ตระกูลหวังตั้งรกรากที่สู่จงมากว่าร้อยปี ญาติดองของครอบครัวมีทั่วทั้งภาคตะวันตกเฉียงเหนือ จึงเป็นไม่ได้ที่สตรีทุกคนจะอยู่ในกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดทั้งหมด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องชายหญิงต้องหมั้นหมายหรือแต่งงานกันเพราะแตะเนื้อต้องตัวกันก่อนแต่งงานเลย แม้แต่สตรีหม้ายแอบมีเรื่องชู้สาวแล้วแต่งงานใหม่ก็มีไม่น้อย แต่ไม่เคยมีใครคิดอยากเอาชีวิตของสตรีมาก่อน!
จวนเซียงหยางโหวทำเช่นนี้ออกจะทำเกินไปสักหน่อยแล้ว
หวังซีกล่าว “เช่นนั้นทางคุณหนูห้าเจี่ย?”
เฉินลั่วกล่าว “น่าจะเป็นความตั้งใจของนาง”
ก่อนหน้านี้หวังซีก็พอจะเดาได้รางๆ หลายส่วน แต่พอเฉินลั่วกล่าวเช่นนี้ นางก็ยิ่งประหลาดใจ
เฉินลั่วกล่าว “วันนั้นเจ้าไม่ได้ไป ได้ยินว่าคนที่มีนามว่านายหญิงสามหยางของพวกข้าท่านนั้นอยากเป็นสะพานผูกด้ายแดงให้คุณหนูห้าเจี่ยกับหลานชายของหนิงผิน ข้าเดาว่าคุณหนูห้าเจี่ยคงไม่ยอม นางกับซ่งโหย่ว หรือก็คือคนที่หมั้นหมายกับคุณหนูห้าเจี่ยผู้นั้น หากมิใช่เพราะร่วมมือกันก็คงเป็นเพราะใช้วิธีอะไรบางอย่าง ข้าได้ยินว่าซ่งโหย่วผู้นั้นฉลาดหลักแหลมมาก หากเขาไม่ยินยอม ต้องมีวิธีพังงานแต่งนี้ได้ แต่ในเมื่อเขายอมรับ แสดงว่าโดยมากก็คงมีแผนการของตัวเองในใจ”
หวังซีจึงถามเขาว่า “เช่นนั้นพวกเราควรช่วยคุณหนูห้าเจี่ยหรือไม่”
เฉินลั่วรู้สึกว่าผูกกรรมดีต่อกันสักครั้งหนึ่งก็ไม่เสียหาย “ในเมื่อสอดมือเข้าไปแล้ว จะทำความดีก็ทำให้สุดก็แล้วกัน การเกี่ยวดองนี้หมั้นหมายกันอย่างปัจจุบันทันด่วน พวกเขาคงไม่ลงมือที่จวนเซียงหยางโหว จวนเซียงหยางโหวมีคนมากเกินไป หากเกิดคดีคนเสียชีวิตขึ้น สุดท้ายแล้วก็ถือเป็นลางร้าย โดยมากอย่างไรบ้านหลังนั้นก็ต้องปล่อยว่าง ต่อให้พวกเขาไม่เสียดายชีวิตคนก็เสียดายบ้านหลังนั้น แปดถึงเก้าในสิบส่วนต้องเลือกลงมือที่วัดหวงซื่อ…
…ส่วนมากคนที่มาไหว้พระที่วัดหวงซื่อล้วนเป็นประชาชนที่อยู่รอบๆ คนมากหน้าหลายตา ทั้งมิใช่คนที่มีความสามารถในการตรึกตรองชั่งน้ำหนัก หากเกิดอะไรขึ้น ก็จัดการให้ผ่านพ้นไปได้อย่างง่ายดาย…”
หวังซีอดไม่ได้กล่าวแทรกขึ้นว่า “คุณหนูห้าเจี่ยคาดเดาได้ว่าพวกเขาจะลงมือที่ไหนก็นับว่าเก่งกาจมากแล้ว ปกติข้าเห็นนางเป็นเหมือนแป้งนิ่มก้อนหนึ่ง จวนเซียงหยางโหวให้นางทำอะไรนางก็ทำ คิดไม่ถึงว่าในเวลาคับขันจะมีจิตใจเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าปกติข้าดูเบาผู้คนไปหน่อย คนที่เดินอยู่ในแวดวงสังคมของชนชั้นสูงได้ ไม่มีใครไร้ความคิดเลยสักคนเดียว”
เฉินลั่วหัวเราะฮ่าเสียงดัง กล่าวว่า “เจ้าเองก็อย่าคิดว่านางมีความสามารถเกินไปนักเลย มนุษย์เวลาอยู่ในห้วงแห่งความเป็นความตาย ไม่ว่าวิธีการอะไรก็คิดออกทั้งนั้น”
