“ไหวเอ๋อร์…” หรงเซวียนตาแดงก่ำ ราวกับว่าซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
จื้ออ๋องซื่อจื่อยืนก้มหน้าราวกับว่าไม่มีความโกรธแค้นใดๆ เลย เป็นภาพสวยงามที่คนในสายเลือดราชวงศ์ใจกว้างและสามัคคีกัน
“พี่สอง อาการบาดเจ็บของท่านนั้นหนักมาก รีบกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด เผื่อว่า…หากไม่ระวังอาจจะได้ไปอยู่กับพี่ใหญ่…” องค์ชายสิบที่อยู่ข้างๆ ทนมองต่อไปไม่ได้ พูดจาอย่างคลุมเครือแปลกๆ คิดว่าใครโง่กัน จึงได้มาแสดงละครพี่น้องสายเลือดผูกพันในเวลานี้
หรงเซวียนไม่ได้โกรธแต่อย่างใด เงยหน้ามององค์ชายสิบ เอ่ยเสียงเรียบว่า “ขอบคุณน้องสิบ อาการบาดเจ็บของข้าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
“จวงอ๋อง องค์ชายสิบเอ่ยถูกต้องแล้ว ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด อย่างไรเสียอาการบาดเจ็บของท่านก็ไม่เบาเลย” หนานกงอี้เดินออกมาจากบรรดาข้าราชบริพารที่อยู่ด้านข้าง เอ่ยด้วยความเคารพ
หรงเซวียนถอนหายใจ “ขอบคุณน้องชายที่เป็นห่วง ช่างเถิด…พี่สะใภ้ใหญ่ ไหวเอ๋อร์ อย่าเศร้าไปเลย หากมีอะไรให้ข้าช่วยก็ให้ส่งคนไปหาข้าที่จวนจวงอ๋อง”
จื้ออ๋องซื่อจื่อเอ่ยด้วยอย่างนอบน้อม “พ่ะย่ะค่ะ ท่านอาสองค่อยๆ เดิน”
ยืนส่งหรงเซวียนที่ถูกหนานกงอี้พยุงออกไป จื้ออ๋องซื่อจื่อพึ่งจะหันกลับมาที่ห้องโถงไว้ทุกข์ บ่าวรับใช้คนหนึ่งก็ร้องอุทานด้วยความตกใจมาจากนอกประตู “จวงอ๋องหมดสติไปแล้ว!”
จื้ออ๋องซื่อจื่อหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อซ่อนความขุ่นเคืองในแววตา หันไปหาพระชายาจื้อแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ ข้าจะออกไปดูสักหน่อย”
ในจวนจื้ออ๋อง จวงอ๋องคุกเข่าลงต่อหน้าห้องโถงไว้ทุกข์เพื่อต้องการชดใช้ความผิด พึ่งจะออกจากจวนก็หมดสติล้มไปอยู่ที่ลาน ข่าวนี้กระจายไปทั่วเมืองหลวงภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน ดูเหมือนว่าข้าราชบริพารเจ้าเล่ห์เหล่านั้นจะนึกไม่ถึงมาก่อน แต่ความสงสัยของราษฎรที่มีต่อจวงอ๋องส่วนใหญ่ได้มลายหายไปแล้ว เดิมทีแทบจะมีเพียงความเห็นเดียวว่าจวงอ๋องสังหารพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง จากนั้นก็ค่อยๆ มีข้อโต้แย้งอื่นๆ แม้แต่ชาวบ้านต่างก็ถกเถียงกันอย่างดุเดือด
ภายในวังหลวง
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มองเจี่ยงปินที่กลับมารายงานพระราชโองการ ซักถามเรื่องสถานการณ์จวนจื้ออ๋อง เจี่ยงปินย่อมไม่กล้าปิดบัง เล่าให้ฟังอย่างละเอียด ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ได้ฟังดังนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ไหวเอ๋อร์เป็นคนดี เจี่ยงปินถ่ายทอดราชโองการไปอีก แต่งตั้งรัชทายาทซื่อจื่อหรงไหวขึ้นเป็นฉินอ๋อง”
“ข้าน้อยน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
เจี่ยงปินไม่กล้ารอช้า รับราชโองการแล้วถอยออกมาทันที
ที่สวนหลังจวนจื้ออ๋อง บรรดาองค์ชายยังไม่ได้กลับไป ฮ่องเต้ประทานบรรดาศักดิ์เพิ่มเติมให้หรงหวงเป็นองค์รัชทายาท ตอนนี้หากนับตามศักดิ์แล้วองค์รัชทายาทมีศักดิ์สูงกว่า ส่วนพวกเขาคือเชื้อพระวงศ์ แม้ว่าองค์รัชทายาทจะสิ้นพระชนม์แล้ว แต่พวกเขาในฐานะพี่น้องก็ต้องช่วยจัดการพิธีศพและดูแลห้องโถงไว้ทุกข์ที่จวนจื้ออ๋องด้วย
