The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 1122 – ผนึกประตู

ตอนที่ 1122 - ผนึกประตู

  นางรีบตามซือหยูไปแต่เขาก็คลาดสายตาไปแล้ว

  ในหมู่ผู้คนผู้เฒ่าที่ให้บรรยากาศแปลกจากคนอื่นหันไปมองหอเคลื่อนย้าย เขามองเห็นนางที่เพิ่งรีบออกมา

   นางต้องการจะจับตัวข้าให้ราชาเขตกลางรึ? 

  ซือหยูคิดโชคดีที่เขาใช้พลังเวลาเปลี่ยนรูปลักษณ์ทันการ มิเช่นนั้นเขาคงมิอาจเลี่ยงการต่อสู้กับอสูรเนรมิตรไปได้

  ซือหยูมองหาที่พักเพื่อรอคอยหยุนหยาซือเงียบๆ

  ถ้าหยุนหยาซือไม่เป็นอันตรายเขาควรจะพบพลังของซือหยูและตามมาได้ในเวลาหนึ่งวัน แต่ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นล่ะก็…

  ซือหยูส่ายหน้าเขาพลิกฝ่ามือเรียกหยดโลหิตสีทองทั้งสามหยดออกมา มันคือโลหิตเทพของเทพอสูรกระดูกโรย

  ซือหยูมองหยดโลหิตด้วยสีหน้ายินดีเขายกมือที่มีหยดโลหิตไปที่หน้าผาก

  หม้อเก้ามังกรที่อยู่ลึกในดวงวิญญาณดูดซับโลหิตเหล่านั้นลงสู่หม้อมันทำราวกับมีจิตสำนึกของตัวเอง

  ซือหยูขมวดคิ้วก่อนหน้านี้ โลหิตเทพมังกรหยดเดียวได้ทำให้หม้อเก้ามังกรผลิตโลหิตออกมาได้หนึ่งในสิบส่วนของหม้อ

  แล้วโลหิตสามหยดนี้จะได้เท่ากันหรือไม่?

  ซือหยูคิดถึงตอนที่เทพปีศาจเล่าเรื่องพลังของเทพมังกรซือหยูจึงคิดได้ว่าโลหิตเทพก็น่าจะมีพลังในระดับที่แตกต่างกันเช่นกัน

  เขาจับจ้องดูหม้อเก้ามังกรและรู้สึกพอใจที่หม้อทำตามสิ่งที่เคยเป็นมันสั่นครู่หนึ่งก่อนจะมีโลหิตเทพไหลออกมา

  เมื่อมันไหลไปถึงมังกรมรกตมันทำให้มังกรหนึ่งในสามส่วนก่อตัวขึ้นมา รวมจากครั้งที่แล้ว มังกรสองในสามส่วนได้เกิดขึ้นมาแล้ว

  หัวใจของมันเต้นด้วยคลื่นความอบอุ่นมังกรมรกตในมือซ้ายของเขากระจ่างใสขึ้นดั่งผลึกบริสุทธิ์

  พร้อมกันนั้นยังมีข้อความประหลาดผุดขึ้นมาในใจ

   หัวใจอมตะ… 

  ซือหยูรู้สึกสับสนเขาค่อย ๆ ตกใจมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเบิกตากว้าง

  หัวใจของซือหยูกลายเป็นสีเขียวหยกและมันเต้นไม่หยุด มันเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิต

  ถ้าหากเทียบกับพลังชีวิตของหยินมู่มันก็เทียบพลังของซือหยูไม่ได้เลย

  ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เขาใช้พลังจนหมด เขาก็ยังคงสร้างมันขึ้นได้ใหม่จนกว่าหัวใจจะแตกสลาย

  ด้วยหัวใจดวงนี้ไม่ว่าซือหยูใช้พลังย้อนเวลาเมื่อใด เขาจะไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว

   มังกรก่อตัวในเวลาไม่มากเลย!เป็นเพราะโลหิตเทพที่ทำให้ข้าเติบโตไปอีกขั้น! 

  ซือหยูพอใจ

  เขาค้นหาความเปลี่ยนแปลงในร่างกายต่อไปและพบพลังอีกสองชนิด

  เขาคุ้นเคยกับพลังแรกมันคือพลังมังกร ส่วนอีกพลังคือพลังที่ต่างออกไป

  พลังมังกรจะต้องมาจากโลหิตมังกรที่เข้าสู่สายโลหิตของเขา

  ส่วนพลักอื่นนั้นคือพลังของเทพอสูรมันมีพลังของเทพอสูรอยู่

  ในพลังสองชนิดนี้พลังมังกรนั้นเหนือกว่าพลังของเทพมังกรอย่างชัดเจน แต่แม้อย่างนั้น พลังอสูรก็เหนือกว่าพลังของมนุษย์อย่างไกลโข

  และครั้งนี้เมื่อโลหิตเทพไหลออกมาจากหม้อ พลังจำนวนมากก็ได้พุ่งเข้าสู่จุดกำเนิดพลังของเขา  หลังจากที่จุดกำเนิดพลังขยายจากโลหิตเทพมังกรคราวที่แล้วจุดกำเนิดพลังของซือหยูได้มีขนาดใหญ่มหึมา มันมีขนาดใหญ่กว่าภูติระดับเก้าถึงแปดสิบเท่า ตอนนี้ พลังที่เข้ามาหาเขาสามารถดูดซับได้โดยง่ายและไม่ระเบิดดังเดิม

   ข้าจะยอมสละทุกอย่างเพื่อให้ได้โลหิตเทพมาครองการได้พลังของหม้อเก้ามังกรถือเป็นวิถีที่ถูกต้อง 

  ซือหยูลูบคาง

  หลังจากพักไม่นานซือหยูเริ่มบ่มเพาะวิชาเก้ามังกรอสูรและคุกเทวะห้าธาตุ

  ก่อนที่จะเจอกับวิบัติเทพเขาต้องเรียนรู้วิธีการที่จะทะลวงพลัง ณ ตรงนั้น แต่บางครั้งจิตใจของเขาก็ไม่มั่นคงพอและมิอาจทำได้ มีอยู่หลายครั้งที่เขาเสียฤทธิ์ของน้ำผึ้งร้อยบุพผาอย่างเปล่าประโยชน์

  ซือหยูใจเย็นลงและใช้พลังเร่งเวลาเขาต้องบ่มเพาะทั้งสองวิชาให้สำเร็จภายในวันเดียว  พลังอสูรล้อมรอบกายซือหยูกิ่งก้านไม้เลื้อยเล็ก ๆ ก่อตัวขึ้นบนอากาศ

  โชคดีที่รูปร่างประหลาดหายไปอย่างรวดเร็วและไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย

  ผ่านไปนานในดวงตาของซือหยูเต็มไปด้วยพลังอันดำมืดของพลังอสูร มันเล็ดรอดออกมา เขาดูไม่ต่างจากเผ่าอสูรที่กำลังบ่มเพาะพลัง

  ซือหยูก้มดูหน้าอกของตัวเองด้วยความรู้สึกแปลก

   ก่อนหน้านี้จะมีเสียงมังกรคำรามตอนที่บ่มเพาะมังกรอสูร แต่ตอนนี้ แม้จะสำเร็จ ใยถึงมีแต่ความเงียบเล่า? 

  บนถนนอันวุ่นวายที่เป็นที่ตั้งของโรงเตี๊ยมผนึกป้องกันการรบกวนจากภายนอกมิได้มีขั้นสูงวนัก ซือหยูไม่อยากจะใช้พลังในสถานที่เช่นนี้

   ท่านอาจารย์ประทับใจวิชานี้มากข้าอยากรู้ว่ามันจะเปลี่ยนไปเช่นใดเมื่อบ่มเพาะเสร็จสิ้นเช่นนี้ 

  ซือหยูคิดอาจารย์บอกเขามาก่อนว่าวิชานี้มิใช่วิชาระดับตำนานทั่วไป และซือหยูจะต้องบ่มเพาะมันให้สำเร็จ

  ซือหยูข่มใจที่อยากให้วิชาลงและเริ่มบ่มเพาะคุกเทวะห้าธาตุต่อไป

  เขาต้องเรียนรู้อักษรอสูรให้ได้ทั้งร้อยตัวเพื่อที่จะใช้พลังหนึ่งในสิบของคุกเทวะห้าธาตุตอนนี้เขาเข้าใจเก้าสิบเก้าตัวแล้ว ตัวสุดท้ายยังคงเป็นที่น่าฉงนสำหรับเขา

  เขามองอักษรตัวสุดท้ายเขาพยายามหาเหตุผลในความลึกลับของตัวอักษร

  เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

  บ่ายวันถัดมาซือหยูเบิกตาโพลงและยกมือขึ้นคว้าอากาศตรงหน้า

  ลำแสงสีเทาเปล่งแสงออกมาซือหยูรับมันเอาไว้ด้วยมือเดียว

   ลอบโจมตีรึ? 

  เทพปีศาจที่คอยระวังอยู่ในโลกภายนอกถาม

  ซือหยูส่ายหน้า

   ไม่ใช่มันมีพลังของท่านอาจารย์ 

  ซือหยูแบมือออกและเห็นเสี้ยววิญญาณที่มีข้อความอยู่

  เสียงของหยุนหยาซือดังในใจ

   กระบี่จากต่างโลกตกมายังจิวโจวเกิดเรื่องประหลาดเกิดขึ้นนอกจิวโจว ข้าต้องไปสืบดู เจ้าไม่ต้องห่วงข้า 

  ซือหยูลืมตาด้วยความตกใจเรื่องประหลาดเกิดขึ้นที่นอกจิวโจว มันเป็นเรื่องที่ท่านอาจารย์ต้องไปสืบดูด้วยตัวเองเลยหรือ?

