ฉังเคอรีบมานั่งข้างๆ หวังซี กระซิบถามนางว่า “เจ้ายังได้ยินอะไรมาอีกใช่หรือไม่”
“เปล่า” หวังซีเองก็กดเสียงต่ำลงเช่นกัน “แต่ถามต่อไปอีกก็ไม่เหมาะสมเท่าไรแล้ว ไม่ว่าจะมีลับลมคมในอะไร แต่ในเมื่อจวนเซียงหยางโหวกับตระกูลซ่งต่างอธิบายกับคนภายนอกเช่นนี้แล้ว พวกเราเองก็คิดว่าเป็นเหตุผลนี้ด้วยเช่นกันดีกว่า”
ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวผู้นั้นก็มิใช่คนเลอะเลือน หากมีอะไรไม่ดีจริงๆ งานแต่งนี้ก็คงไม่ดำเนินการไปอย่างราบรื่นเช่นนี้
ไม่กี่วันต่อมา จวนเซียงหยางโหวก็ส่งเทียบมาให้หวังซีกับจินซื่อ บอกว่าคุณหนูห้าเจี่ยจัดงานวางของหมั้นวันที่สี่เดือนห้า และออกเรือนวันที่ยี่สิบสองเดือนห้า
รวดเร็วปานนี้?
หวังซีและจินซื่อแลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง
จวนเซียงหยางโหวคาดเอาไว้แล้วว่าคนที่ได้รับเทียบจะต้องประหลาดใจ หมัวมัวที่มาส่งเทียบได้รับการกำชับเอาไว้แล้ว จึงกล่าวอธิบายว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย อยากเร่งจัดการเรื่องงานแต่งของหลานชายหลานสาวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โชคดีที่นายหญิงรองคอยช่วยเตรียมเรื่องงานแต่งให้คุณหนูห้ามาโดยตลอด หาอาภรณ์เครื่องประดับเพิ่มอีกไม่กี่ชิ้นก็ใช้การได้แล้ว”
หวังซีกับจินซื่อต่างยิ้มกล่าวว่า “ถึงเวลาจะไปร่วมงานอย่างแน่นอน”
ไป๋กั่วส่งหมัวมัวผู้นั้นออกไปแล้ว ทว่าตอนกลับเข้ามากลับพาสาวใช้เด็กผู้หนึ่งเข้ามาด้วย บอกว่าเป็นคนข้างกายคุณหนูห้าเจี่ย คุณหนูของพวกนางจะออกเรือนแล้ว อยากเชิญหวังซีไปอยู่เป็นเพื่อนด้วยสักสองสามวัน
พวกนางมีไมตรีจิตต่อกันเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
หวังซีตะลึงอ้าปากค้าง
สาวใช้เด็กผู้นั้นกลับน้ำตาคลอหน่วย โขกศีรษะให้หวังซีไม่หยุด กล่าวว่า “ข้าได้รับคำสั่งจากคุณหนูของพวกข้าให้แอบมาที่นี่เป็นการส่วนตัว เหล่านายหญิงและสะใภ้ทั้งหลายของพวกข้าต่างไม่ทราบเรื่องเจ้าค่ะ”
จินซื่อเห็นแล้วทนไม่ได้ กระซิบกล่าวกับหวังซีว่า “เจ้าไปดูสักหน่อยเถอะ! ช่วยชีวิตคนหนึ่งครั้ง ได้บุญยิ่งกว่าสร้างพระเจดีย์เจ็ดชั้น ข้าว่าเรื่องนี้มีความลับอื่นซ่อนเร้นอยู่ คุณหนูห้าเจี่ยต้องการให้เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อน โดยมากคงเพราะต้องการให้เจ้าไปช่วยชีวิตนาง”
ถ้าหากงานแต่งระหว่างคุณหนูห้าเจี่ยกับคุณชายซ่งท่านนั้นมีเรื่องผิดปกติซุกซ่อนอยู่จริง เพื่อชื่อเสียงแล้วจวนเซียงหยางโหวอาจทำให้คุณหนูห้าเจี่ยเสียชีวิตอย่างผิดธรรมชาติได้จริงๆ
จินซื่อยังให้นางพาหงโฉวกับชิงโฉวไปด้วย “มีเรื่องอะไร พวกนางจะได้มารายงานได้”
เรียกโจวหมัวมัวคนข้างกายของตนไปอยู่กับนางด้วย
โจวหมัวมัวท่านนี้เหมือนหมี่เหนียงจื่อ ล้วนเคยรับใช้คนรุ่นเดียวกับมารดาของหวังซีมาก่อน แต่โจวหมัวมัวท่านนี้เก่งกาจกว่า รั้งอยู่กับพวกนางตลอดไม่ได้ปล่อยตัวออกไป
โจวหมัวมัวยังนำยาล้างพิษต่างๆ ติดตามหวังซีเดินทางไปจวนเซียงหยางโหวด้วย
