉานสาดกระเซ็น

“ท่านคณบดี รู้หรือไม่ว่า สิ่งที่หลินหว่านเอ๋อร์รู้สึกผิดบาปไปชั่วชีวิตคืออะไร? มันก็คือการพลาดท่ามีบุตรชายกับท่าน! แล้วยังทราบหรือไม่ว่า คนที่บุตรชายเกลียดชังที่สุดก็คือตัวท่านเอง!”

เซียถงกล่าวเสริมเติมต่อขึ้นทันที

“ไม่มีทาง! เจ้าโกหก! ฝ่าบาทหรือจะเกลียดชังข้าคนนี้? อย่าลืมไปเสีย ข้าคือบิดาผู้ให้กำเนิดเขา!”

คณบดีตอบสวนทันควัน ขณะที่ตนกำลังมุ่งสมาธิทั้งหมดอยู่กับศึกสัประยุทธ์กับเย่หลีเทียน แต่ด้วยความพูดคำจาแสนยั่วยุของเซียถงที่เข้ารบกวนเขาไม่หยุดหย่อน ส่งผลให้เจ้าตัวเปิดช่องโหว่แทบทุกจุดทั่วร่างกาย เป็นการง่ายของเย่หลีเทียนสำหรับรุกเร้าโจมตี ในเวลาไม่นานนัก เนื้อตัวของคณบดีก็ปดคลุมไปด้วยบาดแผลสาหัสมากมาย

“หากองค์จักรพรรดิซีฉินมิได้เกลียดชังท่านจริง แล้วไฉนถึงไม่รับท่านกลับเข้าวังหลวงไปเสียที? แต่ดันปล่อยให้อยู่ในแบบนี้ ซึ่งมีหรือที่คนอย่างองค์จักรพรรดิซีฉินจะไม่ทราบว่า ท่านคือพ่อที่แท้จริง? อีกฝ่ายล้วนทราบทันที เพียงรู้สึกขยะแขยงเกินกว่าจะยอมรับความจริงได้ต่างหาก!”

พล่ามวาจาปั่นประสาทออกมาต่อเนื่องร่ายยาว ระหว่างนั้นเซียถงเองก็ลอบสังเกตปฏิกิริยาท่าทางของอีกฝ่ายไปพลาง เห็นว่าคำพูดประโยคนี้สามารถทำให้คณบดีโกรธจัดจนใบหน้าแดงก่ำได้ ก็พึงทราบ จุดอ่อนสำคัญอีกอย่างหนึ่งของชายแก่คนนี้ควรจะเป็นเรื่องบุตรชาย โดยไม่รีรอ นางร่ายยาวขึ้นต่อทันทีว่า

“องค์จักรพรรดิซีฉินเคยเรียกท่านว่า เสร็จพ่อสักครั้งหรือไม่? คงจินตนาการไม่ออกสิท่า ถึงความเกลียดชังที่อีกฝ่ายมีต่อท่าน! เช่นนั้นแล้ว ลองพินิจคิดตาม ทั้งหมดเป็นเพราะใครที่ทำให้องค์จักรพรรดิซีฉินซึ่งแต่เดิมควรมีสายเลือดบริสุทธิ์อยู่ในกาย ต้องกลายมาเป็นพวกมีสายเลือดที่แปดเปื้อน! ทุกวี่ทุกวัน อีกฝ่ายคงต้องเผชิญกับความเครียดมิใช่น้อย เพราะหากวันใดวันหนึ่งที่ทุกคนรู้เรื่องนี้ นั่นหมายความว่า อีกฝ่ายย่อมมีโอกาสถูกยึดบัลลังก์จากองค์ชายคนอื่นๆ ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ถูกต้องได้ทุกเมื่อ!”

สีหน้าการแสดงออกของคณบดีเริ่มดูเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ท่าร่างกระบวนกระบี่ที่ฟาดฟันออกไปของเขา ชักจะเริ่มเสียจังหวะผิดเพี้ยนไป หาได้ดูพลิ้วไสวคล่องแคล่วดั่งก่อนหน้าอีกแล้ว

เซียถงแสยะยิ้มฉีกกว้าง พูดจาถมถุยต่ออย่างไร้ปรานีว่า

“และที่สำคัญที่สุด เหตุที่องค์จักรพรรดิซีฉินเกลียดชังท่านยิ่งกว่าอะไรดีก็เพราะ สาเหตุการตายของเสด็จแม่ของตนเอง ใครกันที่ทำให้หลินหว่านเอ๋อร์ตรอมใจจนป่วยตาย? ปรากฏว่า ฆาตกรตัวจริงที่ฆ่าหลินหว่านเอ๋อร์กลับเป็นท่าน!”

“ไอ้บัดซบ! ถุย!!”

คณบดีถ่มน้ำลายขากบ้วนออกมาลงพื้นก้อนใหญ่ ตะคอกเสียงดังราวกับคนเสียสติว่า

“หว่านเอ๋อร์ไม่ได้ตายเพราะข้า! ไม่ใช่แบบนั้น! ไม่ใช่แบบนั้นเลย! นางถูกไอ้สุนัขตัวนั่นต่างหาก! ทั้งหมดเป็นเพราะมันที่ทำให้นางต้องตาย!!!”

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

Status: Ongoing
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต ได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยโฉมหน้าอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!เธอคือนักฆ่ามือวางอันดับหนึ่งแห่งยุค2018 แต่กลับถูกคนที่รักและไว้ใจที่สุดซ้อนแผนและสังหารเธอทิ้งในระหว่างภารกิจหนึ่ง ส่งผลให้วิญญาณของเธอทะลุมิติไปยังโลกอื่น! ซึ่งนางคนนี้เป็นคุณหนูสายตรงแห่งจวนเสนาบดี ใบหน้าช่างอัปลักษณ์น่าเกลียด ทว่ากลับมีพรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะพลังที่น่าทึ่ง!ในท้ายที่สุดนางได้เสียชีวิตลงเพื่อช่วยชีวิตชายที่นางรักสุดหัวใจ และนั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่วิญญาณนักฆ่าสาวสลับเข้าร่าง เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความงดงามดั่งบุปผาซ่อนพิษซึ่งเป็นจุดเด่นของเธอได้หายไป! โลกทั้งใบที่เคยรู้จักกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว! ใบหน้าอัปลักษณ์? จุดตันเถียนถูกทำลายจนกลายมาเป็นสตรีพิการบ่มเพาะพลังไม่ได้? เจ้าของร่างเก่าถูกสังหารทิ้งโดยไม่มีผู้ใดไยดี? แต่ไม่เป็นไร ทั้งทักษะการฆ่าและจิตใจของเธออันไร้เมตตายังคงอยู่ เรื่องทั้งหมดเป็นแผนการของแม่เลี้ยงกับบุตรสาวของฮูหยินรอง? ได้! ได้เลย! ทุกคนไม่ว่าใครหน้าไหนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการนี้ จะไม่มีผู้ใดสามารถหนีรอดไปได้แน่แท้! ควบคุมหมื่นอสูร หลอมกลั่นโอสถ ตียุทธ์ภัณฑ์สร้างสิ่งประดิษฐ์ แม้แต่สวรรค์ยังต้องก้มกราบข้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท