“เป็นไง”
มู่เหวยเฟิงไม่ตอบ
คุณนายมู่ก็ไม่รีบร้อน รินน้ำชาหนึ่งถ้วยแล้วค่อยๆ จิบ
สุขภาพสำคัญที่สุดสำหรับมู่เหวยเฟิง
โดยเฉพาะเขายังมีน้องสาวมู่อวี่ซีอีกคนที่ต้องดูแล
ประวัติของตระกูลมู่สามารถไล่ย้อนไปได้ถึงสมัยราชวงศ์ถัง หนึ่งพันกว่าปีแล้ว แต่ก็เคยมีนายใหญ่เป็นผู้หญิงแค่สองคน
ถึงแม้มู่อวี่ซีก็เป็นคนเก่ง แต่คุณนายมู่ไม่เคยเก็บมู่อวี่ซีมาใส่ใจ
ในสายตาของเธอ อย่างไรวันหน้ามู่อวี่ซีก็ต้องแต่งออกไป
หลังจากแต่งงานออกไปแล้ว ต่อให้เก่งแค่ไหนก็เป็นได้แค่นายหญิงของบ้านแบบเธอ
รออยู่ห้านาที คุณนายมู่ก็ยังคงไม่ได้คำตอบจากมู่เหวยเฟิง
เธอหมดความอดทน วางถ้วยชากระแทก “เหวยเฟิง คงไม่ได้ยังจะคิดอีกนะ”
“ผมไม่ได้กำลังคิดครับ” มู่เหวยเฟิงเขียนตัวอักษรสุดท้ายเสร็จ วางพู่กันลงแล้วถึงพูดขึ้น “ผมไม่ตกลงครับ”
“ไม่ตกลงเหรอ” คุณนายมู่ตะลึงเล็กน้อย สีหน้าขรึมลงทันที “เธอไปแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดแค่เพื่อจะให้ตระกูลเมิ่งรักษาไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงไม่ตอบตกลงล่ะ”
มู่เหวยเฟิงไอออกมาอีกครั้ง เขายิ้ม “คนเราตายได้ แต่จะไม่มีศักดิ์ศรีไม่ได้ อาสะใภ้ห้าครับ อาหน้าไม่อาย แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนอานะครับ”
คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของคุณนายมู่บึ้งตึงลงทันที
เธอหายใจถี่เร็ว แสยะยิ้ม “จะตายอยู่รอมร่อแล้วยังจะทำเป็นอวดดี ได้ เธอไม่ตกลง งั้นอาก็จะรอดูว่าเธอจะทนอยู่ถึงวันสุดท้ายที่การทดสอบจบลงได้หรือเปล่า”
คุณนายมู่ไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
พอเดินไปได้หนึ่งก้าวมู่เหวยเฟิงก็เรียกเธอ
คุณนายมู่หยุดเดิน แต่กลับไม่หันหน้าไป “ทำไม คิดได้แล้วเหรอ”
“อาสะใภ้ห้าใช้ชุดน้ำชาชุดนี้แล้ว ผมไม่ต้องการมันอีก” มู่เหวยเฟิงเปลี่ยนกระดาษใบใหม่ น้ำเสียงนุ่มนวล “อาสะใภ้ห้าช่วยเอาไปด้วยครับ”
คุณนายมู่หันขวับ โมโหเลือดขึ้นหน้า
เธอเดินกลับไปหยิบชุดน้ำชาบนโต๊ะหินอ่อนแล้วรีบสาวเท้าเดินออกไป
…
ค่ายติวไอเอสซี
หลังกินอาหารกลางวันเสร็จ
เถิงอวิ้นเมิ่งนั่งเรออยู่ที่โซฟา รู้สึกสบายมาก
ไม่กี่วินาทีต่อมา ทันใดนั้นเธอก็เด้งตัวขึ้นมาพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ฉันลองคิดดูแล้วนะจื่อจิน เมื่อกี้เธอบุ่มบ่ามเกินไป ซิวเหยียนเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลซิว ตระกูลซิว เธอรู้จักหรือเปล่า”
