จงจือหว่านตั้งใจเขียนชื่อจริง
ทำแบบนี้ก็เพื่อให้ทางโรงเรียนเห็นถึงความสำคัญ
เธอไม่มีทางเชื่อว่าอิ๋งจื่อจินสอบได้คะแนนสูง อย่าว่าแต่เธอเลย ทั้งโรงเรียนก็ไม่มีใครเชื่อแน่นอน
ข้อสอบคลาสเด็กอัจฉริยะยากขนาดไหน ชาวเน็ตต่างรู้
ถูกเอาไปลงในเน็ตทุกปี ได้รับความเลื่อมใสกับยกย่องจากชาวเน็ตทั้งนั้น
อิ๋งจื่อจินลอกคำตอบมาเอาแค่ผ่านยังพอว่า แต่นี่คะแนนเต็มเลยเหรอ
นี่ไม่เท่ากับทำให้คนจับจุดอ่อนได้เหรอ
ไร้สมองจริงๆ
จะทุจริตก็ยังไม่แนบเนียน เธอไม่รู้จริงๆ ว่าอิ๋งจื่อจินทำอะไรเป็นบ้างนอกจากขีดๆ เขียนๆ
จงจือหว่านส่งอีเมลเสร็จก็เอาโทรศัพท์เก็บเข้าในโต๊ะเรียนอย่างรวดเร็ว นั่งหลังตรง กลัวว่าคนอื่นจะสังเกตเห็นอะไร
ที่โชคดีคือในช่วงพักระหว่างคาบนักเรียนคลาสอัจฉริยะต่างสะเทือนใจจนพูดไม่ออก แต่ละคนก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ
“จือหว่าน อย่าเสียใจไปเลยนะ” นักเรียนหญิงที่นั่งข้างกันหันมาปลอบจงจือหว่าน “ถ้าคูณออกมาเธอก็ได้คะแนนเจ็ดร้อยสามสิบ อันดับหนึ่งก็ยังคงเป็น…”
คำพูดที่เหลือไม่พูดต่อ พูดออกไปก็กระอักกระอ่วน
หากคูณออกมาจริง คะแนนของอิ๋งจื่อจินก็ทะลุเกินคะแนนเต็มเจ็ดร้อยห้าสิบคะแนน
เจ็ดร้อยสามสิบคะแนนของจงจือหว่านยังจะมีความหมายอะไร
นักเรียนหญิงเห็นสีหน้าของจงจือหว่านดูแปลกไปจึงรีบปลอบ “จือหว่าน สอบครั้งเดียวมันจะสักเท่าไรกัน อีกอย่างใครจะไปรู้ว่าอิ๋งจื่อจินทุจริตหรือเปล่า ทุกคนก็รู้ๆ ความสามารถของเธออยู่”
“เลิกพูดเถอะ” จงจือหว่านออกแรงกัดริมฝีปาก ก้มหน้า “จะได้เวลาเรียนแล้ว”
นักเรียนหญิงไม่กล้าพูดมาก หยิบหนังสือเรียนภาษาอังกฤษออกมา
…
การแตกตื่นภายในโรงเรียนไม่ได้มีผลต่ออิ๋งจื่อจินแม้แต่น้อย
เธอนอนจนถึงบ่าย
อิ๋งจื่อจินยันตัวลุกขึ้นมานั่ง ร่างกายยังคงอ่อนแรง
เธอลืมตาเล็กน้อย มองเห็นร่างสูงยาวตรงหน้าไม่ชัด กะพริบสายตามัวๆ เห็นว่าเขากำลังเดินมาหาเธอ
ดวงดาวที่เจิดจรัส
นึกถึงคำเปรียบเปรยนี้อีกครั้ง อิ๋งจื่อจินจับศีรษะ ขมวดคิ้ว
ยังไม่ทันที่เธอจะปรับตัวกับแสงภายในห้องได้ก็มีมือมาประคองหลัง
ความอุ่นส่งผ่านเสื้อผ้าเข้ามา
มือข้างหนึ่งของฟู่อวิ๋นเซินประคองเธอ มืออีกข้างถือชาม พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ตื่นแล้วก็กินโจ๊กหน่อย”
“ฉันไม่เป็นไร” อิ๋งจื่อจินนั่งอยู่บนเตียงหลายวินาทีถึงรับชามมา “ขอบคุณ”
ในชามเป็นโจ๊กยา แต่กลิ่นยาจีนกลับไม่รุนแรง มีเพียงกลิ่นหอมอ่อนๆ
อิ๋งจื่อจินหยิบช้อน ตักกินหนึ่งคำ มือหยุดชะงัก
ประสาทการดมกลิ่นของเธอไวมาตลอด แม้จะเป็นกลิ่นของโจ๊กยาที่เพิ่งสัมผัสถูกจมูก เธอก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
มีกลิ่นสนิมจางๆ ต่อให้ใช้สมุนไพรชนิดอื่นกลบแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถกลบได้หมด
