บทที่ 354 พ่อของนายเจ๋งที่สุดในโลก
บทที่ 354 พ่อของนายเจ๋งที่สุดในโลก
ในตอนเช้า ซูโย่วอี๋ตื่นเช้ามาก เมื่อลงไปชั้นล่างก็พบฮันเจ๋อเหยียนกำลังออกไปข้างนอก ซูโย่วอี๋พยักหน้าเป็นการทักทายและเห็นว่าขอบตาของเขาคล้ำเล็กน้อย
“พี่หลับไม่สนิทเหรอ?”
“ใช่”
เสียงของฮันเจ๋อเหยียนอู้อี้ ดูไม่มีความสุข
ใช่ ไม่ว่าใครที่ถูกภรรยาไล่ลงจากเตียงก็คงไม่ดีใจทั้งนั้น
ซูโย่วอี๋ถามอย่างเป็นกันเองว่า “เสิ่นเฉียวตื่นหรือยังคะ?”
“ยัง”
ดวงตาของฮันเจ๋อเหยียนมืดมนลง เมื่อคืนที่ผ่านมาเสิ่นเฉียวมองเขาเหมือนอย่างกับเป็นใจรอย่างนั้นแหละ เขานอนไม่หลับทั้งคืน แม้ว่าฮันเจ๋อเหยียนจะสัญญาหลายครั้งว่าจะไม่แตะต้องเธอ แต่เสิ่นเฉียวก็ยังคงดูระแวงไม่หาย
ทั้งสองอยู่กันจนดึกดื่น
ตอนเขาลุกขึ้น เขามองไปด้านข้าง ตาของเธอปิดแน่น และขนตาของเธอม้วนขึ้น
มันดูน่ารักมาก
หลังอาหารเช้า ซูโย่วอี๋ขับรถไปส่งซุ่ยซุ่ยที่โรงเรียน และพูดคุยกับครูใหญ่สักพัก ครูใหญ่ดูจะชอบซุ่ยซุ่ยมาก ชมว่าเขาทั้งฉลาด มีเหตุผล และสุภาพ ทั้งยังถามซูโย่วอี๋เสมอว่าเขาได้รับการสอนมาอย่างไร
ซูโย่วอี๋ยิ้มและขอให้ครูช่วยดูแลลูกชาย
ในห้องเรียน ซุ่ยซุ่ยวางกระเป๋านักเรียนไว้บนโต๊ะ เด็กหลายคนรุมล้อมเขาและถามด้วยความสงสัย “ซุ่ยซุ่ย พ่อของนายซื้อของเล่นให้ไหม?”
ซุ่ยซุ่ยพูดด้วยใบหน้านิ่ง “ไม่”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เด็กที่กระตือรือร้นก็มีสายตาผิดหวัง หันศีรษะไปแล้วเม้มปาก หลังจากแน่ใจแล้วว่าซุ่ยซุ่ยไม่มีของเล่นจริง ๆ ก็พูดขึ้น “พวกผู้ใหญ่ชอบโกหก พ่อของซุ่ยซุ่ยก็เหมือนกัน”
ชั้นเรียนแรกคือการดูการ์ตูนภาษาอังกฤษที่ช่วยปลูกฝังสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้กับเด็ก ๆ แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับซุ่ยซุ่ย เขาเติบโตในต่างประเทศ และภาษาอังกฤษก็เป็นภาษาที่สองของเขา เด็กชายจึงสื่อสารได้อย่างสบาย ๆ
ก่อนเริ่มเรียน ครูประจำชั้นเข้ามาและปรบมือเรียกเด็ก ๆ ที่วิ่งวุ่นให้กลับไปที่นั่ง “วันนี้พ่อของซุ่ยซุ่ยมอบของขวัญให้เด็ก ๆ ทุกคนจ้ะ”
“ทุกคนอยากดูไหม?”
“อยาก!”
เหล่าเด็กซนยกมือแล้วตะโกน
คุณครูประจำวิชาผายมือไปทางประตู ทางครูประจำชั้นจึงลากกล่องใบใหญ่สองใบเข้ามา แต่เพราะปากกล่องปิดสนิท เด็ก ๆ จึงมองไม่ออกว่าข้างในเป็นอะไร
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก ๆ ทั้งหมดต่างมองไปที่ซุ่ยซุ่ย “ของขวัญอะไรเหรอ?”
ซุ่ยซุ่ยนั่งตัวตรง ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างสับสน
จนกระทั่งคุณครูหยิบทรานส์ฟอร์เมอร์ออกมาจากกล่อง เด็ก ๆ ทุกคนก็โห่ร้อง
“ว้าว!”
“ทรานส์ฟอร์เมอร์! ทรานส์ฟอร์เมอร์ตัวโปรดของฉัน!”
พวกเด็กหญิงทำหน้ามุ่ย “ที่แท้ก็อันนี้นี่เอง”
ทุกคนมีทรานส์ฟอร์เมอร์อยู่ในมือ และเหลือเวลาระหว่างชั้นเรียนไม่มาก ครูประจำชั้นจึงรีบเอ่ย “เด็ก ๆ ต้องพูดอะไรกับซุ่ยซุ่ยเมื่อคุณได้รับของขวัญจากซุ่ยซุ่ยคะ?”
“ขอบคุณคร้าบ/ค่า!”
เสียงกริ่งของชั้นเรียนดังขึ้น ครูประจำชั้นเดินออกไป และครูประจำวิชาก็เดินขึ้นไปบนโพเดียม
ซุ่ยซุ่ยรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังสะกิดหลังเขา “ซุ่ยซุ่ย”
เด็กน้อยที่อยู่ข้างหลังตะโกนเบา ๆ “ขอบคุณนะ”
“พ่อของนายเจ๋งที่สุดในโลก”
ซุ่ยซุ่ยผงะไปแต่ไม่ได้พูดตอบอะไร
เด็กชายข้างหลังก็ไม่สนใจเช่นกัน เขาเพียงแค่แตะทรานส์ฟอร์เมอร์ของตัวเองอย่างเงียบ ๆ ขณะฟังที่คุณครูสอน
หลังจากรอจนถึงพักเที่ยง ในที่สุด พวกเด็กผู้ชายก็ได้เวลาเล่นกับทรานส์ฟอร์เมอร์ ซุ่ยซุ่ยที่ไม่ได้สนใจมันนักค่อย ๆ แกะของออกจากกล่อง
ข้างในนั้นมีโน้ตเล็ก ๆ อยู่ ซึ่งบอกว่าขอให้เด็กชายฮันเจียมู่มีวันที่มีความสุข
มุมปากของซุ่ยซุ่ยยกยิ้มเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น
เขามีความสุขจริง ๆ
…
วิทยาลัยฮิลเบิร์ต
ซิดรวบรวม USB และส่งให้กับกรรมการคุมสอบ และคนที่รับผิดชอบบังเอิญเป็นคณบดีดนตรี
คณบดีมองไปที่ USB บนโต๊ะโดยไม่ได้สนใจมันมากนัก แต่กลับเป็นกังวลกับสถานการณ์ล่าสุดของซิด “การเตรียมตัวออกแบบหลักสูตรกลางภาคของเธอเป็นยังไงบ้าง?”
“เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ”
คณบดีพยักหน้า “แผนกของเราได้ที่หนึ่งต่อเนื่องมาสามปี พวกเราต้องพยายามกันอีกในปีนี้ เธอมีความสามารถ อาจารย์เชื่อมั่นในตัวเธอ”
ซิดรู้สึกมั่นใจกับงานของเขามาก “ผมจะทำตามความคาดหวังของอาจารย์ครับ”
แต่คณบดียังมีสิ่งที่ต้องทำ เขาชี้ไปที่ USB “เร็ว ๆ นี้จะมีประเมินการออกแบบหลักสูตรกลางภาคของเธอ ฉันไม่มีเวลาดูชั้นเรียนอบรม เธอเอาพวกนี้ไปคัดเลือกเบื้องต้นได้เลย แล้วเก็บผลงานไว้สัก 10 อันก่อนส่งให้ฉันนะ”
พูดพลางลูบนิ้ว “ตกลงครับ จะเอาเมื่อไหร่ครับ?”
“ไว้เธอค่อยดูตอนมีเวลาก็ได้”
ซิดหยิบ USB กลับมา
เปิดคอมพิวเตอร์และสุ่มหยิบ USB มาหนึ่งอัน ประเภทของงานคือเพลงบรรเลง
มันดูธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ
ซิดอดทนฟังและโยนมันลงถังขยะ ระดับนี้ไม่เพียงพอต่อการเข้าวิทยาลัยฮิลเบิร์ตแน่นอน
หลังจากดูไป 2-3 อัน ซิดก็หยุดทุกอย่างและวางแผนที่จะดูต่อในอีกสองวัน สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการปรับปรุงการออกแบบหลักสูตรของเขา
การออกแบบหลักสูตรกลางภาคเป็นหนึ่งในการแข่งขันทางวิชาการไม่กี่รายการในวิทยาลัย คะแนนที่จะผ่านการจัดอันดับคิดเป็น 40% ของเกรดสุดท้าย และงานออกแบบจะถูกเล่นบนหน้าจอขนาดใหญ่ในจัตุรัสกลาง
นักศึกษาเข้าร่วมโหวตได้ ส่วนนี้ไม่มีผลกับคะแนนไฟนอล แต่ผลงานที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 อันดับแรกจะมีคะแนนพิเศษในการประเมินทุนและด้านอื่น ๆ
ในวันหนึ่ง คณบดีโทรมาหาซิดและบอกเขาว่าทางวิทยาลัยตัดสินใจรวมผลงานของชั้นเรียนฝึกอบรมฉายที่หน้าจอของจัตุรัสกลาง
ซิดต้องยอมรับว่าเขาได้ทิ้งผลงานห่วย ๆ ไปหลายชิ้น
ซึ่งคณบดีไม่ได้ตำหนิเขา “[เธอขอสำเนาจากพวกเขาใหม่และมอบให้กับสหภาพนักศึกษา แล้วก็ส่งรายการที่เธอคิดว่าไม่เลวมาให้ฉันภายในสองวันล่ะ]”
“[พวกคนอวดรู้แก่ ๆ ที่เป็นกรรมการคุมสอบอยากเห็นน่ะ]”
ซิดรีบตกลง ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะต้องทำงานล่วงเวลาเสียแล้ว
หลังจากวางสาย ขั้นแรกเขาบอกอาจารย์ประจำชั้นฝึกอบรมถึงสาเหตุที่ USB เสียหาย และของานอีกครั้ง เพื่อจัดเรียงลงในโฟลเดอร์และส่งไปยังสหภาพนักศึกษา
จากนั้นก็เปิดดูทีละอัน
งาน ๆ หนึ่งอาจยาวถึง 10 นาทีและอย่างสั้นที่สุดก็ประมาณ 3 นาที ทำให้ซิดเหนื่อยเล็กน้อยหลังจากดูไปมากกว่าหนึ่งโหล
เขาชงกาแฟให้ตัวเองแล้วกลับไปทำงานต่อ
นาฬิกาเริ่มชี้ไปเลขสอง
ซิดบอกกับตัวเองว่าขอฟังอีกสักอัน แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับมาฟังใหม่แล้วกัน
เขาคลิกเมาส์ แถบเล่นเพลงปรากฏขึ้นและแสดงชื่อเพลง
เพลง ‘พัวพัน’ ซึ่งร้องโดยหลินลี่
ร้องโคฟเวอร์โดย ฮันโย่วอี๋
สายตาของซิดจับจ้องไปที่ชื่อเธอ
เสียงเพลงดังขึ้น ซิดผ่อนคลายก่อนเอนกายลงบนเก้าอี้
เขาชอบหลินลี่มาก นอกจากเขาแล้ว คนในวิทยาลัยกว่าครึ่งก็เป็นแฟนของรุ่นพี่หลินลี่ อีกทั้งวิทยาลัยฮิลเบิร์ตยังตั้งคลาสการวิจัยหลักสูตรของหลินลี่เป็นพิเศษ
เมื่อเทียบกับเพลงที่ทำโดยพวกมือใหม่ที่ไม่รู้จักแล้ว ซิดยังได้ฟังเพลงของหลินลี่เป็นครั้งคราว
เสียงของผู้หญิงขับร้องอย่างช้า ๆ และฉะฉาน
บอกเล่าถึงความเศร้าโศก ความทุกข์ และความรู้สึกไม่รู้จบ
ทั้งยังมีความโล่งใจอีกด้วย
ซิดตกใจ
หากไม่ใช่เพราะความแตกต่างระหว่างเสียงของซูโย่วอี๋และของหลินลี่ เขาคงสงสัยว่าหลินลี่เป็นคนร้องเพลงด้วยตัวเอง!
มันสมบูรณ์แบบ!
จบเพลง ความง่วงของซิดหายเป็นปลิดทิ้ง เขาลุกจากเก้าอี้เดินวนไปรอบห้อง
ตื่นเต้น ดีใจ ยากจะบรรยาย คิดถึง…
เขาคิด ในที่สุดปีนี้คนจากชั้นเรียนอบรมก็จะได้เข้าเรียนทางการแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น ซิดเดินเข้าไปในห้องทำงานของคณบดีด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวและดวงตาที่เหนื่อยล้า เขามอบ USB ที่บรรจุผลงานสิบชิ้นให้อีกฝ่าย
คณบดีเงยหน้าขึ้นมองเขา “นอนไม่หลับเหรอ?”
ซิดพึมพำ “คณบดีมีงานชิ้นหนึ่งที่ผมคิดว่าคุณควรดู”
“มีอะไรกัน? มันดีมากเหรอ?”
