คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 121 สมาคมศิลปะ ‘คุณแม่ของอาจารย์อิ๋งหรือเปล่าครับ’

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

ด้านล่างโพสต์ย่อมต้องแนบรูป

ซึ่งก็คือรูปที่อิ๋งจื่อจินเอาโลกสิบทิศมาที่ห้องประชุม

สาเหตุที่โลกสิบทิศกลายเป็นผลงานชื่อดังของวงการแกะสลักได้เป็นเพราะความยากในการเลียนแบบ

ยังไม่พูดถึงความเป็นไปได้ของการสร้างหยกเย็นขึ้นมา ต่อให้มี ก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถแกะสลักพระแปดสิบแปดรูปที่มีท่วงท่าต่างกันบนหินหยกที่สูงเกือบครึ่งตัวคนได้

ทำให้ในตลาดขายงานแกะสลักไม่มีผลงานเลียนแบบโลกสิบทิศแม้แต่ชิ้นเดียว

นี่ก็เป็นสาเหตุที่ซีอีโอของดีเคกรุ๊ปถึงกับมาดหลุดได้ขนาดนั้นตอนที่เห็นโลกสิบทิศ

เพราะไม่มีสักคนเดียวที่คาดคิดว่าจะมีคนแกะสลักโลกสิบทิศออกมาใหม่ได้ในเวลาสี่วัน แถมยังทำได้เยี่ยมยอดยิ่งกว่า

อย่าว่าแต่คนนอกเลย ถ้าไม่ใช่เพราะผู้เฒ่าจงให้ข้อความเวยปั๋วโพสต์นี้กับผู้ถือหุ้นวัยกลางคนมา เขาก็ยังไม่รู้จริงๆ ว่าโลกสิบทิศอันเก่ายังไม่กลับมา นี่เป็นโลกสิบทิศอันใหม่

“อาจง ใช่เหรอครับ” หลังจากที่ผู้ถือหุ้นวัยกลางคนโพสต์เวยปั๋วเสร็จก็วิ่งมาหน้าตาตื่น “นั่นไม่ใช่โลกสิบทิศของพวกเราเหรอครับ”

“แน่นอนว่าไม่ใช่” ผู้เฒ่าจงภูมิใจมาก ตวัดมือ “บอกแล้วว่าเป็นผลงานของหลานสาวฉัน”

อ่อ ได้ยินว่าดูเหมือนไอ้เด็กหนุ่มตระกูลฟู่คนนั้นก็ช่วยด้วย

ช่างเถอะ เขาไม่เห็นและก็ไม่ได้ยิน

เอาขนมที่ตาแก่ฟู่ขโมยไปกลับมาคืนเมื่อไร เขาถึงจะถูกชะตากับเด็กนั่น

ผู้ถือหุ้นวัยกลางคนปาดเหงื่อ ถามเสียงสั่น “อาจงไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหมครับ”

“มีอะไรให้น่าล้อเล่น” ผู้เฒ่าจงเริ่มไม่พอใจแล้ว “นี่ฉันยังไม่ได้โม้ใหญ่โตเลยนะ ฉันจะบอกนายให้ หลานสาวของฉันรู้จักคนของไอบีไอเลยด้วยซ้ำ”

ก็ได้ เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน

แต่ไม่สู้โม้ไปก่อน

ใครจะอยากตระหนี่คำชมลูกหลานของตัวเอง

อันที่จริงผู้ถือหุ้นวัยกลางคนยังอยากพูดอีกว่าผู้เฒ่าจงล้อเล่น

ไอบีไอเป็นองค์กรระดับสากล ขนาดพวกลูกหลานตระกูลเศรษฐีในตี้ตูยังไม่เคยได้คลุกคลีด้วย แล้วเมืองฮู่เฉิงของพวกเขาจะเป็นไปได้ยังไง

แต่พอคำพูดมาถึงปากเขาก็เริ่มลังเล

ไอบีไอจ้องเล่นงานพวกก่ออาชญากรรมในระดับโลกมาตลอดอันนี้เป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่เคยลงทะเบียนเวยปั๋วเพื่อโพสต์ข้อความโดยเฉพาะ

แต่ละวันมีเรื่องเกิดขึ้นในระดับสากลมากมาย ส่วนใหญ่ไอบีไอมีหน้าที่จับตาดูแลควบคุม จำนวนเจ้าหน้าที่แทบจะไม่พอ

ต่อให้การหายไปของโลกสิบทิศเป็นคดีโจรกรรมข้ามชาติ เรื่องใหญ่มาก

แต่เรื่องใหญ่กว่านี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมี อย่างไรเสียคดีโจรกรรมก็ไม่ได้เกี่ยวพันถึงชีวิต ทำไมไอบีไอยังต้องโพสต์เวยปั๋วด้วย

บอกว่าไอบีไอทำให้เข้ากับยุคสมัย ผู้ถือหุ้นวัยกลางคนไม่เชื่อ

หรือว่า…จะเกี่ยวข้องกับเด็กคนนั้นจริงๆ

ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้เฒ่าจงโอ้อวดอย่างไม่หยุดหย่อน ผู้ถือหุ้นวัยกลางคนก็เริ่มเชื่อขึ้นมาบ้างแล้ว

แต่บรรดาชาวเน็ตที่ไม่ได้ประสบคดีโจรกรรมครั้งนี้ หลังจากที่อ่านเวยปั๋วโพสต์นั้นต่างก็ไม่เชื่อ

[หลอกหรือเปล่า เด็กคนนั้นน่ะเหรอ อ๋อ ฉันจำได้ว่าดูเหมือนเธอจะเคยได้รางวัลจากการเขียนอักษรอะไรนี่แหละ ในงานเทศกาลศิลปะของโรงเรียนหรือเปล่า แต่แกะสลักได้ด้วยเหรอ ขอโทษนะ ขอขำก่อน]

[ฉันล่ะนับถือ จงซื่อกรุ๊ปจะช่วยมองแบบคนปกติหน่อยได้ไหม รู้ว่าอยากปกป้องคนของตัวเอง แต่จะยกยอปอปั้นขนาดนี้ก็ไม่ได้หรือเปล่า]

[ขออภัยที่พูดตรงๆ การแกะสลักไม่เหมือนกับวาดภาพเขียนอักษรได้ ต่อให้คุณหนูของพวกคุณแกะสลักเป็นจริงๆ แต่เวลาสี่วันเธอทำได้จริงเหรอ]

[มีหลักฐานไหม ลำพังแค่รูป ใครจะไปรู้ว่าเป็นของที่พวกคุณเก็บไว้นานแล้วหรือเปล่า]

[ฉันขอกระซิบ ยังไม่พูดเรื่องอื่นนะ แต่คุณหนูอิ๋งคนนี้เก่งจริง วงในของจงซื่อกรุ๊ปก็พูดอยู่ไม่ใช่เหรอว่า เธอเจรจาเพิ่มเดิมพันกับดีเคกรุ๊ปได้สำเร็จน่ะ]

[ใช่ เอาแค่เรื่องนี้ฉันก็เลิฟแล้ว พวกคนที่ดีแต่หลบพิมพ์คำดูถูกอยู่หลังมือถือ ตอนอายุสิบเจ็ดพวกเธอทำอะไรอยู่เหรอ ยังต้องให้แม่ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือเปล่า]

[ตัวเองไม่มีความสามารถก็อย่าไปกระแนะกระแหนน้องเขาเลย ถ้าให้เธอไปเซ็นสัญญากับบริษัทใหญ่ ยังไม่ทันไปถึงก็กลัวจนฉี่ราดขี้แตกแล้วมั้ง]

[พวกเราช่วยน้องเขาเป็นหูเป็นตาดีกว่าว่ามีคนว่าร้ายหรือเปล่า จากนั้นพวกเธอก็รอรับจดหมายจากทนายได้เลย ไม่ต้องขอบคุณ]

บรรดาชาวเน็ตที่เข้ามาแซะต่างหุบปากกันหมด

ผู้ถือหุ้นวัยกลางคนขมวดคิ้วอ่านคอมเมนต์ “อาจงครับ พวกเรามีหลักฐานว่าคุณอิ๋งเป็นคนแกะสลักโลกสิบทิศไหมครับ”

“จะเอาหลักฐานอะไร” ผู้เฒ่าจงอารมณ์เสีย “นี่เป็นฝีมือหลานสาวฉันแกะสลัก หรือยังจะเสกโลกสิบทิศอันที่สองออกมาจากอากาศได้หรือไง”

ผู้ถือหุ้นวัยกลางคนถอนหายใจ “แต่ว่าอาจงครับ ปัญหาคือคนในเน็ตไม่เชื่อน่ะสิครับ”

“ไม่เชื่อเหรอ” ผู้เฒ่าจงล้วงโทรศัพท์มือถือออกมา พร้อมลุยเต็มที่ “ฉันจะไปเถียงพวกเขาเอง”

ยังไม่ทันที่เขาจะเปิดเวยปั๋วก็มีสายเข้าเสียก่อน

“คุณตา”

“เอ้อ” ผู้เฒ่าจงกระแอมเล็กน้อย “จื่อจิน กลับบ้านพ่อของหลานหรือยัง”

“เลิกโพสต์เวยปั๋วได้แล้วค่ะ” อิ๋งจื่อจินกดหัว พูดอ้อมๆ “ขอหนูใช้ชีวิตเกษียณเถอะนะคะ”

ผู้เฒ่าจง “…”

เดี๋ยวนะ ใครเกษียณ

ขนาดเขาอายุเจ็ดสิบกว่าแล้วยังไม่คิดจะเกษียณตัวเอง ยิ่งทำงานกลับยิ่งรู้สึกมีชีวิตชีวาด้วยซ้ำ

ปรากฏว่าหลานสาวของเขาอยากเกษียณแล้วเหรอ!

“คุณตา หนูรู้ว่าคุณตาหวังดี” อิ๋งจื่อจินหลุบตาลง ยิ้มพลางพูด “หนูเห็นหมดทุกอย่างค่ะ”

ผู้เฒ่าจงรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที

อันที่จริงเขาไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ให้บริษัทโพสต์เวยปั๋วแค่นั้น

บางครั้งคนเราอยู่ในที่มืดมานาน ความอบอุ่นเพียงนิดเดียวก็ต้องกอดไว้ให้แน่น

ผู้เฒ่าจงขมวดคิ้ว “แต่ในเน็ต…”

“ไม่เป็นไรค่ะ” อิ๋งจื่อจินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หนูไม่ได้ดูเสียสักหน่อย”

อย่ามาขัดขวางชีวิตเกษียณของเธอซึ่งหน้าก็แล้วกัน

หลังวางสายผู้เฒ่าจงก็ครุ่นคิด หันไปถามผู้ถือหุ้นวัยกลางคน “นายว่าหลานสาวของฉันเป็นไง”

“ยอดเยี่ยมครับ” ผู้ถือหุ้นวัยกลางคนจริงจังขึ้นมา “ถ้าตัดการคัดกรองของตัวอาจงเองออกไป คุณหนูเหมาะที่จะเป็นผู้บริหารมากครับ”

สัญญาเดิมพัน เธอบอกให้เซ็น จงซื่อกรุ๊ปถึงชนะได้

ทั้งยังพาประโยชน์มหาศาลมาให้จงซื่อกรุ๊ป ไม่เคยเจอการทำธุรกิจแบบนี้มาก่อน

ผู้เฒ่าจงพยักหน้า ตัดสินใจได้แน่วแน่ยิ่งขึ้น

ภายในรถมาเซราติ

อิ๋งจื่อจินมองเบิร์กส่งข้อความวีแชทหาเธออย่างบ้าคลั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอใช้ความอดทนเป็นอย่างมากถึงไม่บล็อกเขา

[ใช่อาจารย์อิ๋งไหมครับ]

[ผมกะแล้วว่าต้องใช่อาจารย์อิ๋งแน่นอน! ต่อให้อาจารย์อิ๋งไม่ยินดีรับผมเป็นศิษย์ ผมก็จะขอเรียกว่าอาจารย์อยู่ดี! อาจารย์สุดสุดสุดยอดไปเลย มีศิลปะแขนงไหนที่อาจารย์ไม่เป็นบ้างไหม]

[อาจารย์อิ๋ง เมื่อไรพวกเราจะได้เจอกันอีกครับ ผมยังไม่ไปจากฮู่เฉิงเพราะอาจารย์เลยนะ ฮือๆ ขอร้องล่ะครับ สอนผมหน่อย อาจารย์วาดภาพให้เหมือนชิโน ฟอนได้ยังไง]

อิ๋งจื่อจินกดตรงจุดสามจุดที่อยู่ขวาบนของห้องแชท เปิดโหมดเงียบ

ดีมาก โลกสงบลงแล้ว

ฟู่อวิ๋นเซินหันหน้ามา “ปรมาจารย์ภาพสีน้ำมันที่อยากให้เธอไปมหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรปคนนั้นเหรอ”

“ใช่” อิ๋งจื่อจินเงียบไปเล็กน้อย “คุณว่าคนที่วาดภาพสีน้ำมันเป็นพวกพูดมากกันหมดไหม”

ทั้งชิโน ฟอน ทั้งเบิร์ก ไบรอัน

หรือวงการภาพสีน้ำมันของยุโรปจะมีการสืบทอดอะไร

อิ๋งจื่อจินครุ่นคิด

“อืม” ฟู่อวิ๋นเซินพิงเบาะนั่ง สีหน้าเอื่อยเฉื่อย “พี่ชายว่าไม่ใช่หรอก”

อิ๋งจื่อจินกลอกตา ขมวดคิ้ว

ดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินเชิดขึ้น อมยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เด็กน้อยของเราแค่พูดมากหน่อยก็กลัวถึงแก่ชีวิตแล้ว”

ปรมาจารย์ภาพสีน้ำมันที่อยู่ตรงหน้าเขาถึงได้ไม่ธรรมดา

“…”

“ดังนั้นพี่ชายถึงดีใจมาก” ฟู่อวิ๋นเซินเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเธอ “หาได้ยากนะที่เยาเยาจะมีเรื่องให้พูดเยอะขนาดนี้ต่อหน้าพี่ชาย”

กลัวอะไรในตัวผู้ป่วยซึมเศร้าที่สุด สิ่งที่กลัวก็คือการปิดกั้นตัวเองอย่างสิ้นเชิง ไม่สัมผัสกับโลกภายนอกอีก

พอเป็นแบบนั้นอาการก็จะยิ่งหนักขึ้น

โชคดีที่ตอนนี้ไม่แล้ว

อิ๋งจื่อจินเหลือบมองเขา ขณะที่กำลังจะพูดบางอย่างโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

เซิ่งชิงถังโทรมา

“คุณหมอเทวดา!” น้ำเสียงของเขาตื่นเต้นมาก “ผมกะแล้วว่าคุณหมอยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่ธรรมดา! นึกไม่ถึงว่าจะแกะสลักก็เป็นด้วย”

เขาเคยเรียนแกะสลัก รู้ถึงความไม่ธรรมดาของโลกสิบทิศยิ่งกว่าคนนอกวงการ

โลกสิบทิศไม่ใช่แค่ผลงานแกะสลักชิ้นใหญ่ ยังแฝงไปด้วยคำสอนของศาสนาพุทธ

หากไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ก็ไม่มีทางแกะสลักโลกสิบทิศออกมาได้

คุณหมอเทวดายังใช่คนอยู่หรือเปล่า!

“คุณหมอเทวดาช่วงนี้ว่างไหมครับ พวกเรานัดเจอกันหน่อย” เซิ่งชิงถังพูดต่อ “ผมเตรียมใบรับรองจากสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนไว้ให้คุณหมอแล้ว แค่คุณหมอมาเซ็น นอกนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วครับ”

“ไม่อยู่ ไม่รับนัดค่ะ” อิ๋งจื่อจินใช้น้ำเสียงที่มีมารยาทที่สุดพูดคำที่ไร้เยื่อใยที่สุด “คนคนนี้ได้ตายไปแล้ว มีอะไรก็เผาไปให้นะคะ”

เซิ่งชิงถังที่อยู่ปลายสาย “…”

จงมั่นหวาย่อมต้องเห็นเวยปั๋วโพสต์นั้นของจงซื่อกรุ๊ป

แต่ตอนที่เธอเห็นได้มาถึงคฤหาสน์ตระกูลจงแล้ว

เธอไม่ค่อยเล่นเวยปั๋ว จงจือหว่านเป็นคนบอกเธอ

จงมั่นหวาได้ฟังก็โมโหจนหัวเราะ

บอกว่าโลกสิบทิศเป็นฝีมือแกะสลักของอิ๋งจื่อจินงั้นเหรอ

คุณหนูตัวจริงที่เจียงมั่วหย่วนช่วยรับกลับมาจากอำเภอยากจน พวกเขายังจะไม่รู้จักตัวตนของเธออีกเหรอ

จงจือหว่านสังเกตสีหน้าเก่ง บวกกับความอัดอั้นตันใจในช่วงหลายวันมานี้

เธอมองสีหน้าของจงมั่นหวาแล้วยิ้ม “อาคะ คุณปู่พอใจในตัวน้องจื่อจินมากเลยค่ะ ขนาดหนูยังแอบอิจฉาเลยนะคะ”

จงมั่นหวาไม่แสดงท่าทีอะไรตอบสนอง

ผู้เฒ่าจงชอบอิ๋งจื่อจิน อันที่จริงในใจของเธอก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

ต่อให้อิ๋งจื่อจินจะไม่เก่งสักอย่าง แต่อย่างน้อยก็เป็นที่ชื่นชอบของคนแก่ได้

แต่ก็ยังคงต้องพูดไปตามมารยาท จงมั่นหวายิ้ม “หว่านหว่าน คนที่ปู่ของหนูชอบที่สุดก็คือหนูนะจ๊ะ”

ยิ้มของจงจือหว่านแข็งทื่อ มือกำเสื้อผ้าแน่น

“ฮัลโหล” เสียงริงโทนดังขึ้น จงมั่นหวารับโทรศัพท์ “อะไรนะ โทรจากสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนเหรอคะ”

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

Status: Ongoing
ชาตินี้เธอขอแค่ได้ปลูกดอกไม้ เลี้ยงหมู กลายเป็นมอดที่สุขสบายที่สุดก็พอ เพื่อชีวิตวัยเกษียณอันสุขสบายสงสัยงานนี้ต้องลงแรงกันหน่อย!อิ๋งจื่อจิน คือลูกเลี้ยงแห่งตระกูลอิ๋งตระกูลเลื่องชื่อแห่งเมืองฮู่เฉิง พ่วงตำแหน่งคลังเลือดมีชีวิตของอาสาวเธอถูกรังแกสารพัด เป็นเด็กหัวไม่ดีที่แม่แท้ๆ ยังไม่อยากยอมรับแต่นั่นเป็นเรื่องก่อนที่ ‘เธอ’ จะตื่นขึ้นเธอเคยมีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน หลายตัวตน หลายฐานะ ไม่ว่าจะเป็นหมอ แม่มด ผู้บำเพ็ญ ได้รู้จักกับบุคคลในตำนานมากมายแต่นั่นก็เป็นเรื่องนานมาแล้ว…ชาตินี้เธอเลยอยากลองเป็นมอดที่มีความสุขไร้กังวล ใช้ชีวิตวัยเกษียณให้สุขสบายดูบ้างจัดการคนในตระกูล ฟาดหน้าเพื่อนตัวร้าย ขึ้นเป็นหัวโจกโรงเรียนเอาเถอะ อยากสบายก็ต้องลำบากก่อน กวาดมันให้ราบก่อนค่อยว่ากัน!อิ๋งจื่อจิน “มาตกลงกันหน่อย เลิกเรียกฉันว่าเด็กน้อยได้ไหม”“อายุห่างสามปีก็มีช่องว่างระหว่างวัยแล้ว พี่ชายคนนี้โตกว่าเธอห้าปี เธอไม่ใช่เด็กน้อยจะเป็นอะไร”อิ๋งจื่อจินชะงัก ขมวดคิ้ว “พี่ชายเหรอ”ดวงตาดอกท้อหรี่ลง “เรียกพี่ชายให้ฟังอีกครั้งซิ”“ฝันเก่งนะคุณ”“…”ได้ การเจรจาล้มเหลว ฟู่อวิ๋นเซินยอมแพ้เด็กน้อยหลอกยากพอตัว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท