สีหน้าของตำรวจทั้งสองคนขรึมลง
สายตาที่มองซูหร่วนเจือไปด้วยความเย็นชา
พวกเขาเป็นคนฮู่เฉิง ย่อมเคยได้ยินเรื่องซุบซิบในวงการเศรษฐี
ยิ่งไปกว่านั้นเพราะป้ายที่ตั้งอยู่หน้าห้างเซ็นจูรี่ ทำให้ชื่อซูหร่วนเลื่องลือไปไกลมาก
พูดจาใส่ร้ายเด็กสาวงั้นเหรอ
นี่ต้องเป็นผู้หญิงที่จิตใจโหดร้ายขนาดไหนกัน
พอเห็นสายตาตัดสินของตำรวจทั้งสองคน สมองของซูหร่วนก็แทบระเบิด หน้าซีดยิ่งกว่าเดิม
วินาทีถัดมา ทันใดนั้นเธอก็เอะใจขึ้นมาได้ หันขวับ “เธอจงใจยุให้ฉันแจ้งตำรวจ!”
“ปิ๊งป่อง” อิ๋งจื่อจินพิงประตู หาวอีกครั้ง หันไปแสยะยิ้มใส่ “ฉลาดสักทีนะ”
ในที่สุดตำรวจทั้งสองคนก็เข้าใจแล้วว่ามันเรื่องอะไร
ตำรวจคนหนึ่งพูดเสียงขรึม “คุณผู้หญิงท่านนี้ คุณมีเจตนาไม่ดีหลอกใช้เจ้าหน้าที่ พวกเราจำเป็นต้องลงบันทึกประจำวันไว้ครับ”
“ทำไม” ซูหร่วนลนลานเข้าแล้วจริงๆ “เธอเป็นคนให้ฉันแจ้งตำรวจนะ! คนที่หลอกใช้เจ้าหน้าที่คือคนนี้! อีกอย่าง นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่ได้เอาบัตรของฉันไป”
“มีพันล้าน จะมาเอาสิบล้านของคุณเหรอ” ฟู่อี้หันหมดความอดทนอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขาพูดเตือน “ซูหร่วน ที่นี่ฮู่เฉิงนะ อย่าเอาแต่ใจ”
“อีกอย่าง เมื่อกี้คุณเป็นคนบอกเองว่าจะแจ้งตำรวจ คุณจะโทษคุณอิ๋งเหรอ”
ซูหร่วนถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างอดไม่ได้ มือสั่น “พวกคุณสองคนพี่น้องถูกนังจิ้งจอกปั่นหัวแล้ว…”
ตำรวจทั้งสองคนไม่มีทางยุ่งเรื่องส่วนตัวของพวกเศรษฐี หลังจากพวกเขาลงบันทึกประจำวันของซูหร่วนเสร็จก็กลับ
“ขอโทษด้วยครับคุณอิ๋ง ขอโทษอวิ๋นเซินด้วย” ฟู่อี้หันถอนหายใจ “ผมขอพาเธอกลับก่อน”
ซูหร่วนก็ไม่อยากอยู่ตรงนี้อีกแล้ว รู้สึกแสบร้อนที่ใบหน้า
คืนนี้เธอขายหน้าจนไม่เหลือ แถมยังต่อหน้าฟู่อวิ๋นเซิน
ฟู่อวิ๋นเซินเอามือล้วงกระเป๋าข้างหนึ่ง พอได้ฟังก็เหลือบตาขึ้น น้ำเสียงเย็นชา “ยังไม่ได้บอกให้ไป”
ฟู่อี้หันชะงัก เขาหยุดลงอีกครั้ง
ซูหร่วนโมโหจนเอากำปั้นทุบอกฟู่อี้หัน “ทำไมคุณถึงเชื่อฟังขนาดนี้ คุณเป็นพี่ใหญ่นะ!”
เธอแต่งกับฟู่อี้หันเพื่ออะไร
ถ้าไม่ใช่เพื่อข่มฟู่อวิ๋นเซิน เธอจะได้อยู่เหนือกว่าเขา
ฟู่อี้หันจับมือซูหร่วน สายตาที่มองชายรูปงามตรงหน้ารู้สึกผิด “อวิ๋นเซิน ยังมีธุระอะไรอีกเหรอ”
เวลานี้เสียงลิฟต์ที่อยู่ด้านขวาของทางเดินได้ดังขึ้น ติ๊ง
บริกรที่อยู่ในชุดสูททักซิโด้หางนกนางแอ่นคนหนึ่งเดินเข้ามา
เขาถือถุงสีดำที่ไม่โปร่งแสงมาใบหนึ่ง ไม่รู้ว่าในนั้นมีของอะไร
อิ๋งจื่อจินเหลือบมอง สายตาจับจ้อง
บริกรเดินขึ้นหน้า ยื่นถุงให้อย่างนอบน้อม “ของที่คุณต้องการครับคุณชายเจ็ด ผมเอามาให้แล้วครับ”
ฟู่อวิ๋นเซินยกมือรับถุงใบนั้นมา จากนั้นก็ยืนขึ้นแล้วเดินไปหาซูหร่วน
ซูหร่วนเงยหน้าขึ้นทันที พอเห็นใบหน้าหล่อเหลาอันทรงเสน่ห์ก็ตกใจ
ต้องยอมรับเลยว่า ไม่ว่าที่เมืองนอกหรือตี้ตู เธอก็ไม่เคยเจอผู้ชายที่หล่อกว่าฟู่อวิ๋นเซิน
ผู้ชายคนนี้เหมือนเทพบุตรลงมาจุติ ใบหน้าถูกปั้นแต่งด้วยหัตถ์ของพระเจ้า ชวนสะกดใจเหลือเกิน
ถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นคุณชายเสเพลล่ะก็ เธอก็ยินดีแต่งงานกับเขาอยู่หรอก
ซูหร่วนตะลึงอยู่ชั่วครู่
แต่วินาทีถัดมายังไม่ทันที่เธอจะดึงสติกลับมาจากจินตนาการ เธอก็ถูกเทบัตรสีดำจำนวนหนึ่งใส่อย่างแม่นยำ
ไหลลงมาจากบนหัวของเธอใบแล้วใบเล่า
บัตรแต่ละใบล้วนมีสัญลักษณ์ดอกไอริสสีทอง
ทั้งหมดหนึ่งร้อยใบ
ซูหร่วนงงไปหมด
หลังจากฟู่อวิ๋นเซินเทเสร็จก็ยื่นถุงสีดำให้บริกร
จากนั้นเขาก็ถอยหลังหนึ่งก้าว เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงอีกครั้ง “ให้เยอะขนาดนี้พอใจหรือยัง”
ซูหร่วนหน้าซีดเพราะความอับอาย ใบหน้าไม่เหลือเลือดฝาด
ริมฝีปากของเธอสั่น พูดไม่ออก “ฟู่อวิ๋นเซิน นาย นาย…”
“ไม่พอยังมีอีกนะ” ฟู่อวิ๋นเซินเลิกคิ้ว ยิ้มมุมปาก “เดี๋ยวส่งคนเอาไปให้ที่บ้านตระกูลฟู่ แต่ถ้ายังคิดว่าไม่พออีกก็กินเข้าไปให้หมด จะได้ไม่ต้องทำหายอีก”
พูดจบเขาก็ไม่มองว่าซูหร่วนมีสีหน้าอย่างไร หันไปพูด “เยาเยา ไปกินมื้อดึกเถอะ”
ประตูถูกปิดลง
อิ๋งจื่อจินนั่งที่โต๊ะอาหาร เปิดถุงออก
ข้างในเป็นขนมหวานหลายกล่อง และยังมีขนมเค้ก
แต่เธอไม่ได้ลงมือกินทันที เธอเงยหน้าขึ้น
“วางใจได้เด็กน้อย” ฟู่อวิ๋นเซินอ่านสายตาของเธอออก เขกหัวของเธอเบาๆ “ในบัตรไม่มีเงิน”
อิ๋งจื่อจินถึงได้หยิบช้อน “คุณเอาบัตรตั้งเยอะขนาดนั้นมาจากไหน”
เมื่อกี้เธอเห็นแล้ว บัตรสีดำพวกนั้นทำขึ้นมาอย่างประณีต ไม่เหมือนของเลียนแบบ
“ตอนนั้นที่พี่ชายอยู่ตี้ตู” ฟู่อวิ๋นเซินเงียบไปชั่วครู่ “ได้มาเยอะ แต่ไม่เคยใช้”
บัตรที่ไม่มีชื่อกำกับแบบนี้ก็แค่เอาไว้เป็นที่ระลึก
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “เวลาที่บ้านมีงานเลี้ยงคุณไม่ค่อยกลับไป สาเหตุเป็นเพราะพ่อแม่ และยังเพราะพี่สะใภ้ใหญ่ด้วยใช่ไหม”
“สมองเธอไม่ค่อยได้เรื่อง” ฟู่อวิ๋นเซินยิ้ม พูดเสียงเนือย “เยาเยาเชื่อไหม จนถึงตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นยังคิดว่าพี่ชายคลั่งรักเธอเสียเต็มประดา ที่ทำแบบนี้ก็เพราะรักมากจนแค้น”
“…”
แม้แต่อิ๋งจื่อจินยังอดเงียบไปสักพักไม่ได้ “งั้นสมองก็ไม่ค่อยได้เรื่องจริงแหละ”
ฟู่อวิ๋นเซินหันไปมองนอกหน้าต่าง
แสงไฟนีออนสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา ทำให้ดวงตาสีอำพันอ่อนงดงามระยิบระยับดุจสายธารแห่งดวงดาว
เขายิ้มอีกครั้ง “พี่ชายไม่อยากให้คุณปู่กับพี่ใหญ่ลำบากใจ ตระกูลฟู่ขาดพี่ชายไปสักคนก็ไม่เป็นไรหรอก”
อิ๋งจื่อจินหยิบมีดหั่นเค้ก ยังคงเงียบอยู่
ถ้าฟู่อวิ๋นเซินไม่พูดเธอก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาในอดีต
แต่เห็นได้ชัดว่าคงเป็นวันที่ทุกข์ทรมานและมืดมน
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นในเวลานี้
ริต้าใช้โปรแกรมแชทสากลโทรมาหาเธอ
“ฮัลโหล คนสวย” เธอโกรธมาก “ฉันโมโหจะบ้าตายอยู่แล้ว นักปรุงยาพิษอันดับหนึ่งเบี้ยวนัดฉันอีกแล้ว บอกว่ามีธุระ ต้องรออีกสิบวัน”
“ฮู่เฉิงมีที่สนุกๆ ไหม บอกหน่อย ฉันจะไปเดินเที่ยว”
สีหน้าของอิ๋งจื่อจินชะงัก “พวกเธอติดต่อกันยังไง”
นักแม่นปืนอันดับแปดสิบเจ็ดของชาร์ตเอ็นโอเคจะเดินเล่นในฮู่เฉิง ไม่รู้ว่าจะมีคนแตกตื่นเท่าไร
“จดหมาย นกพิราบคาบมา” ริต้าตอบ “ฉันเลยคิดมาตลอดว่าเขาอาจเป็นคนในวงการแพทย์แผนโบราณ ส่วนจะเป็นใครกันแน่ ต้องเจอหน้าก่อนถึงจะบอกได้”
“เลื่อนไปอีกสิบวัน เธอโอเคใช่ไหม”
“พอไหว” อิ๋งจื่อจินเหลือบมองใบเสร็จ “ก็แค่เธอทำฉันเสียค่าที่พักโรงแรมไปฟรีๆ มันแพงมากนะ”
“…”
…
ห้าวันต่อมา วันที่ 28 สิงหาคม โรงเรียนมัธยมชิงจื้อเปิดเทอม
นักเรียนชั้นมอห้าขึ้นชั้นมอหกอย่างเป็นทางการ และก็ต้อนรับนักเรียนชั้นมอสี่ที่มาใหม่
ก่อนเปิดเทอมนักเรียนชั้นมอหกได้จำลองการสอบครั้งแรกไป
จากนี้นักเรียนคลาสทดลองวิทยาศาสตร์กับคลาสเด็กอัจฉริยะจะไม่มีการสอบกลางภาคปลายภาคอีกต่อไป ยกเว้นคลาสทั่วไป แต่จะมีการสอบที่ใช้ข้อสอบจำลองการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแทน
จำลองการสอบครั้งแรกใช้ข้อสอบแบบเดียวกันหมด เนื่องจากโจทย์ส่วนใหญ่ใช้เครื่องตรวจ ผลคะแนนก็เลยออกมาเร็ว
ร้อยอันดับแรกจะถูกติดรายชื่อไว้ข้างนอกตามธรรมเนียมปกติ
เนื่องจากระดับความยากของข้อสอบน้อยกว่าข้อสอบคลาสเด็กอัจฉริยะมากทีเดียว เป็นแค่ความยากระดับทั่วไป
เพดานคะแนนก็ได้แค่นั้น นักเรียนคลาสอัจฉริยะจึงทำคะแนนทิ้งห่างนักเรียนคลาสทดลองวิทยาศาสตร์ไปได้ไม่มาก
อันดับห้าสิบกับอันดับห้าสิบเอ็ดของชั้นปีห่างกันแค่คะแนนเดียว
