เขามองเด็กสาว เห็นได้ชัดว่าอยากให้เธอออกไป
เรื่องบางอย่างก็ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปอยู่ฟังได้
ยังไม่พูดเรื่องที่จะฟังเข้าใจหรือไม่ แต่หลังจากที่ฟังแล้วอาจพาหายนะมาสู่ตัวได้
แต่อิ๋งจื่อจินกลับนั่งกินอมยิ้มอยู่บนโขดหินอย่างไม่สนใจใคร
เธอเหม่อมองท้องฟ้า อาบแดดเรื่อยเปื่อย
เด็กหนุ่มเบ้ปาก เริ่มไม่พอใจ หันไปมองฟู่อวิ๋นเซิน “เธอควรจะ…”
ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบมองเขาแล้วพูดแค่สองคำ “พูดต่อ”
เด็กหนุ่มตกใจก้มหน้าพูดต่อจากเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว “คาดว่าน่าจะมาถึงในหนึ่งเดือน ส่วนสมุนไพรอีกสามชนิด ถึงแม้จะยังไม่มีคนรับ แต่ก็หาพิกัดได้แล้วครับ”
“หนึ่งในนั้นอยู่ใต้ทะเลลึก ส่วนอีกสองชนิดอยู่ใจกลางทะเลทราย อันตรายมากเกินไป เกรงว่าต้องให้คนที่อยู่ยี่สิบอันดับแรกรับงานนี้ครับ”
“อืม” ฟู่อวิ๋นเซินยิ้มเรื่อยเปื่อย “สรุปว่าเงินรางวัลน้อยไปงั้นสิ”
เด็กหนุ่มพยักหน้า “คนที่ติดอันดับไม่ใช่คนร้อนเงิน เงินค่าหาสมุนไพรต่ำกว่าฆ่าคน คงจะไม่สนใจกันสินะ งั้นก็เพิ่มไปอีกสิบเท่าแล้วกัน”
ฟู่อวิ๋นเซินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ภายในหนึ่งเดือน ต้องหาสมุนไพรทั้งหกมาให้ฉันจนครบ”
เด็กหนุ่มตกใจเป็นอย่างมากก่อนจะเอ่ยตอบรับ “ครับ”
ชะงักเล็กน้อยแล้วพูดอย่างลังเล “แต่สมุนไพรหกชนิดนี้ มีอยู่สี่ชนิดที่พิษรุนแรงอย่างมาก ยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบ แม้แต่นักสมุนไพรพิษที่ติดอันดับก็ไม่มีทางเข้าไปแตะต้องง่ายๆ จะช่วยชีวิตได้จริงเหรอครับ”
ไม่ได้เอาไว้ใช้ฆ่าคนหรอกเหรอ
พอได้ยินคำพูดนี้อิ๋งจื่อจินก็หันไปมอง
ฟู่อวิ๋นเซินไม่ตอบ แค่พูดว่า “นายไปได้แล้ว”
เด็กหนุ่มรู้จักนิสัยของเขาดี จึงไม่ได้ถามเซ้าซี้ต่อ หลังจากเหลือบมองเด็กสาวเล็กน้อยแล้วก็เดินออกไป
“เยาเยา” ฟู่อวิ๋นเซินเดินเข้ามา ยื่นมือข้างหนึ่งไปจับเธอ “พวกเราก็ไปกันเถอะ”
อิ๋งจื่อจินกลับไม่ขยับ เธอมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย “ไม่กลัวฉันหลอกคุณเหรอ”
เป็นเรื่องจริงที่สมุนไพรหกชนิดที่เธอบอกเขา กว่าครึ่งมีพิษร้ายแรง
แค่สัมผัสนิดเดียว ขนาดจอมยุทธ์โบราณก็แทบจะตายในทันที
ฟู่อวิ๋นเซินอึ้งไปเล็กน้อย แต่กลับยิ้มออกมา “หืม หลอกเหรอเด็กน้อย งั้นบอกหน่อยสิว่าเธอหลอกพี่ชายต้องการอะไร”
เขาก้มหน้าพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ ราวกับเสียดายพอควร “พี่ชายน่ะ นอกจากมีเงินแล้วก็มีแค่หน้าหล่อๆ”
“ต้องการ…” อิ๋งจื่อจินหรี่ตาลงฉุกคิดแล้วตอบ “ฉันมีความสุขมั้ง”
“…”
ฟู่อวิ๋นเซินขมวดคิ้ว “เยาเยา เกินไปแล้วนะ”
“อ้อ งั้นเดี๋ยวปลอบนะ” เด็กสาวล้วงอมยิ้มออกมาจากกระเป๋าหนึ่งอันแล้วยื่นให้ “เอ็นโอเคคืออะไร”
“เว็บบอร์ด” ฟู่อวิ๋นเซินไม่ได้ปิดบัง ตอบเสียงเนือย “ในนั้นสามารถลงประกาศตั้งเงินรางวัลได้ ไว้ใช้ตกลงการค้ากับผู้ใช้งานคนอื่น”
“มีคนเก่งที่ประหลาดๆ มากมาย แต่คนเลวก็เยอะ วุ่นวายเละเทะ พี่ชายไม่แนะนำให้เธอเล่น”
อิ๋งจื่อจินไม่ได้ถามอีก เธอพยักหน้าแล้วกินอมยิ้มต่อ
อืม เดี๋ยวกลับไปลองดูหน่อย
…
หลังจากที่อิ๋งลู่เวยแน่ใจแล้วว่ารูปถ่ายไม่ได้ถูกเผยแพร่ออกไป ร้านชานมไม่มีกล้องวงจรปิด เธอถึงได้โล่งอก ภาพวงจรปิดเมื่อคราวก่อนดูพิกลเกินไป เธอจำเป็นต้องรอบคอบ
ครั้งนี้อิ๋งลู่เวยไม่กล้าไปหาอิ๋งจื่อจินจริงๆ แล้ว กลัวว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรออกมาจนทำลายชื่อเสียงของเธออีก การขึ้นศาลวันที่สิบเจ็ดไม่ใช่เธอที่ถูกฟ้อง ไม่จำเป็นต้องไป และก็ไม่ได้รับความเสียหายอะไร
ปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานกว่านี้หน่อยก็ไม่มีใครจำได้แล้ว
ตอนนี้เธอแค่ฝึกเปียโนทำเพลงอย่างสบายใจก็พอแล้ว
อิ๋งลู่เวยเปิดแฟ้ม ในนั้นเป็นโน้ตเพลงสิบกว่าแผ่น
นี่คือเพลงเปียโนที่วีร่า โฮลท์ซแต่งขึ้น ‘ตะวันกับจันทรา’
ความยากอยู่ในอันดับต้นๆ ของเพลงเปียโนระดับโลก ตอนนี้แม้แต่แปดท่อนเล็กๆ เธอก็ยังดีดไม่ได้
แต่เธอบอกกับแฟนคลับไว้แล้วว่า งานแสดงคอนเสิร์ตครั้งหน้าเธอจะเล่นเพลงตะวันกับจันทรา
อิ๋งลู่เวยขมวดคิ้ว รู้สึกหงุดหงิด
เพลงนี้มนุษย์เล่นได้จริงเหรอ ถ้ารู้ก่อนว่าเพลงตะวันกับจันทราจะยากขนาดนี้ เธอไม่น่าโปรโมทไปว่าเธอเป็นวีร่า โฮลท์ซคนต่อไปหรอก แต่ช่วยไม่ได้เธอจะต้องฝึกจนเป็น
อิ๋งลู่เวยพยายามข่มอารมณ์หงุดหงิดแล้วเริ่มฝึกเปียโน
แต่อิ๋งลู่เวยไม่รู้เลยว่า วันต่อมาหลังเกิดเรื่อง เวลาบ่าย ไอดีเวยปั๋วที่ชื่อว่า แอทจอมแฉสะท้านโลกไซเบอร์ อยู่ๆ ก็โพสต์รูปยาว
ในรูปนั้นเป็นข้อความที่คุยส่วนตัวนำมาต่อกัน รูปโปรไฟล์ถูกเบลอไว้
[จอมแฉ ฉันมีเรื่องมาแฉ รู้จักตระกูลอิ๋งที่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลเศรษฐีของฮู่เฉิงไหม ฉันไปเที่ยวที่เมืองฮู่เฉิง ก็เลยไปเดินเล่นที่โรงเรียนมัธยมชิงจื้อ โรงเรียนอันดับสามของประเทศ จากนั้นก็ไปซื้อชานม ปรากฏว่าไปเจอข่าวฉาวมาจ้า]
[หลังจากถามพวกเพื่อนๆ ที่อยู่เมืองฮู่เฉิงถึงได้รู้ว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนตระกูลอิ๋งรับเลี้ยงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ได้ทำตัวเป็นคนดีอะไรหรอก แต่เอาเธอมาเป็นคลังเลือดมีชีวิต!]
[ให้ตายเถอะฉันนี่อึ้งไปเลย มีตระกูลแบบนี้ด้วยเหรอ เด็กคนนั้นยังไม่ถึงสิบแปดเลยนะ ถูกสูบเลือดไปสิบสามครั้ง แถมยังไม่ให้เงินสักสลึง ไม่เพียงแต่ตระกูลอิ๋งจะไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดอะไร ยังข่มขู่พวกเราว่าห้ามเอาเรื่องนี้ไปโพสต์ลงเวยปั๋วด้วย แต่ฉันทนไม่ไหวจริงๆ ฉันเองก็เป็นแม่คน ถ้าฉันรู้ว่าลูกตัวเองถูกกระทำแบบนี้นะ ฉันคงมีความคิดแบบที่อาจจะไปฆ่าพวกเขาทั้งตระกูลเลยล่ะ]
[จอมแฉ ฉันกลัวตระกูลอิ๋งมาเอาเรื่องฉัน ช่วยเบลอชื่อกับรูปโปรไฟล์ฉันด้วยนะ ขอบคุณจ้ะ]
แอทจอมแฉสะท้านโลกไซเบอร์ มีผู้ติดตามยี่สิบล้าน ชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยรอที่จะได้อ่านข่าวเป็นคนแรกๆ ทุกวัน บริโภคข่าวสดใหม่
[หืม? นี่มันอะไรกัน ตระกูลเศรษฐีทำกันแบบนี้เหรอ น่าสะพรึงมาก เหม่อลอยเลย]
[คอมเมนต์บน ตระกูลเศรษฐีไม่ได้เป็นแบบนี้กันหมดหรอก ตระกูลเนี่ยแห่งตี้ตูใสสะอาดกันทุกคนตั้งแต่เจ้านายยันคนรับใช้ ไม่แปลกหรอก ตระกูลอิ๋งเทียบไม่ได้กับตระกูลเนี่ย มันคนละชั้นกัน]
[เกี่ยวข้องกับอิ๋งลู่เวยอีกแล้วเหรอ นังตอแหลนี่จะเก่งเกินไปแล้วหรือเปล่า ทุกครั้งที่ทำเป็นเหมือนผู้บริสุทธิ์ แต่ก็นางนั่นแหละเป็นตัวบ่งการทุกครั้ง]
[หมายถึงน้องอิ๋งของพวกเราเหรอ ตระกูลอิ๋งนี่มันสันดานชั่วจริงๆ คนเขาไม่ยอมก็ยังบังคับเอาเลือดเลยเหรอ]
แฟนคลับของอิ๋งลู่เวยก็เห็นแล้ว พวกเขาแค่รู้สึกงงๆ
[หา! ถึงแม้แต่ว่านี่มันเกี่ยวอะไรกับลู่เวยด้วย ก็เธอไม่อยากตายนี่ เธอเป็นเจ้าหญิงของตระกูลอิ๋ง ตระกูลอิ๋งก็ต้องคิดหาทางเอาเลือดมาให้เธออยู่แล้ว]
[กรุณาโจมตีที่ตระกูลอิ๋ง อย่าเอาลู่เวยไปเกี่ยว ขอบคุณ]
[ลู่เวยถูกพวกคุณบีบจนเลิกเล่นเน็ตไปแล้ว ยังไม่พอใจอีกเหรอ ปล่อยเธอทำเพลงไปเงียบๆ ไม่ได้หรือไง]
[หมดคำจะพูด สมงสมองถูกหมาคาบไปแดกเหรอ แฟนคลับของอิ๋งลู่เวยทำไมสมองเพี้ยนได้ขนาดนี้]
[นั่นสิ แฟนคลับที่มีมันสมองถอนตัวไปหมดแล้วจากข่าวแฉครั้งก่อนมั้ง พวกที่เหลือก็เลยมีแต่คนสติไม่ดี]
[จึ๊ๆ อวดดีได้อีกไม่นานหรอก วันที่สิบเจ็ดขึ้นศาลพี่ๆ น้องๆ สนใจนัดชมพร้อมกันไหม]
[ฉันด้วย]
[บวกหนึ่ง รอชมว่าแฟนคลับของอิ๋งลู่เวยจะตายยังไง]
เกิดกระแสบนเวยปั๋วอีกครั้ง ทำสงครามกันอย่างดุเดือดอีกระลอก
เวลานี้ ณ คฤหาสน์ตระกูลอิ๋ง
จงมั่นหวายังคงก้มหน้าก้มตา ช่วยบรรเทาความโกรธให้คุณนายผู้เฒ่าอิ๋ง และทันใดนั้นประตูก็เปิดออก
พ่อบ้านรีบเดินเข้าไปโค้งตัวให้ “ท่านผู้เฒ่า”
คนที่มาคือผู้เฒ่าจง สีหน้าบึ้งตึง ผลักพ่อบ้านออกแล้วเดินตรงไปที่โซฟา
พอจงมั่นหวาเห็นผู้เฒ่าจงก็อึ้งไปชั่วขณะ “คุณพ่อ มาได้ไงคะ”
เธอเพิ่งพูด ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นต้อนรับกลับถูกผู้เฒ่าจงตบหน้าหนึ่งฉาด ผู้เฒ่าจงแรงเยอะ ตอนที่หวดมือไปก็ไม่ได้ออมแรงแม้แต่น้อย จงมั่นหวาเอามือจับหน้า แทบไม่อยากเชื่อสายตา “…คุณพ่อ!”
ผู้เฒ่าจงไม่เคยตีเธอ นี่ถือเป็นครั้งแรก เธออายุตั้งสี่สิบกว่าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นต่อหน้าคุณนายผู้เฒ่าอิ๋ง ไม่ไว้หน้ากันเลยเหรอ
“แกบอกฉันว่ายังไง” ผู้เฒ่าจงโมโหจนดวงตาแดงก่ำ “แกบอกว่าจื่อจินยินดีให้เลือด อีกทั้งยังให้แค่สองครั้ง แกเชิญหมอมาดูแลบำรุงหลานฉันโดยเฉพาะ ร่างกายไม่เป็นอะไรมาก แต่ตอนนี้ล่ะ!”
“สิบสามครั้ง!”
“จงมั่นหวา แกบอกฉันมา แกเห็นหลานฉันเป็นตัวอะไร เครื่องผลิตเลือดเหรอ!”
สมองของจงมั่นหวายังเบลออยู่
“ผู้เฒ่าจงคะ หมายความว่าไงคะ” เดิมทีคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งยังโมโหเรื่องเมื่อวานอยู่ พอได้ยินคำพูดนี้ความโกรธก็ทะลักยิ่งกว่าเดิม “ตระกูลอิ๋งของเรารับเลี้ยงเด็กคนนั้น เวยเอ๋อร์ทำดีด้วยขนาดนั้น บริจาคเลือดแล้วมันยังไงเหรอคะ”
ก็แค่ลูกเลี้ยงที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด ควรค่าให้ผู้เฒ่าจงโมโหขนาดนี้ด้วยเหรอ อีกทั้งมาจากอำเภอบ้านนอก ไม่มีมารยาทเลยสักนิด สร้างความอับอายให้ตระกูลอิ๋งได้ทุกวัน
ไม่ได้เรื่อง!
“คุณนาย ฉันยังไม่ได้ด่าคุณนายเลยนะ” ผู้เฒ่าจงอาละวาด “ลูกสาวของคุณนายคือชีวิต แล้วหลานสาวของคุณนายไม่ใช่งั้นเหรอ”
คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งเอามือจับตรงหัวใจ เริ่มปวดหัวอีกแล้ว สีหน้าบึ้งตึง “หลานสาวของฉันก็ต้องใช่สิ ฉันไม่รักวานวานเหรอ”
“แม่คะ” อิ๋งลู่เวยรีบเข้าไปนวดศีรษะให้คุณนายผู้เฒ่าอิ๋ง จากนั้นก็พูดขอโทษ “อาจงคะ อย่าตะคอกใส่คุณแม่เลยนะคะ ช่วงนี้คุณแม่สุขภาพไม่ค่อยดี หมอบอกว่าถ้าสะเทือนใจมากๆ จะหมดสติไปได้”
คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งเหงื่อแตกเต็มศีรษะ หายใจถี่เร็ว ตาเริ่มเหลือกแล้ว เห็นได้ชัดว่าโมโหอย่างมาก
“หลานสาวคุณก็ใช่งั้นเหรอ” ผู้เฒ่าจงไม่สนใจอิ๋งลู่เวย เขาตะคอกต่อ “งั้นคุณรู้หรือเปล่าว่าอิ๋งจื่อจินต่างหากที่เป็นหลานสาวแท้ๆ ของคุณ!”