The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 669-670

ตอนที่ 669-670

DND.669 – บึงกาฬ
เขาใช้มือขวาขยับไปมาขณะที่มือซ้ายกำสร้อยของเจ้าตำหนักหนานกวงไว้แน่นเงาดำที่เป็นพิษนั้นถูกพัดพาไปพร้อมกับเกราะราชาศิลานิรันดร์ที่ปรากฏออกมา
พรึ่บ!
หมอกพิษพยายามพุ่งเข้าใส่ตัวซือหยูและชั้นม่านเกราะของซือหยูก็เริ่มส่องแสงแปลบปลาบ มีควันดำพุ่งขึ้นมา ดูเหมือนว่าชั้นเกราะจะถูกพิษกัดอยู่
เมื่อหมอกดพิษขนาดเท่าฝ่ามือซึมเข้ามามันก็เข้าไปหาร่างของซือหยูตอนนี้แค่สูดหายใจเข้าไปก็ทำให้ซือหยูตายได้ และยังมีไอพิษอีกมหาศาลอยู่ตรงหน้า!
ซือหยูอัดพลังชีวิตลงในสร้อยที่มือซ้ายมันเปล่งแสงออกมาและดูดซับพิษทั้งหมดเข้าไปในทันที
เขาแทบจะเอาตัวไม่รอดแต่ไม่นานก็มีเมฆขาวก้อนยักษ์เข้ามาล้อมตัวเขา! สร้อยในมือที่เปล่งแสงออกมาสั่นเบาๆ มันปกป้องเจ้าตำหนักหนานกวงมานาน มันคงจะถึงขีดจำกัดแล้ว มันดูดซับพิษของม้าเมฆาได้ไม่มากไปกว่านี้แล้ว
ซือหยูต้องรีบตัดสินใจในเวลาย่ำแย่เขาสูบอากาศบริสุทธิ์จนเต็มปอดและเริ่มใช้อรหันต์แปดอักษร อากาศรอบๆที่ถูกสูบได้กลายเป็นคลื่นเสียงอันทรงพลัง เขาปลดปล่อยพลังคลื่นเสียงนั้นออกทางปาก
พลังสั่นสะเทือนอันรุนแรงตามมาพร้อมกับคลื่นเสียงจากนั้นไอพิษทั้งหมดก็ถูกพัดออกไป
พอเป็นเช่นนี้จึงนับได้ว่าซือหยูพ้นภัยจริงๆเมื่อได้มองรอบๆอย่างชัดเจนเขาก็ใจเต้นแรงเมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
เขาอยู่บนยอดเขาเขียวขจีท้องนภาสีครามสดใส มีเมฆาลอยคล้อยตามอย่างสงบ แสงตะวันสดใสทอดยาวลงบนทุ่งหญ้าเขียวขจีแห่งนี้
ทุ่งหญ้านี้เต็มไปด้วยสัตว์ป่าแปลกๆมากมายและสมบัติที่มีคุณสมบัติวิญญาณมันกระจายอยู่ในทุกมุมของทุ่งหญ้าแห่งนี้ราวกับไข่มุกที่งดงาม ที่พื้นยังมีพลังวิญญาณที่หนาแน่นจนกลายเป็นหมอกบางๆ ม่านพลังที่หนาแน่นนี้ห่มทุ่งหญ้าจนน่ามอง
ซือหยูหยุดไม่ได้ที่จะหายใจเอาพลังวิญญาณเข้าไปจากนั้นเขาก็รู้สึกว่าความเหนื่อยอ่อนได้หายไป จิตใจของเขาได้ปลอดโปร่งขึ้น พลังชีวิตในร่างกายที่หายไปยังฟื้นฟูกลับมาด้วยความรวดเร็ว
ไม่นานเขารู้สึกตัวเบาและมีกำลังวังชาดี
“พลังวิญญาณหนาแน่นจริงๆ!”
ซือหยูไม่อยากจะเชื่อเพราะที่นี่มีพลังวิญญาณหนาแน่นกว่ากระโจมเทพสวรรค์ถึงสามเท่า เขาสงสัยด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ในทวีปเฉินหลงหรือไม่!
นั่นก็เพราะเขาเห็นว่าเหล่าสมุนไพรล้ำค่าที่ขึ้นในทุ่งหญ้านี้ล้วนเป็นสมบัติที่หาได้ยากในทวีปเฉินหลงดินแดนแห่งนี้มีทรัพยากรมหาศาล แม้จะรวบรวมจากทวีปเฉินหลงมาหลายร้อยปีก็มิอาจที่จะเทียบกับที่นี่ได้
ซือหยูเริ่มคิดถึงอะไรบางอย่าง…
อาณาจักรทมิฬมีคนมากมายแต่ที่นี่ก็มีปัจจัยที่จะดูแลทุกคนเพียงพอ หัวหน้าผู้ตรวจการไป่เองก็บอกว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่อาณาจักรทมิฬเก็บรวบรวมมากว่าหมื่นปี…
แล้ว…ที่ที่ใช้เก็บของที่หัวหน้าผู้ตรวจการไป่ไม่เต็มใจจะบอกข้า…มิใช่ว่ามันคือที่นี่หรอกรึ?
หลังจากที่ครุ่นคิดซือหยูเริ่มที่จะเชื่อว่าที่นี่คือแหล่งเก็บสมบัติของอาณาจักรทมิฬที่ใช้เก็บทรัพยากรมาหมื่นปี! มีการหมุนเวียนของทรัพยากรที่นี่มานานแล้ว พลังวิญญาณก็ถูกอัดแน่นอยู่ในนี้ ความหนาแน่นของพลังวิญญาณเหนือกว่ากระโจมเทพสวรรค์อยู่หลายขุม
ซือหยูตกใจเมื่อมองสิ่งตรงหน้าการสะสมทรัพยากรหมื่นปีนี้น่ากลัวยิ่งนัก! นั่นหมายความว่าทุ่งหญ้าเล็กๆแห่งนี้ควรจะยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าที่ใดในทั้งทวีป!
ผ่านไปนานซือหยูกลับมาได้สติและพักหายใจ เขามองรอบๆด้วยความตื่นเต้น เขามิใช่สุภาพบุรุษที่มีคุณธรรมสูงส่งนัก และถ้าบังเอิญมาถึงที่นี่ เขาก็จะไม่กลับไปมือเปล่าแน่!
ถ้าเขาแจกจ่ายทรัพยากรเหล่านี้ออกไปเขาอาจจะทำให้พันธมิตรผู้คุมสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นอีก เขาอาจจะเพิ่มพลังโดยรวมของกองทัพได้ในระยะเวลาอันไสั้น และแม้ว่าอาจจะยังไม่พอที่จะทำสงครามกับห้าศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยมันก็ทำให้ทั้งกองทัพมีหวังเมื่อต้องเผชิญหน้า!
“กิเลนน้อยข้าฝากเจ้าด้วย”
ซือหยูปล่อยกิเลนน้อยออกมาด้วยพลังการดูดซับของมัน มันจะเก็บสมบัติมหาศาลเหล่านี้ได้ในเวลาอันสั้น
เมื่อกิเลนน้อยตกลงมาที่แขนของซือหยูมันเพิ่งจะลืมตาจากการนอนหลับ แต่เมื่อสัมผัสพลังวิญญาณอันหนาแน่นมันก็ตัวสั่น ดวงตาสีม่วงเบิกกว้างราวกับระฆัง
กิเลนน้อยตื่นเต้นอย่างมากมันชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แม้ว่ามันจะไม่ต้องการมันก็อยากจะเก็บสะสม ซือหยูเคยเห็นแล้วว่ามันเก็บรวบรวมสิ่งของได้มากมายแค่ไหนในกระโจมเทพสวรรค์
“ฮี๊ๆๆ!”
กิเลนน้อยหัวเราะมันหายตัวไปโดยไม่รอให้ซือหยูสั่ง! ซือหยูเห็นมันอีกครั้งที่ตีนเขา มันกำลังวิ่งเป็นเส้นทางและกลืนกินเหล่าสมุนไพรต่างๆตลอดทาง
มันไม่ได้ดูดกลืนไปแค่สมบัติที่มีคุณสมบัติวิญญาณมันยังดูดเอารากหญ้า วัตถุดิบที่เสียหาย และของอื่นๆไปด้วย ไม่ว่าจะผ่านที่ไหน ที่นั่นก็จะกลายเป็นที่โล่งเตียน
ซือหยูเอามือปิดปากและเริ่มอับอายแปลกๆ
การไม่เหลืออะไรไว้เลยจะไม่โหดร้ายไปหน่อยรึ?
แต่เขาก็หยุดกิเลนน้อยไม่ได้ในตอนนี้เขาก้มหน้ามองภูเขารอบๆด้วยสายตาหม่นหมอง
ที่นี่มีภูเขาลูกเดียวที่มีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่มันโล่งเตียนว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งหนอนหรือพืชผักเหลืออยู่ แม้แต่ผืนดินเองก็หายไป มันไม่มีชีวิตของสิ่งใดเหลืออยู่อีก มันกลายเป็นแค่ภูเขาลูกที่ตายแล้ว
เหตุผลเดียวที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ก็เพราะมีสิ่งที่ทรงพลังในภูเขานี้หรือไม่ก็เพราะตัวภูเขาเองที่พิเศษและไม่เหมาะที่จะให้สิ่งใดอยู่อาศัย ซือหยูไม่พบว่ามีสัตว์อสูรอยู่ที่นี่ แสดงว่าที่นี่จะต้องไม่เหมาะที่จะให้สิ่งใดอยู่ได้
เขาใช้เนตรวิญญาณมองทะลวงไปในภูเขาเขาเบิกตากว้างทันที เขาดีใจอย่างมาก นั่นก็เพราะเขาเห็นลูกมม้าสีขาวราวหิมะอยู่ในส่วนลึกสุดของพื้น
“ม้าเมฆา!”
ซือหยูตื่นเต้นมากมันคือสิ่งล้ำค่าที่จะเพิ่มพลังของทุกคนที่มีฐานพลังต่ำกว่ากึ่งภูติระดับสาม!
แม้แต่กระโจมเทพสวรรค์ก็มิอาจเพาะบ่มสิ่งนี้ได้แต่ที่เก็บสมบัติหมื่นปีของอาณาจักรทมิฬกลับมีมัน! ม้าเมฆาของไป่จงจะต้องมาจากที่นี่ เงาทมิฬที่จู่โจมซือหยูตอนที่เขามาถึงที่นี่ก็ต้องเป็นพิษของม้าเมฆาเช่นกัน!
ซือหยูตาลุกวาวเขาห่มกายด้วยพลังวิญญาณและขุดดินไล่ตามมันไป แม้ม้าเมฆาจะเป็นสมุนไพร มันก็มีสติปัญญาสูงส่งและขยับตัวได้เอง มันเคลื่อนไหวเร็วขึ้นไปอีกเมื่อสัมผัสได้ว่าซือหยูไล่ตามมัน
“จะหนีข้าเรอะ?”
ซือหยูยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และไล่ตามมันต่อไปซือหยูไล่มันจนมาถึงกลางภูเขา แต่จู่ๆพลังของม้าเมฆาก็หายไปเฉยๆ
เขาขุดภูเขาต่อไปและพบว่าตรงกลางภูเขานั้นเป็นช่องว่างมีอุโมงค์หลายขนาดที่นำไปยังโลกภายนอก อุโมงค์เหล่านี้คือทางออกจากที่นี่!
ช่องว่างกลางภูเขาไม่ได้ใหญ่มากนักมันกว้างแค่ไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น แสงสีม่วงเข้มส่องประกายตามผนัง มันคือพิษร้ายแรงถึงตายที่บ่มเพาะที่นี่มานานมาก
“พิษรุนแรงมาก”
ซือหยูพูดกับตัวเองเขาเรียกเกราะราชาศิลานิรันดร์ขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะถ้าคนที่ยังไม่เป็นภูติสัมผัสผนังนี้เบาๆทั้งร่างของเขาก็จะเน่าเปื่อยและตายทันที! นี่คือความร้ายแรงของพิษ!
ซือหยูลอยอยู่กลางช่องว่างเพื่อไม่ให้สัมผัสกับพิษเขาจ้องมองพื้นที่ส่วนกลาง ที่นี่มีบึงสีดำและหมอกสีม่วงหนาที่ลอยออกมา หมอกนี้คือหมอกพิษที่เหมือนกับหมอกที่ระเบิดออกมาในชั้นแปด!
หมอกพิษที่มาทุกครึ่งชั่วยามมาจากที่นี่รึ?ซือหยูคิดและเหม่อลอย
เขาจ้องมองบึงพิษและหรี่ตาเขาใช้เนตรวิญญาณมองก้นบึง
“มันอยู่ในนั้นจริงๆด้วย!”
เขาเห็นลูกม้าขาวนอนอยู่ใต้ก้นบึงโดยไม่ขยับตัว!
จากนั้นเขาก็เห็นว่ามีลูกกลมสีขาวในบึงอีกสามร้อยลูกแต่ละลูกปล่อยพลังที่เหมือนกับม้าเมฆาออกมา! มันมีพิษที่ร้ายแรงเท่ากันด้วย
เดี๋ยวก่อน…นั่นมันเมล็ดม้าเมฆารึ?ซือหยูจ้องมองมันไม่ละสายตา…
ถ้าหากทั้งหมดนั่นเป็นเมล็ดเช่นนั้น…
ซือหยูใจเต้นแรงยากนักที่คนอื่นจะเพาะเลี้ยงเมล็ดเหล่านั้นเพราะต้องใช้พลังวิญญาณมหาศาลกับสภาพแวดล้อมพิเศษที่เหมาะกับการเติบโตของมัน แต่มันง่ายมากสำหรับซือหยูเพราะเขามีมุกวิญญาณเก้าหยก!
ถ้าเขาให้พวกมันทั้งหมดเติบโตที่นั่นจากนั้น…
เพียงแค่คิดก็ทำให้ซือหยูตื่นเต้นจนถึงที่สุดแล้ว!
ข้าจะสร้างกองทัพที่เต็มไปด้วยคนที่แข็งแกร่งด้วยม้าเมฆาพวกนี้!
ถ้าเขาเอามันไปรวมกับสมบัติทั้งหมดที่กิเลนน้อยเก็บเอาไว้พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปอีกระดับ!
“สุดท้ายข้าก็ต้องพึ่งตัวเองสินะ”
ซือหยูตาเป็นประกายเขามีความสุขและดีใจมาก
เขายิ้มอย่างซุกซนเมื่อมองบึงทมิฬไม่นานก็มีขวดหยกอยู่ในมือซือหยู ขวดหยกเหล่านี้เต็มไปด้วยเมล็ดของม้าเมฆา! น้ำพิษในบึงเองก็ระเหยออกไป!
ม้าเมฆาในก้นบึงมองซือหยูขณะที่ตัวสั่นมันส่งเสียงร้องอย่างโศกเศร้าออกมา
“มันเป็นแค่ต้นไม้แต่ก็ดูเหมือนกับสัตว์ยิ่งนัก มันยังร้องด้วยความเศร้าได้ด้วย ข้าชักจะสงสารแล้วนะ! ของหายากนี่ทำให้ข้ามีความรู้ใหม่จริงๆ!”
ซือหยูยิ้มและเก็บขวดหยกลงไป
เขาไม่จับม้าเมฆาต้นนี้เขาโบกมือและหันกลับไป
“เจ้าเป็นของล้ำค่าหายากเจ้าจงมีชีวิตต่อไปเถอะ”
เพราะที่นี่มีม้าเมฆาแค่สองต้นหนึ่งในนั้นถูกซือหยูกินไปแล้ว ต้นที่เหลือต้นนี้คงทำให้เขาเพิ่มพลังไม่ได้อีก เขาจึงรู้ว่าควรจะไว้ชีวิตมัน
เขากระโดดออกจากบึงและกลับไปที่พื้นภูเขาภายนอกเขามองรอบๆทุ่งหญ้าและเกือบจะตาถลนออกมา ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่เขียวขจีได้กลายเป็นภูเขาร้างไร้ซึ่งสิ่งใด!
ไม่มีแม้แต่วัชพืชเหลืออยู่อีกไม่มีอะไรเหลือให้อาณาจักรทมิฬอีกแล้ว กิเลนน้อยกลืนกินทุกสิ่งในสายตา ดูเหมือนมันจะไม่หยุดจนกว่าที่นี่จะว่างเปล่า!
“พอได้แล้ว!กลับมา”
ซือหยูเรียกกิเลนน้อยที่ตื่นเต้นก้มหัวลงและกลับมาหาเขาอย่างไม่เต็มใจ
ซือหยูไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้กับสิ่วงที่ได้เห็นเขาเสียใจมากและตำหนิกิเลนน้อย
“เจ้าเอาของที่อาณาจักรทมิฬสะสมหมื่นปีมาครึ่งหนึ่งแล้วยังไม่พอใจอีกรึไง!”
DND.670 – มุกเงินเลี่ยงสายฟ้า
ซือหยูรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะให้โอกาสทุกคนอีกครั้งเพราะเขาขโมยของอาณาจักรทมิฬมาครึ่งหนึ่งแล้ว นั่นมากพอแล้วที่จะทำให้อาณาจักรทมิฬหวาดกลัว!
ถ้าเขาไม่เหลือไว้อีกครึ่งส่วรนอาณาจักรทมิฬก็คงจะไม่รอดจากศัตรูและถูกกองทัพใหญ่ของห้าศักดิ์สิทธิ์ล้างบางแน่นอน เขาตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยให้อาณาจักรทมิฬล่มสลายก่อนสงคราม
จากนั้นรอยแยกมิติเหนือยอดเขาก็เริ่มจะปิดตัวลง!ซือหยูตกใจมาก เขาคว้ากิเลนน้อยและพุ่งไปก่อนที่รอยแยกจะปิดสนิท
เขารู้ดีว่าถ้าเขาติดอยู่ที่นี่จะเกิดปัญหาใหญ่ถ้ามีคนจากอาณาจักรทมิฬมาที่นี่อีกครั้งนั่นก็เพราะคนของอาณาจักรทมิฬจะพบทรัพยากรที่หายไปและรู้ว่าเป็นเพราะฝีมือของซือหยู!
โชคดีที่ซือหยูออกมาทันก่อนที่รอยแยกจะปิดแต่เมื่อออกมาถึงข้างนอกซือหยูก็เห็นเงาคนหนึ่งที่เคลื่อนไหวไกลไปจากเขาในหมอกสีม่วง
คนผู้นั้นยังไม่พบว่าซือหยูอยู่ตรงนี้เขาหลบหมอกสีม่วงอย่างระมัดระวัง
ไป่จงงั้นรึ?เขามาทำอะไรที่นี่?
ซือหยูแปลกใจอยู่บ้างเขาคิดว่ามันคือผู้รอดชีวิตจากที่นี่ เขาไม่คิดเลยว่าจะเป็นไป่จง!
ไป่จงเคลื่อนไหวช้ากว่าเดิมคล้ายกับถูกพิษเขาไม่ได้เร็วเท่ากับภูติเลย
ม้าเมฆาก่อนหน้านี้จะต้องทำให้เขาบาดเจ็บแต่โชคดีที่เขาแค่บาดเจ็บแต่ไม่ตาย แต่พลังชีวิตที่เขาปล่อยออกมานั้นทำให้ซือหยูสนใจ
“ก็ไม่เลวนัก”
ซือหยูปิดบังพลังของตัวเองและบินออกไปให้เร็วที่สุด
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงซือหยูกลับมาถึงประตูทางออก เขาพาตัวเองกลับไปยังโลกภายนอกที่ชั้นเจ็ด เขามึนหัวอยู่บ้างเมื่อกลับไป
แต่ก่อนที่ซือหยูจะได้ลืมตาก็มีสายลมเย็นๆพุ่งมาที่เขาพอลืมตาก็ได้เห็นแววตาที่ทั้งโกรธทั้งอายจ้องมองเขา และยังมีกระบี่ยาวสีขาวหิมะกำลังจะซัดใส่ใบหน้าของซือหยู!
“ไร้ยางอาย!”
คำพูดนี้มาจากสตรีนางพูดด้วยความโกรธ และดูเหมือนว่ากระบี่จะพุ่งเข้าใส่ซือหยูเร็วกว่าเดิม
“เจ้าตำหนักหนานกวง?ทำอะไรของเจ้า?”