อิ๋งจื่อจินหลุบตาลง สายตานิ่งไปเล็กน้อย
มีเลือดคนที่สามารถผสมยาได้
แต่เลือดชนิดนี้มีค่ามาก หากใช้กลับจะเป็นการทำลายสุขภาพ
“ทำไมเหรอ” ฟู่อวิ๋นเซินเห็นเธอไม่ขยับอีก ดวงตาดอกท้อจึงหลุบลง “รสชาติแย่เหรอ”
คงไม่ใช่ว่าฝีมือเข้าครัวของเขาถดถอยแล้วนะ
“เปล่า อร่อยมาก” อิ๋งจื่อจินนิ่ง ถอนหายใจเบาๆ “ก็แค่นึกถึงเรื่องในอดีตบางเรื่อง”
“ใครเหรอ” คิ้วของฟู่อวิ๋นเซินขมวดเข้าหากัน น้ำเสียงราบเรียบ “เพื่อนสนิทเธอคนนั้นเหรอ”
“อืม”
“เธอไม่ได้อยู่ฮู่เฉิงเหรอ”
“ไม่อยู่ อยู่ในที่ไกลมาก”
ฟู่อวิ๋นเซินเงียบ
เขานึกถึงช่วงที่อิ๋งจื่อจินใช้ชีวิตในอำเภอชิงสุ่ย รวมถึงหนึ่งปีที่อยู่ในบ้านตระกูลอิ๋ง
การมีอิสระยังเป็นปัญหา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการไปที่ไกลๆ
“ไม่เป็นไร ไว้รอร่างกายเธอหายดีจริงๆ แล้วพี่ชายจะพาไปหา” ฟู่อวิ๋นเซินยกมือขึ้น สุดท้ายก็แค่ลูบหลังของเธอเบาๆ “ต้องเจอแน่นอน”
“ไม่ต้อง” อิ๋งจื่อจินตักโจ๊กต่อ กินไปได้สองสามคำเธอก็พูดเสียงเบา “แค่ฉันรู้ว่าเธอสบายดีก็พอแล้ว”
“จะได้ยังไง” ฟู่อวิ๋นเซินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ต้องไปให้เห็นกับตา”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้น จากนั้นก็อดลูบหัวเธอไม่ได้ “เด็กน้อย พักผ่อนไปนะ”
“สองสามวันนี้ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว สุขภาพสำคัญกว่า การเรียนกับเรื่องอื่นๆ เอาไว้ทีหลัง”
พอปิดประตูลงรอยยิ้มของฟู่อวิ๋นเซินก็หายไป หันหน้าไป “เขาอยู่ไหน”
เดิมทีชายหนุ่มกำลังเหม่อ พอได้ยินคำถามนี้ก็สะดุ้ง “คุณชาย ห้องใต้ดินครับ ถูกมัดไว้”
เพราะอาการป่วยของผู้เฒ่าฟู่ทำให้พวกเขาตึงเครียดกันทั้งคืน ฟู่อีเฉินก็ถูกมัดไว้ทั้งคืนเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นแบบห้อยหัว
เพื่อไม่ให้เลือดคั่งในสมอง จึงส่งคนมาช่วยเขาพลิกตัวโดยเฉพาะ
จนถึงตอนนี้ฟู่อีเฉินยังไม่ได้ดื่มแม้แต่น้ำสักหยด ทั้งยังอยู่ในห้องมืดที่ปิดมิดชิด เขาใกล้เสียสติเต็มที
เขาไม่รู้ว่าตัวเองถูกมัดไว้ที่ไหนกันแน่ หลังจากถูกพาออกมาจากโรงพยาบาลอันดับหนึ่ง คนกลุ่มนั้นก็เอากระสอบคลุมหัวเขา
ตลอดทางเดี๋ยวเลี้ยวซ้ายเดี๋ยวเลี้ยวขวา เขาเมารถจนอ้วกก็ได้แต่อ้วกใส่กระสอบ
ฟู่อีเฉินไม่เคยลำบากขนาดนี้ แต่เขาขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้ ร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์
ในขณะที่ฟู่อีเฉินกำลังจะสติแตก เขาก็ถูกเอาตัวลงมา
สองเท้าแตะพื้นอีกครั้ง แต่เท้ากลับพยุงร่างกายไว้ไม่ไหว
ฟู่อีเฉินล้มลงบนพื้นดัง ตุ้บ เงยหน้าตัวสั่น
พอเห็นว่าเป็นใครก็ดวงตาเบิกเพลิงในทันที “ฟู่อวิ๋นเซิน? ทำไมเป็นแก!”
ฟู่อวิ๋นเซินไม่มองสภาพน่าสมเพชของฟู่อีเฉิน และไม่ตอบ เขาหันไปสั่ง “จัดการ”
สองคนที่เหมือนบอดี้การ์ดเข้าใจ เดินขึ้นหน้าทันที ในมือมีไม้กระบอง
ไม่มีการยั้งมือใดๆ ฟาดลงไปเต็มเหนี่ยว
ฟู่อีเฉินส่งเสียงร้องโอดครวญ
เขาแทบไม่มีเวลาคิดว่าทำไมฟู่อวิ๋นเซินถึงอยู่ที่นี่ ทำได้เพียงร้องเสียงดัง ทั้งยังอวดดี “ฟู่อวิ๋นเซิน แกกล้าซ้อมฉันเหรอ ถ้าพ่อกับแม่รู้เข้าแกจบเห่แน่!”
“แกก็แค่อาศัยความที่คุณปู่รักแกไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่มีคุณปู่ แกจะเป็นตัวอะไร แกมันก็แค่…โอ๊ย!”
ชายหนุ่มเอามือปิดหู คิดในใจว่าท่าสิงโตผงาดอันนี้คือดี
“งั้นก็ไปบอกฟู่หมิงเฉิงว่าอย่ามาหาเรื่องฉัน” ฟู่อวิ๋นเซินยกมือตบหน้าฟู่อีเฉิน แสยะยิ้ม “คุณปู่คือขีดความอดทนสุดท้ายของฉัน ฉันถึงได้ไม่แตะต้องพวกนาย”
ภายใต้ความหวาดกลัวอย่างรุนแรง ฟู่อีเฉินทนการทำร้ายนี้ไม่ไหว สลบไปในทันที
ฟู่อวิ๋นเซินยืนขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ขังไว้เจ็ดวันค่อยปล่อยกลับไป”
…
อีกด้านหนึ่ง
จงจือหว่านกำลังแอบอ่านคอมเมนต์ในเว็บบอร์ดโรงเรียน ยิ่งอ่านก็ยิ่งหงุดหงิด
ทั้งๆ ที่เธอเห็นว่ามีสองสามกระทู้ที่พูดเรื่องการทุจริตสอบของอิ๋งจื่อจิน แต่ไม่นานก็ถูกแอดมินลบทิ้ง
แบบนี้ไม่เรียกร้อนตัวจะเป็นอะไรได้
จงจือหว่านกำหนังสือเรียน รอด้วยความกระวนกระวายใจ
เธอส่งจดหมายร้องเรียนไปแปดชั่วโมงแล้ว ทำไมพวกผู้อำนวยการกับอาจารย์ฝ่ายวิชาการยังไม่มีการตอบสนองอะไรอีก
ในขณะที่จงจือหว่านอยากไปดูด้วยตัวเองก็มีนักเรียนของสภานักเรียนมาเคาะประตูคลาสเด็กอัจฉริยะแล้วตะโกนมาทางเธอ
“นางฟ้าจง ผู้อำนวยการให้ไปหาหน่อย น่าจะมีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วย”
จงจือหว่านพยายามกลั้นยิ้ม ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “รู้แล้ว”
ภายในห้องผู้อำนวยการโรงเรียน อาจารย์ฝ่ายวิชาการก็อยู่ด้วย
พอเห็นจงจือหว่านเข้ามา สีหน้าของเขาก็เย็นชาลง
จงจือหว่านย่อมสังเกตเห็นแล้ว เธอรู้สึกสงสัยนิดหน่อย
เธอเป็นที่หนึ่งของสายชั้น อาจารย์ฝ่ายวิชาการย่อมใจกว้างและเอ็นดูเธอมาก ปกติจะยิ้มแย้มให้ตลอด ไม่เคยแสดงสีหน้าแบบนี้ใส่
