“ลุงเวิน ฉันเป็นคนสร้างทุกอย่างขึ้นมา” เหลิ่งรั่วปิงร้องไห้ไม่หยุด น้ำตาของเหลิ่งรั่วปิงไหลรินลงมา ภายในใจของเธอรู้สึกผิดมากๆ การที่เวินจี๋ไห่ต้องสุขภาพแย่แบบนี้ เป็นเพราะตอนนั้นเขาช่วยชีวิตเธอไว้ เสาในกองไฟล้มลงมาทับแผ่นหลังของเขา ทำให้เผาโดนอวัยวะภายในของเขา
“อย่าพูดแบบนี้สิ ตอนนั้นผมเพิ่งจะมาทำงานในเมืองหลง ตอนที่ผมยังหนุ่มชอบทำตัวซ่าส์เลยไปผิดใจกับมาเฟียของเมือง จนโดนกระทืบแทบจะปางตาย พ่อของคุณหนูเป็นคนช่วยผมไว้ แล้วยังให้ผมเป็นพ่อบ้านของบ้านตระกูลเจียง คุณท่านมีพระคุณกับผมมากๆ ผมสมควรที่จะช่วยคุณหนูเอาไว้”
“ลุงเวิน เวินอี๋ พวกลุงอย่าเรียกหนูว่าคุณหนูเลยค่ะ พวกลุงเป็นญาติที่หลงเหลืออยู่บนโลกนี้ของหนู ถ้าลุงเวินกับเวินอี๋ยังเรียกแบบนี้ มันจะทำให้เราแบ่งแยกฐานะกันมากเกินไป” เหลิ่งรั่วปิงเช็ดน้ำตา “ตอนนี้หนูชื่อว่าเหลิ่งรั่วปิง หนูเปลี่ยนชื่อเพราะไม่อยากให้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นอีก ต่อหน้าคนอื่นพวกลุงก็เรียกหนูว่าคุณเหลิ่งก็พอ ถ้าอยู่ด้วยกันเป็นการส่วนตัวก็เรียหนูว่ารั่วปิงนะคะ”
“นี่…” เวินจี๋ไห่หยุดชะงักไปสักพัก
“โธ่ พ่อ พอเถอะ เลิกยึดติดกับความคิดเน่าๆ พวกนั้นของพ่อเถอะ” เวินอี๋ยิ้มแล้วพูดขึ้น “พี่รั่วปิง พี่ก็เป็นญาติเพียงคนเดียวของพวกเราเหมือนกันค่ะ”
“อืม” เหลิ่งรั่วปิงยิ้มอย่างมีความสุข สิบปีมานี้ นี่คงเป็นรอยยิ้มแรกและรอยยิ้มเดียวที่เธอยิ้มออกมาอย่างจริงใจ ตอนเด็กๆ เธอกับเวินอี๋เล่นด้วยกันทุกวัน พวกเธอเหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆ ที่คลานตามกันมา พอได้ยินเวินอี๋เรียกเธอว่าพี่ เหลิ่งรั่วปิงก็รู้สึกอบอุ่นใจมากๆ
“ดี ไหนๆ พวกหนูก็มีความสุขกันมากขนาดนี้ งั้นลุงก็จะไม่ดื้อรั้นอีก ฮ่าๆ” เวินจี๋ไห่คลายยิ้ม “รั่วปิง เล่าให้ลุงฟังหน่อยสิ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้หนูใช้ชีวิตยังไง”
เหลิ่งรั่วปิงพูดถึงเรื่องที่เหลิ่งเย่ว์เสียชีวิต จากนั้นเธอก็ต้องทำงานหาเรื่องตัวเองจนเรียนจบแบบคร่าวๆ แต่เธอไม่ได้พูดเรื่องวิหารซีหลิง เพราะเธอรู้สึกว่าโลกของเวินจี๋ไห่และเวินอี๋เป็นโลกที่สดใสเกินไป เธอไม่อยากให้พวกเขาต้องคอยกังวลใจ
ได้ยินเหลิ่งรั่วปิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น เวินจี๋ไห่ถอนหายใจด้วยความเสียใจ “เฮ้อ สวรรค์ทำไมถึงต้องทำแบบนี้กับเด็กผู้น่าสงสารด้วย”
“ลุงเวิน เรื่องมันก็ผ่านมาล่ะ ตอนนี้ชีวิตของหนูมีความสุขมากๆ ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงได้มองข้ามความทุกข์และเรื่องเศร้าๆ ที่เคยเกิดขึ้นแบบนั้นไปแล้ว “ครั้งนี้ที่หนูกลับเมืองหลง หนึ่งคือเพื่อที่จะมาตามหาพวกลุง สองคือกลับมาแก้แค้น”
“แก้แค้น?” เวินอี๋รู้สึกแปลกใจมากๆ “พี่รั่วปิง ตอนนี้ลั่วเฮิ่งมีอิทธิพลและมีอำนาจมากๆ ไปไหนมาไหนก็ต้องมีบอร์ดี้การ์ดคอยติดตาม การที่พี่จะแก้แค้นคงไม่ใช่เรื่องง่าย”
“ลั่วเฮิ่ง ไอ้สารเลวนี้ ลุงได้อยากให้มันตายๆ ไปจนใจจะขาด ถ้าไม่ใช่เพราะว่าร่างกายของลุงไม่ได้เรื่อง ลุงก็คงจะบุกเข้าไปในบ้านของมันแล้วใช้มีดฆ่าไอ้สารเลวคนนี้ให้ตาย” เวินจี๋ไห่ทำท่าทางเหี้ยมโหด
เหลิ่งรั่วปิงก็รู้สึกเคียดแค้นมากๆ ตรงหน้าเธอมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานของพ่อผุดขึ้นมาอีกครั้ง แล้วยังมีภาพที่ลั่วเฮิ่งคอยรังแกเธอ และใบหน้าอันโหดเหี้ยมและร้ายกาจของลั่วชูเยียนและเจียนชิว
“ฆ่าเขาให้ตายง่ายๆ ด้วยมีดก็คงจะง่ายเกินไป หนูจะให้เขาต้องสูญเสียทุกอย่าง และจะให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานก่อนที่เขาจะตาย” จู่ๆเหลิ่งรั่วปิงก็ทำสีหน้านิ่งเฉย ทว่ากลับเป็นความนิ่งเฉยที่มีคลื่นใหญ่จากความเคียดแค้นซัดเข้ามาในภายหลัง
“พี่รั่วปิง พี่วางแผนเอาไว้แล้วใช่ไหม” เวินอี๋ถามขึ้น
“อืม ตอนนี้พี่ได้เป็นนักสถาปักของบริษัทหนานกงแล้ว พี่จะพยายามเอาสิทธิ์ในการออกแบบตึกอาคารแลนด์มาร์คของเมืองหลงมาอยู่ในมือทั้งหมดให้ได้ ลั่วเฮิ่งเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างของบริษัทหนานกง ยังไงการออกแบบตึกแลนด์มาร์คก็ต้องมอบหมายให้เขาเป็นคนสร้างอยู่แล้ว พี่จะฉวยโอกาสนี้เตะเขาที่อยู่บนฟ้าให้ตนลงไปในขุมนรก”
จู่ๆ เวินอี๋ก็จับมือเหลิ่งรั่วปิงไว้ “พี่รั่วปิง เรื่องแก้แค้นไม่ได้เป็นเรื่องของพี่คนเดียว พี่จะทำอะไรหนูไม่รู้ แต่หนูจะคอยเป็นกำลังใจและสนับสนุนพี่ ต่อให้ต้องตายหนูก็ไม่กลัวค่ะ”
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มแล้วจับมือของเวินอี๋ไว้ เธอรู้สึกซึ้งใจมาก เพราะว่ารู้สึกตื้นตันใจ ดังนั้นเธอจะไม่ให้เวินอี๋มาร่วมแผนการนี้กับเธอเด็ดขาด และยิ่งไม่อยากให้พวกเขาสองพ่อลูกต้องได้รับบาดเจ็บอะไรอีก
Related