“รู้” อิ๋งจื่อจินกำลังดูมือถือ “ตระกูลเศรษฐีใหญ่ของตี้ตู”
“ใช่ไง” เถิงอวิ้นเมิ่งถอนหายใจ “ดูก็รู้ว่าเป็นคุณหนูใหญ่ที่ในบ้านมีคนรับใช้ร่วมร้อย พวกเราสู้ไม่ได้จริงๆ”
อิ๋งจื่อจินไม่เงยหน้า ครุ่นคิดพลางพูด “ตระกูลเศรษฐีที่เหมือนตระกูลซิวชอบให้คุณหนูของบ้านไปเข้าวงการบันเทิงเหรอ”
“เรื่องนี้ไม่รู้นะ แต่ซิวเหยียนเป็นที่รักขนาดนั้น เธอต้องการอะไรตระกูลซิวก็น่าจะยอมหมดหรือเปล่า” เถิงอวิ้นเมิ่งคิด ยักไหล่ “ฉันว่าซิวเหยียนน่าจะแค่เล่นๆ เบื่อวงการบันเทิงเมื่อไรก็ยังกลับไปสืบทอดกิจการร้อยล้านพันล้านของที่บ้านได้ ชีวิตดีจัง”
อิ๋งจื่อจินพูด “ก็ไม่แน่หรอก”
เถิงอวิ้นเมิ่งไม่เข้าใจว่า ‘ก็ไม่แน่หรอก’ หมายถึงอะไร เธอเป็นคนมองโลกในแง่ดี “พวกเราอยู่ห่างๆ ไว้ดีกว่า อย่างไรซะแฟนคลับของซิวเหยียนก็บ้าพอสมควร โชคดีที่เมื่อกี้ไม่มีแฟนคลับอยู่ด้วย ไม่งั้นพวกเราคงได้ถูกแฟนคลับของซิวเหยียนฉีกร่างแหลกคาที่”
“พอซิวเหยียนมาถึงคนก็ครบแล้ว” เถิงอวิ้นเมิ่งบิดขี้เกียจ “พรุ่งนี้พวกเราเริ่มติว จื่อจิน ตอนบ่ายฉันพาเธอออกไปเดินเที่ยวดีไหม”
อิ๋งจื่อจินกดปิดโทรศัพท์มือถือ “ตอนบ่ายฉันมีธุระ แต่ตอนเย็นออกไปได้”
“ธุระอะไรเหรอ”
“ไปพบคน”
เถิงอวิ้นเมิ่งเกาหัว
เธอรู้สึกว่าคนสวยที่เป็นหน้าเป็นตาของทีมเธอดูลึกลับเหลือเกิน
…
เวลาบ่ายสองมู่เฮ่อชิงก็มานั่งรออยู่ในร้านน้ำชาใจกลางเมืองตี้ตูก่อนแล้ว
ช่วงกลางและปลายศตวรรษที่ยี่สิบไม่มีสงครามความวุ่นวายเท่าไรแล้ว มู่เฮ่อชิงเกษียณออกมานาน ตอนนี้คนที่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา นอกจากพวกคนเก่าคนแก่ที่รู้จักกันมานานก็ยังมีคนระดับสูงของตระกูลใหญ่ ส่วนคนอื่นๆ ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้จองเป็นห้องส่วนตัว นั่งรออยู่ข้างนอกอย่างเปิดเผย
แขกคนอื่นๆ เห็นชายชราที่มีบุคลิกน่าเกรงขามแถมยังสดชื่นกระปรี้กระเปร่าแบบนี้ก็แค่หันมามองนิดหน่อย ไม่ได้ใส่ใจเท่าไร
มู่เฉิงอยู่ข้างๆ เขาเหลือบดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ “คุณท่านครับ คุณท่านมาเร็วเกินไป คุณอิ๋งบอกว่าเธอจะมาถึงตอนบ่ายสามครับ”
“แล้วไงล่ะ” มู่เฮ่อชิงไม่แคร์ เขารินน้ำชา “นั่งดื่มชาไปเรื่อยๆ ก็ดีเหมือนกัน”
มู่เฉิงถอนหายใจ
เขาว่าเป็นเพราะคุณอิ๋งมาตี้ตูแล้ว มู่เฮ่อชิงเลยดีใจมากจนเลอะเลือน
แต่มู่เฮ่อชิงรออยู่ไม่นาน สิบห้านาทีต่อมาก็มีรถคันหนึ่งมาจอดหน้าร้านน้ำชา
มู่เฉิงรีบลุกขึ้นออกไปต้อนรับ
หนึ่งนาทีต่อมาเขาก็กลับมาพร้อมคนด้านหลังอีกสองคน
“มาแล้วเหรอ นั่งสิ” มู่เฮ่อชิงเหลือบมองฟู่อวิ๋นเซิน ท่าทางเหมือนไม่พอใจ “ตอนนั้นฉันยังพูดกับเสี่ยวอิ๋งอยู่ว่า ถ้าจะมาตี้ตูห้ามพานายมาด้วย”
“ไม่ได้พามาครับ” ฟู่อวิ๋นเซินลากเก้าอี้ให้อิ๋งจื่อจินนั่งก่อนแล้วเขาถึงนั่ง “มีธุระพอดีก็เลยมาด้วยกันครับ”
“ช่างเถอะ” มู่เฮ่อชิงฮึดฮัดเล็กน้อย “เมื่อก่อนก็เห็นธุระเยอะแยะ ไม่เห็นนายจะมาด้วยตัวเอง”
มือของฟู่อวิ๋นเซินชะงัก เลิกคิ้ว “ผู้เฒ่ามู่ครับ ไม่กลัวอายุสั้นเหรอครับ”
พอได้ยินแบบนี้ คราวนี้มู่เฮ่อชิงก็เริ่มใจเย็นลง “ไม่เป็นไร นายยังมีอีกหนึ่งความสามารถ ทำให้คนตายโมโหจนฟื้นได้”
มู่เฉิง “…”
เขายกมือปาดเหงื่อ
คนที่กล้าพูดแบบนี้กับมู่เฮ่อชิง นอกจากคุณอิ๋งแล้ว เขายังเจออีกคนหนึ่ง
อันที่จริงมู่เฉิงก็ไม่ค่อยแน่ใจว่ามู่เฮ่อชิงรู้จักกับฟู่อวิ๋นเซินได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้เลยว่าฟู่อวิ๋นเซินทำอะไรที่ตี้ตูบ้าง
แต่บทบาทของเขาก็แค่เลขา เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องถาม
“เข้าใจครับ” แขนของฟู่อวิ๋นเซินวางอยู่บนที่เท้าแขน เอียงศีรษะเล็กน้อย ยิ้มพลางพูด “ความหมายของผู้เฒ่ามู่ก็คือ อีกหลายสิบปีจากนี้พอผู้เฒ่ามู่ไม่อยู่แล้ว แค่ผมไปคุยที่ข้างหลุมศพของผู้เฒ่ามู่ ท่านก็จะลุกออกมาจากโลงศพได้”
มู่เฮ่อชิงมือสั่น เกือบเอาน้ำชาสาดใส่หน้าฟู่อวิ๋นเซิน
เขามองค้อนใส่ฟู่อวิ๋นเซิน จากนั้นก็มองอิ๋งจื่อจิน “เสี่ยวอิ๋ง ฉันมีธุระจะหารือด้วยนิดหน่อย เดิมทีถ้าเธอไม่มาตี้ตู ฉันก็จะไปหาที่ฮู่เฉิง”
อิ๋งจื่อจินเอามือเท้าศีรษะ มองขนมกล่องใหญ่หลายกล่องที่วางอยู่ข้างโต๊ะ
เธอพยักหน้า “เชิญผู้เฒ่ามู่พูดมาได้ค่ะ”
มู่เฮ่อชิงแสร้งทำเป็นไม่เห็น คิดเสียว่าเขายังสำคัญกว่าขนมพวกนั้น
เขาพูด “เธอก็รู้ว่า ถึงเธอจะรักษาฉันหายแล้ว แต่ฉันก็ยังอายุเยอะอยู่ดี หลายเรื่องทำตามใจไม่ได้”
“ไม่ใช่ว่าท่านทำตามใจไม่ได้” ฟู่อวิ๋นเซินพับแขนเสื้อขึ้นมาถึงข้อศอก เริ่มลงมือชงน้ำชา “ท่านอยากจะออกไปเที่ยวเล่นแล้ว”
“ไอ้เด็กหน้าเหม็น” มู่เฮ่อชิงโมโหมาก “ฉันจะบอกเลยนะ นายปากเสียขนาดนี้ ต่อไปหาเมียไม่ได้หรอก โสดมันทั้งชีวิตนั่นแหละ!”
มิน่าล่ะ
ตอนช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาเขาเคยแนะนำผู้หญิงให้ไอ้เด็กหน้าเหม็นคนนี้รู้จัก
แนะนำไปทั้งหมดหกคน เป็นคุณหนูของตี้ตูทั้งนั้น
แต่ทุกคนพอไปเจอหน้ามาหนึ่งครั้งก็ไม่มีการสานต่อ
เขายังพาซื่อสั่งให้มู่เฉิงลองไปถามผู้หญิงพวกนั้น
ดูจากตอนนี้ ถามกับผีสิ
ดวงตาของฟู่อวิ๋นเซินขยับ ใส่ใบชาสี่กรัมลงในกาน้ำชา สีหน้าเฉื่อยชา “บังเอิญจังครับ สมใจผม”
“ได้ จำไว้ด้วยนะ” มู่เฮ่อชิงโมโหจนหัวเราะ “อีกหน่อยถ้านายแต่งงาน ฉันจะพูดแบบนี้ออกไป รับรองนายไม่ได้มีเมียหรอก”
ขณะพูดเขาก็รับเอกสารฉบับหนึ่งมาจากมู่เฉิงแล้วยื่นให้อิ๋งจื่อจิน “ตระกูลมู่จะคัดเลือกผู้สืบทอด นี่เป็นเนื้อหาการทดสอบที่ฉันกำหนด”
“ปลายเดือนกันยาจะเป็นการทดสอบรอบแรก ฉันอยากให้เสี่ยวอิ๋งช่วยฉันดูหน่อยว่าใครเหมาะสม”
“เรื่องนี้เหรอคะ” สายตาของอิ๋งจื่อจินหยุดชะงัก “ขอโทษค่ะผู้เฒ่ามู่ หนูไม่อยากยุ่งเรื่องของตระกูลมู่ อาจต้องขอปฏิเสธนะคะ”
พอได้ยินแบบนั้นมู่เฮ่อชิงก็ไม่โกรธ แค่เสียดาย “พูดตามตรงนะ ถ้าเธอเป็นลูกสาวของตระกูลมู่ ฉันยังจะต้องลำบากทำการทดสอบอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ ยกตระกูลมู่ให้เธอก็จบแล้ว”
นี่อยู่ในการคาดการณ์ของเขา
เขารู้จักอิ๋งจื่อจินมานานขนาดนี้ รู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเธอขี้เกียจจะยุ่งแม้แต่เรื่องของตัวเอง
กลับกลายเป็นว่าเวลาคนรอบตัวขอให้ช่วยอะไรส่วนใหญ่เธอจะรับปาก
ใครทำดีกับเธอ เธอก็จะดีกับคนนั้นยิ่งกว่า
“เยาเยา อย่าไปเชื่อ” ดอกตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินเหลือบขึ้น น้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ “ผู้เฒ่ามู่ก็เคยพูดแบบนี้กับพี่ชาย เธอดูเอานะว่าตอนนี้เขาแค้นพี่ชายขนาดไหน แทบอยากฉีกร่างพี่ชายเป็นชิ้นๆ”
อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้ว “งั้นเหรอ”
“ไอ้เด็กเวร แกไม่แฉฉันมันจะตายหรือไง” มู่เฮ่อชิงข่มอารมณ์ไม่ให้ยกเท้าถีบฟู่อวิ๋นเซิน “อย่างน้อยเสี่ยวอิ๋งก็ไม่มีทางทำให้ฉันโมโห นายดูตัวเองซิ เช้าจรดเย็นมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง”
เขาตบโต๊ะ “เอาล่ะ ตามฉันมา มีเรื่องจะคุยด้วย”
ฟู่อวิ๋นเซินเช็ดมือ ยื่นน้ำชาที่ชงเสร็จแล้วให้อิ๋งจื่อจิน “เยาเยา พี่ชายจะออกไปกับผู้เฒ่ามู่หน่อย เธอพักผ่อนอยู่ตรงนี้ไปก่อนนะ”
อิ๋งจื่อจินรับถ้วยมาแล้วพยักหน้า “อืม ตามสบาย”
มู่เฉิงเองก็รู้ว่ามู่เฮ่อชิงมีเรื่องที่สำคัญกว่าอยากคุยกับฟู่อวิ๋นเซิน จึงไม่ได้ตามไป
เขาลังเลชั่วครู่ ลองหยั่งเชิงถาม “คุณอิ๋งครับ คุณไม่พอใจในตัวคุณชายเฉินโจวเหรอครับ”