“นักเรียนจงจือหว่าน” ผู้อำนวยการโรงเรียนดันแว่นตา น้ำเสียงเคร่งขรึม “ทำไมเธอถึงแน่ใจว่านักเรียนอิ๋งจื่อจินทุจริตการสอบ”
บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็คืออีเมลฉบับนั้นที่จงจือหว่านส่งมา
นอกจากหัวข้อแล้ว ข้างล่างยังมีเขียนบรรยายยืดยาว
ผู้อำนวยการหยุดไปเล็กน้อยแล้วถามต่อ “ถ้าครูจำไม่ผิด อิ๋งจื่อจินเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอใช่ไหม”
คำถามที่สองนี้จงจือหว่านไม่ตอบ เย้ยหยันอยู่ในใจ
ลูกเลี้ยงที่ตระกูลอิ๋งรับเลี้ยงถือเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเธอเมื่อไรกัน
ที่เธอเรียกว่าน้องจื่อจินก็แค่ไม่อยากทำร้ายจิตใจของผู้เฒ่าจง
“ผู้อำนวยการคะ หนูเขียนหลักฐานมาในอีเมลแล้ว” จงจือหว่านยิ้มบาง “อีกอย่างเรื่องแบบนี้ ต่อให้ไม่มีใครพูด แต่จะมองไม่ออกกันเลยเหรอคะ”
ใครๆ ก็รู้ว่าอิ๋งจื่อจินถูกอิ๋งลู่เวยจับยัดเข้ามาอยู่ในคลาสเด็กอัจฉริยะ
ชอบง่วงตอนเรียน เอะอะก็ลาหยุดกลับบ้าน
เอาแค่นี้จะเรียนได้อะไร
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าห้องสิบเก้าเป็นคลาสที่ตกต่ำขนาดไหน
จงจือหว่านจิกมือ เธอพูดต่อ “ข้อสอบของคลาสอัจฉริยะครั้งนี้ยากกว่าครั้งไหนๆ การคำนวณคะแนนของทางโรงเรียนก็มาจากประสบการณ์หลายปีไม่ใช่เหรอคะ ขนาดประธานนักเรียนที่มีพรสวรรค์ก็ยังไม่เคยสอบได้คะแนนเต็ม”
พอได้ยินแบบนี้ผู้อำนวยการก็มองอีเมลอีกครั้ง ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม “หลักฐานของเธอมาจากการคาดเดาเหรอ ถ้าร้องเรียนโดยไม่มีหลักฐาน คนที่ถูกลงโทษจะเป็นเธอนะ”
“นี่จะเป็นเพียงการคาดเดาได้ยังไงกันคะ” รอยยิ้มของจงจือหว่านค่อยๆ หายไป “นี่เป็นที่รู้กัน คนที่มีความคิดต่างก็รู้ อีกทั้ง…”
“พอแล้ว!” อาจารย์ฝ่ายวิชาการที่อยู่ข้างๆ ทนฟังต่อไปไม่ไหว เขาโมโหฉุนเฉียว “จงจือหว่าน เดิมทีครูคิดว่าเธอเป็นนักเรียนที่เรียนดีมารยาทงาม แต่ดูจากตอนนี้ ความสามารถของเธอก็พอไหว แต่ความอิจฉาริษยามันมีมากเหลือเกิน”
“มหาวิทยาลัยตี้ตูเป็นคนออกข้อสอบ ปิดผนึกมิดชิดส่งมาที่ชิงจื้อ ไม่เคยเปิดจนกว่าจะสอบ แม้แต่พวกอาจารย์ก็ยังไม่รู้โจทย์ เธอบอกครูมาซิว่าอิ๋งจื่อจินทุจริตการสอบยังไง หืม!”