ขณะที่เหลิ่งรั่วปิงกำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็มีมือใหญ่ที่เรียวยาว คว้าจับแก้วของเธอไปอย่างเร็วไว จากนั้นก็มีเสียงเย็นชาของหนานกงเยี่ยดังขึ้น “มู่เฉิงซี แกกำลังจะทำอะไร”
หลังจากเสียงข่มขู่ที่ทรงพลังของหนานกงดังขึ้น ทำให้มู่เฉิงซีค่อยๆ พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย “ไม่มีอะไร ก็แค่อยากจะทดสอบการป้องกันตัวของคุณเหลิ่งเท่านั้น”
มู่เฉิงซีเป็นผู้ชายที่เคยผ่านการต่อสู้ที่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อมาหลายครั้ง เขาก็เลยมีเซ้นส์และสัมผัสไวกับพวกนักฆ่าสังหาร เมื่อเขาเห็นลูกประคำหยกของเหลิ่งรั่วปิง เขาก็พอจะดูออกบ้างแล้ว แต่เหลิ่งรั่วปิงกลับเก็บซ่อนได้เป็นอย่างดี มันเลยทำให้เขาอยากจะลอง แต่เขานึกไม่ถึงว่าจะทำให้หนานกงเยี่ยโมโห เขาเดาได้ไม่ผิดจริงๆ หนานกงเยี่ยให้ความสำคัญกับผู้หญิงคนนี้มากเป็นพิเศษ เพราะว่ามันพิเศษ จึงทำให้ยิ่งเป็นอันตราย
“อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่น!” หนานกงเยี่ยไม่ได้ขึ้นเสียงสูง ทว่ากลับเป็นเสียงที่ทรงพลัง เหมือนลูกธนูที่ทะลุผ่านกระดูกอ่อนบริเวณใบหูของมู่เฉิงซี
หลังจากที่พูดจบ แก้วที่อยู่ในมือของหนานกงเยี่ยเหมือนลูกธนูที่เพ่งยิงออกไป และเป้าหมายนั้นก็คือมู่เฉิงซี มู่เฉิงซีนึกไม่ถึงว่าหนานกงเยี่ยจะลงไม้ลงมือของเขา ดังนั้นเขายังไม่ทันได้ป้องกันตัว รอจนกว่าเขาได้สติกลับมา แก้วใบนั้นก็ถูกเขวี้ยงมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาจึงรีบหันหลบในทันที แก้วลอยเฉียดผ่านปลายจมูกของเขา จากนั้นก็ไปกระแทกกับผนัง ทำให้มีเสียงวัตถุแตกดังขึ้นอย่างชัดเจน
“หนานกง เพื่อผู้หญิงคนเดียว แกยอมแตกคอกันกับฉันเลยหรือไง?” ตัวของมู่เฉิงซีที่แย่ความเลือดเย็นก็ยืดเหยียดตรง นัยน์ตาที่ลุกโชนเป็นไฟกำลังจับจ้องไปที่หน้าของหนานกงเยี่ย
“ก็แค่อยากจะเตือนแก แกก็คงจะรู้ดี ฉันไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่งเรื่องของฉันแต่ไหนแต่ไรแล้ว” นี่แหละคือหนานกงเยี่ย เขาต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในทุกเรื่อง ไม่มีใครสามารถเข้ามาข้องเกี่ยวได้ แม้กระทั่งเพื่อนสนิทก็ไม่ได้
มู่เฉิงซีพยักหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็เอนตัวลงไปพิงบนโซฟาต่อ เขาไม่พูดไม่จาอีก
เหลิ่งรั่วปิงนั่งเงียบ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอไม่ได้แสดงอารมณ์ตามที่ทุกคนคาดคิดเอาไว้ ไม่มีทั้งอาการตกใจ อารมณ์เสียหรือว่าเสแสร้ง อารมณ์ทั้งหมดนี้ไม่ได้แสดงออกผ่านสีหน้าของเธอเลยแม้แต่อย่างเดียว
ผู้หญิงที่ไม่แสดงท่าทางที่ตกใจ ทำให้อวี้ไป่หันรู้สึกนับถือจริงๆ เขาเคยผ่านผู้หญิงมาเป็นพันๆหมื่นๆคน ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่ดูสง่าผ่าเผย และมีนิสัยแบบนี้มาก่อน
เพราะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้ ทำให้บรรยากาศในห้องมาคุเล็กน้อย
“ฉันขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะคะ” เหลิ่งรั่วปิงกดเสียงต่ำแล้วหันไปบอกกับหนานกงเยี่ย
“อืม” หนานกงเยี่ยพยักหน้า สีหน้ายังคงเย็นยะเยือกเหมือนน้ำแข็ง
พอเหลิ่งรั่วปิงเดินออกไป มู่เฉิงซียังคงดึงดันที่จะเอ่ยพูด “หนานกง ผู้หญิงคนนี้มีพิรุธมากเกินไปแล้ว เก็บไว้ไม่ได้!”
ถึงแม้เมื่อกี้นี้พวกเขาจะมีเรื่องกัน จนทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่พอใจกัน แต่เพื่อนสนิทก็ไม่ควรที่ถือสาเรื่องพวกนี้ มู่เฉิงซียังคงกังวลใจแทนหนานกงเยี่ย
“เรื่องของฉัน ฉันมีลิมิตของตัวเอง เรื่องเมื่อกี้ ฉันหวังว่าคราวหน้าจะไม่เกิดขึ้นอีก” หนานกงเยี่ยเข้าใจถึงความหวังดีของมู่เฉิงซี แต่เรื่องมันก็คนละเรื่องกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องของเขา เขาจะไม่ยอมให้ใครมาวุ่นวายเด็ดขาด
จริงๆ แล้วเขาเองก็รู้ว่าเหลิ่งรั่วปิงมีพิรุธ ถ้าเก็บเธอไว้ใกล้ตัวก็คงต้องเกิดเรื่องอันตรายที่ไม่คาดคิดแน่นอน แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาสัมผัสได้ว่า ความมีพิรุธทั้งหมดที่อยู่ในตัวของเหลิ่งรั่วปิงนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องที่ทำร้ายเขา เขาก็ไม่ได้รู้สึกหรือเห็นว่าเธอเป็นศัตรู ดังนั้น เขาจะไม่ยอมตัดสินความผิดของเธอ ด้วยการลงโทษเธอถึงตาย
“อืม งั้นก็ตัวใครตัวมัน” มู่เฉิงซีถอนหายใจอย่างอดกลั้นไว้ไม่อยู่ จากนั้นก็เอนตัวพิงลงบนโซฟาต่อ
หนานกงเยี่ยก้มหน้าด้วยความเย็นชา และไม่ได้เอ่ยพูดอะไรใดๆอีก ความเลือดเย็นและความโหดเหี้ยมนั้นกำลังปกคลุมตัวเขาอยู่ ทำให้ผู้คนไม่สามารถเดาออกว่าเขาคิดอะไรอยู่
เหลิ่งรั่วปิงเดินเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นก็ส่องกระจกแล้วจัดทรงผมของตัวเองไปสักพัก แล้วถอนหายใจลากยาว
เมื่อกี้เธอเสี่ยงมากจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหนานกงเยี่ยยื่นมือมาขัดขวางไว้ทัน ความสามารถในต่อสู้ของเธอต้องถูกเปิดเผยแน่นอน เธอไม่สามารถคาดเดาได้ว่าหลังจากที่หนานกงเยี่ยรู้ความจริงจะมีปฏิกิริยายังไง เธอเองก็เคยได้ยินมานานแล้ว เขาเป็นคนโหดเหี้ยมอัมหิต ถ้าหากเขาคิดว่าเธอเป็นอันตรายต่อเขา มีความเป็นไปได้ที่เขาจะกำจัดเธอ ถ้าเป็นแบบนั้นแผนการแก้แค้นของเธอจะดำเนินต่อไปได้ยังไง?
Related