ใช่ว่าราชวงศ์ปัจจุบันไม่มีองค์ชายเข้าไปมีส่วนร่วมกับการเมือง แต่นั่นล้วนเป็นการฝึกฝนสำหรับเตรียมตัวขึ้นเป็นรัชทายาททั้งสิ้น
การที่องค์ชายใหญ่ไปสังเกตการณ์ที่กรมอาญา จึงเป็นการเผยความไม่ปกติออกมา
ยิ่งไปกว่านั้นยังพาเฉินลั่วไปด้วย
ทำให้เฉินลั่วกลายเป็นเป้าสายตาของทุกคนไปด้วยอีกคน
“พาใต้เท้าเฉินไปด้วย” หวังซีกล่าวเสียงขรึม “เป็นการ ‘พาไปด้วย’ แบบไหน? ให้เป็นผู้ช่วยขององค์ชายใหญ่? หรือเพราะถูกฮ่องเต้ไล่ไปอยู่กรมอาญากันแน่?”
คนอย่างพวกหวังสี่นี้ ก่อนมาพบเจ้านายย่อมทำการบ้านในเรื่องที่เจ้านายอาจถามมาก่อนอยู่แล้ว ต่อให้ไม่อาจตอบได้ทั้งหมด แต่ก็ตอบได้เจ็ดถึงแปดส่วน เรื่องของเฉินลั่ว เขาเองก็ทราบเป็นอย่างดี จึงรีบกล่าวว่า “ฮ่องเต้ให้ใต้เท้าเฉินไปเป็นผู้ช่วยขององค์ชายใหญ่ ไปสังเกตการณ์ที่กรมอาญาด้วยกัน แต่หน้าที่การงานที่กองพลก็ยังคงต้องรับผิดชอบอยู่ เป็นเหตุให้บัดนี้ใต้เท้าเฉินต้องไปกรมอาญาเป็นเพื่อนองค์ชายใหญ่ในช่วงเช้า หลังจากรับประทานมื้อกลางวันเสร็จแล้วก็ต้องเร่งไปที่กองพลม้าทะยาน ยุ่งจนหัวหมุนเลยขอรับ”
หวังซีมุ่นคิ้ว ถามว่า “นอกจากเรื่องที่เขาต้องไปสังเกตการณ์ที่กรมอาญาเป็นเพื่อนองค์ชายใหญ่แล้ว ใต้เท้าเฉินยังให้เจ้านำความอย่างอื่นมาบอกข้าอีกหรือไม่”
หวังสี่คิดทบทวน ตอบว่า “ตอนที่เขากำลังคุยกับข้าอยู่นั้นมีคนออกมา เขาจึงกล่าวประโยคหนึ่งว่า ‘ฝีมือของแม่ครัวพวกเจ้าไม่เลวเลยจริงๆ’ แล้วก็ถูกคนพาตัวไป ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องอื่นเลยขอรับ”
หวังซีเข้าใจแล้ว กล่าวว่า “เข้าใจแล้ว! ข้าจะไปเป็นแขกที่จวนเจียงชวนป๋อ ส่วนเจ้าไปหาหลงจู๊ใหญ่สักครั้ง ให้เขาช่วยหาจอมยุทธ์พเนจรให้ข้าสักสองสามคน ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเงิน ข้ามีเรื่องต้องใช้งาน”
ถึงขั้นต้องหาจอมยุทธ์พเนจรมาใช้งานแล้วหรือ?
