บทที่ 121 ความรู้สึก
บทที่ 121 ความรู้สึก
ซูโย่วอี๋หยิบกล่องข้าวขึ้นมา แต่ยังไม่ทันที่จะเปิดกล่อง กลิ่นหอมของอาหารก็ลอยออกมา ท้องของเธอก็ส่งเสียงร้องขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ “หอมจัง”
“ไก่ตุ๋นเครื่องเทศจากร้านที่เธอชอบ” ทันทีที่ลงจากเครื่องบิน ซูหยินก็ให้ผู้ช่วยของเธอไปซื้อมันมา “เวลาแบบนี้ไม่มีใครช่วยใครได้ เธอควรดูแลตัวเองให้ดีนะ”
ซูโย่วอี๋ยิ้ม “งั้นทำไมเธอถึงช่วยฉันได้ล่ะ”
ทั้งสองคนกินข้าวด้วยกัน
ไม่นาน สุ่ยเวยก็เดินเข้ามาในห้องประชุม กลิ่นของอาหารยังไม่หายไป เธอย่นจมูกขึ้นแล้วพูดว่า “สถานที่ทำงานไม่ควรเอาของมากิน หากจะกินก็ไปกินในห้องน้ำชา”
เมื่อเห็นว่าซูหยินไม่ได้พูดอะไร เธอก็หันไปยังซูโย่วอี๋ “บทพูดของคุณท่องไปถึงไหนแล้ว?”
“ท่องเรียบร้อยแล้วค่ะ”
สุ่ยเวยดึงเก้าอี้ออกมานั่ง “ซ้อมให้ฉันดูสักรอบในฐานะผู้ชมละกัน”
อาจเป็นเพราะว่าเรื่องในครั้งนี้ซูโย่วอี๋ตกเป็นผู้เสียหาย ด้วยเหตุนี้ตอนที่เธอพูดจึงเต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกต่าง ๆ ที่อัดแน่นผสมกับความคับข้องใจ
เมื่อฟังจบสุ่ยเวยก็ไม่ได้มีความคิดเห็นอะไร “ดีมาก เอาแบบนี้แหละ”
เมื่อดูเวลาก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงครึ่งแล้ว “พวกคุณสองคนตามฉันไปเตรียมตัวได้แล้ว”
ซูโย่วอี๋รู้สึกแปลก ๆ นี่เป็นงานแถลงข่าวของเธอ จะให้ซูหยินตามไปทำอะไรกัน
เมื่อถึงสถานที่จัดงานสุ่ยเวยก็แยกตัวออกมาด้านข้าง และมีพนักงานมารับช่วงต่อ ซู่โย่วอี๋จึงได้เข้าใจว่าซูหยินจะต้องเข้าร่วมการแถลงข่าวนี้ในฐานะพยาน
ซึ่งทำให้ซูโย่วอี๋ไม่พอใจเล็กน้อย “ทำไมเธอไม่บอกฉันก่อน?”
นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่ ซูโย่วอี๋ไม่ยอมเด็ดขาด
คนที่เธอไม่อยากเกี่ยวข้องมากที่สุดก็คือซูหยิน พวกคนในอินเทอร์เน็ตต่างต่อว่าเธออย่างรุนแรง และมันคงจะส่งผลไปถึงซูหยินด้วย
ซูหยินเลิกคิ้วขึ้น “ถ้ายังพูดอีกฉันจะโกรธนะ”
สิ่งที่เธอไม่ชอบในตัวโย่วอี๋มากที่สุดก็คือ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นเธอมักจะแบกรับทุกอย่างเอาไว้ด้วยตัวเอง ต่อให้เรื่องนี้สลับกัน ซูโย่วอี๋ก็คงไม่ลังเลที่จะออกตัวปกป้องเธอเช่นกัน
ระหว่างพวกเธอนั้น ไม่มีคำว่าลังเลเลยด้วยซ้ำ
ซูโย่วอี๋บ่นพึมพำ “บริษัทจัดการเองได้ เธอไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก”
การแถลงข่าวจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาที บนเวทีจัดเตรียมที่นั่งเอาไว้สามที่ เป็นที่นั่งของลู่เฉิน และที่นั่งของผู้บริหารระดับสูงอีกสองคน
ท่านประธานมาแล้ว ด้านกู่อวี๋เฉิงที่เป็นรองผู้บริหารก็รับหน้าที่เป็นผู้ดูแล
มาตรฐานระดับสูงเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ซูโย่วอี๋รอเวลาอยู่ที่ด้านหลังเวทีทำให้มองไม่เห็นผู้คน ได้ยินเพียงเสียงของลู่เฉิน
“จากการตรวจสอบข้อมูล ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้เผยผลการตรวจสอบว่า ซูโย่วอี๋หนึ่งในศิลปินบริษัทของผมได้แต่งงานในปี 2019 และในปี 2021เธอก็ได้หย่าร้าง รายงานจากนิตยสารเฟิงหยุนเรื่องการแต่งงานนี้เป็นเรื่องจริงครับ”