เป็นครั้งแรกที่หวังซีได้มาเยือนจวนเซียงหยางโหว
เมื่อเปรียบเทียบกับจวนหย่งเฉิงโหวแล้ว จวนเซียงหยางโหวใหญ่โตกว่ามาก แต่คนของพวกเขาก็มากเช่นกัน บุตรชายทั้งหลายต่างไม่ได้แยกบ้าน คนเจ็ดถึงแปดครอบครัวยังอยู่ร่วมกัน หนึ่งครอบครัวแบ่งเป็นบ้านเล็กๆ ขนาดหลังละสองทางเข้า
คุณหนูห้าเจี่ยอาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่งที่เยื้องไปทางด้านหลังของตัวเรือนฝั่งตะวันตก ตอนหวังซีเข้าไปข้ารับใช้ทุกคนต่างนิ่งเงียบเหมือนไม่กล้าหายใจ ดูเคร่งเครียดขึงขังกันเป็นอย่างยิ่ง ไม่เหมือนกำลังจะมีงานมงคลแม้แต่น้อย หมัวมัวนอกห้องของคุณหนูห้าเจี่ยมีผมขาวแซมเป็นสีดอกเลา ใบหน้าซูบผอม สายตาคมปลาบ ดูดุดันและเย็นชาอย่างยิ่ง
ตอนเห็นหวังซีถึงกับกล่าวอย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า “คุณหนูหวัง งานแต่งของคุณหนูห้าถูกกำหนดขึ้นอย่างเร่งด่วน มีเรื่องที่ยังเตรียมการไม่แล้วเสร็จอีกมาก ท่านมาเยี่ยมคุณหนูห้าได้ นับว่าเป็นโชคดีของนางแล้ว แต่รบกวนท่านอย่าอยู่นาน ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกข้าเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับท่านอยู่เจ้าค่ะ!”
ไม่ต้องดูหวังซีก็รู้แล้วว่ามีเรื่องเกิดขึ้น
แต่ในเมื่อนางมาถึงแล้ว ก็ไม่อาจละเมิดกฎการเป็นคนของตัวเองสะบัดมือจากไปโดยไม่สนใจได้
นางหันไปพยักหน้าให้หมัวมัวท่านนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา พาคนของตัวเองเข้าไปในห้องโถง
โจวหมัวมัวถูกห้ามไม่ให้เข้าไป
ก็ดีเหมือนกันจะได้ช่วยเฝ้าประตูด้วยพอดี
หวังซีกำชับโจวหมัวมัวว่า “เจ้ารออยู่ด้านนอกก็ดีเหมือนกัน พวกเราพี่สาวน้องสาวจะได้คุยเรื่องส่วนตัวกัน”
โจวหมัวมัวขานรับคำอย่างนอบน้อม ยืนอยู่ใต้ทางเดิน
หวังซีพาชิงโฉวกับหงโฉวเข้าไปในห้องชั้นใน
คุณหนูห้าเจี่ยสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีแดงชาดลายน้ำกลางใหม่กลางเก่าตัวหนึ่ง ผมดกดำดุจเส้นไหมถูกเกล้าขึ้นเป็นมวย สวมตุ้มหูเงินดอกติงเซียงคู่หนึ่ง เมื่อเห็นนางเข้ามาก็ยิ้มแย้มลุกขึ้นมา กล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “เจ้ามาแล้ว!”
หวังซียิ่งระแวดระวังตัวมากขึ้น
นางค้นพบว่าไม่เห็นสาวใช้ที่มักปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายคุณหนูห้าเจี่ย
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “คิดไม่ถึงว่าบ้านพวกเจ้าจะมีธรรมเนียมปฏิบัติที่เข้มงวดขนาดนี้ ตลอดทางที่ข้าเดินเข้ามา ยังไม่เห็นใครยิ้มแย้มเลยสักคน ชื่นชมที่เจ้าอยู่ที่นี่มานานหลายปีขนาดนี้ได้”
คุณหนูห้าเจี่ยเพียงเม้มปากกลั้นยิ้มเท่านั้น เชิญหวังซีไปนั่งบนตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่าง
พวกสาวใช้เด็กนำน้ำชาของว่างมาขึ้นโต๊ะ
คุณหนูห้าเจี่ยบอกสาวใช้คนหนึ่งในจำนวนนั้นว่า “เจ้าพาคนข้างกายของคุณหนูหวังไปดื่มชาที่ห้องน้ำชาเถอะ!”
ความจริงแล้วนี่คือการไล่คนออกไป ทว่าสาวใช้ข้างกายนางมีเพียงสาวใช้ผู้นั้นที่ก้าวออกมาเชิญชิงโฉวกับหงโฉวยิ้มๆ
หวังซีจึงรู้ว่าควรทำอย่างไรแล้ว กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นไร ให้พวกนางรออยู่นอกห้องโถงก็พอ”
ห้องโถงกับห้องชั้นในกั้นเอาไว้ด้วยประตูพับหนึ่งหลัง หากเปิดเข้ามา จะเห็นเหตุการณ์ในห้องชั้นในได้ชัดเจน
แม้นสาวใช้ข้างกายของคุณหนูห้าเจี่ยจะถอยไปอยู่ที่ห้องโถงแล้ว ทว่ามิได้ปิดบานประตู
หวังซีแสดงท่าทางไม่ใส่ใจ กล่าวเย้าคุณหนูห้าเจี่ยเสียงเบาอย่างสนิทสนมประหนึ่งเป็นสหายรักกันว่า “เจ้าหมั้นหมายอย่างกะทันหันเกินไปแล้ว ทำเอาข้าตกใจไปครั้งใหญ่ คิดว่าจะต้องถามเจ้าสักหน่อยถึงจะใช้ได้ เจ้าลองเล่ามาว่าคุณชายซ่งท่านนั้นเป็นคนเช่นไร หน้าตาเป็นอย่างไร ที่บ้านมีพี่น้องชายหญิงกี่คน ฮูหยินผู้เฒ่าหมั้นหมายงานแต่งนี้ให้เจ้าหรือ ข้าได้ยินว่าเป็นครอบครัวที่สามัญยิ่ง”
คุณหนูห้าเจี่ยดูเป็นธรรมชาติยิ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ครอบครัวสามัญอยู่บ้างจริงๆ แต่เรื่องบุพเพสันนิวาสนี้ผู้ใดก็กล่าวให้กระจ่างไม่ได้ โชคดีที่เขาพอจะถือได้ว่ามีหน้าตาห้าวหาญเยี่ยงทหาร ทั้งยังฉลาดมีความสามารถ…”
ขณะที่นางกล่าว อีกด้านหนึ่งก็ใช้นิ้วจุ่มชาแล้วเขียนคำว่า ‘ช่วยข้าด้วย’ ลงบนโต๊ะน้ำชา
เป็นไปตามที่พี่สะใภ้ใหญ่นางคาดเอาไว้จริงๆ
หวังซีอดสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่งไม่ได้ คิดว่าที่นางมาขอร้องตน โดยมากต้องเพราะเป็นตนหมั้นหมายกับเฉินลั่ว นางเข้ามาหาคนจวนเซียงหยางโหวก็ไม่กล้าขวางทางนัก
นางเองก็จุ่มนิ้วในน้ำชา เขียนคำว่า ‘อย่างไร’ ข้างๆ คำว่า ‘ช่วยข้าด้วย’ จากนั้นแสร้งปัดถ้วยชาคว่ำโดยไม่ตั้งใจ จนน้ำเจิ่งทับตัวอักษรเหล่านั้นไป
คุณหนูห้าเจี่ยเผยความซาบซึ้งออกมาทางสายตา รีบเรียกสาวใช้เด็กเข้ามาเช็ดโต๊ะ ปากกลับกล่าวขึ้นว่า “ไม่เป็นไรๆ เช็ดโต๊ะสักหน่อยก็ได้แล้ว เจ้าคิดว่าชานี้เป็นอย่างไร ข้าซื้อมาจากวัดต้าเจวี๋ย”
สาวใช้เด็กผู้นั้นเช็ดโต๊ะอย่างคล่องแคล่วว่องไว
หวังซีกลับกล่าวอย่างรังเกียจเล็กน้อยว่า “มันชื้นไปหมด เปลี่ยนโต๊ะตัวใหม่ได้หรือไม่”
สาวใช้เด็กผู้นั้นตกใจ
ชิงโฉวก้าวเข้ามายอบเข่าทำความเคารพ กล่าวว่า “ข้าจะไปบอกหมัวมัวที่เป็นแม่บ้านสักคำหนึ่ง”
สาวใช้เด็กผู้นั้นรีบกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าร้อนใจเล็กน้อยว่า “ข้าจะไปเปลี่ยนโต๊ะมาใหม่เจ้าค่ะ”
หวังซีดูแล้วจึงรู้ว่าสาวใช้เด็กผู้นี้ไม่ค่อยได้ปรนนิบัติพวกคุณหนูบ่อยสักเท่าไรนัก จึงบ่นกับคุณหนูห้าเจี่ยว่า “เกิดอะไรขึ้นกับบ้านพวกเจ้า เรื่องแค่นี้ก็ต้องให้คนคอยบอก ปกติเจ้าใช้ชีวิตกันอย่างไรหรือ นี่ไม่พิถีพิถันเกินไปแล้วกระมัง!” ยังเสนอความคิดให้คุณหนูห้าเจี่ยอีกด้วยว่า “ครานี้เจ้าตั้งใจจะพาสาวใช้คนไหนไปด้วยบ้าง ต้องการให้ข้าช่วยดูให้เจ้าหรือไม่ หากใช้การไม่ได้จริงๆ มิสู้ซื้อกลับมาสั่งสอนเองสักสองสามคน อย่างไรก็ดีกว่าคนตาไร้แววเช่นนี้”
สาวใช้เด็กผู้นั้นสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมาตามคาด นำโต๊ะตัวใหม่วางลงตรงหน้าพวกนางด้วยอากัปกิริยาที่เคร่งครัด
ชิงโฉวกับหงโฉวเติมน้ำชาให้พวกนางอย่างเบามือเบาเท้าแล้วถอยไปอยู่ข้างบานประตู
สายตาที่คุณหนูห้าเจี่ยมองหวังซีเจือรอยยิ้มเอาไว้หลายส่วนอย่างอดไม่อยู่ สีหน้าดูผ่อนคลายมากกว่าเมื่อครู่แล้ว กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าคิดว่าใครๆ ก็เหมือนเจ้าที่ข้างกายเต็มไปด้วยคนมีความสามารถหรืออย่างไร อย่างข้านี้ก็ถือว่าดีแล้ว ส่วนเรื่องจะพาใครไม่พาใครไปเป็นสาวใช้ติดตามตัวเจ้าสาวนั้นต้องให้ผู้ใหญ่ตัดสินใจ หนังสือขายตัวของพวกนางล้วนอยู่ในมือของผู้อาวุโสทั้งสิ้น”
หวังซีพยักหน้า คุณหนูห้าเจี่ยเขียนคำว่า ‘วัดหวงซื่อ’ ลงบนโต๊ะ
หมายถึงนัดนางไปเจอที่วัดหวงซื่ออย่างนั้นหรือ
เช่นนั้นที่พูดวัดต้าเจวี๋ยเมื่อครู่ก็คงเป็นการลวงคนที่กำลังแอบฟังพวกนางคุยกัน
หวังซีใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำชาบนโต๊ะ ยังยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้คุณหนูห้าเจี่ยดูด้วย “เจ้าดู แค่โต๊ะยังเช็ดไม่สะอาดเลย เจ้ายังจะพาพวกนางไปตระกูลซ่งด้วยอีกหรือ”
คุณหนูห้าเจี่ยหัวเราะออกมาอย่างไร้ทางเลือก กล่าวว่า “ฟังเจ้า ล้วนเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง พอใจแล้วกระมัง!”
คล้ายหวังซีชอบจับผิดมากก็ไม่ปาน
หวังซีหัวเราะ ค้นพบว่าสาวใช้ข้างกายคุณหนูห้าเจี่ยตั้งใจปรนนิบัติรับใช้มากขึ้น ถึงขั้นเริ่มทำตามชิงโฉวและหงโฉวทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว
แต่สุดท้ายนางก็ไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูห้าเจี่ยได้
ตอนนางไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหว ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวอย่างอ้อมๆ ว่า “นางหมั้นหมายอย่างกะทันหันไปสักหน่อย ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ตั้งใจจะส่งนางไปอยู่ที่วัดต้าเจวี๋ยสักระยะ รอตอนที่นางออกเรือน เจ้าค่อยมาอยู่เป็นเพื่อนนางสักสองสามวันก็แล้วกัน” ยังถามนางอย่างแปลกใจว่า “พวกเจ้าสนิทสนมกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดหรือ”
แน่นอนว่าหวังซีไม่อาจกล่าวตามจริงได้ นางเบิกดวงตากว้าง แววตากระจ่างใสจนสะท้อนภาพฮูหยินผู้เฒ่าออกมาได้ กล่าวว่า “ข้ากับคุณหนูห้าก็พอสนิทกัน เป็นจ่างกงจู่บอกข้าว่าหากไม่มีธุระอะไร ให้มาอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูห้าสักหน่อย เกรงคุณหนูห้าจะหวาดกลัว…
…บางครั้งพอคิดว่าจะต้องออกเรือนแล้ว ข้าเองก็รู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน…
…ข้าก็เลยมาเยี่ยมนาง…
…แต่ข้ารู้สึกว่าคุณหนูห้าเก่งกว่าข้ามากนัก นางยังดูมีความสุขดีอยู่”
กล่าวจบ หวังซีสัมผัสได้ชัดเจนว่าฮูหยินผู้เฒ่าคล้ายโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
นางรับประทานมื้อเย็นที่จวนเซียงหยางโหวเสร็จก็เดินทางกลับ
จินซื่อรอนางอยู่ที่หน้าประตูชั้นใน พอเห็นนางกลับมา ถือผ้าคลุมตัวหนึ่งออกมาต้อนรับ กล่าวว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ข้าคิดว่าเจ้าจะค้างที่จวนเซียงหยางโหวแล้วเสียอีก”
หวังซีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้จินซื่อฟัง กล่าวว่า “พี่สะใภ้ช่างเก่งกาจ แค่มองก็ดูออกแล้วว่าเกิดเรื่องไม่ปกติขึ้น วันนี้ข้าอ้างชื่อของจ่างกงจู่ เกรงว่าคงต้องบอกคุณชายรองสักคำ ต้องให้เขาช่วยไกล่เกลี่ยกับจ่างกงจู่แล้ว”
จินซื่อกล่าว “เกรงว่าคุณหนูเจี่ยคงจะถูกส่งไปอยู่วัดหวงซื่อ ฟากวัดหวงซื่อ พวกเราต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ถึงจะใช้การได้ เรื่องนี้เจ้ามอบให้ข้าจัดการดีกว่า”
ด้านจ่างกงจู่ หวังซีคงต้องไปพูดด้วยตัวเองจริงๆ
นางมีหน้ามีตากว่าคนอื่นๆ ของตระกูลหวัง
จินซื่อยังกล่าวอีกว่า “คุณหนูเจี่ยคาดเอาออกว่าผู้อื่นจะจัดการนางอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นข่าวที่นางสืบมาได้หรือนางคาดการณ์ได้ก็ตาม ถือว่าเด็กสาวผู้นี้ยอดเยี่ยมมากแล้ว คนเช่นนี้ควรค่าให้คบหาเอาไว้ เจ้าถือโอกาสใช้เรื่องนี้สนิทสนมกับนางไว้ก็ไม่เสียหาย”
นั่นก็ต้องดูว่านางจะถูกส่งตัวไปที่วัดหวงซื่อจริงหรือไม่แล้ว
หวังซีพยักหน้า ผ่านไปสองวัน คนที่พวกนางเตรียมไว้ที่วัดหวงซื่อส่งข่าวมาบอกพวกนางว่าคุณห้าเจี่ยเข้าไปอยู่ที่วัดหวงซื่อแล้ว บอกว่ามาสวดมนต์ให้ผู้อาวุโส แต่ความจริงแล้วถูกขังอยู่ในห้องที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง
จินซื่อตกใจ
หวังซีกลับกำลังคุยเรื่องนี้กับเฉินลั่วอยู่ “ตอนนั้นวุ่นวายจนไม่ค่อยน่าดูเท่าไรนัก มารดาข้าโมโหเล็กน้อย จึงตัดสินให้หมั้นหมายด้วยใจที่อยากลงโทษเล็กน้อย ตระกูลเจี่ยจำต้องให้บุตรสาวแต่งออกไป นอกเสียจากว่าในระหว่างนี้จะเกิดอุบัติเหตุอะไรกับบุตรสาวผู้นี้…
…ข้าคิดว่า ตระกูลเจี่ยคงรู้สึกว่าการเกี่ยวดองนี้ต้อยต่ำเกินไป ทำให้คนอื่นๆ ในตระกูลเจี่ยต้องเสื่อมเกียรติไปด้วย กอปรกับที่คุณหนูห้าเจี่ยทำลายความมุ่งมาดปรารถนาของคนในบ้าน พวกเขาจึงยอมให้เกิดเรื่องกับนางมากกว่ายอมให้นางออกเรือน”
………………………………………………………………..