จากนั้นเขาเสนอความคิดให้นางว่า “เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนนางที่วัดหวงซื่อเถอะ ส่วนแผนการที่จวนเซียงหยางโหวคิดเอาไว้นั้น พวกเจ้าอย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น เฝ้าระวังสถานการณ์เอาไว้ก่อน ถึงเวลาจะให้มารดาของข้าไปคุยกับพวกเขา”
หวังซีพยักหน้า อยากถามเหลือเกินว่าที่จ่างกงจู่โมโหขนาดนี้มีส่วนเกี่ยวกับเรื่องที่นางถูกเฉินเจวี๋ยเล่นงานในวันคล้ายวันเกิดเมื่อปีก่อนด้วยใช่หรือไม่ แต่นางคิดได้ว่าจ่างกงจู่เป็นมารดาของเฉินลั่ว คาดว่าคงไม่มีใครชอบให้มีคนมาวิพากษ์วิจารณ์มารดาของตัวเอง สุดท้ายนางก็กลืนประโยคดังกล่าวลงไป
พอนางกลับไปคุยกับจินซื่อ จินซื่อกล่าวขึ้นแทบจะทันทีว่า “เจ้าเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน ตีหนูตายก็จริงแต่หากทำแจกันหยกแตกด้วยจะทำอย่างไร เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องออกหน้าช่วย ข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูห้าเจี่ยผู้นั้นที่วัดหวงซื่อเอง”
หวังซีจะลากพี่สะใภ้ของนางลงน้ำได้อย่างไร
จินซื่อกลับยืนกรานหนักแน่น กล่าวว่า “ต่อให้พี่ใหญ่ของเจ้ามา ก็จัดการเช่นนี้เหมือนกัน เรื่องอื่นพี่สะใภ้ตามใจเจ้าได้ แต่เรื่องนี้เจ้าต้องเชื่อฟังข้า”
หวังซีไร้ทางเลือก จำต้องคืนโจวหมัวมัวให้จินซื่อ ยังให้ชิงโฉวตามไปดูที่วัดหวงซื่อด้วย
ฟากคุณหนูห้าเจี่ยเข้ามาอยู่ที่วัดหวงซื่อได้หนึ่งวันแล้วก็ยังไม่เห็นหวังซี อดรู้สึกเศร้าโศกอยู่ในใจไม่ได้ คิดว่าแม้แต่คนในบ้านตัวเองยังต้องการลงมือสังหารนาง จะคาดหวังให้ผู้อื่นมาช่วยนางได้อย่างไร นอกจากนี้การช่วยชีวิตนางก็อาจจะต้องจ่ายราคาค่างวดที่ไม่ถูกเลย ด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้นางก็ไม่อาจจ่ายให้ได้ แล้วเหตุใดผู้อื่นจะต้องรับความเสี่ยงนี้ด้วย
แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อยากอยู่ที่บ้านหลังนั้นต่อไปแล้ว
รวมถึงเจี่ยเฝิงพี่ชายของนางด้วย
หากนางหนีรอดจากเคราะห์กรรมนี้ไปได้ นางจะเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่ชายของนาง หากไม่มีหลักฐาน บุรุษที่เติบโตมาจากเรือนชั้นนอกอย่างพี่ชายของนางย่อมไม่เชื่อคำพูดของนาง
พี่ชายของนางนั้นนับว่าเป็นบุตรหลานที่โดดเด่นที่สุดในบ้านหลังนี้แล้ว นางหวังว่าพี่ชายของนางจะสลัดตัวหนีจากคนเหล่านี้ของตระกูลเจี่ยได้ ได้มีอนาคตที่รุ่งโรจน์สดใส ไม่ต้องถูกที่บ้านใช้ประโยชน์อีก
คุณหนูห้าเจี่ยแอบเทน้ำชาที่สาวใช้รินให้นางลงไปในแจกันดอกไม้ที่อยู่ในห้อง
น่าเสียดายที่แจกันดังกล่าวไม่ใหญ่ หากเทน้ำชาลงไปอีกเกรงว่าน้ำคงล้นออกมาจนถูกคนจับได้
นางจะนั่งจะยืนก็ไม่สงบ กังวลใจเหลือจะกล่าว
มีเสียงอึกทึกดังเข้ามาจากเรือนรับรองแขกที่อยู่ข้างๆ นางฟังจากความเคลื่อนไหวนั่นแล้ว ด้านข้างคงมีคนเข้ามาอยู่แล้ว
ไม่นานก็มีหมัวมัวยกขนมเจมาให้ กล่าวกับหมัวมัวที่มาดูแลนางอย่างยิ้มแย้มว่า “พวกข้าเป็นคนชังผิง ได้ยินว่าที่นี่ขอบุตรศักดิ์สิทธิ์มาก นายหญิงของพวกข้าจึงตั้งใจมาอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง ได้ยินท่านอาจารย์ในวัดบอกว่าคุณหนูของพวกท่านมาสวดมนต์ให้ผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ นายหญิงของพวกข้ากล่าวว่า หาได้ยากที่จะได้เจอคนที่มีจิตใจกตัญญูขนาดนี้ ได้เจอกันแล้วก็ถือเป็นวาสนา จึงให้ข้านำขนมที่ทำกันเองในบ้านมาให้เป็นพิเศษ ขอท่านกับคุณหนูของพวกท่านลองชิมดู”
ป้ารับใช้คนดังกล่าวฟังแล้วรู้สึกรังเกียจ
ป้ารับใช้บ้านนอกจากที่ใดกัน ไม่รู้ว่าถูกผู้ใดหลอกมา ถึงกับมาขอบุตรถึงที่นี่
นางกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ยิ้มแต่เปลือกนอกว่า “คนชนบทอย่างพวกเจ้าซื่อเกินไปแล้ว นี่พวกเจ้าไปฟังใครพูดมา เรื่องขอบุตรมิใช่ต้องไปขอที่วัดหงหลัวหรอกหรือ เหตุใดถึงมาขอที่นี่ รีบเปลี่ยนสถานที่เถอะ จะได้เสียเงินน้อยลงสักสองสามตำลึง”
กล่าวจบ ก็ปิดประตูเสียงดัง ปัง หมัวมัวผู้นั้นตกใจจนเกือบทำขนมหล่นลงพื้นไปแล้ว
จินซื่อได้ยินคำรายงานแล้วขบคิดว่าเปลี่ยนโฉมหน้ากันรวดเร็วขนาดนี้ เกรงว่าสิ่งที่สมควรรู้คนข้างกายของคุณหนูห้าเจี่ยคงรู้หมดแล้ว นางรู้สึกไม่สบายใจ จึงไปหาด้วยตัวเอง กล่าวแนะนำสถานะของตัวเองให้หมัวมัวที่มาเปิดประตูทราบ ยังกล่าวด้วยว่า “น้องสามีของข้าผู้นั้นก็เป็นคนเลอะเลือนผู้หนึ่ง มาอยู่จิงเฉิงนานขนาดนี้แล้วแต่ก็ไม่รู้อะไรสักอย่าง เนื่องจากคุณหนูของพวกเจ้าคุ้นเคยกับจิงเฉิงเป็นอย่างดี บังเอิญมาเจอกันพอดีเช่นนี้ ข้าต้องเชิญคุณหนูของพวกเจ้ามาช่วยวางแผนหาทางออกให้ข้าสักหน่อยถึงจะถูก”
หมัวมัวผู้นั้นไม่กล้าขวางจินซื่อ ได้แต่มองนางเดินเข้าประตูมาโดยที่ทำอะไรไม่ได้
คุณหนูห้าเจี่ยฟังอยู่ในห้อง น้ำตาเกือบจะรินไหลลงมาแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะระงับความปวดแปลบในหัวใจเอาไว้ได้และออกไปพบจินซื่อ
จินซื่อกับคุณหนูห้าเจี่ยคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนเป็นสหายเก่าตั้งแต่เจอกันครั้งแรก สนทนากันอย่างเบิกบานมีความสุข กลางคืนยังเชิญคุณหนูห้าเจี่ยไปช่วยนางคัดพระธรรมอีกด้วย
เป็นเช่นนี้อยู่สามถึงสี่วัน คนตระกูลเจี่ยไม่มีโอกาสลงมือเสียที ด้านจ่างกงจู่ก็ส่งคนมาหาอีก บอกว่ามีเรื่องต้องการถามคุณหนูห้าเจี่ย จวนเซียงหยางโหวไม่มีทางเลือก จำต้องส่งคุณหนูห้าเจี่ยไปที่จวนจ่างกงจู่ก่อน
ส่วนจ่างกงจู่ เป็นอย่างหวังซีคาดเอาไว้จริงๆ
ปีก่อนนางประมาทจนทำให้เกิดเรื่องขึ้น เฉินลั่วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น นางเองก็แสร้งเป็นหูหนวกตาบอด ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไป หากเป็นเวลาปกติ ต่อให้เกิดเรื่องของคุณหนูห้าเจี่ยก็ไม่เป็นอะไร ไม่เกี่ยวอันใดกับนาง แต่ตอนนี้นางไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เฉินลั่วกำลังจะแต่งงาน นางเองก็กำลังจะเป็นแม่สามีแล้ว จึงไม่อาจปล่อยให้มีข่าวลือไม่ดีอะไรตกมาถึงศีรษะของนางได้
ตัวนางอย่างไรก็ได้ แต่เฉินลั่วกับหวังซียังต้องใช้ชีวิตในสังคม หลานชายเหลนชายของนางก็ยังต้องใช้ชีวิตในสังคมอยู่
หลังจากเฉินลั่วไปบอกนางแล้ว นางก็รู้ทันทีว่าควรทำอย่างไร
จ่างกงจู่ไม่เพียงรับคุณหนูห้าเจี่ยมาที่จวนจ่างกงจู่เท่านั้น ยังเรียกโหวฮูหยินจวนเซียงหยางโหวมาตำหนิอีกด้วย “ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าคิดอย่างไร เนื่องจากข้าเป็นแม่สื่อให้ พวกเจ้าก็ต้องให้คนแต่งออกไปอย่างเรียบร้อย พวกเจ้าไม่ต้องมาพูดกับข้าว่าไม่เกี่ยวอันใดกับพวกเจ้า ขอเพียงมีคลื่นอะไรเกิดขึ้นก่อนงานแต่งของนาง ข้าจะไปถามหาความรับผิดชอบจากพวกเจ้า…
…หากพวกเจ้าคิดว่าข้าพูดไม่จริง ข้าจะไปเชิญป๋อฮูหยินของจวนชิ่งอวิ๋นป๋อมาตกลงกันเสียเดี๋ยวนี้ให้เสร็จสรรพ…
…เรื่องอื่นข้าไม่กล้ารับประกัน แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นที่บ้านของพวกเจ้า ข้ารับประกันได้ว่าที่จวนชิ่งอวิ๋นป๋อก็จะเกิดเรื่องขึ้นเช่นกัน”
บัดนี้คนของจวนเซียงหยางโหวที่แต่งออกไปอย่างมีหน้ามีตาที่สุดก็คือกูไหน่ไนใหญ่ที่แต่งไปเป็นชิ่งอวิ๋นป๋อซื่อจื่อฮูหยิน และคนที่แต่งภรรยามาได้ดีที่สุดก็คือเจี่ยเฝิงแล้ว
ถ้าหากจ่างกงจู่เป็นเหตุทำให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นกับกูไหน่ไนใหญ่ที่แต่งเข้าจวนชิ่งอวิ๋นป๋อ จวนเซียงหยางโหวคงเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวง
เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่ารีบเปลี่ยนแผนการทันที ถึงขั้นกล่าวกับโหวฮูหยินว่า “แต่งก็แต่ง! นางสร้างเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้ เกรงว่าตระกูลซ่งเองก็จำต้องแต่งนางไปอย่างเสียไม่ได้เช่นกัน ต่อให้นางแต่งไปแล้ว จะมีชีวิตดีๆ อะไรได้ ดีเหมือนกันจะได้ให้พวกเด็กๆ ในบ้านดูเป็นแบบอย่าง ไม่เชื่อฟังคำของผู้ใหญ่ ไปหาคู่ครองอย่างลวกๆ มาคนหนึ่ง ต่อให้มีคุณสมบัติได้ร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่ ก็ไม่เสมอไปว่าจะเป็นคนดีอะไร”
เดิมพวกนางก็แค่ต้องการใช้คุณหนูห้าเจี่ยเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ในเมื่อเป้าหมายบรรลุผลก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
เซียงหยางโหวฮูหยินกล่าวอ้อมๆ ว่า “ด้านตระกูลซ่ง ข้าจะหาวิธีส่งข่าวไปบอกเองเจ้าค่ะ”