แต่อันดับหนึ่งทิ้งห่างอันดับสองไปถึงสิบห้าคะแนน
อันดับหนึ่ง : อิ๋งเย่ว์เซวียน
คะแนนรวม : 735
แน่นอนว่าคะแนนเท่านี้ยังห่างจากอันดับหนึ่งเวินทิงหลานของชั้นมอหกรุ่นที่แล้วอยู่สิบคะแนน
ถึงแม้จะแค่สิบคะแนน แต่เมื่อเกินเจ็ดร้อยคะแนนขึ้นไป คะแนนเดียวก็มีความแตกต่างกันมาก
อัจฉริยะก็ยังคงเทียบไม่ได้กับคนเก่งถึงขั้นพิสดารอยู่ดี
“เย่ว์เซวียน เธอไปเมืองนอกมาหนึ่งปี การเรียนก้าวหน้าขึ้นจริงๆ” นักเรียนหญิงร่วมโต๊ะดีใจแทนอิ๋งเย่ว์เซวียน แต่ก็อดพูดไม่ได้ “ถ้าจือหว่านยังอยู่ เธอเรียนเก่งแบบก้าวกระโดดแบบนี้ จือหว่านคงรักษาอันดับหนึ่งของชั้นปีไม่ได้หรอก”
อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่รู้สึกอะไร น้ำเสียงอ่อนโยน “อาจเพราะได้เปิดโลกมั้ง”
“งั้นก็ดีสิ” นักเรียนหญิงพูด “แบบนี้ที่หนึ่งของชั้นมอหกจะได้อยู่ห้องเรา”
พอได้ยินแบบนี้อิ๋งเย่ว์เซวียนก็อึ้ง “ที่หนึ่งของชั้นปีไม่ได้อยู่ห้องเราเหรอ สอบปลายภาคเทอมก่อน ฉันก็ยังเห็นชื่อจือหว่านติดอยู่บนบอร์ดเลยนะ”
“นั่นเป็นเพราะ…” ขณะที่นักเรียนหญิงกำลังจะพูดบางอย่าง เธอก็นึกขึ้นได้ว่าอิ๋งเย่ว์เซวียนเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลอิ๋ง เธอจึงกลืนคำพูดกลับไปอีกครั้ง “วางใจได้ เย่ว์เซวียน อิ๋งจื่อจินสู้เธอไม่ได้หรอก เธอดูนะ ขนาดสอบยังไม่มาเลย”
คราวนี้อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่พูดอะไร
มือที่จับปากกากำแน่น เริ่มทำแบบฝึกหัดอีกครั้ง
…
ได้รับอนุญาตจากผู้อำนวยการโรงเรียน อิ๋งจื่อจินจึงไม่ต้องไปโรงเรียน
เธอไปที่ชูกวงมีเดีย
รอบสัมภาษณ์รายการวัยรุ่นสร้างฝัน 202 จบลงไปแล้ว ไม่ต่างจากรายการวัยรุ่นสร้างฝัน 101 มีเด็กฝึกเข้ารอบทั้งหมด 101 คน
รายการวัยรุ่นสร้างฝัน 101 เป็นการคัดเลือกไอดอลหญิง ส่วนรายการวัยรุ่นสร้างฝัน 202 เป็นการคัดเลือกไอดอลชาย
ชูกวงมีเดียส่งไปสามคน
อิ๋งจื่อจินไปเพื่อดูรายงานประจำเดือนของเดือนสิงหาคม
เลขาสาวได้รับแจ้งล่วงหน้าแล้ว จึงมารอเธอที่ชั้นล่างแล้วขึ้นลิฟต์ไปด้วยกัน
ตอนที่ผ่านห้องประชุมผู้บริหาร อิ๋งจื่อจินก็หยุดลงแล้วมองเข้าไปข้างใน
ภายในห้องประชุมมีผู้อำนวยการของฝ่ายการตลาดกับฝ่ายกระจายสื่อ
และยังมีคนอีกจำนวนหนึ่ง บรรยากาศตึงเครียดน่าดู
มีชายวัยกลางคนเอาแฟ้มเอกสารโยนใส่หน้าผู้ช่วยของผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด
พอเห็นเธอมองเข้าไปเลขาสาวก็อึ้ง
ผ่านไปสักพักเธอถึงได้สติ พูดเสียงเบา “บอสคะ นั่น…”
“ไม่เป็นไร” อิ๋งจื่อจินหรี่ตาลง “ฉันเข้าใจแล้ว”
คำพูดนี้ไม่ดังแต่ก็ไม่เบา พอที่จะลอดเข้าไปในห้องประชุม
ชายวัยกลางคนที่โยนแฟ้มเอกสารได้ยินก็หันมาหัวเราะ “ฉันยังไม่ได้พูด เธอก็รู้แล้ว เธอรู้อะไร”