ต่อให้เป็นคนนอกวงการก็สามารถมองออกจากรายละเอียดของไอเอสซีว่างานแข่งขันวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติครั้งนี้ยากขนาดไหน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าห้าคนนั้นเคยมีผลงานการแข่งขันด้านวิชาการมาแล้ว
ถ้าไม่ได้เหรียญทองในการแข่งขันระดับนานาชาติก็ได้โควตาเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยติดอันดับของโลกมาแล้ว
เมื่อเปรียบเทียบกัน อิ๋งจื่อจินที่ไม่มีแม้แต่ประวัติก็ดูแย่กว่ามาก
ความนิยมของเรื่องไอเอสซีพอมีอยู่ แต่เนื่องจากยังไม่ได้เริ่มการแข่งขันอย่างเป็นทางการ จึงไม่ได้ดังมากนัก ไม่ติดชาร์ตอันดับคำค้นหา
มีเพียงคนที่ไปดูรายชื่อในเว็บไซต์วิทยาศาสตร์เท่านั้นที่รู้ ดังนั้นชาวเน็ตที่ร่วมแสดงความคิดเห็นจึงมีไม่มาก
#ISC โควตาตัวแทนประเทศจีนเข้ารอบตัดสิน# หัวข้อนี้มีคนอ่านประมาณสามแสนหกพัน มีคนพูดถึงสามร้อยสี่สิบแปดคน
เมื่อเทียบกับอันดับคำค้นที่ห้าสิบยังห่างไกลอยู่มาก จำนวนคนอ่านยังสูงไม่เท่า #แมวหาวสะใจขนาดไหน#
แต่ก็มีชาวเน็ตที่รู้จักชื่ออิ๋งจื่อจิน
[อิ๋งจื่อจินเหรอ ฉันรู้จัก วาดรูปกับเขียนอักษรพู่กันเก่งมากเลยนะ ได้ยินว่าเล่นเปียโนก็เก่งมากด้วย แต่ฉันไม่ได้ดูไลฟ์สดคอนเสิร์ตหรอก
แค่ได้ยินคนพูดว่าเธอคือวีร่า โฮลท์ซกลับชาติมาเกิด แต่ต่อมาไปเสิร์ชในเน็ตก็ไม่เจอคลิปที่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่เหลือแม้แต่คลิปเดียว ฉันยังสงสัยอยู่ว่าเครื่องมือเสิร์ชของฉันมันมีปัญหาหรือเปล่า
อืมมม ไม่ว่ายังไงก็น่าจะเป็น…ศิลปินหรือเปล่า]
[ศิลปินเข้าร่วมงานแข่งขันวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติ ขำเป็นบ้า ขำเป็นบ้า ขำเป็นบ้า จะขึ้นไปเล่นเปียโนหรือร้องเพลงกันล่ะ]
[ขอกระซิบ ตัวแทนเด็กมอปลายที่ถูกเลือกคนอื่นๆ มาจากการคัดเลือกอย่างเข้มข้นภายในโรงเรียนกันทั้งนั้น แต่ชิงจื้อไม่ได้มีการแข่งขันคัดเลือก เคาะเอาคนนี้เลยทันที
อีกอย่าง รู้กันใช่ไหมว่าชิงจื้อมีคลาสเด็กอัจฉริยะ อิ๋งจื่อจินอะไรนี่ไม่ได้อยู่คลาสนั้นเลยนะ ถึงขนาดที่แม้แต่คลาสทดลองวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้อยู่
ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมโควตาของชิงจื้อถึงไปตกอยู่ที่เด็กคนนี้]
[นี่มัน…ชิงจื้อเป็นหนึ่งในสามโรงเรียนมัธยมชั้นนำไม่ใช่เหรอ ทำไมคัดเลือกส่งเดชแบบนี้]
[ได้ รอปีหน้า ฉันจะรอดูว่าศิลปินคนนี้จะแสดงความสามารถอะไรออกมาในงานแข่งขันรอบตัดสินระดับนานาชาติ]
ก่อนประกาศรายชื่อ ชื่อของทั้งหกคนได้ถูกส่งไปที่คณะกรรมการการแข่งขันแล้ว แก้ไขไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ชาวเน็ตก็ได้แค่วิจารณ์ คุยเสร็จก็แยกย้าย
