บทที่ 149 ถ้าคุณชอบผมก็จะทำ
บทที่ 149 ถ้าคุณชอบผมก็จะทำ
ชดเชย?
ถ้าเธอได้ยินคำพูดพวกนี้ก่อนคบกัน แน่นอนว่าเธอจะต้องคิดว่ามันเป็นค่าชดเชยที่ร้ายแรงแน่ แต่ทำไมพอได้ฟังตอนนี้แล้วรู้สึกแปลก ๆ ชอบกล
แต่หลังจากที่นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันในห้องทำงาน ซูโย่วอี๋ก็ใจเต้นแรงจนหน้าแดงขึ้นมา และหลบสายตาไม่กล้าสบตาลู่เฉิน
บรรยากาศที่ดูคลุมเครือก่อตัวขึ้นรอบ ๆ ตัวของทั้งสองคน
เดิมทีลู่เฉินแค่อยากแกล้งซูโย่วอี๋เล่น ๆ ไม่ได้อยากจะทำอะไรจริง ๆ แต่เมื่อเห็นท่าทางเขินอายของเธอ จึงรู้เลยว่าเธอคิดไปไกลแล้ว
ดวงตาที่ดูว่านอนสอนง่าย ท่าทีเชื่อฟัง คอเรียวเล็กที่ราวกับว่าจะถูกหักด้วยมือข้างเดียวได้ ใบหน้าขาวใสส่องสว่างอยู่ใต้แสงไฟ
รูปร่างที่บอบบางแบบนี้สามารถกระตุ้นความปรารถนาในใจของผู้ชายได้ดีที่สุด
ลู่เฉินเหมือนตกอยู่ในภวังค์ แต่เขายังมีความยับยั้งชั่งใจได้อยู่ จึงทำเพียงเอื้อมมือออกไปแตะที่ผมของซูโย่วอี๋เบา ๆ “ผมมีคำถามอยากถามคุณ”
ทันใดนั้นเขาก็ดูจริงจังขึ้นมา นี่มันเรื่องอะไรกัน
ซูโย่วอี๋ถูกกระตุ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังของเขา และความคิดอันน่าอายของเธอค่อย ๆ จางหายไป “อะไรคะ?”
“ผมดูเป็นยังไง?”
ซูโย่วอี๋ “?”
“ตอบผมมา”
“หล่อค่ะ”
หากจะใช้คำอธิบายในนิยาย [รักในฝัน] เขาดูเหมือนคนที่เพียบพร้อมมากับอนาคตที่สดใส รอยยิ้มเหมือนแสงจันทร์อันสว่างไสว
เขาในตอนนี้คู่ควรกับคำว่าไม่มีใครในโลกเปรียบเทียบได้มากที่สุดแล้ว การตอบกลับไปแค่ว่าหล่อดูจะน้อยเกินไปด้วยซ้ำ ซูโย่วอี๋จึงพูดเสริมขึ้น “หล่อมาก”
หลังได้ยินอย่างนั้นลู่เฉินก็กระตุกยิ้มมุมปาก “งั้นคุณไม่ชอบผมเหรอ? การตอบตกลงเป็นแฟนผมแค่ความคิดชั่ววูบหรือเปล่า? ถ้าเกิดพบกับคนที่ดีกว่าก็จะทิ้งผมไปหรือเปล่า?”
“ไม่มีทาง”
ลู่เฉินนิ่งไปชั่วครู่ “ตั้งแต่เราสองคนคบกันมา ตอนนี้คือช่วงเวลาเปิดใจต่อความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง จูบนิดหน่อยจะเป็นไรไป?”
เธอคิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะพูดออกมาตรง ๆ แบบนี้ ซูโย่วอี๋รู้สึกร้อนผ่าวไปถึงหู
“หรือคุณจะบอกว่าทักษะการจูบของผมไม่ดีพอ?”
ซูโย่วอี๋จ้องไปยังริมฝีปากของลู่เฉินและเริ่มจินตนาการไปไกล ทักษะของเขาไม่ได้แย่เลยสักนิด จากการจูบทั้งสองครั้งที่ผ่านมา ทุกครั้งเขาเป็นฝ่ายควบคุมเสมอ และซูโย่วอี๋เองก็รู้สึกดีกับมัน
เธอเลียริมฝีปากตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ก่อนที่จะกลืนน้ำลายลงไป ในใจสั่นไหวอย่างอธิบายไม่ถูก
หากลู่เฉินใช้ความหล่อเหลาของเขายั่วยวนเธอ ซูโย่วอี๋คิดว่าตัวเองคง… คงไม่สามารถต้านทานมันไหวแน่
เสียงแผ่วเบากระซิบที่ข้างหู “ผู้หญิงลามก”
ลู่เฉินเอนตัวไปขบติ่งหูของเธออย่างชำนาญ ลมหายใจร้อนผ่าวรดลงที่ต้นคอ “ต่อหน้าผมไม่ต้องฝืนหรอก ผมดีใจซะอีกถ้าช่วยคุณได้”
ซูโย่วอี๋รู้สึกเสียววาบจนต้องกำมุมผ้าห่มไว้แน่น ในใจรู้สึกไม่สงบ พูดอย่างกับว่าเธอเป็นคนลามกจริง ๆ แต่เสียงที่พูดออกมาราวกับเสียงของลูกแมว “ฉันไม่ได้หลงคุณขนาด…”
น้ำเสียงเย้ายวน ราวกับกำลังออดอ้อนอ้อมกอดจากผู้เป็นนาย
ลู่เฉินอดใจไม่ไหว และจูบลงที่คอของเธอด้วยริมฝีปากและลิ้นอย่างห้ามไม่อยู่ พร้อมพูดขึ้น “โอเค ผมหลงเอง ถือซะว่าเห็นใจผมเถอะ”
ซูโย่วอี๋รู้สึกหลงใหลและเขินอาย ใครจะไปคิดว่าคนที่ดูมีความยับยั้งชั่งใจอย่างลู่เฉินจะพูดถ้อยคำแบบนี้ออกมาได้
“งั้น แค่แป๊บเดียวนะ”
ลู่เฉินไม่ตอบกลับ เขากอดและดันให้ซูโย่วอี๋นอนลงบนเตียงพร้อมกับลิ้มรสริมฝีปากของเธอ ปล่อยให้ความปรารถนาทำงานอย่างบ้าคลั่ง
“แค่แป๊บเดียว คงไม่ได้แล้ว”
กลางดึก ช่วงเวลานี้ลู่เฉินยังคงกอดเธอไว้ไม่ปล่อย ซูโย่วอี๋เข้าใจแล้วว่าอะไรที่เรียกว่าแค่แป๊บเดียวไม่ได้แล้ว
ท่ามกลางความมึนงง เธอดึงมือของเขา “ลู่…ลู่เฉิน ไม่เอาแล้ว”
หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไปพรุ่งนี้เธอได้ลุกจากเตียงไม่ไหวแน่
“เรียกผมว่าสามีก่อน”
ซูโย่วอี๋อยากให้ลู่เฉินรีบปล่อยเธอจึงจำใจ “สามี”
จู่ ๆ ลู่เฉินก็เงยหน้าขึ้น และเห็นว่าซูโย่วอี๋ถูกเขาแกล้งจนหางตาแดงช้ำ พร้อมกับมีหยดน้ำตาอยู่น้อย ๆ
เขาจูบซับน้ำตาจากหางตาของเธอด้วยความรัก และพูดขึ้นด้วยเสียงแหบอย่างเอาแต่ใจ “ขอโทษนะ ผมอดกลั้นมานานแล้ว”
เขากลับเริ่มรุกรุนแรงมากขึ้น…
วันถัดมา ซูโย่วอี๋นอนจนถึงสิบเอ็ดโมงกว่าถึงตื่นขึ้น เธอพลิกตัวไปมาด้วยความเจ็บไปทั่วร่าง
เธอจ้องมองไปยังเพดานที่ว่างเปล่าอย่างช่วยไม่ได้ ปากก็ต่อว่าลู่เฉิน “ไร้มนุษยธรรม”
เมื่อคืนนี้เธอขอร้องเขาไม่หยุด แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยเธอไป
แถมตอนนี้ยังทิ้งให้เธออยู่บ้านคนเดียวอีก
ลู่เฉินใจร้ายเกินไปแล้ว!
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเดินอยู่ด้านนอก สิ่งแรกที่ซูโย่วอี๋คิดคือซูหยินมาแล้ว จึงรีบห่อตัวเองให้แน่น เห็นได้เพียงส่วนหัว
แต่กลับพบว่าเป็นลู่เฉินที่ผลักประตูเข้ามาอย่างหน้าระรื่น “ตื่นแล้วเหรอ?”
“ไม่ไปทำงานเหรอคะ?”
ลู่เฉินเดินเข้ามา “อืม ผมไม่วางใจให้คุณอยู่คนเดียว”
ถือว่าเขายังคิดได้
“คุณลงจากเตียงไหวไหม?”
ซูโย่วอี๋นึกถึงภาพสงครามอันดุเดือดเมื่อคืนนี้ จึงกัดฟันพูดขึ้น “ทำไมจะไม่ไหว”
เธอเตรียมตัวลุกขึ้นจากเตียงเพื่อพิสูจน์ให้เขาดู ใครจะรู้ว่าทันทีที่เท้าเธอแตะพื้นขาก็อ่อนยวบ ยังดีที่ลู่เฉินอยู่ใกล้ ๆ กอดเธอไว้ได้ทัน
“ไม่ต้องดื้อหรอก กลับไปพักที่เตียงเถอะ”
ซูโย่วอี๋หดหู่ใจเล็กน้อย จึงได้ตีเขาไปเต็มแรง “เป็นเพราะคุณนั่นแหละ”
ลู่เฉินอ้อนเธออย่างน่ารัก “ครั้งต่อไปผมจะอ่อนโยนนะ”
ยังมีครั้งต่อไปอีกเหรอ?
ซูโย่วอี๋โกรธจนพูดไม่ออก
และในตอนที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัวลู่เฉินก็จูบเธอ จนซูโย่วอี๋หันหน้าไปอีกด้านหนึ่ง
ดูแล้วคงจะโกรธจริง ๆ
ลู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ผมผิดไปแล้ว โอเคไหม?”
“จะไม่มีครั้งต่อไปแน่นอน”
“ผมรับปาก ครั้งต่อไปผมจะรอให้คุณอนุญาตก่อน”
ซูโย่วอี๋หันหน้ากลับมา และเห็นท่าทางสาบานของเขา จึงเริ่มเชื่อ “พูดแล้วห้ามคืนคำ?”
ลู่เฉินจับมือเล็ก ๆ ของเธอ “ไม่คืนคำ”
เขาเก็บไรผมของเธอไปทัดเอาไว้ที่หลังหู “ที่ผมพูดเมื่อกี้ผมจริงจังนะ คุณยังเจ็บอยู่หรือเปล่า เมื่อวานหลังจากล้างตัวก็ทายาให้แล้ว ถ้ายังเจ็บอยู่ผมจะช่วยทายาให้อีก”
ทายา!
ซูโย่วอี๋ดูระแวดระวัง “คุณทายาตรงไหน?”
สีหน้าของลู่เฉินจริงจังก่อนที่จะชี้ไปยังจุดหนึ่งใต้ผ้าห่ม “ตรงนี้”
ซูโย่วอี๋หน้าแดงก่ำขึ้นในทันที ทำไมเขาถึง…
ไม่มีหน้าไปเจอใครแล้ว
ซูโย่วอี๋รู้สึกอาย เธอเปลี่ยนจากการนั่งเป็นนอนพร้อมกับดึงผ้าห่มมาคลุมไว้ที่แก้ม เธอกัดฟันและพูดขึ้น “ลู่เฉิน คุณรีบออกไปเลย”
“ฉันไม่อยากเห็นคุณตลอดอาทิตย์นี้ ไม่สิตลอดเดือนนี้เลย”
ฮือออ เขามันสัตว์ร้ายในคราบคนดีชัด ๆ
ลู่เฉินไม่กล้าล้อเล่นอีก “ผมโกหก ไม่ใช่ตรงนั้น”
ซูโย่วอี๋ไม่เชื่อ “ออกไป”
“ไม่ใช่จริง ๆ ถ้าผมโกหกผมก็ไม่ใช่คนแล้ว”
แต่ในสายตาของซูโย่วอี๋ ตอนนี้ลู่เฉินไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นคำพูดของเขาไม่มีอะไรที่เชื่อถือได้
ลู่เฉินรู้สึกหมดหนทาง เอื้อมมือไปดึงผ้าห่มแต่มันกลับไม่ขยับ และเขาก็ไม่กล้าใช้แรงบังคับซูโย่วอี๋ “เมื่อคืนอาบน้ำเสร็จ ผมก็อุ้มคุณกลับมา แล้วก็เห็นว่าข้อมือของคุณมีแผลถลอกก็เลยทายาให้”
ซูโย่วอี๋ลองดูข้อมือซ้ายของเธอก็เจอรอยแดงอยู่จริง ๆ และตอนนี้มันเริ่มตกสะเก็ดแล้ว
“ไม่ได้หลอกฉันนะ?”
ลู่เฉินยิ้ม “ไม่ได้หลอก”
ถึงว่ามันแปลก ๆ
แต่แฟนของเขาขี้อาย เขาเลยทำอะไรไม่ได้
“ผมต้มโจ๊กเอาไว้ คุณกินหน่อยไหม?”
ซูโย่วอี๋หายโกรธลงไปบ้าง สักพักหนึ่งก็ตอบกลับด้วยเสียงอู้อี้ “อืม”
ลู่เฉินไปยังห้องครัวและตักโจ๊กใส่ถ้วยใบเล็กมาป้อนเธอทีละคำ ๆ
กินจนอิ่ม ซูโย่วอี๋ก็อารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว “คุณทำเองเหรอ?”
“อืม เพื่อขอโทษที่ทำผิดต่อคุณ อย่าโกรธเลยนะ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะความผิดก็จะไม่ทำเหรอ?”
ลู่เฉินหัวเราะอย่างสดใส “ถ้าคุณชอบผมก็จะทำ ทำให้ได้ทุกเวลาเลย”
อย่างนี้ค่อยน่าฟังหน่อย!