ฉินจิ่วเกอคิดแล้วคิดอีก หากบอกออกไปว่ามาในนามของพรรคหลิงเซียว คาดว่าพวกอาวุโสใหญ่ย่อมต้องไม่มีวันเห็นด้วยแน่
อีกอย่าง สี่ประมุขขุนเขาใช่ว่าจะเป็นมิตรกับพวกมนุษย์เสมอไป
ดังนั้นเลยต้องตอบออกไปว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นขุมกำลังที่ข้าจัดตั้งขึ้นเอง ส่วนที่เจ้าถามว่าข้าใช่เป็นศิษย์ของตำหนักเหนือสุดก่อนสวรรค์หรือไม่ ก็ลองเดาดูกันเอง ลองนึกถึงวันนั้น ตอนที่ข้าออกจากนาวาเรืองปัญญา กับอาวุโสพรรคข้าพวกนั้น”
เรื่องตอแหล ฉินจิ่วเกอย่อมสามารถ ถึงยังไงตนเองก็ไม่เคยบอกออกไปว่ามาจากแดนศักดิ์สิทธิ์เสียหน่อย แต่ยิ่งใช้น้ำเสียงทำนองนี้พูดคุยกับพวกมัน เขาพิรุณเซียนและตระกูลที่เหลือก็จะยิ่งกริ่งเกรงขึ้นเท่านั้น
ฆ่าแหวกชำระกายาทั้งที่ยังอยู่ชั้นเก้าดวงธาตุสูงสุด
พรสวรรค์พลังยุทธ์ระดับนี้ นอกจากแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามนุษย์แล้ว ก็แทบจะไม่มีขุมอำนาจใดที่มีรากฐานกำลังขนาดนั้นอยู่อีก
“งั้นพวกเจ้าเป็นตัวแทนของกองกำลังไหน? ”
ซุนไป๋ลอบหัวร่ออยู่ข้างใน เจ้าเด็กนี่ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเลยจริงๆ การจัดตั้งกองกำลังของตัวเอง กับคนเพียงแค่หยิบมือไหนเลยจะทำได้ นั่นเขาเรียกว่ามีแต่เปลือก แต่ภายในกลับไร้แก่นสารโดยสิ้นเชิง
“บรรพตสละฟ้า” ฉินจิ่วเกอพ่นออกมาสามคำอย่างขึงขัง มั่นใจ และไร้ซึ่งการเสแสร้ง
“บรรพตสละฟ้า? ” จวงปี้เอ่ยทวนเสียงเบา ราวกับคุ้นหูอยู่บ้าง แต่ก็นึกไม่ออกว่าได้ยินมาจากไหน
ซุนไป๋เองก็ไม่ได้ไปใส่ใจอะไรมาก ถึงอย่างไรกำลังรบสูงสุดของอีกฝ่ายก็อยู่เพียงแค่กลั่นดวงธาตุขั้นแปด เทียบกันแล้วยังห่างชั้นกับเขาพิรุณเซียนเยอะ ในเมื่อเป็นขุมกำลังเอกเทศที่ไม่ได้สังกัดกับเผ่ามนุษย์ที่หวังจะเข้าร่วม งั้นก็จัดการได้ไม่ยาก
“แต่เดิม หากมีกองกำลังที่ไม่ได้สังกัดเผ่ามนุษย์ต้องการที่จะเข้าร่วมเมืองเทียนเอิน ค่าส่วยในแต่ละปีก็คือสิบต่อสอง”
แม้สี่ขุมอำนาจจะต่างฝ่ายต่างอยู่ แต่ถ้ามีคนฉีกกฎ หมายจะปะปนเข้ามา สี่ขุมอำนาจย่อมผนึกกำลังกันขับไล่ออกไป คิดเข้ามามีส่วนแบ่งส่วนได้ในที่นี้ จำต้องมีการรับรองจากหนึ่งในสี่ขุมอำนาจเสียก่อน
“อืม นี่ก็คือกฎของที่นี่” ประมุขจวงกลัวว่าฉินจิ่วเกอจะเข้าใจผิด
ฉินจิ่วเกอถูนิ้วไปมา จากนั้นหยิบถ้วยชาที่ทำขึ้นอย่างประณีตขึ้นมาถือ
เมินเฉยต่อสีหน้าสดชื่นกระปรี้กระเปร่าของซุนไป๋ สายตาร้อนแรงของมันเพียงจดจ่ออยู่ที่ถ้วยชาอันสวยงาม มองจนแทบจะทะลุ
เห็นฉินจิ่วเกอเงียบไปเช่นนี้ ซุนไป๋ก็เกิดกลัวขึ้นมาว่าเจ้าคนเสียสตินี่อาจจะเรียกลูกน้องให้มารุมกระทืบตนอีกสักรอบ นี่ก็ไม่รู้ว่าสี่กลั่นดวงธาตุพวกนั้นคิดอะไรอยู่ ถึงได้ยอมรับไอ้หนูพิสุทธิ์ไพศาลคนหนึ่งเป็นนายแบบนี้
“ที่จริงราคานี้สามารถเจรจาได้อยู่” ประมุขจวงชิงเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา น้ำมิตรนำหน้าการค้าตามหลัง
แต่ซุนไป๋ไม่ได้คิดเช่นนั้น
ต่อให้มันเอาผลอู๋เลี่ยงกลับออกมาได้จริง แต่ป่านนี้ก็คงตกไปอยู่ในมือของอาวุโสพรรคหมดแล้ว
นี่ก็ไม่รู้ว่าเฒ่าเรืองปัญญาไปอยู่ไหนแล้ว เหตุใดยังมั่นใจอยู่อีกว่าเจ้าเด็กนี่จะต้องเป็นอัจฉริยะ?
อัจฉริยะบนโลก ก็เหมือนปลาที่ว่ายข้ามกระแสน้ำ แต่กุญแจสำคัญที่ทำให้อัจฉริยะเหล่านี้เติบใหญ่ ก็คือบุญวาสนา ต่อให้เจ้าเด็กนี่จะร้ายกาจปราดเปรื่องสักเพียงไหน แต่ตอนนี้มันก็เป็นได้แค่พิสุทธิ์ไพศาล ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว
ในเวลาเพียงสิบลมหายใจ ซุนไป๋ก็ตรึกตรองได้หนึ่งตลบ และตัดสินความตื้นลึกหนาบางของฉินจิ่วเกอแล้วเรียบร้อย
สรุปง่ายๆ ได้สี่คำ: ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง
“เห็นแก่ที่ศิษย์น้องจวงช่วยเจ้าพูด จากการประเมินศักยภาพของพวกเจ้าจากทางเรา รวมถึงพลังที่พวกเจ้ามี อัตราส่วนแบ่งในแต่ละปี ข้าให้พวกเจ้าหนึ่งร้อยต่อสิบแปดก็แล้วกัน”
ซุนไป๋พ่นลมที่เก็บไว้ในปอดออกมาเบาๆ จะยังไงกลั่นดวงธาตุเพียงไม่กี่คนก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำลายกฎที่ดำรงมาเป็นเวลาหมื่นปีของเมืองเทียนเอินได้หรอก
ภายในเขาพิรุณเซียน ไม่ใช่ว่าจะไม่มีแหวกชำระกายาอยู่
หัวใจของคนหนุ่มคนสาวเทียบกับฟ้าสวรรค์เบื้องบนยังสูงกว่า ที่จริงหากไม่นับพวกอาวุโสพรรคที่เก่งกาจทั้งหลายของมัน ไม่ว่าจะไปไหน มันก็มีแต่ต้องเจออุปสรรคเท่านั้น
ฉินจิ่วเกอนั่งกอดเข่า หมุนโยกข้อต่อไปมา แต่ก็ยังไม่พูดอะไร
ซุนไป๋เห็นฉินจิ่วเกอยังปิดปากเงียบ จึงมองไปทางจวงปี้ ส่งสัญญาณให้มันออกหน้า
“เช่นนี้แล้วกัน หากน้องฉินยังไม่พอใจ ตระกูลจวงยินดีให้พวกเจ้ายืมเงินห้าสิบล้านศิลาวิญญาณเพื่อใช้หมุนดำเนินกิจการไปก่อน” เทียบกับซุนไป๋ที่ตาไม่ถึง ความสำคัญของฉินจิ่วเกอในใจจวงปี้ย่อมมีอยู่ไม่น้อย
ซุนไป๋ลงมืออย่างไม่รอช้า หากตนสามารถทำให้เจ้าหมั่นโถวทองคำนี้ยอมทำการซื้อขายกำไรงามนี้ได้สำเร็จ ยามกลับไป ฐานะของมันย่อมต้องพุ่งติดจรวด แม้แต่เจ้าสำนักยังต้องสำรวมท่าทีอยู่สามส่วน
“ก็ได้ๆ ข้าจะยอมเปิดประตูหลังเพื่อเจ้าเป็นการเฉพาะ หากบรรพตสละฟ้ายินดีที่จะควบรวมกับเขาพิรุณเซียน เป็นขุมกำลังใต้สังกัดของเรา เราก็สามารถเกี่ยวดองกัน แถมเจ้ายังได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับตระกูลจวง เป็นอย่างไร? ”
นี่ต่างหากจึงจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของซุนไป๋ เปลี่ยนให้ฉินจิ่วเกอและพลังในกำมือของมันมาเป็นขุมกำลังที่ขึ้นตรงกับเขาพิรุณเซียน เช่นนี้แล้ว อำนาจเรียกลมเรียกฝนของตนในเขาพิรุณเซียนย่อมไม่ด้อยไปกว่าเจ้าสำนักแน่
สี่ประมุขขุนเขาจ้องมองมันด้วยแววตายิ้มๆ เจ้าหมอนี่ คงจะไม่ได้ถูกตีจนเสียสติไปแล้วหรอกนะ ถึงกับกล้ายกหัวข้ออ่อนไหวมาพูดต่อหน้าประมุขน้อย
นี่มันกำลังรนหาที่ตาย หรือกำลังรนหาที่ตายอยู่กันแน่?
แต่ซุนไป๋ไม่ได้คิดเช่นนั้น มันแค่รู้สึกว่าตัวเองมีโอกาสที่จะชนะ มองดูสีหน้าฉินจิ่วเกอ ก็รู้แล้วว่ายังพอเจรจาได้
ประมุขจวงรู้สึกว่าซุนไป๋ทำเกินไปหน่อย ตามความเข้าใจที่มันมีต่อฉินจิ่วเกอ คนผู้นี้เป็นคนรักอิสระ และไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะก้มหัวให้ใคร
อีกอย่าง น้องฉินเองก็ไม่ใช่คนดีมีเมตตาธรรมเสียด้วย
เพราะความโลภจึงขาดสติ เพราะความโลภจึงขาดสติแท้ๆ จวงปี้ลอบคิดอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“เจ้าคิดว่าไง? ” ซุนไปมองดูฉินจิ่วเกอ กวางน้อยผู้โง่เขลาที่กำลังจะตกหลุมดักสัตว์ของตน
ฉินจิ่วเกอแม้ใบหน้าจะนิ่งเฉย แต่ตากลับฉายแววโง่งมอยู่บ้าง
ไอ้แก่นี่วันนี้ใช่กินยาผิดขวด หรือไม่ได้กินเลยกันแน่?
พอนึกถึงคำพูดของซุนไป๋ขึ้นมา ฉินจิ่วเกอก็รู้สึกอยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง
ส่วนแบ่งหนึ่งร้อยต่อสิบแปด แถมให้เข้าเป็นกองกำลังใต้สังกัดของเขาพิรุณเซียน มันที่แท้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงทำเรื่องปัญญาอ่อนพรรค์นี้ออกมาได้?
ฉินจิ่วเกอใช้แววตาไม่เป็นมิตรไล่มองใบหน้าสุกรของซุนไป๋แล้วก็ต้องสงสัยว่าสมองของคนผู้นี้ใช่พิการไปแล้วหรือไม่
“ข้าคิดว่าไม่เลว” คำตอบอันเหนือความคาดหมาย ไม่คาดฉินจิ่วเกอกลับผงกศีรษะ ยอมที่จะไปเป็นขี้ข้าของเขาพิรุณเซียน
จวงปี้เบิกตาแทบถลน นี่มันไม่ใช่เจ้าเลย! ไฉนเรื่องถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
แม้แต่สี่ประมุขเองก็ยังต้องโง่งม พวกมันยังนึกอยู่เลยว่าอีกเดี๋ยวประมุขน้อยจะต้องคว่ำจอกส่งสัญญาณ เล่นงานเจ้าหัวหมูนี่ให้ตาย นึกไม่ถึงว่าฉินจิ่วเกอจะยอมลงให้ง่ายๆ ไม่เพียงไม่แตกหักกับอีกฝ่าย ยังใช้แววตาซาบซึ้งมองไปทางซุนไป๋อีกต่างหาก
จบกัน ปีศาจสุดขอบโลกตัวนี้กำลังจะปอกลอกผู้คนแล้ว เจ้าคนแซ่ซุนนี้หนีไม่รอดแน่!
สัญญาณเตือนภัยในใจสี่ประมุขส่งเสียงดังลั่น พวกมันต่างใช้แววตาสมเพชเวทนามองไปที่ซุนไป๋ ช่วยมันท่องบทสวดพระธรรมคาถาให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี
สำหรับตระกูลซู เรื่องข้อตกลงซื้อขายระหว่างกลั่นดวงธาตุที่กำลังเกิดขึ้น พวกมันไม่มีปัญหาอะไรด้วย เพราะเรื่องนี้ได้เกี่ยวพันถึงรากฐานเมืองเทียนเอินไปแล้ว
ในหมู่คนทั้งหมด มีเพียงซุนไป๋ที่ยังยิ้มหน้าระรื่น ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลกไป
คนหนุ่มสาวหูตากว้างไกล เมืองเทียนเอินคือใจกลางมหาทวีป ไม่ใช่สถานที่ทุรกันดารอันห่างไกลความเจริญอะไรเทือกนั้น
ที่นี่คือศูนย์กลางของทวีปฉงหลิง การแข่งขันยังดุเดือดเทียบเท่าสามเผ่าพันธุ์หรือกระทั่งเหนือกว่า การเปลี่ยนเมืองเทียนเอิน ในมุมมองหนึ่ง ก็คือการเปลี่ยนโฉมหน้าทวีปฉงหลิงทั้งทวีป
“งั้นก็ตกลงตามนี้” ฉินจิ่วเกอมองดูซุนไป๋ผู้แสนจะปัญญาอ่อนด้วยนัยน์ตารื้นชื้น ตาแก่หลงตัวเอง คิดว่าเขาพิรุณเซียนเจ้าเลิศนักหรือไง
“จะมัวชักช้าอยู่ไม่ได้ ให้บรรตพตสละฟ้าเราประกาศออกไปทันทีว่าพวกเราจะควบรวมกับเขาพิรุณเซียน ข้าในฐานะประมุขน้อยบรรพตสละฟ้า จึงต้องเดินทางไปจัดการด้วยตัวเอง แต่เหนือข้า ยังมีบรรพชนสละฟ้านั่งแท่นอยู่ ต้องรายงานท่านให้มาด้วยตนเองเพื่อรับการแต่งตั้ง”
“มากเรื่องมากความเหลือเกินนะ” ซุนไป๋ดูแคลน ยังมีบรรพชนของประมุขน้อยอะไรอีก มันคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน เป็นแค่กลั่นดวงธาตุถึงกับกล้าเรียกขานตัวเองว่าบรรพชน
ช่วงสมัยต้นบรรพกาลคือเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน ส่วนยุคไท่หวงที่บรรพชนวิญญาณจุติลงสู่ทวีปฉงหลิง ก็คือเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน นับจากนั้นจนถึงปัจจุบัน กำลังรบสูงสุดของมหาทวีปก็หดตัวลงอย่างต่อเนื่อง
ในสายตาคนทั่วหล้า ปราณสุริยันคือยอดยุทธ์ พิสุทธิ์ไพศาลคือยอดฝีมือ กลั่นดวงธาตุคือมหายุทธ์ กฎสรรพสิ่งคือสัตว์ประหลาดเฒ่า สุญญตาคือบรรพชนเฒ่า
เพราะกำลังรบสูงสุดที่ลดหลั่นลงเรื่อยมา กลั่นดวงธาตุในปัจจุบันจึงมีอยู่ไม่มาก กับกฎสรรพสิ่งยิ่งแล้วใหญ่
ดังนั้น บรรดาผู้ถือครองพลังแห่งกฎเกณฑ์ จึงเป็นทรราชครองทิศ เป็นเสาทองคำค้ำฟ้า สามารถตั้งตัวเป็นบรรพชน เปิดค่ายสำนักเป็นของตัวเอง
หรือก็คือ ผู้ที่กล้าเรียกขานตัวเองเป็นบรรพชน อย่างน้อยต้องเป็นชนชั้นกฎสรรพสิ่งขึ้นไป สำหรับกลั่นดวงธาตุ ในสายตาของกฎสรรพสิ่งยังจะนับเป็นอะไรได้
สี่ประมุขส่ายหน้า หากก็ไม่ได้พูดอะไร แม้ตอนนี้บรรพตสละฟ้าจะไม่มีสัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่งอยู่แล้ว แต่สำหรับคนนอก เฒ่าเสียเยว่ยังมีชีวิตอยู่
เมื่อเจรจาทำข้อตกลงกับเจ้าหมั่นโถวทองคำลูกนี้ลุล่วงไปด้วยดี ซุนไป๋ก็อารมณ์ดียิ่ง รอบรรพตสละฟ้าผนึกรวมกับเขาพิรุณเซียนเมื่อไหร่ อำนาจในพรรคของมันจะต้องไต่ทะยานพรวดพราด กระทั่งส่งผลกระทบต่อเมืองเทียนเอินหรือทั่วทั้งอาณาเขตเทียนเอินเลยก็ได้
ประเสริฐ ประเสริฐจริงแท้ ราวกับว่าแม้แต่การทุบตีเมื่อครู่ยังไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง ต่อให้หัวเราะจนสาแก่ใจก็ยังไม่เจ็บ
ฉินจิ่วเกอจริงใจยิ่ง ในเมื่อเจ้ายืนกรานที่จะตาย มันก็ไม่คิดจะขวาง “เอางี้ก็แล้วกัน ก่อนอื่นข้าจะส่งตราประทับผู้นำของบรรพตสละฟ้าให้กับอาวุโสซุนไป๋ วานให้ท่านนำกลับไปที่เขาพิรุณเซียน เพื่อแสดงถึงความจริงใจจากพวกเรา”
“ส่วนบรรพชนเฒ่า หรือก็คือบุคคลที่อาวุโสที่สุดในพรรคเรา อีกสามวันให้หลังจะไปเยือนเขาพิรุณเซียนท่านด้วยตัวเอง ยังคงขอให้เจ้าสำนักและอาวุโสทุกลำดับขั้นมาต้อนรับด้วย”
“เห็นแก่ที่เจ้าเข้าใจอะไรง่าย เรื่องจิ๊บจ๊อยเมื่อครู่ ข้าจะถือซะว่าไม่เคยเกิดขึ้นแล้วกัน บรรพชนเฒ่าของพวกเจ้าท่านนั้น ใช่บรรลุเก้าดวงธาตุแล้วหรือไม่? ” ซุนไป๋เลิกคิ้วสีแดงของมันขึ้น เลือดบนหน้าถูกลมพัดแห้งไปนานแล้ว ยามขยับจึงแตกกะเทาะร่วงกราวลงมา
“หามิได้ๆ นั่นก็แค่ผู้ก่อตั้งในนามเท่านั้น หนึ่งพันปีมานี้ บรรพตสละฟ้าล้วนอยู่ในความดูแลของประมุขขุนเขา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมันเลย”
ฉินจิ่วเกอไม่ได้โกหก ผู้ที่ทุ่มเทหยาดเหงื่อและโลหิตให้กับเผ่าพิสดารอย่างแท้จริงก็คือแปดประมุขที่ตอนนี้เหลือเพียงสี่ประมุข พูดถึงตรงนี้ สี่ประมุขก็อดที่จะนัยน์ตาแดงก่ำขึ้นมาไม่ได้ ความเศร้าหมองอัดแน่นอยู่ในดวงตาคลอน้ำ
เผ่าพิสดารสูญเสียไปมากมายแล้วจริงๆ มากมายนัก
“ไม่แม้แต่กลั่นดวงธาตุ? ” ซุนไป๋พอได้ฟังก็ยิ่งลำพองใจ บรรพตสละฟ้าอะไรกัน ตั้งชื่อได้ไม่สมกันเลยแท้ๆ
ฉินจิ่วเกอส่ายหน้า “ไม่ใช่กลั่นดวงธาตุจริงๆ และก็ไม่ใช่แหวกชำระกายาด้วย ก็แค่ตาแก่ไม้ใกล้ฝั่งคนหนึ่ง ไม่มีดีอะไรให้เอ่ยถึง ข้าขอฝากตราประทับบรรพตสละฟ้านี้ไว้กับท่าน ตอนนี้ท่านก็กลับเขาพิรุณเซียนไปก่อนเถอะ แล้วอีกสามวันให้หลังพวกข้าค่อยตามไปรับตำแหน่งที่เมืองเทียนเอิน”
“อืม ถือว่าเจ้าเข้าใจกฎเป็นอย่างดี พอได้ติดตามพวกข้าเขาพิรุณเซียน ชีวิตของพวกเจ้าก็มีแต่จะรุ่งเรืองมั่งคั่ง อยากกินอะไรก็ได้กิน เรียกได้ว่าเสวยสุขจนต้องหลั่งน้ำตาด้วยความปลาบปลื้ม ไม่มีการสำนึกเสียใจทีหลังแน่”
ซุนไป๋ตอนนี้นั่งอยู่บนก้อนเมฆ สังขารลอยล่องฟ่องฟู ตาไม่ใช่ตา จมูกไม่ใช่จมูกอีกต่อไป
คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะราบรื่นได้ถึงขนาดนี้ ดึงเอาบรรพตสละฟ้ามาเข้าพวก แม้แต่ตราประทับของพวกมันก็ยังตกอยู่ในมือของตนเอง
ประมุขจวงรู้สึกใจพันกันยุ่ง เดิมยังนึกเตือนซุนไป๋ให้ระวัง ฉินจิ่วเกอหาใช่คนดีมีศีลธรรม นักรบเดนตายที่เล่นงานเฒ่าเรืองปัญญามาแล้ว ย่อมไม่ถือสาหากต้องกำจัดกลั่นดวงธาตุเพียงไม่กี่คน
อย่างไรก็ดี สายตาปานจะฆ่าคนของสี่ประมุขขุนเขาก็ทำให้จวงปี้ไม่กล้าส่งเสียงออกมา
มันรู้ดี หากตนกล้าเสนอหน้าออกมาทำตัวเป็นผู้มองขาดทุกสิ่งอย่างละก็ เจ้าสี่คนนี้ก็กล้าที่จะฆ่าตนอย่างแน่นอน
อย่างไรก็เป็นผู้อื่นตายมิใช่ตัวมันตายเสียหน่อย ประมุขจวงพลันเกิดการตรัสรู้ คนกลายร่างเป็นอากาศธาตุ กลืนหายไปกับฉากหลัง