  แต่เขาก็สบายใจเมื่อรู้ว่าอาจารย์ปลอดภัย

  เขาถือคุกเทวะห้าธาตุในมือและขมวดคิ้วพร้อมกับหายใจเข้าลึก

   อีกชั้นเดียวข้ายังไม่เข้าใจอีกชั้นเดียว ข้ายังขาดอะไรไปเล่า?    เขาล้มเหลวในการทำความเข้าใจส่วนสุดท้ายหลายครั้งซือหยูคิดว่าบางทีเขาอาจต้องการความรู้ที่มากกว่าเดิม เขาต้องการความช่วยเหลือจากที่อื่น

   เจ้าหนูเจ้าบอกว่าอาจารย์เจ้าไม่เป็นไรสินะ? แล้วเจ้าจะทำอะไรต่อ? ตรงไปที่ตระกูลบูรพาหรือ? ไปหานังเด็กสาวสองหน้านั่นหรือ? 

  เทพปีศาจพูดแหย่

  ซือหยูส่ายหน้าตะปูมิติหล่นลงมาจากชายเสื้อ

   ข้าต้องผนึกประตูเทวะ 

  ตะปูมิติตัวสุดท้ายถูกใช้เพื่อรับมือสถานการณ์เช่นนี้

  เทพปีศาจมองซือหยู

   เจ้าทำเพื่อหยุดราชาเขตกลางรึ? 

   ใช่จากสถานการณ์ของข้า สิ่งที่ข้าทำคงจะไปถึงหูราชาเขตกลางแล้ว 

   และตอนนี้ยังเหลืออีกสองวันก่อนจะถึงวิบัติสวรรค์ข้าต้องเผชิญหน้ากับมัน 

  เทพปีศาจตอบ

   เจ้าจะใช้ไม้ใดกัน?จากที่ข้ารู้ ไม่ว่าจะวิบัติของจริงหรือปลอม มันก็มิอาจเลี่ยงได้ เจ้าขอให้จ้าวผาบั่นภูติถ่วงเวลาราชาเขตกลางเก้าวัน ข้าคิดว่าจะคงยากนัก 

   ข้าไม่คิดว่าเขาจะหยุดได้เก้าวันอยู่แล้ว 

  ซือหยูถอนหายใจเพราะรู้อยู่แล้ว

   ราชาเขตกลางมีสมบัติมากมายซ่อนไว้แม้จะมีพลังเหนือกว่า จ้าวผาบั่นภูติก็ไม่น่าจะรับมือได้ถึงเก้าวัน แต่เวลาหลายวันนั้นก็เพียงพอสำหรับข้าแล้ว 

   ข้ายังมีตะปูมิติราชาเขตกลางจะเดินทางไปไหนมาไหนในจิวโจวไม่ได้สักระยะ มันจะถ่วงเวลาให้ข้าได้อีกหลายวัน 

  ต่อให้เป็นเซียนเขาก็ต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็มในการข้ามทวีป ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวันในการเดินทางจากเขตกลางมาถึงทวีปบูรพา

  เทพปีศาจหัวเราะในใจ

   สุดท้ายชะตาของเจ้าก็อยู่ในมือของเด็กสาวตระกูลบูรพาสินะ? 

   ไม่ใช่! 

  ซือหยูส่ายหน้าอย่างรุนแรง

   ชะตาข้า…ข้าลิขิตเอง! 

  ซือหยูแตะแหวนมิติด้วยใบหน้าเย็นชา

   ถ้ามันมาไม่ถึงข้าก็ดีไปแต่ถ้าหากมันมา ข้าก็มีของขวัญให้มัน! 

  นอกประตูมิติเทวะสตรีอสูรเนรมิตรมองดูประตูมิติอย่างระมัดระวัง นางดูเสียใจ

   น่าเสียดายที่ข้าไม่เจอซือหยูแต่อย่างไร… 

  ตอนที่นางเฝ้าระวังชายหนุ่มหน้ากากสีเงินได้ก้าวไปยังประตูมิติ

  นางเหลือบมองโดยไร้ซึ่งการตอบสนองก่อนจะละสายตา  ชายหนุ่มหน้ากากเงินวิ่งไปยังประตูมิติเทวะและวางแก้วพลังหลายชิ้นเพื่อเตรียมตัวใช้งานประตู

  แต่นางก็ไม่คาดคิดเลยว่าเมื่อชายหนุ่มหน้ากากเงินยื่นมืออกไปเขาก็ยิงตะปูมิติใส่ประตู

  แม้นางจะไม่ได้มองนางก็แอบสังเกตผู้ที่ใช้งานประตู เมื่อนางรู้ว่าเขากำลังใช้ตะปูมิติที่เป็นของต้องห้าม สีหน้านางก็แสดงความหงุดหงิด

   ทำไมถึงมีแต่คนโง่เขลาอย่างพวกเจ้ากัน?พวกที่เอาแต่พยายามผนึกประตูมิติเทวะอย่างไร้ความหมายน่ะ 

  นางรู้สึกชินชากับเรื่องเช่นนี้ไปเสียแล้ว

  นางขยับตัวเบาๆ สายลมบางเบาแล่นไปยังชายหนุ่มหน้ากากเงิน เขามิอาจขยับตัวได้ ตะปูมิติในมือของเขาลอยไปยังมือของนาง

  นางมองชายหนุ่มด้วยดวงตาสดใสนางส่ายหน้าเบา ๆ และถาม   ใครสั่งเจ้าม… 

  ในตอนนั้นเองพลังของฎีกาสวรรค์ได้เรียกหัตถ์ขนาดยักษ์ออกมาปัดพลังที่ทำให้เขาขยับไม่ได้ออกไป

  เขาใช้โอกาสนี้เรียกตะปูมิติอันที่สองและยิงมันไปที่ประตู

  นางเริ่มโกรธ

   เจ้ากล้าดียังไง! 

  นางลุกขึ้นทันทีใบหน้านางซีดเซียว คงจะดีกว่าถ้าจะทิ้งระยะกับเขา

  พลังอสูรเนรมิตรได้เข้าผลักชายหนุ่มหน้ากากเงินและตะปูมิติทิ้งไป

  นางเตรียมจะใช้พลังอีกครั้งพลังมิติเข้าลอมรอบชายหนุ่มหน้ากากเงินกับตะปูมิติ มันปรากฏเพียงพริบตาเดียวก่อนจะหายไป

   หา! 

  นางใบหน้าเย็นชานางฉีกมิติด้วยมือเดียวและไล่ตามชายหนุ่ม  นางไม่รู้เลยว่าทันทีที่นางทิ้งตำแหน่งพื้นก็ได้ระเบิดพลังของภูติผีออกมา มันคือพลังจากสาวน้อยน่าหลงใหลจากเผ่าผี

  นางเดินรอบๆ อย่างระมัดระวัง พลังซัดใส่ประตู นางยิ้มและหยิบตะปูมิติออกมายิงใส่ประตูมิติ

  พร้อมกันนั้นสีหน้านางก็เปลี่ยนไป นางเงยหน้ามองสตรีที่เข้าใกล้ ใบหน้าทั้งดูยินดีและไม่ยินดี

   ข้าปกป้องที่นี่มาหลายปีแผนล่อเสือออกจากถ้ำยังหลอกข้าได้รึ? 

  นางสีหน้าเยือกเย็น

   เจ้าเป็นคนออกคำสั่งสินะ?เผ่าผีหรือ… 

  นางมองจางตี๋เก้ออย่างดุดันจางตี๋เก้อนั้นสลบราวกับถูกทุบด้วยค้อนขนาดใหญ่

  นางตอบสนองได้รวดเร็วนางรีบแปลงกายเป็นเมฆาพลังภูติผีซึมเข้าลึกในใต้ดิน

  สตรีอสูรเนรมิตรจ้องลึกลงในผิวดินนางต้องมองไปถึงด้านนอก  นางก้าวเข้าสู่มิติเพื่อไล่ตามจางตี๋เก้อ

  เมื่อนางจากไปผู้เฒ่าคนหนึ่งก็ได้เดินเข้ามา เขายิ้ม

   ล่อเสือออกจากถ้ำเป็นแผนตื้นๆ ก็จริง แต่ถ้ามันใช้ได้สำเร็จเล่า? 

  ในมือของเขามีตะปูมิติอีกตัวเขาหรี่ตายิงมันเข้าใส่ประตูมิติ

  แต่เมื่อตะปูมิติกำลังจะเข้าถึงประตูฝ่ามือซีดเซียวนุ่มลื่นก็ได้ยื่นออกมาคว้ามันเอาไว้

   แผนล่อความสนใจของเจ้าก็ไม่สำเร็จเหมือนกัน! 

  ซือหยูมองมือซีดและตอบเบาๆ

   เจ้าไม่กลัวว่าคนจะกลัวตอนที่จู่ๆ เจ้าก็ยื่นมือออกมาหรือ? 

  ในรอยแยกมิตินั้นเงียบกริบนางไม่คิดเลยว่าซือหยูจะพูดเช่นนี้

 

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

Status: Ongoing

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ

เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท