ตอนที่ 9 การอบรมสั่งสอนของมารดามู่ (2)
มู่ฮูหยินผู้เฒ่ากัดฟัน พูดอย่างเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ “เจ้าคิดว่าตระกูลจังกับตระกูลกู้พ่ายแพ้แล้วเลยสามารถทำตามใจซี้ซั้ว? แต่อย่าลืมว่าเจ้าหนูสี่นางแซ่มู่ไม่ใช่แซ่จัง คนนอกมองว่านางเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของตระกูลมู่ ตระกูลจังตกต่ำไปแล้ว เจ้ากระทำทารุณกับบุตรสาวตัวเองเกินไป คิดว่าตระกูลเรามีชื่อเสียงที่ดีแล้วอย่างนั้นหรือ หากไม่ใช่เพราะมีเกียรติของพระสนมโหรวเฟยและจวนผิงอานจวิ้นอ๋องแล้วล่ะก็ ที่สะใภ้ซุนกำลังทำอยู่ในตอนนี้ เพียงแค่พวกปัญญาชนเหล่านั้นพ่นน้ำลายคนละกองก็ถมเจ้าให้จมน้ำลายตายได้แล้ว” ไม่กี่ปีมานี้ ตระกูลกู้เพิ่งจะผ่านเหตุการณ์ถูกฆ่าล้างตระกูลมา พวกปัญญาชนก็หายไปไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นความผิดเบื้องหลังที่หนักหนาของจวนซู่เฉิงโหวคงถูกกล่าวโทษไปนานแล้ว
มู่ฉังหมิงยิ้มแหยอย่างขออภัย “ท่านแม่ ลูกผิดไปแล้ว เตี๋ยเอ๋อร์นาง…นางก็แค่ระงับโทสะนั้นไม่ได้ ถึงได้…”
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มเยาะ “นางจะระงับโทสะอะไร ในตอนที่สะใภ้จังยังอยู่ ได้กระทำรุนแรงต่อนางเกินไปอย่างนั้นหรือ หรือว่ายังไม่ได้ขอโทษนาง นางในฐานะเดิมมีอะไรต้องไม่ปล่อยวางความโกรธ? แล้วทำไมนางไม่เอาความโกรธของนางมาลงที่ข้ายายแก่คนนี้เล่า เป็นเพราะเจ้านั่นแหละที่ตามใจนาง ทุกอย่างเลยยิ่งสับสนกันไปหมด ต่อหน้าเหล่าพี่น้องของข้า ข้าเชิดหน้าไม่ขึ้นแล้ว”
มู่ฉังหมิงมองมู่ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยท่าทีที่แปลกไป “ท่านแม่ วันนี้ท่าน…”
การที่ท่านแม่ออกมาหาชิงอีเป็นเรื่องที่กะทันหันเกินไป ไม่รู้ว่าเพิ่งจะรู้สึกรักใคร่หลานสาวคนนี้? หากว่ากังวลเรื่องชื่อเสียงของจวนซู่เฉิงโหว ท่านแม่ก็ควรที่จะพูดออกมาตั้งนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงวันนี้กระมัง
มู่ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ มองไปที่มู่ฉังหมิงแล้วส่ายหน้า “เจ้าหนูสี่ไม่ทันไรก็จะสิบหกปีแล้ว ปกติชาวบ้านเขาหมั้นหมายกันตั้งนานแล้ว นิสัยเดิมของเจ้าหนูสี่นั้น ข้าคิดว่าจะหาคนที่พอๆ กันกับนางมาตกแต่งให้ตามใจ แต่ว่าครั้งนี้…ข้าดูแล้วเจ้าเด็กคนนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีแผนการในใจ ฐานะก็ดีเพียบพร้อม ก็ควรได้แต่งกับคนที่เหมาะที่ควร”
“แต่ว่าตระกูลกู้…” มู่ฉังหมิงขมวดคิ้ว มู่ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องเขม็งไปที่เขา “ข้าบอกแล้ว นางแซ่มู่ ไม่ใช่แซ่กู้ กับตระกูลกู้ไม่มีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน!”
มู่ฉังหมิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา “ขอรับ ข้าจะฟังความท่านแม่”
มู่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งเสียงแผ่วเบา “กลับไปบอกคนโปรดของเจ้าคนนั้น ประพฤติตัวให้ดี ให้รู้จักควบคุมตัวเอง อย่าทำเรื่องต่ำช้าให้เสียเกียรติอีก”
“ขอรับ ลูกจะจำไว้”
คุณหนูสี่ จากเรือนหลังเล็กท้ายสุดเรือนเดิมที่แม้แต่ชื่อยังไม่มี ข่าวการย้ายกลับมาที่เรือนหลานจื่อถูกแพร่งพรายไปทั่วจวนซู่เฉิงโหว พวกบ่าวรับใช้ต่างพากับแอบพูดถึงคุณหนูสี่ว่า ได้มีการพลิกตัวใหม่เป็นที่โปรดปรานของท่านโหวและมู่ฮูหยินผู้เฒ่าไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าคุณหนูสี่จะไม่ใช่คนโปรด ก็ยังเป็นบุตรสาวภรรยาเอกฉินกั๋วฮูหยินแห่งจวนซู่เฉิงโหวเช่นเดิม พูดตามหลักเหตุผลก็คือเป็นสายเลือดที่สูงศักดิ์ของจวนซู่เฉิงโหว ทว่าคนส่วนใหญ่ก็ดูแลคุณหนูสี่ไม่ดีเหมือนเดิม เนื่องจากอำนาจที่ฝังแน่นมานานของซุนฮูหยินในจวนแห่งนี้ ทุกวันนี้ถึงแม้ว่าจะมีฮูหยินผู้เฒ่าคอยกดไว้ แต่ว่าด้วยอายุของฮูหยินผู้เฒ่านั้น ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานเท่าไร และต่อให้เป็นมู่ฮูหยินผู้เฒ่า ก็ไม่กล้าฉีกหน้าพระสนมโหรวเฟยได้ง่ายๆ แน่
มู่ชิงอีไม่ได้กลับไปที่เรือนหลังเล็ก ตรงไปที่เรือนหลานจื่อเลย ยังคงเหมือนเดิมกับเมื่อหลายปีก่อนที่เคยมาที่จวนซู่เฉิงโหวอย่างไรอย่างนั้น ถึงแม้สะใภ้ซุนจะให้ลูกพี่ลูกน้องหญิงของนางย้ายออกจากเรือนหลานจื่อ ไป แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าให้บุตรสาวของตัวเองนั้นเข้าไปอยู่ มองไปยังบรรยากาศที่คุ้นเคยข้างหน้า ได้แต่ถอนหายใจในใจ แม้สิ่งของจะเหมือนเดิม แต่คนกลับไม่ใช่คนเดิม
จูเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังของมู่ชิงอี มองไปรอบด้านด้วยความแปลกใจ นางเข้ามาอยู่จวนแห่งนี้ก็หลังจากที่สะใภ้จังได้จากโลกนี้ไปแล้ว ตนได้เข้ามารับใช้ก็ตอนที่คุณหนูย้ายออกจากเรือนหลานจื่อไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่เคยเข้ามาที่เรือนหลานจื่อแห่งนี้ เรือนหลานจื่อเป็นสถานที่เดียวในจวนที่คู่ควรกับคุณหนูบุตรสาวภรรยาเอก ทุกอย่างสง่างามและพิถีพิถัน พื้นที่ก็กว้างใหญ่กว่าเรือนเล็กที่พวกนางเคยอยู่ก่อนหน้านี้ถึงสามเท่า
เรือนหลานจื่อทำความสะอาดไว้ได้ดีมาก การจัดวางข้าวของก็เรียบร้อย เดิมทีเป็นเพราะมู่ฉังหมิงเตรียมไว้เป็นสถานที่แต่งงานของมู่อวิ๋นหรง เครื่องเรือนด้านในนอกจากของเดิมในเรือนหลานจื่อ ยังเพิ่มของชิ้นใหม่เข้ามาอีกไม่น้อย ของพวกนี้ดูราคาก็เหมาะสมสำหรับมู่ชิงอีแล้ว เก็บก็ไม่ต้องเก็บ สามารถเข้ามาอยู่ได้เลย แค่ต้องให้คนกลับไปเก็บของที่เรือนเล็กมาที่นี่ก็เท่านั้น แต่เดิมทีก็ไม่ได้มีของมากมายและไม่ต้องเร่งรีบ
นั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้หน้าต่าง มองไปยังทิวทัศน์อันคุ้นเคยด้านนอก พอนึกถึงมู่อวิ๋นหรงที่เสร็จจากการคุกเข่าต่อหน้าศาลบรรพชนว่าจะมีทีท่าลนลานเพียงใด ก็อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าหัวเราะ
“อีเอ๋อร์ มีเรื่องอะไรน่ายินดีขนาดนั้นหรือ” ทางด้านนอกประตู เสียงชายหนุ่มดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
มู่ชิงอีขมวดคิ้วเล็กน้อย หันกลับไปมองผู้ที่มาใหม่ “พี่ใหญ่”
ผู้มาใหม่นั้นแท้จริงคือมู่เชิน มู่เชินปีนี้ก็จะอายุยี่สิบสามปีแล้ว หน้าตานับว่าหล่อเหลา แต่ว่ามู่ชิงอีนั้นไม่สนิทกับเขามากนัก เมื่อก่อนนางเป็นคุณหนูบุตรสาวภรรยาเอกจึงไม่จำเป็นต้องสนใจบุตรอนุภรรยาเท่าไร และมู่เชินก็ไม่นับว่าเป็นคนมีชื่อเสียงอะไร ระแวกหอนางโลมก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวของเขาเลย
“ยินดีกับน้องหญิงสี่ที่ได้ย้ายเรือนใหม่ด้วย” มู่เชินเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม ยื่นกล่องในมือมา “นี่นับเป็นของขวัญแสดงความยินดีให้กับน้องหญิงสี่ น้องหญิงสี่อย่าได้หมางเมิน”
จูเอ๋อร์รับกล่องที่ส่งมาตรงหน้านาง มู่ชิงอีเปิดดูสิ่งของข้างใน ข้างในคือปิ่นปักผมสีแดงสดใสหนึ่งอัน และยังมีตั๋วเงินห้าสิบตำลึงอีกหนึ่งใบ หยิบปิ่นปักผมสีแดงสดใสออกมาดู มู่ชิงอียิ้มจางๆ “ปิ่นปักผมของร้านหรูเมิ่ง พี่ใหญ่ใจดียิ่งนัก ชิงอีขอบพระคุณพี่ใหญ่เจ้าค่ะ”
“น้องหญิงสี่ตาถึงเสียจริง” มู่เชินยิ้ม “เมื่อก่อนพี่เห็นว่าน้องหญิงสี่ชอบอยู่เงียบๆ เลยไม่กล้ารบกวน ต่อไปหากน้องหญิงสี่มีเรื่องอันใด ก็ให้คนไปบอกกล่าวกับพี่ใหญ่เพียงสองสามคำเถิด”
มู่ชิงอีพยักหน้ารับของขวัญจากมู่เชินยิ้มแล้วตอบ “เจ้าค่ะ เมื่อถึงเวลานั้นชิงอีจะไปหาพี่ใหญ่ แค่พี่ใหญ่อย่ารำคาญชิงอีเท่านั้นเป็นพอ”
มู่เชินยิ้มตอบ “น้องหญิงสี่พูดหยอกล้อแล้ว จะว่าไป…น้องหญิงสี่ไม่เหมือนเมื่อก่อนจริงๆ”
สีหน้าของมู่ชิงอีสงบลง หลังจากยกมือขึ้นนวดขมับก็ถอนหายใจเบาๆ “จะเปลี่ยนหรือไม่ ก็อยู่ที่ความคิดคน”
สีหน้าของมู่เชินยังคงนิ่งเรียบ พยักหน้าแล้วพูด “น้องหญิงสี่พักผ่อนรักษาตัวดีๆ รอให้น้องหายดีแล้วพี่จะมาหาอีก”
พูดจบ มู่เชินก็ขอตัวลาไป
จูเอ๋อร์มองไปยังกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสงสัย “คุณหนู คุณชายใหญ่ทำไมมาหาคุณหนูได้ล่ะเจ้าคะ ซ้ำยังมอบของขวัญสำคัญให้อีก” มู่ชิงอีที่เล่นปิ่นปักผมในมือ พูดด้วยรอยยิ้ม” โลกนี้คึกคักก็เพื่อผลประโยชน์ โลกนี้ขวักไขว่ก็เพราะผลประโยชน์ พี่ใหญ่มอบของขวัญสำคัญให้ข้าเช่นนี้ ก็หวังจะให้ข้ามอบของขวัญที่ใหญ่กว่ากลับคืน”
จูเอ๋อร์ใบหน้างุนงง คิดไม่ออกว่าพวกนางนั้นสามารถมอบอะไรให้คุณชายใหญ่ได้บ้าง พวกนางทั้งนายและบ่าวรวมกันมากสุดมีเพียงสิบตำลึงเท่านั้น คุณหนูคงไม่ได้จะมอบเครื่องเรือนในเรือนหลานจื่อให้กับคุณชายใหญ่หรอกกระมัง
ไม่ได้สนใจความงุนงงของจูเอ๋อร์ มู่ชิงอีหลับตา ยกยิ้มแผ่วเบา “พี่ใหญ่แค่เห็นก็มองออกแล้ว ถือว่ากล้าอยู่ไม่น้อย ก็ไม่รู้สินะ…”
ไม่รู้ว่าฉลาดพอหรือไม่ แต่มู่เชินก็ค่อนข้างมั่นใจ เพียงแต่มู่ฉังหมิงบิดาที่เคารพรัก มีบุตรชายสามคน บุตรสาวสี่คน หนึ่งบุตรชายและสองบุตรสาวที่โดดเด่นที่สุดต่างก็มาจากสะใภ้ซุน ส่วนมู่ไฉ่ผิงบุตรสาวคนรองของอนุภรรยาก็ออกเรือนไปแล้ว บุตรอนุภรรยาอีกคนอย่างมู่เคอ ก็อายุเพียงสิบเอ็ดปี มู่เชินอยากได้ตำแหน่งในจวนซู่เฉิงโหว จึงอยากดึงให้นางมาร่วมมือด้วย ไม่เช่นนั้นถ้ารอให้มู่หลิงมาสืบทอดตำแหน่งต่อไป ได้เหยียบย่ำเขาไว้ใต้ฝ่าเท้าอย่างถึงที่สุดแน่