หวังสี่พึมพำอยู่ในใจ เห็นหวังซีเร่งออกเดินทาง จึงไม่กล้าถามอะไรมาก รับคำแล้วออกไปหาหลงจู๊ใหญ่
ส่วนหวังซีขึ้นเกี้ยวไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
ที่ผ่านมาเฉินลั่วมิใช่คนพูดจาค้อมอ้อม บัดนี้อยากพบนางสักครั้งเพื่อหารือเรื่องขององค์ชายใหญ่ยังต้องพูดเป็นนัยเพื่อตบตาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากยิ่ง เรื่องจอมยุทธ์พเนจรจึงไม่อาจล่าช้า ยังมีหมี่เหนียงจื่ออีกคน ต้องหาวิธีไปติดต่อให้มากขึ้นโดยไม่ให้ผู้อื่นพบเห็นถึงจะใช้การได้
นางขบคิดไปตลอดทาง จนเดินทางมาถึงจวนเจียงชวนป๋อตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ตัว
เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าชื่นชอบเด็กสาวงดงามและฉลาดเฉลียวอย่างหวังซีผู้นี้ด้วยความจริงใจ นางเอาผลไม้อบแห้งมาให้หวังซีกินอย่างยิ้มแย้ม ยังกล่าวด้วยว่า “อาหลิงของพวกข้าบอกว่าเจ้ากินเก่ง นี่เป็นผลไม้อบแห้งส่งมาจากหูหนาน เจ้าลองชิมดูว่ามีอะไรแตกต่างไปจากของจิงเฉิงบ้าง”
ผลไม้อบแห้งของจิงเฉิงใช้น้ำตาลในการหมักดอง ส่วนผลไม้อบแห้งของหูหนานใช้น้ำตาลฉาบเคลือบเอาไว้ แบบหนึ่งน้ำตาลซึมอยู่ด้านใน อีกแบบหนึ่งน้ำตาลฉาบเคลือบอยู่ด้านนอก อร่อยไปคนละแบบ
หวังซีกล่าวชมฟักเขียวเคลือบน้ำตาลไม่ขาดปาก
เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะร่าไม่หยุด กล่าวว่า “รสปากของเจ้าเหมือนกับของจ่างกงจู่ นางเองก็ชอบกินฟักเขียวเคลือบน้ำตาลที่ส่งมาจากหูหนานเช่นกัน เจ้ารอครู่หนึ่ง ข้าจะให้คนห่อให้เจ้าเอากลับไปด้วย”
ส่วนของขวัญที่หวังซีเป็นตัวแทนหย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่านำมามอบให้นั้น เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าไม่เชื่อว่าหย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนส่งมาให้ นางรู้จักฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้ดีเกินไป นอกจากตระหนี่แล้ว ยังไม่ค่อยมีวิสัยทัศน์ หากไร้ซึ่งคนย้ำเตือน เป็นไปได้ยากที่จะนึกถึงสินน้ำใจเหล่านี้
นางนับของขวัญดังกล่าวเป็นส่วนของหวังซี ยิ่งรู้สึกว่าควรหาคู่ครองดีๆ ให้หวังซีสักคนถึงจะถูก จึงลากนางไปถามเรื่องของตระกูลหวังอย่างละเอียด จนกระทั่งตอนที่ลู่หลิงเร่งมาถึงหลังจากที่รู้ว่าหวังซีมาถึงแล้วนั้น เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่ากำลังถือผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาอยู่
ลู่หลิงเต็มไปด้วยงุนงง กล่าวขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น เพียงไม่นาน เหตุใดน้ำตาถึงร่วงเป็นสายไปหมดทั้งสองข้างได้? ต้องเป็นเพราะพี่สาวหวังเล่าเรื่องอะไรอีกแน่ๆ ท่านย่าฟังแล้วถึงได้รู้สึกเห็นใจสงสารขึ้นมาอีกแล้ว”
เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าถลึงตาคล้ายโกรธแต่ก็คล้ายยิ้มใส่ลู่หลิงครั้งหนึ่ง ไม่ตอบคำถามนาง แต่กล่าวขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าเพิ่งมาเอาป่านนี้ ตอนกินขนมไหว้พระจันทร์ของพี่สาวหวังของเจ้า มิใช่ว่ากล่าวชมไม่ขาดปาก อยากกล่าวขอบคุณนางด้วยตัวเองหรอกหรือ เหตุใดพอเจอตัวคนแล้วถึงไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว?”