อย่างไรเสียก็มีข่าวซุบซิบเรื่องอื่นที่น่าสนใจกว่า ศิลปินวัยมัธยมแค่คนเดียวก็ไม่ได้ควรค่าให้พวกเขาสนใจมากนัก
จากการสำรวจสถิติ ชาวเวยปั๋วที่จบมหาวิทยาลัยมีเพียงสี่เปอร์เซ็นต์ ทั้งยังเป็นศูนย์รวมของนักเลงคีย์บอร์ดจำนวนมาก
ชาวเน็ตเหล่านี้คิดแบบนี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนมัธยมในสังกัดของมหาวิทยาลัยตี้ตู หรือโรงเรียนเอลานของยุโรป ต่างไม่คิดแบบนี้
โรงเรียนมัธยมชิงจื้อเป็นถึงหนึ่งในสามโรงเรียนชั้นยอดของประเทศจีน
โดยเฉพาะคลาสเด็กอัจฉริยะ นักเรียนที่อยู่คลาสนั้นเก่งผิดมนุษย์มนาจนโด่งดังไปทั่วเน็ต
เรื่องสำคัญที่สุดคือ ปีนี้โรงเรียนมัธยมชิงจื้อส่งเด็กเข้ามหาวิทยาลัยนอร์ตันเป็นคนแรกได้สำเร็จ
โรงเรียนมัธยมชั้นยอดแบบนี้จะทำงานส่งเดชในเรื่องที่เกี่ยวพันถึงเกียรติของประเทศได้เชียวเหรอ
แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมชิงจื้อถึงเลือกอิ๋งจื่อจิน
โดยเฉพาะหลังจากที่โรงเรียนมัธยมในสังกัดมหาวิทยาลัยตี้ตูขอดูผลการเรียนในช่วงสามปีนี้ของอิ๋งจื่อจินจากชิงจื้อ ก็ยิ่งเข้าสู่ห้วงความเงียบหนักกว่าเดิม
“เธอย้ายจากโรงเรียนในอำเภอชิงสุ่ยมาที่ชิงจื้อตอนมอห้า” อาจารย์มั่วชี้บรรทัดแรก “ไม่เคยเข้าร่วมการสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนก็ได้เข้าคลาสเด็กอัจฉริยะทันที”
“พวกคุณดู นี่เป็นผลการเรียนของเธอตอนอยู่คลาสเด็กอัจฉริยะ มีจุดที่ต้องขอพูด ตอนเธออยู่คลาสเด็กอัจฉริยะเธอทำข้อสอบทั่วไป ไม่ใช่ข้อสอบเฉพาะของคลาสเด็กอัจฉริยะ”
ถึงแม้จะอยู่ห่างกันพันกว่าลี้ แต่โรงเรียนมัธยมในสังกัดมหาวิทยาลัยตี้ตูกับโรงเรียนมัธยมชิงจื้อก็เคยมีการติดต่อพูดคุยกันหลายครั้ง
เมื่อปีที่แล้วสองโรงเรียนยังเคยฟอร์มทีมกันเพื่อลงแข่งคณิตศาสตร์ระดับนานาชาติจนได้คะแนนรวมของทีมมาเป็นอันดับหนึ่ง
ในทีมหกคน มีสามคนที่ได้เหรียญทอง อีกสามคนได้เหรียญเงิน
ผลคะแนนแบบนี้แม้แต่โรงเรียนเอลานก็ยังสู้ไม่ได้
“สอบประจำเดือนสองครั้ง สอบกลางภาคหนึ่งครั้ง สอบปลายภาคหนึ่งครั้ง ไม่มีสักครั้งที่คะแนนถึงสี่ร้อย อาจารย์มั่วหยิบกระดาษอีกใบ “ต่อมาก็ออกจากคลาสเด็กอัจฉิรยะแล้วย้ายไปคลาสธรรมดา แต่พวกคุณลองดูอีก นี่เป็นผลการเรียนหลังจากที่เธอย้ายไปอยู่คลาสเด็กทั่วไป”
ผลการเรียนฉบับนี้ก็คือผลสอบกลางภาคเรียนที่สองของชั้นมอห้า ซึ่งก็คือผลคะแนนที่ก่อนหน้านี้อาจารย์ฝ่ายวิชาการเปิดให้อิ๋งเย่ว์เซวียนดู
“ไม่ต้องดูแล้ว ต่อให้ไม่ทุจริตก็คงใช้วิธีอื่น” อาจารย์อีกคนหนึ่งวางกระดาษสองแผ่นนี้ลง “มีที่ไหนกันในเวลาแค่สองสามเดือนจะพัฒนาตัวเองได้เร็วขนาดนี้”
แสยะยิ้มพลางพูด “ทำข้อสอบคลาสเด็กอัจฉริยะได้คะแนนเต็มงั้นเหรอ เกินจริงไปใหญ่แล้ว”
“ถึงแม้จะแปลกประหลาดมาก แต่ผมยืนยันว่าไม่น่าทุจริต” อาจารย์มั่วดันแว่นตา “ชิงจื้อเข้มงวดขนาดไหนพวกเราก็รู้กันอยู่ บางทีรายชื่อเด็กที่พวกเขาส่งมาครั้งนี้อาจมีความพิเศษจริงๆ ก็ได้”
“มีศักยภาพจริงหรือเปล่าเดี๋ยวลองดูก็รู้” อาจารย์อีกคนหนึ่งพูด “ทางมหาวิทยาลัยตี้ตูเชิญศาสตราจารย์มาหลายคน แจ้งเด็กคนนั้นกับนักเรียนที่ได้รับเลือกคนอื่นๆ ให้มาที่ตี้ตูแล้ว”
อาจารย์มั่วพยักหน้า “บอกกับทางชิงจื้อไปแล้ว”
เขาพลิกดูผลการเรียนของอิ๋งจื่อจินอีกครั้ง เงียบไปสักพักแล้วถึงเดินออกจากห้องทำงานไปติดต่อมหาวิทยาลัยตี้ตูอีกรอบ
…
คนที่รับผิดชอบติดต่อระหว่างโรงเรียนมัธยมชิงจื้อกับโรงเรียนมัธยมในสังกัดมหาวิทยาลัยตี้ตูก็คืออาจารย์ฝ่ายวิชาการ
หลังจากที่เขาทราบข่าวก็โทรหาอิ๋งจื่อจินทันที “นักเรียนอิ๋ง การติวรอบแรกเริ่มแล้วที่ตี้ตู ถึงแม้อาจารย์จะคิดว่านักเรียนอิ๋งไม่จำเป็นต้องติว แต่นี่เป็นข้อกำหนดของทางคณะกรรมการ”
“แต่ถ้านักเรียนอิ๋งไม่อยากไปจริงๆ อาจารย์ช่วยยื่นเรื่องเป็นพิเศษให้ได้นะ”
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิด “รอบตัดสินเป็นการลงแบบทีมใช่ไหมคะ”
“ถูกต้อง” อาจารย์ฝ่ายวิชาการพูด “เหมือนงานแข่งขันวิชาการอื่นๆ เป็นทีมแบบหกคน ยังต้องแข่งคะแนนรวมประเภททีมด้วย”
“ค่ะ หนูไป” อิ๋งจื่อจินไม่ปฏิเสธ “หนูรับปากผอ.ไว้แล้วว่าจะเข้าร่วมทุกขั้นตอนของไอเอสซีค่ะ”
“งั้นก็ดีนะ” อาจารย์ฝ่ายวิชาการพูดต่อ “ทางโรงเรียนจะส่งอาจารย์หนึ่งคนร่วมเดินทางไปกับนักเรียนอิ๋ง อาจารย์จะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้ ถ้าขาดเหลืออะไรทางโรงเรียนจะสนับสนุนเต็มที่”
หลังจากอิ๋งจื่อจินวางสายก็ส่งข้อความหาเซิ่งชิงถัง
[ไม่ต้องให้ลูกศิษย์คนนั้นมาฮู่เฉิงแล้วนะคะ ฉันต้องบินไปที่ตี้ตูวันพรุ่งนี้พอดี ช่วยส่งวีแชทของฉันให้เขาด้วยนะคะ]
เธอเป็นหนึ่งในคนที่เซิ่งชิงถังปักหมุดไว้ เขาจึงตอบกลับเร็วมาก
[คุณหมอเทวดา ทำไมอยู่ๆ ก็ไปตี้ตูล่ะครับ ไม่ต้องเรียนหนังสือเหรอ]
[หาเงินค่ะ สร้างชื่อให้โรงเรียน เป็นห่วงผอ.ที่ใกล้หัวล้านเต็มที]
[…]
เซิ่งชิงถังแอบปวดหัว
เขามองออกแล้วว่า แต่ไหนแต่ไรมาอิ๋งจื่อจินไม่ค่อยสนใจเรื่องของตัวเอง แต่ถ้าใครขอให้เธอช่วย เธอก็จะช่วยอย่างเต็มที่
แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า เธอมองคนคนนั้นเป็นคนกันเอง
เซิ่งชิงถังโล่งอก มือสั่น จากนั้นถึงกดโทรหามู่เหวยเฟิงอีกรอบ “ฮัลโหล เหวยเฟิง นายรอดแล้ว!”
“หมอเทวดาที่ฉันพูดถึงก่อนหน้านี้เธอจะไปตี้ตูพอดี นายไม่ต้องมาฮู่เฉิงแล้วเดี๋ยวฉันส่งวีแชทของเธอให้”
มู่เหวยเฟิงตกใจนิดหน่อย “ปู่เซิ่งครับ ไหนว่าเธอยุ่งมากไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ ยุ่งมาก” เซิ่งชิงถังคิด “เธอบอกว่าเธอจะไปติวแข่งอะไรสักอย่างที่ตี้ตู ก็เลยจะถือโอกาสรักษาให้นายด้วย”
“งั้นผมไปรับดีกว่าครับ” มู่เหวยเฟิงดูตารางธุระของตัวเอง “ช่วงสองวันนี้ผมว่างครับ”
“ก็ได้” เซิ่งชิงถังดีใจมาก “เธอเป็นคนดีมาก เป็นกันเอง ทั้งยังชอบกินขนม นายซื้อขนมติดมือไปหน่อย”
“ได้ครับ ขอบคุณครับปู่เซิ่ง” มู่เหวยเฟิงจดไว้ จากนั้นก็ได้รับนามบัตรวีแชทที่เซิ่งชิงถังส่งให้
รูปโปรไฟล์เป็นหมูแคระที่น่ารักมาก จมูกสีชมพู
แต่มองอายุไม่ออก
หลังจากมู่เหวยเฟิงกดเพิ่มเพื่อนไม่กี่นาที อีกฝ่ายก็กดรับ
เขาส่งข้อความไป
[สวัสดีครับคุณหมออิ๋ง ผมมู่เหวยเฟิงนะครับ พรุ่งนี้คุณหมอมาถึงตี้ตูกี่โมงเหรอครับ ผมจะได้ไปรับที่สนามบิน]
ห้าวินาทีต่อมาอีกฝ่ายก็ตอบกลับ
[ไม่เป็นไร ปอดไม่ดี ออกจากบ้านให้น้อยหน่อย]
พอเห็นข้อความนี้สายตาของมู่เหวยเฟิงก็ตะลึง
เรื่องที่เขาปอดไม่ดีเขาไม่เคยบอกแม้แต่เซิ่งชิงถัง
เป็นครั้งแรกที่มู่เหวยเฟิงรู้สึกเหลือเชื่อ
คนนี้ไม่น่าใช่หมอเทวดาหรือเปล่า น่าจะเป็นเทพหยั่งรู้มากกว่า
เขาส่ายหน้า รู้สึกว่าความคิดของตัวเองเหลวไหล
…
วันต่อมา
เวลาห้าโมงเย็น
สนามบินตี้ตู
มู่เฉินโจวกับคุณนายมู่กำลังรอคนอยู่ตรงทางออกของวีไอพี
เพื่อการทดสอบหาผู้สืบทอดตระกูลมู่ครั้งนี้ คุณนายมู่ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาติวให้มู่เฉินโจวโดยเฉพาะ
“เฉินโจว บททดสอบแรกไม่ยาก” คุณนายมู่พูด “สิ่งที่ลูกต้องทำก็คือต้องทำให้โดดเด่น ทำให้คุณปู่ต้องเลือกลูกให้ได้”
มู่เฉินโจวพยักหน้า “ผมทราบครับ”
เขาเตรียมตัวสำหรับการทดสอบหาผู้สืบตระกูลมานานแล้ว ต้องทำได้แน่นอน
คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเขาก็คือมู่เหวยเฟิง
แต่เมื่อวานเขาได้ยินบ่าวรับใช้ของตระกูลมู่บอกว่า สุขภาพของมู่เหวยเฟิงมีปัญหาอีกแล้ว ทั้งยังอ้วกเป็นเลือด
มู่เฉินโจวดูเวลา จากนั้นก็หันไปมองตรงทางเดิน และแล้วสายตาก็เห็นเงาของคนที่คุ้นเคย