ซิดพยักหน้าอย่างเคร่งเครียด “ในความคิดของผม ผลงานของเธอดีกว่านักศึกษาส่วนใหญ่ และงานวิจัยของเธอเองก็มีค่ามากกว่าผลงานเสียอีก”
“โอ้?”
คณบดีรู้สึกประหลาดใจที่เห็นซิดให้คะแนนสูงแบบนี้ และวางเรื่องทั้งหมดไว้ทันที จากนั้นเสียบ USB กับคอมพิวเตอร์
“อันไหน?”
“งานแรกครับ”
คณบดีคลิกที่มันและบทเพลงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น
“เพลงของหลินลี่”
ก่อนที่ซูโย่วอี๋จะเริ่มร้องเพลง มีคนวิ่งเข้ามาจากข้างนอก ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแมดดิสัน อธิการบดีของวิทยาลัยฮิลเบิร์ต
คณบดียืนขึ้น “มีเรื่องอะไรครับ?”
แมดดิสันสูดลมหายใจเข้าเล็กน้อยและกำลังจะพูด แต่ตอนนั้นเอง เสียงของซูโย่วอี๋ก็ดังขึ้น
แมดดิสันหยุดชะงัก เขาตั้งสมาธิ และรอจนกว่าการร้องเพลงจะจบลงก่อนที่จะพูดว่า “ฉันเพิ่งผ่านไปที่จัตุรัส และเพลงนี้กำลังเล่นบนจอขนาดใหญ่ ก่อนฉันจะพบว่าเป็นนักศึกษาในชั้นเรียนอบรมที่เป็นคนร้องเพลงนี้”
“มีพรสวรรค์ขนาดนี้ เราควรให้เธอผ่านการประเมินโดยไม่มีเงื่อนไขและให้เธอเรียนในวิทยาลัย”
หลังจากฟังเพลงจบคณบดีก็มีอารมณ์ท่วมท้น “ผมเกรงว่านักวิชาการเฒ่าที่ศึกษาการร้องเพลงของหลินลี่จะแห่มาหาคุณเพื่อแย่งตัวเธอจนคุณต้องปวดหัวแน่”
แมดดิสันยิ้มกว้างจนสุดหู “ถ้าได้คนมีพรสวรรค์แบบนี้มา ฉันยอมปวดหัวจนตาย”
อธิการบดีค่อนข้างคุ้นเคยกับซิด “ฉันจำได้ว่าเธอเป็นผู้ช่วยสอนในชั้นเรียนฝึกอบรม เธอติดต่อฮันโย่วอี๋และบอกให้เธอมาที่วิทยาลัยพรุ่งนี้ได้ไหม”
พรุ่งนี้?
นี่มันผิดกฎนี่ เพราะทั่วไปแล้วนักศึกษาจะได้รับแจ้งให้ไปวิทยาลัยหลังจากผลการฝึกของชั้นเรียนอบรมประกาศออกมาพร้อมกัน
แต่เมื่อเห็นท่าทางของแมดดิสันที่กลัวว่าคนมีพรสวรรค์จะหนีไป ซิดก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโทรหาซูโย่วอี๋
ตื๊ด
ไม่มีใครรับ
โทรอีกครั้งก็ยังไม่มีใครรับสาย
คณบดีพูดว่า “บางทีเธออาจไม่ว่าง ไว้ค่อยโทรทีหลังก็ได้”
แต่หลังจากนั้นหลายวันเขาก็ยังติดต่อเธอไม่ได้ จึงได้แต่รอให้ซูโย่วอี๋เปิดโทรศัพท์
ตอนนี้แมดดิสันถึงกับนั่งไม่ติด “ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันจะไปจีนด้วยตัวเอง แม้ว่าจะต้องหน้าด้านไปเยี่ยม ฉันก็ต้องตามหาเธอกลับมาให้ได้”
คณบดีหยุดเขา “อธิการบดี ไม่ต้องกังวลไปครับ ในเมื่อเธอเต็มใจมาชั้นเรียนฝึกอบรม เธอต้องอยากเรียนที่วิทยาลัยของพวกเราอยู่แล้ว บางทีอาจมีอุบัติเหตุจึงติดต่อเธอไม่ได้สักพัก ดังนั้นเราควรขอให้ทางสำนักงานตรวจสอบสถานการณ์ก่อนจะดีกว่า”
แมดดิสันพูดอย่างกระวนกระวาย “ไม่ ฉันจะไป”
ส่วนซิดจ้องไปที่พื้นนิ่งแล้วพูดว่า “อธิการบดีครับ ผมจะไปด้วย”