ลู่หลิงรู้ว่านี่หมายความว่าท่านย่าไม่อยากเล่าให้นางฟัง จึงเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวของหวังซี ก็เลยไม่ไล่ถามต่อ กล่าวคล้อยไปกับคำของเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าว่า “มิใช่ท่านหรือเจ้าคะที่ต้องการส่งขนมไหว้พระจันทร์เข้าวังให้ได้ หาไม่แล้วจะต้องรบกวนพี่สาวหวังได้อย่างไร”
เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วกล่าวกับหวังซีอย่างขออภัยเล็กน้อยว่า “ช่วงนี้เจียงไท่เฟยไม่ค่อยสบายพระทัย ข้านั้นคิดว่าเป็นพี่สาวน้องสาวกันมานมนาน คงไม่อาจยืนมองเฉยๆ เช่นนี้ อีกอย่างในวัยของพระนางนี้ ไม่มีอะไรที่ชื่นชอบเป็นพิเศษแล้ว ก็มีแค่ชอบกินขนมต่างๆ เท่านั้น ก็เลยต้องรบกวนเจ้า”
หวังซีคิดว่าโดยมากคงเป็นเพราะฮ่องเต้ใช้พระนางเป็นแพ เปิดเผยความประสงค์แต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อในงานวันคล้ายวันประสูติของพระนาง เป็นเหตุให้ไท่เฟยพระองค์นี้มีปมในใจ
ความจริงแล้วนางอยากสอบถามให้ละเอียดเหลือเกินว่าตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินอะไรมาบ้าง แต่นางก็คิดได้ว่าสุดท้ายแล้วนางกับจวนเจียงชวนป๋อก็รู้จักกันเพียงผิวเผินเท่านั้น จึงยั้งตัวเองเอาไว้ได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “คนสูงอายุเมื่อถึงวัยนี้ล้วนเป็นเช่นนี้ ท่านปู่กับท่านย่าของข้าก็ชอบกินอาหารเลิศรสเป็นอย่างมาก ในบรรดาวัตถุดิบทำไส้ขนมที่ข้ามอบให้ท่านนั้นมีแบบที่ท่านปู่กับท่านย่าของข้าชอบกินอยู่ด้วยพอดี คงได้นำถวายเจียงไท่เฟยด้วย ล้วนแล้วแต่เป็นของที่ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนสูงอายุทั้งสิ้นเจ้าค่ะ”
เนื่องจากเป็นขนมไหว้พระจันทร์ที่จะนำถวายเจียงไท่เฟย จึงไม่อาจทำอย่างลวกๆ ได้
หลังจากที่ได้รับสูตรทำไส้ขนมเหล่านั้นมาเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าก็ไล่ดูอย่างละเอียดไปแล้วหนึ่งรอบ ย่อมรู้ว่าวัตถุดิบทำไส้ขนมเหล่านั้นล้วนเป็นของที่เหมาะสำหรับคนสูงวัยทั้งสิ้น
นางชอบความช่างคิดของหวังซียิ่งนัก ยิ่งมองนางก็ยิ่งรู้สึกถูกชะตา จึงเป็นธรรมดาที่ยามพูดจาเจือความจริงใจเอาไว้หลายส่วน ได้ยินเช่นนั้นแล้วถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “พระนางเองก็ไร้ทางเลือก คนเป็นมารดาแท้ๆ เมื่ออายุมากแล้ว ยังต้องมีชีวิตด้วยการพึ่งพาและดูสีหน้าของเหล่าบุตรชายหญิง นับประสาอะไรกับนางที่เป็นเพียงมารดาเลี้ยงผู้หนึ่งเท่านั้น ฮ่องเต้ให้เกียรตินาง นางได้เป็นไท่เฟย หากไม่ไว้หน้านาง นางก็ไม่มีอะไรแล้ว ทุกครอบครัวต่างมีคัมภีร์ยากจะอ่านเป็นของตัวเอง ไม่มีชีวิตของใครที่ราบรื่นทุกอย่าง!”
ลู่หลิงเห็นย่าไม่ระแวดระวังตัวกับหวังซี นางก็ยิ่งไม่ระแวดระวังตัวกับหวังซี กล่าวปลอบโยนย่าของนางว่า “แม้นบ้านพวกเรามีคนน้อยที่สุด แต่บ้านพวกเราก็มีเรื่องน้อยที่สุดเช่นกัน อย่างไรบ้านพวกเราก็ดีกว่า!”
ผู้ใดจะรู้ว่าเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วกลับมีท่าทีคล้ายอยากพูดอะไรแต่ก็หยุดไป
หวังซีลอบประหลาดใจ ส่วนลู่หลิงอยากถามแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มถามอย่างไร โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว กล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเรามีเรื่องน้อยที่สุด รอให้พี่ชายของเจ้าแต่งสะใภ้เข้าบ้านแล้ว ข้าจะมอบหมายเรื่องในบ้านให้พี่สะใภ้ของเจ้า ทีนี้ก็ยิ่งสบายแล้ว”
ลู่หลิงประหลาดใจ ถามขึ้นว่า “งานแต่งระหว่างพี่ชายข้ากับตระกูลถานกำหนดลงมาแล้วหรือเจ้าคะ”
“พ่อเจ้าบอกว่าดียิ่ง เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าตอบยิ้มๆ “น่าจะเชิญแม่สื่อไปวางของหมั้นในอีกไม่กี่วันนี้”
ตระกูลถาน? ใช่ตระกูลถานที่นางรู้จักหรือไม่
หวังซีห้ามใจไม่อยู่ ถามยิ้มๆ ว่า “ใช่ตระกูลของคุณหนูสี่ถานหรือไม่”
ลู่หลิงพยักหน้า ยิ้มตอบว่า “เป็นญาติผู้น้องของคุณหนูสี่ถาน หรือก็คือคุณหนูห้าของพวกเขา บอกว่าเป็นน้องสาว แต่ความจริงแล้วอายุน้อยกว่าคุณหนูสี่ถานเพียงสองวันเท่านั้น เมื่อก่อนพวกข้ายังเคยเล่นด้วยกันอยู่บ่อยๆ แต่มารดาของนางเข้มงวดกับนางยิ่งนัก หลายปีมานี้จึงไม่ค่อยได้เห็นนางออกมาร่วมงานสังคมเท่าไรแล้ว”
หวังซีถามยิ้มๆ ว่า “แล้วที่บ้านของพวกเขายังมีเด็กสาวที่ถึงวัยแต่งงานอีกหรือไม่”
“น่าจะไม่มีแล้วกระมัง” ลู่หลิงยิ้มกล่าว “ปีนี้คุณหนูหกของพวกเขาเพิ่งจะหกขวบเท่านั้น คุณหนูสามหมั้นหมายกับคุณชายหกของจวนเว่ยกั๋วกง ส่วนคุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองต่างแต่งงานกันหมดแล้ว”
เช่นนั้นภรรยาของเฉินอิงก็ไม่ใช่หนึ่งในนี้แล้ว
หวังซีรู้สึกยินดีกับหายนะของผู้อื่นเล็กน้อย
ทีนี้ก็รอดูว่าเฉินอิงกับคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวจะมีวาสนาต่อกันหรือไม่เท่านั้น
นางนึกถึงเรื่องที่คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวหลบเลี่ยงตระกูลเหยียนขึ้นมา รู้สึกว่าคุณหนูห้ามิใช่คนไร้ความคิด เฉินอิงอยากแต่งกับนาง เกรงว่าก็มิใช่เรื่องง่ายดายนัก
***
หลังกลับมาจากจวนเจียงชวนป๋อ หวังซีไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอันดับแรก
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้พบนาง บอกว่าหย่งเฉิงโหวมาหา กำลังคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ในห้อง แม้แต่คนข้างกายอย่างซือหมัวมัวยังถูกไล่ออกมาอยู่ข้างนอก
นางกล่าวกับหวังซีอย่างขออภัยว่า “ประเดี๋ยวท่านโหวออกมาแล้วข้าจะไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าให้ทราบไว้ว่าคุณหนูต่างสกุลมาหาแล้ว คุณหนูต่างสกุลกลับไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนดีกว่า รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีเวลาว่างแล้ว ข้าจะรีบส่งคนไปแจ้งท่านทันที”
หวังซีกลับสวนร่มหลิวไปด้วยความสงสัย เห็นในครัวยังตุ๋นน้ำแกงแม่ไก่เอาไว้อยู่ จึงสั่งการแม่ครัวว่า “เก็บน้ำแกงไว้ต้มบะหมี่กิน”
คืนนี้เฉินลั่วต้องมาหานางอย่างแน่นอน งานยุ่งมากขนาดนั้น อาหารการกินก็คงกินอย่างลวกๆ เท่านั้น ให้เขาได้กินน้ำแกงอะไรบ้าง ถือเป็นการบำรุงร่างกาย
แม่ครัวขานรับคำด้วยรอยยิ้มร่า
กว่าเฉินลั่วจะมาตะวันก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว
เขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าอย่างที่คาดการณ์เอาไว้จริงๆ
หวังซีไม่พูดอะไร ยกบะหมี่น้ำแกงไก่ที่ทำจากแป้งข้าวสาลีสดใหม่มาให้เขาก่อนหนึ่งถ้วย
เฉินลั่วไม่เอ่ยคำใด กินบะหมี่จนหมดชามแล้วถึงได้รู้สึกเหมือนตัวเองฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง นั่งอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนใต้ซุ้มองุ่นไม่อยากขยับเขยื้อน
หวังซีอยากลากเขาไปเดินสักสองรอบเหลือเกิน แต่เห็นสีหน้าสบายใจของเขาแล้วก็โยนความคิดดังกล่าวทิ้งไปเสีย
ช่างเถิด ปกติเขาก็ซ้อมขี่ม้ายิงธนูอยู่แล้ว เวลาสั้นๆ แค่นี้คงไม่เป็นไร ให้เขาได้พักผ่อนดีๆ สักหน่อยก็แล้วกัน
หวังซีว่างไม่มีอะไรทำ จึงชงชาโบตั๋นขาวรับรองเฉินลั่ว เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากขนมหวานเป็นผลไม้อบแห้งของหูหนานที่เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่ามอบให้มาวันนี้
เฉินลั่วกลับตาดียิ่งนัก ถามขึ้นว่า “เจ้าซื้อผลไม้อบแห้งของหูหนานมาตั้งแต่เมื่อไร เจ้าไม่ชอบกินของที่มีรสหวานเกินไปมิใช่หรือ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” หวังซีแปลกใจ
เฉินลั่วพึมพำกล่าวสองประโยคไปอย่างคลุมเครือ แล้วก็เอ่ยถึงของว่างกินคู่ชาขึ้นมาอีกครั้ง “นี่ฉาบเคลือบด้วยน้ำตาล เกรงว่าคงต้องดื่มน้ำชาตามไม่น้อยแล้วกระมัง นี่เจ้ากลัวว่าน้ำแกงไก่ไม่พอยัดให้ท้องข้าเต็มหรืออย่างไร!”
คิ้วสวยของหวังซีเป็นเส้นตรง กล่าวว่า “มิใช่เพราะข้าได้ยินเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าจ่างกงจู่ชอบกินผลไม้อบแห้งเช่นนี้หรอกหรือ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่รู้จักสำนึกขนาดนี้!”
เฉินลั่วประหลาดใจ ถามขึ้นว่า “เจ้าว่าอะไรนะ เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่ามอบให้เจ้า? นางบอกว่ามารดาของข้าชอบกินผลไม้อบแห้งเช่นนี้?”
“ถูกต้อง!” หวังซีถามอย่างเป็นกังวลว่า “มีอะไรไม่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ”
เฉินลั่วหยิบฟักเขียวเคลือบน้ำตาลขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ไม่กล่าวอะไรไปกว่าครู่ใหญ่
หวังซีกล่าวขึ้นอย่างไม่ชอบใจว่า “เจ้าคนผู้นี้ ตกลงอยากพูดอะไรกันแน่? อย่าพูดเพียงครึ่งๆ กลางๆ คำธรรมดาสามัญทำให้เจ้าเป็นกังวล ทำให้คนไม่สบายใจได้”
“ข้าเพียงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเท่านั้น” เฉินลั่วกล่าว แต่จากสีหน้าของเขาทำให้ดูออกว่ายังมีเรื่องในใจอยู่ หวังซีลอบจดจำไว้ในใจ คิดว่าสักวันตนจะต้องสอบถามให้กระจ่างให้ได้ แต่ตอนนี้เรื่ององค์ชายใหญ่สำคัญกว่า จัดการเรื่องนี้ให้กระจ่างก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที
นางรินชาให้เฉินลั่วถ้วยหนึ่ง กล่าวว่า “พูดมาเถอะ! มาหาข้ามีเรื่องอะไร? แม้แต่คำพูดยังพูดตรงๆ ให้ชัดเจนไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าข้างกายเจ้ามีคนที่เจ้าไม่ไว้ใจแต่ก็กำจัดทิ้งไม่ได้อยู่ด้วย เป็นคนของฮ่องเต้หรือว่าเป็นคนของผู้อื่น?”
เฉินลั่วมีสีหน้าเหลอหลา รู้สึกว่าการที่หวังซีฉลาดเกินไปก็หาใช่เรื่องที่ดีนัก เพราะเขาอยากปิดบังอะไรนางก็ทำได้ยากยิ่ง
“ฮ่องเต้ส่งมา” เขากล่าว “บอกว่าคนมีปัญญาไม่ยืนใต้กำแพงอันตราย แต่ความจริงเป็นคนที่ย้ายมาจากต้าถงทั้งหมด แม้แต่ข้ายังไม่คุ้นหน้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงองค์ชายใหญ่เลย ข้ารู้สึกว่าแทนที่จะบอกว่าเป็นการมาคุ้มกันพวกข้า มิสู้บอกว่ากำลังจับตาดูพวกข้าอยู่ดีกว่า”
………………………………………………………………………….
ตอนต่อไป