เมื่อบอกได้ว่าคนที่เข้ามาเป็นใครซือหยูยื่นสองดัชนีเข้าไปจับกระบี่และปัดมันออกไป
กระบี่คมกริบพลาดใบหน้าซือหยูไปหวุดหวิดแต่พลังของกระบี่ก็ตัดเอาเส้นผมสีเงินของเขาไปหนึ่งเส้น
“อ๊ะ…ซือหยูรึ?”
แสงรอบตัวซือหยูได้หายไปและเผยให้เห็นตัวของเขาเจ้าตำหนักหนานกวงอ้าปากด้วยความตกใจ
นางใจเย็นลงและเก็บกระบี่กลับไปนางพูดราวกับคนคลั่ง
“ขออภัยเจ้าพันธมิตรซือข้าไม่ได้ตั้งใจ!”
ใบหน้าโกรธเกรี้ยวของนางเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกนางหวาดกลัวซือหยูอย่างมาก
“เจ้าทำแบบนั้นทำไมกัน?”
ซือหยูถามและดีดเส้นผมที่ขาดออกไป
เจ้าตำหนักหนานกวงหน้าแดงขึ้นมาทันทีซือหยูไม่รู้ว่านางเป็นกังวลหรือเขินอายกันแน่
“เจ้าพันธมิตรซือหยูข้าขอโทษ! ข้าเข้าใจผิดว่าท่านเป็นคนที่ลวนลามข้า!”
“ลวนลามรึ?”
ซือหยูใจเต้นแรง
“มีคนแตะตัวเจ้าตอนที่เจ้าหมดสติอยู่งั้นรึ?”
ตอนที่เขาส่งเจ้าตำหนักหนานกวงออกจากมิติพิษตอนนั้นนางยังไม่ได้สติ หรือว่ามันจะเกิดขึ้นตอนนั้น? ซือหยูขมวดคิ้วเบาๆและสงสัยว่าทำไมอาณาจักรทมิฬถึงมีแต่คนน่าเวทนาเช่นนี้
“ใช่แล้วมันยังขโมยสร้อยล้ำค่าของข้าไปด้วย! มันฉวยโอกาสข้า ไร้ยางอายนัก! ข้าจะรอที่นี่ ถ้ามันออกมา ข้าจะถลกหนังมันออกและบดขยี้กระดูกมันซะ!”
เจ้าตำหนักหนานกวงพูดด้วยความชิงชัง
ทันใดนั้นนางก็เห็นว่าใบหน้าซือหยูดูแปลกไปนางจึงถาม
“เจ้าพันธมิตรซือท่านเป็นอะไรรึ?”
ซือหยูใบหน้าตึงเครียดอย่างแปลกๆหรือว่าคนลวนลามที่นางพูดถึงจะเป็นข้า?
ซือหญูแสร้งทำเป็นผายมืออย่างเย็นชา
“เจ้าพูดถึงสร้อยเส้นนี้ใช่หรือไม่?”
สร้อยสีหยกในปรากฏในมือซือหยูพอดีเจ้าตำหนักหนานกวงตัวแข็งทื่อ
“เจ้าพันธมิตรซือสร้อยเส้นนี้… ทำไมถึงอยู่กับท่าน?”
นางรู้สึกราวกับหัวจะระเบิด…หรือว่าซือหยูจะเป็นคนที่ลวนลามข้า?
“เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”
ซือหยูจ้องนางอย่างเยือกเย็น
“เจ้าคิดว่าข้าจะรักษาเจ้าด้วยพลังชีวิตได้หรือไม่ถ้าไม่เอาสร้อยออกมา?เจ้าคิดว่าเจ้าจะมาพูดต่อหน้าข้าได้แบบนี้ถ้าไม่มีใครช่วยชีวิตเจ้าเมื่อครู่รึ?”
เขาถาม
“ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่รู้สำนึกแล้วทำร้ายคนที่ช่วยเจ้าข้าก็คงปล่อยให้เจ้าตายเพราะพิษไปแล้ว! แต่ตอนนี้ข้ากลับได้ชื่อเป็นพวกลวนลามรึ! ตลกสิ้นดี!”