เพียงแต่ว่าองค์รัชทายาทยังไม่ใช่ฮ่องเต้ และพวกเขาก็ไม่ใช่คนรุ่นหลาน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องคุกเข่าเฝ้าอยู่หน้าห้องโถงไว้ทุกข์ แต่บรรดาองค์ชายอาวุโสอย่างเช่นหรงเซวียน องค์ชายห้าต่างก็ส่งบุตรชายคนโตของพระชายาเอกมาเฝ้าห้องโถงไว้ทุกข์เป็นเพื่อนจื้ออ๋องซื่อจื่อ และบรรดาองค์ชายเหล่านี้ก็ยังอยู่ในจวนอ๋องเพื่อต้อนรับข้าราชบริพารที่มาร่วมไว้อาลัยและจุดธูปบูชาอยู่ตลอดเวลา
เพียงแค่ดูตำแหน่งที่บรรดาองค์ชายนั่งก็สามารถเห็นได้ถึงความแตกต่าง หรงเหยี่ยนนั่งอยู่กับองค์ชายห้า องค์ชายเจ็ด และองค์ชายสิบ องค์ชายแปดกับองค์ชายสิบเอ็ดนั่งด้วยกัน แต่องค์ชายหกกลับนั่งอยู่คนเดียวทำให้เห็นถึงความอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด ความสัมพันธ์ขององค์ชายหกกับหรงเซวียนนั้นดีมาโดยตลอด แต่ตอนนี้สถานการณ์ของหรงเซวียนนั้นค่อนข้างละเอียดอ่อนเล็กน้อย แน่นอนว่าองค์ชายหกก็พลอยโดนบรรดาองค์ชายคนอื่นๆ กีดกันออกไปด้วย
อีกด้านหนึ่ง หรงจิ่นก็นั่งอยู่คนเดียวเช่นกัน แต่กลับสบายใจกว่าองค์ชายหกมาก เพราะว่าข้างกายเขายังมีหัวหน้าผู้ดูแลกู้ที่สวมชุดขาวนั่งอยู่ แล้วก็ไม่มีใครสนใจว่าการที่หัวหน้าผู้ดูแลนั่งโต๊ะเดียวกันกับท่านอ๋องนั้นถูกกฎระเบียบหรือไม่ ในเมื่อการที่พูดเรื่องกฎเกณฑ์กับองค์ชายเก้านั้นก็เหมือนกับสีซอให้ควายฟังอย่างไรอย่างนั้น
มู่ชิงอียกมือขึ้นมาชงชาอย่างชำนาญและสง่างาม ตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูหนาวแล้ว ชาที่นำไปต้มเลยมีรสชาติเข้มข้นกว่าชาที่ชงด้วยน้ำร้อน
หรงจิ่นเอนกายพิงต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังอย่างสบายใจ ชื่นชมการเคลื่อนไหวของชิงชิง แม้แต่ในเสื้อผ้าอาภรณ์ของบุรุษชิงชิงก็ยังคงดูสวยสดงดงามเช่นนี้ แม้ยามที่ชงชาจะดูอ่อนโยนน้อยกว่าสตรีที่สวมชุดสตรี แต่กลับมีเอกลักษณ์และความสง่างามของผู้ที่รู้หนังสือมากกว่า ซึ่งเป็นที่ดึงดูดสายตาจริงๆ สาวงามดั่งดอกไม้…ที่ตงฟังซวี่พูดก็ถือว่าไม่ผิด
“คิดไม่ถึงว่าทักษะการชงชาของหัวหน้าผู้ดูแลกู้นั้นจะไม่ธรรมดา ไม่ทราบว่าข้าจะขอดื่มสักถ้วยได้หรือไม่” หรงเหยี่ยนเดินเข้ามาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
สำหรับหรงจิ่นน้องชายผู้นี้ หรงเหยี่ยนไม่เคยคิดดูถูกเหยียดหยาม เพราะว่าตัวเขาเองก็ปีนขึ้นมาจากตำแหน่งองค์ชายธรรมดาโดยที่ไม่ได้มีใครสนับสนุน ดังนั้นเขาจึงไม่ดูถูกความสามารถและความทะเยอทะยานของบรรดาพี่น้อง ยิ่งไปกว่านั้นหรงจิ่นยังมีข้อได้เปรียบที่คนอื่นไม่มี นั่นก็คือความโปรดปรานจากเสด็จพ่อ
ในทางกลับกันหรงเหยี่ยนยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับกู้หลิวอวิ๋นผู้นี้อยู่บ้าง ตอนนี้เขาเกือบจะแน่ใจได้แล้วว่ากู้หลิวอวิ๋นผู้นี้คือจังชิงที่เขาเคยพบอยู่ที่แคว้นหวา ถ้าหากจังชิงติดตามคนตระกูลกู้ เช่นนั้นการที่เขาปรากฏตัวในแคว้นเย่ว์เป็นหัวหน้าผู้ดูแลในจวนหรงจิ่น ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าหรงจิ่นตั้งใจวางแผนเช่นนี้กันแน่
หรงเหยี่ยนไม่มีทางดูแคลนน้องชายตัวเอง และไม่มีทางดูถูกตระกูลกู้ที่มีอัครเสนาบดีหลายคน แม้ว่าตอนนี้ตระกูลกู้จะเหลือเพียงแค่ชื่อเท่านั้น
มู่ชิงอียิ้มพลางเหลือบมองหรงจิ่นที่ดูไม่พอใจเล็กน้อย ยิ้มพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “ตวนอ๋องเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญนั่งก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หรงเหยี่ยนนั่งลงข้างๆ มู่ชิงอี ชื่นชมมือทั้งสองข้างของมู่ชิงอีที่เรียวยาวราวกับหยกที่กำลังค่อยๆ เติมน้ำชงชา ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ทักษะที่พิถีพิถันเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นผู้ที่มีความสามารถแห่งแคว้นหวา” ตอนนี้ในบรรดาสามแคว้นมหาอำนาจที่แข็งแกร่ง แคว้นหวาเป็นแคว้นที่พิถีพิถันเรื่องเสื้อผ้า อาหารการกิน ถิ่นที่อยู่ และการคมนาคมมากที่สุด แม้แต่การชงชาก็มีหลากหลายวิธีและมีความพิถีพิถันมากมาย ในทางตรงกันข้าม แคว้นเย่ว์กับแคว้นเป่ยฮั่นไม่ได้ซับซ้อนมากนัก โดยเฉพาะแคว้นเป่ยฮั่น เมื่อเทียบกับชาขมที่ไร้รสชาติของพวกเขา พวกเขาจึงมักจะชอบนำชามาต้มในนมดื่ม
มู่ชิงอียิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “ข้าเพียงแค่ทำตามผู้มีบรรดาศักดิ์ ขายหน้าตวนอ๋องแล้ว”
ไม่นานกลิ่นหอมจางๆ ของชาก็ลอยออกมา รินแบ่งสามถ้วย ถ้วยหนึ่งวางไว้ตรงหน้าหรงจิ่น ถ้วยหนึ่งวางไว้ตรงหน้าหรงเหยี่ยน อีกถ้วยหนึ่งเอาไว้ให้ตัวเอง “เชิญตวนอ๋อง”
หรงเหยี่ยนหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบหนึ่งอึก ก่อนจะเอ่ยชื่นชมว่า “ชาดี มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบไผ่”
หรงจิ่นดูท่าทางเบื่อหน่าย “แน่นอนว่าเป็นชาดี น้ำที่ใช้ต้มชาคือน้ำค้างยามเช้าที่จื่อชิงเก็บมาเอง” ที่สำคัญที่สุดคือส่วนใหญ่ข้าก็มีส่วนร่วมในการเก็บด้วย ที่หรงเหยี่ยนจิบไปหนึ่งอึกนั้นก็เท่ากับความลำบากเกือบทั้งวันของข้าแล้ว
เมื่อเห็นหรงจิ่นทำแก้มป่อง มู่ชิงอีก็แอบยิ้มในใจ ‘ใครใช้ให้โอ้อวดความสง่างามกันเล่า มาจวนของคนอื่นเพื่อมาเคารพพิธีศพก็ยังนำชาดีกับน้ำค้างของตัวเองมาด้วย ถ้าหากองค์ชายท่านอื่นกล้าทำเช่นนี้ ก็คงถูกฝ่ายตุลาการรายงานต่อราชสำนักไปแล้ว’
“คิดไม่ถึงว่าหัวหน้าผู้ดูแลกู้จะมีอารมณ์ศิลป์เช่นนี้” หรงเหยี่ยนมองมู่ชิงอีด้วยสายตาที่สงบนิ่ง การเก็บน้ำค้างอย่างผู้มียศถาบรรดาศักดิ์เช่นนี้แน่นอนว่าย่อมเป็นคนที่มีความสามารถในแคว้นหวาที่กินอิ่มนอนหลับแล้วไม่มีอะไรให้ทำ จึงจะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ คนประเภทนี้…จะมีเล่ห์เหลี่ยมเท่าใดกัน
มู่ชิงอิยิ้มเล็กน้อย และไม่ได้โต้แย้งว่านี่เป็นผลงานชิ้นเอกขององค์ชายบางคนที่กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ
แม้ว่าองค์ชายคนอื่นๆ จะไม่ได้เข้ามา แต่ส่วนใหญ่กลับให้ความสนใจกับสถานการณ์ทางด้านนี้ ในฐานะองค์ชายที่เป็นที่โปรดปรานที่สุดของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ การที่หรงจิ่นเข้ามาในราชสำนักนั้นไม่ได้กระทบกระเทือนต่อจิตใจขององค์ชายเพียงแค่คนเดียว โชคดีที่หลายวันมานี้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ไม่ได้แสดงเจตจำนงที่จะให้หรงจิ่นมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ มิเช่นนั้นเกรงว่าในเวลานี้บรรดาองค์ชายเหล่านี้คงจะไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เช่นนี้แน่นอน