ต่อให้คุณหนูห้าเจี่ยได้แต่งเข้าไป ก็ไม่อาจปล่อยให้นางได้อยู่อย่างสงบ
เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าน้อยๆ กล่าวว่า “มีเพียงเจ้าที่เข้าใจข้า คิดเห็นไปในทิศทางเดียวกับข้าได้”
ไม่กี่วันต่อมา คุณหนูห้าเจี่ยก็กลับไปเตรียมตัวออกเรือนที่จวนเซียงหยางโหว
คุณหนูห้าเจี่ยซาบซึ้งใจคนที่ช่วยเหลือนางเป็นล้นพ้น แต่คิดว่าตนยังอยู่ในถ้ำสุนัขจิ้งจอก หากติดต่อไปเวลานี้มีแต่จะเป็นการทำร้ายผู้อื่น จึงเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน ตั้งหน้าตั้งตาเตรียมถุงเท้ารองเท้าสำหรับวันทำความรู้จักญาติ ไม่นานก็ถึงวันออกเรือนของนาง
เบื้องหน้าจวนเซียงหยางโหวไม่อาจปฏิบัติต่อคุณหนูห้าเจี่ยอย่างอยุติธรรม ยังคงเตรียมสินเจ้าสาวให้นางสามสิบหกคนหาม ล้วนแล้วแต่ใส่ของจนเต็ม สอดมือเข้าไปไม่ได้ทั้งสิ้น
บ้านเดิมของตระกูลซ่งอยู่ชานเมือง เป็นบ้านหลังใหญ่มีพื้นที่สามสิบกว่าหมู่ ขนาดห้าแถวห้าทางเข้า กว้างขวางเป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงผู้ดีตามชนบททั่วไป ในงานเลี้ยงมีไก่เป็ดปลาและเนื้อพร้อมสรรพ บรรจุไว้ในชามใบใหญ่ มีชัยก็ตรงมีขนาดใหญ่เท่านั้น
ทว่าก็เป็นงานเลี้ยงชั้นดีของคนโดยรอบแล้ว
รอจนกระทั่งกลับไปเยี่ยมบ้านในวันที่สามเสร็จแล้ว คุณหนูห้าเจี่ยก็ตามซ่งโหย่วมาจิงเฉิง พักอยู่ในบ้านหลังเล็กขนาดสามห้องที่เช่าเอาไว้
หลังจากที่นางเก็บกวาดที่อยู่อาศัยเสร็จแล้ว สิ่งแรกที่นางทำก็คือไปเยี่ยมหวังซี
หวังซีมองคุณหนูห้าเจี่ยที่สวมชุดกระโปรงคาดหน้าอกผ้าป่านและเครื่องประดับเงิน ทว่าใบหน้าแดงเรื่อเปล่งปลั่งอมชมพูนั้นแล้ว ชั่วขณะนั้นหวังซีคิดว่าตัวเองจำคนผิดเสียอีก หันไปมองด้านหลังของคุณหนูห้าเจี่ยอีกครั้ง
คุณหนูห้าเจี่ยป้องปากหัวเราะ กล่าวทักทายนางกับจินซื่อก่อน
หวังซีถึงได้แน่ใจว่าคนตรงหน้าคือคุณหนูห้าเจี่ย
ทั้งสามคนนั่งลงมาคุยกัน
คุณหนูห้าเจี่ยรู้สึกว่าพวกนางพี่สะใภ้น้องสามีทั้งสองคนล้วนเป็นคนกันเอง จึงกล่าวตามตรงอย่างไม่ปิดบังว่า “คำพูดไม่เพียงพอให้ขอบคุณบุญคุณอันใหญ่หลวง สิ่งที่พวกเจ้าได้ช่วยเหลือข้าเอาไว้ ต่อให้ข้าเอ่ยมามากมายเพียงใดก็สาธยายได้ไม่ถึงหนึ่งในหมื่น หากพวกเจ้าไม่รังเกียจ ขอให้เห็นข้าเป็นดั่งน้องสาวผู้หนึ่ง ให้ทั้งสองบ้านได้ไปมาหาสู่กัน วันทั่วไปก็ทำรองเท้าถุงเท้ามาให้พี่สะใภ้เป็นการตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ”
หวังซีรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องสนิทสนมลึกซึ้งขนาดนั้น ทว่าจินซื่อกลับชอบคุณหนูห้าเจี่ยมาก กล่าวว่า “นี่ก็ถือเป็นวาสนาของพวกเรา เจ้ามีเวลาว่างแล้วก็มานั่งเล่นที่บ้านได้ โดยมากข้าอยู่บ้านตลอด หากเจ้าอยากมา ย่อมได้พบข้า”
………………………………………………………………