“นอกจากนี้ ในรายงานยังระบุว่า เธอได้มีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับผู้ชายหลายคน การนอกใจคู่สมรสที่นำไปสู่การหย่าร้างคือข่าวลือทั้งหมด ตอนนี้เทียนฉีเอนเตอร์เทนเมนท์ขอให้นิตยสารเฟิงหยุนลบเนื้อหาอันเป็นเท็จทั้งหมดในทันที และต้องออกจดหมายขอโทษสู่สาธารณชนด้วยครับ”
“จากนี้ไปหากมีการเผยแพร่ข่าวที่เป็นเท็จออกไป รวมถึงข่าวที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทและศิลปิน ทางเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์จะขอดำเนินคดีตามกฎหมายครับ”
หัวหน้าบรรณาธิการของนิตยสารเฟิงหยุนในครั้งนี้คือเจี่ยงต้าเว่ย เมื่อเขาฟังสิ่งที่ลู่เฉินพูดจนจบ เขาก็ดูไม่ได้กังวลอะไร อีกทั้งยังลุกขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ประธานลู่ ในห้องแถลงข่าวนี้มีนักข่าวตั้งเยอะ แต่คุณกลับเอาแต่พูดว่านิตยสารของพวกเรากุเรื่องขึ้นมา เกรงว่าเรื่องนี้จะไม่สามารถโน้มน้าวใจเหล่าผู้คนได้นะครับ”
เจี่ยงต้าเว่ยพบเจอสถานการณ์อย่างนี้มาหลายปี เขาจึงมีประสบการณ์อย่างโชกโชน
“การที่พวกเราเขียนรายงานเช่นนี้ก็ไม่ได้จงใจพุ่งเป้าไปที่ใคร พวกเราเป็นเพียงนักข่าวที่มีหน้าที่รายงานข้อเท็จจริง ประชาชนเองก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับรู้ความจริงเช่นกัน”
ดวงตาของลู่เฉินเต็มไปด้วยความขบขัน “บรรณาธิการเจี่ยงครับ ความเป็นมืออาชีพของคุณนั้นยอดเยี่ยมมาก ทางบริษัทได้รวบรวมหลักฐานทุกอย่างครบถ้วนแล้ว เชิญคุณรอดูด้วยตัวเองดีกว่าครับ”
เจี่ยงต้าเว่ยเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของการนั่งเทียนเขียนข่าว แค่ส่งปากกาด้ามหนึ่งให้เขา เขาก็สามารถเล่าเรื่องประสานโลกได้ทั้งใบ
เหล่านักข่าวยิ้มขึ้นอย่างเข้าใจดี
เจี่ยงต้าเว่ยทำราวกับว่ามองไม่เห็น และยังแสดงท่าทีมีความสุข “ดี งั้นตั้งตารอดูหลักฐานของประธานลู่กันดีกว่าครับ”
ในส่วนของหลักฐานนี้ ซูโย่วอี๋เป็นคนขึ้นมาบนเวทีและอธิบายด้วยตัวเอง ในเรื่องของความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมและการนอกใจ เมื่อภาพต้นฉบับในรายงานข่าวถูกปล่อยออกมาทีละภาพ เหล่านักข่าวก็เริ่มถ่ายภาพกันอย่างบ้าคลั่ง
“นี่คืออดีตสามีของซูโย่วอี๋นี่?”
“ใช่ค่ะ ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบล้วนเป็นรูปภาพส่วนตัวของพวกเราสองคนและไม่มีผู้ชายคนอื่นอยู่เลย”
“คนที่ปล่อยภาพออกมามีเจตนาตัดหน้าของคุณเฉินเฉินออก ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าผู้ชายในรูปคือคนอื่น ไม่ใช่อดีตสามีของฉัน!”
“รูปภาพแบบนี้ไม่ใช่ว่าต้องเป็นคนใกล้ชิดเท่านั้นถึงจะมีเหรอคะ?”
“คุณจะบอกว่ารูปภาพพวกนี้เป็นอดีตสามีของคุณที่ตั้งใจปล่อยภาพออกมาเหรอ?”
“มีแต่คนจับจ้องมาที่ฉัน ฉันคงไม่คิดโกหกหรอกค่ะ”
จากนั้นคลิปที่เฉินเฉินและเหอมี่มี่จูบกันบนรถก็ถูกเปิดขึ้น เหล่านักข่าวที่อยู่ในงานแถลงข่าวต่างนั่งไม่ลงแล้ว
“เรื่องมันพลิกโผเกินไปแล้ว จากคนนอกใจกลายเป็นคนถูกนอกใจ ก่อนหน้านี้ที่ฉันเคยว่าซูโย่วอี๋คงต้องขอโทษเธอแล้ว”
“เฮ้ย สุดยอด นึกว่าเธอเป็นผู้หญิงแย่ ๆ คนหนึ่งที่หาผู้ชายแสนดีเพื่อฮุบมรดก คิดไม่ถึงว่าผู้ชายแย่ ๆ คนนี้จะทิ้งภรรยาที่รักกันมาตั้งหลายปีได้ลง!”
“หึหึ คุณดูสิ จูบกันดูดดื่มขนาดนี้ ท่าทางน่าจะคุ้นเคยกันดีนะ”
“อ่า ดูไปแล้วซูโย่วอี๋คงจะถูกเข้าใจผิดจริง ๆ แต่น้ำหอมดอร่าที่จะจ้างเธอเป็นพรีเซนเตอร์ก็ยกเลิกสัญญาไปแล้วนี่”
“รูปส่วนตัวถูกเปิดเผยแบบนี้ ต้องทำให้เธอเสียชื่อเสียงแน่นอน”
แม้ว่าจะไม่เห็นจุดสำคัญ แต่ภาพนี้มันก็ดูล่อแหลมอยู่ดี ส่วนของหน้าอกถูกเปิดออกมาครึ่งหนึ่ง บางภาพก็เป็นภาพเปลือยที่เห็นเพียงด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าเป็นรูปที่ถูกแอบถ่าย
ซูโย่วอี๋นึกถึงคำที่สุ่ยเวยพูด เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นเธอจะต้องร้องไห้เพื่อขอความเห็นใจ ก็คือตอนที่รู้ว่าเฉินเฉินนอกใจและตัวเองยังเตรียมอาหารเพื่อรอให้เขากลับบ้าน น้ำตาของเธอก็ไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เธอไม่ได้ร้องคร่ำครวญ เพียงแค่น้ำตาไหลออกมาเฉย ๆ หยดน้ำตาใสร่วงหล่นมาจากดวงตา ทำให้ผู้คนอดคิดตามไม่ได้ว่าเธอต้องทนกับความเจ็บปวดมามากแค่ไหน
อารมณ์ของผู้คนในอินเทอร์เน็ตก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
[โย่วโย่วขอโทษนะ ฉันไม่ควรสงสัยเธอเลย]
[เหมือนมองเห็นตัวเองเลย เป็นรักแรกและได้แต่งงานกัน แต่ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันฉันเพิ่งรู้ว่าเขาแอบคบอยู่กับเพื่อนร่วมงาน และผู้หญิงคนนั้นก็ท้องอยู่ด้วย]
[พวกผู้ชายนี่คิดถึงแค่เรื่องร่างกายช่วงล่างรึไง?]
[เป็นอีกวันที่ฉันกลัวการแต่งงานและการมีลูก ทางเดียวที่จะไม่ถูกหลอกก็คือห้ามรัก ห้ามแต่งงาน]
[ผู้หญิงร้าย ผู้ชายเลว เชิญนักเลงคีย์บอร์ดเริ่มสงครามได้]
[ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ถ้าไม่รักแล้วทำไมไม่หย่ากันก่อน? แต่กลับไปหาผู้หญิงคนอื่นแบบนี้ ไปตายซะเถอะผู้ชายสารเลว]
เมื่อได้ยินคำพูดคุยของคนที่อยู่ด้านล่างเวที ซูโย่วอี๋รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มเป็นไปอย่างที่เธอต้องการแล้ว เธอจึงค่อย ๆ ปรับอารมณ์เพื่อหยุดการแสดงนี้
แต่จู่ ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาตรงหน้า และเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้กับเธออย่างเบามือ
กลิ่นอันคุ้นเคย ลู่เฉิน…
ซูโย่วอี๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรับหยิบผ้าเช็ดหน้ามา และตอบกลับด้วยเสียงต่ำ “ประธานลู่ ฉันเช็ดเองค่ะ”
ถ้าเธออายุยังน้อยและต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็คงจะกรีดร้องออกมาแล้ว
[พระเจ้า ประธานลู่แสนอบอุ่นจริง ๆ ถึงกับเช็ดน้ำตาให้ซูโย่วอี๋ด้วยตัวเองเลย]
[สาว ๆ ทุกคน ฉันขอย้ำอีกครั้งนะคะ ลู่เฉินเป็นคนที่รักความสะอาด แต่ทำไมถึงดูไม่รังเกียจซูโย่วอี๋เลยล่ะ]
[ฉันได้กลิ่นแปลก ๆ หรือนี่จะเป็นกลิ่นความรัก]
[ปกป้องกันอย่างเปิดเผย ประธานจอมเอาแต่ใจ]
[จับตาดูคู่นี้เอาไว้ ฉันรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง]
เฉินเฉินเองก็กำลังตามดูงานแถลงข่าวนี้อยู่ และทันทีที่เห็นภาพลู่เฉินเช็ดน้ำตาให้กับซูโย่วอี๋ เขาก็กำมือแน่น
ถ้าพูดถึงเมื่อวานนี้ที่ซูโย่วอี๋บอกว่าเธอชอบลู่เฉิน เฉินเฉินยังหลงคิดไปว่าที่เธอพูดแบบนั้นก็เพื่อต้องการทำให้เขาหึง อย่างน้อยมันก็ทำให้เขารู้ว่า เธอยังสนใจเขาอยู่
แต่สถานการณ์ตอนนี้กลับมากเกินไปกว่าที่เขาคาดไว้
จากสัญชาตญาณของผู้ชายด้วยกัน ลู่เฉินจะต้องรู้สึกอะไรกับซูโย่วอี๋แน่ ๆ!