ซือหยูดูโกรธมากขณะที่พูดเจ้าตำหนักหนานกวงใจเต้นอย่างรุนแรง นางเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าสร้อยนั้นสามมารถดูดซับพลังชีวิตจากภายนอกได้ด้วย
ซือหยูพยายามจะช่วยนางจริงๆ!ความโกรธของนางหายไปจนหมดสิ้น นางละอายใจมากที่เห็นว่าซือหยูโกรธเพียงใด นางเริ่มที่จะตัวสั่นด้วยความกลัว
“ขออภัยท่านเจ้าพันธมิตรซือท่านช่วยข้าเอาไว้ ข้าควรจะขอบคุณท่าน แต่ข้ากลับหันกระบี่ใส่! ข้าขอโทษ…”
เจ้าตำหนักหนานกวงขอโทษด้วยความละอายใจ
“ท่านรับสร้อยเส้นนั้นเป็นของขวัญก็ย่อมได้คิดว่าเป็นคำขอโทษจากข้า”
เจ้าตำหนักหนานกวงมองสร้อยในมือซือหยูนางดูเจ็บปวดมากที่จะต้องทิ้งมันไป
พรึ่บ
ซือหยูโยนสร้อยหยกไปหาทางและถาม
“ข้าจะเอาสร้อยของเจ้าไปทำไม?เอาคืนไปแล้วก็ไปซะ!”
ซือหยูแสร้งทำเป็นเย็นชาแต่ความจริงแล้วเขาอับอายอย่างมาก เจ้าตำหนักหนานกวงรับสร้อยเอาไว้ทั้งที่ตัวสั่น นางโค้งคำนับเขาและก้าวออกไป
นางยังขอโทษเขาไม่หยุดดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา
“เจ้าพันธมิตรซือข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ…”
เจ้าตำหนักหนานกวงจากไปด้วยความรู้สึกผิดแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรนางถึงรู้สึกแปลกๆ เพราะนางคือคนที่ถูกฉวยโอกาส นางเริ่มสงสัยว่าทำไมนางถึงต้องขอโทษ นางทั้งสับสนและคิดอะไรไม่ออก แต่ตอนนั้นนางก็เดินออกมาไกลแล้ว
พรึ่บ
ประตูส่องแสงอีกครั้งไป่จงปรากฏตัวออกมา
“เจ้าพันธมิตรซือออกมาครู่หนึ่งแล้วท่านคงจะได้แสงจันทร์มาแล้วสินะ”
ไป่จงคิดว่าซือหยูมารอข้างนอกอยู่นานแล้ว
ซือหยูแอบเหลือบมองทางที่เจ้าตำหนักหนานกวงเพิ่งจะเดินออกไปเขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ถ้านางยังอยู่ไป่จงก็คงจะถามคำถามกับนางจากนั้นไป่จงก็จะรู้ว่าซือหยูเพิ่งกลับมา! ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็จะสงสัยและกลับไปดูที่เก็บสมบัติ
ถ้าหากซือหยูถูกจับได้ว่าขโมยทรัพยากรของอาณาจักรทมิฬตอนนั้นก็ยากแล้วที่เขาจะมีชีวิตออกมาจากอาณาจักรทมิฬ นี่จึงเป็นเหตุที่เขาแสร้งทำเป็นดุดัน เพราะเขาอยากจะให้เจ้าตำหนักหนานกวงรีบไปก่อนที่ไป่จงจะกลับมา
“ข้าได้มาแล้วท่านดูสิ”
ซือหยูยื่นน้ำเต้าหยกที่เต็มไปด้วยแสงจันทร์ออกไป
ไป่จงเหลือบมองและยิ้มอย่างพอใจ
“ดีเลยแสงจันทร์นี้มากพอจะปรุงโอสถจันทร์ลับอดุลได้หนึ่งหม้อ เจ้าพันธมิตรซือมากับข้าเถอะ มีคนปรุงโอสถที่เชี่ยวชาญมากมายนักในหอวารีสวรรค์ การปรุงโอสถที่ท่านอยากได้มันยากกว่าโอสถอื่น แต่ท่านสบายใจได้ถ้าคนจากหอวารีสวรรค์เป็นคนปรุง”
หอวารีสวรรค์รึ?ซือหยูพยักหน้าเบาๆและตามไป่จงไปยังชั้นหก
เขามองดูไป่จงจากด้านหลังและแอบสงสัย…
ข้าชิงม้าเมฆาแสนล้ำค่ามาจากไป่จงทำไมเขาถึงไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวกัน? แล้วทำไมไป่จงถึงปรากฏตัวที่แผ่นศิลาในมิติพิษชั้นแปด?
เขาคิดไปเรื่อยๆจนถึงหอวารีสวรรค์
“ท่านรอสักครู่หนึ่งข้าจะไปแจ้งอาจารย์ปรุงโอสถที่ชั้นบน”
ไป่จงตั้งใจจะให้ซือหยูรออยู่ข้างล่างขณะที่เขาเดินขึ้นไป
“ท่านคงอภัยให้ข้าเหล่าอาจารย์ปรุงโอสถเป็นสามคนที่ได้รับความรับถือที่สุดในอาณาจักรทมิฬ พวกเขาแปลกกว่าคนอื่นอย่างมาก ถ้าจะไปดูว่าพวกเขาว่างอยู่หรือไม่ ข้าเชื่อว่าถ้าพวกเขารู้ว่าท่านเป็นเจ้าพันธมิตร พวกเขาก็คงเต็มใจมากที่จะช่วยเหลือแม้จะยุ่งอยู่ก็ตามที…”
ไป่จงกล่าว
เขากังวลว่าเรื่องน่าอึดอัดใจแบบตอนที่พบผู้เฒ่าขาวดำทั้งสองจะเกิดขึ้นอีกนั่นจึงเป็นเหตุที่เขาอยากจะไปหาคนที่ชั้นบนแทนซือหยู
“ขออภัยที่ลำบากผู้ตรวจการไป่”
ซือหยูยิ้ม
“ข้าจะเดินรอบๆชั้นหนึ่งนี่แหละ”
ซือหยูเดินรอบๆชั้นแรกและตงใจปกปิดตัวเองด้วยฎีกาสวรรค์ที่เป็นธรรมชาติเพื่อไม่ให้ถูกสนใจแม้จะมีคนเห็นซือหยูด้วยตาเปล่าก็ยากที่จะเห็นว่าเป็นซือหยู ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าเขาคือซือหยูในตอนนี้
เขาเดินรอบๆอยู่ครู่หนึ่งและพบว่าหอวารีสวรรค์ขายโอสถหลายชนิดเป็นแหล่งรายได้พวกที่มีคุณสมบัติสูงคือพวกที่ใช้บ่มเพาะพลัง ส่วนของคุณภาพต่ำจะเป็นของที่ใช้ฟื้นฟูรักษา
มีโอสถสนับสนุนมากมายที่ช่วยในเรื่องสมาธิเพิ่มความเร็ว และฟื้นคืนพลังวิญญาณกลับมา มีโอสถอยู่หลายประเภท
โชคร้ายที่โอสถเหล่านี้มีระดับไม่มากนักมันจึงไม่เหมาะที่ซือหยูจะใช้งาน…ซือหยูส่ายหน้าและเดินต่อไป
แต่เมื่อเขาหันไปก็เห็นโอสถสีเงินสีเงินของมันดูคล้ำอย่างมากและไม่สะท้อนแสงใดๆเลย
มันวางอยู่ตรงมุมที่ไม่มีใครจะสังเกตเห็นซือหยูที่เดินมาเมื่อครู่ไม่ได้เห็นมันเลย แต่เมื่อได้เห็นก็ต้องเบิกตากว้าง
“หรือว่านี่…”
ซือหยูตื่นเต้นอย่างมาก
“ข้าตามหามันทุกที่แต่ก็หาไม่เจอแต่ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอมันที่นี่!”
ซอืหยูเกือบจะหัวเราะเสียงดังออกมา
เขาได้สมุนไพรบาดาลกับโลหิตมังกรมาแล้วมันคือสองในสามวัตถุดิบที่ใช้สร้างเนตรเงินล้างอสูร และสิ่งที่ยังขาดอยู่คือมุกเงินเลี่ยงสายฟ้า แต่เขาไม่มีแม้กระทั่งเบาะแสว่าจะไปหามันที่ไหน
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดโอสถเม็ดสีเงินตรงหน้าซือหยูนั้นทำให้เขาดีใจเป็นอย่างมาก!

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

Status: Ongoing

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ

เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท