ตอนที่ 720 โชว์ฝีมือ เจออิ๋งจื่อจินในงาน
พ่อบ้านรู้เกี่ยวกับประเทศจีนอยู่ไม่น้อย
แม้จะบอกว่าข่าวคราวของเมืองแห่งโลกกับเจ็ดทวีปสี่มหาสมุทรตัดขาดกันมาหลายปี แต่อย่างไรเสียก็อยู่บนโลกเหมือนกัน
ตระกูลเรนเกลเป็นตระกูลชั้นยอดของเมืองแห่งโลกก็ย่อมต้องเก็บข้อมูลของสถานที่อื่นๆ ไว้
เมืองฮู่เฉิงเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ระดับสากลของประเทศจีน มีชื่อเสียงพอสมควร
แต่ตระกูลอิ๋งเหรอ
พ่อบ้านขุดหาในสมองอยู่นาน แต่ก็ยังไม่พบข้อมูลที่ต้องการ
ตระกูลระดับโลก เขาเคยได้ยินแค่ตระกูลลอเรนท์
ข้อแรกเป็นเพราะตระกูลลอเรนท์ผูกขาดเศรษฐกิจโลก ข้อสองเป็นเพราะที่เมืองแห่งโลกก็มีคนตระกูลลอเรนท์ที่แยกมาอยู่ที่นี่
“ใช่ ตระกูลอิ๋ง” น้ำเสียงของซู่เวิ่นเข้มงวดขึ้น “แล้วก็ทางยุโรปด้วย สืบตรงทางออกแถวน่านน้ำมาให้หมด”
คนที่ตอนนั้นตามลูเอลออกไปทำภารกิจเป็นหน่วยคุ้มกันชั้นยอดที่สุดของตระกูลเรนเกล
ต่อมามีข่าวลือว่าไม่ใช่แค่ลูเอลที่หายตัวไป หน่วยคุ้มกันกลุ่มนี้ก็หายไปหมดด้วย
รวมถึงหัวหน้าคนคุ้มกันคนสนิทของลูเอล ชิงหลาง
หากว่ากันด้วยเรื่องความสามารถในการต่อสู้ ชิงหลางย่อมเป็นระดับเดียวกับสี่ผู้บัญชาการหน่วยอัศวิน
แต่ก็ยังตายไปด้วย
อิ๋งจื่อจินพูดถูก เรื่องมันยากกว่าที่เธอคิด
ซู่เวิ่นนึกคนอื่นไม่ออกอีกนอกจากสำนักผู้วิเศษ
แต่เธอจำเป็นต้องสืบ
ข้อความที่ซีนายได้รับมีตราประทับของลูเอล ใครเป็นคนส่งมากันแน่ เธอเองก็อยากรู้
ถ้าเป็นศัตรู แสดงว่าแค่ต้องการใช้ข้อความนี้ล่อซีนายออกไปเพื่อสะดวกต่อการลงมือกับซีนาย
สีหน้าของซู่เวิ่นขรึมลง
อันที่จริงในใจของเธอก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ อย่างไรเสียเธอก็ฝังศพเด็กทารกด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ยังคงทนความคิดขัดแย้งภายในใจไม่ได้
พอได้ยินแบบนี้พ่อบ้านก็ลังเลเล็กน้อย “คุณนายใหญ่ครับ หลังจากที่คุณนายใหญ่หมดสติไปทางตระกูลก็เคยส่งคนออกจากเมืองไปสืบดูแล้ว แต่ก็สืบไม่ได้ความอะไรครับ”
เดิมทีเทคโนโลยีของเจ็ดทวีปสี่มหาสมุทรก็ล้าหลังกว่าเมืองแห่งโลก
เมื่อยี่สิบปีก่อน เพิ่งก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด แม้แต่อินเตอร์เน็ตก็ยังไม่แพร่หลาย
แม้จะมีเครื่องมือติดตามที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงก็ยังยากที่จะสืบพบเบาะแสที่เป็นประโยชน์
“อีกทั้งจากที่เครื่องมือประเมินออกมาในตอนนั้น ท่านหัวหน้าตระกูลไม่น่าจะออกจากเมืองแห่งโลก” พ่อบ้านเม้มริมฝีปาก ในใจรู้สึกแย่มาก “ชิปรวนมาก ข้อมูลสูญหาย พวกเราก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าท่านหัวหน้าตระกูลตายหรือยังครับ”
สายตาของซู่เวิ่นเย็นชา น้ำเสียงดุดันขึ้นทันที “เขายังไม่ตาย!”
พ่อบ้านมีสีหน้าตกใจ คุกเข่าลงอีกครั้ง “ขอโทษครับคุณนายใหญ่”
“เอาล่ะ รีบไปสืบ” ซู่เวิ่นละสายตา สีหน้าเจือไปด้วยความเหนื่อยล้า “สืบไม่พบก็สืบต่อไป”
เรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว ต่อให้ลบร่องรอยได้สะอาดแค่ไหนยังไงก็ต้องมีช่องโหว่อยู่ดี
พ่อบ้านรับคำสั่ง “ครับ คุณนายใหญ่”
…
วันต่อมา
คณะวิศวกรรมศาสตร์ติดประกาศโปรเจ็กต์ใหม่
โปรเจ็กต์ระดับเอสมีอยู่สองโปรเจ็กต์ คือโปรเจ็กต์อาวุธเลเซอร์ที่อิ๋งจื่อจินรับผิดชอบกับโปรเจ็กต์พาหนะรุ่นใหม่ที่บิลรับผิดชอบ
ที่เหลือยังมีโปรเจ็กต์ระดับเอกับระดับบีอีก
บิลมองหน้าจอประกาศขนาดใหญ่แล้วเม้มริมฝีปาก
เธอเข้าสำนักวิจัยมาหลายปีเพิ่งจะได้โปรเจ็กต์ระดับเอสครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว
แต่อิ๋งจื่อจินเพิ่งมาได้เดือนกว่าก็ขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับเธอแล้ว
เว็บดับบลิวใช้คำว่าม้ามืดกล่าวถึงอิ๋งจื่อจิน ซึ่งก็ไม่เกินจริง
“บิล เมอร์วินหายตัวไป ไม่พบร่องรอยใดๆ” มั่วเฟิงขมวดคิ้ว “นักฆ่าระดับเอแปดคนของแบล็กไซต์ก็หายไปอย่างเงียบๆ ด้วย”
บิลสีหน้าเปลี่ยน “แบล็กไซต์เหรอคะ”
แบล็กไซต์เป็นอิทธิพลมืดในเมืองแห่งโลก เป็นศูนย์รวมของนักฆ่าจำนวนไม่น้อย
นักฆ่าเหล่านี้ก็เคยรับงานให้ไปฆ่าสมาชิกตระกูลเรนเกล เพียงแต่สุดท้ายไม่สำเร็จ
“ใช่ ได้ยินว่าช่วงสองวันนี้ยังได้เปลี่ยนผู้กุมอำนาจของแบล็กไซต์ด้วย” มั่วเฟิงกำชับ “ช่วงนี้เธอก็อย่าเพิ่งไปเที่ยวที่อื่นเลยนะ ออกจากสำนักวิจัยก็ตรงกลับบ้าน ป้องกันเผื่อเกิดเหตุอะไร”
บิลมีสีหน้าขรึมลง พยักหน้า “ทราบแล้วค่ะอาจารย์”
“โปรเจ็กต์ระดับเอสกับระดับเอมันคนละระดับ” มั่วเฟิงย่อมรู้ว่าลูกศิษย์ของตัวเองคิดอะไรอยู่ เขาพูด “โอกาสล้มเหลวมีมากถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ครั้งนี้อาจารย์จะเลือกสมาชิกให้เธอ ห้ามปล่อยให้เกิดเรื่องแบบครั้งก่อนอีก”
บิลดีใจ “ขอบคุณค่ะอาจารย์”
“แล้วก็เรื่องตระกูลเธอ…” มั่วเฟิงไม่ค่อยพอใจซู่เวิ่น แต่ก็ไม่กล้าถึงขั้นต่อต้าน เขาไม่พูดต่อ “ไปเถอะ”
ในเวลาเดียวกัน
ภายในห้องทดลอง
อิ๋งจื่อจินได้รับตารางรายชื่อนักศึกษาที่สมัครเข้าร่วมโปรเจ็กต์ของเธอจำนวนไม่น้อย มีมากถึงหนึ่งร้อยใบ
เธอเอารายชื่อพวกนี้ให้คณบดีนอร์แมนช่วยเลือกอย่างไม่รู้สึกผิด
“อาอิ๋งๆ” ซีนายโทรเข้ามาตอนนี้ “คณบดีก็ส่งข้อมูลโปรเจ็กต์ให้ฉันเหมือนกัน ฉันจะส่งความคิดเห็นไปให้เธอนะ”
“โอเค” อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “ช่วงนี้เป็นไงบ้าง”
น้ำเสียงร่าเริงของซีนายหายไปทันที “ก็ดี งั้นๆ แหละ ฉัน…ว้าย!”
สายตาของอิ๋งจื่อจินเปลี่ยนไป “เกิดอะไรขึ้น”
ซีนายที่อยู่ในคฤหาสน์เอามือปิดตา ตะโกนออกไป “ทำไมคุณไม่สวมเสื้อผ้าล่ะ!”
ถึงแม้เธอจะถูกยาเล่นแร่แปรธาตุเล่นงานระบบประสาทจนนิสัยเปลี่ยน
แต่ต่อให้เธอตัวหดเล็กลง จิตวิญญาณเธอก็เป็นผู้ใหญ่อยู่นะ
“ทำไมจะไม่ได้ใส่ นี่ก็ชุดคลุมอาบน้ำไง” นอร์ตันย่อตัวนั่งลง เอามือขยี้หัวเธอเล่น “เด็กน้อย เรื่องที่เธอสนใจช่างแปลกจริงนะ”
“ฉันจำได้ว่าเธอดูนิตยสารแฟชั่นด้วย อีกอย่าง เธอเป็นเด็กน้อยจะอายอะไร”
ขณะที่เขาพูดก็มีหยดน้ำหยดมาจากปลายผม
ไหลลงสู่กระดูกไหปลาร้า แผงอก กล้ามท้อง สุดท้ายก็ซึมเข้าไปในชุดคลุมอาบน้ำที่รัดเอวอยู่
ระยะใกล้ขนาดนี้ เธอถึงขั้นรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่อยู่บนตัวเขา
ซีนายหน้าแดงขึ้นมาทันที
ดูนิตยสารกับเห็นของจริงระยะใกล้มันเหมือนกันเหรอ
นอร์ตันกลับไม่ใส่ใจ
เขายืนขึ้นแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือ
“ฮัลโหล” นอร์ตันพูดเสียงเนือยปนเย็นชา “ผมมีเรื่องจะบอก เมื่อวานซาโรห์เรียกประชุมผู้วิเศษ ผมไปร่วมมา”
อิ๋งจื่อจินถูกเบนความสนใจ “หืม?”
“เห็นบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่สอง” นอร์ตันยักไหล่ “ยังไงซะผมก็ไม่เข้าร่วมหรอก พวกเขาฝันกลางวันเก่งกันจริงๆ คิดจะให้ผมช่วยต่อสู้แทนพวกเขางั้นเหรอ”
ก็มีแค่อิ๋งจื่อจินเท่านั้นที่สั่งเขาได้ คนอื่นคู่ควรเหรอ
“สงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่สองเหรอ” ดวงตาหงส์ของอิ๋งจื่อจินหรี่ลง “เข้าใจแล้ว ปลายปีสินะ”
นอร์ตันเลิกคิ้ว “ปลายปีความสามารถของบอสก็กลับมาแล้ว เร็วอยู่”
“ไม่ถือว่าสมบูรณ์” อิ๋งจื่อจินเงียบไปชั่วขณะ “ยังขาดอยู่อย่าง”
“ไหนว่ามาหน่อย ผมช่วยหาในสำนักผู้วิเศษให้ได้ ว่าแต่บอสทำอะไรอยู่”
“โปรเจ็กต์”
“จึ๊” นอร์ตันลูบคาง “บอสเปลี่ยนอาชีพแล้วจริงเหรอ ไม่เล่นสายวิทยาศาสตร์สายเหนือธรรมชาติแล้วเหรอ”
อิ๋งจื่อจินเหลือบตาขึ้น “ก็เล่นหมด ไม่ได้เหรอ”
“ขอโทษที ผมผิดไปแล้ว” นอร์ตันยอมรับผิดอย่างรวดเร็ว เขาพูดเสียงเนือย “ผมไปทำกับข้าวละ”
อิ๋งจื่อจิน “…นายทำกับข้าวเองตั้งแต่เมื่อไร”
“อ่อ เพิ่งหัด” นอร์ตันตอบ “แต่ฝีมือยังไม่ดีเท่าไร”
อิ๋งจื่อจินเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อกี้ซีนายส่งเสียงร้อง เธอขมวดคิ้ว “ฉันเคยบอกนายแล้วใช่ไหมว่าก่อนร่างกายเธอหดลง เธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“แล้วไง แต่ตอนนี้เธอเป็นเด็ก” นอร์ตันไม่แคร์ “ในสายตาของผมไม่มีแบ่งแยกชายหญิง เด็กน้อยมีไว้เล่น เอ้า เอาโทรศัพท์คืนไป”
ซีนายถือโทรศัพท์อีกครั้ง พูดน้ำตาคลอ “อาอิ๋ง เขาชอบแกล้ง เขาทำอาหารได้ห่วยแตกมาก”
อิ๋งจื่อจินหัวจะปวด
เธอทำได้แค่บอกให้ซีนายอดทนไว้
พอคุยเสร็จอิ๋งจื่อจินก็ร่างแบบอาวุธเลเซอร์ต่อ
เธอไม่ได้สนใจเรื่องอาวุธเท่าไร ไว้กลับประเทศจีนจะเอาไปฝากเวินทิงหลาน
…
อีกด้านหนึ่ง
พอคณบดีนอร์แมนได้รับอีเมลจากอิ๋งจื่อจินก็กำลังอยู่ในระหว่างทางกลับสำนักวิจัย
แต่ในเวลานี้เอง หุ่นยนต์ขนาดมหึมาที่สูญเสียการควบคุมอยู่ๆ ก็โผล่มาจากหัวถนน
คนรอบตัวต่างร้องด้วยความตกใจ
กว่าคณบดีนอร์แมนจะสังเกตเห็นเขาก็หยิบอาวุธที่พกติดตัวออกมาไม่ทันแล้ว หุ่นยนต์ขนาดมหึมาเตรียมชนเข้ากับเขา
คณบดีนอร์แมนสีหน้าเปลี่ยน ร้องในใจว่าแย่แล้ว
แม้เขาจะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่หุ่นยนต์ขนาดมหึมานี้ก็ทำมาจากโลหะหายาก
ถ้าคนแก่อย่างเขาชนเข้าเต็มๆ ต้องพิการแน่
คณบดีนอร์แมนหลบตามสัญชาตญาณ เตรียมใจที่จะโดนพุ่งชนไว้แล้ว
แต่เท้าของเขากลับเหยียบอาคารด้านข้างแล้วกระโดดขึ้นไป
คณบดีนอร์แมนอึ้งก่อน แต่ก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว หยิบปืนเลเซอร์ออกมายิงใส่หุ่นยนต์ขนาดมหึมาตัวนั้น
ตูม!
เกิดเสียงระเบิด หุ่นยนต์ตัวนั้นระเบิดเป็นจุณ กระจัดกระจายเต็มพื้น
โอ้โห!
คณบดีนอร์แมนอึ้งยิ่งกว่าเดิม
เมื่อกี้เขาหลบหุ่นยนต์ขนาดมหึมาที่สูญเสียการควบคุมได้อย่างไร
เหมือนมีพลังแปลกๆ ปะทุออกมาจากร่างกายเขา ทำให้ตัวเบาขึ้นมาก
คณบดีนอร์แมนลูบหัว
ถ้าไม่ได้มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนดี เขายังคิดว่าเป็นเพราะเมื่อวานเขานั่งดูละครจอมยุทธ์กับหลานสาวเสียอีก
เขาลองสัมผัสอีกครั้ง สีหน้าเริ่มขรึมลง เร่งฝีเท้าไปที่สำนักวิจัย
จนกระทั่งเข้าห้องทดลองไปแล้วคณบดีนอร์แมนถึงโล่งอก
“อาจารย์คะ” อิ๋งจื่อจินตาไวสังเกตเห็นแผลถากที่แขนของเขา “บาดเจ็บเหรอคะ”
“อ๋อ เรื่องเล็ก” คณบดีนอร์แมนส่ายมือ พูดด้วยความตื่นเต้น “ลูกศิษย์ ฉันเหาะได้ด้วยนะ!”
อิ๋งจื่อจิน “…”
สมกับเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์กันจริงๆ
นิสัยของซีนายหลังจากตัวหดเกรงว่าจะได้มาจากคณบดีนอร์แมน
“หนูจะสอนวิชาป้องกันตัวให้อาจารย์ค่ะ” อิ๋งจื่อจินวางเอกสารลง “ตั้งใจดูให้ดีนะคะ ถึงแม้จะไม่ได้มีแรงโจมตีอะไรมาก แต่ช่วยให้หนีได้ไวค่ะ”
คณบดีนอร์แมนอายุเท่านี้ จะให้ฝึกวิทยายุทธ์ก็ไม่ทันแล้ว
“อ่อๆ” สองมือของคณบดีนอร์แมนวางบนหัวเข่า “เอาสิ”
วินาทีถัดมาเขาก็เห็นอิ๋งจื่อจินตั้งท่าแบบมีแบบแผน ปลายเท้าจิกลงพื้นแล้วกระโดดเหาะขึ้น
ในเวลาไม่กี่วินาทีเขาก็เห็นเธอเหาะจากด้านซ้ายของห้องทดลองไปด้านขวา
ห้องทดลองนี้ขนาดใหญ่มาก ยาวถึงสามร้อยเมตร
อิ๋งจื่อจินหยุดลง พูดอย่างใจเย็น “อาจารย์เห็นชัดไหมคะ”
คณบดีนอร์แมน “…”
งงสิครับงานนี้
นี่คือความสามารถที่แท้จริงของลูกศิษย์เขาเหรอ!
เขาถูมือ “เอ่อคือ อีกรอบได้ไหม”
สามชั่วโมงต่อมาคณบดีนอร์แมนก็นอนนิ่งบนพื้น “ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว”
“พรุ่งนี้พวกเรามาฝึกต่อ” อิ๋งจื่อจินยื่นลูกอมให้อีกเม็ดพร้อมพูดให้กำลังใจ “สู้ๆ ค่ะอาจารย์”
คณบดีนอร์แมน “…”
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่านี่ไม่ใช่ลูกอม
…
สามวันต่อมา
งานประมูลที่ใหญ่ที่สุดที่จัดปีละครั้งได้จัดขึ้นที่ตลาดประมูลลอเรนท์
บัตรเข้างานมีเพียงสามพันใบ มีหลายคนที่เข้าไปไม่ได้
แต่บิลจะไลฟ์สดตามความเคยชิน ชาวเน็ตต่างมาเบียดเสียดรอชมอยู่ในห้องไลฟ์ของเธอนานแล้วเพื่อที่จะได้เปิดหูเปิดตาไปกับของประมูลในครั้งนี้
ความนิยมที่หายไปเมื่อเดือนก่อนเลยกลับมาไม่น้อย
ในที่สุดบิลก็รู้สึกเหมือนได้รับการปลอบโยน
ขณะที่กำลังไลฟ์สดอยู่ๆ ก็มีข้อความตัวหนาสีแดงสะดุดตาปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
[ไปทางขวา! ไปทางขวา!]
ตามมาด้วยข้อความที่มากขึ้น
[เร็วเข้าเร็ว ขวาอีกหน่อย!]
ขวาเหรอ
ทางขวาเกิดอะไรขึ้น
บิลอึ้ง
เธอไม่เข้าใจ แต่ก็หันกล้องไปให้
ห้องไลฟ์สดที่เมื่อครู่เงียบอยู่เกิดความครึกครื้นขึ้นมาทันที
[กรี๊ดดด เห็นแล้ว เห็นแล้ว!]
[คุณอิ๋งไปซื้อชุดนี้มาจากไหน จะสวยเกินไปแล้ว ดูเอว ดูขา ไหนจะหน้าอก ว้าว!]
[คุณหนูบิลซูมเข้าไปใกล้ๆ หน่อย]
บิลสีหน้าเปลี่ยน
เธอหันไปก็เห็นอิ๋งจื่อจินกับพวกนักศึกษาอย่างเยี่ยซือชิงเดินเข้ามาทางประตูอีกด้านหนึ่ง
“การทดลองบินเมื่อปลายเดือนที่แล้วกลุ่มบีประสบความสำเร็จ อาจารย์ในคณะก็เลยให้บัตรงานประมูลลอเรนท์กับกลุ่มบีค่ะ” บิลพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ทางคณะให้ตั๋วโซนบี ฉันอยู่โซนเอ เดี๋ยวคงถ่ายไม่เห็นแล้ว ตอนนี้จะถ่ายให้ทุกคนดูเยอะๆ แล้วกันค่ะ”
โซนเอกับโซนบีเหมือนอยู่ติดกัน แต่กลับต่างกันเยอะมาก
พลเมืองชั้นสองไม่มีสิทธิ์ซื้อบัตรโซนเอ
[เฮ้อ ก็จริง ถึงคุณอิ๋งจะเก่งมาก แต่ชาติกำเนิดก็ด้อยกว่าหน่อย]
[ถ้าคิดจะเบียดเข้าไปอยู่แวดวงชนชั้นสูงของพวกคุณหนูไม่ใช่เรื่องง่ายๆ]
บิลจงใจหันกล้องไปจับที่อิ๋งจื่อจิน ทั้งยังซูมเข้าไปใกล้ๆ